กระดานสนทนาเว็บไซต์ ศิษย์หลวงพ่อกวย

เรื่องเล่าประสบการณ์ => เรื่องเล่าประสบการณ์ เรื่องเล่า เรื่องราวปาฎิหาริย์เกี่ยวกับหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม => ข้อความที่เริ่มโดย: chusak ที่ กรกฎาคม 29, 2011, 02:33:01 pm

หัวข้อ: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: chusak ที่ กรกฎาคม 29, 2011, 02:33:01 pm
                                ..."หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร" พระอริยสงฆ์แห่งแดนคนจริง....
          ...ด้วยจิตอันบริสุทธิ์...ในโลกแห่งจักรวาลนี้ ย่อมมีโลกที่มีอยู่อีก จำนวนนับหมื่นโลกธาตุกับทั้งแสนจักรพิภพ พวกเราทั้งหลายนี้
จะนับเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้งสี่ ก็ยังมีได้เพียงเศษเสี้ยวของละอองธุลีของส่วนหนึ่งแห่งจักรวาล ประมาณไปไม่ได้ ที่ๆมีสิ่งมีชีวิตเหมือนอย่างเรานั้น ก็เช่นเดียวกัน ยากนักที่จะอุปมาได้ทั่วถึง แต่ในอนันตจักรวาลนี้ มีอยู่ที่ๆเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถ ที่จะมี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาได้ นั้นก็คือ ที่ตรงนี้ที่เรียกที่ว่า"ชมพูทวีป" บางยุคบางสมัยก็ว่างจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนินนานยาวไกลจนวังเวง แต่พวกเราทุกคน ก็ยังได้มาเกิดทันบนแผ่นดินในโลกใบเดียวกันกับที่ๆเคยมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ และพวกเราทุกๆนี้ ก็ยังได้มีโอกาสได้เกิดมาทันในยุคสมัยที่ยังมีบวร"พระพุทธศาสนา"ให้เราได้น้อมนำมาปฏิบัติ ได้รู้จัก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ น้อมนำมาบูชา และพวกเราทุกๆคนนี้ ก็ยังโชคดีเหลือเกินที่ได้มี"พระพุทธศาสนา"เป็นศาสนาที่พวกเราได้นับถือเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ และได้ในอยู่ประเทศไทย ซึ่งเป็น เมืองพุทธ การได้ เกิดมาเป็นคนนั้นเป็นของยากมากเหลือเกิน พวกเรานั้นก็เองก็อยู่บนโลกใบนี้กันได้ อย่างมากก็ไม่เกินหมื่นกว่าวันกันหรอกหนา ตายไปแล้วก็ไม่อาจที่จะรู้ไดเลยว่า จะได้กลับมายืนที่ตรงนี้ได้อีกหรือเปล่า เพราะฉนั้น จงอย่าทำวันเวลานี้ที่เหลืออยู่น้อยนิด ให้ไม่มีคุณค่า ไม่มีประโยชน์เลยนะ เรานี้เป็นลูก "หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร" จะกี่ภพกี่ชาติ ก็จะขอเกิดเป็นลูกของพ่อตลอดไป จะขอทำแต่ความดีถวาย พ่อของพวกเราทุกๆวัน อย่างน้อยเรื่องอะไรก็ได้ สักหนึ่งเรื่อง ถวายท่าน กตัญญูกตเวทิตา ต่อท่าน ในสมดังกับที่พ่อไม่เคยทอดทิ้งพวเรา   " "พา มา นา อุ อะ กะ สะ นัน ทู" หลวงพ่อให้ไว้ ภาวนาให้ขึ้นใจเทิดหนา หมั่นทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้เบิกบาน มิตกอบายภูมิแล สาธุ สาธุ สาธุ  ..."ความเดิมต่อจากตอนที่แล้ว"....
                                             ...."ที่มาของฉายา"....
              ...ครั้งหนึ่ง เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยตอนที่ข้าพเจ้านั้นได้ อุปสมบทใหม่ๆได้เพียงแค่ 1 เดือน พอดีข้าพเจ้าพึ่งจะนึกขึ้นมาได้ ก็เลยนำมาเล่าให้กับพวกพี่ๆน้องนั้นได้อ่านฟังกัน เรื่องมันก็มีอยู่ว่า ตอนที่ข้าพเจ้เนั้นได้บวชมาใหม่ๆ ข้าพเจ้าก็ยังติดนิสัย ฆารวาสอยู่มาก กล่าวคือ ข้าพเจ้านั้นมีนิสัยอยู่อย่างหนึ่งว่า ไม่ค่อยจะยอมคนสักเท่าใดนักแลพเมื่อตอนที่บวชอยู่นั้น ก็มีพระที่บวชก่อนข้าพเจ้าอยู่องค์หนึ่ง ที่รู้สึกว่าไม่ชอบหน้าข้าพเจ้าเท่าไรนักแกถือว่าแกบวชมาก่อน ก็เลย อาวุโสภันเตฯคือส่วนตัวของข้าพเจ้าจริงๆแล้ว ก็เป็นคนอ่นน้อนถ่อมตนอยู่ ใครมาดีก็ดีไป ใครมาร้ายก็แล้วแต่สถานะการณ์ แต่เมื่อข้าพเจ้าบวชแล้ว ข้าพเจ้าก็คิดว่า อายุทางโลกของเรานี้ก็คือไม่มีแล้ว จะนับกันใหม่อีกทีก็ตอน อุปัชฌาย์สวมอังสะให้ก็เริ่มนับกันตอนนั้นความมีสำมาคาระวะนั้น ข้าพเจ้านั้นถือมาก ในตอนที่เป็นฆารวาสนั้น ข้าพเจาไม่เคยที่จะปีนเกลียวผู้ใหญ่เลยสักครั้ง เพราะครอบครัวของข้าพเจ้าปลูกฝังมาเช่นนี้...
              ...ที่นี้เรื่องมันก็มีอยู่ว่า พระองค์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ท่านเป็นพระจำพวกพระเคร่ง(เคร่งเครียดนะ)คือว่าองค์ใหนไม่เคร่งตาม องค์นั้นก็จะแลดูไม่เข้มขลัง ประมาณนั้น เอ่อ!!!เอาซิ ให้มันได้อย่างนั้น ความจริงข้าพเจ้าก็ไม่อยากยุ้งกับท่านสักเท่าไร่หรอก แต่พระองค์นั้นท่านมีนิสัย ค่อนข้าง จู้จี้ขี้บ่น มาก จะว่าท่านนั้นก็จะไม่ชอบอยู่ว่างก็ว่าใช่(ปากนะ) แต่ตัวนะไม่ค่อยทำหรอก นึกถึงดาวตลกที่ชื่อ"ปลาคร๊าบ" กันได้ใหมพี่ๆน้องๆ อื้ม!!!นั้นล่ะท่าน(หลวงพี่เขา) ท่านนั้นก็จะคอยสั่ง โน้น!สั่งนี่!พระลูกวัดไปทั่ว แต่ตัวท่านเองนะไม่ใช่ ท่านเจ้าอาวาสหรอกนะ แต่ถือว่าตัวเอง อาวุโสภันเตฯ ขนาดโยมเข้ามายังคิดว่า โอ้!!!นี่ต้องเป็นท่านอธิการณ์แน่เลย ก็คิดดูกันเอาเอง นี่ล่ะ!!!จึงเป็นที่มาของคำว่า"หลวงพี่ฮีดเลอร์"....ที่สุดของที่สู...ด(อ่านว่าสูดนะ)เลย ...เพราะขนาดพัดลมเห็นท่านยังส่ายหน้าเลย...
                                      ..."หลวงพี่ฮีดเลอร์"....
                       ...ดังที่ข้าพเจ้าได้เคยกล่าวไว้แต่ตอนต้นว่า ข้าพเจ้านี้ไม่ค่อย ไปสุงสิงกับใครมากนัก แต่เวลามีงานส่วนรวม ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่คนเห็นแกตัว เขาทำข้าพเจ้าก็ทำ แต่บางครั้งตรงนี้ ข้าพเจ้าก็อยู่แต่ในกุฏิ บางครั้ง ถ้าไม่มีใครมาตาม หรือไม่เห็นจริงๆข้าพเจ้าก็ไม่ได้ไปช่วยเขา ก็มีบ้าง นี้จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่"หลวงพี่ฮีดเลอร์"เกิดความไม่สบายใจ กลัวว่าข้าพเจ้าจะสุขภาพไม่แข็งแรง เพราะไม่ได้ออกกำลังกายแบบท่าน(ข้าพเจ้าคิดแบบแง่บวกนะ)น่าจะเป็นแบบนั้น ที่นี้เวลาท่านเจอข้าพเจ้าก็เลยมักจะแน็บแนมข้าพเจ้าอยู่บ่อยๆ ตอนหลังๆข้าพเจ้าก็คิดว่า ข้าพเจ้าคงนิ่งมากไปหน่อย ที่นี้เจอนักเลยแต่ ข้าพเจ้าก็ได้แต่ยิ้มเฉย โตๆกันแล้วนี่ จะว่าไงได้ล่ะ!!! ตอนหลังท่านชักได้ใจใหญ่ ก็ให้เด็กวัดมาตามไปนวดให้บ้าง(เพราะข้าพเจ้าพอนวดได้)ถึงข้าพเจ้าจะไม่ใช่หมอนวด แต่ข้าพเจ้าก็พอจะรู้ว่า ถ้าเราชอบหรืออยากให้คนอื่นนวดยังไง คนอื่นๆก็ต้องชอบเหมือนๆกัน ก็เลยนวดในแบบที่ตัวเองชอบให้คนอื่นไป เรื่องของเรื่อง ครั้งแรกมันมาจาก ได้เคยไปสงเคราะห์หลวงตาอยู่องค์หนึ่ง ก็เห็นว่าท่านชราภาพมากแล้ว บ่นว่าปวดหลังปวดเอว ก็เลยไปสงเคาระห์ท่าน ก็เลยดังใหญ่ แต่ตอนหลังๆมันไม่ใช่อย่างนั้นซะแล้วซิ(องค์อื่นนะ) คนถูกนวดนะสบาย แอ้คนนวดซิกว่าจะจบคอร์ดเล่นเอาเหงื่อท่วนตัวเหมือนกัน แต่ในทางกลับกัน เวลาตัวเองเป็นบ้าง หาสักคนมานวดให้กลับหาไม่ได้เลย เอ่อ!!!(ถอนหายใจยาวๆ)...ดังนั้นข้าพเจ้าก็เลยมักจะโดนท่าน"หลวงพี่ฮีดเลอร์"นึกยังไงไม่ทราบให้เด็กวัดมาตามบอกว่านิมนต์ให้ไปสงเคาระห์นวดให้สักหน่อย ท่านไปนวดก็ไปนวดให้ อาวุโสภันเตฯใช้นี่นะ ก็ไป เอ่อ!!!แต่ตอนหลังๆมันไม่ใช่ซะแล้วซิ โอ้โห้!!!เล่นมาตามกันทุกวัน เลยนวดครั้งละเป็นชั่วโมงๆไม่ต้องทำอะไรกันพอดี ที่นี้พอท่านให้เด็กมาตามอีกข้าพเจ้าก็พิจรนาดูแล้วก็เลยไม่ไป สรุปว่าก็เลยเป็นเหตุที่ทำให้ท่าน"หลวงพี่ฮีดเลอร์"ท่านเกิดความไม่พอใจในตัวของข้าพเจ้าเท่าใดนัก เอ้า!!!ก็ข้าพเจ้าพิจรณาดูแล้วนี่ว่าตรงนี้มันไม่สมเหตุสมผล ก็เลยไม่ไปสงเคราะห์  จะโกรธก็โกรธไป ก็เรื่องของท่านเถอะนะ อ้อ!!!ลืมบอกไปอย่างหนึ่งท่าน"หลวงพี่อีดเลอร์"นี้ท่านมีดีกรีเป็นพระครูปลัดด้วยนะ แต่เอ้!!!เป็นพระครูยังไงบางทีก็สอน(ตรงนี้ไม่พูดดีกว่า)แต่ข้าพเจ้าก็คิดว่า คนเรานั้นไม่ได้วัดกันที่ตรงบวชก่อนบวชหลัง เรื่องของความตั้งใจ จะเอา วันเดือน ปี มาวัดกันข้าพเจ้าคิดว่าวัดกันไม่ได้ แต่ที่เห็นบางส่วนหนึ่งก็ยังมี วัดไม่กวาด บาตรไม่โปรด โบถไม่ลง เอาหน้า ไม่เอางาน ประมาณนั้น สารพัด ฯลฯ เมื่อให้เด็กวัดมาตามแล้วข้าพเจ้ากลับไม่ยอมไป ก็เลยเป็นเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ข้าพเจ้ามักจะโดนท่าน"หลวงพี่อีดเลอร์"ประมาณจะฉีกหน้าอยู่บ่อยๆ อย่างนี้ เป็นต้น
                                       ...."คำบัญชาจากท่านเจ้าอาวาส"...
           ...จนมีอยู่วันหนึ่ง ตอนนั้นทางขึ้นศาลาวัดของข้าพเจ้า นั้นมันเป็นปูนซีเมนท์แบบที่เขาเทพื้นกัน ที่นี้เวลาฝนมันตกต้นไม้จำพวกตะใคร้มันก็เกาะกันเต้มไปหมดแลดูเหมือนประหนึ่งสนามฟุตบองย่อมๆ มันก้มองดูสวยดีหรอกนะข้าพเจ้าว่า แต่พิษสงของมันซิดันเยอะได้หน่อยเล่นเอา โยม อุบาสก อุบาสิกา ทายกกา ทายิกา ล้นล้มหัวแตกหัวปูด หัวโน ไปหลายราย หนักๆเข้า บาตร งี้กระเดนเลยก็มี ไม่ไหวลานมันกว้างด้วย ก็เลยมีบัญชาลงมาจากท่านเจ้าอาวาส ว่าให้จัดการมันออก เสียก่อน ที่จะมีคนตาย (โอ้โฮ้!!!ร้ายแรงจริงๆ) พระในวัดก็เลยช่วยกันใช้แปรงเหล็กขัดกัน ก็ได้ความว่าลูกศิษย์วัดเขาได้ไปยืม เครื่องพ้นน้ำจากร้านล้างรถมาได้เครื่องหนึ่ง เครื่องพ่นน้ำนี้พ่นน้ำออกมาได้แรงมาก ชนิดที่เรียกว่าถ้าโดนเนื้อก็แสบประร้อนเหมือนกัน ใหม่ก็สนุกกันอยุ่หรอกแต่พอทำกันไปได้ครึ่งวัน ได้แค่ครึ่งเดียว โซเลย !!!ทุกๆคนก็ต่างเหนื่อยและร้อนมาก ข้าพเจ้าก้ทำจนเหงื่อยใหลท่วมตัวด้วยเหมือนกัน แต่ขณะที่ข้าพเจ้านั้นกำลังเข้นใบไม้ไปทิ้งที่หลังวัดอยู่นั้นท่าน"หลวงพี่อีดเลอร์"ท่านก็กำลังหาฆ้อนเพื่อที่จะไปตีตะปูอะไรสักอย่าง ท่านก็เลยใช้ให้ข้าพเจ้าไปหามาให้ ข้าพเจ้าก็ยังทำงานของข้าพเจ้าค้างคาอยู่ คือต้องขนใบไม้ไปทิ้งหลังวัด ก็นึกหงุดหงิดในใจนิดหน่อย (เพิ่งบวชใหม่ๆจิตยังไม่นิ่ง)ก็คิดไปว่า อยู่บ้าน พี่ป้า น้าอา พ่อแม่ ยังไม่ใช้ขนาดนี้เลย แต่ก็วางงานของตัวเองไปหาให้ท่าน แต่ปรากฏว่า หายังไงก็หาไม่เจอ ของๆวัดแท้จะหาคนเก็บก็ไม่ได้ สรุปว่าเดินหาทั่ววัดกว่าครึ่งชั่วโมงคนเดียวก็ยังไม่ได้แบ้ววัดของข้าพเจ้ามันเล็กซะที่ใหนล่ะ วัดหลวงพ่อเชียวนะ โอ้โฮ้!!!เล่นเอาข้าพเจ้าซะจิตตกเลย ก็เลยเดินมาบอกท่าน"หลวง
พี่ฮีดเลอร์"รอบแรก ท่านทำเสียงแข็งใส่ บอกว่าให้ไปหามาใหม่ รอบสองแรงกว่าเดิม ก็ไป ไปก็ไป แต่พอรอบสามเท่านั้น ล่ะ ท่านตะคอกใส่ข้าพเจ้าเลย แทนที่จะพูดกันดีๆข้าพเจ้างี้วางของลงกับพื้น เดินกลับกุฏิเลยพอไปถึงกุฏิ ปิดประตูดัง ปัง!!!!(ไม่ควรทำตาม มันไม่ดี๐พอเข้าไปในห้องได้ บังเอิญตามันดีอีก เลหือบมองไปเห็น"ฆ้อน"ที่โยมพ่อของข้าพเจ้ามาวางลืมทิ้งไว้ ที่ข้างตู้หนังสือ (ฆ้อนของที่บ้านไม่ใช่ของวัด)เท่านั้นแหละครับพี่น้องเอ้ย!!!!...........
                                        ...."โดนผีเข้าสิง"....
                     ...พอข้าพเจ้าเห็นฆ้อนเท่านั้นล่ะ!!!ข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นทันที แล้วเดินตรงไปที่ฆ้อนนั้น พร้อมกับกัมลงหยิบตะปูตัวเล็กประมาณ 1 กำมือ ไม่ต่ำกว่า 50 ตัว รู้ใหมพี่ๆน้องๆครับข้าพเจ้าทำยังไง พอข้าพเจ้าเปิดประตูกุฏิได้เท่านั้นล่ะ ลงได้ไม่ถึงสามก้าว ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็
"เขวี้ยง"!!!!!ฆ้อนนั้นกระเดนออกไปไกลประมาณ 4 สนามบาสเกตบอลพร้อมทั้งตะโกนออกไปว่า"หลวงพี่ครับนี่ ฆ้อนมาแล้วครับ!!!!" เสียงตกไปโดนถังขยะวัดดังโค้ม!!!!เท่านั้นยังไม่พอ ข้าพเจ้าก้ยังเดินจ้ำอ้าวไม่ยังฆ้อนนั้นอีก พร้อมทั้งทำแบบเดิมอีกทีนี้ ฆ้อน ตกถึงหนาศาลาเลย
เล่นเอาทุกคนงี้ ตะลึกเลย ยัง-ยังไม่จบ ทันใดนั้นเองข้าพเจ้าก็ได้เดินตรงดิ่งไปยังที่ท่าน"หลวงพี่ฮีดเลอร์"นั้นยืนอยู่พอไปถึงตรงหน้าของท่าน  ข้าพเจ้าก็ตะโกนออกมาว่า เอ้า!!!นี่ครับตะปูมาแล้วครับ แล้วข้าพเจ้าก็อันตะธานหว่านตะปูนั้น(มันน่าจะเรียกว่าปามากกว่า)ลงไปตรงหน้าของท่าน"หลวงพี่ฮีดเลอร์"เสร็จแล้วข้าพเจ้าก็เดินกลับขึ้นบนกุฏิ ปิดประตูดัง !!!ปัง!!!!เฉยเลย ใช้ระยะเวลาไปประมาณน่าจะไม่เกิน2-3
นาที..ก็มานั่งสูดลมหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ทีนี้ สติ เริ่มมาเท่านั้นใจของข้าพเจ้าล่นลงไปอยู่ที่กระตุ่ม นี่ฉันทำอะไรลงไปว่ะ!!!ลืมตัมไปว่าเป้นพระอยู่ ตายห่าล่ะ!!!งานนี้สงสัยต้องโดนจับสึกกลางพรรษาแน่เลยเรา ...(ยอมรับว่ารู้สึกผิดและเสียใจมาก).....
                                        ...."หลวงพ่อช่วยลูกด้วย"...
                 ...พอตั้งสติได้แล้ว ข้าพเจ้าก็รีบหันไปมองรูป"หลวงพ่อ"บนหิ้งเลย ข้าพเจ้าก็ได้ยกมือ สาธุ บอกหลวงพ่อไปว่า "หลวงพ่อครับลูกผิดไปแล้ว""ลูกไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้เลย "หลวงพ่อครับ"หลวงพ่อต้องช่วยลูกด้วยนะครับ""ลูกสำนึกผิดแล้ว"หลวงพ่อโปรดช่วยลูกด้วยนะครับ"(พร่ำเพ้อ ทำอะไรไม่ถูก) ก็เลยตั้งสติขึ้นอีกครั้ง รีบจุด ธุป 16 ดอก ตั้งนะโม 3 จบ ตามด้วย ตะมังธัง ปะกาเสนโตฯ ระลึกถึงบารมีของ"หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร" เป็นที่สุด แล้วบอกท่านว่า ขอให้ความผิดในครั้งนี้ได้"เป็นครู"ด้วยเทิด ถ้า"หลวงพ่อ"ไม่ช่วยลูกคราวนี้ ลูกต้องแย่แน่ๆสาธุ  เสร็จแล้วข้าพเจ้าจึงตั้ง สัจจะกิริยาอธิฐานแล้วเปล่ง วาจา ต่อหน้า พระแก้วมรกต(25 พุทธ)ที่เป็นประประธาน หิ้ง ต่อหน้า"หลวงพ่อ"ว่าข้าพเจ้าขอระลึกถึง คุณงามความดีทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำมา ทั้งการให้ทาน รักษาศีล สวดมนต์ไหว้พระ เจริญพระกรรมภาวนาแผ่เมตตา และปล่อยชีวิตสัตว์ บุญบารมีทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคย บำเพ็ญมาแล้ว ในอดีตชาติก็ดี ในปัจจุบันชาติก็ดี ในอนาคตกาลเบื้องหน้าก็ดี ขอจงมาเป็นภาวะปัจจัย เป็นวิสัยตามส่ง ให้ข้าพเจ้านั้นจงรอดพ้นจากวิบากกรรมในครั้งนั้ได้ด้วยเทอญ ข้าพเจ้านั้น ยังเป็นปุถุชนอยู่ ย่อมยังมี ผิดชอบชั่วดีอยู่ ข้าพเจ้านั้นสำนึกผิดแล้ว ขอบารมี"หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร"โปรดช่วยเหลือลูกด้วยเทอญ สา.....ธุ สา.....ธุ สา.......ธุ..
                                    ..."บารมีหลวงพ่อกำบังฆ้อนบิน"....
                ...และพอสิ้นคำอธิฐาน ข้าพเจ้าก็ได้เดินหน้าสลดๆ ลงไปที่ศาลา แต่เอ้!!! ไง๋!!!! ไม่เห็นมีใครผิดปรกติอะไรเลยนะ ข้าพเจ้ารู้สึกเอ๊ะใจ!!!พระทุกๆองค์ รวมถึงท่าน"หลวงพี่ฮีดเลอร์"กับทำงานกันแบบปรกติ เหมือนไม่มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้นเลยข้าพเจ้ารู้สึกตกใจมาก
เฮ้ย!!!!อะไร!!!!ก็เมื่อตะกี้นี่เราระเบิดอารมณไปขนาดนั้น แล้วยังไม่มีใครสนใจเราอีกหรือนี่ ....
                ....และแล้วความอัศจรรย์ ก็ได้บังเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า!!!แทบช็อค!!!ข้าพเจ้าแทบไม่เชื่อสายตาและหูของตัวเองเลยว่า เมื่อข้าพเจ้านั้นเดินไปถึงท่าน"หลวงพี่ฮีดเลอร์"แล้วก้มลงกราบขอขมาท่านสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้านั้นประหลาดใจมากก็คือท่าน"หลวงพี่ฮีดเลอร์"กับพระประมาณ10 กว่าองค์ทำหน้ามึนๆงงๆชนิดที่ว่า"อะไรของมัน" "อยู่ดีๆมากราบเราทำใมว่ะ" ข้าพเจ้าก็กล่าวขึ้นมาว่า" หลวงพี่ครับ ผมผิดไปแล้ว"โปรดยกโทษอโหสิกรรมให้ผมด้วยเทิดนะครับ ทันใดนั้นเองท่าน"หลวงพี่ฮีดเลอร์" ซึ่งทำหน้างงๆท่านก็ได้พูดส่วยข้าพเจ้าออกมาว่า "ขอโทษเรื่องอะไร" งง??????งง????'งง???? ข้าพเจ้าก็เลยบอกกับท่าน"หลวงพี่ฮีดเลอร์ไปว่าก็เมื่อตะกี้ผมเขวี้ยงฆ้อนใส่ หลวงพี่ แล้วก็ยังปาตะปูใส่หน้า หลวงพี่อีก ผมต้องกราบขอขมาหลวงพี่ด้วยนะครับผมผิดไปแล้วครับ ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ พอพูดจบท่า"หลวงพี่ฮีดเลอร์"ก็ทำหน้ายิ่ง งง ใหญ่แถมยังพูดส่วนข้าพเจ้าออกมาอีกว่า "นี่ท่านมาพูดเพ้อเจ้ออะไรของท่าน" ผมทำงานของผมอยู่ตั้งนานนมแล้ว ผมยังไม่เห็นคุณมาตรงนี้เลย แล้วท่านเดินไปใหนมาล่ะ เห็นแว๊บๆ !!!ข้าพเจ้าก็เลยรีบพูดส่วนออกไปว่า ก้เมื่อตะกี้นี้ ข้าพเจ้าจึงหันไปถามพระองค์อื่นๆก็ไรบคำตอยเดียวกัย เล่นเอาซะ ข้าพเจ้า งง เป็น ไก่ ตาแตก !!โอ้ยนี่ มันเรื่องอะไรกันเนี้ย ข้าพเจ้าถึงกับ อุทานขึ้นแต่ก็ยังไม่หายสงสัย พอดีนึกขึ้นมาได้ว่า ข้าพเจ้าได้โปรยตะปู ไบริเวณนี้ เมื่อตะกี้นี้เอง เป็นกำๆ ยังไงๆ มันก็ต้องมีเหลืออยู่บ้างล่ะหน่า แต่ข้าพเจ้าพบกับความตกตะลึง ครั้นเมื่อข้าพเจ้ามองไปยังบริเวณที่ได้ปาตะปูไว้ ก็กลับไม่พบเจอ แม้แต่เงาของตะปูเลยสักดอก  โอ้โฮ้!!!เล่นเอาข้าพเจ้านั้น ขนลุกไปทั้งตัวเลย (ระลึกถึงหลวงพ่อทันทีทันใดเลย) ตอนที่ เขวี้ยง ฆ้อนออกไป ก็นึกเอ๊ะ!!ใจอยู่เหมือนกัน คล้ายๆว่าเหมือนได้ยินเสียง"ฟ้าผ่า" ชะลอยว่า"ประดุจล่องลอยอยู่ในความฝัน" นี่ต้องเป็นเพราะบารมีของ"หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร"ของเราแน่ๆข้าพเจ้า เชื่อจนหมดหัวใจ ต้องเป็นเพราะ หลวงพ่อ ต้องการที่จะสั่งสอนข้าพเจ้า ให้รู้จักผิดชอบชั่วดี และท่านก็เล็งเห็นว่า"ลูกของท่านคนนี้นั้นก้าวพลาดอยู่" ท่านก็เลยมาสงเคราะห์ แสดงอภินิหาร"กำบังฆ้อนบินและกำบังตัวข้าพเจ้าไว้"  เพื่อไม่ให้เกิดเหตุกาณ์บานปลาย ข้าพเจ้านั้น ซาบซึ้งใจมากเหลือเกิน รู้สึกว่า"พ่อ" หลวงพ่อของพวกเรา ที่เรารักและนับถือบูชาท่านอยู่ตลอดเวลา ท่านก็ไม่เคยได้ทอดทิ้งเราเลยสักนาที ครั้น"ลูก"ทำผิดท่านก็เห็นว่าให้ผิดนี้จงเป็น"ครู" มาช่วยสงเคราะห์"ลูก"คนนี้ น้ำตาของข้าพเจ้านั้นใหลเลย สุดซึ้งใจจนเกินจะพรรณนา ตั้งแต่วันนั้นมา ข้าพเจ้าจึงให้สัจจะกับ"หลวงพ่อ"ว่าลูกคนนี้จะไม่มีวันทำอย่างนี้อีกเลย จะใช้สติในการดำเนินชีวิต ให้สมกับที่"หลวงพ่อ"นั้นได้เมตตา ให้โอกาสกับลูก ลูกอยากบอก"หลวงพ่อ"ว่า"หลวงพ่อครับ ลูกคนนี้รักหลวงพ่อเหลือเกิน" ....สาธุ สาธุ สาธุ ..."หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร"...
                     ....ขอขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านแล้วข้าพเจ้าจะนำประสบการณ์มามาถ่ายทอดให้-
  ...พี่ๆน้องๆได้อ่านฟังกันใหม่ตอนต่อไป(เจ้าพ่อเสือแยกเขี้ยว,เทวดามานมัสการหลวงพ่อ,ร้องไห้กันทั้งบ้าน) ซึ่งจะใช้ชื่อว่า"อภินิหารรูป     ถ่าย หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอน 5...
                                                                 ....ด้วยความเคารพเป็นอย่างสูง....
                                                                         ...."คนเมืองกาญฯ”...
 


 
         
หัวข้อ: Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: karyud ที่ กรกฎาคม 30, 2011, 12:34:27 pm


     จะรออ่านตอน 5 ครับ
หัวข้อ: Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: anon ที่ กรกฎาคม 30, 2011, 01:28:37 pm
....สาธุ จะรออ่านตอนต่อไปนะครับ เรื่องอภินิหารของหลวงพ่อกวย ของเรา
บางเรื่องฟังดูแล้วเหมือนกับนิยาย ถ้าไม่ได้เจอกับตัวเองจะไม่มีทางเชื่อได้เลย
แต่หากได้ประสบกับตัวเองสักครั้ง สองครั้ง แล้วจะรู้ถึงคำว่า
" เคารพบูชาอย่างหมดหัวใจ " เป็นอย่างไร    :)
หัวข้อ: Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ กรกฎาคม 30, 2011, 05:07:14 pm
จะรออ่านเรื่อยๆครับพี่ ;) ;)
หัวข้อ: Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: warmar ที่ กรกฎาคม 31, 2011, 05:40:06 am


                        ขอบคุณคับ......ได้อ่านแล้ว ยิ่งทำให้  รัก และ ศรัทธา หลวงพ่อ มากขึ้นทุกวันคับ........... ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: chatchawan48 ที่ สิงหาคม 01, 2011, 11:13:22 am
หลวงปู่กวยรัก เป็นห่วงลูกศิษย์จริงๆ สาธุ
หัวข้อ: Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 06, 2011, 11:31:55 am
"หลวงพ่อ กวย ชุตินฺธโร" พระอริยะสงฆ์แห่งแดนคนจริง

ด้วยจิตอันบริสุทธิ์ในโลกแห่งจักรวาลนี้ ย่อมมีโลกที่มีอยู่อีก จำนวนนับหมื่นโลกธาตุกับทั้งแสนจักรพิภพ พวกเราทั้งหลายนี้จะนับเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้งสี่ ก็ยังมิได้เพียงเศษเสี้ยวของละอองธุลีของส่วนหนึ่งแห่งจักรวาล ประมาณไปไม่ได้ ที่ๆมีสิ่งมีชีวิตเหมือนอย่างเรานั้น ก็เช่นเดียวกัน ยากนักที่จะอุปมาได้ทั่วถึง แต่ในอนันตจักรวาลนี้ มีอยู่ที่ๆเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถ ที่จะมี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาได้ นั้นก็คือ ที่ตรงนี้ที่เรียกที่ว่า "ชมพูทวีป" บางยุคบางสมัยก็ว่างจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนิ่นนานยาวไกลจนวังเวง แต่พวกเราทุกคน ก็ยังได้มาเกิดทันบนแผ่นดินในโลกใบเดียวกันกับที่ ๆ เคยมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ และพวกเราทุก ๆ วันนี้ ก็ยังได้มีโอกาสได้เกิดมาทันในยุคสมัยที่ยังมีบวร "พระพุทธศาสนา" ให้เราได้น้อมนำมาปฏิบัติ ได้รู้จัก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ น้อมนำมาบูชา และพวกเราทุก ๆ คนนี้ ก็ยังโชคดีเหลือเกินที่ได้มี "พระพุทธศาสนา" เป็นศาสนาที่พวกเราได้นับถือเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ และได้อยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็น เมืองพุทธ การได้ เกิดมาเป็นคนนั้นเป็นของยากมากเหลือเกิน พวกเรานั้นเองก็อยู่บนโลกใบนี้กันได้อย่างมากก็ไม่เกินหมื่นกว่าวันกันหรอกหนา ตายไปแล้วก็ไม่อาจที่จะรู้ได้เลยว่า จะได้กลับมายืนที่ตรงนี้ได้อีกหรือเปล่า เพราะฉะนั้น จงอย่าทำวันเวลานี้ที่เหลืออยู่น้อยนิด ให้ไม่มีคุณค่า ไม่มีประโยชน์เลยนะ เรานี้เป็นลูก "หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร" จะกี่ภพกี่ชาติ ก็จะขอเกิดเป็นลูกของพ่อตลอดไป จะขอทำแต่ความดีถวาย พ่อของพวกเราทุก ๆ วัน อย่างน้อยเรื่องอะไรก็ได้ สักหนึ่งเรื่อง ถวายท่าน กตัญญูกตเวทิตา ต่อท่าน ให้สมดังกับที่พ่อไม่เคยทอดทิ้งพวกเรา "พา มา นา อุ อะ กะ สะ นัน ทู" หลวงพ่อให้ไว้ ภาวนาให้ขึ้นใจเทิดหนา หมั่นทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้เบิกบาน มิตกอบายภูมิแล สาธุ สาธุ สาธุ

"ความเดิมต่อจากตอนที่แล้ว"

"ที่มาของฉายา"

ครั้งหนึ่ง เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยตอนที่ข้าพเจ้านั้นได้ อุปสมบทใหม่ ๆ ได้เพียงแค่ 1 เดือน พอดีข้าพเจ้าพึ่งจะนึกขึ้นมาได้ ก็เลยนำมาเล่าให้กับพวกพี่ ๆ น้อง ๆ นั้นได้อ่านฟังกัน เรื่องมันก็มีอยู่ว่า ตอนที่ข้าพเจ้านั้นได้บวชมาใหม่ ๆ ข้าพเจ้าก็ยังติดนิสัย ฆราวาสอยู่มาก กล่าวคือ ข้าพเจ้านั้นมีนิสัยอยู่อย่างหนึ่งว่า ไม่ค่อยจะยอมคนสักเท่าใดนักและเมื่อตอนที่บวชอยู่นั้น ก็มีพระที่บวชก่อนข้าพเจ้าอยู่องค์หนึ่ง ที่รู้สึกว่าไม่ชอบหน้าข้าพเจ้าเท่าไรนักแกถือว่าแกบวชมาก่อน ก็เลย อาวุโสภันเตฯ คือส่วนตัวของข้าพเจ้าจริงๆแล้ว ก็เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ ใครมาดีก็ดีไป ใครมาร้ายก็แล้วแต่สถานการณ์ แต่เมื่อข้าพเจ้าบวชแล้ว ข้าพเจ้าก็คิดว่า อายุทางโลกของเรานี้ก็คือไม่มีแล้ว จะนับกันใหม่อีกทีก็ตอน อุปัชฌาย์สวมอังสะให้ก็เริ่มนับกันตอนนั้นความมีสัมมาคารวะนั้น ข้าพเจ้านั้นถือมาก ในตอนที่เป็นฆารวาสนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยที่จะปีนเกลียวผู้ใหญ่เลยสักครั้ง เพราะครอบครัวของข้าพเจ้าปลูกฝังมาเช่นนี้

ที่นี้เรื่องมันก็มีอยู่ว่า พระองค์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ท่านเป็นพระจำพวกพระเคร่ง (เคร่งเครียดนะ) คือว่าองค์ไหนไม่เคร่งตาม องค์นั้นก็จะแลดูไม่เข้มขลัง ประมาณนั้น เอ่อ!!!เอาซิ ให้มันได้อย่างนั้น ความจริงข้าพเจ้าก็ไม่อยากยุ่งกับท่านสักเท่าไหร่หรอก แต่พระองค์นั้นท่านมีนิสัย ค่อนข้าง จู้จี้ขี้บ่นมาก จะว่าท่านนั้นก็จะไม่ชอบอยู่ว่างก็ว่าใช่ (ปากนะ) แต่ตัวนะไม่ค่อยทำหรอก นึกถึงดาวตลกที่ชื่อ"ปลาคร๊าฟ" กันได้ไหมพี่ ๆ น้อง ๆ อื้ม!!!นั้นล่ะท่าน(หลวงพี่เขา) ท่านนั้นก็จะคอยสั่ง โน้น!สั่งนี่!พระลูกวัดไปทั่ว แต่ตัวท่านเองนะไม่ใช่ ท่านเจ้าอาวาสหรอกนะ แต่ถือว่าตัวเอง อาวุโสภันเตฯ ขนาดโยมเข้ามายังคิดว่า โอ้!!!นี่ต้องเป็นท่านอธิการณ์แน่เลย ก็คิดดูกันเอาเอง นี่ล่ะ!!!จึงเป็นที่มาของคำว่า"หลวงพี่ฮิตเลอร์" ที่สุดของที่สูด(อ่านว่าสูดนะ)เลย เพราะขนาดพัดลมเห็นท่านยังส่ายหน้าเลย

"หลวงพี่ฮิตเลอร์"

ดังที่ข้าพเจ้าได้เคยกล่าวไว้แต่ตอนต้นว่า ข้าพเจ้านี้ไม่ค่อย ไปสุงสิงกับใครมากนัก แต่เวลามีงานส่วนรวม ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว เขาทำข้าพเจ้าก็ทำ แต่บางครั้งตรงนี้ ข้าพเจ้าก็อยู่แต่ในกุฏิ บางครั้ง ถ้าไม่มีใครมาตาม หรือไม่เห็นจริง ๆ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ไปช่วยเขา ก็มีบ้าง นี้จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ "หลวงพี่ฮิตเลอร์" เกิดความไม่สบายใจ กลัวว่าข้าพเจ้าจะสุขภาพไม่แข็งแรง เพราะไม่ได้ออกกำลังกายแบบท่าน(ข้าพเจ้าคิดแบบแง่บวกนะ) น่าจะเป็นแบบนั้น ที่นี้เวลาท่านเจอข้าพเจ้าก็เลยมักจะเหน็บแนมข้าพเจ้าอยู่บ่อยๆ ตอนหลังๆข้าพเจ้าก็คิดว่า ข้าพเจ้าคงนิ่งมากไปหน่อย ที่นี้เจอหนักเลยแต่ ข้าพเจ้าก็ได้แต่ยิ้มเฉย โตๆกันแล้วนี่ จะว่าไงได้ล่ะ!!! ตอนหลังท่านชักได้ใจใหญ่ ก็ให้เด็กวัดมาตามไปนวดให้บ้าง (เพราะข้าพเจ้าพอนวดได้) ถึงข้าพเจ้าจะไม่ใช่หมอนวด แต่ข้าพเจ้าก็พอจะรู้ว่า ถ้าเราชอบหรืออยากให้คนอื่นนวดยังไง คนอื่น ๆ ก็ต้องชอบเหมือน ๆ กัน ก็เลยนวดในแบบที่ตัวเองชอบให้คนอื่นไป เรื่องของเรื่อง ครั้งแรกมันมาจาก ได้เคยไปสงเคราะห์หลวงตาอยู่องค์หนึ่ง ก็เห็นว่าท่านชราภาพมากแล้ว บ่นว่าปวดหลังปวดเอว ก็เลยไปสงเคราะห์ท่าน ก็เลยดังใหญ่ แต่ตอนหลัง ๆ มันไม่ใช่อย่างนั้นซะแล้วซิ (องค์อื่นนะ) คนถูกนวดนะสบาย แอ้คนนวดซิกว่าจะจบคอร์ดเล่นเอาเหงื่อท่วมตัวเหมือนกัน แต่ในทางกลับกัน เวลาตัวเองเป็นบ้าง หาสักคนมานวดให้กลับหาไม่ได้เลย เอ่อ!!!(ถอนหายใจยาวๆ) ดังนั้นข้าพเจ้าก็เลยมักจะโดนท่าน"หลวงพี่ฮิตเลอร์" นึกยังไงไม่ทราบให้เด็กวัดมาตามบอกว่านิมนต์ให้ไปสงเคราะห์นวดให้สักหน่อย ท่านไปนวดก็ไปนวดให้ อาวุโสภันเตฯใช้นี่นะ ก็ไป เอ่อ!!!แต่ตอนหลัง ๆ มันไม่ใช่ซะแล้วซิ โอ้โห้!!!เล่นมาตามกันทุกวัน เลยนวดครั้งละเป็นชั่วโมง ๆ ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี ที่นี้พอท่านให้เด็กมาตามอีก ข้าพเจ้าก็พิจารณาดูแล้วก็เลยไม่ไป สรุปว่าก็เลยเป็นเหตุที่ทำให้ท่าน "หลวงพี่ฮิตเลอร์" ท่านเกิดความไม่พอใจในตัวของข้าพเจ้าเท่าใดนัก เอ้า!!!ก็ข้าพเจ้าพิจารณาดูแล้วนี่ว่าตรงนี้มันไม่สมเหตุสมผล ก็เลยไม่ไปสงเคราะห์  จะโกรธก็โกรธไป ก็เรื่องของท่านเถอะนะ อ้อ!!!ลืมบอกไปอย่างหนึ่งท่าน "หลวงพี่ฮิตเลอร์" นี้ท่านมีดีกรีเป็นพระครูปลัดด้วยนะ แต่เอ้!!!เป็นพระครูยังไงบางทีก็สอน (ตรงนี้ไม่พูดดีกว่า) แต่ข้าพเจ้าก็คิดว่า คนเรานั้นไม่ได้วัดกันที่ตรงบวชก่อนบวชหลัง เรื่องของความตั้งใจ จะเอา วันเดือน ปี มาวัดกันข้าพเจ้าคิดว่าวัดกันไม่ได้ แต่ที่เห็นบางส่วนหนึ่งก็ยังมี วัดไม่กวาด บาตรไม่โปรด โบสถ์ไม่ลง เอาหน้า ไม่เอางาน ประมาณนั้น สารพัด ฯลฯ เมื่อให้เด็กวัดมาตามแล้วข้าพเจ้ากลับไม่ยอมไป ก็เลยเป็นเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ข้าพเจ้ามักจะโดนท่าน"หลวงพี่ฮิตเลอร์"ประมาณจะฉีกหน้าอยู่บ่อยๆ อย่างนี้ เป็นต้น

"คำบัญชาจากท่านเจ้าอาวาส"

จนมีอยู่วันหนึ่ง ตอนนั้นทางขึ้นศาลาวัดของข้าพเจ้า นั้นมันเป็นปูนซีเมนต์แบบที่เขาเทพื้นกัน ที่นี้เวลาฝนมันตกต้นไม้จำพวกตะใคร่มันก็เกาะกันเต็มไปหมดแลดูเหมือนประหนึ่งสนามฟุตบอลย่อมๆ มันก็มองดูสวยดีหรอกนะข้าพเจ้าว่า แต่พิษสงของมันซิดันเยอะได้หน่อยเล่นเอา โยม อุบาสก อุบาสิกา ทายกกา ทายิกา ล้นล้มหัวแตกหัวปูด หัวโน ไปหลายราย หนักๆเข้า บาตร งี้กระเด็นเลยก็มี ไม่ไหวลานมันกว้างด้วย ก็เลยมีบัญชาลงมาจากท่านเจ้าอาวาส ว่าให้จัดการมันออก เสียก่อน ที่จะมีคนตาย (โอ้โฮ้!!!ร้ายแรงจริงๆ) พระในวัดก็เลยช่วยกันใช้แปรงเหล็กขัดกัน ก็ได้ความว่าลูกศิษย์วัดเขาได้ไปยืม เครื่องพ้นน้ำจากร้านล้างรถมาได้เครื่องหนึ่ง เครื่องพ่นน้ำนี้พ่นน้ำออกมาได้แรงมาก ชนิดที่เรียกว่าถ้าโดนเนื้อก็แสบประร้อนเหมือนกัน ใหม่ ๆ ก็สนุกกันอยู่หรอกแต่พอทำกันไปได้ครึ่งวัน ได้แค่ครึ่งเดียว โซเลย !!!ทุกๆคนก็ต่างเหนื่อยและร้อนมาก ข้าพเจ้าก็ทำจนเหงื่อไหลท่วมตัวด้วยเหมือนกัน แต่ขณะที่ข้าพเจ้านั้นกำลังเข็นใบไม้ไปทิ้งที่หลังวัดอยู่นั้นท่าน "หลวงพี่ฮิตเลอร์" ท่านก็กำลังหาฆ้อนเพื่อที่จะไปตีตะปูอะไรสักอย่าง ท่านก็เลยใช้ให้ข้าพเจ้าไปหามาให้ ข้าพเจ้าก็ยังทำงานของข้าพเจ้าค้างคาอยู่ คือต้องขนใบไม้ไปทิ้งหลังวัด ก็นึกหงุดหงิดในใจนิดหน่อย (เพิ่งบวชใหม่ ๆ จิตยังไม่นิ่ง) ก็คิดไปว่า อยู่บ้าน พี่ป้า น้าอา พ่อแม่ ยังไม่ใช้ขนาดนี้เลย แต่ก็วางงานของตัวเองไปหาให้ท่าน แต่ปรากฏว่า หายังไงก็หาไม่เจอ ของ ๆ วัดแท้จะหาคนเก็บก็ไม่ได้ สรุปว่าเดินหาทั่ววัดกว่าครึ่งชั่วโมงคนเดียวก็ยังไม่ได้แล้ววัดของข้าพเจ้ามันเล็กซะที่ไหนล่ะ วัดหลวงพ่อเชียวนะ โอ้โฮ้!!!เล่นเอาข้าพเจ้าซะจิตตกเลย ก็เลยเดินมาบอกท่าน"หลวงพี่ฮิตเลอร์"รอบแรก ท่านทำเสียงแข็งใส่ บอกว่าให้ไปหามาใหม่ รอบสองแรงกว่าเดิม ก็ไป ไปก็ไป แต่พอรอบสามเท่านั้น ล่ะ ท่านตะคอกใส่ข้าพเจ้าเลย แทนที่จะพูดกันดี ๆ ข้าพเจ้างี้วางของลงกับพื้น เดินกลับกุฏิเลยพอไปถึงกุฏิ ปิดประตูดัง ปัง!!!!(ไม่ควรทำตาม มันไม่ดี พอเข้าไปในห้องได้ บังเอิญตามันดีอีก เหลือบมองไปเห็น"ฆ้อน"ที่โยมพ่อของข้าพเจ้ามาวางลืมทิ้งไว้ ที่ข้างตู้หนังสือ (ฆ้อนของที่บ้านไม่ใช่ของวัด) เท่านั้นแหละครับพี่น้องเอ้ย!!!!

"โดนผีเข้าสิง"

พอข้าพเจ้าเห็นฆ้อนเท่านั้นล่ะ!!!ข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นทันที แล้วเดินตรงไปที่ฆ้อนนั้น พร้อมกับก้มลงหยิบตะปูตัวเล็กประมาณ 1 กำมือ ไม่ต่ำกว่า 50 ตัว รู้ไหมพี่ ๆ น้อง ๆ ครับข้าพเจ้าทำยังไง พอข้าพเจ้าเปิดประตูกุฏิได้เท่านั้นล่ะ ลงได้ไม่ถึงสามก้าว ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ "เขวี้ยง"!!!!!ฆ้อนนั้นกระเด็นออกไปไกลประมาณ 4 สนามบาสเกตบอลพร้อมทั้งตะโกนออกไปว่า"หลวงพี่ครับนี่ ฆ้อนมาแล้วครับ!!!!" เสียงตกไปโดนถังขยะวัดดังโครม!!!!เท่านั้นยังไม่พอ ข้าพเจ้าก็ยังเดินจ้ำอ้าวไม่ยังฆ้อนนั้นอีก พร้อมทั้งทำแบบเดิมอีกทีนี้ ฆ้อน ตกถึงหน้าศาลาเลยเล่นเอาทุกคนงี้ ตะลึกเลย ยัง ยังไม่จบ ทันใดนั้นเองข้าพเจ้าก็ได้เดินตรงดิ่งไปยังที่ท่าน "หลวงพี่ฮิตเลอร์" นั้นยืนอยู่พอไปถึงตรงหน้าของท่าน  ข้าพเจ้าก็ตะโกนออกมาว่า เอ้า!!!นี่ครับตะปูมาแล้วครับ แล้วข้าพเจ้าก็อันตรธานหว่านตะปูนั้น(มันน่าจะเรียกว่าปามากกว่า) ลงไปตรงหน้าของท่าน "หลวงพี่ฮิตเลอร์" เสร็จแล้วข้าพเจ้าก็เดินกลับขึ้นบนกุฏิ ปิดประตูดัง !!!ปัง!!!!เฉยเลย ใช้ระยะเวลาไปประมาณน่าจะไม่เกิน 2-3 นาที ก็มานั่งสูดลมหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ทีนี้ สติ เริ่มมาเท่านั้นใจของข้าพเจ้าหล่นลงไปอยู่ที่กระตุ่ม นี่ฉันทำอะไรลงไปว่ะ!!!ลืมตัวไปว่าเป็นพระอยู่ ตายห่าล่ะ!!!งานนี้สงสัยต้องโดนจับสึกกลางพรรษาแน่เลยเรา (ยอมรับว่ารู้สึกผิดและเสียใจมาก)

"หลวงพ่อช่วยลูกด้วย"

พอตั้งสติได้แล้ว ข้าพเจ้าก็รีบหันไปมองรูป "หลวงพ่อ" บนหิ้งเลย ข้าพเจ้าก็ได้ยกมือ สาธุ บอกหลวงพ่อไปว่า "หลวงพ่อครับลูกผิดไปแล้ว" "ลูกไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้เลย "หลวงพ่อครับ"หลวงพ่อต้องช่วยลูกด้วยนะครับ""ลูกสำนึกผิดแล้ว"หลวงพ่อโปรดช่วยลูกด้วยนะครับ"(พร่ำเพ้อ ทำอะไรไม่ถูก) ก็เลยตั้งสติขึ้นอีกครั้ง รีบจุด ธูป 16 ดอก ตั้งนะโม 3 จบ ตามด้วย ตะมังธัง ปะกาเสนโตฯ ระลึกถึงบารมีของ "หลวงพ่อ กวย ชุตินฺธโร" เป็นที่สุด แล้วบอกท่านว่า ขอให้ความผิดในครั้งนี้ได้ "เป็นครู" ด้วยเถิด ถ้า "หลวงพ่อ" ไม่ช่วยลูกคราวนี้ ลูกต้องแย่แน่ ๆ สาธุ  เสร็จแล้วข้าพเจ้าจึงตั้ง สัจจะกิริยาอธิษฐานแล้วเปล่ง วาจา ต่อหน้า พระแก้วมรกต(25 พุทธ)ที่เป็นประประธาน หิ้ง ต่อหน้า"หลวงพ่อ"ว่าข้าพเจ้าขอระลึกถึง คุณงามความดีทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำมา ทั้งการให้ทาน รักษาศีล สวดมนต์ไหว้พระ เจริญพระกรรมภาวนาแผ่เมตตา และปล่อยชีวิตสัตว์ บุญบารมีทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคย บำเพ็ญมาแล้ว ในอดีตชาติก็ดี ในปัจจุบันชาติก็ดี ในอนาคตกาลเบื้องหน้าก็ดี ขอจงมาเป็นภาวะปัจจัย เป็นวิสัยตามส่ง ให้ข้าพเจ้านั้นจงรอดพ้นจากวิบากกรรมในครั้งนี้ได้ด้วยเทอญ ข้าพเจ้านั้นยังเป็นปุถุชนอยู่ ย่อมยังมี ผิดชอบชั่วดีอยู่ ข้าพเจ้านั้นสำนึกผิดแล้วขอบารมี "หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร" โปรดช่วยเหลือลูกด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ

"บารมีหลวงพ่อกำบังฆ้อนบิน"

และพอสิ้นคำอธิฐาน ข้าพเจ้าก็ได้เดินหน้าสลดๆ ลงไปที่ศาลา แต่เอ้!!! ไง๋!!!! ไม่เห็นมีใครผิดปรกติอะไรเลยนะ ข้าพเจ้ารู้สึกเอ๊ะใจ!!!พระทุก ๆ องค์ รวมถึงท่าน "หลวงพี่ฮิตเลอร์" กลับทำงานกันแบบปรกติ เหมือนไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้นเลยข้าพเจ้ารู้สึกตกใจมากเฮ้ย!!!!อะไร!!!!ก็เมื่อตะกี้นี่เราระเบิดอารมณ์ไปขนาดนั้น แล้วยังไม่มีใครสนใจเราอีกหรือนี่

และแล้วความอัศจรรย์ ก็ได้บังเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า!!!แทบช็อค!!!ข้าพเจ้าแทบไม่เชื่อสายตาและหูของตัวเองเลยว่า เมื่อข้าพเจ้านั้นเดินไปถึงท่าน "หลวงพี่ฮิตเลอร์" แล้วก้มลงกราบขอขมาท่านสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้านั้นประหลาดใจมากก็คือท่าน "หลวงพี่ฮิตเลอร์" กับพระประมาณ 10 กว่าองค์ทำหน้ามึน ๆ งง ๆ ชนิดที่ว่า "อะไรของมัน" "อยู่ดี ๆ มากราบเราทำไมว่ะ" ข้าพเจ้าก็กล่าวขึ้นมาว่า "หลวงพี่ครับ ผมผิดไปแล้ว" โปรดยกโทษอโหสิกรรมให้ผมด้วยเทิดนะครับ ทันใดนั้นเองท่าน "หลวงพี่ฮิตเลอร์" ซึ่งทำหน้างง ๆ ท่านก็ได้พูดสวน ข้าพเจ้าออกมาว่า "ขอโทษเรื่องอะไร" งง?งง? งง?ข้าพเจ้าก็เลยบอกกับท่าน "หลวงพี่ฮิตเลอร์ไปว่าก็เมื่อตะกี้ผมเขวี้ยงฆ้อนใส่ หลวงพี่ แล้วก็ยังปาตะปูใส่หน้า หลวงพี่อีก ผมต้องกราบขอขมาหลวงพี่ด้วยนะครับผมผิดไปแล้วครับ ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ พอพูดจบท่าน "หลวงพี่ฮิตเลอร์" ก็ทำหน้ายิ่ง งง ใหญ่แถมยังพูดสวนข้าพเจ้าออกมาอีกว่า "นี่ท่านมาพูดเพ้อเจ้ออะไรของท่าน" ผมทำงานของผมอยู่ตั้งนานนมแล้ว ผมยังไม่เห็นคุณมาตรงนี้เลย แล้วท่านเดินไปไหนมาล่ะ เห็นแว๊บๆ !!!ข้าพเจ้าก็เลยรีบพูดสวนออกไปว่า ก็เมื่อตะกี้นี้ ข้าพเจ้าจึงหันไปถามพระองค์อื่น ๆ ก็ได้คำตอบเดียวกัน เล่นเอาซะ ข้าพเจ้า งง เป็น ไก่ ตาแตก !!โอ้ยนี่ มันเรื่องอะไรกันเนี้ย ข้าพเจ้าถึงกับ อุทานขึ้นแต่ก็ยังไม่หายสงสัย พอดีนึกขึ้นมาได้ว่า ข้าพเจ้าได้โปรยตะปู ไปบริเวณนี้ เมื่อตะกี้นี้เอง เป็นกำๆ ยังไงๆ มันก็ต้องมีเหลืออยู่บ้างล่ะหน่า แต่ข้าพเจ้าพบกับความตกตะลึง ครั้นเมื่อข้าพเจ้ามองไปยังบริเวณที่ได้ปาตะปูไว้ ก็กลับไม่พบเจอ แม้แต่เงาของตะปูเลยสักดอก  โอ้โฮ้!!!เล่นเอาข้าพเจ้านั้น ขนลุกไปทั้งตัวเลย (ระลึกถึงหลวงพ่อทันทีทันใดเลย) ตอนที่เขวี้ยงฆ้อนออกไป ก็นึกเอ๊ะ!!ใจอยู่เหมือนกัน คล้าย ๆ ว่าเหมือนได้ยินเสียง "ฟ้าผ่า" ชะลอยว่า "ประดุจล่องลอยอยู่ในความฝัน" นี่ต้องเป็นเพราะบารมีของ "หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร" ของเราแน่ ๆ ข้าพเจ้าเชื่อจนหมดหัวใจ ต้องเป็นเพราะ หลวงพ่อ ต้องการที่จะสั่งสอนข้าพเจ้า ให้รู้จักผิดชอบชั่วดี และท่านก็เล็งเห็นว่า "ลูกของท่านคนนี้นั้นก้าวพลาดอยู่" ท่านก็เลยมาสงเคราะห์ แสดงอภินิหาร "กำบังฆ้อนบินและกำบังตัวข้าพเจ้าไว้" เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์บานปลาย ข้าพเจ้านั้น ซาบซึ้งใจมากเหลือเกิน รู้สึกว่า"พ่อ" หลวงพ่อของพวกเรา ที่เรารักและนับถือบูชาท่านอยู่ตลอดเวลา ท่านก็ไม่เคยได้ทอดทิ้งเราเลยสักนาที ครั้น "ลูก" ทำผิดท่านก็เห็นว่าให้ผิดนี้จงเป็น "ครู" มาช่วยสงเคราะห์ "ลูก" คนนี้ น้ำตาของข้าพเจ้านั้นไหลเลย สุดซึ้งใจจนเกินจะพรรณนา ตั้งแต่วันนั้นมา ข้าพเจ้าจึงให้สัจจะกับ "หลวงพ่อ" ว่าลูกคนนี้จะไม่มีวันทำอย่างนี้อีกเลย จะใช้สติในการดำเนินชีวิต ให้สมกับที่"หลวงพ่อ"นั้นได้เมตตา ให้โอกาสกับลูก ลูกอยากบอก"หลวงพ่อ"ว่า"หลวงพ่อครับ ลูกคนนี้รักหลวงพ่อเหลือเกิน" ....สาธุ สาธุ สาธุ ..."หลวงพ่อ กวย ชุตินฺธโร"

ขอขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านแล้วข้าพเจ้าจะนำประสบการณ์มามาถ่ายทอดให้พี่ๆน้องๆได้อ่านฟังกันใหม่ตอนต่อไป(เจ้าพ่อเสือแยกเขี้ยว,เทวดามานมัสการหลวงพ่อ,ร้องไห้กันทั้งบ้าน) ซึ่งจะใช้ชื่อว่า"อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อ กวย ชุตินฺธโร ตอน 5
หัวข้อ: Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: SODA 405 ที่ ธันวาคม 06, 2011, 12:20:52 pm
  ....ขอบคุณที่นำเรื่องราวมาบอกเล่าครับ! :D (http://www.peugeot4you.com/public/style_emoticons/default/thanks.gif)