กระดานสนทนาเว็บไซต์ ศิษย์หลวงพ่อกวย

เรื่องเล่าประสบการณ์ => เรื่องเล่าประสบการณ์ เรื่องเล่า เรื่องราวปาฎิหาริย์เกี่ยวกับหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม => ข้อความที่เริ่มโดย: chusak ที่ สิงหาคม 26, 2011, 03:46:27 pm

หัวข้อ: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: chusak ที่ สิงหาคม 26, 2011, 03:46:27 pm
                                      ..."หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร"พระอริยสงฆ์แห่งแดนคนจริง....
                ...(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านในตอนนี้ เนื่องด้วยเป็นปัจัตตัง ข้อความส่วนบุคคล ด้วยความเคารพ)...
           ...เดิมทีข้าพเจ้านั้น มีชื่อว่า นาย อนันตชัย รัตนสมโภช ชาตะ เมื่อ วัน พุธ ที่ 23 กันยายน ปี พุทธศักราช 2496 ปีมะเส็ง
ที่บ้านหัวเด่น อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท มรณะ เมื่อวัน พฤหัสบดี ที่29 สิงหาคม พุทธศักราช 2506 ปีเถาะ ข้าพเจ้ามีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 10 คน ข้าพเจ้าเป็นคนที่ 7 ด้วยความที่ ข้าพเจ้าในชาตินั้น ด้วยความเป็นผู้ที่ชอบเล่นวิชาคุณไสยเวทมนต์กระทำวิชาฝ่ายดำ ข้าพเจ้าจึงมักกระทำเสน่ห์เล่กล ใส่หญิงสาวที่ข้าพเจ้าหมายปอง ด้วยอำนาจกฏแห่งกรรมนี้จึงส่งผลมายังชาติปัจจุบัน จึงมิเคยสมหวังในความรักไร้คู่เดียวดาย บาปกรรมยิ่งหนัก แต่ด้วยความที่ว่า"จิต"ก่อนตายนั้นได้โลกีย์วิสัยฌาณ จึงได้นอบน้อมระลึกถึงคุณแห่งพระศรีรัตนตรัย และกล่าวสัจจะวาจา ว่าด้วยศีล 5 อันบริสุทธิ์ แม้เพียงขณะคู่หนึ่ง ดวงจิตนั้นจึงได้ไปหยั่งสถิตเดิม ล่องลอยเควงขว้าง จนได้มาพบเจอหลวงพ่อกระทำความเพียรวิปัสนานิโรธญาณ จึงขอบารมีท่าน อนุโมทนาบุญ ท่านกล่าวว่า พระรัตนตรัยนั้นเป็นมงคลอันสูงสุด พร้อมด้วยพรหมวิหารทั้ง 4 ประการ ...สิ่งที่ท่านกระทำคือกิริยาแห่งขันธ์ ที่ได้มาสงเคราะห์ต่อโลก ดวงจิตหาได้อยู่ในโลกใบนี้ไม่ ...กุศกรรมแลอกุศลกรรมเป็นด้วยเสมอกัน ไปเทวโลกก็หามิได้ ดิ่งลงสู่ อบายก็หามิได้ จึงต้องกลับมาสร้างบารมี ก่อน ชดใช้บุพกรรม 36 ปีกับอีก3 เดือน เมื่อพ้นแล้วจึงได้รับอนิสงห์แห่ง โลกีย์ฌาณ...สุดแล้วแต่ปัจจุบันจักนำไป....
                                         ..."เทวดามานมัสการหลวงพ่อ" ...
         ...เรื่องนี้ก็มีอยู่ว่า ตอนที่ข้าพเจ้าบวชเรียนอยู่ ตอนนั้นก้เห็นจะเป็นช่วงออกพรรษา เพื่อที่จะรอรับกฐินกัน ตอนนั้นข้าพเจ้านี้ ก็เริ่มจะเป็นพระแท้กับเขาบ้างแล้ว(ควบคุมสติสตางค์ได้บ้างแล้ว)อาจจะเป็นเพราะอานิสงห์ ในการที่ข้าพเจ้านั้น ได้หมั่นเจริญวิปัสนากรรมฐานหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ เพราะข้าพเจ้ารู้สึกว่าหัวใจมันนิ่งๆ อย่างบอกไม่ถูก ลมพัดมาก้เย้นสบายใจมาก อุปมาเหมือนดังคนที่นั่งอยู่กลางใต้ต้นไม้กลางคันนา มีลมพัดมาเย็นสบายๆ สายลมพัดมาแผ่วๆไม่มีภูเขาไม่มีอะไรบังตา ไม่ยึดติดไม่รีบร้อนอะไรประมาณนั้นตอนนั้นข้าพเจ้าใช้ชีวิตภายใต้ผ้ากาสวาพัสรู้สึกสงบใจดี ที่นีมันมีอยู่วันหนึ่ง เรื่องมันก็เกิดจนได้ กล่าวคือว่าก็มีประเดนของชีวิตเกิดจนได้ นั้นก็คือ วันนั้นเป็นวันพระแล้วคุณ โยมๆ เขามาทำบุญกันที่วัดกัน คือตามปรกติ ที่วัดที่ข้าพเจ้าบวชอยู่นั้น ถ้าเป็นวันพระแล้วจะไม่ต้องไปบิณฑบาตร เพราะคุณดยมๆเขาจะมาทำบุญกันที่วัดกันทีเดียวเลย แต่ก่อนเข้าพรรษาทางวัดเขาจะ(พวกกรรมการวัดนะ)ไปบอกบุญชาวบ้าน ว่าใครจะมาจองวันทำข้าวต้มถวายพระตอนเช้าให้พระก้มาจองกันแล้วแต่ศรัทธา เพราะถ้าวันใหน เป็นวันทำบุญที่วัดแล้ว กว่าพระจะได้ฉันข้าวกันจริงๆก็ปาเข้าไปเกือบ 9 โมงครึ่งเห็นจะได้ ก็เลยเป็นที่มาของประเพณี(หรือที่อื่นๆเขาก็ทำกันนะข้าพเจ้าไม่แน่ใจ) การให้คุณโยมๆเขามาจองวัน เพื่อที่จะทำข้าวต้มมาถวายพระให้ได้ฉันรองท้องในตอนเช้าๆกันประมาณ 7โมงที่ศาลาหลังเล็ก สงสัยกลัวพระจะเป็นลมก่อนสวดไม่ไหว ประมาณนั้น ซึ่งก็เป็นประเพณีหนึ่งของวัด ที่ ตำบลอำเภอบ่อพลอย อำเภอบ่อพลอยมีพลอยเม็ดใหญ่(ที่สุระพล สมบัติเจริญ เขาร้องน่ะ)เป็นตำนานไปนานแล้วน่าแต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าคิดว่าจะเปลี่ยนเป็น ตำบลบ่อนิล อำเภอบ่อนิล เสียมากกว่า นะตอนนี้ เอ่อ!!!เอาซิว่าไป  มาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่า ทีนี้ถ้าเป็นวันพระแล้วพวกพระๆทั้งหลายท่านก็จะรีบตื่นกันขึ้นมาแต่เช้า เพื่อที่จะรีบมาดูแลจัดแจงศาลาทำบุญกันแต่มืดเลย เรียกว่ากวาดถู กันให้เอี่ยมอ่องชนิดที่เรียกว่าพอแมลงวันมาเกาะยังยืนไม่ได้เลย โอ้โห้ โดยเฉพาะ ไหลวงพี่ ฮีตเลอร์"ด้วยนะ โอ้!!!บรรยายไม่ถูก (เคยเดินในตลาดนัดกันบ้างใหม มะกรูด มะนาว มะพร้าว ส้มโอ เงาะโรงเรียนครับๆ เรียกว่านัวเนีย)ทำกันไปเรื่อยพอสัก 7 โมงเช้าคุณโยมเขาก็จะมากันเอาข้าวต้มมาถวายพระ เรียกว่าโด๊ปกันก่อน อีกอย่างชาวบ้าวเขาจะถือว่าวันนั้นได้ทำบุญ 2 เด้ง กันก็เลยมีความสุขด้วยกันทั้ง2ฝ่ายข้าพเจ้าก็คิดว่าดีเหมือนกัน...แล้ววันนั้น พอดีมันเป็นวันพิเศษกว่าเดิมอีกหน่อย ไอที่ว่าพิเศษกว่าเดิมนั้นน่ะหมายความว่าอย่างไร ก็ได้ความมาว่าชาวบ้าน นั้นเรียกวันนี้กันว่า "วันรวย"ประมาณนั้น(ก็ไม่รู้ว่าวันรวยหรือวันซวยนะแล้วแต่คนจะเรียก) ชัดๆเลยก็คือ วันหวยออก และมันดันตรงกับวันพระพอดี พอดีข้าพเจ้ากำลังจะเดินผ่านเพื่อที่จะไปศาลาอยู่พอดี ก็ได้ยินเสียงคุณโยมๆเขาพูดกันว่า"เมื่อคืนนี้เขาไปขอเลขเด็ดที่ป่าช้ามา เขาว่าแม่นมาก ที่ต้นโพธิ์หลังเมรุวัดเรา" ฟังไปฟังมาก็ได้ขอสรุปว่า คนที่จะได้เลขเด็ดนั้น ประการแรก คือ  จะต้องไปคนเดียวแล้วจุดธุ 1 ดอก ปักไว้ที่โคนต้นโพธิ์อธิฐานบอกเจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขา ว่ามาขอโชคขอลาภ  ประการที่สอง เมื่อได้เลขมาแล้วห้ามพูดบอกใคร ให้บอกด้วยวิธีอื่น หรือเขียนวางไว้ ประการสุดท้าย คือ ตีฝันให้ออกแล้วจะโชคดี เมื่อข้าพเจ้าได้ยินมาเช่นนี้ ข้าพเจ้านึก เอ๊ะใจ!!! ในคำพูดของชาวบ้าน แต่ก็มีคำถามขึ้นมาในใจว่า อีตาพวกนี้แอบไปป่าช้ากันตอนใหนว่ะ เราก็ไปเกือบทุกวันไม่ยักจะเจอกันเลย!!!งงว่ะ!!!ด้วยความที่ข้าพเจ้านั้นก็ชอบไปเจริญอสุภกรรมฐาน เวลาว่างๆข้าพเจ้าจึงมักจะไปพิจารนาสังขารที่ป่าช้าอยู่เป้นประจำ ไปทั้ง กลางวัน กลางคืน แล้วแต่สะดวก บางครั้งก้ได้พบเจอศพบางศพที่สัปเหร่อแกเผาไม่หมดเหลือเนื้อติดกระดูก ส่งกลิ่นเน่าเหม็น(แตก็ไม่ถึงกับอุจาดตา)และถ้าวันใหนมีศพเผาตรงกับวันฝนตก พอสัปเหร่อเก็บกระดูกใส่ผอบเสร็จที่เหลือเขาก็ถวายวัดเลย คือเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้นวัดไป บางทีก็มีสุนัขมาแทะกินกันเฉยเลย ข้าพเจ้างี้รู้สึก สังเวชใจเหลือเกิน คนเราสุดม้ายก็ไม่มีใครหลีกหนีพ้นไปได้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ละแล้วพอถึงเวลาหวยออกเข้าจริงๆ เอ่อ!!!!!โอ้จ็อด!!! ชาวบ้านเขาก็ถูกหวยกันจริงๆ(งวดนั้นนะ) ก็เลยมีเสียงร่ำลือกันว่า "ต้นโพธิ์"ต้นนี้เจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์มาก...จะว่าบังเอิญหรือดวงก็ไม่รู้ แต่วันนั้นเขาถูกกัน ก็เลยเป็นที่มาของคนที่ใคร่ที่อยากจะรู้ความจิงว่า ที่"ต้นโพธิ์ใหญ่"นั้น มีเจ้าที่จริงหรือไม่จริงแท้ ประการใด...
               ...ต่อมาอีก 2-3 วันเวลานั้นเป็นเวลาบ่าย 2 โมงกว่าๆ ส่วนใหญ่ข้าพเจ้านั้นยามว่างถ้าไม่อยู่ในกุฏิก็ยังมีอีที่หนึ่งคือ ในป่าช้าหลังเมรุ เพราะบางทีอยู่ในกุฏิมากๆ อากาศมันไม่โปร่ง ก็เลยต้องออกมาข้างนอกบ้างที่ๆข้าพเจ้ามักจะไป เวลาหัดท่องบทสวดมนต์นั้นก็คือที่นั้น เพราะตอนกลางวันมันเงีบยดีลมพัดมาเย็ยๆสบายๆข้าพเจ้ารู้สึกว่าความจำมันดีเป็นพิเศษ และอีกอย่างไม่มีใครตามมาด้วย จะมีก็แต่พวกลูกน้องของข้าพเจ้า(สุนัขวัด)อยู่ 7-8 ตัว มันก็ไปนอนอยู่ตามต้นไม้ ตามเรื่องตามราวของมันไปวันนั้นขณะที่ข้าพเจ้าหัดท่องบทสวดมนต์อยู่นั้น ประมาณชั่งโมงกว่าๆก็นึกยังไงไม่รู้ อยู่ๆก็อยากนั่งสมาธิขึ้นมาเฉยเลย ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ได้วางหนังสือลงทันที แปลกเหมือนกันกำลังท่องหนังสืออยู่ดีๆ นึกอยากจะวางก็วางเลยแล้วหลับตาภาวนา พุทโธๆ เลยเหมือนกัน ข้าพเจ้าสงสัยว่ามันเกิดมาจาก เครื่องยนต์มันสปาคร์หรือเปล่าก็ไม่รู้ซินะ ข้าพเจ้า หมายถึง เวลาที่จิตมันจดจ่ออยู่กับบทสวดมนต์แล้วใจมันสงบ ขึ้นมา(ข้าพเจ้าสันนิฐานเอาเอง)ก็เลยไม่อยากถ้อยหลัง เลยภาวนาต่อเนื่องไปเลย เอาซิ!!!ภาวนาอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ข้าพเจ้าก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ตอนนี้ใจมันสงบมากสายลมพัดมา เสียงใบไม้ดังแผ่วๆ ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องราวของชาวบ้านว่า มันวุ่นวายจริงหนอๆ คนเรา ตอนนั้นบอกตรงๆว่ารู้สึกดีมาก(ระดับปุถุชนธรรดาๆนะ) ก็นึกดำริไปว่า เมื่อวานซืนนี้ได้ยินชาวบ้านเขาพูกันว่า ในป่าช้านี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ต้นโพธิ์ ข้าพเจ้านี้ก็ใครที่อยากจะรู้ อยากจะเห็น อยู่เหมือนกันว่า จะจริงแท้ ประการใด ....
                 ...ก็เห็นจะมีต้นไม้ใหญ่ที่สุดอยู่ต้นหนึ่ง(ต้นโพธิ์)เมื่อข้าพเจ้าคิดได้ดั่งนี้แล้วก็เลยไปนั่งพิจารนาดูอยู่ที่ใต้ต้นโพธิ์นั้น(มองดูน่ากลัวอยู่เหมือนกัน)ในสมัยดบารณพ่อแม่ครูบาร์อาจารย์ก็ได้เคยกล่าวไว้ว่ามีเทวดาอยู่จำพวดหนึ่งที่อาศัย อยู่ในที่ประมาณนี้ เอ๊ะ!!!แล้วหน้าตาท่านเทวดาจะเป็นเหมือนในลิเกหรือเปล่านะ ข้าพเจ้าก็นั่งพิจารนาอยู่นาน ก็ยิ่งฉงนใจยิ่งขึ้น ที่นี้ใจมันนึกยังไงไม่รู้ (ไม่ใช่อยากจะลองดี)ก็นึกอยากจะเห็นเทวดากับเขาบ้าง แต่ก็กังขาตัวเอง เพราะรู้ตัวดีว่า เรานี้ ก็เป็นผู้ที่มีคุณธรรมอะไร ทั้งยังได้เคยศึกษามาว่า เทวดานั้นเขาก็ไม่ใช่จะไหว้พระกันไปทุกองค์เสียด้วย เปล่าเลย อย่านึกว่าเป็นพระแล้วจะดีกว่าเขานะ โลกอีกโลกหนึ่งนั้นถ้าเขาจะเคารพใครสักคนหนึ่งนั้นอย่างน้อยๆ คนๆนั้นก้จะต้องมีคุณธรรมที่เสมอเขา(ขอย้ำตรงคำว่า"จะเคารพ"นะ) หรืองต้องสูงกว่าเขาเท่านั้น เขาถึงจะลงใจให้เสียด้วย ชะลอยว่าชาตินี้ เราคงจะไม่ได้โอกาสเห็นท่านเทวดาเสียแล้ว กระมัง!!!ข้าพเจ้าก็นึกถอนหายใจ และคิดว่าจะเดินกลับกุฏิ แต่ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ได้คิดขึ้นมาอีกได้ เราก็ลืมไปแย่งหนึ่งว่า ถึงตัวเรานี้จะไม่มีคุณธรรม แต่ถ้าเป็นบารมีของ "หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร"ของเรา(ของทุกๆคน)ล่ะก็ ท่านเทวดาจะต้องมาสงเคราะห์เราแน่เลย(ข้าพเจ้าคิดอย่างนี้จริงๆ)ข้าพเจ้าก็เลยหันหลังไปยกมืออภิวาทต่อหน้าต้นโพธิ์นั้นแล้ว กล่าววาจาตั้งจิตขึ้น นะโม 3 จบ แล้วกล่าวว่าขอบารมีหลวงพ่อให้ช่วยให้ได้มีโอกาสเห็นท่านเทวดาด้วยเทอญ (ขมุขมิบว่าไปเรื่อย)...เสร็จแล้วก็เดินกลับมาที่กุฏิ พอมาถึงกุฏิก็มานั่งอ่านหนังสือ จนรู้สึกง่วงนอน ก็เลยหยิบวิยุขึ้นมาฟังรายการ"ธรรมมะ"ได้ยินเสียงเป็นฆารวาสท่านหนึ่งกำลังบรรยาย"ธรรมมะ" อยู่ก็ตั้งใจฟังท่าน เห็นท่านใช้ชื่อสำนักว่า"ถิ่นกาขาว"ข้าพเจ้าได้ยินมานานแต่ไม่เคยเจอตัวท่านเลยเห็นเขาว่า ท่านเก่งเรื่องบรรยาย"ธรรมมะ"โดยเฉพาะ"อภิธรรม" ฟังดูแล้วก็ลึกซึ้งดีมาก แต่ภาษาของท่านมันจะยากไปสักหน่อย ใช้ศัพท์บาลีเยอะ ลำพังข้าพเจ้านั้นก็ฟังเข้าใจอยู่ แว่สงสารคนที่เรียนธรรมมะใหม่ๆ จะเข้ายากไปนิดหนึ่ง และท่านก็บรรยายไม่มีผิดเลยนะ ข้าพเจ้าเห็นเขาบอกเบอร์โทรศัพท์ไว้ แล้วมีคนโทรถามปัญหา พอดีข้าพเจ้าก็มีข้อสงสัยอยู่เหมือนกัน ก็เลยลองโทรไปถามดูบ้าง ว่าท่านจะให้ทัศนะอย่างไร พอโทรติดข้าพเจ้าก็สนทนากับท่านไปอย่างนี้ว่า "ฮัลโหล!!!สวัสดีครับ อาจารย์กรพผมอยากถามปัญหาสักข้อหนึ่งครับ(ท่านไม่รู้ว่าข้าพเจ้าเป็นพระ) ท่านตอบว่า เชิญถามได้เลย "คือผมไม่เข้าใจว่า ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นอนัตตา คือ ความว่าง ใช่ใหมครับ" ท่านก็ตอบว่าใช่"ข้าพเจ้าก็เลยถามต่อไปว่า แล้วอรูฌาณที่ว่า ว่าง คล้ายกัน กับ ธรรมที่เป็นอนันตตา นั้น มันแตกต่างกันอย่างไรครับ ท่านอาจารย์ ท่านก็บอกว่าตรงนี้สงสัยจะต้องร่ายกันยาว ชั่งโมงเดียวคงไม่พอ วันหลังจะมาบรรยายให้ฟังก็แล้วกัน ข้าพเจ้าก็รู้ว่าท่านก็ตอบได้ สรุปว่าทุกวันนี้ข้าพจเก็ยังไม่ได้คำตอยเลย(สงสัยท่านจะลืม) แต่มาวันหลัง มาศึกษาในหนังสือของพระเดชพระคุณ หลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร(ฤาษีลิงดำ)ท่านได้กล่าวไว้ว่า อนันตตา เป็นเรื่องของอารมณ์ ส่วน อรูปฌาณ นั้นเป็นเรื่องของสมาธิ เป็นคนละหมวดกัน...
                  ...เอ้า!!!มาเข้าเรื่องกันต่อ ก็วันนั้น หลังจากที่ข้าพเจ้านั้นได้ปฏิบัติภาระกิจต่างๆจนเย็น ข้าพเจ้าก็เข้านอนตามปรกติ ใจก็คิดไปว่า บางทีวันนี้อาจจะไดเห็นท่านเทวดากับเขาบ้าง จึงรีบอาบน้ำนอนแต่หัวค่ำ สรุปว่าผ่นไป 3 วัน ก็ยังไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของท่านเทวดาเลย จนข้าพเจ้าแทบจะลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำ หลังจากวันนั้นผ่านไปประมาณ1 อาทิตย์ พอดีตอนนั้นกำลังหัดท่อง พระคาถาบทหนึ่งในตำราแก้วสารพัดนึก ของหลวงพ่อ ก็ไปเปิดเจอพระคาถาอยู่บทหนึ่งที่หลวงพ่อเขียนไว้ว่า "พระคาถาเทวดาคุ้มครอง"ข้าพเจ้าก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า วันนั้นสงสัยเราจะอัญเชิญท่านเทวดาไม่ถูกวิธีเสียกระมัง ท่านเทวดาถึงไม่ได้มาสงเคราะห์ให้เราเห็นบ้าง วันนี้โชคดีที่ได้มาเจอ"พระคาถา"ของหลวงพ่อที่เกี่ยวกับเทวดา ชะลอยว่าวันนี้จะต้องเป็นนิมิตหมายอันดีงามแน่ๆข้าพเจ้าก็เลยเตรียมตัวใหม่ ตั้งจิตตั้งใจใหม่ แล้วไปยังต้นโพะต้นเดิมนั้น พอไปถึงที่นั้น วันนี้ข้าพเจ้าเอารูปถ่ายของหลวงพ่อไปด้วยเลย ก็ไปนั่งสามธิประมาณชั่งโมงกว่าๆในป่าช้านั้น ถ้าใครได้เคยได้แล้ว จริงๆแล้วไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิดกันหรอกนะ สงบดีออก(ข้าพเจ้าว่า)ผีเขาไม่มาหลอกหรอก ถ้าเราไม่ได้คิดไม่ดี แถมยังมาช่วยเราด้วยอีต่างหาก เพราะเขารออนโมทนาบุญจากเรา อันนี้เรื่องจริงเลย แต่ที่น่าจะต้องระวังมากกว่าผีนั้นก็เห็นจะเป็นพวก งูเงี้ยวเขี้ยวขอเสียมากกว่า แต่ถ้าคนใหนเจริญพรหมวิหาร 4 พวกนี้มันจะไม่มายุ่งกับเราเลย(รักเขาได้อย่างที่แม่รักเรา)แต่พวกเราคนธรรมดาก็หาที่ๆมันไม่ล่อแหลมมากก็พิจารนากันเอาเองนะ ผีไม่กวน แต่ยุงตรงนี้ไม่การันตี(ทา กอยอ15 กันไว้ ก่อนเข้าป่าช้าก็ดีเหมือนกันนะ)...
                     ...จากนั้นข้าพเจ้าก็ตั้ง นะโม 3 จบ สัคเคกาเมฯ แล้วกล่าว ตะมังธัง ปะกาเสนโตฯ ต่อด้วยพระคาถาเทวดาคุ้มครอง 3 จบ ทีแรกก็ไม่คิดหรอกว่าจะใช้แบบนี้ได้ด้วย แต่ข้าพเจ้าก็พิจารนาเห็นว่า"พระคาถา"บางบทนั้นสามารถครอบคลุมและพลิกแพลงได้ แต่ข้อสำคัญห้ามทำอักขระภาษา ของเดิมวิบัติ แล้วข้าพเจ้าจึงตั้งจิตอธิฐานว่า ด้วยบารมีครูบาร์อาจารย์แห่งข้าพเจ้าพระเดชพระคุณ "หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร"แห่งวัด บ้านแค อ.สรรบุรี จ.ชัยนาท ผู้ทรงภูมิคุณธรรมสุปฏิปันโณ ขอท่านเทวดาทั้งหลายจงฟังคำของข้าพเจ้าเถิด ขอท่านเทวดาทั้งหลายจงมานมัสการพระอริยสงฆ์ผู้มาแล้ว ผู้ซึ่งเทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ท่านทั้งหลายด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ...แล้วว่าอัญเชิญเทวดากลับ ภะวันตุส้พฯจบ.(ก่อนไปข้าพเจ้าได้เรียบเรียงถ้อยคำไว้ก่อนแล้วให้กระทัดรัดและน่าฟัง)วันนั้นข้าพเจ้าก็ได้ไปทำธุระกิจของสงฆ์ตามปรกติตกตอนหัวค่ำข้าพเจ้าก็ได้เข้าสวดมนต์ภาวานาไหว้พระแต่วันนี้จะสวดยาวสักหน่อย เวลาสวดมนต์นานๆนั้นข้าพเจ้ารู้สึกสงบใจดีบางที สวดตั้งแตยังไม่ตี 3 จนสว่างเลยก็มี(หูมันอื้อๆตัวคิดมันหายไปดี)วันนั้นรู้สึกว่า ง่วงนอนแต่หัวค่ำ(2ทุ่มกว่าๆ)ก็กะว่าจะตื่นมาสักตอนตี1ตี2จะมานั่งสมาธิเพราะเงียบดี  พอเข้านอนก็ภาวนาไปเรื่อย นอนมองดูรูปของหลวงพ่อ พูดกับท่านว่าวันนี้ผ่านล่วงเลยไปอีกวันแล้วนะครับ(พิจารนาว่าคนเราเดี๋ยวก็ตาย)ใจนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องเทวดาหรอก ข้าพเจ้าได้พูดกับหลวงพ่อว่า "คนเราจะพ้นทุกข์ได้นั้นก็ไม่ง่ายเหมือนกัน" ก็เคลิ้มๆอยู่นั้น ข้าพเจ้าก้มีความรู้สึกว่า เหมือนจะโดนตรึงไว้ เหมือนกับว่ามีคนเอาเชือกมาผูกรัดไว้ทั้งตัว(คล้ายอาการคนโดนผีอำ)ทรมานมาก แล้วอยู่ๆหูมันก็ได้ยินเสียงคล้ายๆเหมือนกับได้ไปยืนอยู่ไกล้ๆกับเวลาที่มีคนใช้หินเจีย เจียเหล็ก เสียงดังกังวาลมากจนรู้สึกแสบแก้วหู ข้าพเจ้าจึงตั้งสติ แล้วคิดไปว่า เรานี้คงจะเพลียมากก็เลยนอนทับเนจนขยับตัวไม่ได้ก็เลยทำใจนิ่งๆ รอสักพักเดี๋ยวก็คงหายไปเอง(ทั้งๆที่ข้าพเจ้าก็มีสติแต่ขยับตัวไม่ได้เลย)ลืมตาก็ไม่ได้นานมากเกือบ 10 นาที โอ้โฮ้!!!ใจมันจะขาดให้ได้ ก็เลยฉุกคิดถึงเรื่องวันนี้
                    ..."หรืออาจจะเป็นเพราะจะมีใครบางคน กำลังเล่นอะไรพิเรนๆกับเราหรือเปล่านะ(ข้าพเจ้ามีความเชื่อส่วนตัว)จึงตั้งสติไปว่า(ตอนนั้นมันลืมตาไม่ขึ้น)ข้าพเจ้าก็เลยระลึกถึง "หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร"ปากก็บอกท่านว่า "หลวงพ่อ กวยชุตินธโร"ช่วยลูกด้วยๆๆๆ สักพักข้าพเจ้าก็ได้สำคัญตนไปว่า เห็น หลวงพอมานั่งอยู่บนหัวนอน(ทั้งๆที่หลับตาอยู่)แล้วท่านก็หัวเราะหึๆในลำคอ เหมือนตลกข้าพเจ้า สักพักทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูเหล็กเสียงดัง แกร็กๆๆๆๆๆๆข้าพเจ้ารู้สึกตกใจมาก ก็ประตูเหล็กนั้นข้าพเจ้าได้ล็อคเป็นอย่างดีแล้ว แล้วใครมาเปิดได้อย่างไร หรือว่าจะเป็นขโมย แล้วจู่ๆข้าพเจ้าก็รู้สึกมีอาการคล้ายกับว่าได้ลุกขึ้น เดินออกมาจากห้องนอน ทีนี้ประตูมันก็เปิดเองไ ด้ด้วยยังกับประตูไฟฟ้าเลย และแล้วสิ่งอัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าจนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย ข้าพเจ้าก็ได้อุทานขึ้นมาว่า เฮ้ย!!!นี่ใครหว่า???แต่งตัวยังกับลิเกเลย แถมใส่ชุดสีน้ำเงินด้วย แล้วมายืนอยูหน้าห้องนอนของข้าพเจ้าได้ยังไงเนี้ย สักพัก อีตาลิเกนั้นก็ได้ยกมืวันทาไหว้มาทางข้าพเจ้า แต่เอ้!!!ไง๋!!!ดูเหมือนว่าไม่ได้ไหว้เราเลยนี่หน่าพอหันไปดูด้านหลังก็เห็นภาพถ่ายบานใหญ่ของหลวงพ่อปรากฏแสงสว่างน่าอัศจรรย์มาก ข้าพเจ้าก็ได้รีบยกมือขึ้นไหว้(ตอนนั้นไม่ต้องถามเหตุผล เวลานึกไม่ออก) พอตั้งสติได้ก็เลยหันไปถามว่า โยมเป็น
ใครแล้วขึ้นมาบนนี้ได้อย่างไร อีตาลิเกนั้นก็ได้แต่ยิ้ม อย่างเดียวไม่ยอมพูดจา....
                                   ...ตะคายอาคมหลวงพ่อแม้แต่เทวดายังไม่กล้าเข้า....
                          ...สักพักอีตาลิเกนั้นจึงพูดว่า(จริงแล้วไม่ได้พูดแบบที่เราพูดแต่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเขาพูด) ผมมารอท่านตั้งหลายวันแล้วนะ จะมากราบหลวงพ่อท่าน แต่เข้าไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงถามกลับไปว่าเพราะเหตุใดจึงเข้าไม่ได้ อีตาลิเกแกบอกว่า ก็ท่านล้อมสายรุ้งเอาไว้จึงเข้าไม่ได้ ข้าพเจ้าก็ประหลาดใจว่า เอ้!!!ไอทีเราล้อมกันไว้นี่ จะกันพวก ภูตผี หรือของไม่ดีนี่หน่า เอ้า!!!แล้วเทวดานั้นมาเกี่ยวอะไรด้วยหนอ ยังไม่ได้ถามเลย อีตาลิเกก็พูดออกมาก่อนเลยว่า ตะคายสายรุ้งนี้เกินกว่าอานุภาพของผมจะผ่านได้ ผมขอกราบนมัสการหลวงพ่อของพระคุณเจ้า
 ท่านตรงนี้นะขอรับ...แล้วอีตาลิเกนั้นก็พูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ แล้วข้าพเจ้าจึงหันไปทางทิศที่ อีตาลิเกนั้นหันไป พอข้าพเจ้าหันมาอีกที อีตาลิเกนั้นก็พลันหายไปเสียแล้วและแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้สะดุ้งเหมือนกับว่าตัวเองนั้นได้ตกลงมาจากที่สูง แล้วข้าพเจ้าก้ค่อยๆลืมตาขึ้นได้ แล้วคลายจากอาการขยับตัวไม่ได้ ก็เลยลุกขึ้นนั่งขนงี้ลุกชัยเลย โดยยังรู้สึกตื่นเต้นในเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งเหมือนเหตุการณ์จริงๆมาก ...ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ได้หันไปที่รูของหลวงพ่อ แล้วยกมือขึ้นสาธุเลย สิ่งใดๆที่ข้าพเจ้าประสบพบมาข้าพเจ้าไม่เคยสงสัยหรือกังขาเลย ข้าพเจ้าเชื่ออย่างหมดใจเลยว่า นี่ต้องเป็นบารมีของหลวงพ่อแน่ๆ ที่แม้แต่เทวดาท่านยังมานม้สการท่าน แล้วก็มารอนานแล้วเสียด้วยแต่เข้าไม่ได้เพราะข้าเจ้าเอาสายสิญพันรูปท่านไว้เทวดาจึงเข้าไม่ได้ แต่รออยู่หน้าห้ห้องแทน นี่ล่ะคือบารมีอันประจักษ์แก่ตัวข้าพเจ้า สาธุขอบารมีของ"หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร" จงโปรดปกปักรักษา พี่ๆน้องๆทุกๆท่านด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ....."กาลเวลาผ่านล่วงเลยไปทุกๆลมหายใจความตายไกล้เราเข้ามาทุกๆที"....กราบสวัสดี....
                                         ....ขอขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านแล้วข้าพเจ้าจะนำประสบการณ์มามาถ่ายทอดให้-
  ...พี่ๆน้องๆได้อ่านฟังกันใหม่ตอนต่อไป ซึ่งจะใช้ชื่อว่า"อภินิหารรูป     ถ่าย หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอน 7...
                                                                 ....ด้วยความเคารพเป็นอย่างสูง....
                                                                         ...."คนเมืองกาญฯ”...
 


                                 
 
หัวข้อ: Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: pramate ที่ สิงหาคม 26, 2011, 05:34:28 pm
ขอบคุณครับ จะรออ่านตอนต่อไปครับ

บารมีหลวงพ่อ มากมายจริงๆครับ
หัวข้อ: Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ สิงหาคม 26, 2011, 05:51:22 pm
รอต่อ
หัวข้อ: Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: anon ที่ สิงหาคม 27, 2011, 12:54:05 am
..สาธุครับ รออ่านตอนต่อไปอยู่นะครับ  ;D
หัวข้อ: Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: madiaw ที่ สิงหาคม 27, 2011, 07:56:47 am
ขอบคุณครับ ติดตามทุกตอน..รอตอนต่อไปอยู่นะครับ :)
หัวข้อ: Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: chatchawan48 ที่ สิงหาคม 27, 2011, 10:02:30 am
ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: karyud ที่ สิงหาคม 28, 2011, 03:45:03 pm


    ขอบคุณครับ...รออ่านเช่นกัน
หัวข้อ: Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: chanvit.pattaya88 ที่ สิงหาคม 28, 2011, 08:23:24 pm
สาธุ ชอบมากครับ รอฟังต่อ ;D ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 06, 2011, 12:01:11 pm
"หลวงพ่อ กวย ชุตินฺธโร" พระอริยะสงฆ์แห่งแดนคนจริง

(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านในตอนนี้ เนื่องด้วยเป็นปัจจัตตัง ข้อความส่วนบุคคล ด้วยความเคารพ)

เดิมทีข้าพเจ้านั้น มีชื่อว่า นายอนันตชัย รัตนสมโภช ชาตะ เมื่อวันพุธที่ 23 กันยายน ปี พุทธศักราช 2496 ปีมะเส็ง ที่บ้านหัวเด่น อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท มรณะเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พุทธศักราช 2506 ปีเถาะ ข้าพเจ้ามีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 10 คน ข้าพเจ้าเป็นคนที่ 7 ด้วยความที่ข้าพเจ้าในชาตินั้นเป็นผู้ที่ชอบเล่นวิชาคุณไสยเวทมนต์กระทำวิชาฝ่ายดำ ข้าพเจ้าจึงมักกระทำเสน่ห์เล่ห์กล ใส่หญิงสาวที่ข้าพเจ้าหมายปอง ด้วยอำนาจกฎแห่งกรรมนี้จึงส่งผลมายังชาติปัจจุบัน จึงมิเคยสมหวังในความรักไร้คู่เดียวดาย บาปกรรมยิ่งนัก แต่ด้วยความที่ว่า "จิต" ก่อนตายนั้นได้โลกีย์วิสัยฌาณ จึงได้นอบน้อมระลึกถึงคุณแห่งพระศรีรัตนตรัย และกล่าวสัจจะวาจา ว่าด้วยศีล 5 อันบริสุทธิ์ แม้เพียงขณะคู่หนึ่ง ดวงจิตนั้นจึงได้ไปหยั่งสถิตเดิม ล่องลอยเคว้งคว้าง จนได้มาพบเจอหลวงพ่อกระทำความเพียรวิปัสสนานิโรธญาณ จึงขอบารมีท่าน อนุโมทนาบุญ ท่านกล่าวว่า พระรัตนตรัยนั้นเป็นมงคลอันสูงสุด พร้อมด้วยพรหมวิหารทั้ง 4 ประการ สิ่งที่ท่านกระทำคือกิริยาแห่งขันธ์ ที่ได้มาสงเคราะห์ต่อโลก ดวงจิตหาได้อยู่ในโลกใบนี้ไม่ กุศลกรรมแลอกุศลกรรมเป็นด้วยเสมอกัน ไปเทวโลกก็หามิได้ ดิ่งลงสู่อบายก็หามิได้ จึงต้องกลับมาสร้างบารมี ก่อนชดใช้บุพกรรม 36 ปีกับอีก 3 เดือน เมื่อพ้นแล้วจึงได้รับอานิสงส์แห่งโลกีย์วิสัยฌาน สุดแล้วแต่ปัจจุบันจักนำไป

"เทวดามานมัสการหลวงพ่อ"

เรื่องนี้ก็มีอยู่ว่า ตอนที่ข้าพเจ้าบวชเรียนอยู่ ตอนนั้นก็เห็นจะเป็นช่วงออกพรรษา เพื่อที่จะรอรับกฐินกัน ตอนนั้นข้าพเจ้านี้ ก็เริ่มจะเป็นพระแท้กับเขาบ้างแล้ว (ควบคุมสติสะตังได้บ้างแล้ว) อาจจะเป็นเพราะอานิสงส์ ในการที่ข้าพเจ้านั้น ได้หมั่นเจริญวิปัสสนากรรมฐานหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ เพราะข้าพเจ้ารู้สึกว่าหัวใจมันนิ่ง ๆ อย่างบอกไม่ถูก ลมพัดมาก็เย็นสบายใจมาก อุปมาเหมือนดังคนที่นั่งอยู่กลางใต้ต้นไม้กลางคันนา มีลมพัดมาเย็นสบาย ๆ สายลมพัดมาแผ่ว ๆ ไม่มีภูเขาไม่มีอะไรบังตา ไม่ยึดติดไม่รีบร้อนอะไรประมาณนั้นตอนนั้นข้าพเจ้าใช้ชีวิตภายใต้ผ้ากาสาวพัสตร์รู้สึกสงบใจดี ที่นี้มันมีอยู่วันหนึ่ง เรื่องมันก็เกิดจนได้ กล่าวคือว่าก็มีประเด็นของชีวิตเกิดจนได้ นั้นก็คือ วันนั้นเป็นวันพระ แล้วคุณโยม ๆ เขามาทำบุญกันที่วัดกัน คือตามปรกติ ที่วัดที่ข้าพเจ้าบวชอยู่นั้น ถ้าเป็นวันพระแล้วจะไม่ต้องไปบิณฑบาต เพราะคุณโยม ๆ เขาจะมาทำบุญกันที่วัดกันทีเดียวเลย แต่ก่อนเข้าพรรษาทางวัดเขาจะ (พวกกรรมการวัดนะ) ไปบอกบุญชาวบ้านว่า ใครจะมาจองวันทำข้าวต้มถวายพระตอนเช้าให้พระก็มาจองกันแล้วแต่ศรัทธา เพราะถ้าวันไหน เป็นวันทำบุญที่วัดแล้ว กว่าพระจะได้ฉันข้าวกันจริง ๆ ก็ปาเข้าไปเกือบ 9 โมงครึ่งเห็นจะได้ ก็เลยเป็นที่มาของประเพณี (หรือที่อื่น ๆ เขาก็ทำกันนะข้าพเจ้าไม่แน่ใจ) การให้คุณโยม ๆ เขามาจองวัน เพื่อที่จะทำข้าวต้มมาถวายพระให้ได้ฉันรองท้องในตอนเช้า ๆ กันประมาณ 7 โมงที่ศาลาหลังเล็ก สงสัยกลัวพระจะเป็นลมก่อน สวดไม่ไหว ประมาณนั้น ซึ่งก็เป็นประเพณีหนึ่งของวัด ที่ ตำบลอำเภอบ่อพลอย อำเภอบ่อพลอยมีพลอยเม็ดใหญ่ (ที่สุรพล สมบัติเจริญ เขาร้องน่ะ) เป็นตำนานไปนานแล้วน่า แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าคิดว่าจะเปลี่ยนเป็น ตำบลบ่อนิล อำเภอบ่อนิล เสียมากกว่า นะตอนนี้ เอ่อ!!!เอาซิว่าไป  มาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่า ทีนี้ถ้าเป็นวันพระแล้วพวกพระ ๆ ทั้งหลาย ท่านก็จะรีบตื่นกันขึ้นมาแต่เช้า เพื่อที่จะรีบมาดูแลจัดแจงศาลาทำบุญกันแต่มืดเลย เรียกว่ากวาดถู กันให้เอี่ยมอ่องชนิดที่เรียกว่าพอแมลงวันมาเกาะยังยืนไม่ได้เลย โอ้โห้ โดยเฉพาะ “หลวงพี่ ฮิตเลอร์” ด้วยนะ โอ้!!!บรรยายไม่ถูก (เคยเดินในตลาดนัดกันบ้างไหม มะกรูด มะนาว มะพร้าว ส้มโอ เงาะโรงเรียนครับ ๆ เรียกว่านัวเนีย) ทำกันไปเรื่อยพอสัก 7 โมงเช้าคุณโยมเขาก็จะมากันเอาข้าวต้มมาถวายพระ เรียกว่าโด๊ปกันก่อน อีกอย่างชาวบ้านเขาจะถือว่าวันนั้นได้ทำบุญ 2 เด้งกัน ก็เลยมีความสุขด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ข้าพเจ้าก็คิดว่าดีเหมือนกัน แล้ววันนั้น พอดีมันเป็นวันพิเศษกว่าเดิมอีกหน่อย ไอ้ที่ว่าพิเศษกว่าเดิมนั้นน่ะหมายความว่าอย่างไร ก็ได้ความมาว่าชาวบ้าน นั้นเรียกวันนี้กันว่า "วันรวย" ประมาณนั้น (ก็ไม่รู้ว่าวันรวยหรือวันซวยนะแล้วแต่คนจะเรียก) ชัด ๆ เลยก็คือ วันหวยออก และมันดันตรงกับวันพระพอดี พอดีข้าพเจ้ากำลังจะเดินผ่านเพื่อที่จะไปศาลาอยู่พอดี ก็ได้ยินเสียงคุณโยม ๆ เขาพูดกันว่า "เมื่อคืนนี้เขาไปขอเลขเด็ดที่ป่าช้ามา เขาว่าแม่นมาก ที่ต้นโพธิ์หลังเมรุวัดเรา" ฟังไปฟังมาก็ได้ข้อสรุปว่า คนที่จะได้เลขเด็ดนั้น ประการแรก คือ  จะต้องไปคนเดียวแล้วจุดธูป 1 ดอก ปักไว้ที่โคนต้นโพธิ์อธิษฐานบอกเจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขา ว่ามาขอโชคขอลาภ  ประการที่สอง เมื่อได้เลขมาแล้วห้ามพูดบอกใคร ให้บอกด้วยวิธีอื่น หรือเขียนวางไว้ ประการสุดท้าย คือ ตีฝันให้ออกแล้วจะโชคดี เมื่อข้าพเจ้าได้ยินมาเช่นนี้ ข้าพเจ้านึก เอ๊ะใจ!!! ในคำพูดของชาวบ้าน แต่ก็มีคำถามขึ้นมาในใจว่า อีตาพวกนี้แอบไปป่าช้ากันตอนไหนว่ะ เราก็ไปเกือบทุกวันไม่ยักจะเจอกันเลย!!!งงว่ะ!!!ด้วยความที่ข้าพเจ้านั้นก็ชอบไปเจริญอสุภกรรมฐาน เวลาว่าง ๆ ข้าพเจ้าจึงมักจะไปพิจารณาสังขารที่ป่าช้าอยู่เป็นประจำ ไปทั้ง กลางวัน กลางคืน แล้วแต่สะดวก บางครั้งก็ได้พบเจอศพบางศพที่สัปเหร่อแกเผาไม่หมดเหลือเนื้อติดกระดูก ส่งกลิ่นเน่าเหม็น (แต่ก็ไม่ถึงกับอุจาดตา) และถ้าวันไหนมีศพเผาตรงกับวันฝนตก พอสัปเหร่อเก็บกระดูกใส่ผอบเสร็จที่เหลือเขาก็ถวายวัดเลย คือเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้วัดไป บางทีก็มีสุนัขมาแทะกินกันเฉยเลย ข้าพเจ้างี้รู้สึก สังเวชใจเหลือเกิน คนเราสุดท้ายก็ไม่มีใครหลีกหนีพ้นไปได้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ละแล้วพอถึงเวลาหวยออกเข้าจริงๆ เอ่อ!!!!!โอ้จ๊อด!!! ชาวบ้านเขาก็ถูกหวยกันจริง ๆ (งวดนั้นนะ) ก็เลยมีเสียงร่ำลือกันว่า "ต้นโพธิ์" ต้นนี้เจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์มาก จะว่าบังเอิญหรือดวงก็ไม่รู้ แต่วันนั้นเขาถูกกัน ก็เลยเป็นที่มาของคนที่ใคร่ที่อยากจะรู้ความจริงว่า ที่ "ต้นโพธิ์ใหญ่" นั้น มีเจ้าที่จริงหรือไม่จริงแท้ ประการใด

ต่อมาอีก 2-3 วันเวลานั้นเป็นเวลาบ่าย 2 โมงกว่าๆ ส่วนใหญ่ข้าพเจ้านั้นยามว่างถ้าไม่อยู่ในกุฏิก็ยังมีอีกที่หนึ่งคือ ในป่าช้าหลังเมรุ เพราะบางทีอยู่ในกุฏิมาก ๆ อากาศมันไม่โปร่ง ก็เลยต้องออกมาข้างนอกบ้าง ที่ ๆ ข้าพเจ้ามักจะไป เวลาหัดท่องบทสวดมนต์นั้นก็คือที่นั้น เพราะตอนกลางวันมันเงียบดีลมพัดมาเย็น ๆ สบาย ๆ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าความจำมันดีเป็นพิเศษ และอีกอย่างไม่มีใครตามมาด้วย จะมีก็แต่พวกลูกน้องของข้าพเจ้า (สุนัขวัด) อยู่ 7-8 ตัว มันก็ไปนอนอยู่ตามต้นไม้ ตามเรื่องตามราวของมันไป วันนั้นขณะที่ข้าพเจ้าหัดท่องบทสวดมนต์อยู่นั้น ประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ก็นึกยังไงไม่รู้ อยู่ ๆ ก็อยากนั่งสมาธิขึ้นมาเฉยเลย ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ได้วางหนังสือลงทันที แปลกเหมือนกันกำลังท่องหนังสืออยู่ดี ๆ นึกอยากจะวางก็วางเลยแล้วหลับตาภาวนา พุทโธ ๆ เลยเหมือนกัน ข้าพเจ้าสงสัยว่ามันเกิดมาจากเครื่องยนต์มันสปาร์คหรือเปล่าก็ไม่รู้ซินะ ข้าพเจ้า หมายถึง เวลาที่จิตมันจดจ่ออยู่กับบทสวดมนต์แล้วใจมันสงบขึ้นมา (ข้าพเจ้าสันนิษฐานเอาเอง) ก็เลยไม่อยากถอยหลัง เลยภาวนาต่อเนื่องไปเลย เอาซิ!!!ภาวนาอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ข้าพเจ้าก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ตอนนี้ใจมันสงบมากสายลมพัดมา เสียงใบไม้ดังแผ่ว ๆ ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องราวของชาวบ้านว่า มันวุ่นวายจริงหนอ ๆ คนเรา ตอนนั้นบอกตรง ๆ ว่ารู้สึกดีมาก (ระดับปุถุชนธรรมดา ๆ นะ) ก็นึกดำริไปว่า เมื่อวานซืนนี้ได้ยินชาวบ้านเขาพูกันว่า ในป่าช้านี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ต้นโพธิ์ ข้าพเจ้านี้ก็ใครที่อยากจะรู้ อยากจะเห็น อยู่เหมือนกันว่า จะจริงแท้ ประการใด

ก็เห็นจะมีต้นไม้ใหญ่ที่สุดอยู่ต้นหนึ่ง(ต้นโพธิ์)เมื่อข้าพเจ้าคิดได้ดั่งนี้แล้วก็เลยไปนั่งพิจารนาดูอยู่ที่ใต้ต้นโพธิ์นั้น(มองดูน่ากลัวอยู่เหมือนกัน) ในสมัยโบราณพ่อแม่ครูบาอาจารย์ก็ได้เคยกล่าวไว้ว่ามีเทวดาอยู่จำพวกหนึ่งที่อาศัย อยู่ในที่ประมาณนี้ เอ๊ะ!!!แล้วหน้าตาท่านเทวดาจะเป็นเหมือนในลิเกหรือเปล่านะ ข้าพเจ้าก็นั่งพิจารนาอยู่นาน ก็ยิ่งฉงนใจยิ่งขึ้น ทีนี้ใจมันนึกยังไงไม่รู้ (ไม่ใช่อยากจะลองดี) ก็นึกอยากจะเห็นเทวดากับเขาบ้าง แต่ก็กังขาตัวเอง เพราะรู้ตัวดีว่า เรานี้ ก็เป็นผู้ที่ไม่มีคุณธรรมอะไร ทั้งยังได้เคยศึกษามาว่า เทวดานั้นเขาก็ไม่ใช่จะไหว้พระกันไปทุกองค์เสียด้วย เปล่าเลย อย่านึกว่าเป็นพระแล้วจะดีกว่าเขานะ โลกอีกโลกหนึ่งนั้นถ้าเขาจะเคารพใครสักคนหนึ่งนั้นอย่างน้อย ๆ คน ๆ นั้น ก็จะต้องมีคุณธรรมที่เสมอเขา (ขอย้ำตรงคำว่า"จะเคารพ"นะ) หรือต้องสูงกว่าเขาเท่านั้น เขาถึงจะลงใจให้เสียด้วย ชะรอยว่าชาตินี้ เราคงจะไม่ได้มีโอกาสเห็นท่านเทวดาเสียแล้ว กระมัง!!!ข้าพเจ้าก็นึกถอนหายใจ และคิดว่าจะเดินกลับกุฏิ แต่ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ได้คิดขึ้นมาอีกได้ เราก็ลืมไปอย่างหนึ่งว่า ถึงตัวเรานี้จะไม่มีคุณธรรม แต่ถ้าเป็นบารมีของ "หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร" ของเรา (ของทุกๆคน) ล่ะก็ ท่านเทวดาจะต้องมาสงเคราะห์เราแน่เลย (ข้าพเจ้าคิดอย่างนี้จริง ๆ) ข้าพเจ้าก็เลยหันหลังไปยกมืออภิวาทต่อหน้าต้นโพธิ์นั้นแล้ว กล่าววาจาตั้งจิตขึ้น นะโม 3 จบ แล้วกล่าวว่าขอบารมีหลวงพ่อให้ช่วยให้ได้มีโอกาสเห็นท่านเทวดาด้วยเทอญ (ขมุบขมิบว่าไปเรื่อย) เสร็จแล้วก็เดินกลับมาที่กุฏิ พอมาถึงกุฏิก็มานั่งอ่านหนังสือ จนรู้สึกง่วงนอน ก็เลยหยิบวิทยุขึ้นมาฟังรายการ "ธรรมมะ" ได้ยินเสียงเป็นฆราวาสท่านหนึ่งกำลังบรรยาย "ธรรมมะ" อยู่ก็ตั้งใจฟังท่าน เห็นท่านใช้ชื่อสำนักว่า "ถิ่นกาขาว" ข้าพเจ้าได้ยินมานานแต่ไม่เคยเจอตัวท่านเลยเห็นเขาว่า ท่านเก่งเรื่องบรรยาย "ธรรมมะ" โดยเฉพาะ "อภิธรรม" ฟังดูแล้วก็ลึกซึ้งดีมาก แต่ภาษาของท่านมันจะยากไปสักหน่อย ใช้ศัพท์บาลีเยอะ ลำพังข้าพเจ้านั้นก็ฟังเข้าใจอยู่ แต่สงสารคนที่เรียนธรรมมะใหม่ ๆ จะเข้าใจยากไปสักนิดหนึ่ง และท่านก็บรรยายไม่มีผิดเลยนะ ข้าพเจ้าเห็นเขาบอกเบอร์โทรศัพท์ไว้ แล้วมีคนโทรถามปัญหา พอดีข้าพเจ้าก็มีข้อสงสัยอยู่เหมือนกัน ก็เลยลองโทรไปถามดูบ้าง ว่าท่านจะให้ทัศนะอย่างไร พอโทรติดข้าพเจ้าก็สนทนากับท่านไปอย่างนี้ว่า "ฮัลโหล!!!สวัสดีครับ อาจารย์กระผมอยากถามปัญหาสักข้อหนึ่งครับ (ท่านไม่รู้ว่าข้าพเจ้าเป็นพระ) ท่านตอบว่า เชิญถามได้เลย "คือผมไม่เข้าใจว่า ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นอนัตตา คือ ความว่าง ใช่ไหมครับ" ท่านก็ตอบว่าใช่ "ข้าพเจ้าก็เลยถามต่อไปว่า แล้วอรูปญาณที่ว่า ว่าง คล้ายกัน กับ ธรรมที่เป็นอนัตตา นั้น มันแตกต่างกันอย่างไรครับ ท่านอาจารย์ ท่านก็บอกว่าตรงนี้สงสัยจะต้องร่ายกันยาว ชั่งโมงเดียวคงไม่พอ วันหลังจะมาบรรยายให้ฟังก็แล้วกัน ข้าพเจ้าก็รู้ว่าท่านก็ตอบได้ สรุปว่าทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้คำตอบเลย (สงสัยท่านจะลืม) แต่มาวันหลัง มาศึกษาในหนังสือของพระเดชพระคุณ หลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร(ฤาษีลิงดำ) ท่านได้กล่าวไว้ว่า อนัตตา เป็นเรื่องของอารมณ์ ส่วน อรูปญาณ นั้นเป็นเรื่องของสมาธิ เป็นคนละหมวดกัน

เอ้า!!!มาเข้าเรื่องกันต่อ ก็วันนั้น หลังจากที่ข้าพเจ้านั้นได้ปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ จนเย็น ข้าพเจ้าก็เข้านอนตามปรกติ ใจก็คิดไปว่า บางทีวันนี้อาจจะได้เห็นท่านเทวดากับเขาบ้าง จึงรีบอาบน้ำเข้านอนแต่หัวค่ำ สรุปว่าผ่านไป 3 วัน ก็ยังไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของท่านเทวดาเลย จนข้าพเจ้าแทบจะลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำ หลังจากวันนั้นผ่านไปประมาณ 1 อาทิตย์ พอดีตอนนั้นกำลังหัดท่อง พระคาถาบทหนึ่งในตำราแก้วสารพัดนึก ของหลวงพ่อ ก็ไปเปิดเจอพระคาถาอยู่บทหนึ่งที่หลวงพ่อเขียนไว้ว่า "พระคาถาเทวดาคุ้มครอง" ข้าพเจ้าก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า วันนั้นสงสัยเราจะอัญเชิญท่านเทวดาไม่ถูกวิธีเสียกระมัง ท่านเทวดาถึงไม่ได้มาสงเคราะห์ให้เราเห็นบ้าง วันนี้โชคดีที่ได้มาเจอ "พระคาถา" ของหลวงพ่อที่เกี่ยวกับเทวดา ชะรอยว่าวันนี้จะต้องเป็นนิมิตหมายอันดีงามแน่ ๆ ข้าพเจ้าก็เลยเตรียมตัวใหม่ ตั้งจิตตั้งใจใหม่ แล้วไปยังต้นโพธิ์ต้นเดิมนั้น พอไปถึงที่นั้น วันนี้ข้าพเจ้าเอารูปถ่ายของหลวงพ่อไปด้วยเลย ก็ไปนั่งสมาธิประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ในป่าช้านั้น ถ้าใครได้เคยได้แล้ว จริง ๆ แล้วไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิดกันหรอกนะ สงบดีออก (ข้าพเจ้าว่า) ผีเขาไม่มาหลอกหรอก ถ้าเราไม่ได้คิดไม่ดี แถมยังมาช่วยเราด้วยอีกต่างหาก เพราะเขารออนุโมทนาบุญจากเรา อันนี้เรื่องจริงเลย แต่ที่น่าจะต้องระวังมากกว่าผีนั้นก็เห็นจะเป็นพวก งูเงี้ยวเขี้ยวขอเสียมากกว่า แต่ถ้าคนไหนเจริญพรหมวิหาร 4 พวกนี้มันจะไม่มายุ่งกับเราเลย (รักเขาได้อย่างที่แม่รักเรา) แต่พวกเราคนธรรมดาก็หาที่ ๆ มันไม่ล่อแหลมมากก็พิจารนากันเอาเองนะ ผีไม่กวน แต่ยุงตรงนี้ไม่การันตี (ทา กอยอ15 กันไว้ ก่อนเข้าป่าช้าก็ดีเหมือนกันนะ)

จากนั้นข้าพเจ้าก็ตั้ง นะโม 3 จบ สัคเคกาเมฯ แล้วกล่าว ตะมังธัง ปะกาเสนโตฯ ต่อด้วยพระคาถาเทวดาคุ้มครอง 3 จบ ทีแรกก็ไม่คิดหรอกว่าจะใช้แบบนี้ได้ด้วย แต่ข้าพเจ้าก็พิจารณาเห็นว่า "พระคาถา" บางบทนั้นสามารถครอบคลุมและพลิกแพลงได้ แต่ข้อสำคัญห้ามทำอักขระภาษา ของเดิมวิบัติ แล้วข้าพเจ้าจึงตั้งจิตอธิฐานว่า ด้วยบารมีครูบาอาจารย์แห่งข้าพเจ้าพระเดชพระคุณ "หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร" แห่งวัด บ้านแค อ.สรรบุรี จ.ชัยนาท ผู้ทรงภูมิคุณธรรมสุปฏิปันโน ขอท่านเทวดาทั้งหลายจงฟังคำของข้าพเจ้าเถิด ขอท่านเทวดาทั้งหลายจงมานมัสการพระอริยะสงฆ์ผู้มาแล้ว ผู้ซึ่งเทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ท่านทั้งหลายด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ แล้วว่าอัญเชิญเทวดากลับ ภะวันตุสัพฯ จบ (ก่อนไปข้าพเจ้าได้เรียบเรียงถ้อยคำไว้ก่อนแล้วให้กะทัดรัดและน่าฟัง) วันนั้นข้าพเจ้าก็ได้ไปทำธุรกิจของสงฆ์ตามปรกติ ตกตอนหัวค่ำข้าพเจ้าก็ได้เข้าสวดมนต์ภาวนาไหว้พระแต่วันนี้จะสวดยาวสักหน่อย เวลาสวดมนต์นาน ๆ นั้นข้าพเจ้ารู้สึกสงบใจดีบางที สวดตั้งแต่ยังไม่ตี 3 จนสว่างเลยก็มี (หูมันอื้อ ๆ ตัวคิดมันหายไปดี) วันนั้นรู้สึกว่า ง่วงนอนแต่หัวค่ำ (2 ทุ่มกว่า ๆ) ก็กะว่าจะตื่นมาสักตอนตี 1 ตี 2 จะมานั่งสมาธิเพราะเงียบดี  พอเข้านอนก็ภาวนาไปเรื่อย นอนมองดูรูปของหลวงพ่อ พูดกับท่านว่าวันนี้ผ่านล่วงเลยไปอีกวันแล้วนะครับ (พิจารณาว่าคนเราเดี๋ยวก็ตาย) ใจนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องเทวดาหรอก ข้าพเจ้าได้พูดกับหลวงพ่อว่า "คนเราจะพ้นทุกข์ได้นั้นก็ไม่ง่ายเหมือนกัน" ก็เคลิ้ม ๆ อยู่นั้น ข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกว่า เหมือนจะโดนตรึงไว้ เหมือนกับว่ามีคนเอาเชือกมาผูกรัดไว้ทั้งตัว (คล้ายอาการคนโดนผีอำ) ทรมานมาก แล้วอยู่ ๆ หูมันก็ได้ยินเสียงคล้าย ๆ เหมือนกับได้ไปยืนอยู่ใกล้ ๆกับเวลาที่มีคนใช้หินเจีย เจียเหล็ก เสียงดังกังวานมากจนรู้สึกแสบแก้วหู ข้าพเจ้าจึงตั้งสติ แล้วคิดไปว่า เรานี้คงจะเพลียมากก็เลยนอนทับฌานจนขยับตัวไม่ได้ก็เลยทำใจนิ่ง ๆ รอสักพักเดี๋ยวก็คงหายไปเอง (ทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้าก็มีสติแต่ขยับตัวไม่ได้เลย) ลืมตาก็ไม่ได้   นานมากเกือบ 10 นาที โอ้โฮ้!!!ใจมันจะขาดให้ได้ ก็เลยฉุกคิดถึงเรื่องวันนี้

"หรืออาจจะเป็นเพราะจะมีใครบางคน กำลังเล่นอะไรพิเรน ๆ กับเราหรือเปล่านะ (ข้าพเจ้ามีความเชื่อส่วนตัว) จึงตั้งสติไปว่า (ตอนนั้นมันลืมตาไม่ขึ้น) ข้าพเจ้าก็เลยระลึกถึง "หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร" ปากก็บอกท่านว่า "หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร" ช่วยลูกด้วยๆๆๆ สักพักข้าพเจ้าก็ได้สำคัญตนไปว่า เห็นหลวงพ่อมานั่งอยู่บนหัวนอน (ทั้ง ๆ ที่หลับตาอยู่) แล้วท่านก็หัวเราะหึ ๆ ในลำคอ เหมือนตลกข้าพเจ้า สักพักทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูเหล็กเสียงดัง แกรก ๆๆๆๆๆๆ ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจมาก ก็ประตูเหล็กนั้นข้าพเจ้าได้ล็อคเป็นอย่างดีแล้ว แล้วใครมาเปิดได้อย่างไร หรือว่าจะเป็นขโมย แล้วจู่ ๆ ข้าพเจ้าก็รู้สึกมีอาการคล้ายกับว่าได้ลุกขึ้น เดินออกมาจากห้องนอน ทีนี้ประตูมันก็เปิดเองได้ด้วยยังกับประตูไฟฟ้าเลย และแล้วสิ่งอัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าจนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย ข้าพเจ้าก็ได้อุทานขึ้นมาว่า เฮ้ย!!!นี่ใครหว่า???แต่งตัวยังกับลิเกเลย แถมใส่ชุดสีน้ำเงินด้วย แล้วมายืนอยู่หน้าห้องนอนของข้าพเจ้าได้ยังไงเนี้ย สักพัก อีตาลิเกนั้นก็ได้ยกมือวันทาไหว้มาทางข้าพเจ้า แต่เอ้!!!ไง๋!!!ดูเหมือนว่าไม่ได้ไหว้เราเลยนี่หน่าพอหันไปดูด้านหลังก็เห็นภาพถ่ายบานใหญ่ของหลวงพ่อปรากฏแสงสว่างน่าอัศจรรย์มาก ข้าพเจ้าก็ได้รีบยกมือขึ้นไหว้(ตอนนั้นไม่ต้องถามเหตุผล เวลานึกไม่ออก) พอตั้งสติได้ก็เลยหันไปถามว่า โยมเป็นใครแล้วขึ้นมาบนนี้ได้อย่างไร อีตาลิเกนั้นก็ได้แต่ยิ้ม อย่างเดียวไม่ยอมพูดจา

ตะคายอาคมหลวงพ่อแม้แต่เทวดายังไม่กล้าเข้า

สักพักอีตาลิเกนั้นจึงพูดว่า (จริงแล้วไม่ได้พูดแบบที่เราพูดแต่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเขาพูด) ผมมารอท่านตั้งหลายวันแล้วนะ จะมากราบหลวงพ่อท่าน แต่เข้าไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงถามกลับไปว่าเพราะเหตุใดจึงเข้าไม่ได้ อีตาลิเกแกบอกว่า ก็ท่านล้อมสายรุ้งเอาไว้จึงเข้าไม่ได้ ข้าพเจ้าก็ประหลาดใจว่า เอ้!!!ไอ้ที่เราล้อมกันไว้นี่ จะกันพวก ภูตผี หรือของไม่ดีนี่หน่า เอ้า!!!แล้วเทวดานั้นมาเกี่ยวอะไรด้วยหนอ ยังไม่ได้ถามเลย อีตาลิเกก็พูดออกมาก่อนเลยว่า ตะคายสายรุ้งนี้เกินกว่าอานุภาพของผมจะผ่านได้ ผมขอกราบนมัสการหลวงพ่อของพระคุณเจ้าท่านตรงนี้นะขอรับ แล้วอีตาลิเกนั้นก็พูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ แล้วข้าพเจ้าจึงหันไปทางทิศที่ อีตาลิเกนั้นหันไป พอข้าพเจ้าหันมาอีกที อีตาลิเกนั้นก็พลันหายไปเสียแล้ว และแล้วข้าพเจ้าก็ได้สะดุ้งเหมือนกับว่าตัวเองนั้นได้ตกลงมาจากที่สูง แล้วข้าพเจ้าก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นได้ แล้วคลายจากอาการขยับตัวไม่ได้ ก็เลยลุกขึ้นนั่งขนงี้ลุกชันเลย โดยยังรู้สึกตื่นเต้นในเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งเหมือนเหตุการณ์จริง ๆ มาก ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ได้หันไปที่รูปของหลวงพ่อ แล้วยกมือขึ้นสาธุเลย สิ่งใด ๆ ที่ข้าพเจ้าประสบพบมาข้าพเจ้าไม่เคยสงสัยหรือกังขาเลย ข้าพเจ้าเชื่ออย่างหมดใจเลยว่า นี่ต้องเป็นบารมีของหลวงพ่อแน่ ๆ ที่แม้แต่เทวดาท่านยังมานมัสการท่าน แล้วก็มารอนานแล้วเสียด้วยแต่เข้าไม่ได้เพราะข้าพเจ้าเอาสายสิญจน์พันรูปท่านไว้เทวดาจึงเข้าไม่ได้ แต่รออยู่หน้าห้องแทน นี่ล่ะคือบารมีอันประจักษ์แก่ตัวข้าพเจ้า สาธุขอบารมีของ "หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร" จงโปรดปกปักษ์รักษา พี่ ๆ น้อง ๆ ทุก ๆ ท่านด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ" กาลเวลาผ่านล่วงเลยไปทุก ๆ ลมหายใจ  ความตายใกล้เราเข้ามาทุก ๆ ที" กราบสวัสดี 

ขอขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านแล้วข้าพเจ้าจะนำประสบการณ์มามาถ่ายทอดให้พี่ๆน้องๆได้อ่านฟังกันใหม่ตอนต่อไป ซึ่งจะใช้ชื่อว่า"
อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร ตอนที่ 7
หัวข้อ: Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 06, 2011, 12:05:30 pm
เดิมทีข้าพเจ้านั้น มีชื่อว่า นายอนันตชัย รัตนสมโภช ชาตะ เมื่อวันพุธที่ 23 กันยายน ปี พุทธศักราช 2496 ปีมะเส็ง ที่บ้านหัวเด่น อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท มรณะเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พุทธศักราช 2506 ปีเถาะ ข้าพเจ้ามีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 10 คน ข้าพเจ้าเป็นคนที่ 7 ด้วยความที่ข้าพเจ้าในชาตินั้นเป็นผู้ที่ชอบเล่นวิชาคุณไสยเวทมนต์กระทำวิชาฝ่ายดำ ข้าพเจ้าจึงมักกระทำเสน่ห์เล่ห์กล ใส่หญิงสาวที่ข้าพเจ้าหมายปอง ด้วยอำนาจกฎแห่งกรรมนี้จึงส่งผลมายังชาติปัจจุบัน จึงมิเคยสมหวังในความรักไร้คู่เดียวดาย บาปกรรมยิ่งนัก แต่ด้วยความที่ว่า "จิต" ก่อนตายนั้นได้โลกีย์วิสัยฌาณ จึงได้นอบน้อมระลึกถึงคุณแห่งพระศรีรัตนตรัย และกล่าวสัจจะวาจา ว่าด้วยศีล 5 อันบริสุทธิ์ แม้เพียงขณะคู่หนึ่ง ดวงจิตนั้นจึงได้ไปหยั่งสถิตเดิม ล่องลอยเคว้งคว้าง จนได้มาพบเจอหลวงพ่อกระทำความเพียรวิปัสสนานิโรธญาณ จึงขอบารมีท่าน อนุโมทนาบุญ ท่านกล่าวว่า พระรัตนตรัยนั้นเป็นมงคลอันสูงสุด พร้อมด้วยพรหมวิหารทั้ง 4 ประการ สิ่งที่ท่านกระทำคือกิริยาแห่งขันธ์ ที่ได้มาสงเคราะห์ต่อโลก ดวงจิตหาได้อยู่ในโลกใบนี้ไม่ กุศลกรรมแลอกุศลกรรมเป็นด้วยเสมอกัน ไปเทวโลกก็หามิได้ ดิ่งลงสู่อบายก็หามิได้ จึงต้องกลับมาสร้างบารมี ก่อนชดใช้บุพกรรม 36 ปีกับอีก 3 เดือน เมื่อพ้นแล้วจึงได้รับอานิสงส์แห่งโลกีย์วิสัยฌาน สุดแล้วแต่ปัจจุบันจักนำไป


เป็นข้อมูลที่น่าทึ่งครับ มีวันเดือนปีเกิดและเสียชีวิตไว้พร้อม ผมอยากถามว่า

มีเวลาเกิดและเวลาที่เสียชีวิตไหมครับ และมาเกิดใหม่เมื่อไหร่พอจะบอกได้ไหมครับ
หัวข้อ: Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: SODA 405 ที่ ธันวาคม 06, 2011, 12:21:26 pm

        ....ขอบคุณที่นำเรื่องราวมาบอกเล่าครับ! :D (http://www.peugeot4you.com/public/style_emoticons/default/thanks.gif)
หัวข้อ: Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 06, 2011, 03:27:54 pm
นายอนันตชัย รัตนสมโภช เพศชาย เกิดเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2496 เวลา 6:00 น. จ.กาญจนบุรี
ตรงกับวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ปีมะเส็ง จ.ศ.1315 ค.ศ.1953


เวลาเกิดสมมุติ
หัวข้อ: Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 06, 2011, 03:38:12 pm
นายอนันตชัย รัตนสมโภช เพศชาย เกิดเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2496 เวลา 6:00 น. จ.กาญจนบุรี
ตรงกับวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ปีมะเส็ง จ.ศ.1315 ค.ศ.1953


เวลาเกิดสมมุติ

มรณะเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ.2506 12:00 น. กาญจนบุรี
ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ จ.ศ.1325 ค.ศ.1963