กระดานสนทนาเว็บไซต์ ศิษย์หลวงพ่อกวย

เรื่องเล่าประสบการณ์ => เรื่องเล่าประสบการณ์ เรื่องเล่า เรื่องราวปาฎิหาริย์เกี่ยวกับหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม => ข้อความที่เริ่มโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 16, 2011, 02:56:05 pm

หัวข้อ: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 16, 2011, 02:56:05 pm
เหตุเกิดเมื่อ พ.ย.๕๓ คือปีที่แล้ว จำได้ว่า วันนั้นตรงกับวันเสาร์ เวลาประมาณ ๐๙.๓๐ น. จะไปเอาทะเบียนรถที่ฝากต่อไว้และก็จะนำพระสีวลีองค์พิมพ์มีย่ามหลังจารไปห่มจีวรที่ร้านทองด้วยโดยใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ ในคอก็ใส่สมเด็จองค์นี้แหละครับ วันนั้น จำได้ว่าเป็นวันเสาร์ก่อนวันลอยกระทง ๑ วัน ได้ขี่ไปบริเวณสวนสาธารณะโดยเข้าใจว่าบริเวณนั้นรถน้อยไม่จอแจเหมือนเส้นทางอื่น และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ครับ ทำให้เกิดอาการประมาท ขาดความรอบคอบ ไปถึงทางออกของมุมหนึ่งของสวนสาธารณะเพื่อจะออกไปยังเส้นทางที่ตั้งใจไว้ ด้านขวามือเป็นทางสามแยกที่มีไฟเขียวไฟแดงซึ่งจังหวะนั้นปลอดรถ ด้วยความเข้าใจว่าด้านซ้ายมือคงจะไม่มีรถแน่นอนเพราะถ้ามีก็หมายถึงวิ่งย้อนศรเพราะเป็นถนนสี่เลน โดยทางซ้ายมือจะเข้าตลาด ร้านเป้าหมายของผมอยู่ทางขวามือผมต้องไปทางซ้ายเพื่อไปยูเทิร์นเล็กน้อยประมาณ ๒๐ เมตร เมื่อมองขวาไม่มีรถ ก็วิ่งออกไปแค่หนึ่งช่วงตัวรถจักรยานยนต์ของผมเองครับ "โครม" ใช้แล้วครับ มีรถวิ่งถอยหลังย้อนศรมาชนผมเข้าเต็ม ๆ ทั้งคนทั้งรถหยุดแค่นั้น มีความรู้สึกว่าศีรษะผมกระทบกับท้ายกระบะรถเข้าเต็ม ๆ เจ้าของรถรีบลงมาจากรถมาดูผมเป็นผู้สูงวัยประมาณ เกือบ ๖๐ เห็นจะได้ ยกมือไหว้ผมประหลก ๆ ผมสำรวจตัวเองรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย สำรวจดูตัวเองไม่เป็นไรมาก ทั้ง ๆ ที่ขาผมน่าจะหักเพราะกันชนท้ายรถยนต์จะตรงกับช่วงขาซ้ายของผมพอดี รถมอเตอร์ไซด์คันเก่ง ตระกร้าบุบเล็กน้อย เมื่อทั้งคนทั้งรถไม่เป็นไรมาก ก็ไม่ถือสาเอาความ ผมจากไปด้วยความหัวเสีย ไปเอาทะเบียนรถ และเข้าตลาดนำพระสีวลีไปเลี่ยมทอง พระสมเด็จองค์นี้ ผมเองก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่นักว่าใช่ของหลวงพ่อหรือไม่แต่กับประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมยิ่งรักสมเด็จองค์นี้มาก ๆ เนื้อสวย หลังก็จารดูขลังดีโดยเฉพาะตัว "เฑาะว์" ชอบมากครับ ใช้คาถาอาราธนาพระสมเด็จของหลวงพ่อทุกครั้งไม่เคยขาด ถัดมาอีกเพียงไม่กี่วัน เป็นวันพุธ ไปซื้อน้ำดื่มถังใหญ่ เดินไปถึงร้านค้าระหว่างนั้นหมาแม่ลูกอ่อนได้เดินตามหลังผมมาเงียบ ๆ พอผมหยุดเรียกเจ้าของร้านเพื่อบอกว่าจะซื้อน้ำ เจ้าสุนัขแม่ลูกอ่อนก็งับเข้าเต็ม ๆ ที่ข้อเท้า ผมสะดุ้งสุดตัว หันหลังไปมองหมาแม่ลูกอ่อนด้วยความแค้นเพราะรู้สึกเจ็บและแสบร้อนที่ข้อเท้า รู้สึกทึ่งที่มันกัดไม่เข้าครับ คราวนี้ในคอผมก็มีแค่สมเด็จองค์เดี่ยว ๆ เพรียว ๆ ครับ ไม่ชอบก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว

เป็นประสบการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ มาเล่าสู่กันฟังครับ ผมเองนับถือหลวงพ่อมาก ๆ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 16, 2011, 02:59:11 pm
พระสีวลีพิมพ์มีย่าม ครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 17, 2011, 11:08:56 am
เหรียญเดิมบาง เหรียญนี้หลวงพ่อท่านเมตตาให้ผมมา กล่าวคือ เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งได้เหรียญนี้มาแล้วเอามาอวดผม ซึ่งผมคิดว่าพี่เขาคงจะเล่นพระของหลวงพ่อแบบผิวเผินไม่จริงนัก ก็เลยลองจีบพี่เขาดู พี่เขาขอเบียร์ผมแค่ ๓ ขวดเองครับ ไม่น่าเชื่อว่าจะได้มาโดยง่ายถึงเพียงนี้ เหรียญนี้ได้มานานมากแล้วประมาณปี ๓๔ ให้ลูกชายจอมซนแขวนจนพลาสติกช้ำแล้วช้ำอีกจนต้องแกะออกมาเก็บเอาไว้ ตอนนี้กำลังรอเงินไปห่มจีวรให้หลวงพ่ออยู่ครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 17, 2011, 11:13:57 am
เหรียญหนุมาน เหรียญนี้หลวงพ่อท่านเมตตาให้ผมมาอีกครับ เจอบนแผงพระนานมากแล้วจำปีไม่ได้ครับเหรียญนี้ได้มาแค่ ๑๐๐ บาท เท่านั้น รอห่มจีวรให้หลวงพ่ออีกเหรียญครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 17, 2011, 11:21:33 am
สมเด็จพิมพ์ได้มานานแล้ว แต่เป็นของภรรยาครับติดมาตอนย้ายบ้าน น่าแปลกตรงที่ ผมเองก็ไม่รู้จักสมเด็จพิมพ์นี้มาก่อน แต่ว่าชอบตั้งแต่เห็นครั้งแรกส่องแล้วส่องอีกกว่าจะวางได้คือส่องได้ไม่มีเบื่อครับ ด้วยความที่ไม่รู้จักก็ได้แต่ส่อง ๆๆๆๆๆๆ จนเพิ่งมารู้เมื่อเร็ว ๆ เองว่า เป็นสมเด็จมหาอุตม์ของหลวงพ่อ ความดีใจนั้นบอกไม่ถูกเลยครับปลื้มปีติมาก ๆ ใครทราบประวัติของสมเด็จพิมพ์นี้ช่วยเล่าให้ฟังเป็นวิทยาทานด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 17, 2011, 02:35:53 pm
ล่าสุด เป็นพระสีวลีองค์จ้อยพิมพ์ไม่มีย่าม ถ่ายรูปสีออกจะเพี้ยน ๆ ไปเป็นสีอะไรก็ไม่รู้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 18, 2011, 01:52:35 pm
สำหรับพระองค์นี้ แขวนเดี่ยวมานานนับปีเพราะค่อนข้างชอบเป็นการส่วนตัว ได้มาประมาณปลายปี ๒๕๓๗ พร้อมกับสมเด็จหลังจารและพระสีวลีหลังจาร เหตุที่ชอบเพราะมีรอยจาร ด้วยความคิดที่ว่ารอยจารแบบนี้น่าจะเป็นพระแท้ จนบัดนี้พระทั้ง ๓ องค์นี้ก็ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน พระองค์นี้ขนาดเกือบฝ่ามือครับ ต้องเลี่ยมพลาสติกอย่างเดียว เคยทดสอบกำลังใจของตัวเองมาแล้วหลายครั้ง สุดท้ายแขวนองค์นี้แล้วสบายใจที่สุดเมื่อปลายเดือน ก.พ.๒๕๔๘ ผมถูกรถมอเตอร์ไซด์ด้วยกันชนท้ายอย่างแรง คนชนเมาครับกระเด็นไปทั้งรถทั้งคนเกือบ ๕๐ เมตรแรงมาก ผมเองถูกชนท้ายไม่ทันตั้งตัวกระเด็นไปเหมือนกันเกือบ ๒๐ เมตร มีความรู้สึกว่า ตัวเองนั้นเบาเหมือนปุยนุ่น ในลักษณะคว่ำหน้า มือยันพื้นถนน เคราะห์ดีที่ช่วงนั้นเป็นกลางคืนประมาณ ๒๑.๓๐ น. เป็นช่วงปลอดรถ ทั้งถนนมีรถอยู่ ๒ คันเท่านั้น ผมนุ่งกางเกงยีน ใส่รองเท้าผ้าใบ จึงไม่เป็นไรมาก ฝ่ามือที่ยันถนนก็ไม่มีแผล บริเวณหัวเข่ากางเกงยีนขาด นับว่า เคราะห์ครั้งนี้ช่วยให้หนักกลายเป็นเบาไปได้ กรอบพระร้าวแสดงว่า หน้าอกกระแทกพื้นเพียงเบาบางเท่านั้น ผมเห็นว่าพลาสติกแค่ร้าวจึงสวมต่อไปลืมนึกถึงเวลาเหงื่อออกซึมเข้าไปได้ทำลายเนื้อพระเสียหายน่าเสียดายมาก สำหรับพระองค์นี้ประสบการณ์แคล้วคลาดดีมาก
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: Joker ที่ พฤศจิกายน 22, 2011, 03:29:32 pm
สงสัยหนุมานสีทำไม่แปลกๆครับ มีเนื้ออาปาก้าเนื้อเดียวนะครับ
สมเด็จจารยันต์เบาบางเหมือนกัน เฑาะว์
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 22, 2011, 03:37:44 pm
สงสัยหนุมานสีทำไม่แปลกๆครับ มีเนื้ออาปาก้าเนื้อเดียวนะครับ
สมเด็จจารยันต์เบาบางเหมือนกัน เฑาะว์

ยันต์น่าสนใจครับ แบ่งภาพเต็มองค์มาชมบ้างสิครับ เหรียญหนุมานก็เนื้ออัลปาก้านั่นแหละครับสีถ่ายมันเพี้ยนครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 23, 2011, 08:41:58 am
สงสัยหนุมานสีทำไม่แปลกๆครับ มีเนื้ออาปาก้าเนื้อเดียวนะครับ
สมเด็จจารยันต์เบาบางเหมือนกัน เฑาะว์

เหรียญหนุมานก่อนล้างผิวครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: littleoil ที่ พฤศจิกายน 23, 2011, 10:16:56 am
ผมรู้แค่ว่าเหรียญหนุมานกับเดิมบางแท้ครับนอกนั้นไม่รู้แต่แค่ความศรัทธากับตัวหลวงพ่อนี้ไม่ต้องแขวนพระหลวงพ่อก็ช่วยเราแล้วครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 23, 2011, 11:02:17 am
ผมรู้แค่ว่าเหรียญหนุมานกับเดิมบางแท้ครับนอกนั้นไม่รู้แต่แค่ความศรัทธากับตัวหลวงพ่อนี้ไม่ต้องแขวนพระหลวงพ่อก็ช่วยเราแล้วครับ ;D

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 23, 2011, 11:17:09 am
ผมมีประสบการณ์อีกเรื่องหนึ่ง อยากเล่าให้ฟังครับ ในละแวกที่ผมอยู่นั้น ในสมัย ๒๕๓๒ - ๒๕๔๑ โดยประมาณ ปกติผมชอบที่จะเล่าความศรัทธาที่ผมมีให้แก่เพื่อนร่วมงานฟังเสมอ วันหนึ่ง หน.ผมเขาฟังผมเล่าแล้วก็นึกอยากได้ของหลวงพ่อขึ้นมาบ้าง จึงบอกให้ผมช่วยหาให้เขาบ้าง วันนั้นหลังอาหารเที่ยงแล้วจึงแวะไปที่สนามพระเชื่อไหมครับว่า ทันทีที่เปิดประตูรถก็มีขาประจำรีบปรี่เข้ามาหาทันทีพร้อมกับกำพระไว้ในมือบอกว่ามีพระของหลวงพ่อมาฝากพร้อมกับบอกว่าไม่แพงอย่างที่คิด พอเขาแบมือให้ดูปรากฎว่าเป็นเหรียญหลังยันต์สวยกริ๊บเลี่ยมพลาสติกเอาไว้ บอกราคามาพร้อมเสร็จ ๓๕๐.- ผมสะดุ้งอยู่ในใจ(ไอ้นี่ตกควาย ราคาขณะนั้นประมาณ ๒,๐๐๐ - ๒,๕๐๐ ไม่เกิน ๓,๐๐๐ เห็นจะได้ ทั้ง ๆ ที่ หน.ตามมาติด ๆ กระซิบถามผมว่า แพงไหมวะ ผมทำเฉย ๆ บอกให้ หน.แกอยู่นิ่ง ๆ) ผมแกล้งต่อ ๒๕๐.- หมอบอกโดน ก็เป็นอันเรียบร้อย

นึกถึงเหรียญหลังยันต์เหรียญนั้นแล้ว ต้องบอกว่า เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเชื่อนะครับ หลวงพ่อท่านคงอยากให้ หน.ผม น่ะครับ ซึ่งหน้าที่การงานของเขาก้าวหน้าดีมาก ผิดกับผมที่ยังเป็นไปอย่างช้า ๆ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: จันผา ที่ ธันวาคม 01, 2011, 12:21:38 am
พระสมเด็จของพี่ จารด้วยมือ   คล้าย ๆ พระสมเด็จของผม   

ไม่รู้ที่มาเหมือนกันครับ   ยันต์นี้สายนครปฐม  วัดกลางบางแก้ว ใช้กัน ไม่รู้จะเป็นของหลวงปู่เพิ่มหรือเปล่า

(http://image.ohozaa.com/i/24a/rq3Bg.jpg) (http://image.ohozaa.com/view/5o818)
(http://image.ohozaa.com/i/7a4/Nk6Nm.jpg) (http://image.ohozaa.com/view/5o81b)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: pramate ที่ ธันวาคม 01, 2011, 09:14:56 am
ขอบคุณครับ ที่นำประสบการณ์ดีๆ ของหลวงพ่อมาเล่าให้ฟังครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 01, 2011, 11:10:05 am
พระสมเด็จของพี่ จารด้วยมือ   คล้าย ๆ พระสมเด็จของผม   

ไม่รู้ที่มาเหมือนกันครับ   ยันต์นี้สายนครปฐม  วัดกลางบางแก้ว ใช้กัน ไม่รู้จะเป็นของหลวงปู่เพิ่มหรือเปล่า

(http://image.ohozaa.com/i/24a/rq3Bg.jpg) (http://image.ohozaa.com/view/5o818)
(http://image.ohozaa.com/i/7a4/Nk6Nm.jpg) (http://image.ohozaa.com/view/5o81b)

ลองดูตัวอย่างลายมือของหลวงพ่อจากภาพถ่ายบานนี้ดูสิครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 06, 2011, 04:46:58 pm
เมื่อวันที่ ๒๙ พ.ย.๕๔ ได้ไป กทม. เขตภาษีเจริญ เพื่อช่วยลูกสองคนทำความสะอาดบ้านที่ถูกน้ำท่วมเหมือนกัน ผมจึงได้ฝากรูปหล่อไปให้ลูกชาย ๑ องค์ โดยอาราธนาสวมคอภรรยา ระหว่างสวมคอรู้สึกว่าขนลุกซู่ไปทั้งสองแขน ภรรยาเล่าให้ฟังว่า ไปถึงภาษีเจริญประมาณบ่ายสามจึงแวะที่ทำงานลูกสาวก่อนเพื่อรอกลับเข้าบ้านพร้อมกัน ที่สำนักงานโดยภรรยาของ ผจก.ซึ่งเป็นเจ้านายของลูกสาวได้แสดงการต้อนรับขับสู้ภรรยาของผมเป็นอย่างดียิ่ง ทั้ง ๆ ที่สารูปของภรรยาผมนั้นไม่ต่างไปจากบ้านนอกเข้ากรุงเลยครับ

เล่าสู่กันฟังเล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 09, 2011, 01:56:02 pm
เมื่อตอนเที่ยงได้นำเหรียญหนุมาน และเหรียญเดิมบางไปให้ร้านห่มจีวรให้ครับ รับพระวันที่ ๒๑ ธ.ค.๕๔ นี้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 21, 2011, 03:06:12 pm
เมื่อตอนเที่ยงได้นำเหรียญหนุมาน และเหรียญเดิมบางไปให้ร้านห่มจีวรให้ครับ รับพระวันที่ ๒๑ ธ.ค.๕๔ นี้

วันนี้ไปรับพระเรียบร้อยแล้วถ่ายรูปเสร็จจะนำมาให้ชมกันครับว่าห่มจีวรแล้วจะสวยงามหรือไม่ พูดถึงวันรับพระคือวันนี้แล้ว ก็อดนึกถึงหวยไม่ได้ กล่าวคือ ใบเสร็จนัดรับพระนั้นเลขทะเบียนสามตัวท้าย คือ 924 และมีซองส่งพระพิมพ์สรรค์นั่งมีเลข 28 เขียนไว้ที่หน้าซอง งวดที่ผ่านมาซื้อ สองเลขนี้ไว้มากพอสมควร แต่เลขที่ออกคือ 21 พอนึกถึงวันรับพระแล้วก็อดเสียดายไม่ได้ สององค์นี้ก็แกะทองเก่าจากพระเดิมที่มีอยู่สององค์เพิ่มเงินอีก 1,500.-บาท

นอกจากไปรับพระแล้ว ยังนำพระพิมพ์สรรค์นั่ง และรูปหล่อรุ่นแรก ย้อนยุค เนื้อทองเหลือง ไปห่มจีวรเพิ่มอีกสององค์ โดยแกะทองเก่าที่เลี่ยมสมเด็จขาโต๊ะตะกรุดทองคำรุ่นแช่น้ำมนต์ของหลวงพ่อคูณออกเนื่องจากเลี่ยมเดิมฝีมือโบราณไม่ค่อยสวยนักแต่ทองหนา ช่างบอกให้เพิ่มเงินอีก 3,000.-บาท จะสวยมาก
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 22, 2011, 08:04:11 am
เมื่อตอนเที่ยงได้นำเหรียญหนุมาน และเหรียญเดิมบางไปให้ร้านห่มจีวรให้ครับ รับพระวันที่ ๒๑ ธ.ค.๕๔ นี้

วันนี้ไปรับพระเรียบร้อยแล้วถ่ายรูปเสร็จจะนำมาให้ชมกันครับว่าห่มจีวรแล้วจะสวยงามหรือไม่ พูดถึงวันรับพระคือวันนี้แล้ว ก็อดนึกถึงหวยไม่ได้ กล่าวคือ ใบเสร็จนัดรับพระนั้นเลขทะเบียนสามตัวท้าย คือ 924 และมีซองส่งพระพิมพ์สรรค์นั่งมีเลข 28 เขียนไว้ที่หน้าซอง งวดที่ผ่านมาซื้อ สองเลขนี้ไว้มากพอสมควร แต่เลขที่ออกคือ 21 พอนึกถึงวันรับพระแล้วก็อดเสียดายไม่ได้ สององค์นี้ก็แกะทองเก่าจากพระเดิมที่มีอยู่สององค์เพิ่มเงินอีก 1,500.-บาท

นอกจากไปรับพระแล้ว ยังนำพระพิมพ์สรรค์นั่ง และรูปหล่อรุ่นแรก ย้อนยุค เนื้อทองเหลือง ไปห่มจีวรเพิ่มอีกสององค์ โดยแกะทองเก่าที่เลี่ยมสมเด็จขาโต๊ะตะกรุดทองคำรุ่นแช่น้ำมนต์ของหลวงพ่อคูณออกเนื่องจากเลี่ยมเดิมฝีมือโบราณไม่ค่อยสวยนักแต่ทองหนา ช่างบอกให้เพิ่มเงินอีก 3,000.-บาท จะสวยมาก
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 22, 2011, 10:26:47 am
ถ่ายไว้หลายรูปครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 22, 2011, 10:33:28 am
อีกสักภาพครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 22, 2011, 11:44:01 am
เมื่อตอนเที่ยงได้นำเหรียญหนุมาน และเหรียญเดิมบางไปให้ร้านห่มจีวรให้ครับ รับพระวันที่ ๒๑ ธ.ค.๕๔ นี้

วันนี้ไปรับพระเรียบร้อยแล้วถ่ายรูปเสร็จจะนำมาให้ชมกันครับว่าห่มจีวรแล้วจะสวยงามหรือไม่ พูดถึงวันรับพระคือวันนี้แล้ว ก็อดนึกถึงหวยไม่ได้ กล่าวคือ ใบเสร็จนัดรับพระนั้นเลขทะเบียนสามตัวท้าย คือ 924 และมีซองส่งพระพิมพ์สรรค์นั่งมีเลข 28 เขียนไว้ที่หน้าซอง งวดที่ผ่านมาซื้อ สองเลขนี้ไว้มากพอสมควร แต่เลขที่ออกคือ 21 พอนึกถึงวันรับพระแล้วก็อดเสียดายไม่ได้ สององค์นี้ก็แกะทองเก่าจากพระเดิมที่มีอยู่สององค์เพิ่มเงินอีก 1,500.-บาท

นอกจากไปรับพระแล้ว ยังนำพระพิมพ์สรรค์นั่ง และรูปหล่อรุ่นแรก ย้อนยุค เนื้อทองเหลือง ไปห่มจีวรเพิ่มอีกสององค์ โดยแกะทองเก่าที่เลี่ยมสมเด็จขาโต๊ะตะกรุดทองคำรุ่นแช่น้ำมนต์ของหลวงพ่อคูณออกเนื่องจากเลี่ยมเดิมฝีมือโบราณไม่ค่อยสวยนักแต่ทองหนา ช่างบอกให้เพิ่มเงินอีก 3,000.-บาท จะสวยมาก

มานึกขึ้นได้ว่า เหรียญหนุมารปี21 รับพระ วันที่ 21 เสียดายจังเราไม่มีโชค เฉียดไปก็เฉียดมาหลายงวดแล้ว ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: Joker ที่ ธันวาคม 22, 2011, 01:22:52 pm
ลองเทียบฝีมือ เลี่ยมเดิมบางครับ  ของผมเลี่ยมตอนทองบาทไม่ถึงห้าพัน  ;D ;D ;D
เหรียญไม่สวยครับ ตอนได้มาใหม่ๆ เอามาวางที่หน้าผากทุกคืน ;D ;D ก่อนไปเลี่ยม (ฝีมือถ่ายรูปได้แค่นี้) :-[
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: Joker ที่ ธันวาคม 22, 2011, 01:28:08 pm
ด้านหน้าทองเต็มหน่อยแต่ด้านหลังทองน้อย :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 22, 2011, 01:35:50 pm
ลองเทียบฝีมือ เลี่ยมเดิมบางครับ  ของผมเลี่ยมตอนทองบาทไม่ถึงห้าพัน  ;D ;D ;D
เหรียญไม่สวยครับ ตอนได้มาใหม่ๆ เอามาวางที่หน้าผากทุกคืน ;D ;D ก่อนไปเลี่ยม (ฝีมือถ่ายรูปได้แค่นี้) :-[

ผมจำได้ว่าปี 48 ทองบาทละประมาณ 8,000.- ของคุณน่าจะเลี่ยมมาก่อนปี 48

ผมไปเลี่ยมเมื่อวันที่ 9 บาทละสองหมื่อนกว่า สององค์ช่างตีราคาหมื่นกว่า เลยตัดสินใจแกะทองเก่าองค์ที่เลี่ยมไม่สวยดีกว่าเสียเงินไป 1,500.- นึกไม่ถึงว่าช่างจะเลี่ยมได้ถูกใจมาก เมื่อวานรับเหรียญมาแล้วมีความสุขใจมากจริง ๆ ครับ

ขอบคุณมากครับที่มาร่วมแจมกันคลายเหงา
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 23, 2011, 09:41:09 am
พระสีวลีพิมพ์มีย่าม ครับ

แกะกรอบออกมาถ่ายรูปใหม่ครับ กรอบเดิมนิมนต์ไปห่มให้เหรียญหนุมาน กับเหรียญเดิมบางครับ

ประวัติองค์นี้ได้มาจากสนามพระวัดใหญ่ชัยมงคล พัทยา ประมาณปลายปี ๒๕๓๗ ครับ เห็นด้านหลังมีรอยจารรู้สึกชอบ ก่อนหน้านี้ก็ดูไม่เป็นหรอกครับว่าพระสีวลีของหลวงพ่อมีรูปร่างหน้าตาพิมพ์ทรงเป็นเช่นไร ปัจจุบันนี้ก็ยังไม่แน่ใจเลยครับว่า สีวลี องค์นี้ใช่พระของหลวงพ่อหรือเปล่า ใครรู้ช่วงสงเคราะห์ผมสักหน่อยนะครับ ขอบพระคุณทุกท่านล่วงหน้ามา ณ โอกาสนี้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 23, 2011, 09:49:33 am
ลองเทียบฝีมือ เลี่ยมเดิมบางครับ  ของผมเลี่ยมตอนทองบาทไม่ถึงห้าพัน  ;D ;D ;D
เหรียญไม่สวยครับ ตอนได้มาใหม่ๆ เอามาวางที่หน้าผากทุกคืน ;D ;D ก่อนไปเลี่ยม (ฝีมือถ่ายรูปได้แค่นี้) :-[

ครับเปรียบเทียบฝีมือการเลี่ยมดูครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 23, 2011, 09:53:45 am
เหรียญแห่งความภูมิใจ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 23, 2011, 10:29:23 am
สมเด็จหลังจารเฑาะ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 23, 2011, 10:30:41 am
สมเด็จหลังจารเฑาะ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: SODA 405 ที่ ธันวาคม 25, 2011, 08:32:21 am

     ....ขอบคุณครับ!  (http://sitluangporguay.com/forum/index.php?action=dlattach;topic=12932.0;attach=43920;image)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 06, 2012, 03:31:57 pm
ผมเคยอธิษฐานกับหลวงพ่อว่า อยากจะได้พระของหลวงพ่อมาบูชาสัก ๔๐ - ๕๐ องค์ แต่สุดท้ายผมก็ทำไม่ได้ครับอาจจะเป็นเพราะว่าการแสวงหาในสมัยนั้นยี่สิบปีที่แล้วไม่ได้ผลของเก๊มีมากกว่าของแท้และอยู่ต่างถิ่นต่างแดนจากวัดของหลวงพ่อ การเล่นหาของผมเป็นไปแบบสะเปะสะปะไม่มีจุดยืนและจุดมุ่งหมายที่แน่นอน หรืออาจจะเป็นเพราะกำลังทรัพย์ที่ไม่ค่อยมั่นคงนักรวม ๆ กัน แต่มีคำ ๆ หนึ่งที่ผมนึกถึงทีไรแล้วสะเทือนใจ นั่นก็คือ "มึงมันไม่นับถือกูจริง" อาจจะเป็นเพราะ ความรู้สึก ความอยาก และกิเลส ที่ไม่เคยจบสิ้น ไม่เคยลดราวาศอก ย่อมมีการดิ้นรนแสวงหาในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีกว่าอยู่เสมอไป ผมอาจจะลืมคล้องพระของหลวงพ่อมานานหลายปี แต่เมื่อได้รู้จักอินเตอร์เน็ต รู้จักเวปของหลวงพ่อที่ลูกศิษย์สร้างขึ้น ความรู้สึกเดิม ๆ ก็กลับมาอีกครั้ง

ล่าสุดได้รูปถ่ายหลังสิงห์สภาพช้ำมา ๑ บาน และเหรียญหลังยันต์สภาพสวยกริ๊บมา ๑ เหรียญ คิดว่า หลวงพ่อท่านคงไม่ทิ้งผม ท่านคงยังรับผมเป็นศิษย์อยู่เหมือนเดิม เสียดายครับที่วันนี้ไม่ได้ไปร่วมงาน แต่พรุ่งนี้ผมไปกราบหลวงพ่อท่านที่วัดแน่นอน

ขอกราบหลวงพ่อครับที่ให้สิ่งที่ผมอยากได้มาบูชาติดตัว
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 09, 2012, 09:25:40 am
ภาพถ่ายหลังสิงห์อัดกระจกสภาพใช้ช้ำ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 09, 2012, 09:30:48 am
เหรียญหลังยันต์สภาพน่ารัก
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 09, 2012, 09:41:54 am
ไปกราบหลวงพ่อสมใจ
[/color][/b]

รูปถ่ายหลังสิงห์สภาพช้ำและเหรียญหลังยันต์ ได้มาเมื่อวันศุกร์สมใจนึกบางลำพู เป็นของขวัญปีใหม่ ๒๕๕๕ ให้กับตัวเอง นับว่าเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองยิ่งนัก สาย ๆ ของเช้าวันศุกร์ที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๕ หลังจากไปรับพระมาแล้วก็ไปทำงานได้พูดคุยกับรุ่นน้อง ซึ่งเขาเองเพิ่งบอกให้ผมทราบว่า ภรรยากำลังตั้งครรภ์ได้ ๔ เดือนแล้ว ก่อนหน้านั้นภรรยาได้คลอดลูกคนแรกได้เพียง ๒ – ๓ วันลูกก็จากไป เมื่อปีก่อนภรรยาคลอดบุตรคนที่ ๒ ก่อนกำหนดประมาณ ๖ เดือนเท่านั้นก็จากไป นับว่าแปลกมาก

ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวที่ อ.เฒ่า สุพรรณ ได้เล่าเรื่องของหมอตำแยที่แท้งลูกถึง ๔ ท้อง แล้วมากราบหลวงพ่อทำนองมาขอลูก พร้อมเล่าเรื่องราวให้หลวงพ่อท่านทราบ ท่านได้มอบพระพิมพ์สรรค์ให้หมอตำแยไปต่อมา ๒ ปีให้หลังได้พาบุตรชายมากราบหลวงพ่ออีกครั้งเรื่องเล่าเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมประทับใจไม่รู้ลืม ทำให้ผมเล่าเรื่องนี้ให้น้องเขาฟัง
ผมเองได้ชักชวนให้เขาไปกราบไหว้หลวงพ่อและถวายตัวเป็นศิษย์ น้องเขามีรถยนต์แต่ผมไม่มี ผมจึงต้องชวนเขาเพื่ออาศัยรถเขานั่นเองโดยผมขออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางทั้งหมดพร้อมค่ากิน ซึ่งนึกไม่ถึงว่า น้องเขาจะตอบตกลงอย่างง่ายดาย โดยตกลงกันว่าจะไปในวันรุ่งขึ้นคือวันเสาร์ที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา


ก่อนหน้านี้ ๑ วัน คือวันพฤหัสบดีที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๕ ผมเองยังไม่ได้รับพระคือรูปถ่ายหลังสิงห์และเหรียญหลังยันต์ ผมเองได้ลองหยั่งเชิงชักชวนน้องเขาไปไหว้หลวงพ่อในวันศุกร์ ซึ่งเขานึกว่าผมพูดเล่นและก็ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคือเฉย ๆ และเงียบไป แต่เช้าวันศุกร์ผมแวะไปรับพระที่ไปรษณีย์ก่อนมาทำงาน พอแกะกล่องและใส่กระเป๋าเสื้อไว้อย่างเรียบร้อยและมิดชิด ก็ลองชวนน้องเขาอีกครั้งพร้อมกับเล่าเรื่องราวอาถรรพ์หมอตำแยแท้งลูกให้ฟัง คราวนี้ น้องเขาตอบตกลงทันที ก็รู้สึกดีใจมากอย่างบอกไม่ถูก จะได้ไปกราบและฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อถึงที่วัดดั่งที่ได้ตั้งใจเอาไว้นานแล้ว

ตกเย็น หลังจากออกกำลังกายแล้วได้ไปตลาดเพื่อซื้อของไหว้มี ธูปเทียนแพ หมาก พลู บุหรี่ และพาน รวม ๒ ชุด เผื่อน้องเขา ๑ ชุด และซื้อไหว้หลวงพ่อที่บ้านอีก ๑ ชุด เมื่อกลับมาถึงบ้านเกือบ ๒ ทุ่ม อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย จึงจัดพานถวายหมากพลูบุหรี่พวงมาลัยพร้อมดอกไม้ที่โต๊ะหมู่บูชาซึ่งผมบูชารูปหล่อบูชารุ่น ๓ ของหลวงพ่อ โดยนำรูปถ่ายหลังสิงห์และเหรียญหลังยันต์ใส่พานตั้งบูชาถวายหลวงพ่อด้วย ผมขอให้การเดินทางไปกราบหลวงพ่อที่วัดในวันพรุ่งนี้อย่าได้มีอุปสรรคใด ๆ เลย ของให้เดินทางโดยราบรื่น รู้สึกสบายใจและสุขใจอย่างบอกไม่ถูก โดยนัดแนะกันว่าจะออกเดินทางในตอนเช้าวันเสาร์ที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๕ เวลา ๐๖.๐๐ น. ตกลงคืนนั้นด้วยความดีใจผสมความตื่นเต้น กลับทำให้ผมนอนไม่หลับ กว่าจะหลับลงได้ก็ดึกมาก นอนคิดฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ นา ๆ จนหลับไป และตื่นมาอีกทีตอน ๐๕.๐๐ น. จึงลุกมาอาบน้ำอาบท่าแต่งตัว เหตุที่นอนไม่หลับน่าจะมาจากกลัวไปไม่ถูกรวมอยู่ด้วยนั่นเอง

อีก ๕ นาที จะได้เวลาตามที่นัด จึงโทรไปถามน้องเขาว่าพร้อมหรือยัง ปรากฏว่าเป็นการโทรไปปลุกมากกว่า จึงขอเลื่อนเวลาไปอีกครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้นนึกขึ้นมาได้จึงเปิดโน้ตบุคที่ผมได้เก็บข้อมูลของ ตะลอนทัวร์ เอาไว้ นั่งอ่านฆ่าเวลาและจดเส้นทางที่เขาบอกเอาไว้ว่า
แบกเป้กระโดดขึ้นรถสาย 8 ชัยนาททัวร์ หน้า Future รังสิตมุ่งสู่ วัดบ้านแค ต.บางขุด อ.สรรคบุรี โชเฟอร์พาตะลอน ๆ ตามทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านบางปะอิน เข้าอ่างทองเรื่อยมาจนรถเข้า "ท่าข้าม" จนผ่านแยกไหสี่หู-ข้ามคลองชลประทานไปเรื่อย... ลงที่นี่ครับ "ป้อมตำรวจ-แยกโพธิ์งาม"
ผมจดเอาเฉพาะที่สำคัญ คือ บางปะอิน – อ่างทอง – ท่าข้าม – แยกไหสี่หู – ชลประทาน – ป้อมตำรวจแยกโพธิ์งาม จดเอาไว้คร่าวเพียงแค่นี้ก็น่าจะพอ นึกในใจว่า คงไปไม่ยาก พอดีน้องเขาโทรเรียกเข้ามาแสดงว่าพร้อมแล้ว จึงนำข้าวของที่เตรียมไว้ไปหาน้องเขาซึ่งจอดรถรออยู่ ออกเดินทางครั้งนี้น่าเสียวไส้ไม่น้อยเพราะปกติไม่ค่อยเดินทางเท่าไหร่นัก และก็เป็นไปตามที่คิดจริง ๆ พอออกจากมอเตอร์เวเข้าอยุธยา น้องเขากลับเข้าเลนผิดไปเข้าเลนข้ามสะพานไปฝั่งเข้ากรุงเทพฯ ดีที่ข้างหน้าไม่ไกลนักมีสะพานกลับรถอยู่ข้างหน้า พอเข้ากลับรถวิ่งเข้าอยุธยาได้ก็สบายใจ รวมเบ็ดเสร็จเจอค่าผ่านทางไปทั้งหมด ๔ ด่าน


เวลานั้นก็ประมาณเกือบ ๐๙.๐๐ น. เห็นจะได้ท้องเริ่มร้องแล้วเห็นปั๊ม ปตท.ข้างหน้าเลี้ยวเข้าไปพักรถเพื่อหาอาหารเช้ารองท้อง กลับมีแต่ร้านกาแฟไม่ต่ำกว่า ๔ ร้าน ร้านอาหารไม่มี ไม่เป็นไรเข้าห้องน้ำก่อน ตกลงกันว่าเริ่มกาแฟแก้ง่วงกันก่อนดีกว่าเดี๋ยวหาปั๊มข้างหน้ากินข้าวเช้ากัน เสร็จจากกาแฟขับรถไปสักพักแวะเข้าปั๊ม ปตท.กินข้าวเช้าเป็นข้าวราดแกงธรรมดาครับ ๒ อย่าง ๓๕ บาท รสชาติพอใช้ได้ น้ำดื่มคนละขวด ก็อิ่มหนำสำราญ
ออกจากปั๊ม ปตท. บางปะอิน ก็วิ่งยาวเลยอ่างทอง ไปเสียฉิบ (หากเลี้ยวซ้ายเข้าอ่างทอง ถ้าจำไม่ผิดถนนเส้นนี้น่าจะเป็นหมายเลข ๓๓๔ เส้นทางอ่างทอง-สิงห์บุรี เพื่อวิ่งไปเข้าถนนหมายเลข ๓๐๙ สิงห์บุรี-บางระจัน ถ้าผมจำไม่ผิด) จริง ๆ แล้ว ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าวิ่งตรงไปแล้วจะไปเข้าที่ใด เห็นว่าเส้นที่กำลังวิ่งอยู่นั้นเป็นเขตอ่างทอง จึงคิดว่า ตรงไปข้างหน้าต้องเป็นท่าข้ามสิงห์บุรีแน่นอน
วิ่งไปเรื่อย ๆ จนเข้าเขตสิงห์บุรี รู้สึกปวดท้องจึงแวะเข้าปั๊มแก๊ส ระหว่างนั้นน้องเขาได้ถามว่าแม่ค้าพ่อค้าในปั๊มว่า จะไปสรรค์บุรีไปทางไหน แม่ค้าบอกว่าเลยมาแล้ว ส่วนผู้ชายบอกว่าให้วิ่งตรงไปข้างหน้าเข้าสิงห์บุรีและเลี้ยวซ้ายออกอินทร์บุรี ให้ไปทางนั้นจะง่ายกว่า


ตกลงวิ่งไปตามเส้นทางที่ผู้ชายคนนั้นบอกวิ่งไปสักพักประมาณ ๑๕ กม.ก็เลี้ยวซ้ายเข้าสิงห์บุรี และเลี้ยวซ้ายไปตามลูกศรชี้บอกว่าไปอินทร์บุรี ตลอดเส้นทางถนนจะเลียบคลองชลประทานไปตลอดเส้นทาง มีซ่อมทำบ้างเป็นระยะผลคงจะสืบเนื่องมาจากน้ำท่วมทำให้ผิวจราจรเสียหาย วิ่งไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน เพื่อมุ่งหน้าไปสรรค์บุรีตามที่ตั้งใจไว้
ไปเลี้ยวซ้ายตามที่ป้ายบอกว่า เข้าสรรค์บุรี จำไม่ได้แล้วว่าแยกนั้นชื่อว่าอะไรน่าเสียดายที่ไม่ได้จดบันทึกเส้นทางไว้ รู้สึกว่า ทางจะเปลี่ยวพอสมควร ไม่ค่อยมีรถวิ่งมากนัก บรรยากาศตลอดเส้นทางตั้งแต่อินทร์บุรีจนถึงสรรค์บุรี รู้สึกได้เลยว่าเป็นท้องทุ่งนาเขียวขจี มองแล้วรู้สึกเพลิดเพลินเจริญใจเสียจริง ๆ ตลอดเส้นทางยังเห็นร่องรอยบ่งบอกว่าเพิ่งผ่านการถูกน้ำท่วมมาอย่างหนัก แต่แปลกนะครับเมืองสรรค์บุรีกลับไม่ถูกน้ำท่วม ถามทางจนวิ่งมาถึงตัวเมืองอำเภอสรรค์บุรี เห็นรถทัวร์สาย 8 ชัยนาท คันหนึ่งกำลังจอดอยู่ อ้อ รถทัวร์สายนี้นี่เอง ตัวเมืองสรรค์บุรีไม่ค่อยใหญ่นัก แต่ก็ไม่เล็ก สอบถามเส้นทางไปวัดจากคนในอำเภอสรรค์บุรี จนหาทางออกไปได้ วิ่งไปสักพักเห็นวัดโคกดอกไม้ ตั้งเด่นเป็นสง่า คิดในใจว่าอีกสักพักคงถึงวัดหลวงพ่อแล้วละ จอดถามคนข้างทางอีกครั้งเพื่อความแน่ใจก็ทราบว่าอยู่อีกไม่ไกล แม่ค้าเขาถามว่าเมื่อวานเห็นมีงานอยู่นะ


วิ่งไปอีกสักพักก็เห็นป้ายวัดเด่นเป็นสง่าอยู่ข้างหน้าจึงเลี้ยวซ้ายเข้าไปไม่ไกลนักผ่านวัดการเปรียญตั้งอยู่ทางซ้ายมือ ชื่อคุ้น ๆ อีกไม่ไกลก็ถึงวัดของหลวงพ่อสวยเด่นเป็นสง่าอยู่ทางขวามือโดยผ่านโรงเรียนก่อนที่อยู่ติดกันกับวัด เห็นวัดตั้งอยู่ข้างหน้าภาวะจิตใจบอกไม่ถูกจริง ๆ ครับกับครั้งแรกที่ได้มา เลี้ยวขวาเข้าประตูวัดเข้าไปจอดข้างศาลาของหลวงพ่อ เห็นศาลก็รู้สึกคุ้น ๆ ตา จากที่เคยได้เห็นที่มีผู้ถ่ายไว้แล้วนำมาเผยแพร่
ลงจากรถดูเวลา ๑๒.๐๐ น. เศษ ๆ พร้อมด้วยของเตรียมมา เห็นตรงหน้าศาลามีธูปเทียนและดอกไม้ ไว้บริการจึงทำบุญมา ๒ ชุด แล้วจึงเข้าไปในศาลาหลวงพ่อ พลันที่เดินเข้าไปในศาลาข้างหน้าเป็นรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งและโลงแก้วที่บรรจุสังขารของหลวงพ่อ ความรู้สึกขณะนั้นตื้นตันใจและสุขใจที่ตัวผมเองได้มีวาสนามากราบหลวงพ่อเป็นครั้งแรกในชีวิต พอดีขณะนั้นมีสองแม่ลูกซึ่งเจอกันก่อนหน้านี้ข้างนอกศาลาตรงที่วางดอกไม้ กำลังไหว้หลวงพ่ออยู่ก่อน ผมกับรุ่นน้องจึงรอคิว ระหว่างนั้นนึกขึ้นมาได้จึงสอบถามผู้ดูแลศาลาที่ตู้วัตถุมงคล “ผมขอลอดโลงหลวงพ่อได้ไหมครับ” ได้รับคำตอบกลับมาว่า “ได้ครับ” ผมก็ตอบขอบคุณด้วยความรู้สึกยินดียิ่งนัก จัดแจงหยิบของออกมาจัดเรียงลงในพาน มีธูปเทียนแพ ๑ พาน และหมากพลูบุหรี่ ๑ พาน รวม ๒ ชุด
พอสองแม่ลูกไหว้หลวงพ่อเสร็จแล้ว ผมกับรุ่นน้องก็นำพานไปวางตรงหน้าที่บูชา พร้อมท่องคาถาบูชาหลวงพ่อ ก็กราบขอถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อสมดังตั้งใจ ขณะนั้นผู้ดูแลก็มารอเปิดประตูให้ผมกับรุ่นน้องได้เข้าไปลอดใต้โลงหลวงพ่อ ผมลอด ทั้งหมด ๓ รอบพร้อมกราบแทบเท้าหลวงพ่อ รู้สึกว่าเราเป็นศิษย์หลวงพ่อแล้วในวันนั้น เพราะตลอดระยะเวลาของการเดินทางไม่ได้มีอุปสรรคใด ๆ มาขวางกั้นเลย ราบรื่น ปลอดโปร่งยิ่งนัก


หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจที่ตั้งใจแล้ว จึงมาที่บริเวณตู้วัตถุมงคล เห็นรูปใบใหญ่ราคา ๑๐๐ ผู้ดูแลได้บอกว่าเป็นรูปถ่ายออกเมื่อปี ๒๕๔๕ ครับ นับถึงปีนี้รูปน่าจะอยู่ในตู้มา ๑๐ ปีพอดี เห็นยังมีอยู่หลายใบครับ ผมกับรุ่นน้องจึงขอบูชากันคนละ ๑ ใบ รวม ๒ ใบซึ่งภาพถ่ายใบใหญ่ นั้น เป็นเป้าหมายอันดับแรกที่ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องนำมาใส่กรอบบูชาที่บ้านให้ได้ เดิมคิดจำนำภาพถ่ายไปขยายเอง มีเหรียญอยู่ในตู้วัตถุมงคลเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นรุ่นฉลองเรือนไทยพิพิธภัณฑ์ ปี ๒๕๕๓ ผมจึงบูชาเหรียญหลังหนุมาน เหรียญกลมหลังสิงห์ และเหรียญกลมหลังยันต์ดวง และหนังสือฉบับคู่มือสะสมหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม พิมพ์ครั้งที่ 2 ที่หน้าปกเป็นรูปหลวงพ่ออุ้มบาตรหรือที่เรียกกันว่ารูปมหาทานนั่นเอง ปกสีเขียว เรียบเรียงโดย คเชนทร์ มาสมาน ราคา ๓๕๐.-บาท
พอดีเคยเห็นคนมาโพสต์ใบอนุโมทนาบัตร แล้วชอบมาก จึงสอบถามว่าทำอย่างไรจึงจะได้ พระท่านจึงเรียกไปนั่งตรงหน้าว่าต้องบริจาคจำนวนหนึ่งจึงจะออกใบอนุโมทนาบัตรให้ ผมจึงทำบุญไปจำนวนหนึ่งพระท่านก็อนุโมทนากับผมด้วยพร้อมกับรับใบอนุโมทนาบัตรที่ต้องการมาด้วยความสมใจดังที่ตั้งใจเอาไว้ หลังจากนั้นจึงขอถ่ายรูปตัวเองไว้เป็นที่ระลึก อยู่ในวัดประมาณบ่ายโมงเศษ ๆ จึงสมควรแก่เวลาจึงชวนกันกลับ ซึ่งได้สอบถามทางกลับจากชาวบ้านที่มากราบรูปหล่อหลวงพ่อที่มณฑปหน้าวัด เพราะผมกับรุ่นน้องรู้ตัวว่าทางที่มานั้น อ้อมมาไกลมาก ชาวบ้านบอกให้ไปทางแยกหน้าป้อมตำรวจแล้วไปออกทางบางระจัน เส้น ๓๐๙ ไปแวะกินข้าวกลางวันที่บ่อตกปลาประมาณ ๑๔.๓๐ น. เห็นจะได้


๑๕.๐๐ น. กินข้าวอิ่ม ออกเดินทางไปตามเส้นทาง สาย ๓๐๙ จนไปถึงอ่างทอง ออกเส้น ๓๓๔ และออกเส้นทางถนนหมายเลข ๑ จึงร้องอ๋อกันทั้งสองคน คุยกันไปเรื่อย ๆ เพลิน จนลืมดูน้ำมัน รุ่นน้องเขามานึกขึ้นได้ก็อยู่บนมอเตอร์เว จึงชะลอรถเพื่อหาทางออกจากมอเตอร์เว เพื่อหาปั๊มก่อนที่น้ำมันจะหมด มาเจอทางออกตรงเขตลาดกระบัง เลี้ยวขวาไปอ่อนนุช เลี้ยวซ้ายไปลาดกระบัง ฉลองกรุง แหม รถมันติดระเบิดเถิดเทิง กว่าจะเข้าปั๊มได้ เนื่องจากไม่คุ้นเคยถนนแถบนั้น วิ่งไปวิ่งมาจนไปเจอทางขนานมอเตอร์เวแถว ๆ พระจอมเกล้าลาดกระบัง วิ่งไปแต่ทางเข้ามอเตอร์เวไม่ได้ ไปเจอสะพานกลับรถนึกว่าเข้าได้กลับไปเจอออกซ้ายกิ่งแก้ว ออกขวาไปคลังสินค้าสนามบินสุวรรณภูมิ เลยออกซ้ายไปกิ่งแก้ว เจอรถติดเข้าอีกกว่าจะออกจากกิ่งแก้วเข้าสุขุมวิทได้ เกือบ ๑๘.๐๐ น. ต้องแวะเข้าปั๊มพักรถจิบกาแฟกันก่อนด้วยความเซ็ง ที่น้ำมันรถทำพิษ ทำให้กลับถึงบ้านล่าช้ากว่ากำหนด จิบกาแฟสักพัก จึงออกรถมุ่งหน้าไปทางสุขุมวิท ถึงบ้าน ๒๐.๐๐ น. พอดิบพอดี

ตลอดการเดินทาง ผมสองคนไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนเพลียหรือเหนื่อยล้าแต่อย่างใด กลับชุ่มชื่นอิ่มอกอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก ที่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อท่านถึงที่วัดโฆสิตารามจนได้

รุ่งเช้าวันอาทิตย์ที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๕ ไปซื้ออาหารเช้าที่ตลาด พร้อมกับไปหาซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลได้เลขที่ต้องการมาจำนวนหนึ่งจึงกลับเข้าบ้าน หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ สาย ๆ ได้นำภาพที่บูชามาจากวัดพร้อมใบอนุโมทนาบัตร ไปร้านอัดกรอบ โดยขอให้เขาใช้ขอบทองธรรมดา ตกลงภาพใหญ่กรอบราคา ๒๒๐.-บาท กรอบใส่ใบอนุโมทนาบัตรราคา ๑๐๐.-บาท นัดวันพุธที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๕ แล้วจะถ่ายรูปมาให้ชมกันครับว่าใส่กรอบแล้วจะสวยงามแค่ไหน

เรื่องราวอาจจะดูไม่หวือหวา แต่ก็เป็นความภาคภูมิใจของผมจริง ๆ ครับ จึงขอเล่าสู่กันฟังเพลิน ๆ ครับ ตกหล่นตรงไหนกรุณาชี้แนะด้วยครับ ขอบพระคุณทุกท่านที่เสียสละเวลาเข้ามาอ่านครับ ขอให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านจงมีความสุข และขอให้ศิษย์หลวงพ่อทุกคนจงอย่าอด อย่าอยาก อย่ายาก อย่าจน อย่าต่ำกว่าคน อย่าจนกว่าเขา
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 09, 2012, 09:46:31 am
กราบหลวงพ่อสมดังตั้งใจ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 09, 2012, 09:54:37 am
เหรียญหลังหนุมาน รุ่นฉลองเรือนไทยพิพิธภัณฑ์ ปี 53
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 09, 2012, 09:56:00 am
เหรียญหลังหนุมาน รุ่นฉลองเรือนไทยพิพิธภัณฑ์ ปี 53
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 09, 2012, 10:14:15 am
เหรียญหลังหนุมาน รุ่นฉลองเรือนไทยพิพิธภัณฑ์ ปี 53
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 09, 2012, 10:23:16 am
เหรียญกลมหลังสิงห์ รุ่นฉลองเรือนไทยพิพิธภัณฑ์ ปี 53
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 09, 2012, 10:26:16 am
เหรียญกลมหลังสิงห์ รุ่นฉลองเรือนไทยพิพิธภัณฑ์ ปี 53
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 09, 2012, 10:48:52 am
เหรียญกลมหลังยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้า รุ่นฉลองเรือนไทยพิพิธภัณฑ์ ปี 53

เหรียญกลมหลังยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้า  ปี 34
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 09, 2012, 10:57:22 am
เหรียญกลมหลังยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้า รุ่นฉลองเรือนไทยพิพิธภัณฑ์ ปี 53

เหรียญกลมหลังยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้า  ปี 34
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 09, 2012, 11:01:59 am
เสียดายไม่ได้มาร่วมงานฉลองเรือนไทยพิพิธภัณฑ์ เมื่อวันศุกร์ที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๕

ภาพนี้ไปในวันเสาร์ที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๕ หลังวันงาน ๑ วัน
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 09, 2012, 11:05:28 am
กราบหลวงพ่อที่มณฑป
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 09, 2012, 11:19:59 am
ถ้าไม่ได้ความศรัทธาร่วมกันจากน้องคนนี้ ผมก็คงจะยังไม่ได้ไปกราบหลวงพ่อ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มกราคม 10, 2012, 04:05:49 pm
ดีครับ สุดยอดแล้วได้กราบหลวงพ่อ คนที่ลูกจากไปครับ.. ให้คล้องพระรุ่นย้อนยุคหลวงพ่อดีมาก หรือมีทุนก็เอาพระสรรค์ไปเลยครับ แน่นอน ได้ความอย่างไรบอกด้วยน่ะครับ
ถ้าหากชีวิตดีขึ้น  ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 10, 2012, 04:09:57 pm
ดีครับ สุดยอดแล้วได้กราบหลวงพ่อ คนที่ลูกจากไปครับ.. ให้คล้องพระรุ่นย้อนยุคหลวงพ่อดีมาก หรือมีทุนก็เอาพระสรรค์ไปเลยครับ แน่นอน ได้ความอย่างไรบอกด้วยน่ะครับ
ถ้าหากชีวิตดีขึ้น  ;D

ขอบคุณมากที่แนะนำครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 10, 2012, 04:20:49 pm
ดีครับ สุดยอดแล้วได้กราบหลวงพ่อ คนที่ลูกจากไปครับ.. ให้คล้องพระรุ่นย้อนยุคหลวงพ่อดีมาก หรือมีทุนก็เอาพระสรรค์ไปเลยครับ แน่นอน ได้ความอย่างไรบอกด้วยน่ะครับ
ถ้าหากชีวิตดีขึ้น  ;D

ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำครับ พระสรรค์ตั้งใจว่าจะเก็บอยู่เหมือนกันครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: anon ที่ มกราคม 10, 2012, 05:52:54 pm
อ้างถึง
ดีครับ สุดยอดแล้วได้กราบหลวงพ่อ คนที่ลูกจากไปครับ.. ให้คล้องพระรุ่นย้อนยุคหลวงพ่อดีมาก หรือมีทุนก็เอาพระสรรค์ไปเลยครับ แน่นอน ได้ความอย่างไรบอกด้วยน่ะครับ
ถ้าหากชีวิตดีขึ้น 


  ตามคำแนะนำของ น้องโก้ ( อนาคตเซียบใหญ่สายนี้  ;D ) นั่นเลยครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 11, 2012, 12:37:24 pm
อ้างถึง
ดีครับ สุดยอดแล้วได้กราบหลวงพ่อ คนที่ลูกจากไปครับ.. ให้คล้องพระรุ่นย้อนยุคหลวงพ่อดีมาก หรือมีทุนก็เอาพระสรรค์ไปเลยครับ แน่นอน ได้ความอย่างไรบอกด้วยน่ะครับ
ถ้าหากชีวิตดีขึ้น 


  ตามคำแนะนำของ น้องโก้ ( อนาคตเซียนใหญ่สายนี้  ;D ) นั่นเลยครับ

อย่างนี้ ผมต้องขอฝากเนื้อ ฝากตัว เสียแต่เนิ่น ๆ ด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 11, 2012, 12:43:20 pm
นะเมตตา
[/b]

   หลวงพ่อเป็นพระที่มีอาคมแก่กล้า มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก เมื่อมีผู้ทุกข์ร้อนมาหาท่าน เมื่อท่านช่วยเขาไปแล้ว ท่านพูดว่าดีก็จะดี ถ้าท่านพูดว่าอีกสามวันรู้ผล ก็รู้จริง ๆ กล้าพูด พูดด้วยความมั่นใจ

   ในปี พ.ศ.๒๕๑๑ ปลายปี ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระครูชั้นประทวน ชื่อพระครูกวย ชุตินฺธโร ถ้าเป็นพระครูชั้นสัญญาบัตรจะไม่มีชื่อ พระครูชั้นประทวนนั้น ก็เหมือนทหาร ตำรวจยศจ่านั่นเอง ทางคณะสงฆ์ได้มีหนังสือให้พระที่ได้รับการแต่งตั้ง ให้เดินทางมารับใบตราตั้ง หรือใบแต่งตั้งที่กรุงเทพมหานคร ที่วัดโพธิ์ ท่าเตียน หลวงพ่อไม่ต้องการเป็นพระครูแต่ขัดคำสั่งไม่ได้ เมื่อมีคนขอให้ท่านก็รับในปีนั้น ถ้าจำไม่ผิด สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ คือ สมเด็จพระสังฆราชปุ่น เป็นผู้แจกให้ เมื่อท่านจะเดินทางมารับ ได้มีกรรมการวัดติดตามมาด้วย และได้ว่าจ้างรถนายเป๋ เป็นรถสองแถวที่วิ่งสายอำเภอสรรค-ชันสูตรไป

   แต่รถนายเป๋เก่ามากอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งนายเป๋ไม่ชำนาญทางกรุงเทพฯ กว่าจะพาหลวงพ่อไปถึงวัดโพธิ์ก็สายมาก เมื่อถึงวัดโพธิ์ทางกรรมการวัดและศิษย์ได้ปรึกษากันว่าจะเข้าไปรับใบตราตั้งเอง เพราะเกรงว่าถ้าหลวงพ่อเข้าไปแล้วสมเด็จพระสังฆราชจะตำหนิหลวงพ่อเอาได้ เพราะสายมากแล้ว แต่เมื่อได้เข้าไปหาหลวงพ่อบอกความประสงค์ให้ท่านทราบ ท่านกลับทำเฉยไม่วิตกกังวล ท่านพูดว่า

   “เรามาสาย ยังดีกว่าไม่มา เราเป็นครูเป็นอาจารย์เขา เรื่องแค่นี้เราทำไม่ได้ วันหน้าใครเขาจะนับถือเรา”


   ท่านห่มผ้าเรียบร้อย ก่อนที่ท่านจะเข้าไปในอุโบสถวัดโพธิ์ ท่านสงบนิ่งคล้าย ๆ จะว่ามนต์ แล้วท่านก็เดินเข้าไปพระที่มารับใบตราตั้งเต็มไปหมดเป็นร้อยรูป มองท่านเป็นตาเดียวกัน แม้แต่พระสังฆราชปุ่นก็มอง ท่านเดินก้มตัวเล็กน้อย สำรวม ท่านเดินตรงดิ่งไปหาสมเด็จพระสังฆราช สังฆราชปุ่นก็มองท่านอยู่ พอท่านเข้าไปกราบสมเด็จพระสังฆราชได้ ๑ ครั้ง สมเด็จพระสังฆราชได้มารับมือท่านเอาไว้ไม่ให้กราบอีก พระองค์ทรงตรัสว่า

   “พอเถอะ พอแล้ว อาจารย์ชื่ออะไร มาจากไหน”

   หลวงพ่อได้ตอบว่า “กระผมชื่ออาจารย์กวย มาจากวัดโฆสิตาราม รถที่กระผมจ้างมา เขาไม่รู้จักทางกรุงเทพฯ เขาพาหลงอยู่เสียนาน กระผมเสียใจ กระผมมาสาย มาไม่ทัน”

   เพียงคำตอบซื่อ ๆ ตรง ๆ ของท่าน ทำให้สมเด็จพระสังฆราชปุ่นเมตตาและสงสารหลวงพ่อมาก พระองค์ทรงตรัสว่า

   “เคยได้ยินชื่อเสียงอยู่เหมือนกัน”

   และชวนหลวงพ่อค้างเสียที่วัดโพธิ์สักคืนหนึ่ง แต่หลวงพ่อก็ปฏิเสธ ท่านพูดว่ามากันหลายคนเกรงจะไม่สะดวก ในวันนั้นพระสงฆ์ที่มารับตราตั้ง ต่างมองท่านเป็นตาเดียวกัน บ้างก็พูดซุบซิบกันว่า พระองค์นี้สงสัยจะเส้นใหญ่ บ้างก็พูดว่าสงสัยนะเมตตาดีกราบแค่เพียงครั้งเดียวสมเด็จพระสังฆราชก็มารับมือเลย พระตั้งหลายร้อยรูปต้องกราบ ๓ ครั้งทั้งนั้น มาสายแต่ไม่โดนตำหนิเลย

   เรื่องนี้แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม แต่ศิษย์ก็ภูมิใจในตัวหลวงพ่อ ที่หลวงพ่อพูดว่า

   “เรามาสาย ยังดีกว่าไม่มา เราเป็นครูเป็นอาจารย์เขา เรื่องแค่นี้เราทำไม่ได้ วันหน้าใครเขาจะนับถือเรา”

   ที่มา : คัดลอกมาจากหนังสือนะโม  เป็นบทความที่เขียนโดย เฒ่า  สุพรรณ     
   ฉบับที่ ๓๖๕ ประจำวันที่ ๕ – ๑๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๖
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 12, 2012, 11:34:54 pm
ทำบุญมา ๑ เล่มครับ หนังสือที่ตู้ของวัดราคา ๓๕๐.-บาท ครับ ในเล่มกระดาษอย่างดีครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 13, 2012, 08:31:29 am
สิงหราช

   ต่อไปจะกล่าวถึงเครื่องรางรูปสิงห์ของหลวงพ่อที่หลวงพ่อสร้างและปลุกเสกเอาไว้ เครื่องรางรูปสิงห์นี้เป็นสัตว์ในเทพนิยายหรือบนสวรรค์ รูปแบบคล้าย ๆ ของเบียร์ไทยตราสิงห์นั่นแหละ คือเป็นสัตว์ชั้นสูง ไม่ใช่สิงโต คือคนเรานี้จะคล้องเครื่องรางอะไรก็ต้องให้มันดูสูงหน่อย เช่น จะคล้องหมูตัวเล็ก ๆ ก็ควรจะเป็นหมูทองแดง จะคล้องรูปควาย ก็ควรจะเป็นควายธนู เป็นต้น เกี่ยวกับวิชาสิงหราชนี้ หลวงพ่อเรียนมาจากหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ หลวงพ่อเคยสร้างผ้ายันต์สิงห์คู่ตำราหลวงพ่อเดิม และเคยสร้างผ้ายันต์และเสื้อยันต์ เป็นยันต์ดอกบัวตำราตรงกับของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก นอกจากนี้หลวงพ่อยังชอบสิงห์เป็นพิเศษ จะเป็นตำรายันต์ท่านก็ดี ใบลานจารึกคาถาก็ดี หลวงพ่อจะตอกยันต์รูปสิงห์ชูคอเอาไว้ คือสิงห์ของหลวงพ่อจะชูคอสง่า หลวงพ่อยังใช้ปั๊มรูปถ่ายชนิดเล็กรุ่นแรกของท่านเอาไว้ด้วย แม้ที่เป็นพระเครื่องก็มี เช่น สมเด็จด้านหลังเป็นรูปสิงห์ลายเส้น นอกจากนั้นยังมีสมเด็จที่หลวงพ่อสั่งทำ เป็นสมเด็จขี่สิงห์ หลังสิงห์ก็ยังมี

   รูปแบบสิงห์ของหลวงพ่อมีหลายแบบ ชนิดสั่งทำเป็นตะกั่วกะไหล่ทองก็มี กาหลั่ยทองยกขาตัวเล็กก็มี ชนิดที่มีมากเป็นตะกั่วชูคอ ชนิดนี้เข้าใจว่าสั่งทำเช่นกัน แต่บางคนบอกว่าได้จากรุ จังหวัดสิงห์บุรี ชนิดที่เป็นงาช้างแกะก็มี ชนิดนี้ดูยาก เพราะช่างพยุหะแกะฝีมือเหมือนกันหมด นอกจากจะแกะเหมือนกันแล้ว ยังหาความงามไม่ได้เลย แต่ก็มีอยู่รุ่นหนึ่งที่แกะได้สวยมากแต่หาดูได้ยาก นอกจากนั้นยังมีชนิดตะกั่วหลวงพ่อหล่อเองรุ่นนี้สวยมาก

   ต่อไปเป็นคาถาสิงหราชของหลวงพ่อ มีลายมือของท่านเป็นหลักฐานยังมี คาถานี้คล้ายคลึงกับของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว คาถาว่าดังนี้ใช้คู่กับสิงห์

   ตะมัดถัง  ปะกาเส็นโต  ตัวกูผู้ชื่อว่า  ราชชะสิงโห
   สัดถาอาหะ  ไกรสอน  ราชชะสีวิยะ  อิมังคาถะมาหะ
   อิสุจุระ สีหะนาทัง


   คาถานี้เขียนตามหลวงพ่อเขียนทุกอย่าง เขียนเป็นคำอ่าน คาถานี้จะใช้คาถาอย่างเดียวก็ได้ แต่ทั้งสิงห์และคาถาถ้าใช้จนขึ้นใจแล้ว ถ้าเป็นคนค้าขายจะขายไม่ดี คนจะเกรงอำนาจ คือขายของไม่ดี ถ้าเป็นข้าราชการจะดี หรือขณะผจญภัยผู้ร้าย หรือศัตรูภาวนาจะดี อำนาจของพระคาถานี้ ถ้าภาวนาจนขึ้นใจ จะมีตบะและอำนาจเหนือคน

   ต่อไปจะขอเล่าถึงอภินิหารของสิงห์ และคาถาสิงหราชของหลวงพ่อเอาไว้สัก ๒ – ๓ เรื่อง

   เรื่องแรก ช่างป้อม เป็นคนเดิมบาง แกเป็นช่างก่อสร้าง เคยไปสักน้ำมันกับหลวงพ่อ หลวงพ่อให้คาถาสิงห์มา คือแกสักสิงห์ คนสักน้ำมันนี่เวลาฝนตก หรือฤดูหนาวจะหนาวมาก แกใช้คาถาสิงห์ขึ้นมาก เวลาแกเดินภาวนา เดินผ่านบ้านคนหมาไม่เห่า แปลกมาก แกเคยมาทำงานบ้านผม หมาผมปกติต้องเห่าพอเจอแกเงียบ ร้องหงิง ๆ เลย แปลกมาก ผมเลยคุยกับแกถามถึงสาเหตุเพราะผมรู้ว่าแกต้องมีของดี แกเลยเล่าให้ฟังว่าแกใช้คาถานี้

   เรื่องที่สอง คุณบุญชู เป็นพนักงานบนอำเภอ แผนกสำมะโนประชากร อยู่จังหวัดชัยนาท แกใช้สิงหราชกับคาถาของหลวงพ่อ แกคอยจะใช้ผิดสถานที่หรือไงนี่แหละ จะเป็นด้วยตบะสิงห์ในตัวหรือคาถาหรือหน้าตาแกไม่แน่ชัด พอแกถามคนที่มาติดต่อบางทีก็ถามดี ๆ นี่แหละ พอถามหนที่สองบางทีคนที่มาติดต่อกำลังยืนอยู่ถึงกับรูดลงมานั่งยอง ๆ ยกมือไหว้เลย แต่มีผลเสียคือเจ้านายเกรงใจ ผลข้างเคียงของความเกรงใจตามมาคือ ไม่เรียกใช้และเกรง ๆ เกลียด ๆ แต่ถ้าเป็นหัวหน้าเขา รู้สึกดีมากลูกน้องรักและเกรงใจ แต่ถ้าไปติดต่อกับเจ้านายก็ดีเหมือนกัน

   เรื่องที่สาม ศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่งชื่อสมนึก เป็นคนสรรค์บุรี เป็นพ่อค้าตลาดเช้า ปกติไปขายของมีปลัดของหลวงพ่อติดตัวไปขายของดี วันหนึ่งกิจการขายของดีขึ้นเรื่อย เลยให้ภรรยามาตั้งหาบขายของช่วยอีกทีหนึ่งขายคนละที่ คุณสมนึกเลยถอดปลัดให้ภรรยาไปติดตัวเพราะเคยใช้ได้ผลดี ส่วนตนเองได้ไปหยิบสิงห์ตะกั่วของหลวงพ่อมาอาราธนาติดตัวไปขายของ จะเป็นด้วยตบะในตัวคุณสมนึกที่มีสิงห์ติดตัว หรือคุณสมนึกจะดวงไม่ดีไม่แน่ชัด ปรากฏว่าแกขายของไม่ได้เลย พอมีคนถามแล้วมองหน้าแกเขาไม่ต่อแต่เดินผ่านไปเฉย ๆ จนสายก็ขายของไม่ได้ ส่วนภรรยาแกขายหมดไปแล้ว ใหม่ ๆ แกก็ไม่แน่ใจ ตอนหลังเอาติดตัวไปอีก ไม่มีใครกล้าต่อราคาไม่ถามเฉย ๆ เลย แกเลยให้ข้อยุติว่าสิงห์ของหลวงพ่อขายของไม่ดี คนเกรงใจ คนกลัว

   เรื่องที่สี่ เรื่องสุดท้ายแล้วกัน ศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งชื่อ สมาน ยอดย้อย  เป็นนักเลงเป็นคนจริง บ้านเดิมเป็นคนใกล้ ๆ วัด ปัจจุบันทราบว่าอยู่ทางประตูน้ำ บางประอิน อยุธยา เป็นคนหนึ่งที่ยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ เคยโดนยิงมานักต่อนักนับครั้งไม่ถ้วน โอกาสหน้าจะนำเรื่องชีวิตของพี่สมาน มาเล่าให้ศิษย์รุ่นหลังได้ฟัง ผมเคยพบพี่สมาน ครั้งที่มาบวชแก้บนให้หลวงพ่อที่วัด พี่สมานเล่าว่าขณะอยู่ในป่าในดง นอนอยู่ใต้ต้นไม้ ในถ้ำ เคยเจอกับเจ้าถ้ำ เคยเจอกับนางไม้ แกใช้คาถาสิงหราชนี้ภาวนา นางไม้ เจ้าถ้ำ เจ้าป่าไม่มายุ่งกับแกเลย เวลาภาวนาแม้จักจั่นก็ไม่ร้อง หนูและแมลงไม่มารบกวนเลยเป็นอัศจรรย์ คาถานั้นหลวงพ่อให้ไปแกใช้ควบกับคาถาเสือสมิง

   เกี่ยวกับสิงห์ของหลวงพ่อก็คงจบเพียงเท่านี้ อภินิหารไม่มากนักแต่ใช้ติดตัวดี รูปแบบดูยากสักหน่อย เคยเจอของลุงสุรินทร์เป็นกรรมการวัด เนื้องาช้างแกะ หนหนึ่งหายไป ตอนหลังไปเจอในกองไฟ ดับไฟแล้ว เอะใจไปเขี่ย ๆ ดู ปรากฏว่าไม่ไหม้ไฟ พลาสติกก็ไม่ไหม้ นับว่าแปลกมาก ก็ขนาดขวดกระทิงแดงยังละลาย แต่สิงห์ของหลวงพ่อไม่ไหม้ ก็ขอจบเรื่องสิงหราชแต่เพียงนี้....

   ที่มา : คัดลอกมาจากหนังสือนะโม ๒ ฉบับ เป็นบทความที่เขียนโดย เฒ่า สุพรรณ     
   ฉบับแรก คือ ฉบับที่ ๓๑๗ ประจำวันที่ ๕ – ๑๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๕
   ฉบับที่สอง คือ ฉบับที่ ๓๑๘ ประจำวันที่ ๑๕ – ๒๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๕



อ่านเรื่องสิงห์ของหลวงพ่อแล้ว อยากได้ไว้บูชาสัก ๑ ชิ้น ไม่รู้ว่าจะมีวาสนาบ้างหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 13, 2012, 02:41:59 pm
ที่ตู้บูชาของวัดโฆสิตาราม มีรูปบูชาขนาดใหญ่ ที่เรียกกันว่า รูปย่ามวิเศษ ผมเองเพิ่งจะมาทราบเมื่อวานนี้เองครับว่าเรียกกันว่าอย่างนั้น วันนั้น ในตู้เห็นมีรูปย่ามวิเศษนี่แหละที่น่าสนใจที่สุดแล้วครับ เพราะไม่มีรูปอย่างอื่นให้บูชา ที่มีก็ขนาดไม่ใหญ่นัก ยอมรับว่า อยากได้รูปถ่ายของหลวงพ่อไปใส่กรอบบูชาที่บ้านด้วย ครั้งแรกที่เห็นรูปนี้ รู้สึกว่า ชอบทันทีเลยครับ บอกผู้ดูแลตู้วัตถุมงคลทันทีว่าขอบูชารูปนี้ ๒ รูป แบ่งกับรุ่นน้องคนละรูปครับ ผู้ดูแลตู้วัตถุมงคลบอกผมว่า รูปนี้ทำเมื่อปี ๔๕ ครับ แปลกใจอยู่เหมือนกันว่า น่าจะหมดไปนานแล้ว ผมคะเนว่าจากที่เห็นในตู้น่าจะมีประมาณเหลือไม่ถึง ๒๐ ใบ ครับ นับถึงปีนี้ภาพนี้ก็มีอายุถึง ๑๐ ปีแล้ว ผมใส่กรอบ ๒๒๐. - ส่วนรุ่นน้องใส่กรอบ ๑๗๐.- แหมผมแพงกว่าตั้ง ๕๐.-บาท
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 16, 2012, 09:16:00 am
ที่ตู้บูชาของวัดโฆสิตาราม มีรูปบูชาขนาดใหญ่ ที่เรียกกันว่า รูปย่ามวิเศษ ผมเองเพิ่งจะมาทราบเมื่อวานนี้เองครับว่าเรียกกันว่าอย่างนั้น วันนั้น ในตู้เห็นมีรูปย่ามวิเศษนี่แหละที่น่าสนใจที่สุดแล้วครับ เพราะไม่มีรูปอย่างอื่นให้บูชา ที่มีก็ขนาดไม่ใหญ่นัก ยอมรับว่า อยากได้รูปถ่ายของหลวงพ่อไปใส่กรอบบูชาที่บ้านด้วย ครั้งแรกที่เห็นรูปนี้ รู้สึกว่า ชอบทันทีเลยครับ บอกผู้ดูแลตู้วัตถุมงคลทันทีว่าขอบูชารูปนี้ ๒ รูป แบ่งกับรุ่นน้องคนละรูปครับ ผู้ดูแลตู้วัตถุมงคลบอกผมว่า รูปนี้ทำเมื่อปี ๔๕ ครับ แปลกใจอยู่เหมือนกันว่า น่าจะหมดไปนานแล้ว ผมคะเนว่าจากที่เห็นในตู้น่าจะมีประมาณเหลือไม่ถึง ๒๐ ใบ ครับ นับถึงปีนี้ภาพนี้ก็มีอายุถึง ๑๐ ปีแล้ว ผมใส่กรอบ ๒๒๐. - ส่วนรุ่นน้องใส่กรอบ ๑๗๐.- แหมผมแพงกว่าตั้ง ๕๐.-บาท

ใส่กรอบมาเรียบร้อยแล้วครับ ภาพถ่ายย่ามวิเศษ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 16, 2012, 10:09:22 am
เพิ่งเลี่ยมเสร็จครับ พิมสรรค์นั่งและรูปหล่อรุ่นแรกย้อนยุค
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 16, 2012, 11:11:23 am
พระสรรค์นั่ง
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มกราคม 16, 2012, 11:58:23 am
 :o :o :o :o แจ่มมากครับพี่สวยๆ พระสรรค์เห็นเกล็ดเม็ดทรายด้วย รูปหล่อย้อนยุคเลี่ยมแล้วสวยจัง เป็นรุ่นนึงที่น่าจะมีอนาคต เพราะมีประสบการณ์
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มกราคม 16, 2012, 12:02:05 pm
อ้างถึง
ดีครับ สุดยอดแล้วได้กราบหลวงพ่อ คนที่ลูกจากไปครับ.. ให้คล้องพระรุ่นย้อนยุคหลวงพ่อดีมาก หรือมีทุนก็เอาพระสรรค์ไปเลยครับ แน่นอน ได้ความอย่างไรบอกด้วยน่ะครับ
ถ้าหากชีวิตดีขึ้น 


  ตามคำแนะนำของ น้องโก้ ( อนาคตเซียบใหญ่สายนี้  ;D ) นั่นเลยครับ
พี่ก็พูดไปครับ ผมก็ศึกษามาบ้างนิดๆหน่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อย   :D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มกราคม 16, 2012, 12:03:57 pm
อ้างถึง
ดีครับ สุดยอดแล้วได้กราบหลวงพ่อ คนที่ลูกจากไปครับ.. ให้คล้องพระรุ่นย้อนยุคหลวงพ่อดีมาก หรือมีทุนก็เอาพระสรรค์ไปเลยครับ แน่นอน ได้ความอย่างไรบอกด้วยน่ะครับ
ถ้าหากชีวิตดีขึ้น 


  ตามคำแนะนำของ น้องโก้ ( อนาคตเซียนใหญ่สายนี้  ;D ) นั่นเลยครับ

อย่างนี้ ผมต้องขอฝากเนื้อ ฝากตัว เสียแต่เนิ่น ๆ ด้วยนะครับ
ผมสิ ที่ต้องฝากเนื้อฝากตัวกับรุ่นพี่  :D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 16, 2012, 12:16:26 pm
อ้างถึง
ดีครับ สุดยอดแล้วได้กราบหลวงพ่อ คนที่ลูกจากไปครับ.. ให้คล้องพระรุ่นย้อนยุคหลวงพ่อดีมาก หรือมีทุนก็เอาพระสรรค์ไปเลยครับ แน่นอน ได้ความอย่างไรบอกด้วยน่ะครับ
ถ้าหากชีวิตดีขึ้น 


  ตามคำแนะนำของ น้องโก้ ( อนาคตเซียนใหญ่สายนี้  ;D ) นั่นเลยครับ

อย่างนี้ ผมต้องขอฝากเนื้อ ฝากตัว เสียแต่เนิ่น ๆ ด้วยนะครับ
ผมสิ ที่ต้องฝากเนื้อฝากตัวกับรุ่นพี่  :D


สวัสดีครับ น้องโก้ ว่าที่เซียนใหญ่

เมื่อหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว จะให้ผมไปพึ่งพาใคร
ก่อนที่หลวงพ่อจะมรณภาพ ผม(เฒ่า สุพรรณ)ได้เรียนถามท่านเอาไว้ว่า เมื่อหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว จะให้ผมไปพึ่งพาใคร ความหมายของผมคือ อยากให้ท่านแนะนำศิษย์พี่หรือศิษย์น้องของท่านที่มีวิชาอาคมพอพึ่งพาอาศัยได้ ท่านได้พูดว่า
“เมื่อกูตายไปแล้ว กูก็อยู่ที่วัดนี่ มึงตายแล้วตายอีกกูก็ยังอยู่ที่วัดนี่”
คือท่านไม่บอกให้ไปพึ่งใคร ความหมายก็คือ ให้ระลึกถึงท่านเป็นใช้ได้ แต่สำหรับศิษย์ที่อยู่ไกล วัตถุมงคลที่สามารถระลึกถึงหรือเป็นตัวแทนของหลวงพ่อได้ เช่น รูปหล่อชนิดบูชา รูปพิมพ์ที่ ส.ส.สุนทร  สุขชื่น  พิมพ์ถวาย รูปยันต์อิติปิโสแปดทิศ รูปโปสการ์ดขาวดำห้านิ้ว เป็นที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือ รูปบูชาแทนตัวนี้ต้องเป็นรูปครึ่งองค์ กับรูปเต็มองค์นั่ง และต้อง....
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 16, 2012, 12:22:54 pm
เมื่อหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว จะให้ผมไปพึ่งพาใคร

ก่อนที่หลวงพ่อจะมรณภาพ ผม(เฒ่า สุพรรณ)ได้เรียนถามท่านเอาไว้ว่า เมื่อหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว จะให้ผมไปพึ่งพาใคร ความหมายของผมคือ อยากให้ท่านแนะนำศิษย์พี่หรือศิษย์น้องของท่านที่มีวิชาอาคมพอพึ่งพาอาศัยได้ ท่านได้พูดว่า

“เมื่อกูตายไปแล้ว กูก็อยู่ที่วัดนี่ มึงตายแล้วตายอีกกูก็ยังอยู่ที่วัดนี่”

คือท่านไม่บอกให้ไปพึ่งใคร ความหมายก็คือ ให้ระลึกถึงท่านเป็นใช้ได้ แต่สำหรับศิษย์ที่อยู่ไกล วัตถุมงคลที่สามารถระลึกถึงหรือเป็นตัวแทนของหลวงพ่อได้ เช่น รูปหล่อชนิดบูชา รูปพิมพ์ที่ ส.ส.สุนทร  สุขชื่น  พิมพ์ถวาย รูปยันต์อิติปิโสแปดทิศ รูปโปสการ์ดขาวดำห้านิ้ว เป็นที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือ รูปบูชาแทนตัวนี้ต้องเป็นรูปครึ่งองค์ กับรูปเต็มองค์นั่ง และต้อง....
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โอ๋ชัยนาท ที่ มกราคม 16, 2012, 01:10:11 pm
ยินดีด้วยครับ กราบหลวงพ่อกวยที่สัด รอดร่างสรีระหลวงพ่อแล้ว สิ่งดีดีจะบังเกิดแน่นอนครับ
ประสบการณ์แบบนี้ชอบมากครับ อ่านสนุกน่าติดตาม เล่าให้ฟังเรื่อยๆ นะครับ  ;)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โอ๋ชัยนาท ที่ มกราคม 16, 2012, 01:11:08 pm
ยินดีด้วยครับ กราบหลวงพ่อกวยที่วัด รอดร่างสรีระหลวงพ่อแล้ว สิ่งดีดีจะบังเกิดแน่นอนครับ
ประสบการณ์แบบนี้ชอบมากครับ อ่านสนุกน่าติดตาม เล่าให้ฟังเรื่อยๆ นะครับ
  ;)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 16, 2012, 01:40:45 pm
:o :o :o :o แจ่มมากครับพี่สวยๆ พระสรรค์เห็นเกล็ดเม็ดทรายด้วย รูปหล่อย้อนยุคเลี่ยมแล้วสวยจัง เป็นรุ่นนึงที่น่าจะมีอนาคต เพราะมีประสบการณ์

เห็นน้องโก้ก็เก็บไว้หลายองค์นี่ครับ เอามาโชว์กันบ้างสิครับหากเลี่ยมเสร็จแล้ว ผมเอาทองเก่าไปแกะเลี่ยมใหม่ครับ ๒ องค์นี้เลี่ยมไป ๓,๐๐๐.-บาทครับ พอเบาๆกระเป๋าหน่อย
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 16, 2012, 01:44:21 pm
ยินดีด้วยครับ กราบหลวงพ่อกวยที่วัด รอดร่างสรีระหลวงพ่อแล้ว สิ่งดีดีจะบังเกิดแน่นอนครับ
ประสบการณ์แบบนี้ชอบมากครับ อ่านสนุกน่าติดตาม เล่าให้ฟังเรื่อยๆ นะครับ  ;)

ขอบคุณครับที่คุณโอ๋ชอบ พรที่หลวงพ่อให้ นั้น นับว่าศักดิ์สิทธิ์มาก ๆ เลยครับ ผมเองจะพยายามเล่าให้ฟังเรื่อย ๆ นะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มกราคม 16, 2012, 03:56:59 pm
:o :o :o :o แจ่มมากครับพี่สวยๆ พระสรรค์เห็นเกล็ดเม็ดทรายด้วย รูปหล่อย้อนยุคเลี่ยมแล้วสวยจัง เป็นรุ่นนึงที่น่าจะมีอนาคต เพราะมีประสบการณ์

เห็นน้องโก้ก็เก็บไว้หลายองค์นี่ครับ เอามาโชว์กันบ้างสิครับหากเลี่ยมเสร็จแล้ว ผมเอาทองเก่าไปแกะเลี่ยมใหม่ครับ ๒ องค์นี้เลี่ยมไป ๓,๐๐๐.-บาทครับ พอเบาๆกระเป๋าหน่อย
ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้เก็บแล้วครับ สรรค์ผมก็พอเก็บได้หลายองค์อยู่ ช่วงนี้ผมอยู่ ม.5 แล้วครับ ต้องทำงานส่งครู และก็มีกิจกรรมบ่อย อีกอย่าง ปีหน้าอีกปปีก็ต้อง N แล้วครับแต่คิดว่าปีนี้จะไปงานหลวงพ่ออีก และจะไม่รีบกลับเหมือนปีที่แล้วแน่นอน  :D :D :D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 17, 2012, 11:03:35 am
เมื่อหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว จะให้ผมไปพึ่งพาใคร

ก่อนที่หลวงพ่อจะมรณภาพ ผม(เฒ่า สุพรรณ)ได้เรียนถามท่านเอาไว้ว่า เมื่อหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว จะให้ผมไปพึ่งพาใคร ความหมายของผมคือ อยากให้ท่านแนะนำศิษย์พี่หรือศิษย์น้องของท่านที่มีวิชาอาคมพอพึ่งพาอาศัยได้ ท่านได้พูดว่า

“เมื่อกูตายไปแล้ว กูก็อยู่ที่วัดนี่ มึงตายแล้วตายอีกกูก็ยังอยู่ที่วัดนี่”

คือท่านไม่บอกให้ไปพึ่งใคร ความหมายก็คือ ให้ระลึกถึงท่านเป็นใช้ได้ แต่สำหรับศิษย์ที่อยู่ไกล วัตถุมงคลที่สามารถระลึกถึงหรือเป็นตัวแทนของหลวงพ่อได้ เช่น รูปหล่อชนิดบูชา รูปพิมพ์ที่ ส.ส.สุนทร  สุขชื่น  พิมพ์ถวาย รูปยันต์อิติปิโสแปดทิศ รูปโปสการ์ดขาวดำห้านิ้ว เป็นที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือ รูปบูชาแทนตัวนี้ต้องเป็นรูปครึ่งองค์ กับรูปเต็มองค์นั่ง และต้อง....

รูปภาพหลวงพ่อกวย
ผมได้จัดทำภาพของหลวงพ่อกวยขึ้นจำนวนหนึ่ง จะแจกให้ผู้ที่สนใจอยากจะได้ไว้ จึงขอรบกวนคุณเฒ่า สุพรรณ  ขอให้ช่วยจัดการให้ด้วย รูปทั้งหมดได้นำไปให้หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม เมตตาปลุกเสกให้แล้ว และยังได้นำไปเข้าพิธีพุทธาภิเษกที่วัดดวงแขด้วย โดยมีหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง เป็นประธาน และมีพระคณาจารย์ร่วมพิธีอีก ๒๐ กว่ารูป หรือคุณเฒ่าจะนำไปให้หลวงพ่อที่คุณนับถือปลุกเสกเพิ่มเติมก็จะเป็นการดีมากเลยครับ


ก่อนที่ผมจะนำภาพชุดนี้ไปให้หลวงพ่อแช่มช่วยปลุกเสก ก็ได้นำภาพทั้งหมดนี้ใส่พานวางไว้หน้ารูปหลวงพ่อ(รูปใบปลิวผมใส่กรอบเอาไว้)จุดธูปบอกหลวงพ่อขอให้ช่วยปลุกเสกให้ผมด้วย ผมจะนำไปแจกให้กับผู้ที่นับถือศรัทธาในตัวหลวงพ่อ แล้วจึงนำไปให้หลวงพ่อแช่มช่วยเมตตาปลุกเสกให้

ไปถึงวัดก็ไปกราบท่านแจ้งความประสงค์ให้ท่านทราบ พอดีวันนั้นคนน้อยมาก สักพักก็ได้ปลุกเสกให้และพรมน้ำมนต์ แล้วผมก็รับรูปกลับมา แล้วท่านถามผมว่า ในห่อน่ะรูปใคร เก่งนะ หลวงพ่อองค์นี้อยู่ที่ไหน ผมก็บอกว่าเป็นรูปภาพหลวงพ่อกวย อยู่ชัยนาท มรณภาพไปหลายปีแล้ว ท่านก็บอกว่าบารมีท่านมากจริง ๆ เมตตากับคนทั่วไป ยังอยู่คอยคุ้มครองลูกศิษย์ของท่านที่ระลึกถึงท่าน เมตตาบารมีท่านแรงจริง ๆ และท่านก็ยังบอกผมว่าว่าง ๆ ก็ให้ผมไปกราบท่านที่วัดท่านซะ เพราะท่านยังอยู่ในที่ที่ท่านเคยอยู่นั่นแหละ

ก่อนกลับหลวงพ่อแช่มก็ยังเอาห่อรูปไปปลุกเสกให้อีกรอบ และพูดว่าก๋งไปอยู่กับลูกหลานนะก๋งนะ ไปคุ้มครองป้องกันภัยให้ลูกหลานเจริญรุ่งเรืองนะก๋งนะ นี่คือคำพูดของหลวงพ่อแช่ม ก่อนจะลาท่านกลับ (ปัจจุบันหลวงพ่อแช่มมรณภาพแล้วประมาณเกือบ ๓ เดือนแล้ว)

ประยูร  ซอยชินเขต
25/83-84 ซอยชินเขต เขตดอนเมือง
กรุงเทพ 10210


หมายเหตุ หลวงพ่อแช่มมรณภาพเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2536
เสียดายว่า ตอนหลวงพ่อแช่มมรณภาพ ไม่มีใครถ่ายรูปลักษณาการแห่งการดับขันธ์ซึ่งอยู่ในท่าสีหไสยาสน์แบบเดียวกับท่านิพพานของหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร อย่างงดงามยิ่งของหลวงพ่อแช่มเอาไว้


ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม จากเรื่องราวของเรื่องนี้ เป็นการยืนยันคำพูดของหลวงกวย ที่ท่านพูดว่า
“เมื่อกูตายไปแล้ว กูก็อยู่ที่วัดนี่ มึงตายแล้วตายอีกกูก็ยังอยู่ที่วัดนี่”
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มกราคม 17, 2012, 09:23:33 pm
ขอบคุณสำหรับข้อมูล  :o :o
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 19, 2012, 01:47:34 pm
ขอบคุณสำหรับข้อมูล  :o :o

น้องโก้ใช้เวลาไหนมาเล่นเน็ตครับ สงสัยจัง ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 19, 2012, 01:50:09 pm
รอยเท้ามหัศจรรย์

เล่ากันว่า พระพุทธองค์ พระอรหันต์ พระผู้ทรงอภิญญา จะมีเส้นลายมือ และเส้นรอยเท้า ที่เหนือกว่าบุคคลธรรมดา ไม่ว่าท่านจะย่างเหยียบไปที่ใด สถานที่ ๆ นั้นจะกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
คนโบราณมักนิยมนำรอยเท้าของครูอาจารย์ โดยให้ท่านเหยียบลงบนผ้า โดยใช้ครามหรือหมึกทาที่ฝ่าเท้าแล้วให้ท่านเหยียบให้ บางคนก็บูชารอยเท้าของพ่อแม่ เป็นที่น่าสังเกตว่าบุคคลเหล่านั้นมักจะมั่งคั่งร่ำรวย ทำมาค้าขึ้น

ในอดีตเรื่องผ้ารอยเท้านี้ ไม่มีผ้ารอยเท้าของหลวงพ่อองค์ใดที่มีความศักดิ์สิทธิ์และมีการเช่าหากันในราคาแพงเท่าของคุณพ่อเดิม แห่งวัดหนองโพธิ์ ไปได้

หลวงพ่อกวยเป็นศิษย์องค์หนึ่งที่ยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ ของรอยเท้าของคุณพ่อเดิมผู้เป็นอาจารย์ ท่านเคยเล่าให้ศิษย์ฟังว่า อาจารย์ของท่านนั้นถ้าได้เหยียบรอยเท้าลงบนตัวใครก็แล้วแต่ คน ๆ นั้น จะมั่งคั่งร่ำรวย ทำมาค้าขึ้น ท่านเคยพูดแย้ม ๆ กับศิษย์ท่านคนหนึ่งชื่อกมล บ้านอยู่ตลาดท่าช้าง ท่านพูดว่า อาจารย์ท่านได้เหยียบรอยเท้าลงบนหน้าผากใครก็แล้วแต่ คน ๆ นั้น จะมั่งคั่งร่ำรวย แต่คุณกมลก็ไม่เอะใจว่าถ้าขอให้ท่านทำ ท่านก็จะทำให้ แต่ท่านก็ไม่พูดตรง ๆ เพราะการเอาเท้าเหยียบตรงหน้าผากนี่ถ้าไม่นับถือกันจริง ๆ คงไม่มีใครยอม

มีศิษย์ท่านคนหนึ่งชื่อชาติ เป็นคนทางโพธิ์งาม หรือแม่น้ำน้อยนี่แหละ ทำงานอยู่ท่าเรือบางจากเซโล บางจาก อาชีพขนของ หรือจับกัง มีความเคารพในตัวหลวงพ่อกวยมาก จะเป็นด้วยบุญหรือความฉลาดของแกนั่นแหละ วันหนึ่งแกมากราบหลวงพ่อ พอหลวงพ่อเข้าไปหยิบของในกุฏิชั้นใน แกไปนอนหงายขวางประตูกุฏิ โดยนอนหงายให้ลำตัวเหยียดยาวชนิดที่หลวงพ่อออกจากกุฏิไม่ได้ พอหลวงพ่อจะออกจากกุฏิก็ออกไม่ได้ แกพูดว่า “ขอให้หลวงพ่อเหยียบรอยเท้าที่หน้าผากผมที ผมเองเป็นคนยากจนเข็ญใจ เป็นจับกังแบกของ มีแต่คนเขาดูหมิ่นเหยียดหยาม ขอให้ผมได้ร่ำรวยกับเขาบ้าง” หลวงพ่อก็จะไม่เหยียบให้ แกก็ไม่ยอม หลวงพ่อท่านเลยเหยียบให้ ท่านคงจะลงมนต์ให้ด้วย เมื่อนายชาติลากลับไปแล้ว ท่านได้พูดกับศิษย์ที่เป็นกรรมการวัดว่า “ไอ้นี่มันใจถึง มันจะได้อย่างที่มันหวัง” เหตุการณ์ล่วงเลยมาสิบกว่าปี นายชาติจากจับกังธรรมดา ปัจจุบันมีเรือบรรทุกส่งของเป็นของตัวเอง มั่งคั่งร่ำรวย มีแต่คนเรียกเถ้าแก่ชาติ เฮียชาติ

เรื่องผ้ารอยเท้านี้ สมัยที่หลวงพ่อกวยท่านมีชีวิตอยู่ ผมเคยนำผ้าไปให้ท่านเหยียบเอาไว้ ๒ ผืน ๔ รอย จะเป็นเพราะอะไรผมก็ไม่แน่ใจ ผมเอาผงขมิ้นผสมน้ำ แล้วเอาไปทาฝ่าเท้าท่าน แล้วให้ท่านเหยียบลงไปทีเดียว ๒ ผืน ซ้อนกันเลย เมื่อท่านยกเท้าขึ้นมา ไม่ปรากฎเป็นรอยเท้า มีแต่รอยขมิ้นเหลือง ๆ เฉย ๆ แม้ว่าจะนำขมิ้นทาเท้าท่านใหม่ พอเหยียบใหม่ก็ไม่ปรากฏรอยเท้า คือขมิ้นซึมหายลงไปในผ้าหมด เหยียบอยู่ ๓ ครั้งก็ไม่ปรากฏรอยเท้า ผมเกรงใจท่านเลยพอ ท่านพูดว่า “มึงจะดูรอยเท้ากูต้องเอากล้องส่อง” และผมก็ไม่ได้สนใจผ้ารอยเท้านั้น เพราะเจตนาจะใส่กรอบบูชา แต่ผิดหวังกลับไม่เป็นรูปเท้า

อยู่มาในวันแต่งงานผม คือส่งตัว ภรรยาผมเขาอยากทำหมอนให้แม่กับเตี่ยเขาซัก ๒ ใบเป็นที่ระลึก จะไปหาซื้อผ้าทำไส้หมอน ผมเลยเอาผ้ารอยเท้าหลวงพ่อกวยให้เขาทำ และเอาไปให้พ่อตาแม่ยายเป็นที่ระลึก พร้อมรูปหล่อบูชารุ่น ๒ หนึ่งองค์ ตอนหลังเมื่อกลับไปเยี่ยมท่าน ท่านถามว่า “พวกมึงเอาอะไรใส่ไว้ในหมอน” ผมก็ถามท่านงงๆว่า “ทำไมหรือ” ทั้งเตี่ยและแม่ชิงพูดพร้อมกันว่า “เอามาหนุนหัวทีไร หลับทีไร เห็นแต่พระแก่ ๆ องค์หนึ่งมายืนดูที่หัวนอน” ทั้งเตี่ยและแม่เลยไม่ยอมเอามาหนุนหัวนอนคงนึกว่าผมเอาอะไรใส่ไว้ข้างใน ผมเลยนึกขึ้นมาได้ว่าเอาผ้ารอยเท้าหลวงพ่อกวยมาทำไส้ในหมอน จะขอคืนก็ใช่ที่จึงปล่อยเลยตามเลย

เมื่อท่านมรณภาพทางศิษย์ได้นำขมิ้นมาทาฝ่าเท้า แล้วเอาผ้าประทับ ก็ไม่ปรากฏเป็นรอยเท้าชัดเจนเช่นกัน เมื่อเล่าถึงเรื่องฝ่าเท้าของท่านแล้ว เลยขอเล่าเรื่องฝ่ามือของท่านต่อด้วย มีหมอดูคนหนึ่งได้มาดูลายมือ และดูดวงให้พระในวัด หลวงพ่อกวยท่านอยู่ด้วยท่านก็ปล่อยเพราะหลวงพ่อท่านเคยเรียนวิชาดูดวงชะตาคนมาก่อน แต่ท่านไม่ชอบยุ่งยากคือท่านไม่มีเวลา ท่านจึงไม่ดูให้ใคร เมื่อมีหมอมาดูดวงในวัด ดูให้พระท่านก็เลยปล่อย เพราะท่านไม่ได้สงเคราะห์ใครแล้ว เมื่อดูกันจนหมดแล้ว เลยเรียกหมอไปใกล้ ๆ คือหมอดูคนนี้เป็นคนที่อื่น ไม่รู้จักหลวงพ่อ แล้วท่านก็ยื่นมือให้หมอดู หมอดูคนนี้ถึงกับตกใจหน้าซีด หมอดูได้พูดว่า “ลายมือหลวงตาไม่มีในตำราหมอดู ดูไม่ได้ มีแต่ดอกพิกุลขึ้นเต็มฝ่ามือ” ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ดอกพิกุลขึ้นเต็มฝ่ามือนี่หมายความว่าอย่างไร

อีกครั้งหนึ่งหมอดูพเนจรได้เข้ามาดูดวงในวัดให้พระเช่นกัน เมื่อพระดูดวงกันหมดแล้ว หลวงพ่อกวยท่านนึกสนุกขึ้นมาอยากให้หมอดู ดูลายมือให้ท่านบ้าง เมื่อหมอดูคนนี้เห็นลายมือหลวงพ่อได้พูดว่า “หลวงตา ๆ นี่ เป็นคนมีลูกเยอะ” คือความหมายของหมอดู คงหมายความว่า หลวงพ่อนี่เคยมีลูกมีเมียมาก่อนลูกดกมากแล้วจึงค่อยมาบวชเป็นพระหลวงตา พอหมอดูพูดอย่างนั้นท่านก็ยิ้ม ๆ พอหมอดูไปแล้ว ท่านพูดว่า “ก็จริงของมัน กูมันลูกเยอะจริง ๆ” คือท่านหมายถึงลูกศิษย์ พระเณร หมา ฯลฯ คือท่านเป็นพระที่รักลูกศิษย์นั่นเอง

เอ็งเป็นลูกหลานใครไม่สำคัญ   เป็นลูกศิษย์กูนั้นสำคัญกว่า
กูจะเฝ้าอบรมบ่มวิชา   วันข้างหน้าให้เอ็งได้เป็นคนดี

ขอศิษย์ทั้งหลาย...จงอย่าอด อย่าอยาก อย่ายาก ย่าจน อย่าต่ำกว่าคน อย่าจนกว่าเขา

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มกราคม 20, 2012, 05:20:46 pm
ขอบคุณสำหรับข้อมูล  :o :o

น้องโก้ใช้เวลาไหนมาเล่นเน็ตครับ สงสัยจัง ;D
โรงเรียนหยุดภายในครับ เนื่องจากครูไปดูงาน  ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 23, 2012, 10:48:17 am
ขอบคุณสำหรับข้อมูล  :o :o

น้องโก้ใช้เวลาไหนมาเล่นเน็ตครับ สงสัยจัง ;D
โรงเรียนหยุดภายในครับ เนื่องจากครูไปดูงาน  ;D

อนาคตเซียนใหญ่แน่ ๆ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 23, 2012, 10:56:58 am
วันนี้เพิ่งจะเปลี่ยนจากสมเด็จมาเป็นรูปถ่ายหลังสิงห์ ครับเพิ่งจะเลี่ยมเสร็จเมื่อวันเสาร์

นึก ๆ แล้วก็เสียดายเวลาที่ผ่านมาจริง ๆ มิฉะนั้นแล้วคงเก็บพระของหลวงพ่อไว้ตามกำลังศรัทธา เมื่อก่อนข้อมูลในการสะสมถือว่าน้อยเกินไปจึงไม่อาจจะสะสมได้ตามที่ต้องการ กำลังทรัพย์ก็มีส่วนแต่พระของหลวงพ่อราคาก็น่าจะเก็บได้ วันนี้ ได้ภาพถ่ายหลังสิงห์ที่ว่ากันว่าประสบการณ์เฉียบขาดเทียบเท่าเหรียญรุ่น ๑ มาขึ้นคอ ถึงจะอยู่ในสภาพที่บอบช้ำแต่ก็ยังเห็นภาพหลวงพ่อ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 23, 2012, 11:18:53 am
ได้เหรียหลังยันต์ มาเข้าคู่กับเหรียญหลังหนุมาน ยิ่งมองก็ยิ่งรักครับหลังยันต์ดูเข้มขลังจริง ๆ

ว่าแล้วก็เพิ่มพิมพ์สรรค์นั่งเข้าไปรวมสามองค์พร้อมออกศึกครับ ;D ;D ;D

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 23, 2012, 03:42:41 pm
ที่ตู้บูชาของวัดโฆสิตาราม มีรูปบูชาขนาดใหญ่ ที่เรียกกันว่า รูปย่ามวิเศษ ผมเองเพิ่งจะมาทราบเมื่อวานนี้เองครับว่าเรียกกันว่าอย่างนั้น วันนั้น ในตู้เห็นมีรูปย่ามวิเศษนี่แหละที่น่าสนใจที่สุดแล้วครับ เพราะไม่มีรูปอย่างอื่นให้บูชา ที่มีก็ขนาดไม่ใหญ่นัก ยอมรับว่า อยากได้รูปถ่ายของหลวงพ่อไปใส่กรอบบูชาที่บ้านด้วย ครั้งแรกที่เห็นรูปนี้ รู้สึกว่า ชอบทันทีเลยครับ บอกผู้ดูแลตู้วัตถุมงคลทันทีว่าขอบูชารูปนี้ ๒ รูป แบ่งกับรุ่นน้องคนละรูปครับ ผู้ดูแลตู้วัตถุมงคลบอกผมว่า รูปนี้ทำเมื่อปี ๔๕ ครับ แปลกใจอยู่เหมือนกันว่า น่าจะหมดไปนานแล้ว ผมคะเนว่าจากที่เห็นในตู้น่าจะมีประมาณเหลือไม่ถึง ๒๐ ใบ ครับ นับถึงปีนี้ภาพนี้ก็มีอายุถึง ๑๐ ปีแล้ว ผมใส่กรอบ ๒๒๐. - ส่วนรุ่นน้องใส่กรอบ ๑๗๐.- แหมผมแพงกว่าตั้ง ๕๐.-บาท

ใส่กรอบมาเรียบร้อยแล้วครับ ภาพถ่ายย่ามวิเศษ


เมื่อสักครู่ได้ไปประชุมกองทุนหมู่บ้านกับรุ่นน้องที่ไปกราบหลวงพ่อมาด้วยกัน น้องเขาเล่าให้ผมฟังว่า รูปถ่ายย่ามวิเศษของน้องเขารับมาในวันอังคาร ๑๐ ม.ค.๕๕ ได้มาก็นำมาบูชาด้วยพานธูปเทียนแพ หมากพลูบุหรี่ แรก ๆ ภรรยาของน้องเขาบอกว่ารูปถ่ายหลวงพ่อดูน่ากลัวจัง ฝันไม่ค่อยดีเลย น้องเขาก็ปรามว่าหลวงพ่อท่านใจดีมีเมตตาไม่เห็นจะน่ากลัวเลย หลังจากนั้นอีก ๒ วัน มีคนโทรมาขอทำประกันกับภรรยาเขาซึ่งแต่ก่อนน้อยมาก แต่แปลกวันนั้นคือวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ ม.ค.๕๕ ภายใน ๑ ชั่วโมง มีคนมาขอทำประกันได้เงินมา ๔,๐๐๐.-บาท นับว่าเป็นเรื่องที่มาก ผมฟังน้องเขาเล่าให้ฟังก็รู้สึกยินดีกับน้องเขาด้วย เขาบอกว่า ดีนะต่อไปนี้จะได้มีที่พึ่งทางใจเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นไม่ต้องสับสน
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มกราคม 23, 2012, 04:53:42 pm
รูปถ่ายสุดยอดครับ สุดยอดทั้งชุดเลย ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ หากวันงานรูปยังไม่หมด จะนิมนต์มาบูชาที่บ้านสักใบ ตอนนี้มีอยู่ใบนึงยังไม่ได้ใส่กรอบเลย 555+  :D :D :D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 24, 2012, 10:06:53 am
รูปถ่ายสุดยอดครับ สุดยอดทั้งชุดเลย ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ หากวันงานรูปยังไม่หมด จะนิมนต์มาบูชาที่บ้านสักใบ ตอนนี้มีอยู่ใบนึงยังไม่ได้ใส่กรอบเลย 555+  :D :D :D

รูปถ่ายย่ามวิเศษ ผมยังงง ๆ ตัวเองอยู่ไม่หายเลยครับว่า ทำไมจึงบูชามาแค่ภาพเดียว วัดได้ทำไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๔๕ นับถึงปีนี้ก็ครบ ๑๐ ปีพอดี พูดถึงประสบการณ์หรือความบังเอิญก็ไม่อาจจะยืนยันแจ้งชัด เพราะน้องเขาเล่าให้ผมฟังครับ หลังจากใส่กรอบมาบูชาที่บ้านภรรยาของน้องเขากลับมีความรู้สึกว่าภาพถ่ายหลวงพ่อนั้นมองดูแล้วน่ากลัวและยังคิดว่าเป็นสาเหตุให้ตัวเองฝันไม่ดี จนรุ่นน้องเขาต้องบอกกับภรรยาว่าหลวงพ่อท่านใจดีมีเมตตาคอยช่วยเหลือลูกศิษย์ท่านอยู่เสมอ ๆ หลังจากนั้นเพียง ๒ วัน ก็มีคนโทรมาขอทำประกันภัยรถยนต์เพียงแค่ชั่วโมงเดียวได้ค่าคอมฯตั้ง ๔,๐๐๐.-บาท ปกติโดยทั่วไปค่าคอมฯจะอยู่ประมาณร้อยละสาม นับว่า ภรรยายของน้องเขาโชคดีไม่น้อย ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 24, 2012, 10:55:02 am
มีผ้ายันต์ของหลวงพ่ออยู่เพียงผืนเดียวครับ เป็นผ้ายันต์สารพัดดีสารพัดกัน ได้บูชามาในสมัยพระอาจารย์สำรวย(อ.โม่) คงต้องเอาไปใส่กรอบบูชาอีกแล้วครับ ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มกราคม 25, 2012, 04:46:04 pm
มีผ้ายันต์ของหลวงพ่ออยู่เพียงผืนเดียวครับ เป็นผ้ายันต์สารพัดดีสารพัดกัน ได้บูชามาในสมัยพระอาจารย์สำรวย(อ.โม่) คงต้องเอาไปใส่กรอบบูชาอีกแล้วครับ ;D ;D ;D
:o :o :o
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 30, 2012, 09:46:17 am
มีผ้ายันต์ของหลวงพ่ออยู่เพียงผืนเดียวครับ เป็นผ้ายันต์สารพัดดีสารพัดกัน ได้บูชามาในสมัยพระอาจารย์สำรวย(อ.โม่) คงต้องเอาไปใส่กรอบบูชาอีกแล้วครับ ;D ;D ;D

ใส่กรอบเสร็จแล้วก็อดเอามาอวดไม่ได้ครับ สำหรับผ้ายันต์ผืนนี้หลังจากปลดออกจากที่เหน็บกับผ้าม่านในสมัยก่อนแล้วก็เก็บจนลืมไปเลยว่าเคยมีผ้ายันต์สารพัดดีสารพัดกันเมื่อค้นเจอก็รู้สึกดีใจจนน้ำหูน้ำตาไหล
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: chatchawan48 ที่ มกราคม 30, 2012, 03:55:02 pm
รูปสวย เรื่องดี ชอบมาก ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 30, 2012, 04:10:53 pm
รูปสวย เรื่องดี ชอบมาก ขอบคุณมากครับ

ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมครับ ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มกราคม 30, 2012, 04:38:39 pm
มีผ้ายันต์ของหลวงพ่ออยู่เพียงผืนเดียวครับ เป็นผ้ายันต์สารพัดดีสารพัดกัน ได้บูชามาในสมัยพระอาจารย์สำรวย(อ.โม่) คงต้องเอาไปใส่กรอบบูชาอีกแล้วครับ ;D ;D ;D

ใส่กรอบเสร็จแล้วก็อดเอามาอวดไม่ได้ครับ สำหรับผ้ายันต์ผืนนี้หลังจากปลดออกจากที่เหน็บกับผ้าม่านในสมัยก่อนแล้วก็เก็บจนลืมไปเลยว่าเคยมีผ้ายันต์สารพัดดีสารพัดกันเมื่อค้นเจอก็รู้สึกดีใจจนน้ำหูน้ำตาไหล
วันงาน 12 เมษายน 55 ถ้ามีโอกาสเจอกันขอชมหน่อยน่ะครับ 5555+
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 30, 2012, 04:40:55 pm
มีผ้ายันต์ของหลวงพ่ออยู่เพียงผืนเดียวครับ เป็นผ้ายันต์สารพัดดีสารพัดกัน ได้บูชามาในสมัยพระอาจารย์สำรวย(อ.โม่) คงต้องเอาไปใส่กรอบบูชาอีกแล้วครับ ;D ;D ;D

ใส่กรอบเสร็จแล้วก็อดเอามาอวดไม่ได้ครับ สำหรับผ้ายันต์ผืนนี้หลังจากปลดออกจากที่เหน็บกับผ้าม่านในสมัยก่อนแล้วก็เก็บจนลืมไปเลยว่าเคยมีผ้ายันต์สารพัดดีสารพัดกันเมื่อค้นเจอก็รู้สึกดีใจจนน้ำหูน้ำตาไหล
วันงาน 12 เมษายน 55 ถ้ามีโอกาสเจอกันขอชมหน่อยน่ะครับ 5555+

ขอชมผ้ายันต์กะรูปถ่ายย่ามวิเศษเหรอครับน้องโก้ ไม่ไหวมั้ง อิอิ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มกราคม 30, 2012, 09:03:52 pm
มีผ้ายันต์ของหลวงพ่ออยู่เพียงผืนเดียวครับ เป็นผ้ายันต์สารพัดดีสารพัดกัน ได้บูชามาในสมัยพระอาจารย์สำรวย(อ.โม่) คงต้องเอาไปใส่กรอบบูชาอีกแล้วครับ ;D ;D ;D

ใส่กรอบเสร็จแล้วก็อดเอามาอวดไม่ได้ครับ สำหรับผ้ายันต์ผืนนี้หลังจากปลดออกจากที่เหน็บกับผ้าม่านในสมัยก่อนแล้วก็เก็บจนลืมไปเลยว่าเคยมีผ้ายันต์สารพัดดีสารพัดกันเมื่อค้นเจอก็รู้สึกดีใจจนน้ำหูน้ำตาไหล
วันงาน 12 เมษายน 55 ถ้ามีโอกาสเจอกันขอชมหน่อยน่ะครับ 5555+

ขอชมผ้ายันต์กะรูปถ่ายย่ามวิเศษเหรอครับน้องโก้ ไม่ไหวมั้ง อิอิ ;D
เอาแค่ที่คอก็พอ (จะยกรูปมาด้วยก็ไม่ว่าครับระวังท่านจะมาอยู่กับผม5555+)  ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 31, 2012, 08:37:53 am
มีผ้ายันต์ของหลวงพ่ออยู่เพียงผืนเดียวครับ เป็นผ้ายันต์สารพัดดีสารพัดกัน ได้บูชามาในสมัยพระอาจารย์สำรวย(อ.โม่) คงต้องเอาไปใส่กรอบบูชาอีกแล้วครับ ;D ;D ;D

ใส่กรอบเสร็จแล้วก็อดเอามาอวดไม่ได้ครับ สำหรับผ้ายันต์ผืนนี้หลังจากปลดออกจากที่เหน็บกับผ้าม่านในสมัยก่อนแล้วก็เก็บจนลืมไปเลยว่าเคยมีผ้ายันต์สารพัดดีสารพัดกันเมื่อค้นเจอก็รู้สึกดีใจจนน้ำหูน้ำตาไหล
วันงาน 12 เมษายน 55 ถ้ามีโอกาสเจอกันขอชมหน่อยน่ะครับ 5555+

ขอชมผ้ายันต์กะรูปถ่ายย่ามวิเศษเหรอครับน้องโก้ ไม่ไหวมั้ง อิอิ ;D
เอาแค่ที่คอก็พอ (จะยกรูปมาด้วยก็ไม่ว่าครับระวังท่านจะมาอยู่กับผม5555+)  ;D ;D

ถ้าหากผมไปได้นะครับน้องโกได้ชมแน่แต่ของผมไม่ค่อยสวยนะบอบช้ำมากไปน่ะ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มกราคม 31, 2012, 04:21:35 pm
พระหลวงพ่อแล้วไม่เกี่ยงสภาพชมได้ 24 ชั่วโมง แบบไม่เบื่อ
 ;D ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2012, 10:03:28 am
มีเรื่องมาเล่าให้ฟังอีกแล้วครับ

เมื่อคืนนี้ลูกชายคนโตซึ่งทำงานอยู่ที่ร้านหนังสือเอเซียบุคสาขาหัวลำโพง หลังจากเลิกงานประมา ๒๐.๒๔ น. ได้โทรศัพท์มาหาผมเล่าให้ฟังด้วยอาการตื่นเต้นและดีใจ เขาเล่าให้ผมฟังว่า เดือนนี้เขาได้ค่าคอม ฯ สามพันกว่า เนื่องจากทำยอดขายได้ทะลุเป้าเกินสี่แสนบาท ค่าคอมฯก็คงจะเหมือน ๆ กันกับทั่วๆไปคือร้อยละสาม ในร้านมีพนักงานทั้งหมดสี่คนก็ต้องหารสี่ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยเปรย ๆ กับผมว่าเขาไม่ชอบงานนี้ น่าเบื่อ ยอดขายไม่ทะลุเป้า ผมก็ได้แต่ปลอบใจให้เขาใจเย็น ๆ เพราะงานไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก

เมื่อก่อนปีใหม่ ผมเองได้ขึ้นไป กรุงเทพฯ เพื่อพบประสังสรรกันกับครอบครัวและญาติพี่น้อง ผมได้นำเหรียญเดิมบางที่เลี่ยมอยู่ในกระทู้นี้แหละพร้อมสร้อยทองไปมอบให้เขาเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ ไปถึงผมก็อาราธนาสวมคอให้เขาทันที มองดูแล้วเท่ห์มากเพราะพระเลี่ยมได้สวยงาม เหรียญนี้น่าจะเป็นของเขาเพราะผมได้มาแบบง่าย ๆ คือ เสียเบียร์ไปแค่ ๓ ขวดเพื่อแลกกับเหรียญเดิมบางเหรียญงามเหรียญนี้ พอได้มาก็นำไปเลี่ยมพลาสติกขึ้นคอให้เขาทันทีซึ่งในขณะนั้นลูกชายผมน่าจะกำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาล เขาซนมากใส่จนกรอบพลาสติกช้ำจนต้องแกะออกเอาเก็บไว้ นึกไม่ถึงว่าเหรียญนี้จะกลับไปสวมคอเขาอีกพร้อมเลี่ยมทองอย่างสวยงาม

เพียงแค่เดือนเดียว งานของเขาดีขึ้นมากขนาดนี้ ส่วนตัวแล้วค่อนข้างมั่นใจมาก แต่ก็ยังวินิจฉัยไปเลยทันทีคงไม่ได้ ผมเองคอยให้กำลังใจเขามาตลอดและให้เขาหมั่นระลึกหลวงพ่อเสมอ ๆ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2012, 10:05:03 am
พระหลวงพ่อแล้วไม่เกี่ยงสภาพชมได้ 24 ชั่วโมง แบบไม่เบื่อ
 ;D ;D ;D ;D ;D

แหม ไม่เกี่ยงก็ไม่เกี่ยงครับ ถ้ามีโอกาสเจอกันจริง ๆ นะครับ ได้ชมแน่นอนครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2012, 10:27:02 am
มีเรื่องมาเล่าให้ฟังอีกแล้วครับ

เมื่อคืนนี้ลูกชายคนโตซึ่งทำงานอยู่ที่ร้านหนังสือเอเซียบุคสาขาหัวลำโพง หลังจากเลิกงานประมา ๒๐.๒๔ น. ได้โทรศัพท์มาหาผมเล่าให้ฟังด้วยอาการตื่นเต้นและดีใจ เขาเล่าให้ผมฟังว่า เดือนนี้เขาได้ค่าคอม ฯ สามพันกว่า เนื่องจากทำยอดขายได้ทะลุเป้าเกินสี่แสนบาท ค่าคอมฯก็คงจะเหมือน ๆ กันกับทั่วๆไปคือร้อยละสาม ในร้านมีพนักงานทั้งหมดสี่คนก็ต้องหารสี่ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยเปรย ๆ กับผมว่าเขาไม่ชอบงานนี้ น่าเบื่อ ยอดขายไม่ทะลุเป้า ผมก็ได้แต่ปลอบใจให้เขาใจเย็น ๆ เพราะงานไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก

เมื่อก่อนปีใหม่ ผมเองได้ขึ้นไป กรุงเทพฯ เพื่อพบประสังสรรกันกับครอบครัวและญาติพี่น้อง ผมได้นำเหรียญเดิมบางที่เลี่ยมอยู่ในกระทู้นี้แหละพร้อมสร้อยทองไปมอบให้เขาเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ ไปถึงผมก็อาราธนาสวมคอให้เขาทันที มองดูแล้วเท่ห์มากเพราะพระเลี่ยมได้สวยงาม เหรียญนี้น่าจะเป็นของเขาเพราะผมได้มาแบบง่าย ๆ คือ เสียเบียร์ไปแค่ ๓ ขวดเพื่อแลกกับเหรียญเดิมบางเหรียญงามเหรียญนี้ พอได้มาก็นำไปเลี่ยมพลาสติกขึ้นคอให้เขาทันทีซึ่งในขณะนั้นลูกชายผมน่าจะกำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาล เขาซนมากใส่จนกรอบพลาสติกช้ำจนต้องแกะออกเอาเก็บไว้ นึกไม่ถึงว่าเหรียญนี้จะกลับไปสวมคอเขาอีกพร้อมเลี่ยมทองอย่างสวยงาม

เพียงแค่เดือนเดียว งานของเขาดีขึ้นมากขนาดนี้ ส่วนตัวแล้วค่อนข้างมั่นใจมาก แต่ก็ยังวินิจฉัยไปเลยทันทีคงไม่ได้ ผมเองคอยให้กำลังใจเขามาตลอดและให้เขาหมั่นระลึกหลวงพ่อเสมอ ๆ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2012, 04:11:54 pm
มีเรื่องมาเล่าให้ฟังอีกแล้วครับ

เมื่อคืนนี้ลูกชายคนโตซึ่งทำงานอยู่ที่ร้านหนังสือเอเซียบุคสาขาหัวลำโพง หลังจากเลิกงานประมา ๒๐.๒๔ น. ได้โทรศัพท์มาหาผมเล่าให้ฟังด้วยอาการตื่นเต้นและดีใจ เขาเล่าให้ผมฟังว่า เดือนนี้เขาได้ค่าคอม ฯ สามพันกว่า เนื่องจากทำยอดขายได้ทะลุเป้าเกินสี่แสนบาท ค่าคอมฯก็คงจะเหมือน ๆ กันกับทั่วๆไปคือร้อยละสาม ในร้านมีพนักงานทั้งหมดสี่คนก็ต้องหารสี่ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยเปรย ๆ กับผมว่าเขาไม่ชอบงานนี้ น่าเบื่อ ยอดขายไม่ทะลุเป้า ผมก็ได้แต่ปลอบใจให้เขาใจเย็น ๆ เพราะงานไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก

เมื่อก่อนปีใหม่ ผมเองได้ขึ้นไป กรุงเทพฯ เพื่อพบประสังสรรกันกับครอบครัวและญาติพี่น้อง ผมได้นำเหรียญเดิมบางที่เลี่ยมอยู่ในกระทู้นี้แหละพร้อมสร้อยทองไปมอบให้เขาเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ ไปถึงผมก็อาราธนาสวมคอให้เขาทันที มองดูแล้วเท่ห์มากเพราะพระเลี่ยมได้สวยงาม เหรียญนี้น่าจะเป็นของเขาเพราะผมได้มาแบบง่าย ๆ คือ เสียเบียร์ไปแค่ ๓ ขวดเพื่อแลกกับเหรียญเดิมบางเหรียญงามเหรียญนี้ พอได้มาก็นำไปเลี่ยมพลาสติกขึ้นคอให้เขาทันทีซึ่งในขณะนั้นลูกชายผมน่าจะกำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาล เขาซนมากใส่จนกรอบพลาสติกช้ำจนต้องแกะออกเอาเก็บไว้ นึกไม่ถึงว่าเหรียญนี้จะกลับไปสวมคอเขาอีกพร้อมเลี่ยมทองอย่างสวยงาม

เพียงแค่เดือนเดียว งานของเขาดีขึ้นมากขนาดนี้ ส่วนตัวแล้วค่อนข้างมั่นใจมาก แต่ก็ยังวินิจฉัยไปเลยทันทีคงไม่ได้ ผมเองคอยให้กำลังใจเขามาตลอดและให้เขาหมั่นระลึกหลวงพ่อเสมอ ๆ
เพิ่งกลับจากโรงเรียน ได้เข้ามาอ่านประสบการณ์ดีๆเลยน่ะครับ ยินดีด้วยกะยอดขายของลูกชายพี่ 555+ เมื่อก่อนเดิมบางสวยๆ 3-4 พันก็หามาไว้ที่คอได้แล้วครับ ตอนนี้เดิมบางขยับขึ้นไปแล้ว และคาดว่าปีนี้ก็จะห่างไปเรื่อยๆ เดิมบางเป็นเหรียญหนึ่งที่มีพุทธคุณสูง  ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2012, 04:18:58 pm
มีเรื่องมาเล่าให้ฟังอีกแล้วครับ

เมื่อคืนนี้ลูกชายคนโตซึ่งทำงานอยู่ที่ร้านหนังสือเอเซียบุคสาขาหัวลำโพง หลังจากเลิกงานประมา ๒๐.๒๔ น. ได้โทรศัพท์มาหาผมเล่าให้ฟังด้วยอาการตื่นเต้นและดีใจ เขาเล่าให้ผมฟังว่า เดือนนี้เขาได้ค่าคอม ฯ สามพันกว่า เนื่องจากทำยอดขายได้ทะลุเป้าเกินสี่แสนบาท ค่าคอมฯก็คงจะเหมือน ๆ กันกับทั่วๆไปคือร้อยละสาม ในร้านมีพนักงานทั้งหมดสี่คนก็ต้องหารสี่ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยเปรย ๆ กับผมว่าเขาไม่ชอบงานนี้ น่าเบื่อ ยอดขายไม่ทะลุเป้า ผมก็ได้แต่ปลอบใจให้เขาใจเย็น ๆ เพราะงานไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก

เมื่อก่อนปีใหม่ ผมเองได้ขึ้นไป กรุงเทพฯ เพื่อพบประสังสรรกันกับครอบครัวและญาติพี่น้อง ผมได้นำเหรียญเดิมบางที่เลี่ยมอยู่ในกระทู้นี้แหละพร้อมสร้อยทองไปมอบให้เขาเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ ไปถึงผมก็อาราธนาสวมคอให้เขาทันที มองดูแล้วเท่ห์มากเพราะพระเลี่ยมได้สวยงาม เหรียญนี้น่าจะเป็นของเขาเพราะผมได้มาแบบง่าย ๆ คือ เสียเบียร์ไปแค่ ๓ ขวดเพื่อแลกกับเหรียญเดิมบางเหรียญงามเหรียญนี้ พอได้มาก็นำไปเลี่ยมพลาสติกขึ้นคอให้เขาทันทีซึ่งในขณะนั้นลูกชายผมน่าจะกำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาล เขาซนมากใส่จนกรอบพลาสติกช้ำจนต้องแกะออกเอาเก็บไว้ นึกไม่ถึงว่าเหรียญนี้จะกลับไปสวมคอเขาอีกพร้อมเลี่ยมทองอย่างสวยงาม

เพียงแค่เดือนเดียว งานของเขาดีขึ้นมากขนาดนี้ ส่วนตัวแล้วค่อนข้างมั่นใจมาก แต่ก็ยังวินิจฉัยไปเลยทันทีคงไม่ได้ ผมเองคอยให้กำลังใจเขามาตลอดและให้เขาหมั่นระลึกหลวงพ่อเสมอ ๆ
เพิ่งกลับจากโรงเรียน ได้เข้ามาอ่านประสบการณ์ดีๆเลยน่ะครับ ยินดีด้วยกะยอดขายของลูกชายพี่ 555+ เมื่อก่อนเดิมบางสวยๆ 3-4 พันก็หามาไว้ที่คอได้แล้วครับ ตอนนี้เดิมบางขยับขึ้นไปแล้ว และคาดว่าปีนี้ก็จะห่างไปเรื่อยๆ เดิมบางเป็นเหรียญหนึ่งที่มีพุทธคุณสูง  ;D ;D ;D

นั่นสิครับน้องโก้ ว่าจะเก็บไว้หลาย ๆ เหรียญนะครับหลวงพ่อเสกให้ตั้ง ๒ ปี ผมว่าน่าใช้มาก ๆ ครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: anon ที่ กุมภาพันธ์ 02, 2012, 12:19:17 am
อ้างถึง
มีเรื่องมาเล่าให้ฟังอีกแล้วครับ

เมื่อคืนนี้ลูกชายคนโตซึ่งทำงานอยู่ที่ร้านหนังสือเอเซียบุคสาขาหัวลำโพง หลังจากเลิกงานประมา ๒๐.๒๔ น. ได้โทรศัพท์มาหาผมเล่าให้ฟังด้วยอาการตื่นเต้นและดีใจ เขาเล่าให้ผมฟังว่า เดือนนี้เขาได้ค่าคอม ฯ สามพันกว่า เนื่องจากทำยอดขายได้ทะลุเป้าเกินสี่แสนบาท ค่าคอมฯก็คงจะเหมือน ๆ กันกับทั่วๆไปคือร้อยละสาม ในร้านมีพนักงานทั้งหมดสี่คนก็ต้องหารสี่ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยเปรย ๆ กับผมว่าเขาไม่ชอบงานนี้ น่าเบื่อ ยอดขายไม่ทะลุเป้า ผมก็ได้แต่ปลอบใจให้เขาใจเย็น ๆ เพราะงานไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก

เมื่อก่อนปีใหม่ ผมเองได้ขึ้นไป กรุงเทพฯ เพื่อพบประสังสรรกันกับครอบครัวและญาติพี่น้อง ผมได้นำเหรียญเดิมบางที่เลี่ยมอยู่ในกระทู้นี้แหละพร้อมสร้อยทองไปมอบให้เขาเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ ไปถึงผมก็อาราธนาสวมคอให้เขาทันที มองดูแล้วเท่ห์มากเพราะพระเลี่ยมได้สวยงาม เหรียญนี้น่าจะเป็นของเขาเพราะผมได้มาแบบง่าย ๆ คือ เสียเบียร์ไปแค่ ๓ ขวดเพื่อแลกกับเหรียญเดิมบางเหรียญงามเหรียญนี้ พอได้มาก็นำไปเลี่ยมพลาสติกขึ้นคอให้เขาทันทีซึ่งในขณะนั้นลูกชายผมน่าจะกำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาล เขาซนมากใส่จนกรอบพลาสติกช้ำจนต้องแกะออกเอาเก็บไว้ นึกไม่ถึงว่าเหรียญนี้จะกลับไปสวมคอเขาอีกพร้อมเลี่ยมทองอย่างสวยงาม

เพียงแค่เดือนเดียว งานของเขาดีขึ้นมากขนาดนี้ ส่วนตัวแล้วค่อนข้างมั่นใจมาก แต่ก็ยังวินิจฉัยไปเลยทันทีคงไม่ได้ ผมเองคอยให้กำลังใจเขามาตลอดและให้เขาหมั่นระลึกหลวงพ่อเสมอ ๆ


   เดิมบางนี่แหละครับ สุดยอด ท่านกำหนดยันต์ที่จะลงหลังเหรียญให้เองเลย
 แถมหลังจากปลุกเสกหมู่แล้ว ท่านยังปลุกเสกเองที่วัดอีก 2 ปี ก่อนออกให้
 สาธุชนเช่าบูชา  2 ปีเต็มๆ ที่หลวงพ่อท่านตั้งใจปลุกเสก ไม่ธรรมดาแน่นอน
 จตุรพิธปลุกเสก 1 เดือน พุทธคุณยังขนาดตัดรุ้งขาดได้ เดิมบาง 2 ปีไม่ต้องนึก
 ว่าจะสุดยอดขนาดไหน เก็บได้รีบเก็บ อีกไม่นานอยากจะได้ซักเหรียญก็ต้องกัดฟันเช่าเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กุมภาพันธ์ 02, 2012, 11:39:40 am
อ้างถึง
มีเรื่องมาเล่าให้ฟังอีกแล้วครับ

เมื่อคืนนี้ลูกชายคนโตซึ่งทำงานอยู่ที่ร้านหนังสือเอเซียบุคสาขาหัวลำโพง หลังจากเลิกงานประมา ๒๐.๒๔ น. ได้โทรศัพท์มาหาผมเล่าให้ฟังด้วยอาการตื่นเต้นและดีใจ เขาเล่าให้ผมฟังว่า เดือนนี้เขาได้ค่าคอม ฯ สามพันกว่า เนื่องจากทำยอดขายได้ทะลุเป้าเกินสี่แสนบาท ค่าคอมฯก็คงจะเหมือน ๆ กันกับทั่วๆไปคือร้อยละสาม ในร้านมีพนักงานทั้งหมดสี่คนก็ต้องหารสี่ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยเปรย ๆ กับผมว่าเขาไม่ชอบงานนี้ น่าเบื่อ ยอดขายไม่ทะลุเป้า ผมก็ได้แต่ปลอบใจให้เขาใจเย็น ๆ เพราะงานไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก

เมื่อก่อนปีใหม่ ผมเองได้ขึ้นไป กรุงเทพฯ เพื่อพบประสังสรรกันกับครอบครัวและญาติพี่น้อง ผมได้นำเหรียญเดิมบางที่เลี่ยมอยู่ในกระทู้นี้แหละพร้อมสร้อยทองไปมอบให้เขาเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ ไปถึงผมก็อาราธนาสวมคอให้เขาทันที มองดูแล้วเท่ห์มากเพราะพระเลี่ยมได้สวยงาม เหรียญนี้น่าจะเป็นของเขาเพราะผมได้มาแบบง่าย ๆ คือ เสียเบียร์ไปแค่ ๓ ขวดเพื่อแลกกับเหรียญเดิมบางเหรียญงามเหรียญนี้ พอได้มาก็นำไปเลี่ยมพลาสติกขึ้นคอให้เขาทันทีซึ่งในขณะนั้นลูกชายผมน่าจะกำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาล เขาซนมากใส่จนกรอบพลาสติกช้ำจนต้องแกะออกเอาเก็บไว้ นึกไม่ถึงว่าเหรียญนี้จะกลับไปสวมคอเขาอีกพร้อมเลี่ยมทองอย่างสวยงาม

เพียงแค่เดือนเดียว งานของเขาดีขึ้นมากขนาดนี้ ส่วนตัวแล้วค่อนข้างมั่นใจมาก แต่ก็ยังวินิจฉัยไปเลยทันทีคงไม่ได้ ผมเองคอยให้กำลังใจเขามาตลอดและให้เขาหมั่นระลึกหลวงพ่อเสมอ ๆ


   เดิมบางนี่แหละครับ สุดยอด ท่านกำหนดยันต์ที่จะลงหลังเหรียญให้เองเลย
 แถมหลังจากปลุกเสกหมู่แล้ว ท่านยังปลุกเสกเองที่วัดอีก 2 ปี ก่อนออกให้
 สาธุชนเช่าบูชา  2 ปีเต็มๆ ที่หลวงพ่อท่านตั้งใจปลุกเสก ไม่ธรรมดาแน่นอน
 จตุรพิธปลุกเสก 1 เดือน พุทธคุณยังขนาดตัดรุ้งขาดได้ เดิมบาง 2 ปีไม่ต้องนึก
 ว่าจะสุดยอดขนาดไหน เก็บได้รีบเก็บ อีกไม่นานอยากจะได้ซักเหรียญก็ต้องกัดฟันเช่าเลยทีเดียว

ขอบคุณมากครับที่เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ครับ มีจังหวะดีดีผมว่าจะเก็บเพิ่มเหมือนกันครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ กุมภาพันธ์ 02, 2012, 04:57:49 pm
อ้างถึง
มีเรื่องมาเล่าให้ฟังอีกแล้วครับ

เมื่อคืนนี้ลูกชายคนโตซึ่งทำงานอยู่ที่ร้านหนังสือเอเซียบุคสาขาหัวลำโพง หลังจากเลิกงานประมา ๒๐.๒๔ น. ได้โทรศัพท์มาหาผมเล่าให้ฟังด้วยอาการตื่นเต้นและดีใจ เขาเล่าให้ผมฟังว่า เดือนนี้เขาได้ค่าคอม ฯ สามพันกว่า เนื่องจากทำยอดขายได้ทะลุเป้าเกินสี่แสนบาท ค่าคอมฯก็คงจะเหมือน ๆ กันกับทั่วๆไปคือร้อยละสาม ในร้านมีพนักงานทั้งหมดสี่คนก็ต้องหารสี่ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยเปรย ๆ กับผมว่าเขาไม่ชอบงานนี้ น่าเบื่อ ยอดขายไม่ทะลุเป้า ผมก็ได้แต่ปลอบใจให้เขาใจเย็น ๆ เพราะงานไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก

เมื่อก่อนปีใหม่ ผมเองได้ขึ้นไป กรุงเทพฯ เพื่อพบประสังสรรกันกับครอบครัวและญาติพี่น้อง ผมได้นำเหรียญเดิมบางที่เลี่ยมอยู่ในกระทู้นี้แหละพร้อมสร้อยทองไปมอบให้เขาเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ ไปถึงผมก็อาราธนาสวมคอให้เขาทันที มองดูแล้วเท่ห์มากเพราะพระเลี่ยมได้สวยงาม เหรียญนี้น่าจะเป็นของเขาเพราะผมได้มาแบบง่าย ๆ คือ เสียเบียร์ไปแค่ ๓ ขวดเพื่อแลกกับเหรียญเดิมบางเหรียญงามเหรียญนี้ พอได้มาก็นำไปเลี่ยมพลาสติกขึ้นคอให้เขาทันทีซึ่งในขณะนั้นลูกชายผมน่าจะกำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาล เขาซนมากใส่จนกรอบพลาสติกช้ำจนต้องแกะออกเอาเก็บไว้ นึกไม่ถึงว่าเหรียญนี้จะกลับไปสวมคอเขาอีกพร้อมเลี่ยมทองอย่างสวยงาม

เพียงแค่เดือนเดียว งานของเขาดีขึ้นมากขนาดนี้ ส่วนตัวแล้วค่อนข้างมั่นใจมาก แต่ก็ยังวินิจฉัยไปเลยทันทีคงไม่ได้ ผมเองคอยให้กำลังใจเขามาตลอดและให้เขาหมั่นระลึกหลวงพ่อเสมอ ๆ


   เดิมบางนี่แหละครับ สุดยอด ท่านกำหนดยันต์ที่จะลงหลังเหรียญให้เองเลย
 แถมหลังจากปลุกเสกหมู่แล้ว ท่านยังปลุกเสกเองที่วัดอีก 2 ปี ก่อนออกให้
 สาธุชนเช่าบูชา  2 ปีเต็มๆ ที่หลวงพ่อท่านตั้งใจปลุกเสก ไม่ธรรมดาแน่นอน
 จตุรพิธปลุกเสก 1 เดือน พุทธคุณยังขนาดตัดรุ้งขาดได้ เดิมบาง 2 ปีไม่ต้องนึก
 ว่าจะสุดยอดขนาดไหน เก็บได้รีบเก็บ อีกไม่นานอยากจะได้ซักเหรียญก็ต้องกัดฟันเช่าเลยทีเดียว
จริงครับ  ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2012, 03:24:23 pm
หลังจากได้รับแจกใบคาถาจากคุณต้อม สำนักจันทร์ และนำไปใส่กรอบเรียบร้อยเมื่อตอนต้นเดือนก็ได้ทำตามที่หลวงพ่อบอกทุกประการทั้งเช้าและเย็น เมื่อวานนี้เป็นวันอาทิตย์ตอนสาย ๆ ประมาณ ๐๙.๐๐ น. ได้ออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหารเช้ามารับประทานสองคนกับภรรยา เมื่อไปถึงตลาดปรากฏว่าร้านเจ้าประจำวันนี้ไม่ขาย จึงขี่รถตระเวณรอบบริเวณตลาดก็เห็นร้านขายข้าวแกงร้านหนึ่งจึงจอดแวะลงไปดู รู้สึกว่าจะเป็นอาหารทางปักษ์ใต้ผมเองไม่เคยซื้อร้านนี้เลย ก็รู้สึกลังเลอยู่พอสมควร แต่เห็นว่ามีผู้คนเข้ามาอุดหนุนกันอย่างคับคั่ง เข้าออกตลอดเวลา เห็นบางคนซื้อสองถุงบ้าง สามถุงบ้าง มองดูแล้วถุงใหญ่ ๆ ทั้งนั้นเลย เห็นเขาควักเงินจ่ายรายละร้อยขึ้นก็ประเมินว่าสงสัยคงจะแพง ตัดสินใจเดินเข้าร้านเลือกได้สามอย่างมี คั่วกลิ้งหมู ปลาอินทรีย์แดดเดียวทอด และต้มจืดรวมมิตร ประเมินแล้วคงจะร้อยกว่าแน่ ๆ เพราะว่าไม่เคยซื้อเลยเดา ๆ เอา พอเขาใส่ถุงเสร็จเรียบร้อยเขาบอกว่า "คิดแค่ร้อยเดียวพอ เอาไปชิมก่อน"

แหม วันนี้ ลาภปากครับ กลับถึงบ้าน ลิ้มลองรสดูแล้วอร่อยสมราคา คราวหน้าคงต้องไปอุดหนุนอีก...

ประสบการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2012, 11:57:53 am
มีเรื่องมาเล่าให้ฟังอีกแล้วครับ

เมื่อคืนนี้ลูกชายคนโตซึ่งทำงานอยู่ที่ร้านหนังสือเอเซียบุคสาขาหัวลำโพง หลังจากเลิกงานประมา ๒๐.๒๔ น. ได้โทรศัพท์มาหาผมเล่าให้ฟังด้วยอาการตื่นเต้นและดีใจ เขาเล่าให้ผมฟังว่า เดือนนี้เขาได้ค่าคอม ฯ สามพันกว่า เนื่องจากทำยอดขายได้ทะลุเป้าเกินสี่แสนบาท ค่าคอมฯก็คงจะเหมือน ๆ กันกับทั่วๆไปคือร้อยละสาม ในร้านมีพนักงานทั้งหมดสี่คนก็ต้องหารสี่ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยเปรย ๆ กับผมว่าเขาไม่ชอบงานนี้ น่าเบื่อ ยอดขายไม่ทะลุเป้า ผมก็ได้แต่ปลอบใจให้เขาใจเย็น ๆ เพราะงานไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก

เมื่อก่อนปีใหม่ ผมเองได้ขึ้นไป กรุงเทพฯ เพื่อพบประสังสรรกันกับครอบครัวและญาติพี่น้อง ผมได้นำเหรียญเดิมบางที่เลี่ยมอยู่ในกระทู้นี้แหละพร้อมสร้อยทองไปมอบให้เขาเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ ไปถึงผมก็อาราธนาสวมคอให้เขาทันที มองดูแล้วเท่ห์มากเพราะพระเลี่ยมได้สวยงาม เหรียญนี้น่าจะเป็นของเขาเพราะผมได้มาแบบง่าย ๆ คือ เสียเบียร์ไปแค่ ๓ ขวดเพื่อแลกกับเหรียญเดิมบางเหรียญงามเหรียญนี้ พอได้มาก็นำไปเลี่ยมพลาสติกขึ้นคอให้เขาทันทีซึ่งในขณะนั้นลูกชายผมน่าจะกำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาล เขาซนมากใส่จนกรอบพลาสติกช้ำจนต้องแกะออกเอาเก็บไว้ นึกไม่ถึงว่าเหรียญนี้จะกลับไปสวมคอเขาอีกพร้อมเลี่ยมทองอย่างสวยงาม

เพียงแค่เดือนเดียว งานของเขาดีขึ้นมากขนาดนี้ ส่วนตัวแล้วค่อนข้างมั่นใจมาก แต่ก็ยังวินิจฉัยไปเลยทันทีคงไม่ได้ ผมเองคอยให้กำลังใจเขามาตลอดและให้เขาหมั่นระลึกหลวงพ่อเสมอ ๆ

เมื่อสักครู่ ลูกชายโทรมาหาบอกเล่าเก้าสิบเกี่ยวกับงานขายหนังสือของเขาว่า เดือนนี้ ได้ค่าคอมฯติดต่อกันเป็นเดือนที่สองแล้วครับ พนักงานได้ออกไป ๑ คน เดือนนี้จึงได้คนละ ๕,๐๐๐.-บาท คงไม่ต้องสงสัยเลยสำหรับเหรียญเดิมบางเหรียญนี้ที่ผมให้เขาคล้องคออยู่จนถึงทุกวันนี้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: dodee17 ที่ มีนาคม 05, 2012, 11:25:53 pm
 :) :) ติดตามอ่านจนจบยังไงเอาประสบการณ์มาลงอีกนะครับขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ :) :)
         (รบกวนถามหน่อยครับเลี่ยมทองสวยขนาดนี้ไปเลลี่ยมร้านไหนหรอครับหรือมีร้านแนะนำบ้างครับ)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: Mc_Tany ที่ มีนาคม 06, 2012, 12:26:10 am
อยากได้อ่ะครับ..!
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มีนาคม 06, 2012, 10:51:33 am
:) :) ติดตามอ่านจนจบยังไงเอาประสบการณ์มาลงอีกนะครับขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ :) :)
         (รบกวนถามหน่อยครับเลี่ยมทองสวยขนาดนี้ไปเลี่ยมร้านไหนหรอครับหรือมีร้านแนะนำบ้างครับ)


ขอบคุณนะครับที่ติดตามอ่าน ประสบการณ์ของผม สำหรับตัวผมแล้วเรื่องของลาภปากมักจะมีมาเสมอ ๆ ครับ ส่วนเรื่องร้านเลี่ยมของผมนั้นเป็นร้านภูธรธรรมดา ๆ ครับ แกะเอาทองเก่าที่เลี่ยมไม่สวยมาเลี่ยมพระของหลวงพ่อพอทุ่นเงินไปได้เยอะเลยครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มีนาคม 06, 2012, 10:53:13 am
อยากได้อ่ะครับ..!

ขอให้ได้ไวไวนะครับ หากว่า หมายถึงเหรียญเดิมบางละก็ตอนนี้น่าจะหาได้ในราคาสบาย ๆ นะครับ อย่าลังเลยครับ ขอแนะนำครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มีนาคม 15, 2012, 12:42:20 pm
เมื่อคืน เวลาประมาณ ๒๐.๓๐ น. รู้สึกอยากกินผัดไทย ไม่ได้กินมานาน จึงตัดสินใจปิดทีวี ปิดไฟ ออกไปตลาดเพื่อไปสนองตามความอยากของตัวเอง ขี่รถไปถึงหัวมุมสวนสาธารณะเป็นทางแยก ถนนในช่วงนั้นรู้สึกว่าจะปิดไฟส่องทางเลยทำให้มืดแต่ก็น่าจะเป็นผลดีเพราะจะได้มองเห็นแสงไฟของรถ คล้าย ๆ กับเรื่องแรกครับ มองขวาไม่มีรถจึงออกรถเลี้ยวซ้าย แล้วเข้าชิดขวา ได้สักประมาณ ๒๐ เมตร เห็นจะได้ บัดนั้น ก็มีรถมอเตอร์ไซค์ขี่ผ่านทางด้านของผมไปด้วยความเร็วที่สูงมากและท่อมีเสียงดัง แต่ไฟหน้าดับ มองดูก็รู้ว่าเป็นเด็กวัยรุ่น แหม...เล่นเอาผมสะดุ้งเลยครับ ถ้าหากมันมาเร็วกว่าอีกนิดเดียวคงจะมาจ๊ะเอ๋กับผมเต็ม ๆ เลยมังครับ ขี่ตามมันไปแต่ก็ไม่ทัน ดีที่รอดไปหวุดหวิดครับ ในคอผมเหรอครับ ก็รูปถ่ายหลังสิงห์บานที่โชว์นี่แหละตั้งแต่ได้มาก็ไม่เคยถอดเลยครับ (แรก ๆ ก็ถอดบ้างเป็นบางครั้ง) สาธุ....    ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มีนาคม 15, 2012, 08:56:53 pm
เมื่อคืน เวลาประมาณ ๒๐.๓๐ น. รู้สึกอยากกินผัดไทย ไม่ได้กินมานาน จึงตัดสินใจปิดทีวี ปิดไฟ ออกไปตลาดเพื่อไปสนองตามความอยากของตัวเอง ขี่รถไปถึงหัวมุมสวนสาธารณะเป็นทางแยก ถนนในช่วงนั้นรู้สึกว่าจะปิดไฟส่องทางเลยทำให้มืดแต่ก็น่าจะเป็นผลดีเพราะจะได้มองเห็นแสงไฟของรถ คล้าย ๆ กับเรื่องแรกครับ มองขวาไม่มีรถจึงออกรถเลี้ยวซ้าย แล้วเข้าชิดขวา ได้สักประมาณ ๒๐ เมตร เห็นจะได้ บัดนั้น ก็มีรถมอเตอร์ไซค์ขี่ผ่านทางด้านของผมไปด้วยความเร็วที่สูงมากและท่อมีเสียงดัง แต่ไฟหน้าดับ มองดูก็รู้ว่าเป็นเด็กวัยรุ่น แหม...เล่นเอาผมสะดุ้งเลยครับ ถ้าหากมันมาเร็วกว่าอีกนิดเดียวคงจะมาจ๊ะเอ๋กับผมเต็ม ๆ เลยมังครับ ขี่ตามมันไปแต่ก็ไม่ทัน ดีที่รอดไปหวุดหวิดครับ ในคอผมเหรอครับ ก็รูปถ่ายหลังสิงห์บานที่โชว์นี่แหละตั้งแต่ได้มาก็ไม่เคยถอดเลยครับ (แรก ๆ ก็ถอดบ้างเป็นบางครั้ง) สาธุ....    ;D
แบบนี้ตอนนอนต้องใส่ไว้ใต้หมอนครับ กันภัยได้ทุกเวลา แบบผมเอาไว้ข้างตัวพอลุกขึ้นมาก็คว้าไปด้วย
 ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มีนาคม 16, 2012, 04:20:36 pm
วันนี้ เพิ่งจะถูกหวยเสียทีหลังจากรอมานานพอสมควร เสียดายครับงวดนี้ทุนน้อยถูก 64 บน 50.-บาท ก็พอได้ค่าขนมมาเล็กน้อย ว่าง ๆ จะใบโพยมาให้ดูครับ เสียดายข้างล่างครับซื้อ 80 แต่ไม่ได้ซื้อ 80 ไม่อย่างนั้น ยิ้มหน้าบานแน่ ๆ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มีนาคม 16, 2012, 06:51:58 pm
วันนี้ เพิ่งจะถูกหวยเสียทีหลังจากรอมานานพอสมควร เสียดายครับงวดนี้ทุนน้อยถูก 64 บน 50.-บาท ก็พอได้ค่าขนมมาเล็กน้อย ว่าง ๆ จะใบโพยมาให้ดูครับ เสียดายข้างล่างครับซื้อ 80 แต่ไม่ได้ซื้อ 80 ไม่อย่างนั้น ยิ้มหน้าบานแน่ ๆ ;D
อ้า!แม่ผมก็ถูก 08 1 ใบ ได้ค่าขนมเช่นกัน  ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มีนาคม 19, 2012, 09:07:40 am
วันนี้ เพิ่งจะถูกหวยเสียทีหลังจากรอมานานพอสมควร เสียดายครับงวดนี้ทุนน้อยถูก 64 บน 50.-บาท ก็พอได้ค่าขนมมาเล็กน้อย ว่าง ๆ จะใบโพยมาให้ดูครับ เสียดายข้างล่างครับซื้อ 80 แต่ไม่ได้ซื้อ 80 ไม่อย่างนั้น ยิ้มหน้าบานแน่ ๆ ;D

ใบโพยหวย เสียดายครับงบน้อย
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มีนาคม 19, 2012, 09:15:59 am
วันนี้ เพิ่งจะถูกหวยเสียทีหลังจากรอมานานพอสมควร เสียดายครับงวดนี้ทุนน้อยถูก 64 บน 50.-บาท ก็พอได้ค่าขนมมาเล็กน้อย ว่าง ๆ จะใบโพยมาให้ดูครับ เสียดายข้างล่างครับซื้อ 80 แต่ไม่ได้ซื้อ 80 ไม่อย่างนั้น ยิ้มหน้าบานแน่ ๆ ;D
อ้า!แม่ผมก็ถูก 08 1 ใบ ได้ค่าขนมเช่นกัน  ;D ;D ;D

ยินดีกับ น้องโก้ ด้วยนะครับที่ได้ค่าขนม
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มีนาคม 19, 2012, 12:45:07 pm
วันนี้ เพิ่งจะถูกหวยเสียทีหลังจากรอมานานพอสมควร เสียดายครับงวดนี้ทุนน้อยถูก 64 บน 50.-บาท ก็พอได้ค่าขนมมาเล็กน้อย ว่าง ๆ จะใบโพยมาให้ดูครับ เสียดายข้างล่างครับซื้อ 80 แต่ไม่ได้ซื้อ 80 ไม่อย่างนั้น ยิ้มหน้าบานแน่ ๆ ;D

ใบโพยหวย เสียดายครับงบน้อย
โอ้! โชว์แบบนี้เลยเหรอ เก็บบ้างก็ได้ 5555+ (เป็นผมไม่กล้าแน่)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มีนาคม 19, 2012, 12:50:11 pm
วันนี้ เพิ่งจะถูกหวยเสียทีหลังจากรอมานานพอสมควร เสียดายครับงวดนี้ทุนน้อยถูก 64 บน 50.-บาท ก็พอได้ค่าขนมมาเล็กน้อย ว่าง ๆ จะใบโพยมาให้ดูครับ เสียดายข้างล่างครับซื้อ 80 แต่ไม่ได้ซื้อ 80 ไม่อย่างนั้น ยิ้มหน้าบานแน่ ๆ ;D

ใบโพยหวย เสียดายครับงบน้อย
โอ้! โชว์แบบนี้เลยเหรอ เก็บบ้างก็ได้ 5555+ (เป็นผมไม่กล้าแน่)

กลัวไม่เชื่อน่ะน้องโก้

น้องโก้ สวดคาถาตามเคล็ดที่คุณต้อมให้มาแล้วเป็นไงบ้างครับ สำหรับผมแล้วเรื่องลาภปากเนี่ยต้องเชื่อเลยครับ ไม่มีอด เรื่องโชคลาภก็แสดงเห็นในงวดนี้แล้ว
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มีนาคม 19, 2012, 01:04:40 pm
ไม่ได้มีโอ่งน้ำน่ะครับ แต่ก็ทำตามนั้น ไม่ได้โชคใหญ่ไม่เป็นไร แต่อย่าให้อดอยาก อย่าให้เงินขาดมือก็พอ 555+
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มีนาคม 19, 2012, 02:30:46 pm
ไม่ได้มีโอ่งน้ำน่ะครับ แต่ก็ทำตามนั้น ไม่ได้โชคใหญ่ไม่เป็นไร แต่อย่าให้อดอยาก อย่าให้เงินขาดมือก็พอ 555+

โอ่งน้ำ ก็กำลังหาอยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังไม่เจอเลยครับ น่าจะทำตามที่หลวงพ่อท่านบอกไว้นะครับน้องโก้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มีนาคม 19, 2012, 03:03:40 pm
ไม่ได้มีโอ่งน้ำน่ะครับ แต่ก็ทำตามนั้น ไม่ได้โชคใหญ่ไม่เป็นไร แต่อย่าให้อดอยาก อย่าให้เงินขาดมือก็พอ 555+

โอ่งน้ำ ก็กำลังหาอยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังไม่เจอเลยครับ น่าจะทำตามที่หลวงพ่อท่านบอกไว้นะครับน้องโก้
ครับ โยงไปโอ่งน้ำอาบ ตุ่มน้ำกินเป็นไง 5555 +(ล้อเล่น)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มีนาคม 22, 2012, 10:37:46 am
รูปหล่อบูชารุ่น 3 ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มีนาคม 22, 2012, 11:44:42 am
เอ้า!ให้เป็นรุ่น 3 เลยเหรอครับ 5555+
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มีนาคม 22, 2012, 12:23:42 pm
เอ้า!ให้เป็นรุ่น 3 เลยเหรอครับ 5555+

น้องโก้มีประวัติหล่อบูชารุ่นนี้หรือเปล่าครับ เล่าให้ฟังหน่อยสิครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มีนาคม 22, 2012, 12:35:18 pm
เอ้า!ให้เป็นรุ่น 3 เลยเหรอครับ 5555+

น้องโก้มีประวัติหล่อบูชารุ่นนี้หรือเปล่าครับ เล่าให้ฟังหน่อยสิครับ ;D
ไม่ทราบจริง ผมไม่ค่อยได้ศึกษารูปหล่อบูชา อ่านบ้างนิดๆ เพราะไม่คิดว่าตนจะเจอหรือมีบุญได้รูปหล่อบูชาท่าน ใช้ย้อนยุคไปก่อนหร่ะผม
5555555++++ โดยส่วนตัวจึงใช้ภาพถ่ายบูชาแทน  ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มีนาคม 22, 2012, 01:12:01 pm
เอ้า!ให้เป็นรุ่น 3 เลยเหรอครับ 5555+

น้องโก้มีประวัติหล่อบูชารุ่นนี้หรือเปล่าครับ เล่าให้ฟังหน่อยสิครับ ;D
ไม่ทราบจริง ผมไม่ค่อยได้ศึกษารูปหล่อบูชา อ่านบ้างนิดๆ เพราะไม่คิดว่าตนจะเจอหรือมีบุญได้รูปหล่อบูชาท่าน ใช้ย้อนยุคไปก่อนหร่ะผม
5555555++++ โดยส่วนตัวจึงใช้ภาพถ่ายบูชาแทน  ;D ;D ;D ;D

น้องโกครับ หล่อบูชารุ่นนี้ในใบฝอยท่านบอกว่าเป็นเนื้อทองเก่าปี ๒๕๒๑ ผมบูชามาจากวัดสมัย อ.โม่ เป็นเจ้าอาวาสครับ ปี ๒๕๓๓ ครับ ณ บัดนี้ผมบูชาหล่อบูชาองค์นี้มาได้ ๒๒ ปีแล้วครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มีนาคม 22, 2012, 01:13:36 pm
หากใครมีประวัติพิธีสร้างรุ่นนี้ ช่วยนำมาบอกเล่าเก้าสิบกันบ้างนะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มีนาคม 22, 2012, 01:38:51 pm
เอ้า!ให้เป็นรุ่น 3 เลยเหรอครับ 5555+

น้องโก้มีประวัติหล่อบูชารุ่นนี้หรือเปล่าครับ เล่าให้ฟังหน่อยสิครับ ;D
ไม่ทราบจริง ผมไม่ค่อยได้ศึกษารูปหล่อบูชา อ่านบ้างนิดๆ เพราะไม่คิดว่าตนจะเจอหรือมีบุญได้รูปหล่อบูชาท่าน ใช้ย้อนยุคไปก่อนหร่ะผม
5555555++++ โดยส่วนตัวจึงใช้ภาพถ่ายบูชาแทน  ;D ;D ;D ;D

น้องโกครับ หล่อบูชารุ่นนี้ในใบฝอยท่านบอกว่าเป็นเนื้อทองเก่าปี ๒๕๒๑ ผมบูชามาจากวัดสมัย อ.โม่ เป็นเจ้าอาวาสครับ ปี ๒๕๓๓ ครับ ณ บัดนี้ผมบูชาหล่อบูชาองค์นี้มาได้ ๒๒ ปีแล้วครับ ;D
ส่วนตัวชอบรุปหล่อของพี่ครับ แบบนี้มั่นใจได้เลยครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มีนาคม 22, 2012, 02:05:31 pm
เอ้า!ให้เป็นรุ่น 3 เลยเหรอครับ 5555+

น้องโก้มีประวัติหล่อบูชารุ่นนี้หรือเปล่าครับ เล่าให้ฟังหน่อยสิครับ ;D
ไม่ทราบจริง ผมไม่ค่อยได้ศึกษารูปหล่อบูชา อ่านบ้างนิดๆ เพราะไม่คิดว่าตนจะเจอหรือมีบุญได้รูปหล่อบูชาท่าน ใช้ย้อนยุคไปก่อนหร่ะผม
5555555++++ โดยส่วนตัวจึงใช้ภาพถ่ายบูชาแทน  ;D ;D ;D ;D

น้องโกครับ หล่อบูชารุ่นนี้ในใบฝอยท่านบอกว่าเป็นเนื้อทองเหลืองเก่าปี ๒๕๒๑ ผมบูชามาจากวัดสมัย อ.โม่ เป็นเจ้าอาวาสครับ ปี ๒๕๓๓ ครับ ณ บัดนี้ผมบูชาหล่อบูชาองค์นี้มาได้ ๒๒ ปีแล้วครับ ;D
ส่วนตัวชอบรุปหล่อของพี่ครับ แบบนี้มั่นใจได้เลยครับ


แหมใจคอน้องโก้จะชอบแต่รุ่นย้อนยุคหรือครับ หากมีวาสนาก็อยากได้หล่อรุ่นแรกมาบูชา
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มีนาคม 22, 2012, 03:07:09 pm
เอ้า!ให้เป็นรุ่น 3 เลยเหรอครับ 5555+

น้องโก้มีประวัติหล่อบูชารุ่นนี้หรือเปล่าครับ เล่าให้ฟังหน่อยสิครับ ;D
ไม่ทราบจริง ผมไม่ค่อยได้ศึกษารูปหล่อบูชา อ่านบ้างนิดๆ เพราะไม่คิดว่าตนจะเจอหรือมีบุญได้รูปหล่อบูชาท่าน ใช้ย้อนยุคไปก่อนหร่ะผม
5555555++++ โดยส่วนตัวจึงใช้ภาพถ่ายบูชาแทน  ;D ;D ;D ;D

น้องโกครับ หล่อบูชารุ่นนี้ในใบฝอยท่านบอกว่าเป็นเนื้อทองเหลืองเก่าปี ๒๕๒๑ ผมบูชามาจากวัดสมัย อ.โม่ เป็นเจ้าอาวาสครับ ปี ๒๕๓๓ ครับ ณ บัดนี้ผมบูชาหล่อบูชาองค์นี้มาได้ ๒๒ ปีแล้วครับ ;D
ส่วนตัวชอบรุปหล่อของพี่ครับ แบบนี้มั่นใจได้เลยครับ


แหมใจคอน้องโก้จะชอบแต่รุ่นย้อนยุคหรือครับ หากมีวาสนาก็อยากได้หล่อรุ่นแรกมาบูชา
ไงได้ ทุนน้อย แบบไหนได้หมดครับ  :D :D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ เมษายน 03, 2012, 11:24:23 am
มีเรื่องมาเล่าให้ฟังอีกแล้วครับ

เมื่อคืนนี้ลูกชายคนโตซึ่งทำงานอยู่ที่ร้านหนังสือเอเซียบุคสาขาหัวลำโพง หลังจากเลิกงานประมา ๒๐.๒๔ น. ได้โทรศัพท์มาหาผมเล่าให้ฟังด้วยอาการตื่นเต้นและดีใจ เขาเล่าให้ผมฟังว่า เดือนนี้เขาได้ค่าคอม ฯ สามพันกว่า เนื่องจากทำยอดขายได้ทะลุเป้าเกินสี่แสนบาท ค่าคอมฯก็คงจะเหมือน ๆ กันกับทั่วๆไปคือร้อยละสาม ในร้านมีพนักงานทั้งหมดสี่คนก็ต้องหารสี่ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยเปรย ๆ กับผมว่าเขาไม่ชอบงานนี้ น่าเบื่อ ยอดขายไม่ทะลุเป้า ผมก็ได้แต่ปลอบใจให้เขาใจเย็น ๆ เพราะงานไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก

เมื่อก่อนปีใหม่ ผมเองได้ขึ้นไป กรุงเทพฯ เพื่อพบประสังสรรกันกับครอบครัวและญาติพี่น้อง ผมได้นำเหรียญเดิมบางที่เลี่ยมอยู่ในกระทู้นี้แหละพร้อมสร้อยทองไปมอบให้เขาเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ ไปถึงผมก็อาราธนาสวมคอให้เขาทันที มองดูแล้วเท่ห์มากเพราะพระเลี่ยมได้สวยงาม เหรียญนี้น่าจะเป็นของเขาเพราะผมได้มาแบบง่าย ๆ คือ เสียเบียร์ไปแค่ ๓ ขวดเพื่อแลกกับเหรียญเดิมบางเหรียญงามเหรียญนี้ พอได้มาก็นำไปเลี่ยมพลาสติกขึ้นคอให้เขาทันทีซึ่งในขณะนั้นลูกชายผมน่าจะกำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาล เขาซนมากใส่จนกรอบพลาสติกช้ำจนต้องแกะออกเอาเก็บไว้ นึกไม่ถึงว่าเหรียญนี้จะกลับไปสวมคอเขาอีกพร้อมเลี่ยมทองอย่างสวยงาม

เพียงแค่เดือนเดียว งานของเขาดีขึ้นมากขนาดนี้ ส่วนตัวแล้วค่อนข้างมั่นใจมาก แต่ก็ยังวินิจฉัยไปเลยทันทีคงไม่ได้ ผมเองคอยให้กำลังใจเขามาตลอดและให้เขาหมั่นระลึกหลวงพ่อเสมอ ๆ

เมื่อสักครู่ ลูกชายโทรมาหาบอกเล่าเก้าสิบเกี่ยวกับงานขายหนังสือของเขาว่า เดือนนี้ ได้ค่าคอมฯติดต่อกันเป็นเดือนที่สองแล้วครับ พนักงานได้ออกไป ๑ คน เดือนนี้จึงได้คนละ ๕,๐๐๐.-บาท คงไม่ต้องสงสัยเลยสำหรับเหรียญเดิมบางเหรียญนี้ที่ผมให้เขาคล้องคออยู่จนถึงทุกวันนี้[กย้อนยุคที่ใส่ตลับแสตนเลสสร้อยสายร่มแทน ปรากฎว่าสิ้นเดือน มี.ค.๕๕ ยอดขายไม่ทะลุเป้า จึงไม่ได้ค่าคอมฯ น่าแปลกมาก[/size][/b] ??? ??? ???
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ เมษายน 03, 2012, 11:43:50 am
ต้นเดือนที่แล้วลูกชายเขาทำสร้อยขาดหลังจากเลิกงานตอนเย็นและกำลังจะไปร่วมงานแต่งเพื่อนรุ่นพี่ ผมบอกให้เขารีบไปเปลี่ยนสร้อยใหม่เพราะเห็นว่าอยู่ในช่วงต้นเดือน แต่เขาเสียดายเงินกลัวเงินไม่พอใช้ จึงใส่รูปหล่อรุ่นแรกย้อนยุคที่ใส่ตลับแสตนเลสสร้อยสายร่มแทน ปรากฎว่าสิ้นเดือน มี.ค.๕๕ ยอดขายไม่ทะลุเป้า จึงไม่ได้ค่าคอมฯ น่าแปลกมาก ??? ??? ???
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ เมษายน 03, 2012, 12:01:57 pm
ต้นเดือนที่แล้วลูกชายเขาทำสร้อยขาดหลังจากเลิกงานตอนเย็นและกำลังจะไปร่วมงานแต่งเพื่อนรุ่นพี่ ผมบอกให้เขารีบไปเปลี่ยนสร้อยใหม่เพราะเห็นว่าอยู่ในช่วงต้นเดือน แต่เขาเสียดายเงินกลัวเงินไม่พอใช้ จึงใส่รูปหล่อรุ่นแรกย้อนยุคที่ใส่ตลับแสตนเลสสร้อยสายร่มแทน ปรากฎว่าสิ้นเดือน มี.ค.๕๕ ยอดขายไม่ทะลุเป้า จึงไม่ได้ค่าคอมฯ น่าแปลกมาก ??? ??? ???
แปลว่าเขาได้พระที่เหมาะสมของเขาแล้วครับ (ใช่เดิมบางหรือเปล่า)  :D :D :D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ เมษายน 27, 2012, 01:45:40 pm
หลังจากได้สำเนาใบคาถาบูชาพระสิวลีลายมือหลวงพ่อที่คุณต้อมพิมพ์แจกมาบูชาสวดเป็นประจำตามที่หลวงพ่อเขียนบอก วันนี้ หลวงพ่อเมตตาผมแล้วครับ กำลังนิมนต์เดินทางมาที่เก็บไว้บูชาที่บ้านเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ เมษายน 27, 2012, 03:55:02 pm
หลังจากได้สำเนาใบคาถาบูชาพระสิวลีลายมือหลวงพ่อที่คุณต้อมพิมพ์แจกมาบูชาสวดเป็นประจำตามที่หลวงพ่อเขียนบอก วันนี้ หลวงพ่อเมตตาผมแล้วครับ กำลังนิมนต์เดินทางมาเก็บไว้บูชาที่บ้านเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตครับ

ด้วยความซาบซึ้งในเมตตาของหลวงพ่อที่ทำให้ผมได้พระสิวลีศอกองค์นี้มาบูชาโดยบังเอิญจริง ๆ ครับ ตอนเที่ยงจึงรีบส่งเงินทางธนาณัติไปทำบุญให้หลวงพ่อที่วัดแล้วครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 02, 2012, 11:42:10 am
วันนี้ พระสีวลีศอก ได้เดินทางมาถึงแล้ว นับว่าเป็นวาสนายิ่งนักสวดคาถาบูชาพระสีวลีตามลายมือหลวงพ่อเพียง ๓ เดือนเท่านั้น
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 02, 2012, 04:05:44 pm
วันนี้ พระสีวลีศอก ได้เดินทางมาถึงแล้ว นับว่าเป็นวาสนายิ่งนักสวดคาถาบูชาพระสีวลีตามลายมือหลวงพ่อเพียง ๓ เดือนเท่านั้น

ซองของคุณต้อมสุดขลังครับ คือ ไปรษณีย์มาส่งแต่ผมไม่อยู่บ้าน ต้องไปรับเองเขาเขียนรหัสหน้าซองค้างจ่าย 729 ผมเลยซื้อลอตเตอรีมา 6 คู่ครับ

เต็มครับ 29 ถูก 6 คู่
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 03, 2012, 09:39:03 am
ที่มาของเลขท้าย 2 ตัว ก็คือ เป็นซองที่ส่งของมาให้ผมนั่นเอง ด้วยความเคารพในหลวงพ่อจึงได้ตั้งพานบูชาไว้ก่อน เห็นเลขที่ไปรษณีย์เขียนเอาไว้มุมซอง 1729 แล้วน่าเย้ายวนใจ ให้ซื้อเลขนี้เอาไว้เสี่ยงโชคสำหรับงวดนี้ คืนวันพฤหัสบดีได้คุยกับเจ้าของพระสิวลีศอกองค์งามองค์โดยที่ผมเองก็ไม่ทราบหรอกครับว่า เขามีพระสิวลีศอกอยู่ ๑ องค์ เพียงแค่ถามด้วยความอยากรู้ว่าเมื่อไม่กี่ปีมานี้ได้ข่าวว่า มีคนสองคนขอแลกพระสมเด็จแหวกม่านกับพระสิวลีศอก ไม่ทราบว่า ปัจจุบันนี้ราคาอยู่ที่เท่าไร เขาบอกผมว่า พระสิวลีศอกยังถูกกว่าพระสมเด็จแหวกม่านอยู่มากพอทราบว่าราคาและมีอยู่ด้วยก็อยากได้ขึ้นมาทันทีทันใด เพราะผมสวดคาถาบูชาพระสิวลีอยู่ทุกวันทั้งตอนค่ำและตอนเช้าจึงมีความรู้สึกว่าตัวเองผูกพันธ์และศรัทธาพระสิวลีมาก รุ่งขึ้นตื่นนอนตอนเช้าสวดมนต์ตามปกติจึงบอกกล่าวหลวงพ่อขอพระสิวลีศอกองค์ดังกล่าวมาบูชา ตกตอนค่ำไปงานศพเพื่อนเพื่อฟังสวดพระอภิธรรมศพระหว่างรอเวลามีคนมาเร่ขายลอตเตอรี ไม่มี 729 มีแต่ 329 ตกลงซื้อยกชุดคิดในในสงสัยจะได้แค่ สองตัว ก็ยังดี ได้รับพระเมื่อวานนี้ตอนสาย ๆ คือไปขอรับที่ไปรษณีย์เองเลย และซื้อดอกไม้ พวงมาลัย หมากพลู บุหรี่ รีบนำมาตั้งบูชาทันทีก่อนไปทำงาน ว่าจะเข้าไปซื้อ 29 ใต้ดินอีกสักหน่อยเผอิญหาคนเดินโพยไม่เจอลาภจึงมีเพียงเท่านี้ครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 03, 2012, 02:22:41 pm
พระของหลวงพ่อผมอยากได้พระพิมพ์สมเด็จวัดระฆังมากที่สุด ซึ่งก็มีอยู่รุ่นหนึ่งคือสมเด็จขาวหลังปั๊มตรายางวัด เมื่อวานนี้ก่อนเที่ยงเห็นจะได้เปิดไปเจอในร้านเนื้อสีขาวนวลสวยจับใจมาก ที่พิเศษกว่านั้นคือมีรูปปี๒๑ ปิดด้านหลัง กลายเป็นสมเด็จหลังรูปที่ผมชอบขึ้นมาทันที แต่ปัญหามีอยู่ว่า ผมยังไม่มีเงินที่เขาเปิดไว้แต่ด้วยความอยากได้จึงขอหมั้นไว้ก่อนซึ่งยังพอฟังได้(คิดในใจสับสนมากถ้าหาเงินไม่ได้จะทำอย่างไรแต่ขอจองไว้ก่อนแล้วกันค่อยว่ากันอีกที) ตกเย็นถูกหวย 29 จำนวน 6 ใบ ยิ้มกริ่มเลยครับได้เงินค่าพระแล้ว หัวค่ำสวดมนต์ไหว้พระตามปกติบอกกล่าวหลวงพ่อว่าหากลูกมีวาสนาได้บูชาพระสมเด็จองค์นี้ขอให้มีปฏิหารย์ด้วยเถิด หลังจากสวดมนต์เสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าของพระบอกว่าขอให้คิวแรกตัดสินใจก่อน นึกในใจอ้าวมีคู่แข่งด้วยเหรอนี่ ไม่เป็นไร ตอนเช้าหลังจากสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้วก็ขอหลวงพ่ออีกว่าอยากได้พระสมเด็จองค์นี้มาก ไปทำงานรอฟังคำตอบปรากฎว่า เวลา ๐๙.๒๙ น. ตามเวาที่ปรากฎในมือถือของผมครับว่า ถึงคิวผมตัดสินใจแล้ว 555 มีหรือจะปล่อยให้หลุดมือไป ตอบไปทันทีว่า ส่งที่เดิมนะครับ ว่าแล้วพอได้เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. ก็ไปขึ้นเงินได้มาเกือบหมื่นสอง แวะไปรษณีย์ส่งเงินไปทำบุญให้หลวงพ่อก่อนตามอัธยาศัย แล้วจึงจัดแจงโอนเงินค่าพระเป็นอันเรียบร้อย

ชมภาพครับ สวยไม่สวย ติชมกันได้ครับ แน่ใจได้ว่าหลวงพ่อท่านเมตตาให้พระองค์นี้แก่ผมครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 03, 2012, 04:48:17 pm
วันนี้ พระสีวลีศอก ได้เดินทางมาถึงแล้ว นับว่าเป็นวาสนายิ่งนักสวดคาถาบูชาพระสีวลีตามลายมือหลวงพ่อเพียง ๓ เดือนเท่านั้น
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ พฤษภาคม 05, 2012, 10:43:38 am
แหม! นึกว่าใครนิมนต์ไปโทรไปหาพี่ต้อม พี่เขาบอกว่ามีคนนิมนต์ไปแล้ว ไวจริงๆ :o
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: uem ที่ พฤษภาคม 06, 2012, 01:11:26 pm
WELCOME................ว้าววววววววววว
(http://www.sportzeed.net/webboard/Smileys/default/fw20.gif) (http://www.sbothailand.net)(http://www.sportzeed.net/webboard/Smileys/default/fw20.gif) (http://www.sportzeed.net)(http://www.sportzeed.net/webboard/Smileys/default/fw20.gif) (http://www.newsportpro.net)sports
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 08, 2012, 12:05:55 pm
คาถาบูชาพระสังกัจจายนะทุกวันเกิดลาภผล

กังทยะโน จะมะหาเถโร
ยักขาเทวา นะระปูชิโต
โสระโห ปัจจะยาทิมหิ
มะหาลาภัง ภะวันตุเม
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ พฤษภาคม 08, 2012, 12:15:39 pm
คาถาบูชาพระสังกัจจายนะทุกวันเกิดลาภผล

กังทยะโน จะมะหาเถโร
ยักขาเทวา นะระปูชิโต
โสระโห ปัจจะยาทิมหิ
มะหาลาภัง ภะวันตุเม

:D :D :D เยี่ยมครับ เลือกใช้ได้เลย สีวลี กับ พระสังกัจจายนะ แต่หลวงพ่อกล่าวไว้ว่า ใช้คู่กันโชลลาภดีนัก
(ขอคาถาพ่นลมพิษด้วยน่ะครับ อยากรู้)  :D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 10, 2012, 03:06:19 pm
เมื่อหลวงพ่อกวยได้ฟัง รู้สึกท่านจะสะเทือนใจ ท่านได้พูดว่า

ศิษย์เปรียบได้เท่ากับลูก อาจารย์เปรียบได้เท่ากับพ่อแม่ กูอนุญาตให้พวกมึงไปฆ่าศิษย์กูไม่ได้ แต่ถ้าวันใดมันไม่นับถือกูแล้ว หลงลืมกูแล้ว มันต้องตาย

เป็นเนื้อหาช่วงตอนหนึ่งที่เล่าสู่กันฟัง เอาไว้มาอ่านฉบับเต็มครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ พฤษภาคม 10, 2012, 03:28:47 pm
เมื่อหลวงพ่อกวยได้ฟัง รู้สึกท่านจะสะเทือนใจ ท่านได้พูดว่า

ศิษย์เปรียบได้เท่ากับลูก อาจารย์เปรียบได้เท่ากับพ่อแม่ กูอนุญาตให้พวกมึงไปฆ่าศิษย์กูไม่ได้ แต่ถ้าวันใดมันไม่นับถือกูแล้ว หลงลืมกูแล้ว มันต้องตาย

เป็นเนื้อหาช่วงตอนหนึ่งที่เล่าสู่กันฟัง เอาไว้มาอ่านฉบับเต็มครับ ;D
:) :) :) อธิบายหน่อยได้ไหมครับ ท่านเป็นคนพูด หรือว่าไงครับ ขนลุกเลย
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 10, 2012, 03:39:15 pm
เมื่อหลวงพ่อกวยได้ฟัง รู้สึกท่านจะสะเทือนใจ ท่านได้พูดว่า

ศิษย์เปรียบได้เท่ากับลูก อาจารย์เปรียบได้เท่ากับพ่อแม่ กูอนุญาตให้พวกมึงไปฆ่าศิษย์กูไม่ได้ แต่ถ้าวันใดมันไม่นับถือกูแล้ว หลงลืมกูแล้ว มันต้องตาย

เป็นเนื้อหาช่วงตอนหนึ่งที่เล่าสู่กันฟัง เอาไว้มาอ่านฉบับเต็มครับ ;D
:) :) :) อธิบายหน่อยได้ไหมครับ ท่านเป็นคนพูด หรือว่าไงครับ ขนลุกเลย

หลวงพ่อกวยท่านพูดไว้ตามนั้นครับน้องโก้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ พฤษภาคม 10, 2012, 03:42:09 pm
เมื่อหลวงพ่อกวยได้ฟัง รู้สึกท่านจะสะเทือนใจ ท่านได้พูดว่า

ศิษย์เปรียบได้เท่ากับลูก อาจารย์เปรียบได้เท่ากับพ่อแม่ กูอนุญาตให้พวกมึงไปฆ่าศิษย์กูไม่ได้ แต่ถ้าวันใดมันไม่นับถือกูแล้ว หลงลืมกูแล้ว มันต้องตาย

เป็นเนื้อหาช่วงตอนหนึ่งที่เล่าสู่กันฟัง เอาไว้มาอ่านฉบับเต็มครับ ;D
:) :) :) อธิบายหน่อยได้ไหมครับ ท่านเป็นคนพูด หรือว่าไงครับ ขนลุกเลย

หลวงพ่อกวยท่านพูดไว้ตามนั้นครับน้องโก้
:o ท่านได้พูดไว้ตอนไหนครับ เป็นคำพูดที่แสดงถึงว่า ท่านรักศิษย์ท่านตราบเท่าที่ศิษย์รักท่านครับ เท่าเปรียบเหมือนพ่อคนถึงของลูกศิษย์จริงๆ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 10, 2012, 03:52:32 pm
เมื่อหลวงพ่อกวยได้ฟัง รู้สึกท่านจะสะเทือนใจ ท่านได้พูดว่า

ศิษย์เปรียบได้เท่ากับลูก อาจารย์เปรียบได้เท่ากับพ่อแม่ กูอนุญาตให้พวกมึงไปฆ่าศิษย์กูไม่ได้ แต่ถ้าวันใดมันไม่นับถือกูแล้ว หลงลืมกูแล้ว มันต้องตาย

เป็นเนื้อหาช่วงตอนหนึ่งที่เล่าสู่กันฟัง เอาไว้มาอ่านฉบับเต็มครับ ;D
:) :) :) อธิบายหน่อยได้ไหมครับ ท่านเป็นคนพูด หรือว่าไงครับ ขนลุกเลย

หลวงพ่อกวยท่านพูดไว้ตามนั้นครับน้องโก้
:o ท่านได้พูดไว้ตอนไหนครับ เป็นคำพูดที่แสดงถึงว่า ท่านรักศิษย์ท่านตราบเท่าที่ศิษย์รักท่านครับ เท่าเปรียบเหมือนพ่อคนถึงของลูกศิษย์จริงๆ

เห็นว่าประโยคที่หลวงพ่อพูดนี้ มีค่ามากมายนักสำหรับศิษย์ทุก ๆ ท่าน ผมจึงนำมาเสนอไว้ก่อนแต่เพียงเท่านี้ หลวงพ่อท่านรักศิษย์ของท่านมากแค่ไหนลองพิจารณาดูครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ พฤษภาคม 10, 2012, 03:54:12 pm
 :o :o :o :o
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ พฤษภาคม 10, 2012, 05:49:25 pm
อ่านตั้งแต่ต้นจนจบประสบการณ์ของพี่weerawat26สุดยอดมากเลยครับผมคนนึงที่ศรัทธาหลวงพ่อกวยมากเช่นกันครับแต่ยังไม่ค่อยมีของหลักของหลวงพ่อกวยมีแค่เหรียญเดิมบาง และเหรียญออกวัดหนองอีดุกครับ อนาคตตั้งใจว่าจะบูชารูปถ่ายปี21 และเหรียญหลังยันต์ และหลังหนุมานปี21ครับ อยากได้มากเลยครับมีพระของหลวงพ่อกวยแล้วมีความมั่นคงในชีวิตแน่นอนครับเพราะหลวงพ่อกวยอยู่กับลูกศิษย์ตลอดเวลา ดังหลวงพ่อกวยว่าไว้ศิษย์เปรียบได้เท่ากับลูก อาจารย์เปรียบได้เท่ากับพ่อแม่ กูอนุญาติให้พวกมึงไปฆ่าศิษย์กูไม่ได้ แต่ถ้าวันใดมันไม่นับถือกูแล้ว หลงลืมกูแล้ว มันต้องตาย ขอให้บารมีหลวงพ่อกวยคุ้มครองลูกศิษย์ทุกท่านให้มีแต่ความสุขความเจริญยิ่งขึ้นๆไปครับ นะสิวัง พรหมมา มะอะอุ ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 11, 2012, 10:15:06 am
คาถาบูชาพระสังกัจจายนะทุกวันเกิดลาภผล

กังทยะโน จะมะหาเถโร
ยักขาเทวา นะระปูชิโต
โสระโห ปัจจะยาทิมหิ
มะหาลาภัง ภะวันตุเม


คาถาตามลายมือของหลวงพ่อบทนี้ ก่อนท่อง ผมได้จุดธูปกบอกล่าวขออนุญาตหลวงพ่อเพียงอึดใจเดียวก็ท่องได้เพราะคาถาสั้น จำง่าย เมื่อท่องจำได้แล้วจึงนำมาสวดคู่กับคาถาบูชาพระสีวลี สวดได้เพียงวันเดียวเท่านั้นเองครับ ได้พระสังกัจจายน์ของหลวงพ่อมาบูชาแบบไม่คาดฝันมาก่อน กล่าวคือ เหมือนว่าฝันไป แล้วจะนำภาพถ่ายพระสังกัจจายน์มาให้ชมกันครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 11, 2012, 10:19:26 am
อ่านตั้งแต่ต้นจนจบประสบการณ์ของพี่weerawat26สุดยอดมากเลยครับผมคนนึงที่ศรัทธาหลวงพ่อกวยมากเช่นกันครับแต่ยังไม่ค่อยมีของหลักของหลวงพ่อกวยมีแค่เหรียญเดิมบาง และเหรียญออกวัดหนองอีดุกครับ อนาคตตั้งใจว่าจะบูชารูปถ่ายปี21 และเหรียญหลังยันต์ และหลังหนุมานปี21ครับ อยากได้มากเลยครับมีพระของหลวงพ่อกวยแล้วมีความมั่นคงในชีวิตแน่นอนครับเพราะหลวงพ่อกวยอยู่กับลูกศิษย์ตลอดเวลา ดังหลวงพ่อกวยว่าไว้ศิษย์เปรียบได้เท่ากับลูก อาจารย์เปรียบได้เท่ากับพ่อแม่ กูอนุญาติให้พวกมึงไปฆ่าศิษย์กูไม่ได้ แต่ถ้าวันใดมันไม่นับถือกูแล้ว หลงลืมกูแล้ว มันต้องตาย ขอให้บารมีหลวงพ่อกวยคุ้มครองลูกศิษย์ทุกท่านให้มีแต่ความสุขความเจริญยิ่งขึ้นๆไปครับ นะสิวัง พรหมมา มะอะอุ ;D ;D ;D ;D

ขอบคุณมากครับที่มาเยี่ยมชมและอ่านเรื่องราวของผม อันที่จริงแล้วประสบการณ์ของผมเปรียบแล้วถือว่ายังอยู่ในขั้นอนุบาลครับ ยังสู้ประสบการณ์ที่เด็ดขาดของท่านอื่น ๆ ยังไม่ได้หรอกครับ แต่พอจะคาดคะเนได้ว่า น่าจะมีเรื่องดี ๆ มาเล่าสู่กันฟังได้อีกเรื่อย ๆ ครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ พฤษภาคม 11, 2012, 01:15:55 pm
คาถาบูชาพระสังกัจจายนะทุกวันเกิดลาภผล

กังทยะโน จะมะหาเถโร
ยักขาเทวา นะระปูชิโต
โสระโห ปัจจะยาทิมหิ
มะหาลาภัง ภะวันตุเม


คาถาตามลายมือของหลวงพ่อบทนี้ ก่อนท่อง ผมได้จุดธูปกบอกล่าวขออนุญาตหลวงพ่อเพียงอึดใจเดียวก็ท่องได้เพราะคาถาสั้น จำง่าย เมื่อท่องจำได้แล้วจึงนำมาสวดคู่กับคาถาบูชาพระสีวลี สวดได้เพียงวันเดียวเท่านั้นเองครับ ได้พระสังกัจจายน์ของหลวงพ่อมาบูชาแบบไม่คาดฝันมาก่อน กล่าวคือ เหมือนว่าฝันไป แล้วจะนำภาพถ่ายพระสังกัจจายน์มาให้ชมกันครับ ;D
;D ;D ;D รอชมครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ พฤษภาคม 11, 2012, 02:05:14 pm
ชาวพุทธกราบไหว้สักการบูชาพระสังกัจจายน์เพื่อให้บังเกิดความเป็นสิริมงคล 3 ประการแก่ตนเองและครอบครัว ดังนี้

1. โชคลาภและความอุดมสมบูรณ์ พระสังกัจจายน์ได้รับการยกย่องให้เป็นพระผู้อุดมด้วยโภคทรัพย์ และลาภสักการะเสมอด้วยพระสิวลี รูปลักษร์ท่านแสดงถึงความมีลาภพูนทวี

2. สติปัญญา เนื่องเพราะพระสังกัจจายน์ได้รับการยกย่องจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นเลิศในทางอธิบายความพุทธภาษิต ท่านเป็นอรหันต์ผู้มีปฎิภาณเฉียบแหลม

3. ความงามและความมีเสน่ห์เป็นเมตตามหานิยม เนื่องจากเพราะก่อนที่ท่านจะอธิษฐานจิตให้รูปร่างเปลี่ยนแปลง พระสังกัจจายน์มีผิวดั่งทองคำและมีรูปงามละม้ายเหมือนพระพุทธเจ้า จนแม้แต่เทพยดา พรหม มนุษย์ทั้งปวงพากันรักใคร่ชื่นชม
;) ;) ;) ;) ;)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 11, 2012, 02:15:36 pm
ข้อมูลเยี่ยมเลยครับ น้องโก้ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: Tunya ที่ พฤษภาคม 11, 2012, 02:33:57 pm
คาถาบูชาพระสังกัจจายนะทุกวันเกิดลาภผล

กัจจายะโน จะมะหาเถโร
ยักขาเทวา นะระปูชิโต
โสระโห ปัจจะยาทิมหิ
มะหาลาภัง ภะวันตุเม
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 11, 2012, 02:43:08 pm
คาถาบูชาพระสังกัจจายนะทุกวันเกิดลาภผล

กัจจายะโน จะมะหาเถโร
ยักขาเทวา นะระปูชิโต
โสระโห ปัจจะยาทิมหิ
มะหาลาภัง ภะวันตุเม



ขอบพระคุณมากนะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 13, 2012, 09:08:00 am
คาถาบูชาพระสังกัจจายนะทุกวันเกิดลาภผล

กังทยะโน จะมะหาเถโร
ยักขาเทวา นะระปูชิโต
โสระโห ปัจจะยาทิมหิ
มะหาลาภัง ภะวันตุเม


ได้โทรไปสอบถามอาจารย์ เฒ่า สุพรรณ เรียบร้อยแล้วครับเมื่อเย็นวันศุกร์ ได้ความว่า ครั้งแรกท่านก็อ่านได้ความเช่นเดียวกับที่ผมอ่านแท้จริงแล้วไม่ใช่ท่านว่าตัวหนังสือมันขาดไม่ชัดเจน อน่างไรก็ตามก็ต้องขอบพระคุณสำหรับความปรารถนาดีของคุณTunya ด้วยนะครับที่ช่วยทักท้วงถึงท่อนแรกว่าต้องเป็น "กัจจายะโน" ขอบคุณจริง ๆ ครับ

กัจจายะโน จะมะหาเถโร
ยักขาเทวา นะระปูชิโต
โสระโห ปัจจะยาทิมหิ
มะหาลาภัง ภะวันตุเม
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 13, 2012, 09:34:52 am
คาถาบูชาพระสังกัจจายนะทุกวันเกิดลาภผล

กังทยะโน จะมะหาเถโร
ยักขาเทวา นะระปูชิโต
โสระโห ปัจจะยาทิมหิ
มะหาลาภัง ภะวันตุเม


ได้โทรไปสอบถามอาจารย์ เฒ่า สุพรรณ เรียบร้อยแล้วครับเมื่อเย็นวันศุกร์ ได้ความว่า ครั้งแรกท่านก็อ่านได้ความเช่นเดียวกับที่ผมอ่านแท้จริงแล้วไม่ใช่ท่านว่าตัวหนังสือมันขาดไม่ชัดเจน อน่างไรก็ตามก็ต้องขอบพระคุณสำหรับความปรารถนาดีของคุณTunya ด้วยนะครับที่ช่วยทักท้วงถึงท่อนแรกว่าต้องเป็น "กัจจายะโน" ขอบคุณจริง ๆ ครับ

สวดบูชาท่านได้เพียงวันเดียวเท่านั้นเองครับ ด้วยบทที่เห็นในครั้งแรกจากหนังสือนะโมและเห็นเป็นลายมือของหลวงพ่อ ก็ได้ท่านมาสักการะบูชาที่บ้านอย่างไม่เคยคาดฝันมาก่อนเลยครับ ดีใจจริง ๆ ครับที่หลวงพ่อท่านเมตตา
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 13, 2012, 01:17:52 pm
อ่านตั้งแต่ต้นจนจบประสบการณ์ของพี่weerawat26สุดยอดมากเลยครับผมคนนึงที่ศรัทธาหลวงพ่อกวยมากเช่นกันครับแต่ยังไม่ค่อยมีของหลักของหลวงพ่อกวยมีแค่เหรียญเดิมบาง และเหรียญออกวัดหนองอีดุกครับ อนาคตตั้งใจว่าจะบูชารูปถ่ายปี21 และเหรียญหลังยันต์ และหลังหนุมานปี21ครับ อยากได้มากเลยครับมีพระของหลวงพ่อกวยแล้วมีความมั่นคงในชีวิตแน่นอนครับเพราะหลวงพ่อกวยอยู่กับลูกศิษย์ตลอดเวลา ดังหลวงพ่อกวยว่าไว้ศิษย์เปรียบได้เท่ากับลูก อาจารย์เปรียบได้เท่ากับพ่อแม่ กูอนุญาติให้พวกมึงไปฆ่าศิษย์กูไม่ได้ แต่ถ้าวันใดมันไม่นับถือกูแล้ว หลงลืมกูแล้ว มันต้องตาย ขอให้บารมีหลวงพ่อกวยคุ้มครองลูกศิษย์ทุกท่านให้มีแต่ความสุขความเจริญยิ่งขึ้นๆไปครับ นะสิวัง พรหมมา มะอะอุ ;D ;D ;D ;D

อนุญาติ เขียนแบบนี้ผิดนะครับ ที่ถูกต้องเขียนว่า อนุญาต ครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 13, 2012, 01:20:29 pm
อ่านตั้งแต่ต้นจนจบประสบการณ์ของพี่weerawat26สุดยอดมากเลยครับผมคนนึงที่ศรัทธาหลวงพ่อกวยมากเช่นกันครับแต่ยังไม่ค่อยมีของหลักของหลวงพ่อกวยมีแค่เหรียญเดิมบาง และเหรียญออกวัดหนองอีดุกครับ อนาคตตั้งใจว่าจะบูชารูปถ่ายปี21 และเหรียญหลังยันต์ และหลังหนุมานปี21ครับ อยากได้มากเลยครับมีพระของหลวงพ่อกวยแล้วมีความมั่นคงในชีวิตแน่นอนครับเพราะหลวงพ่อกวยอยู่กับลูกศิษย์ตลอดเวลา ดังหลวงพ่อกวยว่าไว้ศิษย์เปรียบได้เท่ากับลูก อาจารย์เปรียบได้เท่ากับพ่อแม่ กูอนุญาติให้พวกมึงไปฆ่าศิษย์กูไม่ได้ แต่ถ้าวันใดมันไม่นับถือกูแล้ว หลงลืมกูแล้ว มันต้องตาย ขอให้บารมีหลวงพ่อกวยคุ้มครองลูกศิษย์ทุกท่านให้มีแต่ความสุขความเจริญยิ่งขึ้นๆไปครับ นะสิวัง พรหมมา มะอะอุ ;D ;D ;D ;D

สามชิ้นนี้ รวมแล้ว ตกราว ๆ สี่หมื่นเห็นจะได้ครับ อยากได้ต้องจุดธูปบอกกล่าวขอต่อท่านก่อนครับแล้วจะได้ดังที่หวัง ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ พฤษภาคม 13, 2012, 01:35:13 pm
ขอบคุณครับพี่weerawat26ตอนนี้อะไรหลายๆอย่างครับพี่เลยยังไม่สามารถบูชาวัตถุมงคลหลวงพ่อกวยได้ครับแต่อยากมีหลวงพ่อกวยไว้บูชานะครับ ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 13, 2012, 01:41:08 pm
ขอบคุณครับพี่weerawat26ตอนนี้อะไรหลายๆอย่างครับพี่เลยยังไม่สามารถบูชาวัตถุมงคลหลวงพ่อกวยได้ครับแต่อยากมีหลวงพ่อกวยไว้บูชานะครับ ;D ;D ;D ;D

อยากได้ของของหลวงพ่อมีอยู่อย่างหนึ่งที่ศิษย์ของหลวงพ่อต้องมีคือ ต้องใจถึงครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ พฤษภาคม 13, 2012, 02:01:25 pm
ขอบคุณครับพี่weerawat26ตอนนี้อะไรหลายๆอย่างครับพี่เลยยังไม่สามารถบูชาวัตถุมงคลหลวงพ่อกวยได้ครับแต่อยากมีหลวงพ่อกวยไว้บูชานะครับ ;D ;D ;D ;D

อยากได้ของของหลวงพ่อมีอยู่อย่างหนึ่งที่ศิษย์ของหลวงพ่อต้องมีคือ ต้องใจถึงครับ
ขอบคุณครับพี่ใจมีครับเต็ม100เลยพี่ขาดแต่ปัจจัยครับพี่ครับ  จุดธุปบูชาหลวงพ่อกวยกี่ดอกครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 13, 2012, 02:35:35 pm
ขอบคุณครับพี่weerawat26ตอนนี้อะไรหลายๆอย่างครับพี่เลยยังไม่สามารถบูชาวัตถุมงคลหลวงพ่อกวยได้ครับแต่อยากมีหลวงพ่อกวยไว้บูชานะครับ ;D ;D ;D ;D

อยากได้ของของหลวงพ่อมีอยู่อย่างหนึ่งที่ศิษย์ของหลวงพ่อต้องมีคือ ต้องใจถึงครับ
ขอบคุณครับพี่ใจมีครับเต็ม100เลยพี่ขาดแต่ปัจจัยครับพี่ครับ  จุดธุปบูชาหลวงพ่อกวยกี่ดอกครับ

ผมจุด ๙ ดอกครับ เรื่องของปัจจัยล้วนแล้วเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเสียจริง ๆ เลยนะครับ เอาใจช่วยนะครับ หลวงพ่อท่านรักลูกศิษย์ที่ศรัทธาท่านจริง ๆ ครับ ถ้ากล้าขอท่าน ท่านก็จะให้ครับเพราะตามประวัติครั้งเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านจะให้กับผู้ที่ขอท่านครับ ใครไม่ขอท่านก็ไม่ให้ครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 13, 2012, 02:38:45 pm
อ่านตั้งแต่ต้นจนจบประสบการณ์ของพี่weerawat26สุดยอดมากเลยครับผมคนนึงที่ศรัทธาหลวงพ่อกวยมากเช่นกันครับแต่ยังไม่ค่อยมีของหลักของหลวงพ่อกวยมีแค่เหรียญเดิมบาง และเหรียญออกวัดหนองอีดุกครับ อนาคตตั้งใจว่าจะบูชารูปถ่ายปี21 และเหรียญหลังยันต์ และหลังหนุมานปี21ครับ อยากได้มากเลยครับมีพระของหลวงพ่อกวยแล้วมีความมั่นคงในชีวิตแน่นอนครับเพราะหลวงพ่อกวยอยู่กับลูกศิษย์ตลอดเวลา ดังหลวงพ่อกวยว่าไว้ศิษย์เปรียบได้เท่ากับลูก อาจารย์เปรียบได้เท่ากับพ่อแม่ กูอนุญาติให้พวกมึงไปฆ่าศิษย์กูไม่ได้ แต่ถ้าวันใดมันไม่นับถือกูแล้ว หลงลืมกูแล้ว มันต้องตาย ขอให้บารมีหลวงพ่อกวยคุ้มครองลูกศิษย์ทุกท่านให้มีแต่ความสุขความเจริญยิ่งขึ้นๆไปครับ นะสิวัง พรหมมา มะอะอุ ;D ;D ;D ;D

สามชิ้นนี้ รวมแล้ว ตกราว ๆ สี่หมื่นเห็นจะได้ครับ อยากได้ต้องจุดธูปบอกกล่าวขอต่อท่านก่อนครับแล้วจะได้ดังที่หวัง ;D

ลองขอท่านทีละชิ้นก่อนก็ได้ครับ รูปถ่ายหลังจีวรปี ๒๑ น่าบูชามาก ๆ ครับ น่าจะยังเบากว่าสองชิ้นหลังนะครับ น่าจะขอรูปหลังจีวรก่อนนะครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ พฤษภาคม 13, 2012, 03:23:35 pm
คาถาบูชาพระสังกัจจายนะทุกวันเกิดลาภผล

กังทยะโน จะมะหาเถโร
ยักขาเทวา นะระปูชิโต
โสระโห ปัจจะยาทิมหิ
มะหาลาภัง ภะวันตุเม


ได้โทรไปสอบถามอาจารย์ เฒ่า สุพรรณ เรียบร้อยแล้วครับเมื่อเย็นวันศุกร์ ได้ความว่า ครั้งแรกท่านก็อ่านได้ความเช่นเดียวกับที่ผมอ่านแท้จริงแล้วไม่ใช่ท่านว่าตัวหนังสือมันขาดไม่ชัดเจน อน่างไรก็ตามก็ต้องขอบพระคุณสำหรับความปรารถนาดีของคุณTunya ด้วยนะครับที่ช่วยทักท้วงถึงท่อนแรกว่าต้องเป็น "กัจจายะโน" ขอบคุณจริง ๆ ครับ

สวดบูชาท่านได้เพียงวันเดียวเท่านั้นเองครับ ด้วยบทที่เห็นในครั้งแรกจากหนังสือนะโมและเห็นเป็นลายมือของหลวงพ่อ ก็ได้ท่านมาสักการะบูชาที่บ้านอย่างไม่เคยคาดฝันมาก่อนเลยครับ ดีใจจริง ๆ ครับที่หลวงพ่อท่านเมตตา
:o :o :o สังกัจจายน์แบบนี้เคดิตหลวงพ่อกวยจริงๆ ยินดีด้วยครับ ถ้าองค์ไหนเป็นของเราหลวงพ่อให้เรา รับรองได้ว่าจะมีปัจจัยเอง จะหาได้เอง ผมว่า น่าจะหาผ้ายันต์พระสีวลีแบบในร้านสำนักจันทร์สักผืนมาบูชา ครบซีรีย์โชคลาภเลยครับ 5555+
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 13, 2012, 03:38:15 pm
คาถาบูชาพระสังกัจจายนะทุกวันเกิดลาภผล

กังทยะโน จะมะหาเถโร
ยักขาเทวา นะระปูชิโต
โสระโห ปัจจะยาทิมหิ
มะหาลาภัง ภะวันตุเม


ได้โทรไปสอบถามอาจารย์ เฒ่า สุพรรณ เรียบร้อยแล้วครับเมื่อเย็นวันศุกร์ ได้ความว่า ครั้งแรกท่านก็อ่านได้ความเช่นเดียวกับที่ผมอ่านแท้จริงแล้วไม่ใช่ท่านว่าตัวหนังสือมันขาดไม่ชัดเจน อน่างไรก็ตามก็ต้องขอบพระคุณสำหรับความปรารถนาดีของคุณTunya ด้วยนะครับที่ช่วยทักท้วงถึงท่อนแรกว่าต้องเป็น "กัจจายะโน" ขอบคุณจริง ๆ ครับ

สวดบูชาท่านได้เพียงวันเดียวเท่านั้นเองครับ ด้วยบทที่เห็นในครั้งแรกจากหนังสือนะโมและเห็นเป็นลายมือของหลวงพ่อ ก็ได้ท่านมาสักการะบูชาที่บ้านอย่างไม่เคยคาดฝันมาก่อนเลยครับ ดีใจจริง ๆ ครับที่หลวงพ่อท่านเมตตา
:o :o :o สังกัจจายน์แบบนี้เคดิตหลวงพ่อกวยจริงๆ ยินดีด้วยครับ ถ้าองค์ไหนเป็นของเราหลวงพ่อให้เรา รับรองได้ว่าจะมีปัจจัยเอง จะหาได้เอง ผมว่า น่าจะหาผ้ายันต์พระสีวลีแบบในร้านสำนักจันทร์สักผืนมาบูชา ครบซีรีย์โชคลาภเลยครับ 5555+
น้องโก้ครับ เห็นผ้ายันต์กระดาษที่กระถางธูปหน้าโต๊ะหมู่ไหมครับ ผมปริ้นซ์มาจากในเน็ทนี่แหละตัดได้ขนาดกำลังดีแล้วพันธูปปักกระถางบูชาจนลืมไปเพราะนานมากแล้วเผลอนึกว่าเป็นของแท้ที่หลวงพ่อท่านเขียนให้น่ะครับ อิอิ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 13, 2012, 04:04:46 pm
:o :o :o สังกัจจายน์แบบนี้เครดิตหลวงพ่อกวยจริงๆ ยินดีด้วยครับ ถ้าองค์ไหนเป็นของเราหลวงพ่อให้เรา รับรองได้ว่าจะมีปัจจัยเอง จะหาได้เอง ผมว่า น่าจะหาผ้ายันต์พระสีวลีแบบในร้านสำนักจันทร์สักผืนมาบูชา ครบซีรีย์โชคลาภเลยครับ 5555+
[/quote]

ประกายสีฟ้าอันเป็นสีรองพื้นที่สะท้อนออกมาจากสีทอง มองดูแล้วไม่เบื่อเลยครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 22, 2012, 04:01:14 pm
สุภาษิตจีน เค้าว่า ไร้วาสนาอย่าขอพร ข้อความนี้ มีเหตุผลน่าเชื่อถือดีนัก ถ้าจะให้สมบูรณ์กว่านี้ ควรมีอีกข้อความเพิ่มเติมลงไปคือ หมั่นสร้างเเต่กรรมดี นั่นหมายความว่า คนเรานั้นเเข่งอะไรก็เเข่งได้ เเต่จะเเข่งวาสนาไม่ได้ เราเกิดมาชาตินี้ เห็นคนอื่นที่ดีกว่า รวยกว่า โชคดีกว่า ควรทำใจให้เป็นกลาง สร้างความดี สร้างบุญกุศลเยอะๆ เค้าเรียกว่า สะสมทรัพย์ภายใน ไม่ใช่สะสมเเต่ทรัพย์นอกกาย ของเหล่านั้น ตายไป เอาติดตัวไม่ได้สักชิ้น เเต่ทรัพย์ภายในนั้น ติดตัวไปจนถึงชาติหน้า


ข้อความนี้ล้วนเป็นสัตย์จริงยิ่งนัก ทุกวันนี้ก็ขอพรหลวงพ่ออยู่ทุกวัน
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ พฤษภาคม 22, 2012, 06:44:22 pm
;D ;D ;D เห็นครับ ถ้าไม่บอกนึกว่าของจริงน่ะเนี้ย 555+
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 23, 2012, 10:11:37 am
;D ;D ;D เห็นครับ ถ้าไม่บอกนึกว่าของจริงน่ะเนี้ย 555+

ได้ธงจริงมาแล้วครับน้องโก้ แต่เป็นธงย้อนยุค ยังไม่ได้ทำด้ามธงเลยครับ ทำเสร็จแล้วจะถ่ายมาให้ชมครับ 555 ชักเข้าใกล้ธงจริงของหลวงพ่อที่เขียนด้วยลายมือเข้าไปทุกขณะจิตแล้วละครับ สักวันคงต้องหาได้ ธงซีล็อกซ์ที่ใช้อยู่นี้เป็นเพราะผมศรัทธาในหลวงพ่อจริง ๆ ครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ พฤษภาคม 23, 2012, 05:01:56 pm
 :o :o :o :o :o :o
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 25, 2012, 10:33:32 am
ผมเองก็มีความใฝ่ฝันเหมือนกับศิษย์ทุก ๆ ท่าน คือ อยากได้พระที่หลวงพ่อสร้างเองกับมือ โดยเฉพาะพิมพ์ที่อยู่ในระดับท็อป คือ ปรกโพธิ์ ๙ ใบ สมเด็จแหวกม่าน เหรียญรุ่นแรก สมเด็จหลังรูป เป็นต้น

เมื่อวันอังคารที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ที่ผ่านมานี้ ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพนับถือซึ่งผมเองได้แนะนำพระของหลวงพ่อให้ท่านและท่านเองก็ได้ไปกราบขอถวายตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อไปเรียบร้อยแล้ว ท่านได้พระพิมพ์ที่ผมแนะนำไปคือปรกโพธิ์ ๙ ใบ และได้เก็บปรกโพธิ์ ๙ ใบหลังพระพุทธชินราชเนื้อดินสีดำมาเพื่อฝากผม ๑ องค์ ผมเองเกรงใจท่านจึงได้ตอบกึ่งปฏิเสธท่านไป แต่แล้วมาคิดได้ ว่า การปฏิเสธผู้ใหญ่เป็นเรื่องไม่สมควร จึงได้ตอบรับท่านไปใหม่ว่ายินดีที่จะรับของกำนัลจากท่าน ผมขอโทษที่ครั้งแรกได้ปฏิเสธท่านไป วันแรกคือวันที่ ๒๒ พ.ค.๕๕ ที่ท่านอาราธนาสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ ขึ้นคอ ท่านไปเสี่ยงโชคได้เงินมาครึ่งหมื่นจากแรก ๆ ที่เกือบจะเสีย ถัดมาอีก ๑ วันเป็นวันพุธท่านไปเสี่ยงโชคซึ่งเป็นกลุ่มก๊วนของท่านวันนี้เป็นวันที่สองที่ได้คล้องพระสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ ประสบการณ์ที่เด็ดขาดก็เกิดขึ้นกับท่านคือได้เงินมาเกือบแสน นับว่าเป็นเงินจำนวนมาก ท่านจึงส่งข่าวมาบอกว่าวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ จะมาหาผมเอาพระมาให้ชมบารมีและส่องเพื่อการศึกษา และนำพระสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบหลังพระพุทธชินราชมาเป็นของกำนัลสำหรับผมด้วยในฐานะที่แนะนำให้ท่านมารู้จักหลวงพ่อกวย เมื่อผมทราบดังนั้น สิ่งที่ผมต้องปฏบัติก็คือ ต้องจุดธูปบอกกล่าวต่อหลวงพ่อก่อนทุกครั้งว่า "ถ้าลูกมีวาสนาที่จะได้บูชาพระสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบหลังพระพุทธชินราช ขอให้เจ้าของนำมามอบให้ผมด้วยตัวเอง" และท่านก็มาหาผมจริง ๆ ครับ พระค่อนข้างใหญ่ ๆ มาพร้อมกรอบแสตนเลส เนื้อดำ สวยมาก ๆ น่าแปกใจจริง ๆ ครับ ตั้งแต่ได้ พระสีวลีศอก พระสังกัจจายน์ขนาดบูา องค์ปรกโพธิ์ ๙ ใบหลังพระพุทธชินราชนี้ ทำให้นึกไปว่า สงสัยหลวงพ่อท่านอยากให้พระใหญ่ ๆ กับผม แน่ ๆ ว่าง ๆ จะถ่ายรูปมาให้ชมกันครับ นอกจากนี้ปรกโพธิ์ ๙ ใบหลังชินราชแล้ว ท่านยังมีของพ่วงมาให้อีก ๒ ชิ้นคือ รูปถ่ายหลังรูปปี ๒๑ ย้อนยุคคือไม่ทัน หลังจารสีเมจิกสีชมพู และสมเด็จคะแนนเนื้อผงน้ำมันหลังตรายาง ก็ได้ของฟรีมา ๓ องค์ ชื่นมื่นดีแท้เมื่อวานนี้ วันนี้เลยต้องอาราธนาปรกโพธิ์ ๙ ใบหลังพระพุทธชินราชคล้องคอเป็นวันแรกต้องใช้สายสร้อยเส้นใหญ่พอสมควรครับ555 ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ พฤษภาคม 26, 2012, 10:43:56 am
ผมเองก็มีความใฝ่ฝันเหมือนกับศิษย์ทุก ๆ ท่าน คือ อยากได้พระที่หลวงพ่อสร้างเองกับมือ โดยเฉพาะพิมพ์ที่อยู่ในระดับท็อป คือ ปรกโพธิ์ ๙ ใบ สมเด็จแหวกม่าน เหรียญรุ่นแรก สมเด็จหลังรูป เป็นต้น

เมื่อวันอังคารที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ที่ผ่านมานี้ ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพนับถือซึ่งผมเองได้แนะนำพระของหลวงพ่อให้ท่านและท่านเองก็ได้ไปกราบขอถวายตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อไปเรียบร้อยแล้ว ท่านได้พระพิมพ์ที่ผมแนะนำไปคือปรกโพธิ์ ๙ ใบ และได้เก็บปรกโพธิ์ ๙ ใบหลังพระพุทธชินราชเนื้อดินสีดำมาเพื่อฝากผม ๑ องค์ ผมเองเกรงใจท่านจึงได้ตอบกึ่งปฏิเสธท่านไป แต่แล้วมาคิดได้ ว่า การปฏิเสธผู้ใหญ่เป็นเรื่องไม่สมควร จึงได้ตอบรับท่านไปใหม่ว่ายินดีที่จะรับของกำนัลจากท่าน ผมขอโทษที่ครั้งแรกได้ปฏิเสธท่านไป วันแรกคือวันที่ ๒๒ พ.ค.๕๕ ที่ท่านอาราธนาสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ ขึ้นคอ ท่านไปเสี่ยงโชคได้เงินมาครึ่งหมื่นจากแรก ๆ ที่เกือบจะเสีย ถัดมาอีก ๑ วันเป็นวันพุธท่านไปเสี่ยงโชคซึ่งเป็นกลุ่มก๊วนของท่านวันนี้เป็นวันที่สองที่ได้คล้องพระสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ ประสบการณ์ที่เด็ดขาดก็เกิดขึ้นกับท่านคือได้เงินมาเกือบแสน นับว่าเป็นเงินจำนวนมาก ท่านจึงส่งข่าวมาบอกว่าวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ จะมาหาผมเอาพระมาให้ชมบารมีและส่องเพื่อการศึกษา และนำพระสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบหลังพระพุทธชินราชมาเป็นของกำนัลสำหรับผมด้วยในฐานะที่แนะนำให้ท่านมารู้จักหลวงพ่อกวย เมื่อผมทราบดังนั้น สิ่งที่ผมต้องปฏบัติก็คือ ต้องจุดธูปบอกกล่าวต่อหลวงพ่อก่อนทุกครั้งว่า "ถ้าลูกมีวาสนาที่จะได้บูชาพระสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบหลังพระพุทธชินราช ขอให้เจ้าของนำมามอบให้ผมด้วยตัวเอง" และท่านก็มาหาผมจริง ๆ ครับ พระค่อนข้างใหญ่ ๆ มาพร้อมกรอบแสตนเลส เนื้อดำ สวยมาก ๆ น่าแปกใจจริง ๆ ครับ ตั้งแต่ได้ พระสีวลีศอก พระสังกัจจายน์ขนาดบูา องค์ปรกโพธิ์ ๙ ใบหลังพระพุทธชินราชนี้ ทำให้นึกไปว่า สงสัยหลวงพ่อท่านอยากให้พระใหญ่ ๆ กับผม แน่ ๆ ว่าง ๆ จะถ่ายรูปมาให้ชมกันครับ นอกจากนี้ปรกโพธิ์ ๙ ใบหลังชินราชแล้ว ท่านยังมีของพ่วงมาให้อีก ๒ ชิ้นคือ รูปถ่ายหลังรูปปี ๒๑ ย้อนยุคคือไม่ทัน หลังจารสีเมจิกสีชมพู และสมเด็จคะแนนเนื้อผงน้ำมันหลังตรายาง ก็ได้ของฟรีมา ๓ องค์ ชื่นมื่นดีแท้เมื่อวานนี้ วันนี้เลยต้องอาราธนาปรกโพธิ์ ๙ ใบหลังพระพุทธชินราชคล้องคอเป็นวันแรกต้องใช้สายสร้อยเส้นใหญ่พอสมควรครับ555 ;D
สุดยอดดดดดดด :o :o :o :o :o
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 29, 2012, 06:30:44 pm
ผมเองก็มีความใฝ่ฝันเหมือนกับศิษย์ทุก ๆ ท่าน คือ อยากได้พระที่หลวงพ่อสร้างเองกับมือ โดยเฉพาะพิมพ์ที่อยู่ในระดับท็อป คือ ปรกโพธิ์ ๙ ใบ สมเด็จแหวกม่าน เหรียญรุ่นแรก สมเด็จหลังรูป เป็นต้น

เมื่อวันอังคารที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ที่ผ่านมานี้ ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพนับถือซึ่งผมเองได้แนะนำพระของหลวงพ่อให้ท่านและท่านเองก็ได้ไปกราบขอถวายตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อไปเรียบร้อยแล้ว ท่านได้พระพิมพ์ที่ผมแนะนำไปคือปรกโพธิ์ ๙ ใบ และได้เก็บปรกโพธิ์ ๙ ใบหลังพระพุทธชินราชเนื้อดินสีดำมาเพื่อฝากผม ๑ องค์ ผมเองเกรงใจท่านจึงได้ตอบกึ่งปฏิเสธท่านไป แต่แล้วมาคิดได้ ว่า การปฏิเสธผู้ใหญ่เป็นเรื่องไม่สมควร จึงได้ตอบรับท่านไปใหม่ว่ายินดีที่จะรับของกำนัลจากท่าน ผมขอโทษที่ครั้งแรกได้ปฏิเสธท่านไป วันแรกคือวันที่ ๒๒ พ.ค.๕๕ ที่ท่านอาราธนาสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ ขึ้นคอ ท่านไปเสี่ยงโชคได้เงินมาครึ่งหมื่นจากแรก ๆ ที่เกือบจะเสีย ถัดมาอีก ๑ วันเป็นวันพุธท่านไปเสี่ยงโชคซึ่งเป็นกลุ่มก๊วนของท่านวันนี้เป็นวันที่สองที่ได้คล้องพระสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ ประสบการณ์ที่เด็ดขาดก็เกิดขึ้นกับท่านคือได้เงินมาเกือบแสน นับว่าเป็นเงินจำนวนมาก ท่านจึงส่งข่าวมาบอกว่าวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ จะมาหาผมเอาพระมาให้ชมบารมีและส่องเพื่อการศึกษา และนำพระสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบหลังพระพุทธชินราชมาเป็นของกำนัลสำหรับผมด้วยในฐานะที่แนะนำให้ท่านมารู้จักหลวงพ่อกวย เมื่อผมทราบดังนั้น สิ่งที่ผมต้องปฏบัติก็คือ ต้องจุดธูปบอกกล่าวต่อหลวงพ่อก่อนทุกครั้งว่า "ถ้าลูกมีวาสนาที่จะได้บูชาพระสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบหลังพระพุทธชินราช ขอให้เจ้าของนำมามอบให้ผมด้วยตัวเอง" และท่านก็มาหาผมจริง ๆ ครับ พระค่อนข้างใหญ่ ๆ มาพร้อมกรอบแสตนเลส เนื้อดำ สวยมาก ๆ น่าแปกใจจริง ๆ ครับ ตั้งแต่ได้ พระสีวลีศอก พระสังกัจจายน์ขนาดบูา องค์ปรกโพธิ์ ๙ ใบหลังพระพุทธชินราชนี้ ทำให้นึกไปว่า สงสัยหลวงพ่อท่านอยากให้พระใหญ่ ๆ กับผม แน่ ๆ ว่าง ๆ จะถ่ายรูปมาให้ชมกันครับ นอกจากนี้ปรกโพธิ์ ๙ ใบหลังชินราชแล้ว ท่านยังมีของพ่วงมาให้อีก ๒ ชิ้นคือ รูปถ่ายหลังรูปปี ๒๑ ย้อนยุคคือไม่ทัน หลังจารสีเมจิกสีชมพู และสมเด็จคะแนนเนื้อผงน้ำมันหลังตรายาง ก็ได้ของฟรีมา ๓ องค์ ชื่นมื่นดีแท้เมื่อวานนี้ วันนี้เลยต้องอาราธนาปรกโพธิ์ ๙ ใบหลังพระพุทธชินราชคล้องคอเป็นวันแรกต้องใช้สายสร้อยเส้นใหญ่พอสมควรครับ555 ;D

อาจจะถ่ายไม่สวยคมชัดนัก
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ พฤษภาคม 30, 2012, 04:34:36 pm
:o :o :o :o :o :o :o :o :o :o :o :o :o :o :o
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 31, 2012, 10:59:34 am
:o :o :o :o :o :o :o :o :o :o :o :o :o :o :o

ปรกโพธิ์ ๙ ใบองนี้ เนื้อหามันส์มากเลยนะครับ หลงรักเข้าไปเต็มเปาเข้าเสียแล้ว ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มิถุนายน 07, 2012, 07:16:22 pm
แล้วแจ่ความมั่นใจ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มิถุนายน 08, 2012, 10:23:22 am
แล้วแต่ความมั่นใจ

แล้วจะดูได้อย่างไรครับน้องโก้ ว่าผ้าขอดชิ้นนี้เป็นของหลวงพ่อ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มิถุนายน 08, 2012, 06:51:16 pm
อ้างจาก: jeensart link=topic=1431 ;D0.msg104500#msg104500 date=1339071382
แล้วแต่ความมั่นใจ

แล้วจะดูได้อย่างไรครับน้องโก้ ว่าผ้าขอดชิ้นนี้เป็นของหลวงพ่อ
บอกได้เลยแล้วแต่ที่มาและความมั่นใจ ผมเคยอธิฐานไว้อ่ะครับ คือมีพี่โทรมาคุยเรื่องหลวงพ่อ พอคุยเรื่องผ้าขอดพี่คนนั้นก็เอ่ยแบ่งให้มา ขอขอบคุณจริงๆ
พ่อแกะดูจะเห็นเป็นลักษณะตราวัดบางๆอยู่ครับ ไม่ชัดมาก ถ้าเป็นของหลวงพ่อถือได้ว่าเก็บได้สมบูรณ์มาก
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มิถุนายน 11, 2012, 08:51:29 am
อ้างจาก: jeensart link=topic=1431 ;D0.msg104500#msg104500 date=1339071382
แล้วแต่ความมั่นใจ

แล้วจะดูได้อย่างไรครับน้องโก้ ว่าผ้าขอดชิ้นนี้เป็นของหลวงพ่อ
บอกได้เลยแล้วแต่ที่มาและความมั่นใจ ผมเคยอธิฐานไว้อ่ะครับ คือมีพี่โทรมาคุยเรื่องหลวงพ่อ พอคุยเรื่องผ้าขอดพี่คนนั้นก็เอ่ยแบ่งให้มา ขอขอบคุณจริงๆ
พ่อแกะดูจะเห็นเป็นลักษณะตราวัดบางๆอยู่ครับ ไม่ชัดมาก ถ้าเป็นของหลวงพ่อถือได้ว่าเก็บได้สมบูรณ์มาก


ผ้าขอด

ต่อไปจะกล่าวถึงวิชามหัศจรรย์ของหลวงพ่อวิชาหนึ่ง คือ วิชาขอดผ้า วิชาขอดผ้านี้เป็นวิชาโบราณ อาจารย์รุ่นเก่า ๆ นิยมนำผ้าจีวร ผ้ายันต์ขาว-แดง นำมาผูกเป็นปม เรียกว่า ผ้าขอด อาจผูกเป็นเงื่อนพิรอด หรือเงื่อนขัดสมาธิ เชื่อกันว่ามีผลทางแคล้วคลาดกันอาวุธปืนได้ แต่มีผ้าขอดชนิดหนึ่งที่ทำได้ยาก และถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์คือ ผ้าขอดไปได้-กลับได้ เท่าที่พบผ้าขอดชนิดนี้ มีผู้สร้างเอาไว้ ๒ องค์คือ องค์แรกหลวงพ่อแบน อดีตเจ้าอาวาสวัดเดิมบาง หลวงพ่อองค์นี้เก่งมาก เป็นพระรุ่นก่อนหลวงพ่ออีกทีหนึ่ง องค์ที่ ๒ ที่สร้างผ้าขอดชนิดนี้ไว้ก็คือ หลวงพ่อกวย

เล่ากันว่าการขอดผ้าชนิดนี้ต้องทำให้เฉพาะคนและทำได้ยาก วิธีการขอดหลวงพ่อจะนำผ้าขาว หรือผ้าแดง หรือผ้าจีวรก็ได้ โดยมากจะเล็กกะทัดรัดเพราะใช้พกติดตัว เท่าที่พบผ้าขาวจะขอดเพียง ๑ ขอด ผ้าแดงจะขอด ๗ ขอด ผ้าจีวรก็ ๗ ขอด การขอดหลวงพ่อจะผูกเงื่อนตาย แต่สอดเงื่อน ๒ ครั้งเมื่อดึงให้ตึงจะกลม ขอดตรงกลางนี้เรียกว่าขอดไป ผ้าจะมีหัวและท้าย หลวงพ่อจะนำชายผ้าหัวและท้ายมาผูกเป็นเงื่อนอีก ๑ ครั้ง เรียกว่าขอดกลับ ส่วนผ้าจีวรหลวงพ่อจะขอดไว้ให้เคียนเอว คือยาว เกี่ยวกับคาถาหลวงพ่อเคยถ่ายทอดให้อาจารย์เตี้ย วัดสามเอก ไว้ขอดผ้าเป็นมงคลสวมคอ ท่านว่าให้ขอดด้วย “ยะมิ อิสะ พุทโธ” แล้วปลุกด้วยคาถานี้ จะมีผลทางแคล้วคลาดสูงยิงตรงไม่ถูก แม้ปืนใหญ่ก็ยิงไม่ถูก ท่านว่าอย่างนี้ ส่วนการขอดแบบมหาอุด หลวงพ่อเคยถ่ายทอดให้ นายวิเชียร คนหัวเด่น ว่าอย่างนี้ “นะ บังลูก โม บังดิน พุท มิให้ออก ธา ปิดปากกระบอก ยะ อุด” โดยให้นำผ้าที่จะขอดไว้ด้านหลัง เอามือไพล่หลัง ขอดด้วยมือเพียงข้างเดียว ให้เพ่งจิตไปที่ผ้าที่ขอด พอถึง ยะอุด ให้เสร็จพอดี นายวิเชียรนี้เคยขอดผ้าได้ขลัง ขนาดนำไปท้าทดลองยิง ด้วยปืนแก๊ปได้ปรากฏว่ายิงไม่ออก เขาเล่าให้ผมฟังเขาถ่ายทอดคาถาให้ผม ผมไม่สนใจผมพูดว่าเดี๋ยวนี้เขาไม่ใช้ปืนแก๊ปกันแล้ว ขนาดเบา ๆ ก็จุดสามแปด อย่าเที่ยวไปขอผ้าท้าใครเขายิงล่ะ เดี๋ยวจะอายเขา พอผมพูดอย่างนั้นรู้สึกเขาขวัญเสียขาดความมั่นใจ ภายหลังไปไหนมาไหน เขาไม่ขอดผ้าใช้ติดตัวอีกเลย

เกี่ยวกับผ้าขอดนี้ สมัยที่หลวงพ่อยังแข็งแรงเรืองวิชา ท่านเคยนำผ้าจีวรมาขอด แล้วคล้องคอศิษย์แล้วฟันด้วยขวานหมูที่หัว เด็กตกใจแทบช็อคตาย เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงศิษย์คนที่ถูกฟันยังมีชีวิตอยู่

ต่อไปจะเล่าถึงอำนาจผ้าขอดไปขอดกลับ หรือไปได้กลับได้เอาไว้เพื่อแสดงถึงอำนาจจิตของหลวงพ่อที่บรรจุอยู่ในผ้าขอด คุณฉลองบ้านอยู่อำเภอบางระจัน เป็นศิษย์ของหลวงพ่อ แต่ทำกินไม่เป็นเหมือนชาวบ้านเขา มีศัตรูมากทั้งตำรวจก็ต้องการตัว โดนยิงมาหลายครั้งแต่ไม่เข้าไม่ถูก เพราะหลวงพ่อสักให้มา ตอนหลังใจเสียได้มากราบหลวงพ่อเล่าเรื่องให้ฟัง หลวงพ่อได้ขอดผ้าให้มาเป็นผ้าขอดไปได้กลับได้ คราวนี้โดนยิงอีกหลายครั้งไม่ถูกเลย โดนดักยิงโดยเรียกให้หยุดคล้าย ๆ จะยิงแต่พอเข้ามาใกล้กลับปล่อยคล้าย ๆ จำคนผิด บางคนพูดว่าหลวงพ่อเสกด้วยคาถากำบัง แม้ยิงก็จะยิงถูกแต่เรา แต่อาจารย์ศรีนวลซึ่งเป็นพระเป็นเจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ทับนา ท่านพูดว่า หลวงพ่อเรียกวิญญาณผีตายโหงเข้าช่วย คือท่านเคยคุยกับหลวงพ่อ ถามถึงเคล็ดลับการปลุกเสกของจะให้ขึ้นให้ขลัง ถ้าจะให้ขลังเป็นพิเศษให้เรียกวิญญาณผีตายโหงเข้าช่วย อันนี้ท่านพูดเอาไว้ อีกครั้งหนึ่งท่านพูดเอาไว้เช่นกัน ท่านพูดเวลาทำน้ำมนต์จะให้ชนะศัตรูท่านจะเรียกนางแม่ธรณีให้ช่วย โดยอ้างบุญกุศลของท่านที่ทำมา แม้คาถาเรียกพระแม่ธรณีนี้ศิษย์ใกล้ชิดบางคนยังได้ไว้ แต่ท่านเรียกว่า นางแม่ธรณี เกี่ยวกับผ้าขอดนี้เล่ากันว่าถึงคราวคับขัน จะทำให้ศัตรูจำไม่ได้ จะเห็นเป็นคน ๒ คน ๓ คน ได้ทำให้ตัดสินใจไม่ได้ ยิงไม่ได้หรือยิงจะถูกแต่เป็นเงา เป็นต้น เกี่ยวกับผ้าขอดก็มีเพียงเท่านี้ ความจริงอภินิหารมีอีกแต่คล้ายคลึงกัน เล่าไม่สนุกไม่เหมือนยิงไม่ออกยิงไม่เข้า แต่ผ้าขอดของหลวงพ่อนี้ถือว่าเป็นสิงมหัศจรรย์ของท่านอันหนึ่งเหมือนกัน นอกจากผ้าขอดแล้วหลวงพ่อเคยจารยันต์ลงแผ่นอลูมิเนียมเป็นยันต์ปลอดภัยไปได้กลับได้ เป็นของหายากเช่นกัน ก็ขอจบเรื่องผ้าขอดเพียงเท่านี้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มิถุนายน 11, 2012, 08:53:27 am
ไม่นับถือจริงต้องตาย

คนแต่ก่อน หรือคนสมัยก่อน จะเรียกว่าคนโบราณก็ได้ เขานับถือครูบาอาจารย์เขานับถือกันจริง ๆ ที่อยู่ด้วยคาถาเขาก็ท่องเขาเสกกันจริง ๆ ที่อยู่ด้วยพระ ด้วยตะกรุด เขาก็พยายามเอาติดตัวตลอดเวลา ประกอบกับคนแต่ก่อนเขาไม่มีภาระมาก ทำอะไรเขาจึงมีสติ คนเดี๋ยวนี้งานยุ่ง มีภาระมาก สติไม่ค่อยมี

นายนี เป็นนักเลงใหญ่ หรือเสือร้ายก็ว่าได้ เพราะเคยปล้นฆ่าคนมามาก เป็นศิษย์รุ่นเก่าของหลวงพ่อ หลวงพ่อเคยให้ตะกรุดมา ๑ ดอก อำนาจของตะกรุดหลวงพ่อ ทำให้นายนีหรือเสือนีเป็นที่เกรงขามและเกรงกลัวต่อบุคคลทั่วไปเพราะยิงไม่ออก แต่นายนีไม่ใช่เสือจำศีล คือไม่ใช่เสือดีว่างั้นเถอะ ปล้นฆ่ามันดะไปหมด ใครพูดไม่พอหู คือพูดไม่เข้าหู ความจริงเข้าแต่ถ้าใครพูดแล้ว หูแกเกิดฟังไม่สบายใจไม่ได้ สมัยก่อนกฎหมายยังเข้าไม่ค่อยถึงตายแล้วก็แล้วกันไป แม่ยายแกเกิดพูดไม่เข้าหูแก แกใช้มีดดาบฟันคอแม่ยายชั๊วะเดียวคอหลุดเลย ตายก็ตายกันไป ไม่มีใครกล้าให้ปากคำตำรวจ

ฝ่ายลูกหลานแม่ยายนายนี ที่เป็นลูกผู้ชาย ก็ผูกใจเจ็บ ได้พยายามดักยิงนายนีหลายครั้ง ปรากฏว่ายิงไม่ติดเลย คือยิงไม่ออก ตอนหลังได้พยายามสอบถามจึงได้รู้ว่านายนีเป็นศิษย์หลวงพ่อกวย มีตะกรุดโทนคาดเอวอยู่ เมื่อได้ความดังนั้น พวกลูกหลานแม่ยายนายนีได้เดินทางมากราบหลวงพ่อกวย และเล่าความจริงให้ฟัง ถึงความเจ็บช้ำน้ำใจ เมื่อหลวงพ่อกวยได้ฟัง รู้สึกท่านจะสะเทือนใจ ท่านได้พูดว่า ศิษย์เปรียบได้เท่ากับลูก อาจารย์เปรียบได้เท่ากับพ่อแม่ กูอนุญาตให้พวกมึงไปฆ่าศิษย์กูไม่ได้ แต่ถ้าวันใดมันไม่นับถือกูแล้ว หลงลืมกูแล้ว มันต้องตาย

อยู่ต่อมา พวกลูกหลานแม่ยายนายนีได้พยายามแอบยิงนายนีอีกหลายสิบครั้งเข้าข่ายความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น คนลิขิต ไม่เท่าฟ้าลิขิต วันที่นายนีโดนลูกของแม่ยายนายนียิง เป็นครั้งสุดท้าย โดนยิงด้วยปืนลูกซองยาวนัดเดียวเข้าหน้าอกทั้งเก้าเม็ด เมื่อค้นดูที่เอวปรากฏว่านายนีไม่ได้คาดตะกรุดโทนของหลวงพ่อกวย เข้าใจว่าคงจะหลงลืม เรื่องตะกรุดท่านยิงไม่ออกนี่ไม่ใช่เรื่องที่นึกจะพูดก็พูดง่าย ๆ ผมอยากให้คุณได้พูดคุยกับ นายนบ เจียมพลับ คนบ้านล่องใหญ่ดู ถ้าไปวัดหลวงพ่อให้แวะคุยกับแกดู ทางผ่านวัดบ้านอยู่ติดถนน อยู่ใกล้วัดใหม่สามัคคีธรรม (วัดไฟไหม้)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มิถุนายน 14, 2012, 10:23:34 am
อาจารย์ของหลวงพ่ออีกองค์หนึ่ง
หลวงพ่อแบน วัดเดิมบาง


วัดเดิมบางตั้งอยู่ที่อำเภอเดิมบางนางบวช วัดอยู่ใกล้ ๆ วัดเขาใหญ่ มีแม่น้ำท่าจีนไหลผ่านหน้าวัด ในอดีตเคยมีเจ้าอาวาสสืบต่อกันมาหลายองค์ มีอยู่ ๒ องค์ที่เรืองอาคม คือเชี่ยวชาญในวิปัสสนากรรมฐานองค์แรกคือหลวงพ่อแจ่ม ที่สองคือหลวงพ่อแบน หลวงพ่อแจ่มเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อแบน เขาว่าเก่งมาก แต่นานมากแล้ว ทั้งประวัติและอภินิหารจึงลางเลือน ส่วนหลวงพ่อแบนนั้นคนเก่า ๆ ยังจำได้ ท่านเป็นพระร่วมสมัยกับหลวงพ่อโต วัดวิหารทอง คือมรณภาพประมาณ พ.ศ.๒๔๙๐ กว่า ๆ คือ สมัยเดียวกับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ หลวงพ่อแบนนี้เป็นพระสมถะมักน้อย สันโดษ ผิวขาวเหลือง รูปร่างบาง ค่อนข้างเล็ก เป็นพระที่มีบุญบารมีสูง และเป็นพระปฏิบัติที่นิสัยดีมาก ดีขนาดหลวงพ่อโต วัดวิหารทอง ซึ่งไม่เคยลงให้ใคร ไม่นิมนต์ใคร แต่ทุกครั้งที่มีงานฝังลูกนิมิต หลวงพ่อโต วัดวิหารทอง ยังต้องนิมนต์หลวงพ่อแบนไปทุกครั้ง คนเก่าเล่าว่า เวลาหลวงพ่อแบนกับหลวงพ่อโต ไปสวดชยันโตลูกนิมิตทุกครั้ง ถ้าสวดจบ ลูกนิมิตจะกลิ้งลงหลุมเอง เขาเล่ากันหลายสิบคน

วัตถุมงคลของหลวงพ่อแบน ก็มีตะกรุด ผ้าขอด ๕ ขอด ๗ ขอด ขอดด้วยผ้าสีแดง เชือกคาดเอวหัวเป็นลูกตะกร้อ ๙ สมัยสงครามหลวงพ่อทำผ้าขอดสีแดงออกแจกทหารไปรบเกาหลี ดังมาก การขอดผ้าของหลวงพ่อแบนจะขอดเป็นเงื่อนพิรอด ใช้คาดเอวก็มี ใช้ผูกแขนก็มี ผ้าขอดของหลวงพ่อแบนนี้อัศจรรย์มาก ถ้าคน ๆ นั้นดวงถึงฆาตจริง ๆ คือถึงคราวตายจริง ๆ ถ้าต้องไปรบหรือไปหาท่าน ท่านจะขอดผ้าให้ แล้วชายผ้า ๒ ด้านท่านจะนำมาผูกรวมกันขอดพิรอดเรียกว่าขอดไป การที่เอาชายผ้ามาผูกรวมกันเรียกว่าขอดกลับ รับรองว่าคน ๆ นั้นได้กลับบ้านแน่นอน ถ้าใช้ผ้าท่านอยู่ก็รอด ถ้าเลิกใช้ก็ตาย ซึ่งวิชาขอดผ้าขอดไปขอดกลับนี้ และวิชาทำเชือกคาดเอวนี้ เมื่อสิ้นหลวงพ่อคล้ายว่าวิชานี้ได้เสื่อมสูญไปแต่ยังไม่เสื่อมสูญมีผู้สืบต่อ

ครั้งหนึ่งหลวงพ่อแบนได้เขียนผ้ายันต์ขึ้น เพื่อจะใช้พิมพ์พระเพราะตัวยันต์อักขระมีมากเขียนไม่ไหว ได้ให้อาจารย์หล่อ ทองคำ นำไปปั๊มลงผ้าขาวแต่โรงพิมพ์สมัยก่อนไม่ค่อยมี อาจารย์หล่อได้เดินทางไปพิมพ์หรือปั๊มที่กรุงเทพฯ ใกล้ ๆ กับโรงไฟฟ้าวัดเลียบ เพื่อพิมพ์เสร็จเจ้าของเกิดชอบใจในผ้ายันต์ผืนนั้น เพราะตั้งแต่ผ้ายันต์นั้นเข้ามาในร้านทางร้านมีแต่งาน มีคนมาว่าจ้างมากมาย ผิดกับแต่ก่อน

เมื่ออาจารย์หล่อไปรับผ้ายันต์ เจ้าของร้านไม่คิดสตางค์ แต่ได้ขอผ้ายันต์นั้นไว้ ผ้านั้นเป็นรูปหงษ์เดี่ยว คือหงษ์ตัวเดียว เมื่อโรงไฟฟ้าวัดเลียบเกิดไฟไหม้ โรงพิมพ์นี้ซึ่งอยู่ในละแวกเดียวไม่ไหม้ ซึ่งดูจากสภาพน่าจะไหม้แต่ไม่ไหม้ ภายหลังผ้ายันต์หงส์นี้หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ ได้มาขอเรียน และทำได้ขลังกันไฟไหม้ได้เช่นกัน ค้าขายก็ดี โบกปัดลมปัดฝนก็ดี

หลวงพ่อกวยได้เดินทางมาเรียนวิชาขอดผ้า ขอดไปขอดกลับ จากหลวงพ่อแบน และเรียนวิชาทำเชือกคาดเอวเอาไว้ แต่เชือกคาดเอวของหลวงพ่อกวยนั้น หลวงพ่อได้ใส่ตะกรุดโทนไว้ตรงกลาง ๑ ดอก แถมตรงปมหัวเชือกหลวงพ่อยังได้ใส่ผ้ายันต์แดง ๘ ทิศไว้อีก ๑ ผืน นับว่าเป็นการประยุกต์ทำที่ดีมาก ส่วนผ้าขอดไปได้กลับได้ของหลวงพ่อแบนนั้นจะขอดแบบพิรอด ปมจะโต ๕ ปมก็ ๕ ขอด แต่หลวงพ่อกวยได้ประยุกต์ขอดโดยขอดเป็นเงื่อนตายสอดเข้า ๒ ครั้ง ปมจะเล็กกะทัดรัดและกลม สวยงามมาก ขอดชนิด ๑ ขอดก็มี ๗ ขอดก็มี ชนิด ๗ ขอดก็ขอดได้กะทัดรัดปมขอดจะติดกัน ส่วนหัวท้ายนำมาผูกติดกัน เรียกว่าขอดกลับ ผ้าขอดไปได้กลับได้ของหลวงพ่อนี้ปัจจุบันหายาก และคนไม่ยอมปล่อย หวงมาก

เล่าเรื่องหลวงพ่อแบนต่ออีกหน่อย หลวงพ่อเคยมาสร้างพระนอนบนเขาใหญ่ เขาใหญ่นี้อยู่อำเภอเดิมบาง ไม่ใช่เขาใหญ่ปากช่องที่โดนบุกรุก ปัจจุบันอาจารย์ม้วน เป็นเจ้าอาวาส อาจารย์ม้วนนี้มีเหรียญพ่อกวยและเหรียญ ๙ อาจารย์ที่ปลุกเสกที่วัดจีน หรือวัดหอรัตนชัย อยุธยานั่นแหละ ตอนที่สมโภชพระนอน ในตอนกลางวัน มีคนบ้านป่าแต่งตัวแปลก ๆ มาปิดทองพระ มากราบหลวงพ่อแบนหลายสิบคน มองดูแล้วไม่คล้ายคนบ้านเรา แต่งตัวด้วยผ้าทอแบบคนอีสาน แต่ในมือถือกิ่งไม้หรือใบไม้ บางคนก็เอาใบไม้ทัดหู ผู้หญิงบางคนถือดอกไม้มาด้วยแต่พูดจากับหลวงพ่อแบนคล้ายคนภาคกลาง ศิษย์วัดคนหนึ่งมีความสงสัย เพราะหลวงพ่อแบนเคยไปบิณฑบาตได้อาหารแปลก ๆ มาเสมอเขาว่าเป็นคนลับแล เด็กวัดคนนี้อยากรู้ว่าคนลับแลนั้นบ้านอยู่ไหน สงสัยว่าคนเหล่านี้อาจเป็นคนลับแลก็ได้ เมื่อคนเหล่านั้นเดินทางกลับเขาจึงสะกดรอยตามไปห่าง ๆ พอสมควร ทางที่ไปนั้นก็ราบเรียบสวยงามแต่วกวน เด็กคนนี้เกิดกลัวหลงทางขึ้นมาได้หันไปดูข้างหลังให้แน่ใจ พอหันมาอีกทีไม่เจอคนลับแลแล้ว ทางก็หายไป ปรากฏว่าเขาอยู่บนยอดเขาใหญ่นั่นเอง เรื่องนี้แสดงถึงความแก่กล้าและความเป็นผู้ปฏิบัติดีของหลวงพ่อแบน แม้อาหารก็สามารถไปบิณฑบาตกับคนลับแลได้ แม้สร้างพระนอน คนลับแลยังมาในงานสมโภชยังมาทำบุญ ก็เข้าใจว่าบนยอดเขาใหญ่คงมีเมืองลับแล แต่ผมไม่ยืนยัน เพราะสมัยเด็ก ๆ ก็เคยมาหาหน่อไม้บนยอดเขา ไม่เคยเจอสักที ส่วนคนเล่าให้ฟังปัจจุบันเป็นอาจารย์ใหญ่ ขอร้องไม่ให้ออกชื่อ และนามสกุล

เล่าเรื่องผ้าหงษ์หลวงพ่อแบนต่ออีกสักหน่อย ครูป๊อด บ้านอยู่ตลาดท่าช้าง เคยเป็นครูสอนหนังสือนักเรียน ร.ร.วัดท่าทอง ครูป๊อดคนนี้มีลูกสาวมาก เป็นสิบ ๆ คน ลูกเขยมีเป็นร้อย ๆ คน ตอนเป็นครูมีผ้ายันต์หงษ์หลวงพ่อแบนอยู่ ๑ ผืน บางครั้งพกมาโรงเรียน เกิดกลัวหายเลยเอาไปซ่อนไว้ใต้ฐานพระพุทธบนศาลา โรงเรียนก็คือศาลาวัด อยู่ต่อมาก็ลืมพอนึกได้ไปดูปลวกขึ้นใต้ฐานพระเต็มไปหมด เมื่อแงะดูปลวกไม่ได้กินกินผ้ายันต์เลย แปลกมาก อีกเรื่องหนึ่งอาจารย์สำราญ บุญรวม เคยเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนวัดท่าทอง มีผ้ายันต์หงษ์หนึ่งผืน วันหนึ่งไปบ้านสาว ๆ คือเคยเป็นพ่อหม้ายบังเอิญผีเข้า แกเลยเอาผ้ายันต์มาทำน้ำมนต์เอาผ้าคลุมขันน้ำมนต์ระลึกถึงหลวงพ่อแบน แล้วเอาน้ำมนต์รดคนถูกผีเข้าผีร้องสุดสียง ออกเลย

สมัยสงครามหลวงพ่อได้ขอดผ้าแจก ทำตะกรุดแจก บางคนท่านรักจริง ๆ ท่านทำผ้ายันต์ให้เป็นผ้ายันต์พระพุทธเจ้าเข้านิโรธสมาบัติ กว้าง ๒ ศอก ยาว ๔ ศอก คือยาว ๑ วาได้ นับว่าอุตสาหะอย่างสูง ผ้านี้คนหนองอีดุกได้ไป ๑ ผืน มีอานุภาพสูงมาก ขนาดมดและแมลงไม่มารบกวน ถ้าอาราธนาใช้หนุนศีรษะ ขนาดเข้าไปนอนในถ้ำเจ้าที่เจ้าถ้ำยังไม่มารบกวน คือแกเคยไปตัดเหล็กไหล ตัดไม่ได้ แต่เจ้าถ้ำไม่กล้าทำอะไรแก กลางคืนมาเดินรอบตัว แต่ทำอะไรไม่ได้เลย นับว่าหลวงพ่อแบนนี้ทำของได้เก่งมาก แทนตัวได้ทีเดียว

อีกเรื่องหนึ่งเป็นผีนางไม้ต้นมะขาม คือผีนางไม้ตนนี้ชอบเข้าและชอบสิงสู่คน ชอบทักคน คือทักทายเขาว่าคนทักดีผีทักร้าย ทำให้เจ็บป่วยได้ นางไม้นี้มีบุญ และมีอาคม มีจิตกล้าแข็งพอสมควร วันหนึ่งนางไม้นี้ไปเข้าคน คนได้นิมนต์ให้หลวงพ่อแบนไปขับออก แต่พอหลวงพ่อไม่อยู่ อยู่แต่พระแดง พระแดงนี้มีอาคมเช่นกัน ชอบเล่นวิชา เขาเลยนิมนต์พระแดงไป พระแดงได้ขับออก นางไม้ได้หนีมาอยู่ที่ต้นมะขามตามเดิม พระแดงตามมาวัด ได้เอาปูนเสกคาดต้นมะขามไม่ให้นางไม้ออกมา ออกก็ออกไม่ได้ ลงก็ลงไม่ได้ แล้วพระแดงก็จำวัตร(นอน) ขณะกำลังจำวัตรนางไม้ได้ปีนขึ้นไปบนยอดต้นมะขาม และโดดลงบนหลังคากุฏิไปเข้าพระแดง ๆ ดิ้นพล่าน ทุรนทุรายเกือบตาย พอดีหลวงพ่อแบนกลับมาจากกิจนิมนต์ได้เข้ามาพูดคุยด้วยดี ด้วยเมตตาจิต นางไม้ตนนี้ได้หายสาบสูญจากวัดเดิมบางไป ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน และไม่รู้ว่าหลวงพ่อทำอย่างไรด้วย ที่เล่าให้ฟังซะยาวนี้ เพื่อยืนยันความศักดิ์สิทธิ์ของพระระดับครูอาจารย์ของหลวงพ่อกวย พอดีผมได้มีโอกาสเรียนตำรายันต์และคาถาของหลวงพ่อกวย คาถาบทนี้หลวงพ่อเขียนไว้ว่า ถ้าใครจะทำหรือเรียนคาถานี้ให้ระลึกถึงหลวงพ่อแบน วัดเดิมบาง

ผมให้ผู้มีบุญไว้ คาถานี้ชื่อองคุลีมารปริตรคือในครั้งพุทธกาลขณะที่พระอหิงสกะ หรือองคุลีมาร ได้ออกบิณฑบาตได้พบผู้หญิงผู้หนึ่งกำลังปวดท้องจะคลอดลูก พระอหิงสกะได้ตรัสพระคาถานี้ ทำให้ผู้หญิงผู้นั้นคลอดลูกออกมาโดยง่าย พระคาถานี้โบราณจารย์นิยมลงลูกมะตูม แล้วเสกด้วยคาถานี้ หรือเสกเฉย ๆ ก็ได้ ทำน้ำมนต์คลอดลูกก็ได้ พระคาถาว่าดังนี้

ยะโตหัง ภะคินี อะริยายะชาติยา ชาโต
นาภิ ชานามิ สัญจิต จะปาปานัง ชีวิตา โวโรเปตา
เตนะ สัตเจนะ โสตถี เตโหตุ โสตถิคัพ ภัสสะ

พระคาถานี้เป็นของเก่า ของโบราณกาล เป็นของดี แม้ท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร แห่งจังหวัดสกลนคร ก็ใช้คาถานี้เช่นกัน
หมายเหตุ คาถานี้ใช้เสกดอกบัว แล้วเอาไปต้มกินก็ได้ เสกกล้วยก็ได้ จะทำให้คลอดลูกได้โดยง่าย
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มิถุนายน 21, 2012, 09:55:08 am
พอวันที่ ๑๑ มีนาคม หลวงพ่อก็ล้มป่วย ไม่มีโรคอะไร เพียงแต่ไม่มีกำลัง ฉันอาหารไม่ได้ ไม่ยอมไปโรงพยาบาล มีอาการไข้แทรก ฉันอาหารแทบไม่ได้เลย ไม่มีรสชาติ บางครั้งท่านพ่นข้าวออกจากปาก ไม่ยอมฉันท์แล้วหยิบแผ่นตะกรุดขึ้นมาจาร บางครั้งก็จับสายสิญจน์ปลุกเสกวัตถุมงคล บางคืนถึงสว่าง ร่างกายของท่านปกติก็ผอมมากอยู่แล้วกลับผอมหนักเข้าไปอีก เมื่อมีศิษย์มาเยี่ยมศิษย์เห็นท่านบางคนยังร้องไห้โฮ แทบทุกคนจะร้องไห้ ท่านจะดุศิษย์ว่า

“มึงร้องไห้ทำไม กูไปดี เป็นห่วงแต่พวกมึงนั่นแหละ”

ข้อความความนี้ บ่งบอกถึงหลวงพ่ออยู่ ๓ ประการคือ ท่านมีใจที่เด็ดเดี่ยวมากท่านตั้งใจที่จะฉันอาหารเพียงมือเดียวโดยไม่เปลี่ยนแปลงจนทำให้ร่างกายของหลวงพ่อทรุดหนักจนล้มป่วย หลวงพ่อมีวาจาสิทธิ์ดังนั้น เมื่อท่านบอกว่า ไปดี ย่อมน่าเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจของศิษย์หลวงพ่อทุกคน และท่านรักลูกศิษย์ของท่านมากเพียงไรประโยคนี้ย่อมยืนยันได้โดยไม่ต้องสงสัย
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: >>..B..<< ที่ มิถุนายน 21, 2012, 01:21:30 pm
แล้วแจ่ความมั่นใจ

:o :o :o จีวรของหลวงพ่อกวยใช่รึป่าวครับพี่..สู๊ดดดยอดเลยครับ :o :o

ปล.อยากมีบ้างจัง ฮิๆ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มิถุนายน 21, 2012, 02:40:18 pm
แล้วแจ่ความมั่นใจ

:o :o :o จีวรของหลวงพ่อกวยใช่รึป่าวครับพี่..สู๊ดดดยอดเลยครับ :o :o

ปล.อยากมีบ้างจัง ฮิๆ

ผ้าขอดของหลวงพ่อ ปัจจุบันน้องโก้(จีนศาสตร์)เป็นเจ้าของครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มิถุนายน 23, 2012, 01:48:29 pm
มีหลายคนครับ ของผมก็อาจจะไม่แท้ก็ได้ มันแล้วแต่ความมั่นใจส่วนตัวจริงๆ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 03, 2012, 09:06:12 am
"หลวงพ่อกวยเป็นพระที่เปี่ยมด้วยเมตตา จิตท่านเปี่ยมล้นไปด้วยทาน ใจท่านเต็มไปด้วยเมตตา ตัวท่านเหมือนไม้ใหญ่ที่เป็นร่มเงาของคนที่ผ่านไปมา เป็นร่มเงาของนกกาเป็นไม้ที่มีผลดก ใครที่ผ่านไปมาก็ได้อาศัยร่มเงาบ้างก็เก็บผลเอาไปรับประทานไม่มีหมดไม่มีสิ้น เพราะหลวงพ่อเคยสร้างทานบารมีมามาก ศิษย์ที่อยู่ใต้ร่มเงาก็ได้อาศัยพักพิงได้อาศัยกินไม่มีหมดไม่มีสิ้น"

ประโยคดังกล่าว ท่านอาจารย์เฒ่า สุพรรณ ได้แสดงทัศนะเอาไว้ค่อนข้างตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านมีแต่ให้ ท่านไม่แทบจะไม่เคยขออะไรใครเลย ไม่เคยเรี่ยไร ไม่อยากรบกวนใคร ปัจจุบันศิษย์รุ่นหลังต่างก็ร่วมแรงร่วมใจกันคนละไม้คนละมือ เห็นแล้วน่าชื่นใจจริง ๆ ทุกวันนี้หลวงพ่อยังเป็นที่พึ่งของศิษย์ทุกคน

กราบหลวงพ่อด้วยความเคารพรักหมดหัวใจเลยครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ กรกฎาคม 03, 2012, 10:01:26 pm
อ่านเรื่องเล่าประสบการณ์ที่พี่weerawat26แล้วหลวงพ่อกวยรักลูกศิษย์มากจริงๆๆครับขอบคุณพี่มากๆครับที่ได้เล่าประสบการณ์ให้ได้ดูครับ พี่ครับแล้วตอนนี้ผมได้วัตถุมงคลหลวงพ่ออีก1ชิ้นแล้วครับเหรียญหลังยันต์ปี21ครับแต่ยังไม่ได้รูปที่อยากได้ครับไว้มีปัจจัยแล้วจะบูชารูปถ่ายปี21ไว้บูชาครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: tong5959 ที่ กรกฎาคม 09, 2012, 09:31:02 pm
ขอบคุณทุกท่านที่นำเรื่องราว และประสบการณ์มาเล่ากันฟังครับ โดยเฉพาะพี่weerawat26

ขอบคุณครับ :) :) :)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 10, 2012, 09:01:41 am
อ่านเรื่องเล่าประสบการณ์ที่พี่weerawat26แล้วหลวงพ่อกวยรักลูกศิษย์มากจริงๆๆครับขอบคุณพี่มากๆครับที่ได้เล่าประสบการณ์ให้ได้ดูครับ พี่ครับแล้วตอนนี้ผมได้วัตถุมงคลหลวงพ่ออีก1ชิ้นแล้วครับเหรียญหลังยันต์ปี21ครับแต่ยังไม่ได้รูปที่อยากได้ครับไว้มีปัจจัยแล้วจะบูชารูปถ่ายปี21ไว้บูชาครับ

ขอให้ได้รูปถ่ายมาบูชาไวไวนะครับ ได้ข่าวว่ารูปราคาเริ่มขยับไปเรื่อย ๆ แล้วนะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 10, 2012, 09:03:02 am
ขอบคุณทุกท่านที่นำเรื่องราว และประสบการณ์มาเล่ากันฟังครับ โดยเฉพาะพี่weerawat26

ขอบคุณครับ :) :) :)


ขอบคุณครับ ที่แวะเข้ามาอ่านประสบการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: Joker ที่ กรกฎาคม 10, 2012, 09:11:44 am
สายหลวงพ่อพรหม วัดขนอมเหนือ อยุธยา  เขาว่าหลวงพ่อกวยเรียนวิชาผ้าขอดมาจากหลวงพ่อพรหม
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 10, 2012, 09:36:33 am
สายหลวงพ่อพรหม วัดขนอมเหนือ อยุธยา  เขาว่าหลวงพ่อกวยเรียนวิชาผ้าขอดมาจากหลวงพ่อพรหม

ขอบคุณนะครับที่มาเล่าสู่กันฟัง
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 10, 2012, 09:37:34 am
สายหลวงพ่อพรหม วัดขนอมเหนือ อยุธยา  เขาว่าหลวงพ่อกวยเรียนวิชาผ้าขอดมาจากหลวงพ่อพรหม

ขอบคุณนะครับที่มาเล่าสู่กันฟัง

http://forum.uamulet.com/view_topic.aspx?bid=2&qid=327 (http://forum.uamulet.com/view_topic.aspx?bid=2&qid=327)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ กรกฎาคม 10, 2012, 04:57:20 pm
สายหลวงพ่อพรหม วัดขนอมเหนือ อยุธยา  เขาว่าหลวงพ่อกวยเรียนวิชาผ้าขอดมาจากหลวงพ่อพรหม
:) :) ทั้งสองท่านก็รู้จักกัน อาจจะแลกเปลี่ยนวิชาเป็นธรรมดาครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 16, 2012, 09:22:21 am
เนื่องจากปัจจุบันพระของหลวงพ่อที่ราคาถูก ๆ ก็ยังมีให้ศิษย์ได้เลือกหาบูชาอยู่อีกมาก โดยเฉพาะเนื่อผงน้ำมันที่มีเนื้อหาน่าสนใจมาก ผมเองได้เล็งแล้วเล็งอีกสำหรับพระสมเด็จพิมพ์เทวดา ๕ ชั้น องค์นี้เล็งไว้นานแล้วแต่เกี่ยงว่าที่มุมมีบิ่นปลาย และแล้วก็ตัดสินใจนำมาบูชา ได้รับพระเมื่อวันพุธที่ ๑๑ ก.ค.๕๕ เมื่อได้ส่ององค์จริงแล้วก็รู้สึกชอบใจในเนื้องหาที่หลวงพ่อท่านบรรจงสร้างองค์แรกบิ่นตรงมุมปลายด้านขวาขององค์พระ แต่เนื้อหาเมื่อส่องแล้วไม่แน่ใจว่าหลวงพ่อท่านได้ผสมผงตะไบทองคำลงไปด้วยหรือเปล่าเพราะสีออกไปทางตะไบทองคำก็เลยรู้สึกชอบใจในเนื้อหาของพระเอามาก ๆ แต่อยากได้องค์ที่สวยสมบูรณ์กว่าองค์นี้ ตกค่ำคืนวันพุธหลังจากสวดมนต์เรียบร้อยแล้วจึงบอกเล่าต่อหลวงพ่อขอองค์สวย ๆ อีกองค์หนึ่งมาบูชา เพียงแค่ข้ามคืนเท่านั้นก็ได้องค์สวยมาบูชาอีกสมดังตั้งใจ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 16, 2012, 09:28:48 am
เนื่องจากปัจจุบันพระของหลวงพ่อที่ราคาถูก ๆ ก็ยังมีให้ศิษย์ได้เลือกหาบูชาอยู่อีกมาก โดยเฉพาะเนื่อผงน้ำมันที่มีเนื้อหาน่าสนใจมาก ผมเองได้เล็งแล้วเล็งอีกสำหรับพระสมเด็จพิมพ์เทวดา ๕ ชั้น องค์นี้เล็งไว้นานแล้วแต่เกี่ยงว่าที่มุมมีบิ่นปลาย และแล้วก็ตัดสินใจนำมาบูชา ได้รับพระเมื่อวันพุธที่ ๑๑ ก.ค.๕๕ เมื่อได้ส่ององค์จริงแล้วก็รู้สึกชอบใจในเนื้องหาที่หลวงพ่อท่านบรรจงสร้างองค์แรกบิ่นตรงมุมปลายด้านขวาขององค์พระ แต่เนื้อหาเมื่อส่องแล้วไม่แน่ใจว่าหลวงพ่อท่านได้ผสมผงตะไบทองคำลงไปด้วยหรือเปล่าเพราะสีออกไปทางตะไบทองคำก็เลยรู้สึกชอบใจในเนื้อหาของพระเอามาก ๆ แต่อยากได้องค์ที่สวยสมบูรณ์กว่าองค์นี้ ตกค่ำคืนวันพุธหลังจากสวดมนต์เรียบร้อยแล้วจึงบอกเล่าต่อหลวงพ่อขอองค์สวย ๆ อีกองค์หนึ่งมาบูชา เพียงแค่ข้ามคืนเท่านั้นก็ได้องค์สวยมาบูชาอีกสมดังตั้งใจ

องค์แรกมีผงตะไบคล้ายตะไบทองคำกระจายอยู่ทั่วองค์พระ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 16, 2012, 11:49:28 am
สมเด็จขาวหลังตรายางก็เป็นอีกพิมพ์หนึ่งที่ผมชอบ เนื่องจากพิมพ์ทรงเหมือนกับวัดระฆังมาก ในเมื่อผมไม่มีวาสนาที่จะได้ครอบครองสมเด็จวัดระฆัง ผมขอสมเด็จของหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม นี่แหละน่าจะไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแหละครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ กรกฎาคม 16, 2012, 05:31:59 pm
:o :o :o :o
แจ่มครับ ดูขลังมากๆครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: jng8307 ที่ กรกฎาคม 16, 2012, 10:03:54 pm
 ;D
 ;Dสุดยอดเลยครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 20, 2012, 09:33:46 am
เหตุเกิดเมื่อ พ.ย.๕๓ คือปีที่แล้ว จำได้ว่า วันนั้นตรงกับวันเสาร์ เวลาประมาณ ๐๙.๓๐ น. จะไปเอาทะเบียนรถที่ฝากต่อไว้และก็จะนำพระสีวลีองค์พิมพ์มีย่ามหลังจารไปห่มจีวรที่ร้านทองด้วยโดยใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ ในคอก็ใส่สมเด็จองค์นี้แหละครับ วันนั้น จำได้ว่าเป็นวันเสาร์ก่อนวันลอยกระทง ๑ วัน ได้ขี่ไปบริเวณสวนสาธารณะโดยเข้าใจว่าบริเวณนั้นรถน้อยไม่จอแจเหมือนเส้นทางอื่น และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ครับ ทำให้เกิดอาการประมาท ขาดความรอบคอบ ไปถึงทางออกของมุมหนึ่งของสวนสาธารณะเพื่อจะออกไปยังเส้นทางที่ตั้งใจไว้ ด้านขวามือเป็นทางสามแยกที่มีไฟเขียวไฟแดงซึ่งจังหวะนั้นปลอดรถ ด้วยความเข้าใจว่าด้านซ้ายมือคงจะไม่มีรถแน่นอนเพราะถ้ามีก็หมายถึงวิ่งย้อนศรเพราะเป็นถนนสี่เลน โดยทางซ้ายมือจะเข้าตลาด ร้านเป้าหมายของผมอยู่ทางขวามือผมต้องไปทางซ้ายเพื่อไปยูเทิร์นเล็กน้อยประมาณ ๒๐ เมตร เมื่อมองขวาไม่มีรถ ก็วิ่งออกไปแค่หนึ่งช่วงตัวรถจักรยานยนต์ของผมเองครับ "โครม" ใช้แล้วครับ มีรถวิ่งถอยหลังย้อนศรมาชนผมเข้าเต็ม ๆ ทั้งคนทั้งรถหยุดแค่นั้น มีความรู้สึกว่าศีรษะผมกระทบกับท้ายกระบะรถเข้าเต็ม ๆ เจ้าของรถรีบลงมาจากรถมาดูผมเป็นผู้สูงวัยประมาณ เกือบ ๖๐ เห็นจะได้ ยกมือไหว้ผมประหลก ๆ ผมสำรวจตัวเองรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย สำรวจดูตัวเองไม่เป็นไรมาก ทั้ง ๆ ที่ขาผมน่าจะหักเพราะกันชนท้ายรถยนต์จะตรงกับช่วงขาซ้ายของผมพอดี รถมอเตอร์ไซด์คันเก่ง ตระกร้าบุบเล็กน้อย เมื่อทั้งคนทั้งรถไม่เป็นไรมาก ก็ไม่ถือสาเอาความ ผมจากไปด้วยความหัวเสีย ไปเอาทะเบียนรถ และเข้าตลาดนำพระสีวลีไปเลี่ยมทอง พระสมเด็จองค์นี้ ผมเองก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่นักว่าใช่ของหลวงพ่อหรือไม่แต่กับประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมยิ่งรักสมเด็จองค์นี้มาก ๆ เนื้อสวย หลังก็จารดูขลังดีโดยเฉพาะตัว "เฑาะว์" ชอบมากครับ ใช้คาถาอาราธนาพระสมเด็จของหลวงพ่อทุกครั้งไม่เคยขาด ถัดมาอีกเพียงไม่กี่วัน เป็นวันพุธ ไปซื้อน้ำดื่มถังใหญ่ เดินไปถึงร้านค้าระหว่างนั้นหมาแม่ลูกอ่อนได้เดินตามหลังผมมาเงียบ ๆ พอผมหยุดเรียกเจ้าของร้านเพื่อบอกว่าจะซื้อน้ำ เจ้าสุนัขแม่ลูกอ่อนก็งับเข้าเต็ม ๆ ที่ข้อเท้า ผมสะดุ้งสุดตัว หันหลังไปมองหมาแม่ลูกอ่อนด้วยความแค้นเพราะรู้สึกเจ็บและแสบร้อนที่ข้อเท้า รู้สึกทึ่งที่มันกัดไม่เข้าครับ คราวนี้ในคอผมก็มีแค่สมเด็จองค์เดี่ยว ๆ เพรียว ๆ ครับ ไม่ชอบก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว

เป็นประสบการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ มาเล่าสู่กันฟังครับ ผมเองนับถือหลวงพ่อมาก ๆ

ขอบันทึกว่าตรงกับวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2553 เวลา 9:30 น. ก่อนวันลอยกระทง ๑ วัน
ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล จ.ศ.1372 ค.ศ.2010
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 20, 2012, 09:39:40 am
เหตุเกิดเมื่อ พ.ย.๕๓ คือปีที่แล้ว จำได้ว่า วันนั้นตรงกับวันเสาร์ เวลาประมาณ ๐๙.๓๐ น. จะไปเอาทะเบียนรถที่ฝากต่อไว้และก็จะนำพระสีวลีองค์พิมพ์มีย่ามหลังจารไปห่มจีวรที่ร้านทองด้วยโดยใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ ในคอก็ใส่สมเด็จองค์นี้แหละครับ วันนั้น จำได้ว่าเป็นวันเสาร์ก่อนวันลอยกระทง ๑ วัน ได้ขี่ไปบริเวณสวนสาธารณะโดยเข้าใจว่าบริเวณนั้นรถน้อยไม่จอแจเหมือนเส้นทางอื่น และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ครับ ทำให้เกิดอาการประมาท ขาดความรอบคอบ ไปถึงทางออกของมุมหนึ่งของสวนสาธารณะเพื่อจะออกไปยังเส้นทางที่ตั้งใจไว้ ด้านขวามือเป็นทางสามแยกที่มีไฟเขียวไฟแดงซึ่งจังหวะนั้นปลอดรถ ด้วยความเข้าใจว่าด้านซ้ายมือคงจะไม่มีรถแน่นอนเพราะถ้ามีก็หมายถึงวิ่งย้อนศรเพราะเป็นถนนสี่เลน โดยทางซ้ายมือจะเข้าตลาด ร้านเป้าหมายของผมอยู่ทางขวามือผมต้องไปทางซ้ายเพื่อไปยูเทิร์นเล็กน้อยประมาณ ๒๐ เมตร เมื่อมองขวาไม่มีรถ ก็วิ่งออกไปแค่หนึ่งช่วงตัวรถจักรยานยนต์ของผมเองครับ "โครม" ใช้แล้วครับ มีรถวิ่งถอยหลังย้อนศรมาชนผมเข้าเต็ม ๆ ทั้งคนทั้งรถหยุดแค่นั้น มีความรู้สึกว่าศีรษะผมกระทบกับท้ายกระบะรถเข้าเต็ม ๆ เจ้าของรถรีบลงมาจากรถมาดูผมเป็นผู้สูงวัยประมาณ เกือบ ๖๐ เห็นจะได้ ยกมือไหว้ผมประหลก ๆ ผมสำรวจตัวเองรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย สำรวจดูตัวเองไม่เป็นไรมาก ทั้ง ๆ ที่ขาผมน่าจะหักเพราะกันชนท้ายรถยนต์จะตรงกับช่วงขาซ้ายของผมพอดี รถมอเตอร์ไซด์คันเก่ง ตระกร้าบุบเล็กน้อย เมื่อทั้งคนทั้งรถไม่เป็นไรมาก ก็ไม่ถือสาเอาความ ผมจากไปด้วยความหัวเสีย ไปเอาทะเบียนรถ และเข้าตลาดนำพระสีวลีไปเลี่ยมทอง พระสมเด็จองค์นี้ ผมเองก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่นักว่าใช่ของหลวงพ่อหรือไม่แต่กับประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมยิ่งรักสมเด็จองค์นี้มาก ๆ เนื้อสวย หลังก็จารดูขลังดีโดยเฉพาะตัว "เฑาะว์" ชอบมากครับ ใช้คาถาอาราธนาพระสมเด็จของหลวงพ่อทุกครั้งไม่เคยขาด ถัดมาอีกเพียงไม่กี่วัน เป็นวันพุธ ไปซื้อน้ำดื่มถังใหญ่ เดินไปถึงร้านค้าระหว่างนั้นหมาแม่ลูกอ่อนได้เดินตามหลังผมมาเงียบ ๆ พอผมหยุดเรียกเจ้าของร้านเพื่อบอกว่าจะซื้อน้ำ เจ้าสุนัขแม่ลูกอ่อนก็งับเข้าเต็ม ๆ ที่ข้อเท้า ผมสะดุ้งสุดตัว หันหลังไปมองหมาแม่ลูกอ่อนด้วยความแค้นเพราะรู้สึกเจ็บและแสบร้อนที่ข้อเท้า รู้สึกทึ่งที่มันกัดไม่เข้าครับ คราวนี้ในคอผมก็มีแค่สมเด็จองค์เดี่ยว ๆ เพรียว ๆ ครับ ไม่ชอบก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว

เป็นประสบการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ มาเล่าสู่กันฟังครับ ผมเองนับถือหลวงพ่อมาก ๆ

ขอบันทึกว่าตรงกับวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2553 เวลา 9:30 น. ก่อนวันลอยกระทง ๑ วัน
ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล จ.ศ.1372 ค.ศ.2010


ถัดมาอีก ๕ วัน วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ.2553 เวลา 18:00 น. ถูกหมาแม่ลูกอ่อนกัดแต่ไม่เข้า
ตรงกับวันพุธ แรม 3 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล จ.ศ.1372 ค.ศ.2010
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ กรกฎาคม 22, 2012, 12:02:20 pm
 8) 8) 8) 8) 8)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 01, 2012, 11:28:48 am
สมเด็จฐานสำเภาเงิน สำเภาทอง(ถอดพิมพ์หรือเปล่าไม่แน่ใจครับ หรือว่าเป็นของวัดเทพากร) เนื้อสีน้ำตาลปึก ได้มาแบบไม่ได้ตั้งใจครับ แต่ก็ชอบ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 01, 2012, 03:09:24 pm
ได้มาสององค์ ต่างที่กัน องค์แรกพระบางกว่า องค์ที่สองพระหนากว่าเป็นผงน้ำมันทั้งคู่ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 01, 2012, 03:41:56 pm
ด้านหลัง ขอบข้าง
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ สิงหาคม 03, 2012, 12:10:12 pm
 :o :o :o :o :o :o :o
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 06, 2012, 10:46:12 am
  สมบัติล้ำค่า

   เมื่อหลวงพ่อมรณภาพแล้ว ทางวัดได้รื้อกุฏิของหลวงพ่อออก เอามาทำโรงครัว ก็ขอชมว่ากรรมการชุดที่รื้อกุฏิหลวงพ่อออกปัญญานิ่มจริง ๆ มีการสำรวจของ เช่น วัตถุมงคล และได้เก็บรวบรวมเอาไว้ที่กุฏิใหม่ สร้างด้วยคอนกรีต ๒ ชั้น วัตถุมงคลบ้าง รูปบ้าง ตำรายันต์บ้าง ฯลฯ ไม่รู้จะเก็บไว้อย่างไร ก็เอาใส่กล่องใส่ลังเอาไว้ มดเข้าไปทำรังบ้าง แมลงสาปแทะเอาบ้าง วันหนึ่งผมได้ไปหาท่านอาจารย์สำรวย คือผมอยากจะได้หลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับครูบาอาจารย์ของท่าน อาจารย์สำรวยได้ขึ้นไปค้นในห้องวัตถุมงคล แล้วลงมาด้านล่างส่งรูปและของเก่า ๆ ในห้องวัตถุมงคลให้ผมดูมีดังนี้

   รูปแรกเป็นรูปสี ขนาดโปสการ์ดของหลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว หลวงพ่อกันท่านเป็นศิษย์รุ่นพี่ของท่าน คือตอนที่ท่านไปเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม หลวงพ่อกัน ท่านเป็นศิษย์รุ่นพี่

   รูปที่ ๒ เป็นรูปขาว-ดำ ขนาดโปสการ์ดเช่นกัน เป็นรูปหลวงพ่อโตวัดวิหารทอง อ.สรรคบุรี หลวงพ่อโตท่านเป็นพระที่มีบุญญาธิการสูง ท่านมีอาคมและตบะแก่กล้ามาก ในสมัยที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ผมได้เรียนถามท่านว่า หลวงพ่อเป็นศิษย์หลวงพ่อโตวิหารทองหรือ ท่านบอกว่าเปล่า แต่ท่านทันหลวงพ่อโต ท่านเคยจารนะหลวงพ่อโตให้ผมดู แสดงว่าท่านมีความเคารพในองค์หลวงพ่อโต แต่ไม่ได้เรียนวิชาอะไรไว้ อีกอย่างหลวงพ่อโตท่านก็ไม่ได้สนใจในวิชาอะไรทั้งหมดเช่นกัน ที่ท่านมีอาคมแก่กล้าและตบะแก่กล้าเพราะบุญเก่าเฉพาะตัวของท่าน 

   รูปที่ ๓ ใส่กรอบไว้อย่างดี เป็นรูปสีสวยงาม มีรอยจารที่กระจกเป็นลายมือหลวงพ่อกวย ท่านจารทั้ง ๆ ที่รูปอยู่ในกรอบกระจก เป็นรูปของหลวงพ่อคำ วัดสุวรรณ จังหวัดอุทัยธานี เมื่อเทียบตามอายุหลวงพ่อคำ อายุพรรษามากกว่าท่าน ทราบว่าทำมีดหมอด้วย เข้าใจว่าหลวงพ่อคำคงจะเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กัน หลวงพ่อคำอาจเป็นศิษย์องค์หนึ่งของหลวงพ่อเดิมก็ได้ ปัจจุบันทราบว่าอายุตก ๙๐ กว่าแล้ว ทำมีดหมอให้บูชาเช่นกัน

  รูปสุดท้าย รูปนี้เป็นรูปขาว-ดำ ขนาดโปสการ์ด ผมเห็นเข้าถึงกับตลึงรูปใส่กรอบอย่างนี้ เป็นรูปพระผู้เฒ่าองค์หนึ่ง แม้จะชราภาพมากแล้ว ตาเริ่มฝ้ามัวแล้ว แต่ท่านก็นั่งตัวตรง เป็นรูปของอาจารย์ปู่ คือ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ นครสวรรค์ รูปนี้ถ่ายที่ร้านงามดารา บ้านหมี่ ลพบุรี ด้านบนขวามือท่าน ๆ จารยันต์พระเจ้าอมโลกเอาไว้ ซ้ายมือจารยันต์นะหัวใจมนุษย์ เป็นการจารโดยใช้ปากกา รูปนี้เป็นหลักฐานแน่ชัดว่าหลวงพ่อเป็นศิษย์องค์หนึ่งของหลวงพ่อเดิม เมื่อผมเห็นรูปทำให้ผมนึกถึงของเก่า ๆ ในตู้พิพิธภัณฑ์ ผมได้ไปค้นดูเจอตะขอช้าง ของหลวงพ่อเดิม ๑ อัน มีจารยันต์เก่ามากไว้ เจอแส้ม้าของหลวงพ่อเดิมอีก ๑ อัน เพราะหลวงพ่อเดิมสำเร็จวิชาคชสาร และท่านเคยขี่ม้า เมื่อดูไปดูมาเจอไม้เท้าเก่า ๑ อัน ไม้เท้านี้ไม่แน่ใจว่าจะเป็นของหลวงพ่อองค์ใดให้ท่านมา หรือท่านจะจารเองผมก็ไม่รู้ การจาร ๆ ได้มหัศจรรย์มาก มีอักขระไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ ตัว ตัวเหมือนตัวพิมพ์ในหนังสือเลย นับว่าผู้สร้างไม้เท้าอันนี้มีความมานะพยายามสูงมาก

  นอกจากนั้นยังเจอบาตรน้ำมนต์ชินบัญชร ที่วัดชิโนรส กรุงเทพฯ มอบให้ท่าน ๑ ใบ ตอนที่ท่านปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดชิโนรส และยังเจอรูปถ่าย ท่านถ่ายรูปหมู่เอาไว้ ผมไม่รู้จักว่าเป็นหลวงพ่อองค์ใดบ้าง รู้จักเพียงองค์เดียวคือ หลวงพ่อมิ่ง วัดกก บางขุนเทียน ธนบุรี

   นอกจากตะขอช้าง และแส้ม้าแล้ว นึกขึ้นได้ว่าอาจารย์ตั้วเคยได้มีดหมอจากหลวงพ่อ ๑ เล่ม เป็นมีดหมอหลวงพ่อเดิม แต่ด้ามเริ่มชำรุดแล้ว เกี่ยวกับเรื่องครูบาอาจารย์ของท่านสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ผมเคยถามท่านเอาไว้ว่าอาจารย์ของหลวงพ่อมีใครบ้าง รู้สึกท่านไม่ค่อยพอใจผมสักเท่าไร ผมมานึกดูการถามชื่อครูบาอาจารย์ก็คล้าย ๆ ถามชื่อพ่อแม่ท่านนั่นเอง ดีที่ท่านยังแย้ม ๆ ให้ฟัง ผมได้เรียนถามท่านว่า “อาจารย์หลวงพ่อชื่อหลวงพ่อเฒ่า วัดค้างคาว หรือ” ท่านตอบว่า “เปล่า ไม่ใช่ ไม่ทัน” คือท่านเกิดทันแต่ไม่ได้ไปเรียนวิชาเอาไว้ ผมได้ถามท่านว่า “อาจารย์ของหลวงพ่อคือหลวงพ่อโต วัดวิหารทอง หรือ” ท่านตอบว่า “เปล่า” ผมเลยถามท่านอีกว่า “งั้นอาจารย์ของหลวงพ่อใช่หลวงพ่อปากคลองมะขามเฒ่าหรือเปล่า” ท่านตอบว่า “เปล่า ไม่ได้ไป” ผมเลยตัดสินใจถามปัญหาเป็นครั้งสุดท้ายว่า “งั้นอาจารย์ของหลวงพ่อชื่ออะไร” ท่านได้ตอบว่า “พ่อศรี พ่อเดิม พ่อเคน พ่ออิ่ม ปะขาวตำรายันต์” ในวันนั้นท่านได้ตอบชื่ออาจารย์ท่านที่เป็นฆราวาสอีก ๒-๓ คน ผมจำชื่อไม่ได้ท่านเรียกอาจารย์ท่านว่าพ่อทุกคำ พ่อศรี คือหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ ผู้ยิ่งยงแห่งสิงห์บุรี พ่อเดิม คือหลวงพ่อเดิม เทพเจ้าแห่งเมืองสี่แคว พ่อเคน คือหลวงพ่อเคน วัดดงเศรษฐี อ.บรรพตพิสัย อาจารย์ท่านองค์นี้เป็นพระหมอโบราณ จึงไม่ได้เป็นที่รู้จักแพร่หลายนัก อีกองค์หนึ่งคือ หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา อ.เดิมบาง เจ้าของผงและมนต์จินดามณี ส่วนปะขาวคือชีปะขาว ที่สอนวิชาเสือสมิงให้ท่านที่ป่าเมืองกาญจนบุรี ส่วนตำรา คือตำราอักขระเลขยันต์ ท่านถือว่าเป็นอาจารย์ท่านองค์หนึ่ง ตำรายันต์ท่านจะเป็นกระดาษแผ่นใหญ่พับได้ต่อ ๆ กัน เป็นกระดาษโบราณ ท่านเก็บรักษาไว้อย่างดี เล่มไหนมีอาถรรพณ์แรง ท่านจะเขียนด้วยสีแดงว่า “ครูแรง” ส่วนหลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร ไม่ได้เป็นอาจารย์ของท่าน แต่ท่านได้ผงมาอย่างไรไม่รู้ หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ก็ไม่ได้เป็นอาจารย์ท่าน ในตำราของหลวงพ่อสดชื่อ “ทางมรรคผล” หลวงพ่อเขียนไว้ด้วยลายมือท่านว่า รับหนังสือนี้ไว้ พ.ศ.๒๕๐๒ แสดงว่ารับหนังสือตำราเล่มนี้มา หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ มรณภาพแล้ว แต่ท่านนับถือตำราเล่มนี้

  เกี่ยวกับเรื่องครูบาอาจารย์ท่านบางคนเจอผม รู้จักผม ได้บอกกับผมว่า ให้ผมเขียนไปเลยว่า อาจารย์ของหลวงพ่อคือ หลวงพ่อเฒ่า วัดค้างคาว หลวงพ่อโต วัดวิหารทอง หลวงพ่อปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ อันนี้ผมบอกตามตรงว่า ผมทำไม่ได้ หลวงพ่อก็คงไม่ชอบเช่นกัน คือท่านไม่ได้เป็น จะให้ผมเขียนให้เป็นให้ได้ อันนี้ผมทำไม่ได้ ผมไม่ได้เขียนประวัติและอภินิหารของท่าน ทำนองปั้นผีลุกปลุกผีนั่ง “ข้อเขียนผมต้องเป็นอมตะ คู่กันกับท่านเช่นกัน”

   มีเกร็ดประวัติท่านเล็กน้อย คือ ขณะที่ท่านเดินทางไปเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม ท่านได้พักจำพรรษาที่วัดบางตาหงาย บางครั้งท่านก็ไปเยี่ยมหลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว ครั้งหนึ่งพระโชน วัดหัวเด่น ได้เดินทางไปกราบหลวงพ่อพิมพา วัดหนองตางู อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ อายุ ๘๔ พรรษา ถ้าเทียบอายุหลวงพ่อ ถ้าหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่จะอายุเท่า ๆ กัน พระโชนได้เข้าไปกราบหลวงพ่อพิมพา หลวงพ่อได้ถามว่า มาจากไหน พระโชนได้ตอบว่า มาจากอำเภอสรรค์ ท่านถามว่า อำเภอสรรค์น่ะแถวไหน พระโชนตอบว่า หัวเด่นบ้านแค หลวงพ่อพิมพาได้ถามท่านว่า มาจากหัวเด่นบ้านแคงั้นก็เป็นศิษย์ท่านกวยน่ะสิ พระโชนได้ตอบว่า ครับ หลวงพ่อพิมพาท่านชอบใจหัวร่อลงลูกคอเลยแล้วพูดว่า ท่านกวยน่ะเขาใจจริง ทำอย่างไรเขาก็ไม่กลัว เรียนวิชามาด้วยกันเลย เขาเคยมาพักกับฉัน เรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม สำหรับเกร็ดประวัติอันนี้ก็เป็นเรื่องยืนยันได้ว่าหลวงพ่อเป็นศิษย์หลวงพ่อเดิมแน่นอน ศิษย์ร่วมรุ่นยังมีชีวิตอยู่ใครอยากไปกราบก็รีบไปกราบซะ
    สำหรับเรื่องสมบัติล้ำค่านี้ หมายถึงรูปหลวงพ่อเดิม ผมเคยนำรูปต้นแบบเอาไปทำเขาคิดอย่างถูกแล้วก็โหลนึงราคา ๑๕๐ บาท ผมนำไปให้อาจารย์ตี๋ปลุกเสกพร้อมรูปหลวงพ่อศรี หลวงพ่ออิ่ม อาจารย์ตี๋ปลุกเสกแล้วบอกดีมาก ท่านเห็นว่าดี ท่านเลยปั๊มยันต์ของท่านให้ ปั๊มชื่อผู้ปลุกเสกปั๊มตราวัดให้ ปกติท่านหวงตราวัดท่านมาก ท่านคงกลัวว่าจะเอาไปขายกิน ทีนี้รูปหลวงพ่อเดิมนี้ผมเคยนำไปถ่ายซีล็อค เพื่อจะแจกแต่ภาพที่ออกมาไม่สวยเลย เพราะรูปนั้นมีฉากหลังเป็นสีดำ ถ้าจะทำได้ก็ต้องทำแบบโปสการ์ด แต่แพงผมก็ทำแจกไม่ไหว ส่วนเรื่องจะทำออกจำหน่ายแม้เพียงรูปละ ๑๕ บาท ๒๐ บาท ผมก็ทำไม่ได้ ผมไม่ใช่พระและไม่ใช่วัด ถ้าใครมีความเห็นอย่างไรจะเขียนจดหมายถึงผมก็เอา แต่ผมขอร้องถ้าจะให้ทำแจกเพราะการสร้างของศักดิ์สิทธิ์ต้องมีเจตนาที่บริสุทธิ์เป็นที่ตั้ง ของนั้นจึงจะศักดิ์สิทธิ์ และเป็นอมตะตลอดกาล

  ข้อสังเกต จะเห็นได้ว่าหลวงพ่อกวยท่านเรียกอาจารย์ท่านว่าพ่อทุกคำ 

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 07, 2012, 11:26:27 am
   ลองดู

     หลวงพ่อเป็นพระที่ชอบค้นคว้าทดลอง เมื่อหลวงพ่อเรียนวิธีลงอักขระเลขยันต์แล้ว หลวงพ่อก็ต้องทดลองดูว่าจะได้ผลแค่ไหน พอจะแจกให้ศิษย์ไปป้องกันตัวได้หรือไม่ เพราะศิษย์นำไปใช้โดยมากก็เอาไปป้องกันมีด ป้องกันปืน ถ้าศิษย์เอาไปใช้ไม่ได้ผล เขาก็จะเสื่อมศรัทธา ซึ่งอุปนิสัยนี้ตรงกับหลวงพ่อหรือหลวงปู่โบราณ ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา ไม่ใช่เห็นว่าเขานับถือว่าดีก็ออกรูปออกเหรียญปลุกเสกงอมแงม ๆ แจกให้เขาไป บางองค์ปลุกเสกด้วยโอการมหาจู๋ด้วยซ้ำ โองการนี้ว่าอย่างนี้ “โอมดวงดีก็รอด ดวงจู๋ก็ตาย”

     แต่สำหรับหลวงพ่อกวย ท่านไม่ทำอย่างนั้น ท่านทดลองดูจนมั่นใจ หลายครั้งหลายหน จนแน่ใจจึงทำออกแจกออกไป ซึ่งอุปนิสัยนี้เกิดขึ้นและมีอยู่ในตัวท่านตั้งแต่ท่านยังหนุ่ม ซึ่งผมได้รับคำบอกเล่าต่อไปนี้ เป็นคำพูดของหมอเฉลียว คำว่าผมนั้นต่อไปนี้หมายถึงหมอเฉลียว

      วันหนึ่งหลวงพ่อไปดูชาวบ้านกับพระภิกษุสามเณรเลื่อยไม้ในดงเพื่อมาสร้างศาลา ผมก็ไปด้วย บังเอิญมีคนแบกปืนยาว ปืนลูกซองเดินมา หลวงพ่อเห็นแต่ไกล หลวงพ่อหยิบเปลือกไม้แล้วเอาผ้าอาบน้ำฝนพัน แล้วบอกกับพระและชาวบ้านว่า “ประเดี๋ยวจะให้อ้ายนี่ยิงพระองค์นี้ดูซิจะยิงออกหรือเปล่า” คน ๆ นั้นมาถึง ชาวบ้านจึงบอกว่า ลองยิงพระองค์นี้ดูซิจะออกหรือเปล่า คน ๆ นั้นไม่รู้ว่าเป็นเปลือกไม้ที่เขากำลังเลื่อยกันอยู่ เขาเลยยกปืนขึ้นเล็งทันที ปรากฏว่ายิงไม่ออก เลยหันลำจะเปลี่ยนลูกใหม่แต่เอาลูกออกจากลำไม่ได้ ได้ไม้กระทุ้งก็ไม่ออก ใช้เวลาเป็นชั่วโมงก็ไม่ออก เลยแบกปืนกลับบ้าน พอไปแล้ว พระและชาวบ้านก็ไปหยิบเอาผ้าที่ห่อเปลือกไม้มาดู ปรากฏว่าข้างในเป็นเปลือกไม้จริง ๆ ชาวบ้านเลยหัวเราะกันใหญ่ หลวงพ่อหัวร่อ หึหึ

     อีกครั้งหนึ่ง ผมเห็นกับตา สมัยก่อนเด็ก ๆ เด็กวัดต้องไปต่อหนังสือค่ำกับพระ ประมาณ ๕ หรือ ๖ โมงเย็น การต่อหนังสือค่ำ คือท่องหรืออ่านหนังสือ คือเรียนหนังสือกับพระนั่นเอง ตอนนั้นมีเด็กวัดคนหนึ่งชื่อ สุธน ต้องไปต่อหนังสือกับหลวงพ่อ หลวงพ่อกำลังพักผ่อนที่ศาลา เมื่อเด็กชายสุธนต่อหนังสือค่ำเสร็จ หลวงพ่อคงจะเอ็นดูเด็กชายสุธนเพราะเป็นเด็กขยันและปัญญาดี หลวงพ่อเลยให้คาถาไปบทหนึ่งมี ๔ ตัว หลวงพ่อให้เด็กชายสุธนท่องแล้วถามว่า “จำได้ไหม จำได้หรือยัง” พอเด็กบอกจำได้ดีแล้ว หลวงพ่อพูดว่า “มึงไปให้พ้นเลย” เด็กก็ตกใจหน้าเสียเลย หลวงพ่อคว้าไม้รวกยาวประมาณ ๑ เมตร ได้ ตีเด็กอย่างแรงหลายที ตีจนเด็กตกศาลาเลย แต่เด็กชายสุธนกลับไม่ร้องไห้คล้าย ๆ ไม่เจ็บ ภายหลังผมจึงรู้ว่าหลวงพ่อให้คาถาตีไม่เจ็บกับไอ้ธน เพราะตอนหลังมันทำผิด พระตีมันเห็นมันยิ้ม ผมเลยคอยเวลาหาโอกาสอยู่ คอยอยู่ ๕-๖ ปีได้ ผมก็ไปนั่งคุยกับท่าน วันนั้นผมเห็นท่านอารมณ์ดีเป็นพิเศษ จึงได้ถามหลวงพ่อ “ผมเห็นไอ้ธนโดนหลวงพ่อตีวันนั้น หลวงพ่อมีคาถาอะไรดี ผมขอเรียนได้ไหม” หลวงพ่อบอกว่า “เป็นคาถาตีไม่เจ็บ” ท่านได้ให้ผมมา ตอนนั้น ผมอายุ ๑๗-๑๘ ปีได้ ผมก็เลยมาทดลองปลุกเสกคาถาดูจนขึ้นใจ ทีแรกผมให้เด็ก ๆ เพื่อนกัน ตีหลังด้วยก้านกล้วยก่อน เห็นว่าไม่เจ็บแน่ ผมเลยให้เพื่อนตีด้วยไม้รวก เพื่อน ๆ ๒ คนผลัดกันตี ตีจนไม้แตกก็ไม่รู้สึกเจ็บ เมื่อเลิกแล้วรู้สึกแสบ ๆ คัน ๆ นิด ๆ แต่ไม่มีผื่นเลย เล่นกันจนสนุกไปเลย เพราะผมยังหนุ่มอยู่ตอนนั้น ถ้าได้เป็นนักมวยผมว่าคงจะดีตอนนั้น เพราะหลวงพ่อให้คาถาจับไม่อยู่มาอีกบทหนึ่ง ผมคิดว่าตีไม่แตก จับไม่อยู่ คงพอสู้เขาได้

    ตอนนั้นมีเด็กวัดอยู่อีกคนหนึ่งชื่อเวก ไปนั่งเล่นอยู่กับหลวงพ่อ ๆ นึกขลังอย่างไรขึ้นมาไม่รู้ ท่านหยิบผ้าจีวรเก่า ๆ ขาด ๆ มาฉีกแล้วขวั้นเป็นเกลียวแล้วเรียกเด็กมา เอาผ้าผูกคอเด็ก เห็นท่านทำปากขมุบขมิบ ไม่รู้ว่าคาถาอะไร เด็กกำลังเผลออยู่พอดี ท่านเอื้อมมือไปหยิบขวานหมูที่ข้างหลังฟันหัวเด็กไป ๒ ที ฟันอย่างแรงเด็กหัวทิ่มเลย เด็กตกใจสลัดหลุดวิ่งไป ๓-๔ วาได้ ไปร้องไห้ที่บันได คือจับราวบันไดร้องไห้ หลวงพ่อเลยเรียกเด็กให้มานี่ มานี่ ได้ยินไหม เสียงท่านดัง เด็กก็กลัวเดินมาหา หลวงพ่อก็แก้ผ้าออกเฉย ๆ แล้วหลวงพ่อก็หัวร่อ หึหึ อยู่องค์เดียว ผมแอบดูอยู่พอลับตาหลวงพ่อ ผมเลยขอดูหัวไอ้เวก ปรากฏว่าไม่มีรอยฟันแม้แต่นิดเดียว ผมก็เลยว่าเด็กว่า มึงกลับไปให้ท่านแก้ผ้าขวั้นออกทำไม เป็นกู ๆ ไม่ให้เลยแบบนี้ เด็กก็ตอบว่า ผมไม่รู้ ผมกำลังตกใจ นึกว่าทำอะไรผิดซะอีก

    อีกเรื่องหนึ่ง ตอนนั้นหลวงพ่อยังแข็งแรงอยู่ มีโยมที่บ้านหนองแขม มานิมนต์หลวงพ่อไปเทศน์มหาชาติ เรื่องพระเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมารกับทานกัณฑ์ ๒ กัณฑ์ ตอนนั้นหลวงพ่อซุ่มเสียงยังดี เทศน์กัณฑ์ทานกัณฑ์นี่ไม่มีใครเทียบเท่าท่านได้เลย วันนั้นผมได้เป็นลูกศิษย์ท่านไปด้วย เมื่อเทศน์จบแล้ว ผมก็เป็นคนหาบเครื่องกัณฑ์ที่เขาถวายหลวงพ่อมา เดินบุกป่ามาได้สัก ๓-๔ กิโลได้ ขณะเดินทางมาถึงวัดใหม่ ตอนนั้นวัดใหม่ไม่มีพระอยู่ ตั้งอยู่ในป่ามีกุฏิหลังเดียว พอมาถึงร่มต้นกร่างใหญ่ หลวงพ่อก็หยุดพัก เพราะอากาศร้อนมาก หลวงพ่อได้พูดว่า “พระที่วัดน่าจะบอกกับแขกที่มาหากูให้กลับไปก่อน อ้ายพระองค์นี้ไม่เข้าท่าเลย เราไม่อยู่ก็น่าจะบอกเขาให้รู้เรื่อง ปล่อยให้เขารออยู่ได้” คือหลวงพ่อท่านรู้เหตุการณ์ข้างหน้า หรือรู้เรื่องไกล ๆ ได้ จนผมชินแล้ว หลวงพ่อพูดอย่างนี้แสดงว่ามีแขกมาหา แล้วพระที่วัดน่าจะบอกกับแขกให้รู้เรื่องว่าหลวงพ่อไม่อยู่ ปล่อยให้แขกคอย แล้วท่านก็บอกให้ผมกินขนมที่ผมหาบมา ท่านพูดว่า “กูไม่ค่อยชอบกินสักเท่าไรหรอก มึงกินเถอะ” แล้วหลวงพ่อก็เปลื้องจีวรออกผึ่งแดด ตามป่าหญ้า เผอิญท่านเห็นสังกะสีฝาปี๊บของใครเขาตัดทิ้งเอาไว้ ยังใหม่ ๆ อยู่เลย หลวงพ่อเลยหยิบเหล็กจารในย่ามมาจารสังกะสีเป็นอักขระ ๔ ตัว เดินไปที่ต้นมะกอก แล้วท่านพูดว่า “ไปกันเถอะอ้ายท่านนั้นมันให้แขกรอเดี๋ยวมันจะกลับมืด” เมื่อมาถึงวัดก็มีแขกมารออยู่หน้ากุฏินอนหลับอยู่จริง ๆ

     พอรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งมีพรรคพวกผมมาซื้อข้าวเปลือก คือซื้อข้าวเปลือกเอาไปขายโรงสี ขณะขับรถจะมาหาผม พอมาถึงวัดใหม่ตรงที่ผมหยุดพักกับหลวงพ่อเมื่อวาน เห็นมีบ้านอยู่หลังหนึ่งจึงหยุดรถลงไปถามซื้อข้าว ปล่อยให้คนท้ายรถเฝ้ารถอยู่คนเดียว คนเฝ้าเป็นลูกน้องด้วยมือปืนด้วย ชื่อสุนทร เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่ เหลือบเห็นสังกะสีที่แปะอยู่กับต้นมะกอก เห็นเหมาะดีนึกคันไม้คันมือตามประสาคนชอบยิงปืน จึงชักปืนออกจากเอวยิงฝาปี๊บโดยคะนองมือ ผลปรากฏว่าออกดังปังเสียงปืนสะท้านดง เมื่อเถ้าแก่เจ้าของรถได้ยินเสียงปืนคิดว่าเกิดเหตุร้ายได้รีบวิ่งมาที่รถ เมื่อมาถึงที่รถ ก็ตกใจเห็นลูกน้องมีเลือดไหลโกรกเต็มหน้าเต็มตัวเต็มไปหมด ถามดูได้ความว่า เอาปืนมาลองยิงแผ่นสังกะสีดู เห็นเหมาะดีปืนเกิดถีบโดนหน้า ๆ แตกเลย เถ้าแก่เพื่อนผมจึงรีบพาไอ้สุนทรมาเย็บแผลกับหมอฮวด เย็บไป ๗ เข็ม เมื่อเย็บแผลเสร็จก็มาบ้านผม ผมเห็นเข้าก็ถามว่าเป็นไงมาช้าไป พอดีผมแหงะไปเห็นหน้าไอ้ทรพอดี เลยถามเรื่องแผลก่อน อ้ายทรก็เล่าให้ฟัง ผมจำได้เลยถามว่า ฝาปี๊บขาว ๆ ที่แปะที่ต้นมะกอกหน้าวัดใหม่ใช่ไหม อ้ายทรบอกว่าใช่ ผมเลยบอกว่า หลวงพ่อกวยแปะเอาไว้เมื่อวานและมึงเอามาหรือเปล่า นายสุนทรบอก “เปล่า โมโหเลยแกะเขวี้ยงทิ้งไว้ข้างทางนั่นแหละ” นายสุนทรรู้ว่าหลวงพ่อจารอักขระไว้ที่ฝาปี๊บเลยขอยืมรถมอเตอร์ไซค์ผมขี่ไปเอา แต่น่าเสียดายตอนโมโหเขวี้ยงทิ้งไปหาไม่เจอหรือคนอื่นหยิบเอาไปก็ไม่รู้

    ก็จบจดหมายจากหมอเฉลียวไป ๑ ตอน ผมต้องขอขอบคุณท่านมาก อุตส่าห์สละเวลาอันมีค่าเล่าเรื่องเกี่ยวกับอภินิหารของหลวงพ่อมาหลายตอน ทราบว่า ท่านตอนนี้อยู่ห้วยปง หรือห้วยบง จ.นครราชสีมา ผมมีเรื่องอยากจะขอร้องท่านอยู่ ๑ เรื่องคือ ผมอยากให้ท่านได้ถ่ายทอดคาถาตีไม่เจ็บกับคาถาจับไม่อยู่ ขอให้ท่านได้โปรดนึกถึงศิษย์รุ่นหลังด้วย หรือท่านมีคาถาอะไรดี ๆ หรือประวัติและอภินิหารของหลวงพ่อ ขอให้ท่านได้เขียนเล่ามาอีก ข้อเขียนของท่านเป็นข้อเขียนที่สมบูรณ์ ถ้าขาดข้อเขียนของท่านประวัติและอภินิหารของหลวงพ่อจะไม่สมบูรณ์เลย ขอให้ท่านส่งมาที่อาจารย์สำรวยก็ได้ ขอขอบพระคุณท่านไว้เป็นอย่างสูง

     นับถือ

     ฒ.สุพรรณ   



คาถาตีไม่เจ็บ

   " อยู่ วะ พา วะ " (ถ่ายทอดให้หมอเฉลียว เดชมา) 

คาถาจับไม่อยู่

    " อะ ยา ปอย ยะ " (ถ่ายทอดให้หมอเฉลียว เดชมา) 
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 07, 2012, 11:30:12 am
คาถาตีไม่เจ็บ

  " อยู่ วะ พา วะ "   



  คาถาจับไม่อยู่ 

  " อะ ยา ปอย ยะ "
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: Joker ที่ สิงหาคม 07, 2012, 04:22:29 pm
แหม รื้อกุฏิหลวงพ่อเอามาทำโรงครัว ช่างทำไปได้ เศร้าจริงๆ
พี่รุ่นเก่าเขาเล่าให้ฟังว่า แต่เดิมสรีระร่างหลวงพ่อไม่ใช่เป็นน้ำเหลืองอะไรหรอก แห้งไปเฉยๆ เพียงแต่ว่าการเก็บไม่ดี
เก็บข้างหน้าต่าง ฟ้าฝน ลมสาดเข้าหลังคารั่วใส่ เลยเหมือนว่าสริระท่านเน่ามีน้ำเหลืองไหลออกมาใส่พรม
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 08, 2012, 08:52:05 am
แหม รื้อกุฏิหลวงพ่อเอามาทำโรงครัว ช่างทำไปได้ เศร้าจริงๆ


พี่รุ่นเก่าเขาเล่าให้ฟังว่า แต่เดิมสรีระร่างหลวงพ่อไม่ใช่เป็นน้ำเหลืองอะไรหรอก แห้งไปเฉยๆ เพียงแต่ว่าการเก็บไม่ดี
เก็บข้างหน้าต่าง ฟ้าฝน ลมสาดเข้าหลังคารั่วใส่ เลยเหมือนว่าสริระท่านเน่ามีน้ำเหลืองไหลออกมาใส่พรม



ขอบคุณมากครับที่เข้ามาร่วมเล่าสู่กันฟัง
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 08, 2012, 10:00:15 am
   อีก ๓ วันรู้ผล

       พระภาคเหนือท่านจะมีวิชาทำเทียนสะเดาะเคราะห์ เสริมดวงชะตา ส่วนพระภาคกลางนั้นถ้ามีเคราะห์ หลวงพ่อ หลวงปู่ ท่านมักจะใช้วิธีรดน้ำมนต์หรืออาบน้ำมนต์ เข้าใจว่าวิชาทำเทียนกับวิชาทำน้ำมนต์นี้ ถ้าจะให้ดีคงทำได้ยากพอ ๆ กัน แต่มองดูผิวเผินแล้ววิชาทำเทียนยุ่งยากกว่า และภาคเหนือไม่นิยมอาบน้ำมนต์เพราะอากาศหนาวเย็นนั่นเอง

      เรื่องวิชารดน้ำมนต์นี้หลวงพ่อไม่เป็นสองรองใคร เด็ดขาด แน่นอน แต่น้อยคนนักที่จะได้มาอาบน้ำมนต์กับท่าน คือเป็นบุญเฉพาะตัว คือบางคนรังเกียจท่านว่าท่านเลี้ยงหมาดุ ไม่ดูหมาให้แขก พบยาก อยู่แต่ในกุฏิ พูดน้อย จะถามถึงดวงชะตาราศีแบบหลวงพ่อองค์อื่นก็ไม่ได้ สู้ไปหาหลวงพ่อองค์อื่นจะดีกว่า

       ปีนั้น คุณสามารถ แซ่อึ้ง บ้านอยู่บ้านแค ฟังแค่นามสกุลก็พอรู้ว่าเป็นคนมีสตางค์ บ้านแกโดนโจรปล้นได้เงินทองไปมากพอสมควร เมื่อโจรปล้นไปแล้ว คุณสามารถแทนที่จะไปพึ่งตำรวจ แกกลับนึกถึงหลวงพ่อ แกได้มากราบหลวงพ่อว่าโดนโจรปล้น ขอให้หลวงพ่อช่วยด้วย ถ้าผมเป็นหลวงพ่อผมก็ต้องคิดมาก เพราะหลวงพ่อไม่ได้เป็นหัวหน้าโจร คนที่น่าจะช่วยได้น่าจะเป็นตำรวจ แต่หลวงพ่อก็ช่วย หลวงพ่อให้คุณสามารถไปตักน้ำมา หลวงพ่อทำย้ำมนต์อาบให้ ๑ กระป๋องใหญ่ ๆ เมื่ออาบน้ำมนต์เสร็จ คุณสามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เห็นหลวงพ่อนั่งเฉย ๆ ไม่พูดอะไรเลย แกเลยถามหลวงพ่อว่า ผมจะได้ของคืนหรือไม่ อันนี้ถ้าเป็นผม ๆ ก็หนักใจอยู่ดี แค่รดน้ำมนต์แค่นั้นจะมาถามว่า แล้วจะได้ของคืนหรือไม่ ถ้าผมเป็นหลวงพ่อ ผมคงจะตอบว่า ไอ้ห่า มึงจะได้ของคืนได้อย่างไร แค่อาบน้ำ แต่หลวงพ่อไม่เป็นอย่างนั้น ไม่พูดอย่างผมพูด ท่านกลับพูดว่า “อีกสามวันรู้ผล” อยู่ต่อมาอีกสามวัน โจรก๊กนี้ทะเลาะกันเรื่องแบ่งของไม่เท่ากัน คือแบ่งเงินและทองที่ปล้นคุณสามารถไม่เท่ากัน ตกลงกันไม่ได้ ยิงกันตายทั้งก๊ก ที่ไม่ตายก็บาดเจ็บ ตำรวจจับได้ ๆ เงินทองข้างของ ๆ คุณสามารถคืนเกือบทั้งหมด นับว่าอัศจรรย์ ปัจจุบันคุณสามารถได้มาทำมาหากินที่ อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์

      เรื่องน้ำมนต์ของหลวงพ่อที่หลวงพ่อใช้รดอาบนี้ เวลาเป็นความ มีคดี หลวงพ่อจะใช้พระคาถาชื่อ พระพุทธเจ้าชนะมาร ในใบพระคาถานี้หลวงพ่อเขียนเอาไว้ว่า ใช้เรียกนางพระแม่ธรณี แม้ไม่มาช่วยจะอกแตกตาย พระคาถานี้โอกาสหน้าจะนำมาเผยแพร่ออกไป

     นับถือ

     ฒ.สุพรรณ   



หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 09, 2012, 02:06:32 pm
มีศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งชื่อบุญยัง บ้านอยู่สิงห์บุรี เคยมากราบหลวงพ่อตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม ๆ เคยได้พระของหลวงพ่อไปหลายแบบ เมื่อมีภรรยาก็ไปประกอบอาชีพบ้านภรรยา ที่จังหวัดนครสวรรค์ อาชีพค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นครอบครัวที่ยากจน ประกอบอาชีพมาหลายปีมีแต่พอกับไม่พอเลี้ยงครอบครัวเท่านั้น ภายหลังอดอยากแล้งแค้น มีหนี้สินรุงรัง กลุ้มอกกลุ้มใจไม่รู้จะทำอย่างไร เที่ยวได้ไปหาหลวงพ่อองค์นั้นองค์นี้รดน้ำมนต์ก็ไม่มีผลอะไร อยู่มาวันหนึ่งได้ระลึกถึงหลวงพ่อกวยได้ แต่หลวงพ่อก็มามรณภาพเสียแล้ว จำได้ว่าเคยมีวัตถุมงคลของหลวงพ่อหลายอย่างจะลอง ๆ เอามาทำน้ำมนต์และอาราธนาติดตัว แต่เมื่อค้นดูปรากฏว่าไม่มีเลย ได้เอาให้พวกหมู่ไปจนหมดเพราะไม่ได้สนใจมานาน


มีใครเคยตกอยู่ในลักษณะเช่นนี้บ้างไหมครับ เชื่อว่า น่าจะมีอยู่ไม่น้อยนะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 09, 2012, 02:13:58 pm
   อีก ๓ วันรู้ผล

       พระภาคเหนือท่านจะมีวิชาทำเทียนสะเดาะเคราะห์ เสริมดวงชะตา ส่วนพระภาคกลางนั้นถ้ามีเคราะห์ หลวงพ่อ หลวงปู่ ท่านมักจะใช้วิธีรดน้ำมนต์หรืออาบน้ำมนต์ เข้าใจว่าวิชาทำเทียนกับวิชาทำน้ำมนต์นี้ ถ้าจะให้ดีคงทำได้ยากพอ ๆ กัน แต่มองดูผิวเผินแล้ววิชาทำเทียนยุ่งยากกว่า และภาคเหนือไม่นิยมอาบน้ำมนต์เพราะอากาศหนาวเย็นนั่นเอง

      เรื่องวิชารดน้ำมนต์นี้หลวงพ่อไม่เป็นสองรองใคร เด็ดขาด แน่นอน แต่น้อยคนนักที่จะได้มาอาบน้ำมนต์กับท่าน คือเป็นบุญเฉพาะตัว คือบางคนรังเกียจท่านว่าท่านเลี้ยงหมาดุ ไม่ดูหมาให้แขก พบยาก อยู่แต่ในกุฏิ พูดน้อย จะถามถึงดวงชะตาราศีแบบหลวงพ่อองค์อื่นก็ไม่ได้ สู้ไปหาหลวงพ่อองค์อื่นจะดีกว่า

       ปีนั้น คุณสามารถ แซ่อึ้ง บ้านอยู่บ้านแค ฟังแค่นามสกุลก็พอรู้ว่าเป็นคนมีสตางค์ บ้านแกโดนโจรปล้นได้เงินทองไปมากพอสมควร เมื่อโจรปล้นไปแล้ว คุณสามารถแทนที่จะไปพึ่งตำรวจ แกกลับนึกถึงหลวงพ่อ แกได้มากราบหลวงพ่อว่าโดนโจรปล้น ขอให้หลวงพ่อช่วยด้วย ถ้าผมเป็นหลวงพ่อผมก็ต้องคิดมาก เพราะหลวงพ่อไม่ได้เป็นหัวหน้าโจร คนที่น่าจะช่วยได้น่าจะเป็นตำรวจ แต่หลวงพ่อก็ช่วย หลวงพ่อให้คุณสามารถไปตักน้ำมา หลวงพ่อทำย้ำมนต์อาบให้ ๑ กระป๋องใหญ่ ๆ เมื่ออาบน้ำมนต์เสร็จ คุณสามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เห็นหลวงพ่อนั่งเฉย ๆ ไม่พูดอะไรเลย แกเลยถามหลวงพ่อว่า ผมจะได้ของคืนหรือไม่ อันนี้ถ้าเป็นผม ๆ ก็หนักใจอยู่ดี แค่รดน้ำมนต์แค่นั้นจะมาถามว่า แล้วจะได้ของคืนหรือไม่ ถ้าผมเป็นหลวงพ่อ ผมคงจะตอบว่า ไอ้ห่า มึงจะได้ของคืนได้อย่างไร แค่อาบน้ำ แต่หลวงพ่อไม่เป็นอย่างนั้น ไม่พูดอย่างผมพูด ท่านกลับพูดว่า “อีกสามวันรู้ผล” อยู่ต่อมาอีกสามวัน โจรก๊กนี้ทะเลาะกันเรื่องแบ่งของไม่เท่ากัน คือแบ่งเงินและทองที่ปล้นคุณสามารถไม่เท่ากัน ตกลงกันไม่ได้ ยิงกันตายทั้งก๊ก ที่ไม่ตายก็บาดเจ็บ ตำรวจจับได้ ๆ เงินทองข้างของ ๆ คุณสามารถคืนเกือบทั้งหมด นับว่าอัศจรรย์ ปัจจุบันคุณสามารถได้มาทำมาหากินที่ อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์

      เรื่องน้ำมนต์ของหลวงพ่อที่หลวงพ่อใช้รดอาบนี้ เวลาเป็นความ มีคดี หลวงพ่อจะใช้พระคาถาชื่อ พระพุทธเจ้าชนะมาร ในใบพระคาถานี้หลวงพ่อเขียนเอาไว้ว่า ใช้เรียกนางพระแม่ธรณี แม้ไม่มาช่วยจะอกแตกตาย พระคาถานี้โอกาสหน้าจะนำมาเผยแพร่ออกไป

     นับถือ

     ฒ.สุพรรณ   





       พระสมเด็จปรกโพธิ์ที่มีรูปนางพระธรณีบีบมวยผม และสมเด็จปรกโพธิ์หลังมียันต์ ของหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร ท่านเคยพูดว่า ได้แก่ตอนพระพุทธเจ้าเรียกนางแม่ธรณี มาช่วยผจญมาร พระพิมพ์นี้ใครมีไว้บูชาจะค้าขายดี จะร่มเย็นเป็นสุขและจะร่ำรวย ถึงจะมีคนอิจฉาริษยาเรา ก็จะสู้เราไม่ได้เลย แม้ใครจะคิดทำร้ายเราก็จะแพ้ภัยตัวเอง ทำร้ายเรามิได้เลย ใครที่มีพระสมเด็จรุ่นนี้ ขอให้เก็บรักษาไว้ให้ดีอย่าให้ผู้อื่นเสียหมด ต่อไปจะเสียใจ แม้ท่านเป็นถ้อยเป็นความกับผู้อื่น หรือมีศัตรู เวลาอาราธนาพระติดตัว จงอาราธนาพระพิมพ์นี้ด้วยพระคาถา อัญเชิญพระแม่ธรณีให้มาช่วย คาถานี้ว่าดังนี้ “โพ อะ วะ นิ ตะ ละ” ๓ จบ แล้วท่านก็เอาติดตัวไป จะซื้อง่ายขายคล่อง ศัตรูจะไม่อาจทำอันตรายต่อท่านได้เลย เพราะท่านมีพระแม่ธรณีรักษา พระแม่ธรณีนี้เป็นเทพผู้รักษาแผ่นดิน ใครจะไปใครจะมา ก็ต้องเดินบนแผ่นดินมาทั้งนั้น ไม่ได้เหาะเหินเดินอากาศมา ก็จบคำพูดของหมอเฉลียวไว้เท่านี้ ขอบคุณมากอุตส่าห์ให้คาถาเรียกพระแม่ธรณีมา แม้จะเขียนให้มาเป็นภาษาขอมก็ยังต้องขอบคุณอยู่ดี พระคาถานี้หลวงพ่อได้เขียนเอาไว้ในตำราการทำน้ำมนต์ชนะศัตรู หลวงพ่อเขียนไว้ว่า ใช้คาถานี้เรียกนางแม่ธรณีให้มาช่วย ถ้าไม่มาอกแตกตาย 


   “โพ อะ วะ นิ ตะ ละ”


       ต่อไปเป็นคาถาชื่อ มนต์ธรณีปริตร หรือ มนต์พระแม่ธรณี บางคนเรียกคาถานี้ว่า “คาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร” ใช้ทำน้ำมนต์รดอาบจะชนะศัตรูพระคาถานี้ให้ท่องบ่นหลังจากบอกเล่าอัญเชิญพระแม่ธรณีแล้ว ๓ จบ คาถานี้ถ้าจะทำน้ำมนต์ ต้องกล่าวคาถาชุมนุมเทวดาก่อน คาถานี้ขณะที่ติดอยู่กับโซ่ตรวนห้ามท่องบ่น เพราะเป็นคาถามีอยู่ในตำราพิชัยสงคราม เป็นเสนียดต่อโซ่ตรวน

        พระคาถานี้มีอุปเท่ห์การใช้ดังนี้คือ ใช้ทำน้ำมนต์ชนะศัตรูได้ เขียนชื่อศัตรูทำไส้เทียน ศัตรูจะแพ้ภัยได้ เขียนชื่อศัตรูใส่กระดาษเอาใส่ในก้อนข้าวเสกด้วยคาถานี้ เอาไปโยนให้สุนัขกิน สุนัขพูดไม่ได้ ศัตรูจะแพ้เรา เขียนชื่อศัตรูลงบนแผ่นอิฐเสกด้วยคาถานี้ เอาอิฐไปถ่วงน้ำ ศัตรูจะพูดไม่ออกจะแพ้เรา คาถานี้ทำน้ำมนต์รดไล่ผี ผีอยู่มิได้ อุปเท่ห์การใช้พระคาถานี้ยังมีอีก ๑ ใน ๑๐ ส่วน ผมไม่อาจถ่ายทอดออกไปได้หมด เพราะเป็นมนต์มืด หรือไสย์ดำ เพราะในตำราเล่มใหญ่ที่ผมลักเรียนมายังได้พูดไว้ว่า ห้ามถ่ายทอดกับศิษย์ฆราวาส ฉะนั้นอุปเท่ห์การใช้จึงถ่ายทอดให้ไว้ได้เพียงนี้ แต่ตัวคาถานี้ให้ไว้ทุกตัวอักษร คาถานี้ใครได้ไว้ขอให้รักษาให้ดี ใครที่จะเรียนเอาไว้ให้จุดธูป ๙ ดอก บอกเล่าหลวงพ่อก่อน ให้หารูปหลวงพ่อไว้บูชาด้วย พระคาถาว่าดังนี้

   “ตัสสา เกสีสะโต ยะถาคังคา โลตัง ปะวัตตันติ มาระเสนา ปะติฐฐาตุง อะสักโกนโต ปะลายิงสุ ปะระมิตา นุภาเวนะ มาระเสนะ ปะราชิตา ทิโสทิสัง ปะลายันติ วิทังเสนติ อะเสละโต”
 



       พระคาถานี้ใครที่ไม่มีพระปรกโพธิ์ก็ใช้ได้ แต่ถ้ามีพระปรกโพธิ์ประกอบในการทำน้ำมนต์ยิ่งจะดีใหญ่ กรุณาอย่าถามถึงอุปเท่ห์การใช้ ส่วนที่ขาดไป เพราะผมจะไม่ตอบท่าน เดี๋ยวจะว่าผมไม่เกรงใจไม่ได้ คาถานี้ถ้าจะทำน้ำมนต์ หรือทำไส้เทียนต้องชุมนุมเทวดาก่อน ถ้าภาวนาขณะมีคดีความจะชนะศัตรู แต่ห้ามภาวนาหรือท่องบ่นขณะมีโซ่ตรวนติดอยู่ เพราะพระคาถานี้เป็นคาถาที่มีอยู่ในตำราพิชัยสงคราม ทุกบทจะเป็นเสนียดต่อโซ่ตรวน

     นับถือ

     ฒ.สุพรรณ   




หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 09, 2012, 02:31:40 pm
ตอนนี้ยังไม่มีความสามารถที่จะหาปรกโพธิ์ ๙ ใบ ของหลวงพ่อมาบูชาได้ ผผมจึงขอแค่ปี ๓๙ มาบูชาก่อน เผื่ออนาคตน่าจะได้ของที่หลวงพ่อทำเองกับมือมาบูชา

http://uauction2.uamulet.com/AuctionDetail.aspx?bid=272&qid=28929 (http://uauction2.uamulet.com/AuctionDetail.aspx?bid=272&qid=28929)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 09, 2012, 09:31:30 pm
    ปลงอายุสังขาร

      ต่อไปเป็นเรื่องของหลวงพ่อ ก่อนที่หลวงพ่อจะมรณภาพ ก่อนงานฝังลูกนิมิต พ.ศ.๒๕๒๑ ทางคณะกรรมการวัดได้ประชุมปรึกษาหารือเรื่องงานกันมาก มาที่กุฏิหลวงพ่อบ่อย ๆ เพราะเป็นงานใหญ่ ต้องมีการวางแผนงาน มีการปลูกสร้างกองอำนวยการ เพื่อขายดอกไม้ ธูปเทียน และจำหน่ายวัตถุมงคล มีการเตรียมงานก่อสร้างกุฏิหลวงพ่อขึ้นใหม่ชื่อตึก ชุตินฺธโร มีหมายกำหนดการรื้อกุฏิเก่าของหลวงพ่อออก เพื่อให้หลวงพ่ออยู่กุฏิใหม่ให้สมเกียรติ โดยมีการประชุมกันทั้งเงียบ ๆ และเปิดเผย

      แต่ไม่ค่อยมีใครเข้าใจในตัวท่าน ท่านได้ถามกรรมการวัดใกล้ชิดคนหนึ่งว่า “เขาจะรื้อกุฏิกูออกหรือ แล้วเขาจะให้กูไปอยู่กุฏิปูนหรือ” กรรมการวัดก็ตอบ “ครับ” ท่านได้พูดว่า “กูไม่ค่อยชอบปูน ปูนมันเย็นตีน” แล้วท่านได้พูดว่า “เขาจะหล่อรูปกูหรือ” กรรมการวัดได้ตอบว่า “ครับ” แล้วท่านก็หัวร่อหึหึ คือหลวงพ่อเป็นพระที่แปลก ถ้าท่านหัวร่อหึหึ ฟังชอบกลล่ะก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก แม้ท่านจะไม่ใช่พระปฏิบัติ แต่ท่านก็เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ท่านถือธุดงควัตร คือ ฉันครั้งเดียว แม้เวลาท่านจำวัด(นอน) ท่านยังเอากะลามาหนุนศีรษะ ถ้าท่านพลิกตก ท่านก็จะตื่นขึ้นมาภาวนาทันทีในกุฏิ ท่านจะจุดธูป เทียนเอาไว้ตลอดเวลา เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า

       เรื่องกุฏิท่าน เมื่อกรรมการวัดเขาจะรื้อ ท่านก็ไม่พูด ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่อยากไปอยู่กุฏิปูน กุฏิเก่าท่านเป็นไม้ ท่านเคยอยู่มานาน ท่านลงอาถรรพณ์เอาไว้ ขนาดยุงยังเข้าไม่ได้ ถ้าเป็นคนธรรมดาก็คือต้องมีการอาลัยอาวรณ์ในบ้านหลังเก่า แล้วเรื่องหล่อรูปท่านก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย การสร้างรูปหล่อแทนองค์ เขานิยมทำกันต่อเมื่อมรณภาพไปแล้ว ฉะนั้นการสร้างรูปหล่อท่านขึ้น เหมือนเป็นการสร้างตัวแทนท่าน รู้สึกท่านไม่ชอบ ใจ แต่ท่านก็ไม่พูดอะไร ท่านได้แต่พูดว่าเมื่อฝังลูกนิมิตเสร็จแล้ว ท่านก็จะไปแล้ว ทางศิษย์ก็ใจคอไม่ดี คือท่านจะมรณภาพก่อนสร้างรูปหล่อ ฝังลูกนิมิต พ.ศ.๒๕๒๑ สร้างรูปหล่อ พ.ศ.๒๕๒๒ คณะกรรมการต่างก็รู้ดี ในคืนฝังลูกนิมิต คืนสุดท้ายทางศิษย์ได้จัดดอกไม้ธูปเทียน เข้าไปกราบท่านขอให้ท่านเลื่อนวันมรณภาพออกไป เพราะศาลายังไม่ได้สร้าง ถ้าสิ้นหลวงพ่อไปแล้วใครจะสร้างได้ ได้ขอร้องอยู่นาน และได้นิมนต์ท่านขึ้นรถขี่ออกไปให้ไกลจากเสียงปี่เสียงกลองในคืนสุดท้าย ท่านเห็นกับศิษย์ ท่านได้ตอบว่าก็ได้ แม้เมื่อสร้างศาลาขนาดใหญ่ ท่านยังสั่งเร่งให้สร้างให้เสร็จภายในเวลา ๖ เดือน คืนที่ไปท่านได้มาจำวัดที่วัดหนองอีดุก เมื่อท่านกลับมาท่านได้เล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ท่านไปจำวัดที่หนองอีดุก ไม่ได้หลับได้นอนเลย เปรตบ้าง ผีบ้าง มาขอส่วนบุญท่านเต็มศาลาไปหมด ที่ลอยอยู่บนอากาศก็มี(เข้าใจว่าเป็นเทวดา)

      ในปี พ.ศ.๒๕๒๑ – ๒๕๒๒ ทางวัดได้สร้างศาลา สร้างรูปหล่อขนาดใหญ่เท่าองค์จริง วันหนึ่งเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๒๒ ท่านได้เรียกหลวงตาสมานเข้าไปหา คุยไปคุยมา ท่านหยิบกระดาษส่งให้หลวงตาสมาน ๑ แผ่น มีเลขเต็มไปหมด หลวงตาสมานนึกว่าเป็นตำราเลขล็อคเลยแอบเก็บไว้ ตอนหลังไปอ่านดูเป็นดวงชะตาของหลวงพ่อ ท่านได้กำหนดวันมรณภาพของท่านวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๒ เวลา ๗ นาฬิกา ๕๕ นาที ตอนเช้า พร้อมทั้งมีกำหนดวันที่ท่านล้มป่วยเอาไว้ด้วย เป็นเวลา ๑ เดือน วันที่ท่านป่วยท่านวงไว้เป็นตัวสีน้ำเงิน วันมรณภาพท่านวงไว้ด้วยสีแดง ภายหลังได้มาดูที่ปฏิทิน ท่านก็วงไว้เช่นกัน

      ในคืนวันที่ ๑๑ คนมาเยี่ยมท่านมาก คอยจนจะสว่างท่านก็ไม่มรณภาพ ท่านไม่พูด นาน ๆ จะลืมตาสักครั้ง พูดรู้เรื่องหมดทุกอย่าง สั่งเอาไว้หมดทุกอย่าง ท่านภาวนาอย่างเดียว แต่ลมหายใจอ่อนมาก ศิษย์รักท่านมากก็จริง แต่รู้ว่าท่านต้องมรณภาพแน่ ๆ เพราะท่านผอมมากไม่มีกำลัง ศิษย์เก่า ๆ คิดได้ว่าในกุฏิของท่านนั้นครูท่าน คือ อาจารย์ท่าน ตลอดจนตำรายันต์ท่าน ท่านเคยพูดว่าครูท่านแรงมาก คือตำรายันต์และรูปอาจารย์ หรือท่านอยู่ที่กุฏิท่าน จะไม่มีใครกล้ามารับท่าน จึงได้ปรึกษากันอยากให้ท่านไปดี จึงได้อุ้มท่านออกมานอนที่หอสวดมนต์ พอจัดที่ให้ท่านนอนที่หอสวดมนต์เรียบร้อย เวลา ๗.๕๕ น. ของวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๒ ลมหายใจท่านก็ขาดหายไป อัศจรรย์คือระฆังที่หอระฆัง ระฆังใบใหญ่มาก ได้ขาดลงมา แล้วมีเสียงดัง หง่างๆๆๆๆๆๆ ดังยาวนานเป็นทอดๆ คนที่ศาลา กำลังเตรียมงานร้องไห้โฮ ไม่รู้ว่าเขารู้ได้อย่างไรว่า หลวงพ่อมรณภาพ หมาในวัดร้องโหยหวน ศิษย์หลายคนที่คล้องพระท่านอยู่สายสร้อยหล่นขาดลงมา เวลา ๘ นาฬิกา คนมาวัดเต็มไปหมด มืดฟ้ามัวดิน หอสวดมนต์แทบพัง

     เรื่องระฆังขาดนี้นับว่าอัศจรรย์มากเพราะโซ่ขนาดใหญ่ เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว ทางกรรมการวัดได้รื้อกุฏิเก่าท่านเอาไปทำโรงครัว ที่ท้ายศาลาหลังใหญ่ จะรื้อให้ได้ นับว่าปัญญานิ่มจริง ๆ และที่กุฏิเก่าที่รื้อมาไปทำโรงครัว ไม่ค่อยมีใครกล้านอนค้างคืน เพราะพอตกกลางคืน ท่านมักมาปรากฏตัวให้เห็น คนมักเห็นท่านมาเดินจงกลม หรือนั่งสมาธิที่โรงครัวกุฏิท่านเสมอ     

     นับถือ

     ฒ.สุพรรณ   

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ สิงหาคม 11, 2012, 10:26:18 pm
ผมไล่อ่านบทความพี่หมดแล้ว ทำให้ผมศรัทธาท่านยิ่งๆขึ้น
ผมคิดเสมอครับว่าเราไม่หลงลืมท่าน ท่านไม่ทิ้งเรา
 ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 14, 2012, 12:25:08 pm
มีศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งชื่อบุญยัง บ้านอยู่สิงห์บุรี เคยมากราบหลวงพ่อตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม ๆ เคยได้พระของหลวงพ่อไปหลายแบบ เมื่อมีภรรยาก็ไปประกอบอาชีพบ้านภรรยา ที่จังหวัดนครสวรรค์ อาชีพค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นครอบครัวที่ยากจน ประกอบอาชีพมาหลายปีมีแต่พอกับไม่พอเลี้ยงครอบครัวเท่านั้น ภายหลังอดอยากแล้งแค้น มีหนี้สินรุงรัง กลุ้มอกกลุ้มใจไม่รู้จะทำอย่างไร เที่ยวได้ไปหาหลวงพ่อองค์นั้นองค์นี้รดน้ำมนต์ก็ไม่มีผลอะไร อยู่มาวันหนึ่งได้ระลึกถึงหลวงพ่อกวยได้ แต่หลวงพ่อก็มามรณภาพเสียแล้ว จำได้ว่าเคยมีวัตถุมงคลของหลวงพ่อหลายอย่างจะลอง ๆ เอามาทำน้ำมนต์และอาราธนาติดตัว แต่เมื่อค้นดูปรากฏว่าไม่มีเลย ได้เอาให้พวกหมู่ไปจนหมดเพราะไม่ได้สนใจมานาน


มีใครเคยตกอยู่ในลักษณะเช่นนี้บ้างไหมครับ เชื่อว่า น่าจะมีอยู่ไม่น้อยนะครับ

   ความผูกพันกับความศรัทธา 

       ต่อไปจะขอเล่าอภินิหารของพระพิมพ์แหวม่านเอาไว้สัก ๑ เรื่อง เรื่องของพระเครื่องนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความผูกพัน เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องของจิตใจถ้ามีอยู่ไม่บูชาก็ไม่เกิดประโยชน์ คล้องคออยู่ไม่ระลึกถึงองค์ผู้สร้างก็ไม่เกิดประโยชน์เท่าไร ต้องผูกพันกัน คนดี พระดี จึงจะดี เรื่องนี้เป็นเรื่องอุทาหรณ์ และเปรียบเทียบ มีลูกศิษย์ของหลวงพ่ออยู่คนหนึ่งชื่อเกษม ในสมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ เวลาทางวัดมีงานประจำปีอะไรเขาจะมาช่วยเสมอ ถ้าเป็นงานบุญเขาจะมาไม่ขาดเลย เขาจะมาทำบุญกับหลวงพ่อทุกครั้ง มีน้อยทำน้อย ครั้งละสิบบาทยี่สิบบาท ตามกำลังเพราะความยากจน หลวงพ่อเห็นว่าเป็นคนดีได้แจกพระสมเด็จให้ไปแทบทุกครั้ง นายเกษมก็เอาไปเก็บไว้ไม่ได้บูชาอะไร อาชีพของแกก็รับจ้างเขากินไปวัน ๆ หนึ่ง จนกระทั่งหลวงพ่อมรณภาพ เวลาทางวัดมีงานแกก็มาทุกปี เมื่อมาก็ยังได้กราบหลวงพ่อ แต่ปีนี้ไม่มีหลวงพ่ออีกแล้ว เดินไปทางไหนก็ว้าเหว่เงียบเหงา นึกถึงความเมตตาของหลวงพ่อที่มีต่อกัน นึกไปนึกมาน้ำตาพาลจะไหลออกมาให้ได้ คิดถึงหลวงพ่อจับใจ ทำอย่างไรก็ไม่หายคิดถึง กลับไปบ้านก็ไปกราบรูปหลวงพ่อ หยิบพระท่านมาดูจะได้สบายใจ ความคิดถึงจึงได้หยิบสมเด็จพิมพ์แหวกม่านออกมากะว่าจะนำไปเลี่ยมคล้องคอ แล้วก็นำพระไปเลี่ยมไม่มีสายสร้อยก็คล้องเชือกร่ม คล้องคออยู่ได้ ๒-๓ วัน พอดีเจอกับนายบุญสมเพื่อนกัน นายบุญสมเห็นเข้าก็แหย่นายเกษมพูดทำนองว่า หมู่นี้คล้องพระเลยหรือระวังฝนจะแล้งใหญ่ แล้วถามว่า แล้วนี่สมเด็จที่ไหน สวยดี นายเกษมก็พูดตอบว่า ก็หลวงพ่อกวยไงที่เราไปกราบด้วยกัน หลวงพ่อก็ให้แกมานี่หว่า นายสมบุญก็พูดว่าเคยได้มาแต่ให้ใครไปหมดแล้ว มันหลายปีแล้วนี่ ก่อนจากกันวันนั้น นายสมบุญได้ขอเช่าพระนายเกษมโดยให้ราคา ๑๐๐ บาท แต่น่ายเกษมอ้างว่า ให้ไม่ได้เพราะมีองค์เดียว อยู่ต่อมาพระสมเด็จพิมพ์แหวกม่านมีการเช่าหากันมากขึ้น นายสมบุญเกิดอยากได้ขึ้นมา ได้เพิ่มราคาให้นายเกษมเรื่อย ๆ พร้อมทั้งติดต่อเพื่อนบ้านให้มาเปลี่ยนหน้าเช่าพระจากนายเกษมอยู่เรื่อย ๆ จนชาวบ้านรู้กันมากขึ้นว่า สมเด็จพิมพ์แหวกม่าน นั้น มีราคา มีคนอยากได้กันหลายคน ร่ำลือกันไปใหญ่โต นายเกษมซึ่งเป็นคนจนหาเช้ากินค่ำ ไปทางไหน มีแต่คนขอดูพระ เถ้าแก่คนโน้นก็ให้ราคาคนนี้ก็ให้ราคา คนโน้นก็ให้ยืมเงินคนนี้ก็ให้ยืมเงิน โดยหวังจะยึดเอาพระ นายเกษมก็ไปขอยืมเงินเขามาทำทุนค้าขาย เพราะเขาไม่คิดดอก นายเกษมค้าขายดีจะเป็นด้วยเขาเป็นคนซื่อสัตย์ สุจริต ขยันด้วย หรือเป็นเพราะพระพิมพ์แหวกม่านไม่แน่ชัด เขาค้าขายอยู่ไม่นานก็มีเงินเป็นแสนฝากธนาคาร พระพิมพ์แหวกม่านก็เลี่ยมทองใส่สายทอง

        เรื่องนี้ก็เล่าให้ฟังเป็นเรื่องจริง เขาเป็นคนสรรคบุรี เป็นเรื่องน่าคิดเขาได้พระนี้มาหลายปี แต่ทำไมเพิ่งมารวย และนายบุญสมก็ได้มาเช่นกันทำไมไม่รวย ทั้ง ๆ ที่เขาก็เคยทำบุญกับหลวงพ่อคนละ ๑๐ บาท ๒๐ บาท เช่นกัน

         อีกเรื่องหนึ่ง ตอนนั้นลุงคลี่ ยิ้มจันทร์ บ้านอยู่บ้านคู เป็นลูกเขยพ่อแก่อุ้ยซึ่งเคยตีมีดให้หลวงพ่อทั้ง ๒ คน ลุงคลี่เคยเป็นเด็กวัดรับใช้หลวงพ่อ ลุงคลี่กับเพื่อนเล่นกันอยู่ใต้ถุนกุฏิ หลวงพ่อได้โผล่หน้าต่างออกมา หลวงพ่อพูดว่า “เฮ้ย พวกมึงจะเอาพระกันบ้างไหม” เด็กวัดก็ตอบด้วยความดีใจว่า เอา หลวงพ่อหยิบถาดออกมาที่หน้าต่าง แล้วสาดลงมาด้านล่าง เป็นพระองค์เล็กองค์น้อยเต็มไปหมด องค์ขนาดเม็ดน้อยหน่าก็มี ดำ ๆ ขาว ๆ เมื่อเด็กวัดแย่งพระกัน บ้างก็ได้กำหนึ่ง บ้างก็สองกำ บ้างก็ใส่กระเป๋าเสื้อ เมื่อพระหมดแล้ว เด็ก ๆ ก็เอาพระมาดู มาอวดกัน ผลคือเป็นขี้แมวทั้งหมด ไม่รู้ว่าหลวงพ่อทำอย่างไร ทำให้เห็นขี้แมวเป็นพระ คือตอนนั้นท่านเลี้ยงแมวอยู่ แมวจะขี้ใส่ถาด ในถาดมีขี้เถ้าอยู่ พอเด็กวัดรู้ว่าหลวงพ่อหลอก ก็หัวร่อกันใหญ่ พอดีท่านโผล่หน้าต่างออกมา ในมือถือถาด แล้วท่านก็สาดลงมาใหม่ เป็นพระเช่นกัน คราวนี้เด็กวัดแหยง ๆ กลัวจะเป็นขี้แมวอีก ลุงคลี่หยิบมา ๑ องค์ ไม่แย่งกับใคร เพราะกลัวเป็นขี้แมว ปรากฎว่าไม่เป็น ผมได้ถามว่าพระองค์นั้นยังอยู่หรือไม่ เขาหยิบให้ดูเป็นพระสมเด็จสีขาวองค์เล็ก ๆ หน้าตาถลอกกะเทาะออกหมดเลย เพราะเก็บรักษาไม่ดี เขาบอกว่านี่ไงสมเด็จรุ่นขี้แมว เขาตั้งชื่อรุ่นเอาเองผมเห็นเข้าเลยขอมา เพราะพระนั้นเป็นสมเด็จพิมพ์แหวกม่านนั่นเอง พระองค์นั้นเข้าใจว่า ปัจจุบันอยู่กับคุณละเอียด เพชรลอม เรื่องนี้ก็เล่าให้ฟังแปลกดี ปัจจุบันพระสมเด็จพิมพ์นี้มีปลอม ไม่เหมือนนัก

        หมายเหตุ พระแหวกม่านพิมพ์นิยม เท่าที่พบมีทั้งชนิดมีเม็ดไข่ปลารอบ ๆ ตรงริม และไม่มีเม็ดไข่ปลา พระทั้ง ๒ พิมพ์นี้สร้างพร้อมกันครั้งแรก ส่วนพิมพ์ทรงเจดีย์หรือยันต์นั้น บางคนก็เรียกว่าพิมพ์แหวกม่านหลังยันต์ พิมพ์แหวกม่านนี้เคยพบชนิดที่เป็นเนื้อดินก็มี มีทั้งชนิดมีเม็ดไข่ปลา และชนิดไม่มีเม็ดไข่ปลา แหวกม่านพิมพ์ใหญ่อาจารย์ไพ่ อยู่วัดหนองอีดุก แกะพิมพ์ถวาย ส่วนพิมพ์เดิมหลวงพ่อได้ถอดพิมพ์จากพระสมเด็จของอาจารย์ถมยา คืออาจารย์ถมยานี้ไม่ทราบว่าอยู่วัดใด หมอเฉลียว เดชมา เป็นผู้ให้ข้อมูล

     นับถือ

     ฒ.สุพรรณ   


หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 14, 2012, 03:33:02 pm
ตอนนี้ยังไม่มีความสามารถที่จะหาปรกโพธิ์ ๙ ใบ ของหลวงพ่อมาบูชาได้ ผผมจึงขอแค่ปี ๓๙ มาบูชาก่อน เผื่ออนาคตน่าจะได้ของที่หลวงพ่อทำเองกับมือมาบูชา

http://uauction2.uamulet.com/AuctionDetail.aspx?bid=272&qid=28929 (http://uauction2.uamulet.com/AuctionDetail.aspx?bid=272&qid=28929)

เห็นเขาคุยกันเรื่องพระปรกโพธิ์ ๙ ใบ ปี ๓๙ แล้วก็อยากมีกับเขาบ้าง และก็ได้มาดั่งใจนึก รวดเร็วทันใจดีแท้ พลันที่พระสมเด็จพิมพ์ปรกโพธิ์ ๙ ใบ ปี ๓๙ เดินทางมาถึง (ไม่มีกล่อง แต่ด้านหลังปั๊มตรายาง) ก็ส่องซะชื่นใจ เนื้อหนักแน่นละเอียดเนียนสวยมาก ส่องไปเรื่อย ๆ ก็พบพลอยหลากสีประปรายทั่วองค์พระ ชอบใจก็ตรงพลอยด้วยเช่นกัน สุดท้ายผมก็มีรุ่นย้อนยุคปี ๓๙ เอาไว้บูชาสมใจนึก

http://uauction2.uamulet.com/AuctionDetail.aspx?bid=272&qid=28929 (http://uauction2.uamulet.com/AuctionDetail.aspx?bid=272&qid=28929)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ สิงหาคม 14, 2012, 04:56:51 pm
:) :) :) :) :)
สวัสดีพี่วีรวัฒน์ ขอบคุณมากครับสำหรับบทความ ยิ่งอ่าน ยิ่งเพิ่มศรัทธาแล้วความเชื่อมั่นขึ้นไปเรื่อยๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ สิงหาคม 14, 2012, 07:26:35 pm
ขอบคุณพี่วีรวัฒน์ที่นำเรื่องราวมาบรรยายให้น้องๆๆฟังครับชอบมากครับไว้มาเล่าใหม่นะครับ ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 15, 2012, 08:59:34 am
      เหรียญรุ่นสุดท้าย

         อีกเรื่องหนึ่งลุงชม คนสามเอกติดต่อหนองบอน ได้มาปิดทองฝังลูกนิมิตตอนกลางวัน แดดก็ร้อน ขากลับได้แวะที่หนองแขมเพราะอากาศร้อน ขณะกำลังพักมีคนมาถามว่า เช่าอะไรมาบ้าง ลุงชมก็ตอบว่า เช่าเหรียญทองแดงมา ๑ องค์ เหรียญหนุมานมา ๑ องค์ นายระเบียบก็ถามว่า จะขอลองได้ไหม ลุงชมเลยหยิบให้ลองดูโดยให้ลองเหรียญทองแดง คือกลัวว่าเหรียญหนุมานถ้าออกจะเสียของเพราะเช่ามาแพง เลยให้ลองเหรียญทองแดง นายระเบียบได้ทดลองยิง ๒ นัดไม่ออกเช่นกัน พอตกเย็นคนสามเอก หนองแขม หนองปลาดุก หนองบอน เดินกันมาเช่าของเต็มถนนไปหมด

          อีกเรื่องหนึ่ง นายเกลี้ยงได้ไปทำงานที่ตลาดอ่างทองไปกันหลายคน ลุงเกลี้ยงเป็นคนหนองหิน อ.สรรคบุรี นายชาติคนหนองหินคนหนึ่งได้ไปทำงานเช่นกัน เกิดเขม่นกันกับเจ้าถิ่น วันเกิดเหตุเกิดในตลาดเลย เจ้าถิ่นได้ล็อคคอนายชาติแล้วยิง ปัง ปัง ๒ นัด กลางตลาดเลย นายชาติทรุดฮวบลงไป มือปืนหนีตามระเบียบ คนเต็มไปหมด นายเกลี้ยงได้เข้าไปดูตัวนายชาติคิดว่าตายแล้ว ปรากฏว่าเสื้อขาดเฉย ๆ คนขอดูเหรียญกันเต็มตลาดไปหมด นายเกลี้ยงเขาเป็นคนมีอายุมากหน่อย ฉลาดรอบตัว ได้นำเหรียญรุ่นนี้ไปจำหน่ายในราคา ๔๐๐-๕๐๐ บาท ปีนั้นทั้งปีไม่ต้องทำนา จำหน่ายเหรียญรุ่นนี้ได้ไปหลายหมื่นบาท

           วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๓๓ นายยอด แซ่อึ้ง คนหัวเด่น ติดกับบ้านแค วัดหลวงพ่อ ได้ขี่จักรยานยนต์ไปกับหลาน ๒ คน จะไปธุระที่ใกล้วัดใหม่ ขากลับมีรถไถนาวิ่งสวนมาฝุ่นเต็มถนน มองอะไรไม่เห็น พอดีรถปิคอัพยี่ห้อมิตซูบิชิวิ่งสวนมาด้วยความเร็วสูง ได้ชนรถจักรยานยนต์ของนายยอด รถกระเด็นเละเลย หลาน ๒ คนตายทันที นายยอดสลบไป ไปฟื้นที่โรงพยาบาลหมอประเจิดสิงห์บุรี หมอบอกสงสัยไม่รอดเพราะช้ำในมาก เนื้อตัวไม่ถลอกเลย แต่พอฟื้นแล้วเมื่อตรวจดูก็ไม่เป็นอะไร กลับบ้านได้ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก นายยอดใช้เหรียญหนุมาน กับ แหวนนิ้ว ๑ วงเท่านั้น เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้ประจำ เขานับถือมาก

         อีกเรื่องหนึ่ง คุณสมชาย อภินันทาภรณ์ มีเหรียญหนุมาน ๑ เหรียญ ปลัดปรอท ๑ ตัว ไปกับเพื่อน ๒ คน เพื่อนเป็นจิ๊กโก๋ห้วยขวางสักทั้งตัว เขาว่าหนังเหนียวมาก ไปนั่งกินอาหารที่ห้องอาหารห้วยขวาง เจอวัยรุ่น ๗ คนเกิดไม่พอใจกันขึ้น ได้มีการชกต่อยตีกันขึ้น ๒ ต่อ ๗ เพื่อนคุณสมชายสักทั้งตัวเลือดทั้งตัวเช่นกัน แต่คุณสมชายโดนรุมตีไม่แตก ไม่มีเลือดเลย พอดีตำรวจมาจับได้ ไปตกลงกันที่เขตห้วยขวาง ฝ่ายที่รุมตีคุณสมชายกับเพื่อนได้ชดใช้ค่าทำขวัญให้ ๑๒,๐๐๐ บาท คุณสมชายเลยแบ่งกับเพื่อนคนละครึ่ง เงิน ๕,๐๐๐ บาทเอาไปซื้อสร้อยคล้องเหรียญหนุมาน เงิน ๑,๐๐๐ บาทเอาไปเลี่ยมปลัด

           อีกเรื่องหนึ่ง นายเทียบ กับนายชาย เป็นคนบ้านหัวเด่น อ.สรรคบุรี ได้ดื่มเหล้าวงเดียวกัน เกิดขัดคอกันกลางวงเหล้า นายเทียบได้ชกนายชายก่อน นายชายเลยกลับบ้านไป อีกสักพักหนึ่งนายเทียบนึกขึ้นได้ว่าทำผิดไป คือชกเพื่อนรุนแรงไปแล้ว เลยตามไปบ้านนายชายเพื่อปรับความเข้าใจกัน คือขอโทษ พอนายเทียบมาบ้านนายชาย นายชายคิดว่านายเทียบจะมาต่อยต่อคงคิดว่ายังไม่หายมัน นายชายคิดว่าจะมากไป เลยหยิบมีดพกมาข้างหลัง พอมาถึงก็ฟันนายเทียบ นายชายได้ฟันนายเทียบหลายแห่ง นายเทียบได้วิ่งหนีไป ผลคือไม่เข้าเลย ในตัวนายเทียบคล้องเหรียญทองแดงหลังยันต์เหรียญเดียว

            อีกเรื่องหนึ่ง นายมานิตย์ ยิ้มจู บ้านอยู่หนองแขม จ.ชัยนาท อ.สรรคบุรี ไปทำงานที่พระประแดง จ.สมุทรปราการ ครั้งหนึ่งไปทานอาหารเข้าใจว่าเหล้าด้วย ที่พระประแดง มีวัยรุ่นเจ้าถิ่นมาหาเรื่อง เกิดชกต่อยกันขึ้น วัยรุ่นเจ้าถิ่นสู้นายมานิตย์ไม่ได้ถูกต่อยล้มลงไป วัยรุ่นคนนั้นได้ชักปืนมายิงนายมานิตย์ ๑ นัด นายมานิตย์ล้มลงไปวัยรุ่นวิ่งหนี ไทยมุงเต็มไปหมด นายมานิตย์ยืนขึ้นดูที่อกไม่เป็นอะไร เสื้อขาด ๑ รู ไม่เข้า นายมานิตย์คล้องเหรียญหนุมานยกธงรบเพียงเหรียญเดียว

          อีกเรื่องหนึ่ง คุณสามารถ หมวกอิ่ม เป็นคนเดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เขาขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า ขนาด ๑๕๐ ซีซี รุ่นเก่าคันใหญ่ ขี่มาที่ตลาดอำเภอหันคา ชัยนาท ด้วยความเร็วสูง ได้วิ่งชนรถอีแต๋น รถอีแต๋นนี่เป็นรถไถนานำมาติดกับลี่ใช้บรรทุกของ รถอีแต๋นก็วิ่งมาด้วยความเร็ว ปรากฏว่ารถอีแต๋นวิ่งตัดหน้า คุณสามารถได้บีบแตรและเบรกแต่เบรกไม่อยู่ เขาระลึกถึงหลวงพ่อกวยให้ช่วย หลวงพ่อก็อยู่ไกลไม่รู้จะช่วยได้อย่างไรท่านไม่ได้เป็นคนขับด้วย ปรากฏว่ารถคุณสามารถวิ่งชนรถอีแต๋นด้วยความแรงมาก แรงขนาดข้อต่อลี่ขาดเลย คุณสามารถกระเด็นไปข้างทางไม่เป็นอะไรเลย แต่รถเละใช้ไม่ได้เลย คุณสามารถศรัทธาหลวงพ่อมาก เขาคล้องเหรียญหนุมานยกธงรบ อันเดียว เขาได้มาบวชให้หลวงพ่อที่วัด ๑ เดือน ผมเคยถ่ายรูปเขาไว้ ถ่ายรูปคู่นายปาน ศิษย์ของหลวงพ่อ

           อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องเปรียบเทียบ คุณสุทธิวรรณ ปั้นสน บ้านอยู่หนองแขม ใกล้วัดหนองแขม นามสกุลเดียวกับหลวงพ่อ ถ้าจำไม่ผิดอาจจะเป็นน้องสาวท่านอาจารย์สำรวย ได้ไปทัศนศึกษาที่ภาคเหนือ ขณะที่รถวิ่งอยู่บนดอยตุง จ.เชียงราย ความที่คนขับรถทัศนศึกษาไม่ชำนาญทาง ได้ตกลงเหว บนดอยตุง คุณสุทธิวรรณได้ระลึกถึงหลวงพ่อร้องสุดเสียงเลย ปรากฏว่ารถตกลงไปด้านล่างด้วยความแรงมาก คนตายและบาดเจ็บเต็มไปหมด มีเพียงคุณสุทธิวรรณเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ไม่สลบด้วย ในคอเขาคล้องเหรียญทองแดงโล่เพียงอันเดียว ดอยตุงนี้สูงมาก รถที่ตกลงไปด้านล่าง คนโอกาสรอดชีวิตมีน้อยมาก มีไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์

           ก็ขอสมมุติยุติจบเรื่องเหรียญรุ่นสุดท้ายไว้เพียงนี้ เหรียญรุ่นนี้หลังงานฝังลูกนิมิตยังมีเหลืออยู่มากทีเดียว ก่อนหลวงพ่อจะมรณภาพ หลวงพ่อได้ปลุกเสกเหรียญรุ่นนี้ไว้ให้ยาวนานเหมือนเป็นการสั่งลา และมอบสิ่งที่ดีให้ศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย ปัจจุบันที่วัดยังมีเหลือตกค้างอยู่ มีทั้งชนิดทองแดงโล่ และอัลปาก้าโล่ ผมรับประกันให้ สำหรับวันนี้อภินิหารมีมากนำมาเล่าไม่หมด เอาเฉพาะอภินิหารที่ชัดแจ้งเท่านั้น

  หมายเหตุ     เรื่องของหลวงพ่อนี้ มีอภินิหารที่เด็ดขาดและมีมาก มีหลายคนไม่เชื่อ สงสัย บางคนคิดว่าผมเขียนเชียร์ ได้ถามผมมาว่าจริงแค่ไหน ผมได้ตอบเขาไปว่า ถ้าผมตอบว่าจริงคุณก็คงไม่เชื่อ เพราะคุณเป็นคนสงสัย อีกอย่างหนึ่งคุณจะมาเชื่อผมได้อย่างไร ผมเป็นใครมาแต่ไหนคุณก็ไม่รู้ ทำไมคุณไม่มาวัด มาสืบดูล่ะ ว่าเรื่องที่ผมเขียนน่ะจริงแค่ไหน เช่น เรื่องของนายนบ เจียมพลับ ที่ต่อสู้กับคน ๓ คน ปืน ๓ กระบอก ยิงไม่ออกเลยแม้นัดเดียว ไม่ออกเลยสักกระบอก บ้านเขาก็อยู่ไม่ไกลวัด เรื่องคุณลุงเมือง มั่นปาน ที่โดนยิงนับครั้งไม่ถ้วน ไม่เข้าเลยมีรอยลูกปืนเต็มตัวไปหมด บ้านเขาก็อยู่ไม่ไกล เรื่องของกำนันหิ้ง เรื่องของคนตาบอด แขนด้วน ขาด้วน ปืนแตก ฯลฯ มีให้สอบถามรอบ ๆ วัดมากมาย ให้มาถามเขาดูดีกว่าที่จะมาถามผมว่าจริงหรือไม่จริง เรื่องที่ผ่านมาแล้วแต่คนเห็นเหตุการณ์ยังอยู่ หลาย ๆ เรื่องเราก็นำมาพิจารณาดูว่า ควรจะเชื่อได้หรือไม่ได้ บางคนอาจไม่เชื่อเพราะไม่เห็นกับตา ถ้าอย่างนั้นก็เรียนประวัติศาสตร์ไม่ได้ เรียนโบราณคดีไม่ได้ มีบางคนได้มาคุยกับผม คือเขาไม่เชื่อเพราะไม่เห็นกับตา ผมได้ถามเขาไปว่าคุณรู้ได้อย่างไรว่าคุณเป็นลูกแท้ ๆ ของพ่อแม่คุณ ผมสงสัยว่าคุณจะเป็นเด็กวัดสระแก้ว คุณรู้ได้อย่างไรเพราะตอนคุณเกิดคุณก็จำความไม่ได้ เขานั่งอึ้งไป ผมก็ตอบเขาไปว่า เราก็พิจารณาจากเหตุผลหลาย ๆ อย่าง เช่น รูปร่าง ความห่วงใย ข้อมูลหลาย ๆ อย่าง เรื่องนี้ไม่มีอะไร ผมเล่าให้ฟังเปรียบเทียบเฉย ๆ พอดีได้รับจดหมายของท่าน พ.ต.ท.สถาพร  นรินทรสรศักดิ์ สวญ.สภ.อ.พระประแดง เขียนมาเล่ายืนยันถึงเหรียญหนุมาน พร้อมรูปถ่ายคนถูกยิงไม่เข้า มีรูปให้ดู มีคดีอยู่บนโรงพัก ถ้าไม่เชื่ออีกผมก็จนใจ 

     นับถือ

     ฒ.สุพรรณ   
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ สิงหาคม 15, 2012, 08:16:06 pm
 ;) ;) ;) ;) ;) เยี่ยมครับ ผมเก็บไว้ได้เหรียญนึงเหรียญโล่หลังยันต์
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 16, 2012, 09:10:56 am
;) ;) ;) ;) ;) เยี่ยมครับ ผมเก็บไว้ได้เหรียญนึงเหรียญโล่หลังยันต์

ยินดีด้วยนะครับน้องโก้ เหรียญโล่หลังยัน กับเหรียญอัลปาก้าหลังหนุมาน จากประสบการณ์หลาย ๆ เรื่อง นั้น มีข้อน่าสังเกตก็คือ เหรียญหลังยันต์มักจะยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า เด่นทางมหาอุดเป็นอันมาก ส่วนหลังหนุมานส่วนใหญ่มักจะออกแต่ไม่เข้าแปลกมาก มีผู้แนะนำว่า เหรียญหลังยันต์ใช้แทนตะกรุดของหลวงพ่อได้เลยนะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ สิงหาคม 16, 2012, 09:03:21 pm
;) ;) ;) ;) ;) เยี่ยมครับ ผมเก็บไว้ได้เหรียญนึงเหรียญโล่หลังยันต์

ยินดีด้วยนะครับน้องโก้ เหรียญโล่หลังยัน กับเหรียญอัลปาก้าหลังหนุมาน จากประสบการณ์หลาย ๆ เรื่อง นั้น มีข้อน่าสังเกตก็คือ เหรียญหลังยันต์มักจะยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า เด่นทางมหาอุดเป็นอันมาก ส่วนหลังหนุมานส่วนใหญ่มักจะออกแต่ไม่เข้าแปลกมาก มีผู้แนะนำว่า เหรียญหลังยันต์ใช้แทนตะกรุดของหลวงพ่อได้เลยนะครับ
ชอบทั้ง2เหรียญเลยครับพี่วีรวัฒน์มีแต่หลังยันต์ครับยังไม่มีหลังหนุมานเลยราคาแรงครับต้องเก็บเงินนะครับพี่ เรื่องเล่าประสบการณ์สุดยอดทุกเรื่องเลยครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 17, 2012, 08:30:14 am
;) ;) ;) ;) ;) เยี่ยมครับ ผมเก็บไว้ได้เหรียญนึงเหรียญโล่หลังยันต์

ยินดีด้วยนะครับน้องโก้ เหรียญโล่หลังยัน กับเหรียญอัลปาก้าหลังหนุมาน จากประสบการณ์หลาย ๆ เรื่อง นั้น มีข้อน่าสังเกตก็คือ เหรียญหลังยันต์มักจะยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า เด่นทางมหาอุดเป็นอันมาก ส่วนหลังหนุมานส่วนใหญ่มักจะออกแต่ไม่เข้าแปลกมาก มีผู้แนะนำว่า เหรียญหลังยันต์ใช้แทนตะกรุดของหลวงพ่อได้เลยนะครับ
ชอบทั้ง2เหรียญเลยครับพี่วีรวัฒน์มีแต่หลังยันต์ครับยังไม่มีหลังหนุมานเลยราคาแรงครับต้องเก็บเงินนะครับพี่ เรื่องเล่าประสบการณ์สุดยอดทุกเรื่องเลยครับ

ถ้าชอบแล้วจะทยอยเขียนมาเล่าให้ฟังเรื่อย ๆ ครับ และอีกประการหนึ่งบทความเก่า ๆ เหล่านี้อาจจะมีประโยชน์ต่อศิษย์รุ่นหลังที่ยังไม่เคยอ่านครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 17, 2012, 10:01:33 am
       ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒๓๕
วันที่ ๒๕ เม.ย. – ๕ พ.ค.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


๓.วันที่ ๒๘ – ๒๙ ส.ค. ผมไปบ้านเพื่อนที่โคราช เจอพ่อเพื่อนผมโดนเมียน้อยทำของเขมรใส่ของแรงมาก เป็นผีตายท้องกลม กลางคืนทุกคนในบ้านนอนไม่หลับเลย นั่งจับเข่าคุยกันจนสว่าง ขวัญผวาเพราะความกลัวกลิ่นสาบสางตรลบอบอวลทั่วบ้าน ข้าวเย็นต้องกินก่อนค่ำ แกหวาดระแวงมาก ผมจึงไปนอนเป็นเพื่อน ๒ คืน เพื่อนผมบอกว่าเอาน้ำมนต์มาพรมรอบบ้านแล้ว เอาทรายเสกมาหว่านรอบ ๆ บ้านแล้วก็ไม่ไปแรงมาก กลางคืนเที่ยวเคาะข้างฝา ทำเสียงคนเดินแรง ๆ มีกลิ่นสาบเหม็น อยู่ดี ๆ ไฟก็ดับเฉย ๆ ผมจึงกลับไปบ้านไปเอามีดหมอ ตกกลางคืนหลวงพ่อกวยท่านมาเข้าฝันไม่ให้ประมาท จะทำอะไรอย่าลืมนึกถึงอาจารย์ท่านคือหลวงพ่อศรี และหลวงพ่อเดิมด้วย แล้วค่อยระลึกถึงท่าน เมื่อผมเอามีดหมอมาแล้ว ผมก็ระลึกถึงครูบาอาจารย์ และหลวงพ่อกวยเป็นที่สุด พอผมชักมีดออกจากฝัก พ่อเพื่อนผม ก็มีอาการดิ้นทุรนทุราย ผมเลยเอามีดจี้ระหว่างอก ว่าคาถาเวสสุวรรณนัสสะตุ ของหลวงพ่อเท่านั้นแหละ ร้องกรี๊ดหงายท้องตึงเลย ผมเลยเอามีดทำน้ำมนต์ให้ดื่มกินและประพรมรอบบ้านคนตามนั้นถามถึงชื่อหลวงพ่อเจ้าของมีดกันใหญ่เลยว่าหลวงพ่ออะไร

๔.อีกเรื่องหนึ่ง ป้าเชียร โหราเรือง บ้านอยู่ที่เดียวกับผม แกเคยทำบุญกับอาจารย์ แกมีพิมพ์สรรค์คล้องอยู่องค์เดียว วันนั้นแกหิวน้ำแกเปิดตู้เย็น เพื่อจะกินน้ำเย็น แล้วหัวใจแกก็จะหยุดเต้นเอาเฉย ๆ แกได้ยินเสียงฟู่ ๆ แกคิดว่าเป็นหนู แกเลยก้มไปดูใต้ตู้เย็นปรากฎว่าเป็นงูเห่าตัวดำเมื่อม ตัวโตขนาดข้อมือ ป้าแกก้มหน้าไปดูห่างคืบเดียวดีที่มันไม่กัด พอแกหายตกใจแกวิ่งออกจากบ้านตะโกนสุดเสียงเลย วันนั้นแกคล้องพระพิมพ์สรรค์ยืนของหลวงพ่อเพียงองค์เดียว ทำให้แกแคล้วคลาดจากงูกัดได้

แปลกนะครับ พระพิมพ์สรรค์ยืนนี่ค้าขายก็ดี ใช้กันผีก็ได้ ผมเคยให้คนทำงานโรงพยาบาลใช้ เขาเจอผีบ่อย ๆ พอใช้แล้วไม่เจอผีอีกเลย ขอจบแค่นี้ก่อน

ท้ายนี้ขอให้อาจารย์โชคดี
บุญชู  คำวงค์
๗๒๗ หมู่ ๑๐ บ้านฉัตรมงคล ต.เมืองปัก อ.ปักธงไชย จ.นครราชสีมา


ขอชี้แจง

ก็ขอขอบคุณ คุณบุญชู ที่เขียนจดหมายมาเล่าอภินิหารให้ชาวนะโมได้ฟังกัน เรื่องมีดหมอของหลวงพ่อชนิดเล่มโต ผมเองอดเป็นห่วงคนที่มีมีดหมอเล่มโตไม่ได้ จึงขอชี้แจงให้ทราบว่า มีดหมอเล่มโตนี้ ปกติพกพาไม่ได้ ถ้าตำรวจค้นเจอเขาจะยึดเอาไป ถ้าจำเป็นต้องพกพาให้ใส่ถุงหรือห่อด้วยกระดาษให้เรียบร้อย ใส่ไว้ในกระเป๋าถือ อย่าเหน็บเอว เดี๋ยวตำรวจยึดเอาไปน่าเสียดายมาก ส่วนเวลาขับผีให้ดูว่าผีเข้าจริงหรือเปล่า หรือว่าเป็นไข้ สมัยผมเป็นเด็กผมไปดูเขาขับผีปรากฏว่าผีไม่ได้เข้า คือคนเป็นไข้หมอผีก็ว่าผีเข้า เอาต้นข่าตีคนไข้ป่วยปางตาย เห็นแล้วก็น่าสงสาร ทีนี้ถ้าผีเข้าจริง ๆ เวลาเอามีดจี้ให้ลอง ๆ เอาจี้ทั้งฝักดูก่อน เดี๋ยวเกิดผีเฮี้ยนขึ้นมา โจนใส่มีดเอา ถ้ามีดยังอยู่ในฝัก ก็ค่อยยังชั่ว ถ้ามีดเปลือยเกิดไปเสียบอกเขาเข้าจะเข้าทำนอง เนื้อไม่ได้กินหนังไม่ได้รองนั่งเอากระดูกแขวนคอเอากุญแจมาใส่มือ

นับถือ
ฒ.สุพรรณ


ทิพยจักษุ

อภิญญาข้อที่ ๕ คือ ทิพยจักษุคือตาทิพย์ เรื่องหลวงพ่อมีตาทิพย์ โดยไม่ต้องเข้าที่ทำสมาธิ มีเรื่องยืนยันหลายเรื่อง

เรื่องแรก เจ้าของขอสงวนนามแต่ผมเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เสียหายอะไรทั้งพยานบุคคลยังมีอยู่ คือตอนนั้นคุณกมล  พลพิพักษ์กุล  ตลาดท่าช้าง อำเภอเดิมบาง ได้ออกรถสิบล้อเพื่อบรรทุกอ้อย คุณกมล แกเพิ่งจะหัดขับรถใหม่ ๆ ยังขับรถไม่แข็ง และรถก็ยังไม่ได้เจิมด้วย จึงตัดสินใจขับรถสิบล้อเอามาให้หลวงพ่อเจิม เพื่อเป็นสิริมงคล แกคิดว่าถ้าขับรถเปล่ามาก็ไม่เกิดประโยชน์แกจึงบรรทุกลูกรังจากเขาน้อย เอามาถมที่ถวายวัดให้หลวงพ่อจะดีกว่า

วันนั้นท่านฉันข้าวตอนสายประมาณ ๑๐.๐๐ น. คือท่านฉันมื้อเดียว พอท่านฉันข้าวเสร็จ ท่านได้ลุกขึ้นไปบอกช่างสมาน ให้ไปหาคนเอามาไว้สัก ๑๐ กว่าคน เดี๋ยวลูกรังจะมา คือมีคนนำมาถวาย พอรถมาถึงจะได้เอาลูกรังลงได้เลย ช่างสมานได้ไปบอกหมอเฉลียว คุณสมนึก หาคนมาได้ ๑๐ กว่าคนคอยอยู่ที่วัด คือคิดว่าคนที่จะเอาลูกรังมาถวายเขาคงจะนัดหลวงพ่อเอาไว้ จากเวลาที่หลวงพ่อบอกให้ไปตามคน กินเวลาประมาณ ๔๕ นาที ผลคือมีคนเอาลูกรังมาส่งที่วัดจริง ๆ เมื่อถามกันไปถามกันมา คุณกมลก็สงสัยว่า ทำไมจึงรู้ว่าตนจะเอาลูกรังมา ช่างสมานก็สงสัยว่า หลวงพ่อรู้ได้อย่างไร คือต่างคนต่างก็ไม่รู้มาก่อน แล้วหลวงพ่อรู้ได้อย่างไรว่าคุณกมลกำลังขับรถลูกรังมาวัด ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าถามผม ๆ ก็ตอบว่าท่านมีตาทิพย์น่ะ ก็ขนาดเงินในซองจดหมาย เจ้าภาพเขานิมนต์ไปสวดท่านยังไม่ไปด้วยซ้ำ ท่านยังบอกช่างสมาน บอกหมอเฉลียว บอกอาจารย์สำรวยได้เลยว่า ไปสวดครั้งนี้จะได้เท่าไร เรื่องนี้ถ้าสงสัยให้ถามช่างสมานได้ ปัจจุบันบวชเป็นพระอยู่ที่วัดหลวงพ่อ คุณสมนึกบ้านอยู่ปากทางเข้าวัดเลย

เรื่องที่ ๒ ที่ยืนยันว่าท่านมีตาทิพย์ คือ ท่านได้รับกิจนิมนต์ให้ไปงานบุญที่จังหวัดกาญจนบุรี ไปที่บ่อพลอย คือศิษย์ท่านมาขุดพลอยที่จังหวัดจันทบุรีมีมาก ท่านมากับช่างสมาน หมอเฉลียว ท่านเดินผ่านที่เขาขุดบ่อพลอย แล้วท่านก็หยุดเฉย ๆ ช่างสมาน กับหมอเฉลียวนึกว่า ท่านเมื่อยขาจึงหยุดเดิน พอไปถึงบ้านพักท่านได้พูดกับช่างสมาน กับหมอเฉลียวว่า มึงไม่เห็นพลอยเม็ดโตหรือในบ่อน่ะ ช่างสมานกับหมอเฉลียวบอกไม่เห็น แล้วทั้งช่างสมานกับหมอเฉลียวก็ต่อว่าท่าน ท่านบอกว่าท่านพูดไม่ได้มันอาบัติ คือผิดวินัยสงฆ์ เรื่องนี้ยังไม่ค่อยชัด เอาใหม่เอาให้ชัด ๆ เลย

วันหนึ่งท่านไปธุระที่วัดแจ้ง วัดแจ้งนี่อยู่ด้านใต้ของวัดหลวงพ่อ ท่านได้ไปนั่งเล่นที่วิหารของวัดแจ้ง ปกติหลวงพ่อจะชอบนั่งยอง ๆ คือนั่งชันเข่า ยกเว้นเวลาถ่ายรูป ท่านจะนั่งเรียบร้อย คือ อธิษฐานตัวก่อนถ่ายรูปทุกครั้ง วันนั้นท่านนั่งชันเข่า ในมือท่านถือไม้ไผ่อันหนึ่ง ท่านเอาไม้แทงดินเล่น แทงคุ้ย ๆ เหมือนเด็ก ๆ เล่นดิน แล้วท่านเอาไม้เขี่ยหินก้อนกลม ๆ ก้อนหนึ่งขึ้นมา เขี่ยไปเขี่ยมา พอดีนายแพลูกศิษย์ที่มาด้วยได้มาเห็นเข้า ได้หยิบขึ้นมาดูคือคิดว่าเป็นพลอยหรือหยก และได้ขอท่าน ปรากฏว่าเมื่อนำมาล้างน้ำแล้วนำไปให้ช่างทองดู จึงได้รู้ว่าเป็นเพชร ปัจจุบันทราบว่ายังอยู่ เจ้าของหวงมากพ่อนายแพชื่อโต เป็นคนใกล้ ๆ วัดหัวเด่น

อีกเรื่องหนึ่งท่านได้ไปขุดพระที่วัดร้าง ได้พระหูยาน ลพบุรี มาองค์หนึ่งได้ให้ลูกศิษย์ไป ปัจจุบันพระองค์นี้ยังอยู่มีคนไปให้ราคาตกหมื่นบาท ถ้าอยากดูให้ไปหาหมอแจ๋ ศิษย์ท่านอยู่ซอย ๓ ซอยเดียวกับ ศาลนายดอก

ที่กุฏิท่านมีพระบูชาทองคำองค์ใหญ่องค์หนึ่ง หน้าตักประมาณ ๕ – ๗ นิ้วได้ ท่านขุดมาได้ ใครก็อยากจะได้ ขนาดเถ้าแก่ในตลาดท่าช้างมาขอท่านแล้วจะสร้างโบสถ์ให้ท่าน ท่านให้ไม่ได้ ท่านบอกไม่ใช่ของ ๆ ท่าน ภายหลังท่านเลยเอาไปฝังไว้ ไม่รู้ว่าที่ไหน และไม่มีใครกล้าถาม ท่านได้แต่พูดว่าทองเป็นสิ่งไม่ดีโทษมีมากกว่าประโยชน์ เรื่องทรัพย์แผ่นดินนี้เป็นเรื่องที่ยืนยันไม่ได้ แต่สมควรบันทึกเอาไว้ เพราะท่านเล่าเอาไว้ คือที่วัดร้างตรงทางเข้าวัดท่าน เดิมเป็นป่าช้าฝังศพ คือสมัยก่อนบางคนเขาไม่นิยมเผา วัดนี้ปัจจุบันหลวงตาเย็น เจ้าของ พ.พาน เป็นเจ้าอาวาสรักษาการอยู่ ชื่อปัจจุบันชื่อวัดการเปรียญ ชื่อเก่าที่เรียกกันเพี้ยน ๆ ไปชื่อวัดสระปุเรียน คงมาจากคำว่าวัดศาลาการเปรียญ หรือวัดสระการเปรียญนี่แหละ วัดนี้เป็นวัดร้างสมัยกรุงศรีอยุธยา ท่านเล่าว่าวัดนี้สร้างขึ้นโดยภรรยาของเศรษฐี ๒ คน คือภรรยาน้อย กับ ภรรยาหลวง ได้ขุดสระไว้ ๒ สระ คือสมัยก่อนหาน้ำกินน้ำใช้ไม่ค่อยได้ ภายหลังเกิดสงคราม เศรษฐีได้นำสมบัติใส่เรือฝังเอาไว้ โซ่เรือผูกอยู่ที่ต้นข่อย ฝังไว้น่ะครับ ไม่ได้ใส่ในเรือแล้วจมเรือ คือฝังเอาไว้ระหว่างสระ ๒ สระ

หลวงพ่อเคยมาขออิฐขนาดใหญ่แผ่นใหญ่ยาวประมาณ ๑ ศอกได้ หลวงพ่อได้มาจุดธูปขอ นำเอาไปสร้างโบสถ์ที่วัดท่าน และได้นำเงินเหรียญจำนวน ๑ บาตร นำมาแลกเปลี่ยนฝังเอาไว้ให้และยังได้นำพระพิมพ์สรรค์มาบรรจุเอาไว้หลายบาตร ท่านนำมาฝังกับบุตรบุญธรรมท่าน และได้ขุดถ้วยชามและพระเครื่องเก่า ๆ จากวัดนี้เอาไปหลายอย่าง นอกจากวัดนี้แล้วท่านก็เคยไปขุดเอามาจากวัดวิหารร้างหรือวัดใน

เรื่องที่ท่านขุดพระเครื่องเก่า ๆ และของเก่าได้แสดงว่าท่านต้องมีตาทิพย์ สามารถมองเห็นของที่อยู่ใต้ดินได้ เรื่องนี้หลักฐานพอมี คือ ยังอยู่ในตู้พิพิธภัณฑ์ เห็นว่าสมควรบันทึกเอาไว้ จึงเล่าให้ฟัง

จะจบ จบไม่ลงในตู้พิพิธภัณฑ์ของท่าน ยังมีพระที่แกะจากหิน เป็นพระสมัยสุโขทัย สวยมาก ถ้ามาวัดก็อย่าลืมมาขอดูจากอาจารย์สำรวย ถามท่านดู พระนี้หาค่าไม่ได้ สวยมาก ท่านขุดขึ้นมาจากวัดร้าง

จดหมายคุณสายชล
๑๖/๓ ม.๘ ต.โคกแย้ อ.หนองแค จ.สระบุรี ๑๘๒๓๐
เรียนคุณเฒ่าที่เคารพ
ผมมีเรื่องประสบการณ์มากับตัวผมเอง คือรูปถ่ายซีล๊อกซ์ของหลวงพ่อกวย เมื่อคุณเฒ่าส่งรูปมาให้ผม พอผมเปิดซองจดหมายและเห็นรูปของหลวงพ่อเท่านั้น ไม่รู้ว่าฝนมันมาจากไหน ตกลงมาอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้เลย คงจะเป็นเพราะว่าบารมีหลวงพ่อแผ่มาถึงผมแล้วก็ได้ ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ อย่างมาก เมื่อผมนึกถึงหลวงพ่อ
ด้วยความเคารพ
สายชล  ทองสีขาว
ปล.ผมมีเรื่องถามคุณเฒ่าดังนี้
๑.ลักษณะปลัดของหลวงพ่อเป็นอย่างไร และอักขระจารบ้างหรือไม่
๒.ปลัดของหลวงพ่อนอกจากเนื้อปรอทแล้วยังมีเนื้ออื่นอีกหรือไม่


ตอบ

๑ และ ๒ ปลัดของหลวงพ่อรุ่น ๑ เป็นเนื้อตะกั่ว มีหางมีขามีไข่ มี ๒ ขนาด เล็กและใหญ่ รุ่นต่อมา เป็นรุ่นนิยมหรือ “คอหยัก” เป็นเนื้อตะกั่วผสมปรอทคองุ้มเล็กน้อย มีนะ ๓ ตัว คือนะหัวใจนาคราช นะใจอ่อน และนะปลอดภัย เป็นยันต์นูนในพิมพ์ รุ่นที่ ๓ เรียกว่ารุ่นประสบการณ์ ทำได้สวยมากมีนะ ๒ ตัว คือ นะใจอ่อน กับนะนาคราช เป็นเนื้อตะกั่วผสมปรอท รุ่นสุดท้ายออกในงานฝังลูกนิมิต เป็นเนื้อแก่ปรอทตกจะแตก ท่านไม่ได้หล่อเอง สั่งทำมามีเชือกร้อยใต้ท้อง

นอกจากเนื้อตะกั่ว ตะกั่วผสมปรอท ก็ยังมีเนื้อไม้ เช่น ไม้มะเกลือ ไม้รัก ไม้คูณ งาแกะมีน้อย ชนิดไม้คูณที่ดูง่ายก็มีฝีมือช่างทา บ้านแหลมหว้า ที่ทำปลัดให้ อาจารย์เหวียน และหลวงตาเจริญ วัดปากน้ำ และของอาจารย์ตั้ว วัดทับขี้เหล็ก โดยมากชนิดไม้จะดูยาก ต้องได้จากการตกทอด บางตัวท่านก็จาร บางตัวท่านก็ไม่จารอะไรเลย


     นับถือ

     ฒ.สุพรรณ   
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 17, 2012, 10:05:37 am
       ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒๓๕
วันที่ ๒๕ เม.ย. – ๕ พ.ค.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


ผมเริ่มอ่านหนังสือ นะโม ฉบับแรก ก็คือฉบับที่ ๒๓๕ นี่แหละครับ แต่การซื้อหามาอ่านในสมัยนั้นไม่ติดต่อกัน ขาดไปบ้างเป็นช่วง ๆ และบางช่วงขาดหายไปนานมาก
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 17, 2012, 10:19:05 am
       ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒๓๕
วันที่ ๒๕ เม.ย. – ๕ พ.ค.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


ผมเริ่มอ่านหนังสือ นะโม ฉบับแรก ก็คือฉบับที่ ๒๓๕ นี่แหละครับ แต่การซื้อหามาอ่านในสมัยนั้นไม่ติดต่อกัน ขาดไปบ้างเป็นช่วง ๆ และบางช่วงขาดหายไปนานมาก


บทความเหล่านี้อาจจะมีประโยชน์ต่อคนที่ยังไม่เคยได้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ เป็นเรื่องเล่าที่น่าสนุก ๆ อ่านเพลิน ๆ กะว่าจะนำมาลงอาทิตย์ละเรื่องครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ สิงหาคม 18, 2012, 02:45:11 pm
;) ;) ;) ;) ;) เยี่ยมครับ ผมเก็บไว้ได้เหรียญนึงเหรียญโล่หลังยันต์

ยินดีด้วยนะครับน้องโก้ เหรียญโล่หลังยัน กับเหรียญอัลปาก้าหลังหนุมาน จากประสบการณ์หลาย ๆ เรื่อง นั้น มีข้อน่าสังเกตก็คือ เหรียญหลังยันต์มักจะยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า เด่นทางมหาอุดเป็นอันมาก ส่วนหลังหนุมานส่วนใหญ่มักจะออกแต่ไม่เข้าแปลกมาก มีผู้แนะนำว่า เหรียญหลังยันต์ใช้แทนตะกรุดของหลวงพ่อได้เลยนะครับ
:o :o :o :o :o จริงเหรอครับพี่
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 24, 2012, 09:05:20 am
ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒๓๘
วันที่ ๒๕ พ.ค. – ๕ มิ.ย.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


ต้องรื้อ


เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าของหลวงพ่อ คือแต่เดิมหลวงพ่อเคยศึกษาวิชาหมอดูดูลักษณะคนดูว่าจะรวยจะดีไหม เป็นคนแบบใด ท่านมองดูทีเดียวท่านรู้เลย นอกจากนั้นท่านยังเรียนวิชาดูที่ว่าถ้าปลูกบ้านตรงนั้นตรงนี้จะดีหรือไม่ในตอนหลังเมื่อท่านเรียนวิปัสสนาท่านได้ยกตำราบางส่วนให้ลุงทอดไปท่านไม่ได้ดูให้ใคร เมื่อหลวงพ่อเรียนวิปัสสนา หลวงพ่อก็ใช้ตำราเดิมประกอบกับวิปัสสนา ทำให้หลวงพ่อเชี่ยวชาญทักทายอะไรดุจตาเห็น

ที่หน้าโบสถ์ของหลวงพ่อ เขตติดต่อกับวัด มีบ้านปลูกใหม่อยู่หลังหนึ่ง ปกติหลวงพ่อจะไม่ค่อยได้ลงมาสำรวจอุโบสถที่ท่านดำเนินการก่อสร้างเท่าไร คือท่านห่วงแต่ทำพระทำตะกรุด วันหนึ่งท่านลงมาด้านล่างมาคุยกับกรรมการวัด ช่างที่กำลังทำงานอยู่ท่านเห็นบ้านที่ปลูกใหม่อยู่ใกล้ ๆ พระอุโบสถแต่เขตติดต่อกันท่านได้ถามลุงลออ เข้มอ่อน ว่าบ้านหลังนี้เป็นของใครปลูกซะสวยเลย ลุงลออบอกว่าเป็นของนายแห้ว ท่านได้มองดูอีกครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า ปลูกไม่เหมาะ ไม่ช้าก็ต้องรื้อ ลุงลออถามว่าทำไมถึงต้องรื้อ ท่านได้พูดว่า ที่เขาแรง จะปลูกบ้านไม่ดูที่ดูทาง อยู่ต่อมาบ้านนายแห้วมีแต่เรื่องทะเลาะกันอยู่เสมอ และได้รื้อบ้านไปอยู่ที่อื่นในเวลาไม่ถึงปี เรื่องนี้แสดงว่าท่านสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้หรือท่านจะดูที่เก่งก็ไม่รู้ ขนาดบ้านนายแห้วอยู่ห่างโบสถ์เกือบ ๑๐๐ เมตร ท่านสามารถดูได้ สมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่มีคนมาถามท่านเรื่องที่ ที่จะปลูกบ้าน ท่านให้เอาไม้ไปปักเป็น ๔ หลักก่อนว่าจะปลูกตรงไหนแน่ แล้วกลับไปถามท่าน ท่านสามารถตอบได้ว่าดีหรือไม่ดี ถ้าไม่ดีท่านก็บอกให้ขยับขึ้นเหนือลงใต้ จนกระทั่งดี เรื่องนี้ก็คิดกันเอาเองว่าท่านมีตาทิพย์มองเห็นได้ตั้งไกล หรือท่านจะบอกให้ขยับมั่ว ๆ ไปไม่รู้

ร.ร.วัดเขาวงกต ต.นายายอาม อ.เมือง จ.จันทบุรี

เรียนคุณเฒ่า สุพรรณ ที่นับถือ

ผมได้ติดตามข้อเขียนของคุณเรื่องหลวงพ่อกวยใน นะโม เป็นประจำ เวลานี้เหรียญหลวงพ่อกวยรุ่น ๑ ก็มีราคาเช่าบูชาถึง ๓,๕๐๐ – ๔,๕๐๐ บาท และจะมีทีท่าว่าจะสูงขึ้นไปอีก หลวงพ่อได้สร้างเหรียญของท่านเองเพียง ๓ – ๔ รุ่น ตามที่คุณบอก ไม่เหมือนหลวงพ่อองค์อื่น ๆ มีถึง ๑๐๐ กว่ารุ่น จึงง่ายแก่การรวบรวมของคุณที่จะเสนอแนะ เพื่อการศึกษาและใฝ่หาของแท้ ๆ และมั่นใจแก่ลูกศิษย์และผู้เคารพในองค์หลวงพ่อกวยโดยทั่วไปอย่างแท้จริง เพราะผู้ยังไม่รู้จริงและยังไม่เคยเห็นเหรียญ แต่อยากเช่าหาเยอะแยะ ศูนย์พระเครื่องต่าง ๆ ตอนนี้ก็มีบริการหลายศูนย์ ผมจึงอยากเสนอแนะคือให้คุณลงข้อมูลและภาพเหรียญที่หลวงพ่อสร้างดังนี้

๑.ให้คุณลงเหรียญรุ่น ๑ – ๔ รูปชัด ๆ ทั้งหน้าและหลัง
๒.บอก พ.ศ. ที่หลวงพ่อสร้างที่แน่นอน แต่ละรุ่น
๓.บอกรุ่นแต่ละรุ่นสร้างด้วยเนื้ออะไร สี และผิวพระมีกี่เนื้อ เช่น ทองแดง เงิน อัลปาก้า ฯลฯ 
๔.สร้างรุ่นละจำนวนเท่าไร มีเสริมหรือบล็อกเดิมหรือไม่
๕.ปลุกเสกโดยหลวงพ่อกวยองค์เดียวหรือปลุกเสกหมู่ ผมคิดว่าคุณคงทำได้ เพราะหลวงพ่อกวยท่านสร้างน้อยรุ่น คุณทำแบบเป็นกิจจะลักษณะไปเลย จะเป็นประโยชน์มากแก่ลูกศิษย์ผู้เคารพศรัทธาใฝ่หาและศึกษาในองค์หลวงพ่อกวย นี่ว่ากันเฉพาะเหรียญนะ เห็นสมควรมิควรหรือไม่แล้วแต่คุณครับ

นับถือมาก

ครูประถม



ตอบคุณครูประถม ขอบคุณที่เสนอแนะ สำหรับรูปเหรียญนั้นจะให้ทาง บก.เขาทยอยลงให้ใหม่อีกที แต่ถ้าจะให้ลงให้ชัด ๆ ทุกรุ่นพร้อมกัน คือ ลงแบบวิทยาทานเป็นหน้า ๔ สี อันนี้คงต้องเสียเงินผมคงทำไม่ได้ ขอตอบคำถามคุณดังนี้ เห็นว่าบางคนก็อยากรู้

๑.หลวงพ่อสร้างเหรียญ ออกในนามวัดเป็นรูปท่าน ๓ รุ่น
๒.พ.ศ. ที่สร้าง รุ่น ๑ ออก พ.ศ.๒๕๐๖ รุ่น ๒ ออก พ.ศ.๒๕๑๕ รุ่น ๓ ออก พ.ศ.๒๕๒๑
๓.สีผิวและรูปแบบ รุ่น ๑ กลมเนื้อทองเหลือง หรือฝาบาตร รมทอง รุ่น ๑ มีเนื้อเดียว คือเนื้อฝาบาตร รมทองเท่านั้น รุ่น ๒ กลมเล็กกว่ารุ่นแรกเนื้อทองแดงรมดำ เนื้อเดียว รุ่น ๓ แบ่งออกเป็น ๒ แบบ คือรูปโล่กับหยดน้ำ
ชนิดโล่มีเนื้อทองแดงรมคล้ายน้ำตาล หลังยันต์แบบหนึ่ง อีกแบบหนึ่งเป็นโล่เนื้ออัลปาก้าหลังหนุมาน ทั้งชนิดหลังยันต์และหลังหนุมาน มีเนื้อกะไหล่ทองด้วย
ส่วนชนิดหยดน้ำเป็นเนื้อทองแดงรมนาก
๔.สร้างจำนวนรุ่นละเท่าไร รุ่น ๑ จำนวน ๕,๐๐๐ เหรียญ รุ่น ๒ รุ่น ๓ ไม่รู้จำนวน คือไม่ได้บันทึกเอาไว้ ถามใครก็ไม่รู้

มีเสริมหรือไม่ จะเรียกว่าเสริมหรือเปล่าล่ะแบบนี้น่ะ คือตอนสร้างเหรียญรุ่น ๓ หนุมานยกธงรบ ทางกรรมการวัดต้องการสร้างให้เป็นพิเศษ จึงจำหน่ายในราคา ๑๐๐ บาท และต้องจอง ขณะปั๊มอยู่หลวงพ่อทราบว่ากรรมการต้องการให้เหรียญรุ่นนี้เป็นรุ่นพิเศษ จำหน่ายแพง ท่านเห็นว่าเดี๋ยวจะไม่เพียงพอ ประกอบกับท่านจะเอาไปแจกทหารที่ชายแดนด้วย คือตอนนั้นมีปัญหาชายแดน ท่านเลยปั๊มเพิ่มคือวัดต้องการเงินเป็นก้อนแน่นอนใช้ฝังลูกนิมิตน่ะ ยังมีชนิดกะไหล่ทองหลังยันต์กับกะไหล่ทองหลังหนุมาน อันนี้ให้กับคนบริจาคข้าวสารเข้าโรงครัว ๑ กระสอบ ส่วนเรื่องบล็อกเสริมอันนี้ตัดปัญหา หลวงพ่อโยนลงสระหมดแล้ว ขณะที่หลวงพ่อยังแข็งแรงสมบูรณ์ดีทุกอย่าง ถ้าจะมีในวันหน้าก็คือ ปลอมโดยแกะพิมพ์ใหม่ บล็อกเดิมขณะปั๊มเหรียญหนุมานได้แตก ๔ เสี่ยงและโยนลงสระไปแล้ว

๕.ปลุกเสก วัตถุมงคลของหลวงพ่อทั้ง ๓ รุ่น หลวงพ่อปลุกเสกเององค์เดียวแบบ “ชาติเสือไม่ขอเนื้อใครเขากิน” รุ่น ๑ ปลุกเสก ๗ ปี รุ่น ๒ ปลุกเสก ๓ ปี รุ่น ๓ ปลุกเสก ๑ ปี ที่เหลือจากออกในงานได้ปลุกเสกต่ออีก ๑ ปี นอกจากเหรียญรูปเหมือนของหลวงพ่อทั้ง ๓ รุ่นแล้ว เฉพาะเหรียญนะครับไม่นับรูปหล่อ หลวงพ่อยังอนุญาตให้วัดเดิมบางฯ สร้างเหรียญรูปท่านไว้ ๑ รุ่น เนื้อรมนาก กับรมดำ จำนวน ๒๐,๐๐๐ เหรียญ ปลุกเสก ๒ ปี เป็นรูปท่านครึ่งองค์

อีกรุ่นหนึ่ง เป็นเหรียญรูปไข่ครึ่งองค์ออกที่วัดจีน ปลุกเสก ๑ เดือน เสร็จแล้วเข้าพิธีใหญ่ ร่วมกันปลุกเสกอีก ๑๖ องค์ เหรียญรุ่นนี้โอกาสหน้าจะแนะนำให้ทราบ จะลงให้ก่อนจบ รับรองได้ว่าเช่ากันชนิดกุฏิแตกแน่ เพราะรูปแบบเหรียญสวยพิธีดีเยี่ยม เกจิอาจารย์ ๔ องค์คือ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ในทรงธรรม หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู หลวงพ่ออ๊อต วัดบ้านช้าง หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ ท่านทั้ง ๔ องค์ได้ออกปากพูดว่า “พระครูชัยนาทองค์นี้ ไม่ใช่พระธรรมดา”

ก็ขอจบเรื่องเหรียญรูปเหมือนท่านเท่านี้ ส่วนเหรียญรูปพระพุทธที่ท่านปลุกเสกให้วัดอื่นแล้วจะลงให้อีกที



ผู้มีกำลังภายใน

หลวงพ่อเป็นพระที่มีพลังจิตเร้นลับและรุนแรง เพราะท่านฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา ท่านจะเก็บตัวอยู่ในกุฏิ ถ้าไม่พิมพ์พระก็ทำตะกรุด แหวนแขน ถ้าไม่ทำเครื่องรางท่านก็นั่งวิปัสสนา ท่านจุดธูปบูชาพระทั้งวัน ท่านถือในธุดงควัตรแม้การจำวัดของท่านคือนอน ท่านก็ใช้กะลามะพร้าว กะลาจริง ๆ ไม่มีกาบมะพร้าวหนุนศีรษะคือหนุนหัวนอน ถ้าท่านพลิกหล่นลงมา ท่านก็จะลุกขึ้นมานั่งสมาธิเลย ท่านทำของท่านจนเคยชิน ไม่ทราบว่า กะลาที่ท่านใช้หนุนศีรษะนอน ปัจจุบันอยู่ที่ใคร ประกอบกับท่านไม่ค่อยรับกิจนิมนต์ด้วย คือท่านไม่ชอบออกนอกวัด ท่านจะอ้างว่าท่านไม่มีรถ แต่ถ้าใครใจถึงเอารถไปรับท่านก็ตกลง แม้งานพุทธาภิเษกทุกแห่งที่นิมนต์ท่านไปต้องเอารถมารับท่านหรือจ้างรถมารับท่านโดยตรง เมื่อท่านไม่ค่อยได้ไปไหนท่านเลยมีเวลาฝึกจิต แม้คนใกล้ ๆ วัดถ้าไม่คับขันจริง ๆ จะไม่มีใครเข้ามารบกวนท่านเลย เขารู้ว่าเวลาของท่านมีค่า ถ้าไปหาท่านถ้าหมดธุระเขาจะรีบลากลับ เมื่อเขาลากลับท่านก็ลุกขึ้นหันหลังเข้ากุฏิเช่นกัน

หลวงพ่อท่านฝึกจิตมาอย่างดีจิตท่านจึงรุนแรง วิชานิ้วเพชรของท่านถ้าท่านชี้แก้ว แก้วแตก ชี้นก นกจะร่วงทันที ท่านจึงไม่เอานิ้วชี้สิ่งของแต่ท่านติดจะใจร้อน หรือร้อนวิชาอยู่บ้างเหมือนกัน บางครั้งทำให้ท่านเผลอทำอะไรแปลก ๆ ให้เห็นอยู่บ่อย ๆ นายเสนอ แสงบัวเผื่อน เป็นคนสามเอกปัจจุบันบวชเป็นพระอยู่ เคยเป็นเด็กวัดกินข้าววัดอยู่กับหลวงพ่อ เด็กวัดนี่ไม่ว่าวัดไหนโดยมากแสบ ๆ ทั้งนั้น คนไทยศาสนาพุทธเขาว่าอันไหนไม่ดีจะเอาไว้วัด เช่น แมว หมา พระแตกหัก แม้แต่เด็ก ๆ ถ้าคนไหนเกเร ก็จะเอาไว้วัดเป็นเด็กวัด ขนาดลูกชายคนไหนหัวดีเป็นทหารเป็นตำรวจ คนไหนเกเรไปไหนไม่ได้ พ่อแม่ยังบอกไอ้คนนี้จะให้บวช

ทีนี้นายเสนอ หรือเด็กชายเสนอกับเพื่อน ๆ เด็กวัด เมื่อกินข้าววัดแล้วก็ห่วงเล่น หลวงพ่อท่านออกจากกุฏิบางครั้งจะเรียกเด็กเอามาใช้บ้างก็หาไม่เจอเป็นอยู่ประจำ บางครั้งท่านทนไม่ได้ท่านพูดว่า “ไอ้หูแตก” ท่านพูดเสียงดังก้อง เด็กวัดกำลังเล่นกันอยู่ปวดหูดิ้นพล่านเลย เหตุการณ์เป็นอย่างนี้หลายครั้ง เด็กวัดรู้ว่าหลวงพ่อเรียกก็รีบมา แล้วท่านก็เอาน้ำมนต์หยอดหูให้หาย เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กวัดเท่านั้น แม้กับหมาท่านบางครั้งมีแขกมาหาท่าน คือลูกศิษย์ถ้าเป็นผู้หญิงท่านจะลุกขึ้นดูหมาให้ คือผู้หญิงเขากลัวหมา ท่านจะดูแลอย่างดี บางทีมันก็พูดไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไร ท่านจะใช้วิธีมองหน้ามันมองปราม ๆ แต่ถ้าแขกไปแล้ว ยังพูดไม่รู้เรื่องอีกละก็ ลงพูดว่าแอ๊ะหรือพูดว่าไป ไม่รู้เรื่องละก็ ท่านจะตบมือ คือเอามือตบเข้าหากันดังแป๊ะ ๆ หมาท่านที่พูดไม่รู้เรื่องร้องดิ้นพล่านเลย เรื่องนี้ศิษย์เก่า ๆ ยืนยันได้ พระเสนอยืนยันได้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 24, 2012, 09:07:25 am
       ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒๓๕
วันที่ ๒๕ เม.ย. – ๕ พ.ค.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


ผมเริ่มอ่านหนังสือ นะโม ฉบับแรก ก็คือฉบับที่ ๒๓๕ นี่แหละครับ แต่การซื้อหามาอ่านในสมัยนั้นไม่ติดต่อกัน ขาดไปบ้างเป็นช่วง ๆ และบางช่วงขาดหายไปนานมาก


เสียดายที่ฉบับ ๒๓๖ และ ๒๓๗ ผมไม่ได้ซื้อไว้ ใครมีสองเล่มนี้เอามาลงก็จะดีมาก
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ สิงหาคม 24, 2012, 09:45:31 pm
ผมมีเรื่องราวเกี่ยวกับ เกศา หลวงพ่อไม่รู้ใครเคยลงไว้ยัง เดี๋ยวจะพิมพ์ลงให้อ่านกัน

ผมก็มีเกศาท่านอยู่ 2 เส้น ผมตั้งใจว่าถ้าเรื่องเรียนสำเร็จไปได้ด้วยดีจะนำเกศา+จีวร ชิ้นเล็กไปเลี่ยมทองครับ

ผมศรัทธามาก เกศาท่านผมอยากเอาไว้ใกล้กายตลอด แต่อยากให้เลี่ยมสมศักดิ์ศรีหน่อย 55555+

ผมเก็บอย่างดี
 ;) ;) ;) ;) ;)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 27, 2012, 09:39:58 am
ผมมีเรื่องราวเกี่ยวกับ เกศา หลวงพ่อไม่รู้ใครเคยลงไว้ยัง เดี๋ยวจะพิมพ์ลงให้อ่านกัน

ผมก็มีเกศาท่านอยู่ 2 เส้น ผมตั้งใจว่าถ้าเรื่องเรียนสำเร็จไปได้ด้วยดีจะนำเกศา+จีวร ชิ้นเล็กไปเลี่ยมทองครับ

ผมศรัทธามาก เกศาท่านผมอยากเอาไว้ใกล้กายตลอด แต่อยากให้เลี่ยมสมศักดิ์ศรีหน่อย 55555+

ผมเก็บอย่างดี
 ;) ;) ;) ;) ;)


ดีมากครับน้องโก้ ไว้รอชมนะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ สิงหาคม 29, 2012, 10:28:59 pm
 ;D ;D ;D ;D ;D ;D
รอพร้ิงเศษผ้ายันต์หลวงพ่อเฒ่า เลย 55+
ไม่รู้จะมีบุญได้ครอบครองหรือเปล่าน้อ ขอแค่เศษก็ยังดี
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 31, 2012, 08:57:07 am
ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒๓๙
วันที่ ๕ มิ.ย. – ๑๕ มิ.ย.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


ผู้มีกำลังภายใน(ต่อ)

เรื่องของกำลังภายในนี่คล้าย ๆ เป็นการรวมพลังจิตให้เป็นหนึ่งเดียวบางทีทำเองไม่ไหว นึกถึงให้หลวงพ่อองค์นั้นช่วยองค์นี้ช่วย บางทีก็ทำให้มีกำลังใจสามารถทำได้ มีศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่งชื่อฉลอง บ้านอยู่ใกล้ ๆ วัดดาวเรือง คลองสาม อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี เคยมาสักหนุมานกับหลวงพ่อ เวลาแกปลุกหนุมานขึ้น แกจะมีกำลังมากกว่าคนธรรมดาหลายเท่า ตีไม่แตก ตีไม่อยู่ จับไม่อยู่ แม้เมื่อไม่ได้ปลุกหนุมานเวลาระลึกถึงหลวงพ่อแกจะมีพลังแอบแฝงอยู่ในตัวอย่างประหลาด วันหนึ่ง ด.ต.วิรัตน์  สมถะ  สภ.อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี ไปเที่ยวบ้านคุณฉลอง คุณฉลองแกบอกจะยก ด.ต.วิรัตน์ให้ดู แล้วแกก็ระลึกถึงหลวงพ่อกวย ให้ ด.ต.วิรัตน์เหยียบหรือยืนบนฝ่ามือ แล้วแกก็รวบรวมสมาธิ สามารถยก ด.ต.วิรัตน์ขึ้นมาได้ ทั้ง ๆ ที่ ด.ต.วิรัตน์ตัวโตกว่ามาก คุณฉลองตัวเล็กนิดเดียว เรื่องของการยกของหนัก ๆ นี่ต้องใช้สมาธิสูงแม้พวกยกน้ำหนักก็ต้องรวบรวมสมาธิ เคยเห็นพวกแขกยกน้ำหนัก ก่อนยกเขาจะระลึกถึงพระอัลล่าห์ก่อน เรื่องของคุณฉลองนี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลหรือเกินไป เพราะปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ทั้ง ด.ต.วิรัตน์ก็ยังอยู่ สภ.อ.บางระจัน

จดหมายคุณพิศิษฐ์ พ่วงเรือ
๗๑/๑๕๗ อ.เมือง จ.นนทบุรี
เรียน คุณเฒ่า ที่นับถือ     
ผมนายพิศิษฐ์ พ่วงเรือ ได้อธิษฐานขอบารมีหลวงพ่อกวย ดลบันดาลให้ถูกล็อตเตอรี อยู่ต่อมาหลวงพ่อกวยได้ไปเข้าฝันผม ผมได้ไปซื้อล็อตเตอรีงวด ๑ กันยายน ๒๕๓๒ ปรากฏว่าผมถูกจริง ๆ ทำให้ผมนับถือหลวงพ่อกวยมาก หลวงพ่อกวยนี้ศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ผมขอนับถือตลอดชีวิต ผมส่งเงินไปทำบุญที่วัดพอสมควร
นับถือ
พิศิษฐ์ พ่วงเรือ


จดหมายคุณนำชัย นำสนธิ
นนทบุรี
ถึงคุณเฒ่า สุพรรณ
ผมเป็นชาวจังหวัดสิงห์บุรี เกิดที่ อ.อินทร์บุรี ได้ยินประวัติของหลวงพ่อกวย มานาน เพราะพ่อของเพื่อนที่เป็นศิษย์ของท่าน เล่าให้ฟังอยู่เสมอในความศักดิ์สิทธิ์ทำให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใส อยากมีวัตถุมงคลของท่านไว้ใช้บ้าง แต่ก็ไม่มีโอกาส จนผมเดินทางมาทำงานที่นนทบุรี และซื้อนะโมอ่านเจอเรื่องที่คุณเขียนถึงประวัติของหลวงพ่อ ยิ่งเกิดความศรัทธาเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น ก่อนนอนทุกคืนผมจะจุดธูปอธิษฐานถึงหลวงพ่อ ขอให้ลูกมีโชคมีลาภจะได้มีวัตถุมงคลของหลวงพ่อไว้บูชา ไม่กี่เดือนคำอธิษฐานของผมก็เป็นจริง ตอนเย็นของวันที่ ๒๙ พ.ย.๒๕๓๒ ขณะลูกชายผมกำลังอ่านหนังสือ ก.ไก่อยู่ ลูกชายของผมซึ่งแกอายุได้เพียง ๒ ขวบ ๗ เดือน ก็บอกผมว่า พ่อ พ่อ หวยออก ๑๓ ผมยังถามแกว่าออกจริงหรือเปล่า แกบอกว่าจริง ผมซื้อใต้ดินถูก ๑,๔๐๐.-บาท
ท่านสุดขอให้คุณโชคดีตลอดปี ๓๓
นับถือมาก
วันชัย นำสนธิ
๑๖๖ ซ.ศาลเจ้า ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี ๑๑๐๐๐



วิชาลงอาถรรพณ์

คำว่าอาถรรพณ์ แปลว่า การทำพิธีป้องกันอันตรายจากอำนาจลึกลับ วิชาลงอาถรรพณ์ก็คล้าย ๆ วิชาลงเสาหลัก หรือตะปูเพื่อป้องกันอันตรายจากอำนาจลึกลับ หลวงพ่อท่านชำนาญวิชานี้มาก วิชานี้ท่านทำไว้ในกุฏิท่านเป็นตะปูเสกตอกเอาไว้ ๔ ทิศ มีมีดหมอเหน็บเอาไว้ ๔ ทิศ มีสายสิญจน์ล้อมรอบ สามารถป้องกันอันตรายจากอำนาจลึกลับได้ ป้องกันคุณผีคุณคนได้ ป้องกันได้แม้มด ปลวก ยุง แมลงต่าง ๆ

เดิมหลวงพ่อเป็นอาจารย์สักมาก่อน คนนิยมสักกับท่านกันมาก ท่านสักดังมาก ศิษย์โดนยิงไม่ออกตัวเปล่า ๆ ไม่ดังได้ยังไง ทีนี้ศิษย์ท่านรุ่นเก่าเป็นคนอำเภอสรรค์บุรี ดินแดนเสือปล้น ดินแดนคนจริง ลูกศิษย์ท่านโดยมากจึงมีแต่เสือ แต่โจร

ที่หน้าวัดมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ชื่อต้นสำโรง  เวลาศิษย์ท่านผ่านหน้าวัด จะไปปล้นเขาก็ดี ไปลักวัวลักควายเขามาก็ดี ไม่รู้เขาคิดอย่างไรเวลาผ่านมาหน้าวัด เขาต้องยิงปืนถวายหลวงพ่อเป็นการเคารพ ยิงเป็นชุด ๆ เลย ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ แล้วก็เรียกหลวงพ่อ สวัสดีหลวงพ่อกวย สวัสดีอาจารย์กวย สวัสดีหลวงพี่กวย อย่างนี้เป็นต้น เวลายิงปืนเขานิยมยิงใส่ต้นสำโรงหน้าวัด ต้นใหญ่มากสูงมาก ปืนที่ใช้ในสมัยนั้นคือปืนเล็กยาว ปืนเล็กยาวนี่ลูกปืนจะยาว มีอานุภาพสูงมาก แต่เดิมคนแต่ก่อนจะกลัวปืนลูกซองยาว เพราะยิงนัดเดียว ออกไป ๙ เม็ด แต่ปืนเล็กยาวนี่ถ้าเดินซ้อนกันยิงนัดเดียวทะลุ ๓ คนเลย ภายหลังทางราชการขอเก็บเข้าคลังหมด ปืนเล็กยาวนี้เสือและโจรกลัวกันมาก
 
เรื่องที่ศิษย์ของหลวงพ่อเป็นเสือเป็นโจรนี่ ล่ำลือไปไกลมาก สาเหตุเพราะเสือ และโจรเวลาผ่านหน้าวัด ต้องยิงปืนถวายหลวงพ่อเพื่อแสดงความเคารพ เรื่องนี้ดังไปถึงกองปราบ สมัยก่อนกองปราบขึ้นตรงต่อกองปราบปรามสามยอด ทางกองปราบได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจชนิดเส้นมือขาดให้มาปราบชุมเสือ ที่ อำเภอสรรค์บุรี และให้ถือทั้งหนังสือและคำสั่งมาว่า ให้มาบอกอาจารย์กวย วัดบ้านแค เลิกสักเด็ดขาด
 
หลวงพ่อท่านรู้ว่าทางกองปราบเอาท่านแน่ ท่านได้ถากเปลือกต้นสำโรงออกให้เรียบแล้วลงด้วยคาถา “ยา นะ อิ ติ” เมื่อศิษย์ท่านที่เป็นเสือเป็นโจร ไล่วัวไล่ควายผ่านมา ได้ยิงไปที่ต้นสำโรง ปรากฏว่ายิงไม่ออกเลย ไม่ว่าจะยิงกี่ครั้ง กี่กระบอก เรื่องนี้ให้ถามอาจารย์ลมูลเจ้าอาวาสวัดสระแจง อำเภอบางระจัน ได้ เป็นน้องชายแท้ ๆ ของอาจารย์แสวง วัดหนองอีดุก ต่อมาทางกองปราบก็มากันเป็นชุด ๗ – ๘ คนบ้าง ๑๐ กว่าคนบ้าง เมื่อเข้าถิ่นหัวเด่นบ้านแคเขาว่าอาจารย์กวย วัดบ้านแค ลงต้นไม้เอาไว้ยิงไม่ออก เมื่อมาถึงก็ทดลองยิงดูทั้งปืนพระราม ปืน ร.ศ. และปืนเล็กยาวยิงไม่ออกทั้งหมด มากันกี่ชุดกี่ครั้งก็ลองยิงกันทุกครั้ง เห็นท่าว่ายิงไม่ออกแน่ก็ขึ้นไปกราบหลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่อสักยันต์ให้ คือสมัยนั้นหลวงพ่อยังไม่ได้สร้างตะกรุดหรือแหวนแขน กองปราบที่ส่งมาปราบปรามเสือและโจรก็เป็นศิษย์หลวงพ่อทั้งหมด เมื่อเป็นศิษย์ก็ไม่กล้าเอ่ยปากบอกกับหลวงพ่อว่า ทางกองปราบขอให้หลวงพ่อเลิกสัก วันหนึ่งทางกองปราบคนที่เป็นหัวหน้าได้เอ่ยปากพูดเรื่องนี้กับท่าน ท่านได้พูดว่า “จะให้สักแต่พวกมึงน่ะหรือ แล้วคนอื่นมันไม่ใช่คนหรือ” แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า ถ้าท่านจะเลิกสักท่านจะเลิกเองคือท่านพูดว่า “ถ้ากูจะเลิกสักกูเลิกเอง ไม่ใช่เลิกสักเพราะกลัวพวกมึง” ต่อมาท่านก็สักของท่านเรื่อย ๆ แล้วพอท่านจะเลิกสัก ท่านก็เลิกเอง เกี่ยวกับการสักนี้ท่านเคยพูดกับคุณกมลตลาดท่าช้างไว้ว่า “ถ้ากูไม่เลิกสัก กุฏิกูนี่เอาแบงก์ร้อยมุงหลังคาได้” อันนี้ก็คงจริงศิษย์ท่านที่สักต่อมาคือ อาจารย์ทรง วัดแหลมคาง สักยันต์เอาเงินค่าครูสร้างโบสถ์ได้หนึ่งหลัง โบสถ์วัดแหลมคาง ปัจจุบันอาจารย์ทรง เลิกสักแล้ว อาจารย์แสวงสักอยู่ ๓ ปี เอาเงินค่าครู ๑๒ บาท สร้างพระใหญ่ได้ ๒ องค์ ใหญ่สูงขนาดต้นตาล

 เกี่ยวกับเรื่องที่ท่านลงยันต์ห้ามลูกปืนที่ต้นสำโรงนี้ อยู่ต่อมาคนเขาร่ำลือว่าท่านไม่ชอบเสียงปืน คือท่านคงลงมนต์ย้ำอยู่เรื่อย ๆ แม้การแก้บนด้วยประทัดเขาก็ไม่นิยม ต้นสำโรงต้นนั้นด้วยอำนาจของกระสุนปืนชนิดรุนแรงคือปืนเล็กยาว ที่ศิษย์ท่านยิงถวายท่านทำให้ต้นสำโรงหน้าวัดถึงกับยืนต้นตาย เมื่อประมาณ ๓ – ๔ ปีมานี้ มีลิเกมาเล่นที่วัดแก้บน เล่นอยู่ ๗ วัน ๗ คืน คงไม่ได้เล่นตอนกลางวันด้วย เรียกว่าเล่นอยู่ ๗ คืน ลิเกได้แสดงอยู่ใต้ต้นสำโรงกลางคืนมีคนมาดูหลายร้อยคน รุ่งเช้าของคืนวันที่ ๗ ผ่านไป ลิเกเก็บข้าวของกลับบ้าน พอถอยรถพ้นรัศมีของต้นสำโรงเท่านั้นเอง ต้นสำโรงซึ่งยืนต้นตายมานานถึงกลับล้มลงมา แม้ลมก็ไม่ได้พัด คณะลิเกกำลังจะไป ไปไม่ได้ ต้องลงมากราบรูปหล่อหลวงพ่อกันใหม่อีกครั้ง เรื่องนี้แสดงถึงจิตของหลวงพ่อที่ห่วงคนมาดูลิเก เป็นห่วงลิเกไม่รู้ว่าท่านต้องพยุงต้นสำโรงไม่ให้โค่นมากี่วันแล้ว ต้นสำโรงเมื่อโค่นลงมาแล้วคณะกรรมการวัดได้มาช่วยกันตัดช่วยกันเลื่อยเป็นเวลาถึง ๕ วัน ถ้าท่านมาวัดถามเรื่องนี้กับลุงเนียมคนหน้าวัดได้เลย

เกี่ยวกับคาถา ๔ ตัว ที่ท่านจารลงบนต้นสำโรง นี้ ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นคาถาอะไรเช่นกัน ท่านได้ใส่ไว้ที่สมเด็จหลังรูปเหมือนชนิดเต็มองค์ทั้ง ๒ รุ่น ใครที่มีสมเด็จหลังรูปเหมือนชนิดเต็มองค์ลอง ๆ อ่านดู ทีนี้จะเล่าถึงวิชาลงอาถรรพณ์ หลวงพ่อได้ลงหลักอาถรรพ์ไว้ ๔ หลัก ๔ เสา ที่วัดท่านกันคุณผีคุณคน กันอำนาจลึกลับ วิชานี้ท่านยังได้ลงจารไว้ที่ลูกนิมิต ฝังไว้รอบพระอุโบสถ วิชาลงหลักอาถรรพณ์นี้ ลุงทอด คนบ้านแคได้ไปเขาหวงมาก เคยมีคนมาขอให้แกไปลงเสาหลักกันขโมย กันโจรบ้างเหมือนกัน แกเล่าว่า เวลาขุดดินลงเสาหลักห้ามมิให้ดินหล่นลงไป แต่คนบ้านแคเขาไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เขาเชื่อลูกปืนเขาว่าแน่นอนกว่า เกี่ยวกับอภินิหารวิชาลงอาถรรพณ์นี้ หลวงพ่อท่านมีข้อห้ามอย่างหนึ่งคือ ห้ามไม่ให้เอาเหล้าเข้ามากินในวัด ห้ามเด็ดขาด แม้คนขายของหน้าวัดก็รับปากหลวงพ่อ ปัจจุบันเขาก็ไม่ขาย จะขอเล่าถึงอภินิหารการลงหลักอาถรรพณ์นี้ไว้ สามารถคุ้มวัดได้ดังนี้

เรื่องที่ ๑ คุณยายฉาย คนหัวเด่นเคยนำนาคมาบวช คนวนโบสถ์ไม่รู้ว่าหลวงพ่อห้ามกินเหล้าในวัด ได้ถือขวดเหล้าวนโบสถ์ ปรากฎว่าผึ้งหลวงรังที่เคยอยู่ในกุฏิของหลวงพ่อได้มารุมต่อยคนวนโบสถ์ ชนิดขบวนแตกเลย

 เรื่องที่ ๒ นายสมควร เพชรจั่น ได้เอาเหล้ามานั่งกินที่มณฑปรูปหล่อตกดึกไม่รู้เป็นอะไร นายสมควร หัวแตกต้องหามส่งโรงพยาบาล

เรื่องที่ ๓ นายช่วง จั่นหนู ได้เอาเหล้ามานั่งกินข้าง ๆ ลูกนิมิตที่วัด วันหนึ่งขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปธุระที่โพธิ์งาม รถคว่ำตายคาที่เลย
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ กันยายน 01, 2012, 10:40:55 pm
 :o :o :o :o :o :o
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ กันยายน 02, 2012, 08:37:25 pm
สุดยอดประสบการณ์เลยครับพี่ weerawat26 ;) ;) ;) ;) ;) ;)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 05, 2012, 09:18:23 am
ทดลอง ทดลอง เมื่อวานเห็นเวปล่ม ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 07, 2012, 08:09:28 am
ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒๔๐
วันที่ ๑๕ มิ.ย. – ๒๕ มิ.ย.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


วิชาลงอาถรรพณ์(ต่อ)

เรื่องที่ ๔ เกิดขึ้นในงานฝังลูกนิมิต พ.ศ.๒๕๒๑ มีคนขโมยจักรยานขี่ออกไปจากวัด เจ้าของได้ไปบอกหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกให้ไปคอยหน้ากองอำนวยการ เดี๋ยวมันก็ขี่กลับมาเอง ผลคือคนร้ายได้ขี่จักรยานวนเวียนกลับเข้ามาในวัด มาโดนจับที่หน้ากองอำนวยการ เจ้าของจักรยานชื่อ กล่ำ เป็นคนอำเภอสรรค์บุรี
อีกเรื่องหนึ่งเกิดในงานฝังลูกนิมิตเช่นกัน คุณสะอิ้ง เป็นคนสรรค์บุรี โดนกระตุกสร้อยในงาน ได้ขึ้นไปหาหลวงพ่อบอกหลวงพ่อว่าโดนกระตุกสร้อย หลวงพ่อบอกให้คอยที่กุฏินี่ เดี๋ยวมันจะเอามาคืน ประมาณ ๒๐ นาทีได้ คนร้ายได้มากราบขอโทษหลวงพ่อแล้วเอาสร้อยคืนเจ้าของ
เรื่องสุดท้ายแล้วกัน ในงานฝังลูกนิมิตเช่นกัน สิบโทฉลวย ได้มาดูแลความสงบเรียบร้อยในงาน ได้กวดจับคนร้ายทำปืนพกหล่อนหายหาไม่เจอ เพราะมีคนเก็บเอาไป หลวงพ่อให้ไปประกาศออกไมค์ ใครพบปืนให้เอามาคืนจะไม่เอาผิด พอประกาศออกไปมีคนเอาปืนมาคืนทันที
ก็จบเรื่องวิชาลงอาถรรพณ์ไว้เพียงนี้ สรุปแล้ววิชานี้ผู้เขียนเองไม่มีความรู้เรื่องวิชานี้เลย


ชี้แจงเงินมูลนิธิ

ก็ขอขอบพระคุณทุกท่าน ที่เห็นความสำคัญของมูลนิธิ “ชุตินฺธโร ศิษย์ร่วมกตัญญู” เงินของท่านทุกบาททุกสตางค์ ผมจะรวบรวมรักษาไว้ให้ดีที่สุด ก่อนจะจบเรื่องผมจะนำมอบให้ท่านอาจารย์ใหญ่ ร.ร.วัดโฆสิตาราม และอาจารย์สำรวย เจ้าอาวาสวัดโฆสิตาราม เป็นผู้ดำเนินการ เงินดอกผลของมูลนิธิเข้าใจว่าจะแบ่งเป็น ๒ ส่วน คือทำบุญอุทิศให้หลวงพ่อ ๑๒ เมษายนส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งมอบให้เป็นทุนการศึกษานักเรียน เรียนดีแต่ยากจน โรงเรียนของหลวงพ่อ ขอให้ท่านทั้งหลายที่ทำบุญมา ขอให้ประสบแต่ความสุขความเจริญ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า แม้ท่านต้องล่วงลับจากโลกนี้ไป หากท่านตกต่ำอยู่ในปรโลก ในวันที่ ๑๒ เมษายน ซึ่งเป็นวันทำบุญมรภาพของหลวงพ่อทุกปี ขอให้ท่านได้อ้างบุญมูลนิธินี้ เพื่อผ่อนหนักเป็นเบาด้วยเทอญ สาธุ

พลังจิตหลวงพ่อ

ในปี พ.ศ.๒๕๒๑ ติดต่อ พ.ศ.๒๕๒๒ ทางวัดได้หล่อรูปหล่อขนาดเท่าองค์จริงของหลวงพ่อขึ้น เป็นการหล่อแบบโบราณมีการตั้งราชวัตรฉัตรธงวงสายสิญจน์ นิมนต์พระสวดพระคาถา โลหะที่ใช้เป็นทองเหลือง ทองแดง ลงหิน ชาวบ้านนำมามีหลายคนนำสร้อยคอทองคำ อธิษฐานหล่อหลอมลงไป รูปหล่อเท่าองค์จริงของหลวงพ่อนี้ หล่อได้สวยงามมากเหมือนมีชีวิตจริงตัวท่านเป็นประกาย ในการสร้างรูปหล่อใหญ่นี้ ทางวัดได้ว่าจ้างช่างทำรูปหล่อเหมือนองค์เล็กบรรจุกริ่งขึ้น เป็นรูปหล่อฉีดกะไหล่ทองสวยงามมากคือสวยแบบรุ่นใหม่ เรียกรูปหล่อรุ่นนี้ว่ารูปหล่อกริ่ง หรือรูปหล่อรุ่น ๒

เมื่อทางวัดได้สร้างรูปหล่อใหญ่ของหลวงพ่อขึ้นมาแล้ว ทางวัดยังไม่ได้ทำมณฑปประดิษฐานรูปหล่อคงเอาตั้งแอบ ๆ เอาไว้ที่กองอำนวยการ ปิดใส่กุญแจไว้ ในปี พ.ศ.๒๕๒๒ เดือนมีนาคม ท่านล้มเจ็บไม่สบาย คือไม่มีโรคอะไร แต่ท่านฉันข้าวไม่ได้ ไม่มีแรง พระตั้วได้ดูแลท่านอยู่ ธาตุท่านไม่เสมอกัน คือ มีอาการไข้ตัวร้อน คืนวันหนึ่งท่านได้ไห้พระตั้วไปเอาสายสิญจน์ไปวนรอบศีรษะรูปหล่อท่าน แล้วเดินสายสิญจน์มาที่ตัวท่าน คือเข้าใจว่าท่านจะปลุกเสกรูปหล่อ ตอนนั้นทางวัดยังไม่มีไฟฟ้าใช้ เมื่อพระตั้วเช็ดตัวให้ท่านแล้วเอาแป้งฝุ่นทาตัวท่าน คือ ท่านจะได้ตัวเย็น ลดอาการไข้ เมื่อท่านสบายตัวดีแล้ว ท่านได้ไล่ให้พระตั้วออกไปข้างนอก ท่านบอกอยากจะอยู่เงียบ ๆ คือเวลาหลวงพ่อทำของหรือปลุกเสกของ ท่านจะทำแบบเต็มที่ ท่านจึงแอบ ๆ ทำกลัวใครจะมาเห็นเข้าจะไม่ดี แม้แต่ทำน้ำมนต์หรือเอาพระในคอให้ท่านปลุกเสกก็ตาม ท่านต้องเข้าไปทำในกุฏิเสมอ เมื่อพระตั้วออกไปแล้ว ท่านนอนจับสายสิญจน์อยู่ในความมืด คือยุงไม่กัดท่าน ท่านสามารถนอนโล่ง ๆ ได้ เมื่อพระตั้วกลับที่กุฏิ สรงน้ำ สวดมนต์เรียบร้อย ก็จะเข้าจำวัดคือนอน เกิดเป็นห่วงหลวงพ่อขึ้นมา จึงเดินมาดูเงียบ ๆ เพราะรู้ว่าหลวงพ่อต้องการความสงบ เมื่อโผล่เข้ามาแค่ประตู พระตั้วถึงกับยืนตัวแข็ง สิ่งที่เห็นคือ “ลำแสงกลม ๆ หลายสี กลมขนาดส้มโอหลายลูก” วิ่งลอยไปตามสายสิญจน์ เคลื่อนตัวแบบหลอดไฟกระพริบ แต่แสงนวลไม่ปวดตา ลำแสงนั้นเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า วิ่งตามสายสิญจน์ไปที่รูปหล่อใหญ่ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่หลายคืน และไม่รู้ว่าเกิดขึ้นคืนหนึ่งนานเท่าไร

เมื่อหลวงพ่อมรณภาพ ทางวัดได้สร้างมณฑปตั้งรูปหล่อจะด้วยความบังเอิญหรืออย่างไรไม่แน่ชัด รูปหล่อท่านหันหน้าไปทางต้นโพธิ์ที่ท่านอธิษฐานปลูกเอาไว้ และหันหน้าไปทางจังหวัดนครสวรรค์ ทิศทางที่อยู่ของอาจารย์ท่าน คือ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์
 
เกี่ยวกับรูปหล่อใหญ่ของหลวงพ่อนี้ทางศิษย์ต่างเคารพและหวงแหนกันมาก มีการบนบานบอกกล่าวกันเป็นประจำ ในหน้าหนาวทางศิษย์เป็นห่วงกลัวท่านจะหนาวได้ซื้อผ้าจีวรชนิดหนามาห่มคลุมให้ท่าน โผล่แต่ศีรษะ
 
มีข้อห้ามเกี่ยวกับตัวท่านเอาไว้ ๒ – ๓ ข้อคือ ท่านไม่ชอบเสียงดัง เช่น เสียงปืนหรือประทัด ห้ามบนด้วยประทัดท่านไม่ค่อยชอบ อีกเรื่องหนึ่งท่านห้ามไม่ให้ใครเอาขวดเหล้าเข้ามากินในวัด กินจากที่อื่นไม่เป็นไร คือกินจากที่อื่นแล้วเมามาเที่ยววัดไม่เป็นไร แต่ไม่ให้เอามากินในวัด คือวัดท่าน ท่านลงอาถรรพณ์เอาไว้ แม้แต่ร้านค้าหน้าวัดท่านก็ไม่ให้ขายเหล้า ปัจจุบันร้านค้าก็ไม่ขาย แม้เวลาจะล่วงเลยมาตก ๑๐ กว่าปีก็ตาม เคยมีคนเอาเหล้าเข้ามากินในวัด คือเมาถือขวดเหล้าวนรอบโบสถ์ คือบวชนาค ปรากฏว่าผึ้งหลวงรังที่ท่านเคยเลี้ยงเอาไว้ในกุฏิ ได้บินมาต่อยเต็มไปหมด มากันเป็นหมื่น ๆ ตัว คุณยายฉายคนหัวเด่นเคยโดนต่อย มาต่อว่าท่าน ท่านไม่พูด ท่านได้แต่หัวเราะในลำคอ หึ หึ ปัจจุบันผึ้งหลวงของท่านรังนี้ยังอยู่ ไม่รู้ว่าไปเกาะอยู่ที่ไหน แต่เขาจะมาทำหน้าที่ของเขาทุกครั้ง ถ้ามีการถือขวดเหล้าวนโบสถ์

นายสมควร เพชรจั่น ชื่อจริง นามสกุลจริง เป็นคนบ้านแคโดยกำเนิด กินเหล้าเมามาจากที่อื่น มาเที่ยวงานด้วย คือที่วัดมีงานวัด แกคงจะกลัวว่าเมื่อไปถึงวัด จะไม่มีเหล้าขายแกเลยซื้อจากข้างนอกติดมือถือเหล้าเอาไปในงานด้วย พอไปถึงวัดเดินเที่ยวงานจนทั่วไม่เห็นมีอะไรน่าดู เลยมานั่งกินเหล้าที่มณฑปรูปหล่อของหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็ใจดีไม่พูดสักคำเดียว ตกดึกคืนวันนั้น มีคนหามนายสมควร เพชรจั่น ไปส่งโรงพยาบาล เลือดเต็มหัวเต็มตัวไปหมดไม่ทราบว่าใครตี หรือหัวแตกเพราะอะไร ถามเจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าแตกเพราะอะไร

จดหมายจากคุณวิเชียร เกิดประถม

สปอ.พัฒนานิคม

เรียน คุณเฒ่า สุพรรณ ที่นับถือ

คือผมถ่ายเอกสารหลวงพ่อกวยตอนที่ท่านได้รับอาราธนาร้างพระสมเด็จและรูปเหมือนสมเด็จพุฒาจารย์โต ณ วัดกัลยาณมิตร ธนบุรี เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๐๐ โดยมีผู้ดำเนินการคือพระครูกัลยานุกูล โดยท่านได้ใช้เวลาในการติดต่อพระเกจิจากทั่วประเทศ โดยใช้เวลา ๓ ปี จาก ๔๕๔ อำเภอ ได้พระอาจารย์ที่คนยอมรับทั้งสิ้น ๑,๗๘๒ รูป และลงพระยันต์ ๑๓,๖๗๗ พระยันต์ และจากพระอาจารย์ ๑,๗๘๒ รูป หลวงพ่อกวย เจ้าอาวาสวัดโฆสิตาราม เป็นหนึ่งในความยิ่งใหญ่นั้น ผมขอบูชาคุณท่านด้วยครับ

ผมถ่ายเอกสารหน้า ๔๙ มาให้คุณดูจากหนังสืออนุสรณ์เล่มใหญ่มากครับ

ขอแสดงความนับถือ

นายวิเชียร เกิดประกอบ


ตอบคุณวิเชียร ก็ขอขอบคุณ คุณวิเชียรเป็นอย่างสูงที่อุตส่าห์ถ่ายเอกสารและให้ข้อมูลเพิ่มเติมมา พระกัลยานุกูล เข้าใจว่าคือหลวงพ่อเส่ง ส่วนวัตถุมงคลของวัดกัลยาณ์ฯ รุ่น พ.ศ.๒๕๐๐ ใครที่มีไว้บูชา ก็ขอให้รับทราบไว้ว่า ท่านหลวงพ่อกวย ได้ร่วมปลุกเสกไว้ด้วย ในหนังสืออนุสรณ์ได้พิมพ์ไว้ว่า หลวงพ่อท่านลงแผ่นยันต์ ทางคงกระพัน ค้าขายดี เมตตา และแก้ลมเพลมพัด แสดงว่าหลวงพ่อท่านชำนาญทางนี้จริง ๆ

ขอบคุณอีกครั้ง

ฒ. สุพรรณ

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ กันยายน 07, 2012, 09:52:14 pm
;) ;) ;) ;) ขอบคุณมากครับพี่สำหรับข้อมูลดีๆ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 11, 2012, 01:28:31 pm
คอยติดตามอ่านตอนต่อไปนะครับ จะลงให้อ่านกันทุกอาทิตย์ครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 14, 2012, 08:31:06 am
ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒๔๑
วันที่ ๒๕ มิ.ย. – ๕ ก.ค.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


จดหมายคุณสมบูรณ์ ประภาสะวัต
๓๐/๑ หมู่ ๔ ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี


เรียน อ.เฒ่า ที่นับถือ

กระผมอยากเล่าประสบการณ์ของวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยให้อาจารย์ฟังบ้าง ก็ไม่น่าตื่นเต้นหรอกครับ แต่ก็เหลือเชื่อ

อาจารย์คงเคยสะอึกนะครับ บางคนพอสะอึกดื่มน้ำก็หาย แต่นี่ผมสะอึกเป็นวันทำอย่างไร ตามคำแนะนำผู้ใหญ่ก็ไม่หาย นึกถึงหลวงพ่อกวยก็เลยอยากลองของ กระผมเคยขับรถลุยถนนลูกรังเข้าไปเช่าวัตถุมงคลถึงวัดเลยครับ ตอนนั้นตามศูนย์พระเครื่องยังไม่มีให้ทำบุญ ผมได้มาหลายอย่าง หลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านใจดีจริง ๆ ท่านแจกข้าวต้มผัดให้ลูกสาวผมด้วย แถมยังชวนค้างเลย ตอนนั้นผมถึงวัดเย็นมากแล้วรอท่านทำวัตรเย็นเสร็จ ได้กราบหลวงพ่อกวยด้วย ขอเล่าเรื่องสะอึกต่อว่า

กระผมได้เอารูปเล็กของหลวงพ่อติดจีวรหลัง ยกขึ้นจบเหนือหัว อาราธนาบอกเล่าท่านตอนนั้นผมมีสมาธิจริง ๆ พอนึกถึงท่านบอกท่านเสร็จ อาจารย์ครับไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ผมไม่รู้ว่าผมเลิกสะอึกได้อย่างไร เป็นปลิดทิ้งจริง ๆ ผมเคยสะอึกอยู่เรื่อย แต่ละครั้งเป็นวัน ตั้งแต่ขอให้หลวงพ่อท่านช่วยแล้วยังไม่เคยสะอึกอีกเลย ผมตั้งใจจะเขียนมาเล่าเพื่อเผยแพร่พระคุณหลวงพ่อที่มีต่อผมมานานแล้ว เพิ่งจะมีโอกาส ผมนับถือและเคารพหลวงพ่อมากครับ ขอเรียนถามอีกเรื่องหนึ่งครับ หลวงพ่อกวยเคยสร้างพระปิดตาขัดสมาธิเพชร ด้านหลังเป็นยันต์แบบขวามือท่าน (นะโมพุทธายะ) แบบรูปปาการ์ดหรือเปล่าครับ อยากทราบว่า หลวงพ่อเคยสร้างหรือเปล่าครับ

นับถือ

สมบูรณ์ ประภาสะวัต


ตอบคุณสมบูรณ์ พระปิดตาของคุณ อาจารย์ตั้วสร้างครับ แจกผ้าป่าปี ๒๕๓๒ นี้แหละ เข้าใจว่าไม่กำหนดอัตราทำบุญ ๑๐ ๒๐ ๓๐ บาท ไม่ว่ากัน ใช้ผงเก่า ๆ ของหลวงพ่อกวย และอีกหลายสิบหลวงพ่อทำและผสม ใครอยากได้ไว้บูชาก็ติดต่อที่วัดเอาเอง ที่ อาจารย์ตั้ว (โอภาส) วัดทับขี้เหล็ก ต.หันคา อ.หันคา จ.ชัยนาท

นับถือ

ฒ.สุพรรณ


จะรีบไปตายที่ไหน

หลวงพ่อเป็นพระที่มีวาจาสิทธิ์พูดคำไหนเป็นคำนั้น คำพูดของท่านเหมือนคำประกาศิต ทุกครั้งที่ท่านว่ากล่าวติเตือนใคร ล้วนเป็นไปตามปากทั้งสิ้น แม้ในปัจจุบันนี้ในเรื่องของวาจาสิทธิ์ของท่าน ยังมีพยานบุคคลยืนยันอยู่ แต่ทุกครั้งที่ท่านพูดออกไป ท่านไม่เคยเสียใจ เพราะคนที่ท่านว่ากล่าวโดยมากสมควรจริง ๆ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านเสียใจมาก

วันนั้นท่านอยู่ในกุฏิกำลังปลุกเสกพระอยู่ หรือจะทำพระหรือทำตะกรุดไม่แน่ใจ มีรถ ๑๐ ล้อวิ่งมาด้วยความเร็วสูง ฝุ่นตลบไปหมดเสียงดังมาก คนขับ ขับรถมาแบบบ้าระห่ำขาดความเกรงใจ หลวงพ่อท่านออกมาจากกุฏิ ตอนนั้นกรรมการวัดอยู่กันหลายคนท่านได้พูดว่า“ไอ้รถคันนี้มันจะรีบไปตายที่ไหนของมันวะ” แล้วท่านก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย กรรมการวัดก็ไม่ได้คิดอะไร พอสายของวันนั้น มีข่าวว่ารถ ๑๐ ล้อคันที่หลวงพ่อพูดถึงได้พลิกคว่ำ มีคนตาย ๕ คน คนขับชื่อ นายเจือ ผู้หญิงที่ตายอีก ๒ คน ชื่อ นางใหม่ และนางทุเรียน วันนั้นมีผู้หญิงตายทันที ๓ คน ผู้ชาย ๒ คน แท้จริงคนที่ตายนั้นเป็นคนไม่ไกลจากหมู่บ้าน บ้านแคเท่าไร เมื่อมีคนมาเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง รู้สึกท่านสะเทือนใจ ท่านเลยพูดน้อยลงไปอีก ทั้ง ๆ ที่ปกติท่านก็พูดน้อยอยู่แล้ว

อ้อ ! รถประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำที่หมู่บ้านร่องแห้ว

มูลนิธิของหลวงพ่อ

ก็ต้องขอบคุณทุกท่านที่ทำบุญมูลนิธิมาและเห็นความสำคัญ ขอขบคุณคุณเนื่อง แก้วพฤกษ์ ด้วยทราบว่าไม่ค่อยสบาย ขอให้หายไว ๆ ขอขอบคุณคุณน้าจันทร์ทิพย์ จำปาแฝด บุตรชายของคุณน้า ทำบุญมาครับ ให้คุณน้า เดี๋ยวคุณน้าอ่านเจอจะตกใจว่ามีชื่อได้อย่างไร นับว่าเป็นลูกกตัญญูจริง ๆ
 
ขอขอบคุณเพื่อนรักจากแดนไกล เชียงราย ทำบุญมา ๕๐๐ บาท ไม่ประสงค์ออกนาม ผมรับเงินไว้เรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้ยอดเงินมูลนิธิได้ประมาณ ๓๓,๐๐๐ บาทแล้วครับ ตั้งใจไว้ว่าอยากจะฝากผลงานไว้ในพระศาสนาสัก ๓๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่รู้ว่าจะได้สักเท่าไร ก่อนจบเรื่องผมจะทำพิธีมอบให้กับท่านอาจารย์สำรวย เจ้าอาวาสและท่านอาจารย์ใหญ่ ร.ร.วัดโฆสิตาราม ก็ขอขอบคุณท่านทั้งหลายอีกครั้ง ขอให้ท่านทั้งหลายจงประสบแต่ความสุขความเจริญตลอดไป สาธุ

วัตถุมงคลวัดเขาใหญ่

ต่อไปจะขอเล่าถึงวัตถุมงคล คือ เหรียญหลวงพ่อกวย ที่ออกที่วัดเขาใหญ่ ความจริงเหรียญรุ่นนี้ ผมตั้งใจว่าจะประกาศให้ทราบก่อนจบเรื่องของท่าน หรือไม่ก็จะมอบให้ท่านเป็นของขวัญปีใหม่ เอาเข้าจริงแล้วมีจดหมายเขียนมาถามผมมาก เรื่องเหรียญรุ่นนี้ผมจึงเห็นว่าเหรียญรุ่นนี้สมควรจะออกสู่สายตาชาวโลกซะที
 
กำเนิดเหรียญรุ่นนี้ เกิดจากท่านพัศดีเรียน นุ่มดี ท่านเป็นคนท่าเตียน อ.เดิมบางนางบวช สุพรรณบุรี ใกล้ ๆ กับวัดเขาใหญ่ ท่านเป็นพัศดีเรือนจำ จังหวัดนครสวรรค์ เป็นผู้ตั้งมั่นในพระศาสนา ท่านเห็นว่าวัดเขาใหญ่ซึ่งอยู่ในอำเภอเดิมบางนางบวช ใกล้บ้านท่านชำรุดทรุดโทรม พระภิกษุสามเณรไม่มีน้ำใช้น้ำฉัน จึงได้คิดบูรณะขึ้นให้ดี ด้วยกุศลเจตนาอันดีและบริสุทธิ์ ท่านจึงได้ขออนุญาตพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ๙ รูปเพื่อขออนุญาตสร้างเหรียญขึ้น ชื่อว่าเหรียญจตุรพิธพรชัย ๙ พระอาจารย์ และได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษกขึ้นที่วัดหอรัตนชัย หรือวัดจีน ต.หอรัตนชัย อ.พระนคร จ.พระนครศรีอยุธยา สาเหตุที่ท่านได้นำไปประกอบพิธีที่วัดหอรัตนชัย เพราะภรรยาท่านเป็นชาว จ.พระนครศรีอยุธยา

เหรียญหลวงพ่อที่จัดสร้างขึ้น ๙ พระอาจารย์ มีดังนี้
๑.หลวงพ่อโกย วัดพนัญเชิง อยุธยา
๒.หลวงพ่อถิร  วัดป่าเลไลยก์ สุพรรณบุรี
๓.หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี
๔.หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ อยุธยา
๕.หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์ ลพบุรี
๖.หลวงพ่อออด วัดบ้านช้าง อยุธยา
๗.หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ชัยนาท
๘.หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค นครสวรรค์
๙.หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง อยุธยา


เหรียญที่สร้างเป็นเหรียญทองแดงรมดำ ครึ่งองค์ทุกหลวงพ่อ ด้านหลังเป็นยันต์เฉพาะตัวของแต่ละหลวงพ่อ สร้างที่ร้านทองดีการช่าง กทม. เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ท่านพัศดีเรียนได้นำเหรียญทั้งหมดไปให้หลวงพ่อแต่ละองค์ปลุกเสกเป็นเวลาเดือนเศษ เสร็จแล้วจึงได้นำมาประกอบพิธีพุทธาภิเษก ที่วัดหอรัตนชัย ในคืนวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๘ เวลา ๑ – ๒ ทุ่ม ๙ นาที

พระคณาจารย์ที่มานั่งปรกปลุกเสก มีดังนี้
๑.หลวงพ่อโกย วัดพนัญเชิง อยุธยา
๒.หลวงพ่อถิร  วัดป่าเลไลยก์ สุพรรณบุรี
๓.หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กทม.
๔.หลวงพ่อใหญ่ วัดสะแก อยุธยา
๕.หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี
๖.หลวงพ่อไวทย์ วัดบางซ้าย อยุธยา
๗.หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ อยุธยา
๘.หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์ ลพบุรี
๙.หลวงพ่อออด วัดบ้านช้าง อยุธยา
๑๐.หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร กทม.
๑๑.หลวงพ่อหวล วัดพุทไธศวรรย์ อยุธยา
๑๒.หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติการาม อยุธยา
๑๓.หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ชัยนาท
๑๔.หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค นครสวรรค์
๑๕.หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง อยุธยา
๑๖.หลวงพ่อโปร่ง วัดขุนทิพย์ อยุธยา


เมื่อประกอบพิธีพุทธาภิเษกแล้ว ท่านพัศดีเรียน ได้นำเหรียญจำนวน ๕๐๐ เหรียญ มอบให้หลวงพ่อแต่ละองค์นำกลับไปบูรณะวัดของท่าน ส่วนการจำหน่าย นั้น ทางวัดหอรัตนชัย ได้เปิดจำหน่ายและได้นำเงินมาบูรณะวัดเขาใหญ่ เหรียญที่เหลือซึ่งแต่ละหลวงพ่อสร้างจำนวน ๕,๕๙๙ เหรียญ เหลือประมาณตอนนี้ ๕๐๐ เหรียญ ทางวัดหอรัตนชัย ได้มอบให้วัดเขาใหญ่มา อัตราทำบุญในปี พ.ศ.๒๕๑๘ เหรียญละ ๒๐ บาท ๑ ชุด ๙ เหรียญ ๑๕๐ บาท

อย่าเพิ่งรีบนะครับ นั่นมันราคาค่าบูชาเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๘ นอกจากเหรียญ ๙ อาจารย์แล้ว วัตถุมงคลที่สร้างพร้อมกันมี สมเด็จ ๓ สมัย สมเด็จด้านหลังเป็นรูปสมเด็จโต พระปิดตาเนื้อผง พระนาคปรกเล็ก เหรียญเล็ก หลวงพ่อโต

เหรียญหลวงพ่อกวยที่สร้างและออกแบบโดย ทองดีการช่าง แกะเป็นรูปหลวงพ่อกวยครึ่งองค์ แกะได้สวยงามพอสมควร แต่อายุ ๗๓ นั้น ช่างได้แกะผิด คือคงได้ข้อมูลผิดไป ความจริงตอนนั้นหลวงพ่ออายุ ๖๙ ปี ยังแข็งแรงดีมาก ด้านหลังเหรียญเป็นยันต์กันภัย คาถา ๔ ตัว ของหลวงพ่อเฒ่า ผู้วิเศษแห่งวัดค้างคาว ปรมาจารย์ผู้ยิ่งยง แห่งเมืองสรรค์

ต่อไปจะขอเล่าถึงเกร็ดอภินิหารของวัตถุมงคลชุดนี้ คือขณะที่ปลุกเสกเหรียญชุดนี้อยู่ในอุโบสถวัดจีน ขณะพักสวดพุทธาภิเษก ได้มีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งได้พูดคุยกันว่าจะนำเหรียญชุดนี้เอาไปทดลองยิง ท่านพัศดีเรียนท่านรู้เข้าก็ไม่สบายใจ กลัวว่าถ้ายิงออกจะไม่มีคนเช่าบูชาเอาไปใช้ ทางวัดและทางท่านซึ่งเป็นแม่งานรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ท่านพัศดีเรียนได้กระซิบบอกหลวงพ่อทุกองค์ว่า ให้ปลุกเสกให้เต็มที่ เพราะวัยรุ่นนอกโบสถ์จะนำเหรียญไปทดลอง ถ้าเหรียญนี้ยิงออกทางวัดต้องจำหน่ายไม่ออก และท่านเองอุตส่าห์ตั้งใจสร้างเหรียญรุ่นนี้ขึ้นมาย่อมไม่เกิดอะไรเลย

ฝ่ายหลวงพ่อทั้ง ๑๖ องค์ ก็นั่งปลุกเสกกันเต็มที่ กลัวจะเสียชื่อ เมื่อดับเทียนชัยแล้ว ท่านพัศดีเรียนได้ปรึกษากับพระผู้ใหญ่ว่า สมควรจะให้หลวงพ่อองค์ไหนประพรมน้ำพระพุทธมนต์ดี ตกลงมีมติให้หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ ประพรมน้ำพระพุทธมนต์เพราะตอนนั้นหลวงพ่อนอกำลังดังทะลุฟ้าเลย เมื่อพัศดีเรียนอุ้มบาตรน้ำมนต์ไปนิมนต์ให้หลวงพ่อนอประพรมน้ำพุทธมนต์ หลวงพ่อนอได้ปฏิเสธ และชี้ให้ไปนิมนต์หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี พัศดีเรียนได้มานิมนต์หลวงปู่โต๊ะ หลวงปู่โต๊ะกลับปฏิเสธและชี้มาให้นิมนต์หลวงพ่อกวย โดยท่านพูดว่า “งานนี้ต้องพระครูชัยนาท” ตกลงหลวงพ่อกวยท่านประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เรื่องนี้ถ้าท่านเคยอ่านประวัติของหลวงพ่อตอนวัตถุมงคลวัดท่าทอง ท่านจะจำได้ว่าหลวงพ่อกับหลวงปู่โต๊ะเคยพุทธาภิเษกร่วมกันครั้งหนึ่งแล้ว ที่วัดท่าทองในคืนวันนั้นหลังจากพักสวดพุทธาภิเษก หลวงปู่โต๊ะได้เอ่ยปากถามชาวบ้านว่า“พระครูองค์นี้ชื่ออะไร อยู่วัดไหน อาคมแก่กล้าเหลือเกิน” บังเอิญคืนวันนั้นฝนตก หลวงปู่โต๊ะได้ชี้ไปที่สายสิญจน์ที่วนรอบพิธี ท่านพูดว่า “ดูซิแมลงเม่ายังบินเข้ามาในวงสายสิญจน์ไม่ได้เลย”       คือหลวงพ่อกวยท่านสำเร็จวิชาลงอาถรรพณ์ คืนวันนั้นแมลงเม่า ตัวที่ปีกหลุดยังไต่เข้ามาในสายสิญจน์ไม่ได้ ได้แต่ไต่ที่สายสิญจน์ นับว่าแปลกมาก ทำให้หลวงปู่โต๊ะเชื่อมั่นในหลวงพ่อกวย ให้หลวงพ่อกวยจัดการ

เมื่อหลวงพ่อพรมน้ำพระพุทธมนต์เสร็จ ท่านได้หยิบเหรียญรูปท่านขึ้นมากำมือหนึ่ง ท่านได้เดินออกมาหน้าพระอุโบสถที่วัยรุ่นจับกลุ่มอยู่ จะด้วยอำนาจตบะในตัวท่านหรืออย่างไรไม่แน่ชัด พอวัยรุ่นกลุ่มนั้นเจอท่าน บางคนกำลังเมาอยู่เกิดอาการหายเมาเป็นปลิดทิ้ง บางคนเกิดอาการตกประหม่า ท่านได้พูดว่า “คนไหนจะเอาเหรียญไปลองยิง” ปรากฏว่าไม่มีใครตอบ ได้แต่ก้มหน้านั่งนิ่ง หลวงพ่อเลยส่งเหรียญแจกให้ไปคนละ ๑ เหรียญ พร้อมทั้งพูดทิ้งท้ายอบรมว่า“พระเขาสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นที่ระลึก และกำลังใจในการทำมาหากิน และทำความดี ไม่ได้ทำเอาไว้เพื่อลองยิง”

เมื่อหลวงพ่อกลับมาจากพุทธาภิเษก ท่านได้เล่าให้ศิษย์ฟังว่า พระวัดบ้านช้าง (หมายถึงหลวงพ่อออด) เก่งปลุกเสกของตัวเฑาะว์ออกมาจากปากเลย พระวัดโบสถ์(หลวงพ่อพริ้ง) ดีทางกำบัง ส่วนพระวัดกลางท่าเรือ(หมายถึงหลวงพ่อนอ) องค์นี้ดีทางมหาอุด เมื่อศิษย์ของหลวงพ่อที่ได้ฟังก็อยากไปกราบ อยากไปเรียนวิชา ได้ไปกราบหลวงพ่อนอ หลวงพ่อออด หลวงพ่อพริ้ง ท่านทั้ง ๓ นี้กลับไล่ลูกศิษย์ของหลวงพ่อ โดยท่านพูดว่า “ให้กลับไปอยู่กับพระครูชัยนาทเถิด เขาไม่ใช่พระธรรมดา”

สำหรับเหรียญที่ท่านพัศดีเรียนมอบให้กับหลวงพ่อ ๕๐๐ เหรียญ บางส่วนหลวงพ่อได้แจกออกไป เหรียญส่วนหนึ่งท่านได้ฝังเอาไว้ที่เสา ๔ มุม ที่กุฏิใหม่ ตึกชุตินฺธโร  ท่านพูดว่า “เหรียญนี้ดีทางกันภัย”[/b] ท่านคงฝังเอาไว้แบบลงอาถรรพณ์

ส่วนท่านที่ต้องการวัตถุมงคลชุดนี้ไว้บูชา ให้ติดต่อที่ท่านอาจารย์ม้วน เจ้าอาวาสวัดเขาใหญ่ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี โดยบูชาเหรียญละ ๒๐ บาท ราคาเมื่อ ๑๕ ปีมาแล้ว คือ พ.ศ.๒๕๑๘ บูชาเป็นชุด ๙ เหรียญ ๑๕๐ บาท เหรียญทุกแบบมีอยู่ประมาณ ๕๐๐ เหรียญ ยกเว้นเหรียญหลวงพ่อกวยมีเหลืออยู่ประมาณ ๒๐๐ เหรียญ แม่พิมพ์ทุกแบบได้บรรจุไว้ในเจดีย์ และทำลายแล้ว ท่านอาจารย์ไม่รับติดต่อทางไปรษณีย์ เพราะงานท่านยุ่ง ท่านกลัวของหาย ใครอยากจะได้ไว้บูชาให้ไปบูชาที่วัดโดยตรง ทางมาวัด ถ้าท่านมาจากหมอชิต ให้มารถทัวร์ ขึ้นรถ กรุงเทพ – ท่าช้าง จากตลาดท่าช้าง จ้างมอเตอร์ไซค์ไปวัด ๑ กม. ถ้าท่านมาจากสายใต้ใหม่ ให้นั่งรถ กรุงเทพ-ท่าช้าง สายตรงไม่อ้อมนครปฐม ลงรถสุดสายเลยเช่นกัน ค่ารถ ๓๒ บาท แล้วต่อมอเตอร์ไซค์ไปวัด

ท่านที่เดินทางมาทำบุญบูชาเหรียญขอให้ท่านได้ระลึกถึงและอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ท่านพัศดีเรียน นุ่มดี ด้วย เพราะท่านเป็นผู้สร้างเหรียญเอาไว้ และท่านได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ก็ขอจบเรื่องวัตถุมงคลวัดเขาใหญ่ไว้เพียงเท่านี้ อย่าลืมนะครับ ถ้าท่านพลาดโอกาสนี้ ไม่ว่าสาเหตุใดท่านจะมีแต่คำว่าเสียใจอย่างเดียว คำอื่นไม่มี
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: anon ที่ กันยายน 15, 2012, 12:05:04 pm
อ้างถึง
คอยติดตามอ่านตอนต่อไปนะครับ จะลงให้อ่านกันทุกอาทิตย์ครับ  ;D

   ขอบพระคุณ คุณ Weerawat มากครับ เอามาลงให้อ่านอีกนะครับ เอาทุกตอนที่มีเลย  ;D
 อย่าให้เรื่องดีๆของหลวงพ่อสูญหายไปครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ กันยายน 15, 2012, 12:25:47 pm
ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒๔๑
วันที่ ๒๕ มิ.ย. – ๕ ก.ค.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


จดหมายคุณสมบูรณ์ ประภาสะวัต
๓๐/๑ หมู่ ๔ ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี


เรียน อ.เฒ่า ที่นับถือ

กระผมอยากเล่าประสบการณ์ของวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยให้อาจารย์ฟังบ้าง ก็ไม่น่าตื่นเต้นหรอกครับ แต่ก็เหลือเชื่อ

อาจารย์คงเคยสะอึกนะครับ บางคนพอสะอึกดื่มน้ำก็หาย แต่นี่ผมสะอึกเป็นวันทำอย่างไร ตามคำแนะนำผู้ใหญ่ก็ไม่หาย นึกถึงหลวงพ่อกวยก็เลยอยากลองของ กระผมเคยขับรถลุยถนนลูกรังเข้าไปเช่าวัตถุมงคลถึงวัดเลยครับ ตอนนั้นตามศูนย์พระเครื่องยังไม่มีให้ทำบุญ ผมได้มาหลายอย่าง หลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านใจดีจริง ๆ ท่านแจกข้าวต้มผัดให้ลูกสาวผมด้วย แถมยังชวนค้างเลย ตอนนั้นผมถึงวัดเย็นมากแล้วรอท่านทำวัตรเย็นเสร็จ ได้กราบหลวงพ่อกวยด้วย ขอเล่าเรื่องสะอึกต่อว่า

กระผมได้เอารูปเล็กของหลวงพ่อติดจีวรหลัง ยกขึ้นจบเหนือหัว อาราธนาบอกเล่าท่านตอนนั้นผมมีสมาธิจริง ๆ พอนึกถึงท่านบอกท่านเสร็จ อาจารย์ครับไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ผมไม่รู้ว่าผมเลิกสะอึกได้อย่างไร เป็นปลิดทิ้งจริง ๆ ผมเคยสะอึกอยู่เรื่อย แต่ละครั้งเป็นวัน ตั้งแต่ขอให้หลวงพ่อท่านช่วยแล้วยังไม่เคยสะอึกอีกเลย ผมตั้งใจจะเขียนมาเล่าเพื่อเผยแพร่พระคุณหลวงพ่อที่มีต่อผมมานานแล้ว เพิ่งจะมีโอกาส ผมนับถือและเคารพหลวงพ่อมากครับ ขอเรียนถามอีกเรื่องหนึ่งครับ หลวงพ่อกวยเคยสร้างพระปิดตาขัดสมาธิเพชร ด้านหลังเป็นยันต์แบบขวามือท่าน (นะโมพุทธายะ) แบบรูปปาการ์ดหรือเปล่าครับ อยากทราบว่า หลวงพ่อเคยสร้างหรือเปล่าครับ

นับถือ

สมบูรณ์ ประภาสะวัต


ตอบคุณสมบูรณ์ พระปิดตาของคุณ อาจารย์ตั้วสร้างครับ แจกผ้าป่าปี ๒๕๓๒ นี้แหละ เข้าใจว่าไม่กำหนดอัตราทำบุญ ๑๐ ๒๐ ๓๐ บาท ไม่ว่ากัน ใช้ผงเก่า ๆ ของหลวงพ่อกวย และอีกหลายสิบหลวงพ่อทำและผสม ใครอยากได้ไว้บูชาก็ติดต่อที่วัดเอาเอง ที่ อาจารย์ตั้ว (โอภาส) วัดทับขี้เหล็ก ต.หันคา อ.หันคา จ.ชัยนาท

นับถือ

ฒ.สุพรรณ


จะรีบไปตายที่ไหน

หลวงพ่อเป็นพระที่มีวาจาสิทธิ์พูดคำไหนเป็นคำนั้น คำพูดของท่านเหมือนคำประกาศิต ทุกครั้งที่ท่านว่ากล่าวติเตือนใคร ล้วนเป็นไปตามปากทั้งสิ้น แม้ในปัจจุบันนี้ในเรื่องของวาจาสิทธิ์ของท่าน ยังมีพยานบุคคลยืนยันอยู่ แต่ทุกครั้งที่ท่านพูดออกไป ท่านไม่เคยเสียใจ เพราะคนที่ท่านว่ากล่าวโดยมากสมควรจริง ๆ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านเสียใจมาก

วันนั้นท่านอยู่ในกุฏิกำลังปลุกเสกพระอยู่ หรือจะทำพระหรือทำตะกรุดไม่แน่ใจ มีรถ ๑๐ ล้อวิ่งมาด้วยความเร็วสูง ฝุ่นตลบไปหมดเสียงดังมาก คนขับ ขับรถมาแบบบ้าระห่ำขาดความเกรงใจ หลวงพ่อท่านออกมาจากกุฏิ ตอนนั้นกรรมการวัดอยู่กันหลายคนท่านได้พูดว่า“ไอ้รถคันนี้มันจะรีบไปตายที่ไหนของมันวะ” แล้วท่านก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย กรรมการวัดก็ไม่ได้คิดอะไร พอสายของวันนั้น มีข่าวว่ารถ ๑๐ ล้อคันที่หลวงพ่อพูดถึงได้พลิกคว่ำ มีคนตาย ๕ คน คนขับชื่อ นายเจือ ผู้หญิงที่ตายอีก ๒ คน ชื่อ นางใหม่ และนางทุเรียน วันนั้นมีผู้หญิงตายทันที ๓ คน ผู้ชาย ๒ คน แท้จริงคนที่ตายนั้นเป็นคนไม่ไกลจากหมู่บ้าน บ้านแคเท่าไร เมื่อมีคนมาเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง รู้สึกท่านสะเทือนใจ ท่านเลยพูดน้อยลงไปอีก ทั้ง ๆ ที่ปกติท่านก็พูดน้อยอยู่แล้ว

อ้อ ! รถประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำที่หมู่บ้านร่องแห้ว

มูลนิธิของหลวงพ่อ

ก็ต้องขอบคุณทุกท่านที่ทำบุญมูลนิธิมาและเห็นความสำคัญ ขอขบคุณคุณเนื่อง แก้วพฤกษ์ ด้วยทราบว่าไม่ค่อยสบาย ขอให้หายไว ๆ ขอขอบคุณคุณน้าจันทร์ทิพย์ จำปาแฝด บุตรชายของคุณน้า ทำบุญมาครับ ให้คุณน้า เดี๋ยวคุณน้าอ่านเจอจะตกใจว่ามีชื่อได้อย่างไร นับว่าเป็นลูกกตัญญูจริง ๆ
 
ขอขอบคุณเพื่อนรักจากแดนไกล เชียงราย ทำบุญมา ๕๐๐ บาท ไม่ประสงค์ออกนาม ผมรับเงินไว้เรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้ยอดเงินมูลนิธิได้ประมาณ ๓๓,๐๐๐ บาทแล้วครับ ตั้งใจไว้ว่าอยากจะฝากผลงานไว้ในพระศาสนาสัก ๓๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่รู้ว่าจะได้สักเท่าไร ก่อนจบเรื่องผมจะทำพิธีมอบให้กับท่านอาจารย์สำรวย เจ้าอาวาสและท่านอาจารย์ใหญ่ ร.ร.วัดโฆสิตาราม ก็ขอขอบคุณท่านทั้งหลายอีกครั้ง ขอให้ท่านทั้งหลายจงประสบแต่ความสุขความเจริญตลอดไป สาธุ

วัตถุมงคลวัดเขาใหญ่

ต่อไปจะขอเล่าถึงวัตถุมงคล คือ เหรียญหลวงพ่อกวย ที่ออกที่วัดเขาใหญ่ ความจริงเหรียญรุ่นนี้ ผมตั้งใจว่าจะประกาศให้ทราบก่อนจบเรื่องของท่าน หรือไม่ก็จะมอบให้ท่านเป็นของขวัญปีใหม่ เอาเข้าจริงแล้วมีจดหมายเขียนมาถามผมมาก เรื่องเหรียญรุ่นนี้ผมจึงเห็นว่าเหรียญรุ่นนี้สมควรจะออกสู่สายตาชาวโลกซะที
 
กำเนิดเหรียญรุ่นนี้ เกิดจากท่านพัศดีเรียน นุ่มดี ท่านเป็นคนท่าเตียน อ.เดิมบางนางบวช สุพรรณบุรี ใกล้ ๆ กับวัดเขาใหญ่ ท่านเป็นพัศดีเรือนจำ จังหวัดนครสวรรค์ เป็นผู้ตั้งมั่นในพระศาสนา ท่านเห็นว่าวัดเขาใหญ่ซึ่งอยู่ในอำเภอเดิมบางนางบวช ใกล้บ้านท่านชำรุดทรุดโทรม พระภิกษุสามเณรไม่มีน้ำใช้น้ำฉัน จึงได้คิดบูรณะขึ้นให้ดี ด้วยกุศลเจตนาอันดีและบริสุทธิ์ ท่านจึงได้ขออนุญาตพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ๙ รูปเพื่อขออนุญาตสร้างเหรียญขึ้น ชื่อว่าเหรียญจตุรพิธพรชัย ๙ พระอาจารย์ และได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษกขึ้นที่วัดหอรัตนชัย หรือวัดจีน ต.หอรัตนชัย อ.พระนคร จ.พระนครศรีอยุธยา สาเหตุที่ท่านได้นำไปประกอบพิธีที่วัดหอรัตนชัย เพราะภรรยาท่านเป็นชาว จ.พระนครศรีอยุธยา

เหรียญหลวงพ่อที่จัดสร้างขึ้น ๙ พระอาจารย์ มีดังนี้
๑.หลวงพ่อโกย วัดพนัญเชิง อยุธยา
๒.หลวงพ่อถิร  วัดป่าเลไลยก์ สุพรรณบุรี
๓.หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี
๔.หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ อยุธยา
๕.หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์ ลพบุรี
๖.หลวงพ่อออด วัดบ้านช้าง อยุธยา
๗.หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ชัยนาท
๘.หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค นครสวรรค์
๙.หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง อยุธยา


เหรียญที่สร้างเป็นเหรียญทองแดงรมดำ ครึ่งองค์ทุกหลวงพ่อ ด้านหลังเป็นยันต์เฉพาะตัวของแต่ละหลวงพ่อ สร้างที่ร้านทองดีการช่าง กทม. เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ท่านพัศดีเรียนได้นำเหรียญทั้งหมดไปให้หลวงพ่อแต่ละองค์ปลุกเสกเป็นเวลาเดือนเศษ เสร็จแล้วจึงได้นำมาประกอบพิธีพุทธาภิเษก ที่วัดหอรัตนชัย ในคืนวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๘ เวลา ๑ – ๒ ทุ่ม ๙ นาที

พระคณาจารย์ที่มานั่งปรกปลุกเสก มีดังนี้
๑.หลวงพ่อโกย วัดพนัญเชิง อยุธยา
๒.หลวงพ่อถิร  วัดป่าเลไลยก์ สุพรรณบุรี
๓.หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กทม.
๔.หลวงพ่อใหญ่ วัดสะแก อยุธยา
๕.หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี
๖.หลวงพ่อไวทย์ วัดบางซ้าย อยุธยา
๗.หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ อยุธยา
๘.หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์ ลพบุรี
๙.หลวงพ่อออด วัดบ้านช้าง อยุธยา
๑๐.หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร กทม.
๑๑.หลวงพ่อหวล วัดพุทไธศวรรย์ อยุธยา
๑๒.หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติการาม อยุธยา
๑๓.หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ชัยนาท
๑๔.หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค นครสวรรค์
๑๕.หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง อยุธยา
๑๖.หลวงพ่อโปร่ง วัดขุนทิพย์ อยุธยา


เมื่อประกอบพิธีพุทธาภิเษกแล้ว ท่านพัศดีเรียน ได้นำเหรียญจำนวน ๕๐๐ เหรียญ มอบให้หลวงพ่อแต่ละองค์นำกลับไปบูรณะวัดของท่าน ส่วนการจำหน่าย นั้น ทางวัดหอรัตนชัย ได้เปิดจำหน่ายและได้นำเงินมาบูรณะวัดเขาใหญ่ เหรียญที่เหลือซึ่งแต่ละหลวงพ่อสร้างจำนวน ๕,๕๙๙ เหรียญ เหลือประมาณตอนนี้ ๕๐๐ เหรียญ ทางวัดหอรัตนชัย ได้มอบให้วัดเขาใหญ่มา อัตราทำบุญในปี พ.ศ.๒๕๑๘ เหรียญละ ๒๐ บาท ๑ ชุด ๙ เหรียญ ๑๕๐ บาท

อย่าเพิ่งรีบนะครับ นั่นมันราคาค่าบูชาเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๘ นอกจากเหรียญ ๙ อาจารย์แล้ว วัตถุมงคลที่สร้างพร้อมกันมี สมเด็จ ๓ สมัย สมเด็จด้านหลังเป็นรูปสมเด็จโต พระปิดตาเนื้อผง พระนาคปรกเล็ก เหรียญเล็ก หลวงพ่อโต

เหรียญหลวงพ่อกวยที่สร้างและออกแบบโดย ทองดีการช่าง แกะเป็นรูปหลวงพ่อกวยครึ่งองค์ แกะได้สวยงามพอสมควร แต่อายุ ๗๓ นั้น ช่างได้แกะผิด คือคงได้ข้อมูลผิดไป ความจริงตอนนั้นหลวงพ่ออายุ ๖๙ ปี ยังแข็งแรงดีมาก ด้านหลังเหรียญเป็นยันต์กันภัย คาถา ๔ ตัว ของหลวงพ่อเฒ่า ผู้วิเศษแห่งวัดค้างคาว ปรมาจารย์ผู้ยิ่งยง แห่งเมืองสรรค์

ต่อไปจะขอเล่าถึงเกร็ดอภินิหารของวัตถุมงคลชุดนี้ คือขณะที่ปลุกเสกเหรียญชุดนี้อยู่ในอุโบสถวัดจีน ขณะพักสวดพุทธาภิเษก ได้มีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งได้พูดคุยกันว่าจะนำเหรียญชุดนี้เอาไปทดลองยิง ท่านพัศดีเรียนท่านรู้เข้าก็ไม่สบายใจ กลัวว่าถ้ายิงออกจะไม่มีคนเช่าบูชาเอาไปใช้ ทางวัดและทางท่านซึ่งเป็นแม่งานรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ท่านพัศดีเรียนได้กระซิบบอกหลวงพ่อทุกองค์ว่า ให้ปลุกเสกให้เต็มที่ เพราะวัยรุ่นนอกโบสถ์จะนำเหรียญไปทดลอง ถ้าเหรียญนี้ยิงออกทางวัดต้องจำหน่ายไม่ออก และท่านเองอุตส่าห์ตั้งใจสร้างเหรียญรุ่นนี้ขึ้นมาย่อมไม่เกิดอะไรเลย

ฝ่ายหลวงพ่อทั้ง ๑๖ องค์ ก็นั่งปลุกเสกกันเต็มที่ กลัวจะเสียชื่อ เมื่อดับเทียนชัยแล้ว ท่านพัศดีเรียนได้ปรึกษากับพระผู้ใหญ่ว่า สมควรจะให้หลวงพ่อองค์ไหนประพรมน้ำพระพุทธมนต์ดี ตกลงมีมติให้หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ ประพรมน้ำพระพุทธมนต์เพราะตอนนั้นหลวงพ่อนอกำลังดังทะลุฟ้าเลย เมื่อพัศดีเรียนอุ้มบาตรน้ำมนต์ไปนิมนต์ให้หลวงพ่อนอประพรมน้ำพุทธมนต์ หลวงพ่อนอได้ปฏิเสธ และชี้ให้ไปนิมนต์หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี พัศดีเรียนได้มานิมนต์หลวงปู่โต๊ะ หลวงปู่โต๊ะกลับปฏิเสธและชี้มาให้นิมนต์หลวงพ่อกวย โดยท่านพูดว่า “งานนี้ต้องพระครูชัยนาท” ตกลงหลวงพ่อกวยท่านประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เรื่องนี้ถ้าท่านเคยอ่านประวัติของหลวงพ่อตอนวัตถุมงคลวัดท่าทอง ท่านจะจำได้ว่าหลวงพ่อกับหลวงปู่โต๊ะเคยพุทธาภิเษกร่วมกันครั้งหนึ่งแล้ว ที่วัดท่าทองในคืนวันนั้นหลังจากพักสวดพุทธาภิเษก หลวงปู่โต๊ะได้เอ่ยปากถามชาวบ้านว่า“พระครูองค์นี้ชื่ออะไร อยู่วัดไหน อาคมแก่กล้าเหลือเกิน” บังเอิญคืนวันนั้นฝนตก หลวงปู่โต๊ะได้ชี้ไปที่สายสิญจน์ที่วนรอบพิธี ท่านพูดว่า “ดูซิแมลงเม่ายังบินเข้ามาในวงสายสิญจน์ไม่ได้เลย”       คือหลวงพ่อกวยท่านสำเร็จวิชาลงอาถรรพณ์ คืนวันนั้นแมลงเม่า ตัวที่ปีกหลุดยังไต่เข้ามาในสายสิญจน์ไม่ได้ ได้แต่ไต่ที่สายสิญจน์ นับว่าแปลกมาก ทำให้หลวงปู่โต๊ะเชื่อมั่นในหลวงพ่อกวย ให้หลวงพ่อกวยจัดการ

เมื่อหลวงพ่อพรมน้ำพระพุทธมนต์เสร็จ ท่านได้หยิบเหรียญรูปท่านขึ้นมากำมือหนึ่ง ท่านได้เดินออกมาหน้าพระอุโบสถที่วัยรุ่นจับกลุ่มอยู่ จะด้วยอำนาจตบะในตัวท่านหรืออย่างไรไม่แน่ชัด พอวัยรุ่นกลุ่มนั้นเจอท่าน บางคนกำลังเมาอยู่เกิดอาการหายเมาเป็นปลิดทิ้ง บางคนเกิดอาการตกประหม่า ท่านได้พูดว่า “คนไหนจะเอาเหรียญไปลองยิง” ปรากฏว่าไม่มีใครตอบ ได้แต่ก้มหน้านั่งนิ่ง หลวงพ่อเลยส่งเหรียญแจกให้ไปคนละ ๑ เหรียญ พร้อมทั้งพูดทิ้งท้ายอบรมว่า“พระเขาสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นที่ระลึก และกำลังใจในการทำมาหากิน และทำความดี ไม่ได้ทำเอาไว้เพื่อลองยิง”

เมื่อหลวงพ่อกลับมาจากพุทธาภิเษก ท่านได้เล่าให้ศิษย์ฟังว่า พระวัดบ้านช้าง (หมายถึงหลวงพ่อออด) เก่งปลุกเสกของตัวเฑาะว์ออกมาจากปากเลย พระวัดโบสถ์(หลวงพ่อพริ้ง) ดีทางกำบัง ส่วนพระวัดกลางท่าเรือ(หมายถึงหลวงพ่อนอ) องค์นี้ดีทางมหาอุด เมื่อศิษย์ของหลวงพ่อที่ได้ฟังก็อยากไปกราบ อยากไปเรียนวิชา ได้ไปกราบหลวงพ่อนอ หลวงพ่อออด หลวงพ่อพริ้ง ท่านทั้ง ๓ นี้กลับไล่ลูกศิษย์ของหลวงพ่อ โดยท่านพูดว่า “ให้กลับไปอยู่กับพระครูชัยนาทเถิด เขาไม่ใช่พระธรรมดา”

สำหรับเหรียญที่ท่านพัศดีเรียนมอบให้กับหลวงพ่อ ๕๐๐ เหรียญ บางส่วนหลวงพ่อได้แจกออกไป เหรียญส่วนหนึ่งท่านได้ฝังเอาไว้ที่เสา ๔ มุม ที่กุฏิใหม่ ตึกชุตินฺธโร  ท่านพูดว่า “เหรียญนี้ดีทางกันภัย”[/b] ท่านคงฝังเอาไว้แบบลงอาถรรพณ์

ส่วนท่านที่ต้องการวัตถุมงคลชุดนี้ไว้บูชา ให้ติดต่อที่ท่านอาจารย์ม้วน เจ้าอาวาสวัดเขาใหญ่ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี โดยบูชาเหรียญละ ๒๐ บาท ราคาเมื่อ ๑๕ ปีมาแล้ว คือ พ.ศ.๒๕๑๘ บูชาเป็นชุด ๙ เหรียญ ๑๕๐ บาท เหรียญทุกแบบมีอยู่ประมาณ ๕๐๐ เหรียญ ยกเว้นเหรียญหลวงพ่อกวยมีเหลืออยู่ประมาณ ๒๐๐ เหรียญ แม่พิมพ์ทุกแบบได้บรรจุไว้ในเจดีย์ และทำลายแล้ว ท่านอาจารย์ไม่รับติดต่อทางไปรษณีย์ เพราะงานท่านยุ่ง ท่านกลัวของหาย ใครอยากจะได้ไว้บูชาให้ไปบูชาที่วัดโดยตรง ทางมาวัด ถ้าท่านมาจากหมอชิต ให้มารถทัวร์ ขึ้นรถ กรุงเทพ – ท่าช้าง จากตลาดท่าช้าง จ้างมอเตอร์ไซค์ไปวัด ๑ กม. ถ้าท่านมาจากสายใต้ใหม่ ให้นั่งรถ กรุงเทพ-ท่าช้าง สายตรงไม่อ้อมนครปฐม ลงรถสุดสายเลยเช่นกัน ค่ารถ ๓๒ บาท แล้วต่อมอเตอร์ไซค์ไปวัด

ท่านที่เดินทางมาทำบุญบูชาเหรียญขอให้ท่านได้ระลึกถึงและอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ท่านพัศดีเรียน นุ่มดี ด้วย เพราะท่านเป็นผู้สร้างเหรียญเอาไว้ และท่านได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ก็ขอจบเรื่องวัตถุมงคลวัดเขาใหญ่ไว้เพียงเท่านี้ อย่าลืมนะครับ ถ้าท่านพลาดโอกาสนี้ ไม่ว่าสาเหตุใดท่านจะมีแต่คำว่าเสียใจอย่างเดียว คำอื่นไม่มี
:o :o :o :o :o
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 16, 2012, 10:10:15 am
อ้างถึง
คอยติดตามอ่านตอนต่อไปนะครับ จะลงให้อ่านกันทุกอาทิตย์ครับ  ;D

   ขอบพระคุณ คุณ Weerawat มากครับ เอามาลงให้อ่านอีกนะครับ เอาทุกตอนที่มีเลย  ;D
 อย่าให้เรื่องดีๆของหลวงพ่อสูญหายไปครับ

ขอบคุณมากครับที่ติดตามอ่าน ผมถือว่าข้อมูลของหลวงพ่อเป็นของศิษย์ทุกคน และศิษย์ทุกคนสมควรที่จะต้องรับรู้เอาไว้ เมื่ออ่านแล้วก็ขอให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: tree_alone ที่ กันยายน 16, 2012, 10:01:25 pm
อ้างถึง
คอยติดตามอ่านตอนต่อไปนะครับ จะลงให้อ่านกันทุกอาทิตย์ครับ  ;D

   ขอบพระคุณ คุณ Weerawat มากครับ เอามาลงให้อ่านอีกนะครับ เอาทุกตอนที่มีเลย  ;D
 อย่าให้เรื่องดีๆของหลวงพ่อสูญหายไปครับ
จะติดตามทุกตอนไม่ขาดเลยเช่นกันครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 16, 2012, 10:09:20 pm
อ้างถึง
คอยติดตามอ่านตอนต่อไปนะครับ จะลงให้อ่านกันทุกอาทิตย์ครับ  ;D

   ขอบพระคุณ คุณ Weerawat มากครับ เอามาลงให้อ่านอีกนะครับ เอาทุกตอนที่มีเลย  ;D
 อย่าให้เรื่องดีๆของหลวงพ่อสูญหายไปครับ
จะติดตามทุกตอนไม่ขาดเลยเช่นกันครับ ;D


เพิ่งลงไปได้เพียง 5 ตอนเท่านั้นเอง ค่อย ๆ อ่านไปนะครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 19, 2012, 03:22:46 pm
รูปในหลวงทรงผนวช มาชมบารมีของพระองค์ท่าน
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 21, 2012, 08:57:40 am
ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒๔๒
วันที่ ๕ ก.ค. – ๑๕ ก.ค.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


จดหมายของคุณรังสรรค์ โค้ววราวรรณ
สำนักงานป่าไม้จังหวัดปราจีนบุรี
อ.เมือ จ.ปราจีนบุรี ๒๕๐๐๐


เรียนอาจารย์สมจิตต์  เทียนจันทร์ ที่เคารพ

ผมหวังว่าอาจารย์คงสบายดีจะนะครับ ผมมีประสบการณ์จากพระเครื่องของหลวงพ่อกวยจะเล่าให้อาจารย์ฟังสักหนึ่งเรื่องครับ ซึ่งผมตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องนี้ส่งมานานแล้ว แต่ก็ไม่ว่างสักที ช่วงนี้มีเวลาว่างก็เลยเขียนมา คือ เมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา วันนั้นเป็นวันพุธ ผมตื่นนอนมาตอนเช้าทำกิจวัตรส่วนตัวเสร็จก็นึกแปลกใจว่าทำไมวันนี้ไม่เห็นแมวที่บ้านผมเลี้ยงไว้เลย แต่ก็คิดว่ามันคงไปวิ่งเล่นที่อื่น พอบ่ายโมง ผมจัดแจงกวาดบ้าน เตรียมตัวจะกลับไปปราจีนบุรี ขณะที่ผมกำลังกวาดบ้านสายตาก็เหลือบไปเห็นแมวนอนอยู่ใต้เก้าอี้ ผมก็จะหยอกมันเล่นเลยดึงมันออกมา พอดึงมันออกมาจากใต้เก้าอี้ผมก็ตกใจเพราะแมวมันอยู่ในสภาพที่ใกล้จะตาย น้ำลายมันไหลยืด คอบวมเปล่ง ดวงตามันไม่มีแววตาเลย ผมก็ไม่ทราบว่ามันเป็นอะไร ทำอะไรไม่ถูกสับสนไปหมด คิดในใจว่ามันอาจจะไปกินหนูที่โดนยาเบื่อก็ได้ แต่ก็ไม่ทราบว่าจะช่วยมันอย่างไรดี บังเอิญนึกได้ว่าอาจารย์เคยเขียนใน “นะโม” ว่าถ้าเจ็บป่วยในเวลาคับขัน ให้ลองอาราธนาพระเครื่องหลวงพ่อกวย ทำน้ำมนต์ดูแล้วให้คนป่วยแขวนพระเครื่องนั้น ผมก็เลยตัดสินใจจะลองดูเพราะตอนนั้นผมอยู่บ้านคนเดียว ผมเอาพระเนื้อดินพิมพ์หลวงพ่อโสธรของหลวงพ่อกวย(ที่อาจารย์มอบให้ผมเมื่อตอนที่ผมส่งเงินไปร่วมทอดผ้าป่า) เอามาอาราธนาทำน้ำมนต์โดยจุดธูปบอกกล่าวหลวงพ่อกวย ขอบารมีท่าน ตักน้ำใส่ขันเอาพระลงไปวนในน้ำ ๓ รอบ ท่องคาถามงกุฎพระพุทธเจ้าไปด้วย พอเสร็จแล้วก็เอาไปให้แมวกิน ดูมันหิวน้ำมากแต่ก็กินไม่ค่อยได้ ผมเลยค่อย ๆ เอาน้ำมนต์หยอดใส่ปากมันแล้วก็เอาพระห้อยคอให้มันด้วย เสร็จแล้วผมก็อาบน้ำแต่งตัว เขียนจดหมายบอกพี่ไว้ว่าถ้ากลับมาแล้วแมวยังไม่ตายให้เอามันไปหาสัตวแพทย์ แล้วผมก็ขึ้นรถกลับปราจีนบุรี พอวันศุกร์ตอนเย็นผมกลับมาบ้าน(ที่ อ.สัตหีบ) ผมก็ต้องแปลกใจ เพราะเห็นแมวตัวนั้นวิ่งเล่นอยู่ในบ้าน ไม่มีอาการของการเจ็บป่วยเลย ทั้งที่เมื่อวันพุธมันจะตายอยู่แล้ว ผมก็เลยถามพี่ว่า “เอาแมวไปหาสัตวแพทย์มาหรือเปล่า” พี่ตอบผมว่า “เปล่า เมื่อวันพุธกลับมาจากธุระเห็นจดหมายของผมก็ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรเหมือนกัน ก็เลยจับแมวให้ลงไปนอนในกล่องที่มีผ้าปู” พี่บอกว่า อาการมันดีขึ้นเรื่อย ๆ ก็คิดดูเอาเองนะครับว่า แค่ระยะเวลา ๓ วัน มันหายเป็นปลิดทิ้ง ความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องและบารมีของหลวงพ่อกวยในครั้งนี้ประทับใจผมมากเลยครับ ทำให้ผมเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อกวยมากยิ่งขึ้น ทุกวันนี้ผมแขวนรูปถ่ายหลังผ้าจีวรและเหรียญทองแดงรูปหยดน้ำของท่านครับ

สุดท้ายนี้ผมได้ส่งเงินมาจำนวน ๑๐๐ บาท เพื่อสมทบทุนมูลนิธิหลวงพ่อกวย

ด้วยความเคารพอย่างสูง

รังสรรค์  โค้ววราวรรณ


จดหมายคุณธีรกุล ลาวัณย์ศิริ
บ้านเลขที่ ๔๐/๒๕๕๔ ประชานิเวศน์ ๓ ต.ท่าทราย อ.เมือง นนทบุรี


เรียน ท่านอาจารย์

กระผมนายธีรกุล ลาวัณย์ศิริ ผู้เป็นศิษย์ได้รับความกรุณาจากหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร ถูกล็อตเตอรี ขอส่งเงินมาช่วยซ่อมโบสถ์และเมรุ เป็นจำนวนเงินตามธนาณัติที่ส่งมา ท่านอาจารย์ช่วยกรุณาส่งรูปของหลวงพ่อขนาดเล็กมีผ้าเหลืองให้กระผมด้วย

ขอขอบพระคุณยิ่ง

ธีรกุล ลาวัณย์ศิริ


จดหมายคุณคมสัน อารีพัฒนไพบูลย์
บริษัท เอ เอ็น บี ลาบอราตอรี่ จำกัด
๓๙/๑ ถ.รามอินทรา แขวงคันนายาว
บางกะปิ กทม. ๑๐๒๓๐


กราบนมัสการ พระอาจารย์สำรวย อคฺคปัญโญ

เมื่อปลายปีที่แล้ว ผมได้ส่งเงินธนาณัติมาบูชาวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวย ๓ รายการด้วยกัน หวังว่าพระอาจารย์สำรวยคงจำได้นะครับ เมื่อวันที่ ๒๗ ธ.ค.๒๕๓๒ ผมได้บนหลวงพ่อไว้โดยบนแบบปากเปล่า(ไม่ได้จุดธูป) ต่อหน้ารูปถ่ายของหลวงพ่อ(ตัดจากหนังสือ นะโม รูปที่มียันต์) ว่า ถ้าหลวงพ่อช่วยให้สำเร็จผมจะส่งเงินมาบูชาวัตถุมงคลกับทางวัดอีกเป็นการแก้บน ผมเองก็ไม่ทราบว่าจะบนหลวงพ่อด้วยอะไรดี เคยอ่านในหนังสือก็จำไม่ได้ว่าหลวงพ่อชอบอะไร ก็เลยบนบูชาวัตถุมงคลของหลวงพ่อกับทางวัด หลวงพ่อกวยท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ แค่บนปากเปล่าท่านก็ช่วยให้สำเร็จ คือ เรื่องราวเป็นอย่างนี้ครับ เมื่อปลายเดือนธันวาคม ๒๕๓๒ ที่ทำงานของผมแข่งกีฬาแบ่งเป็น ๒ ฝ่ายซึ่งจัดขึ้นทุกปี มีกีฬา ๔ ประเภท ชนะเลิศได้ถ้วย ผมได้คุมทีมวอลเลย์บอลหญิง ก่อนแข่งใคร ๆ ทุกคนก็ลงมติว่าทีมผมแพ้แน่ ๆ เพราะเป็นรองทุกอย่างสู้ไม่ได้เลย ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี พยายามปรับปรุงทีมก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ผมเลยนึกถึงหลวงพ่อกวยขอให้ท่านช่วย เหมือนปาฏิหาริย์ทีมของผมกลับชนะอีกฝ่ายได้อย่างเหลือเชื่อ ทุกคนงงกันไปหมดโดยเฉพาะฝ่ายตรงข้าม ตอนแข่งครั้งที่ ๑ ทีมของผมแพ้อย่างชนิดสู้กันไม่ได้เลย มวยคนละชั้นก็ว่าได้ ใคร ๆ ก็ว่าแพ้แน่ ๆ แต่พอแข่งครั้งที่ ๒ – ๓ – ๔ ทีมของผมกลับชนะรวด ไม่ว่าเล่นอะไรเป็นดีไปหมด เหลือเชื่อจริง ๆ นะครับ ผมนี้นับถือหลวงพ่อกวย ศรัทธาท่านจริง ๆ ผมไม่เคยรู้จักหลวงพ่อมาก่อนเลย มารู้จักท่านก็ตอนที่คุณเฒ่า สุพรรณ เขียนประวัติท่านนี่เอง ปกติแล้วผมมีความเคารพและบูชาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ “หลวงปู่แหวน สุจิณโณ” ตอนนี้ผมได้จุดธูปฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อกวยอีกองค์หนึ่ง คิดว่าหลวงพ่อท่านคงรับรู้และรับผมเป็นลูกศิษย์ โอกาสหน้าถ้ามีเงินผมจะส่งเงินมาบูชาวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยอีก

กราบนมัสการพระอาจารย์สำรวย อคฺคปัญโญ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

คมสัน อารีย์พัฒนไพบูลย์


ตอบคุณคมสัน ความจริงไม่ได้ตอบ คุณคงเป็นโค้ชวอลเลย์บอล เห็นมีเรื่องคล้ายคลึงกันผมเลยขอเล่าไว้เพิ่มเติม คือทางกลุ่มโดรงเรียนเดิมบาง-ปากน้ำ ก็มีการแข่งขันกีฬาแบบนี้เช่นกัน โรงเรียนเต็งหนึ่งของกลุ่ม คือ โรงเรียนวัดสามเอก โดยการฝึกซ้อมของโค้ชอาจารย์ไชรัตน์ สุขเอี่ยม ทีนี้กีฬาวอลเลย์บอลทางอำเภอเดิมบางเขาไม่ค่อยสนใจเท่าไร จึงเล่นกันพื้น ๆ คือธรรมดา แต่ทางอำเภอสรรคบุรีเขตติดต่อเขาสนใจกันมากจัดการแข่งขันอย่างจริงจัง อาจารย์ไชรัตน์จึงได้นำนักกีฬาวอลเล่ย์ของตัวเองตระเวนซ้อมกับทีมที่เก่ง ๆ ในเขตสรรค์บุรี โดยมากก็สู้เขาไม่ค่อยได้ ทีนี้ที่ต้องนำมาเล่าคือ อาจารย์ไชรัตน์ได้นำลูกทีมมาขอซ้อมกับโรงเรียนวัดโฆสิตาราม คือ โรงเรียนของหลวงพ่อ ครั้งแรกซ้อมกับโรงเรียนวัดสามเอกแพ้ทุกประตู อาจารย์ไชรัตน์ก็กลับไปฝึกซ้อมเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องแล้วกลับมาขอซ้อมอีกหนึ่งครั้ง เนื่องจากเวลากระชั้นชิดแล้ว อาจารย์ไชรัตน์ก็ได้ขึ้นไปกราบบอกเล่าต่อรูปหล่อของหลวงพ่อกวยว่า การซ้อมครั้งนี้ขอให้โรงเรียนของตนชนะ เพราะเวลากระชั้นชิดมากแล้วไม่มีเวลา ผลคือนักกีฬาวอลเล่ย์โรงเรียนวัดโฆสิตาราม ปกติเล่นดีกว่าโรงเรียนวัดสามเอกมาก แต่วันนั้นกลับแพ้อย่างไม่น่าเชื่อ เรื่องนี้แสดงว่าหลวงพ่อกวย ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ ถ้าบอกเล่าต่อท่าน ถ้าท่านช่วยได้ท่านจะช่วยทันที แม้ว่าช่วยแล้วเด็กนักเรียนโรงเรียนท่านจะแพ้ท่านก็ช่วย อันนี้เป็นความรักอันยิ่งใหญ่ของท่าน เห็นว่าเรื่องคล้าย ๆ กัน เลยเล่าให้ฟัง

ฒ. สุพรรณ


จดหมายจากวัดโฆสิตาราม

วัดโฆสิตาราม อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท

ถึง โยมเฒ่า

จ.ส.อ.เล็ก ศุภรัศมี อยู่ จ.ท.บ.ล.บ. วัดไก่ องเมือง จ.ลพบุรี ๑๕๐๐๐ ทำบุญมูลนิธิมา ๓๐๐ บาท เขาบอกว่า หลวงพ่อกวยดลบันดาลให้ถูกล็อตเตอรี งวด ๑ มกราคม ๒๕๓๓ เขาเลยส่งเงินมาร่วมทำบุญเข้ากองทุนมูลนิธิ ถ้าโยมว่างให้มาเอาเงินที่วัดด้วย

เจริญพร

อาจารย์สำรวย  อคฺคปัญโญ


อาจารย์เม่า
ต่อไปจะกล่าวถึงศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่งชื่อ อาจารย์เม่า เป็นฆราวาส บ้านอยู่ตรงหน้าวัดจั่นเจริญศรี แม่น้ำน้อย คนบ้านเดียวกับขุนสรรค์โน่น ผมได้เดินทางไปพบแก แกอายุมากแล้ว ตก ๗๑ ปี น้ำเสียงมีอำนาจ เป็นคนดีมีศีลธรรม ถ้าพูดว่ารวยต้องรวย ถ้าพูดว่าเจ้ง ๆ จริง ๆ คนแถววัดจั่นเจริญศรีให้ความเคารพแกมาก อยากให้แกไปกินข้าวบ้านแบบพระ แกจะได้ให้ศีลให้พร ผมไปหาแกบอกอยากให้อาจารย์บีบถ้วยให้ดู เพราะคนรุ่นใหม่เขาไม่เชื่อว่าจะทำได้ ผมกะว่าถ้าแกบีบให้ดูจะถ่ายรูปเอาไว้ ถ้าแกบีบให้สัก ๒ – ๓ ใบ จะนำมาไว้วัดหลวงพ่อสักใบ ผมเก็บไว้ใบหนึ่ง จะส่งมาทาง บก.นะโมสักใบ พอแกรู้ว่าจะถ่ายรูปด้วย แกพูดตัดบทว่าแกไม่อยากดัง จะให้ทำอะไรก็ทำจะเอาอะไรก็เอา แต่ไม่ทำให้ดูเฉย ๆ แม้จะขอร้องอย่างไรก็ตาม แม้จะขอถ่ายรูปตัวแก ๆ ก็ไม่ยอม แกบอกไม่อยากดัง ผมก็เลยถามความเป็นไปสมัยที่แกเรียนวิชากับหลวงพ่อ แกบอกมันนานมากแล้ว
ตอนนั้นแกบวชได้ ๓ พรรษาหลวงพ่อกวยบวชได้ ๒๓ พรรษา คงจะอายุ ๔๓ ปี หลวงพ่อกวยท่านเป็นพระที่ชอบค้นคว้าทดลอง ซน ชอบศึกษาวิชาแม้บางอย่างจะมองดูแล้วไร้สาระก็ตาม นิสัยอันนี้ก็ตรงกับตัวแกคือ ชอบเรียนวิชาก็เลยคุยกันได้ พรรษาที่ ๓ แกสามารถบีบถ้วยให้เข้ามาหากันได้ หลวงพ่อกวยชอบใจ ให้แกไปหากระดูกควายตรงข้อขามา แล้วทุบให้แตกจะได้เรียนวิชามหาประสานต่อกระดูก แต่บังเอิญแกหาไม่ได้จึงไม่ได้เรียน
ในพรรษานั้นแกสามารถเรียนวิชาบังฟันได้สำเร็จ คือเอากล้วยมา ๓ ลูก แล้วเอามีดทำท่าเฉือน กล้วยจะขาดข้างในเมื่อปอกดู แกเล่าว่าสมัยนั้นมีพระร่วมกันอีก ๒ องค์ คือพระธรรม กับพระหยด พระหยดปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ คือ ตาหยด เมียชื่อย้อย คนบ้านแค
เมื่อเรียนวิชากับท่าน ท่านจะให้ศิษย์สู้อาจารย์ไม่ให้ยอมจะได้สนุก ครั้งหนึ่งมีคนนำกล้วยน้ำว้ามาถวาย หลวงพ่อให้ไปหาเข็มมา ๓ เล่ม ให้อาจารย์เม่าว่าคาถาควบคุมเข็มไม่ให้เข็มวิ่ง ส่วนหลวงพ่อกวยอยู่ในกุฏิจะเรียกเข็มให้วิ่งเข้าไปในกล้วยสุก คือใช้พลังจิตต่อสู้กัน หลวงพ่อกวยเรียกเข็มได้พักหนึ่ง ก็เรียกพระธรรม พระหยดเข้าไปฉันกล้วย กะจะแกล้งพระ ๒ องค์ ปรากฏว่าพระหยด พระธรรม ฉันกล้วยหมดไม่เหลือไม่เจอเข็ม หลวงพ่อกวยท่านพูดว่า พระเม่านี่สำคัญนัก ๆ แล้วท่านก็ลงจากกุฏิไปตัดก้านกล้วยเอาใบออก เอาผ้าขาวคลุม แล้วพูดว่า “พระเม่านี่สำคัญนัก เดี๋ยวจะเอางูกัดเสียให้เข็ด คิดสู้อาจารย์ เสียหน้าหมด” อาจารย์เม่าเห็นหลวงพ่อกวยจะเสกงูมาลองดีตัวเองก็ห่มผ้าจีวรโดดลงกุฏิเลย ก็เลยไม่รู้ว่างูหลวงพ่อกวยรูปร่างเป็นอย่างไร
อยู่ต่อมา อ.เม่าได้เรียนวิชาสะเดาะกุญแจ แก้เชือกจากท่าน วันหนึ่งตอนเพล หลวงพ่อกวยได้ไปกระซิบกับพระธรรม และพระหยดว่า พระเม่ามีวิชาดี คือสะเดาะกุญแจแก้เชือกได้ให้ลองดู พระธรรมกับพระหยดได้เข้ามาหาอาจารย์เม่า ไม่พูดไม่จาได้แต่ขอโทษ แล้วปล้ำจับอาจารย์เม่าให้นอนคว่ำหน้าเอาเชือกผูกมัดหลัง แล้วเอากุญแจใส่ประตูห้อง อ.เม่ารู้ได้ทันทีว่า แผนการนี้ต้องหลวงพ่อกวยแน่ อุตส่าห์ให้พระมาทดลอง ท่านเลยสะเดาะเชือกออกแล้วมาสะเดาะกุญแจห้องออกไปฉันเพล พระธรรมกับพระหยดเห็นแล้วยังไม่อยากเชื่อ แต่หลวงพ่อกวยพูดกับพระธรรม พระหยดว่า “เห็นไหมว่าพระเม่ามีดี”

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 21, 2012, 08:58:44 am
ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒๔๓
วันที่ ๑๕ ก.ค. – ๒๕ ก.ค.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


อาจารย์เม่า(ต่อ)

วันหนึ่ง อ.เม่าได้เข้าไปในหมู่บ้าน เขากำลังทำขนมจีนกัน คงเป็นเทศกาลอะไรซักอย่างหนึ่ง ชาวบ้านได้ปิ้งแป้งจี่(แป้งจี่คือแป้งที่หมักแล้ว และใช้ทำขนมจีน เมื่อปิ้งจะมีกลิ่นหอม รสชาติดี อร่อย เด็ก ๆ ชอบมาก) ชาวบ้านได้ถามท่านว่าจะฉันที่นี่หรือจะห่อเอาไปฉันที่วัด อ.เม่าแกคิดว่า ถ้าฉันที่นี่ท่านก็อิ่มคนเดียว แต่ถ้าห่อเอาไปวัด คงได้เอาไปฝากหลวงพ่อกวยด้วย ท่านเลยบอกห่อเอาไปดีกว่า ตกลงเขาถวายมา ๓ แผ่น อ.เม่าก็ตรงดิ่งไปหาหลวงพ่อกวยจัดแจงเอาไปถวายหลวงพ่อกวย หลวงพ่อกวยเมื่อรับแป้งจี่แล้วรู้สึกท่านจะสะเทือนใจ ท่านตื้นตันใจท่านพูดว่าพระเม่านี่ดีนะอุตส่าห์หามาให้ฉันได้ บวชมา ๒๓ ปีแล้ว ไม่เคยมีใครเขาเอามาถวายเลย คิดถึงตอนเป็นเด็ก ๆ เคยกิน

เล่าเรื่อง อ.เม่าต่อ อ.เม่าได้บวชเรียนอยู่ ๑๐ พรรษา ก็ถูกผู้หญิงขวิดเอา และเคยกลับมาบวช ๆ สึก ๆ แบบคนร้อนวิชา ปัจจุบันบ้านอยู่ตรงข้ามวัดจั่นเจริญศรี ถ้าจะไปหาแกจะไปทางวัดหลวงพ่อกวยก็ได้ ให้ไปข้ามแม่น้ำน้อยที่หน้าวัดโพธิ์งาม รถยนต์ก็ข้ามได้หรือถ้ามาจากสรรค์บุรี ก็ให้มาข้ามเรือที่หน้าวัดโพธิ์งาม เช่นกัน เส้นทางนี้มาทางวัดค้างคาว วัดสนามชัย (วัดพระครูพิมพ์) รู้สึกท่านจะไม่หวงวิชา คือผมอยากให้คนถ่ายทอดเอาไว้ เช่น วิชาบีบถ้วย บังฟัน สะเดาะกุญแจ ฯลฯ อะไรอย่างนี้ ไม่อยากให้วิชาสูญหายไป ยิ่งเป็นพระยิ่งดี จำพรรษาที่วัดจั่นได้สบาย
ครั้งหนึ่งท่านรู้ว่า อ.แสวงสร้างเหรียญรุ่น ๑ ท่านก็จะเอาเก็บเอาไว้เพราะเป็นของครั้งแรก ท่านได้เข้าไปขอ เลยทำให้อาจารย์แสวงจำท่านไม่ได้ คือกลัวอาจารย์แสวงจะไม่ให้ วันนั้นมีการเป่าหัวกันด้วย ท่านก็เข้าไปหาอาจารย์แสวงจะให้อาจารย์แสวงเป่าหัวบ้าง พอนิ้วอาจารย์แสวงจี้บนหัวแก อาจารย์แสวงถึงกับตกใจยกหน้าท่านเงยขึ้น แล้วพูดว่านี่ อ.เม่านี่นา ไม่เอาไม่เป่า อาจารย์เม่าอาคมแก่กว่าฉัน ปัจจุบันทราบว่าท่านทำตะกรุดสาลิกาดอกเล็ก ถ้านับถือกันจริง ๆ ท่านจึงจะให้เขาว่าดีมาก
ก่อนที่หลวงพ่อกวยจะมรณภาพศิษย์ใกล้ชิดได้พูดคุยกับท่าน ท่านได้พูดว่า เมื่อสิ้นท่านวัดนี้ถ้าจะให้รุ่งเรืองทางอาคมเหมือนสมัยท่านละก้อต้องนิมนต์ศิษย์ท่านที่เคยบวชเรียนกับท่านมาถึง ๓ องค์มาบวช จึงจะเหมือนสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ องค์หนึ่งคือ อ.เม่า อีกองค์หนึ่งคืออาจารย์จี๊ด หรือหลวงตาจี๊ด ส่วนอีกองค์ศิษย์ไล่เรียงไม่ถูก และท่านก็ไม่ต้องการพูดด้วย เพราะเป็นสิ่งที่ยากที่หลวงตา ๓ องค์จะอยู่ร่วมกัน
 จดหมายคุณพงษ์ศักดิ์ จุลวรรณา
๑๓๙/๔ ตลาดสด ถ.มนตรี ๑ อ.หาดใหญ่ สงขลา

เรียนพี่สมจิตต์ ที่เคารพยิ่ง

สวัสดีครับพี่ ติดตามผลงานการเขียนของพี่ทุก ๆ ตอน ได้รับความรู้จากพี่มากพอสมควร และได้ร่วมทำบุญกับทางวัดหลวงพ่อกวยที่เคารพยิ่ง ทำบุญวัดอาจารย์ตี๋ อาจารย์ตั้ว ความสบายใจสบายกาย คือ บุญกุศล ผมคนหนึ่งที่ได้รับบุญมากมายมหาศาล ผมเองกล้าพูดได้ว่าผมได้รับการประพรมน้ำพุทธมนต์จากหลวงพ่อ จากแรงอธิษฐานกลางแจ้งหน้าโบสถ์ วัดปากน้ำ (อ.หาดใหญ่) เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ แต่ไม่กล้าเขียนมาเล่าให้พี่ฟัง เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นเขียนอย่างไร และจบอย่างไร พี่คนแรกที่ผมเล่าให้ฟัง เพราะรู้เองเห็นเอง ผมให้คนอื่น ๆ ฟังเขาจะเชื่อผมหรือ แถมหัวเราะเยาะเย้ยเอา

ตั๋วแลกเงิน ๑๐๐ บาทนี้ ขอร่วมบริจาคมูลนิธิ ชุตินฺธโร ขอพี่รับไว้ และเป็นธุระจัดการให้สำเร็จสมประสงค์ด้วยเทอญ

นับถือ

พงษ์ศักดิ์  จุลวรรณา


จดหมายคุณวิชาญ  หิรัญกิจ

เรียนอาจารย์สมจิตต์ เทียนจันทร์ หรือคุณเฒ่า สุพรรณ ที่นับถือ

ผมได้รับพระสมเด็จและรูปหลวงพ่อกวยแล้ว แต่เนื่องจากติดเทศกาลต่าง ๆ ทางนี้เลยไม่มีเวลาเขียนมาบอก พอดีเพื่อนผมไปแอลเอซื้อหนังสือนะโมมาฝาก รู้ว่าได้ตั้งมูลนิธิของหลวงพ่อกวย ผมจึงได้ส่งเช็คเงิน $40.-มาร่วมทำบุญด้วย

สุดท้ายนี้ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย คุณหลวงพ่อกวย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ดลบันดาลให้คุณเฒ่า สุพรรณ มีความสุขความเจริญ จัดตั้งมูลนิธิให้เจริญก้าวหน้าตลอดไป

ด้วยความนับถือ

วิชาญ หิรัญกิจ


ตอบคุณวิชาญ เงิน ๔๐ ดอลล์ ผมได้รับแล้วขอบคุณมาก คุณอยู่ไกลถึงอเมริกา ยังมีน้ำใจส่งเงินมาทำบุญ ผมส่งพระไปให้คุณเล็กน้อย คุณอยู่ไกลถนอมตัวด้วย

ขอบคุณอีกครั้ง

เฒ่า สุพรรณ

ปลงอายุสังขาร

ต่อไปเป็นเรื่องของหลวงพ่อ ก่อนที่หลวงพ่อจะมรณภาพ ก่อนงานฝังลูกนิมิต พ.ศ.๒๕๒๑ ทางคณะกรรมการวัดได้ประชุมปรึกษาหารือเรื่องงานกันมาก มาที่กุฏิหลวงพ่อบ่อย ๆ เพราะเป็นงานใหญ่ ต้องมีการวางแผนงาน มีการปลูกสร้างกองอำนวยการ เพื่อขายดอกไม้ ธูปเทียน และจำหน่ายวัตถุมงคล มีการเตรียมงานก่อสร้างกุฏิหลวงพ่อขึ้นใหม่ชื่อตึก ชุตินฺธโร มีหมายกำหนดการรื้อกุฏิเก่าของหลวงพ่อออก เพื่อให้หลวงพ่ออยู่กุฏิใหม่ให้สมเกียรติ โดยมีการประชุมกันทั้งเงียบ ๆ และเปิดเผย

 แต่ไม่ค่อยมีใครเข้าใจในตัวท่าน ท่านได้ถามกรรมการวัดใกล้ชิดคนหนึ่งว่า “เขาจะรื้อกุฏิกูออกหรือ แล้วเขาจะให้กูไปอยู่กุฏิปูนหรือ” กรรมการวัดก็ตอบ “ครับ” ท่านได้พูดว่า “กูไม่ค่อยชอบปูน ปูนมันเย็นตีน” แล้วท่านได้พูดว่า “เขาจะหล่อรูปกูหรือ” กรรมการวัดได้ตอบว่า “ครับ” แล้วท่านก็หัวร่อหึหึ คือหลวงพ่อเป็นพระที่แปลก ถ้าท่านหัวร่อหึหึ ฟังชอบกลล่ะก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก แม้ท่านจะไม่ใช่พระปฏิบัติ แต่ท่านก็เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ท่านถือธุดงควัตร คือ ฉันครั้งเดียว แม้เวลาท่านจำวัด(นอน) ท่านยังเอากะลามาหนุนศีรษะ ถ้าท่านพลิกตก ท่านก็จะตื่นขึ้นมาภาวนาทันทีในกุฏิ ท่านจะจุดธูป เทียนเอาไว้ตลอดเวลา เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า

 เรื่องกุฏิท่าน เมื่อกรรมการวัดเขาจะรื้อ ท่านก็ไม่พูด ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่อยากไปอยู่กุฏิปูน กุฏิเก่าท่านเป็นไม้ ท่านเคยอยู่มานาน ท่านลงอาถรรพณ์เอาไว้ ขนาดยุงยังเข้าไม่ได้ ถ้าเป็นคนธรรมดาก็คือต้องมีการอาลัยอาวรณ์ในบ้านหลังเก่า แล้วเรื่องหล่อรูปท่านก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย การสร้างรูปหล่อแทนองค์ เขานิยมทำกันต่อเมื่อมรณภาพไปแล้ว ฉะนั้นการสร้างรูปหล่อท่านขึ้น เหมือนเป็นการสร้างตัวแทนท่าน รู้สึกท่านไม่ชอบ ใจ แต่ท่านก็ไม่พูดอะไร ท่านได้แต่พูดว่าเมื่อฝังลูกนิมิตเสร็จแล้ว ท่านก็จะไปแล้ว ทางศิษย์ก็ใจคอไม่ดี คือท่านจะมรณภาพก่อนสร้างรูปหล่อ ฝังลูกนิมิต พ.ศ.๒๕๒๑ สร้างรูปหล่อ พ.ศ.๒๕๒๒ คณะกรรมการต่างก็รู้ดี ในคืนฝังลูกนิมิต คืนสุดท้ายทางศิษย์ได้จัดดอกไม้ธูปเทียน เข้าไปกราบท่านขอให้ท่านเลื่อนวันมรณภาพออกไป เพราะศาลายังไม่ได้สร้าง ถ้าสิ้นหลวงพ่อไปแล้วใครจะสร้างได้ ได้ขอร้องอยู่นาน และได้นิมนต์ท่านขึ้นรถขี่ออกไปให้ไกลจากเสียงปี่เสียงกลองในคืนสุดท้าย ท่านเห็นกับศิษย์ ท่านได้ตอบว่าก็ได้ แม้เมื่อสร้างศาลาขนาดใหญ่ ท่านยังสั่งเร่งให้สร้างให้เสร็จภายในเวลา ๖ เดือน คืนที่ไปท่านได้มาจำวัดที่วัดหนองอีดุก เมื่อท่านกลับมาท่านได้เล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ท่านไปจำวัดที่หนองอีดุก ไม่ได้หลับได้นอนเลย เปรตบ้าง ผีบ้าง มาขอส่วนบุญท่านเต็มศาลาไปหมด ที่ลอยอยู่บนอากาศก็มี(เข้าใจว่าเป็นเทวดา)

ในปี พ.ศ.๒๕๒๑ – ๒๕๒๒ ทางวัดได้สร้างศาลา สร้างรูปหล่อขนาดใหญ่เท่าองค์จริง วันหนึ่งเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๒๒ ท่านได้เรียกหลวงตาสมานเข้าไปหา คุยไปคุยมา ท่านหยิบกระดาษส่งให้หลวงตาสมาน ๑ แผ่น มีเลขเต็มไปหมด หลวงตาสมานนึกว่าเป็นตำราเลขล็อคเลยแอบเก็บไว้ ตอนหลังไปอ่านดูเป็นดวงชะตาของหลวงพ่อ ท่านได้กำหนดวันมรณภาพของท่านวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๒ เวลา ๗ นาฬิกา ๕๕ นาที ตอนเช้า พร้อมทั้งมีกำหนดวันที่ท่านล้มป่วยเอาไว้ด้วย เป็นเวลา ๑ เดือน วันที่ท่านป่วยท่านวงไว้เป็นตัวสีน้ำเงิน วันมรณภาพท่านวงไว้ด้วยสีแดง ภายหลังได้มาดูที่ปฏิทิน ท่านก็วงไว้เช่นกัน
 
ในคืนวันที่ ๑๑ คนมาเยี่ยมท่านมาก คอยจนจะสว่างท่านก็ไม่มรณภาพ ท่านไม่พูด นาน ๆ จะลืมตาสักครั้ง พูดรู้เรื่องหมดทุกอย่าง สั่งเอาไว้หมดทุกอย่าง ท่านภาวนาอย่างเดียว แต่ลมหายใจอ่อนมาก ศิษย์รักท่านมากก็จริง แต่รู้ว่าท่านต้องมรณภาพแน่ ๆ เพราะท่านผอมมากไม่มีกำลัง ศิษย์เก่า ๆ คิดได้ว่าในกุฏิของท่านนั้นครูท่าน คือ อาจารย์ท่าน ตลอดจนตำรายันต์ท่าน ท่านเคยพูดว่าครูท่านแรงมาก คือตำรายันต์และรูปอาจารย์ หรือท่านอยู่ที่กุฏิท่าน จะไม่มีใครกล้ามารับท่าน จึงได้ปรึกษากันอยากให้ท่านไปดี จึงได้อุ้มท่านออกมานอนที่หอสวดมนต์ พอจัดที่ให้ท่านนอนที่หอสวดมนต์เรียบร้อย เวลา ๗.๕๕ น. ของวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๒ ลมหายใจท่านก็ขาดหายไป อัศจรรย์คือระฆังที่หอระฆัง ระฆังใบใหญ่มาก ได้ขาดลงมา แล้วมีเสียงดัง หง่างๆๆๆๆๆๆ ดังยาวนานเป็นทอดๆ คนที่ศาลา กำลังเตรียมงานร้องไห้โฮ ไม่รู้ว่าเขารู้ได้อย่างไรว่า หลวงพ่อมรณภาพ หมาในวัดร้องโหยหวน ศิษย์หลายคนที่คล้องพระท่านอยู่สายสร้อยหล่นขาดลงมา เวลา ๘ นาฬิกา คนมาวัดเต็มไปหมด มืดฟ้ามัวดิน หอสวดมนต์แทบพัง

เรื่องระฆังขาดนี้นับว่าอัศจรรย์มากเพราะโซ่ขนาดใหญ่ เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว ทางกรรมการวัดได้รื้อกุฏิเก่าท่านเอาไปทำโรงครัว ที่ท้ายศาลาหลังใหญ่ จะรื้อให้ได้ นับว่าปัญญานิ่มจริง ๆ และที่กุฏิเก่าที่รื้อมาไปทำโรงครัว ไม่ค่อยมีใครกล้านอนค้างคืน เพราะพอตกกลางคืน ท่านมักมาปรากฏตัวให้เห็น คนมักเห็นท่านมาเดินจงกลม หรือนั่งสมาธิที่โรงครัวกุฏิท่านเสมอ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 21, 2012, 09:00:12 am
อ้างถึง
คอยติดตามอ่านตอนต่อไปนะครับ จะลงให้อ่านกันทุกอาทิตย์ครับ  ;D

   ขอบพระคุณ คุณ Weerawat มากครับ เอามาลงให้อ่านอีกนะครับ เอาทุกตอนที่มีเลย  ;D
 อย่าให้เรื่องดีๆของหลวงพ่อสูญหายไปครับ
จะติดตามทุกตอนไม่ขาดเลยเช่นกันครับ ;D


เพิ่งลงไปได้เพียง 5 ตอนเท่านั้นเอง ค่อย ๆ อ่านไปนะครับ ;D


วันนี้ขอลงเบิ้ลให้ ๒ ตอน คงจะถูกใจหลายท่านที่รอคอยนะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: POLLASAK ที่ กันยายน 21, 2012, 06:41:06 pm
อ้างถึง
คอยติดตามอ่านตอนต่อไปนะครับ จะลงให้อ่านกันทุกอาทิตย์ครับ  ;D

   ขอบพระคุณ คุณ Weerawat มากครับ เอามาลงให้อ่านอีกนะครับ เอาทุกตอนที่มีเลย  ;D
 อย่าให้เรื่องดีๆของหลวงพ่อสูญหายไปครับ
จะติดตามทุกตอนไม่ขาดเลยเช่นกันครับ ;D
ผมรออ่านทุกอาทิตย์เลยครับ  :) :) :) :)


เพิ่งลงไปได้เพียง 5 ตอนเท่านั้นเอง ค่อย ๆ อ่านไปนะครับ ;D


วันนี้ขอลงเบิ้ลให้ ๒ ตอน คงจะถูกใจหลายท่านที่รอคอยนะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: tree_alone ที่ กันยายน 22, 2012, 12:05:26 am
อ้างถึง
คอยติดตามอ่านตอนต่อไปนะครับ จะลงให้อ่านกันทุกอาทิตย์ครับ  ;D

   ขอบพระคุณ คุณ Weerawat มากครับ เอามาลงให้อ่านอีกนะครับ เอาทุกตอนที่มีเลย  ;D
 อย่าให้เรื่องดีๆของหลวงพ่อสูญหายไปครับ
จะติดตามทุกตอนไม่ขาดเลยเช่นกันครับ ;D


เพิ่งลงไปได้เพียง 5 ตอนเท่านั้นเอง ค่อย ๆ อ่านไปนะครับ ;D


วันนี้ขอลงเบิ้ลให้ ๒ ตอน คงจะถูกใจหลายท่านที่รอคอยนะครับ
ขอบคุณครับ ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ กันยายน 27, 2012, 08:56:12 pm
 8) 8) 8) 8) 8) เยี่ยมครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 28, 2012, 08:57:56 am
ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒๔๔
วันที่ ๒๕ ก.ค. – ๕ ส.ค.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


จดหมายคุณสมควร ทิพย์เนตร

เรียนอาจารย์เฒ่า สุพรรณ ทราบ

เมื่อปีที่แล้วผมเคยจดหมายมาขอรูปซีล็อคและรูปเล็กหลังจีวรของหลวงพ่อกวย จากอาจารย์ไม่รู้ว่าอาจารย์จะจำผมได้หรือเปล่า คราวนั้นได้รับของแล้วยังไม่ได้ตอบรับขอบคุณอาจารย์เลย เสียมารยาทจัง อาจารย์คงไม่ถือสานะครับ ก็ขอขอบพระคุณอาจารย์มา ณ ที่นี้เลยนะครับ ! ขอบคุณครับ

รูปซีล็อคและรูปเล็กหายไปซะแล้ว เสียดายจังเลยเหลือรูปซีล็อคอีกแผ่นหนึ่งไว้บูชาแผ่นเดียว สาเหตุที่หายคืนนั้นไปนั่งคอยเพื่อนหน้าซ่อง ออกมานึกขึ้นได้คลำดูหายไปแล้ว ผมอุตส่าห์ไม่เข้าไปคอยข้างในเพียงแต่อยู่ในร่มชายคาเท่านั้นเอง ไม่รู้ปาฏิหาริย์หลวงพ่อหรือเปล่า วันนั้นตึง ๆ เหล้าด้วย อาจารย์ว่าเป็นเพราะหลวงพ่อไม่ชอบหรือเปล่า

นับถือ

สมควร ทิพย์เนตร


เรื่อง ประสบการณ์วัตถุมงคลของหลวงพ่อกวย

เรียนอาจารย์สมจิตต์ เทียนจัน ที่เคารพ

อาจารย์คงจะพอจำผมได้ ผมชื่อบุญเป้ง อินภิบาล ครั้งที่แล้วผมได้ขอบูชาผ้ายันต์กันภูตผีของหลวงพ่อกวย ๑ ผืน เพราะทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของผมพอดี คือเมื่อเดือนที่แล้วญาติผู้ใหญ่ของแฟนผมตาย แต่ผมไม่ได้ไปช่วยงานศพ ให้แฟนไปคนเดียว พอดีตรงกับวันหยุดลูกผมก็ไม่ได้ไปโรงเรียน แต่ผมต้องทำโอทีต่อที่บริษัทเพราะงานเร่ง ลูกของผมก็ไปงานศพด้วย เพราะบ้านอยู่ใกล้กัน พอดีวันนั้นเป็นวันเอาศพไปเผาที่ป่าช้า(คนทางเหนือเขาจะไม่เก็บศพไว้นาน อย่างช้าก็ ๖-๗ วัน) เมื่อเอาศพไปป่าช้าลูกผมก็ไปด้วย ลูกผมอายุ ๔ ขวบ พอนอนกลางคืนเท่านั้นแหละได้เรื่องเลย คือนอนไปร้องไห้ไปทั้งที่ยังหลับอยู่ ปลุกก็ไม่ตื่นยิ่งร้องหนัก พอดีวันนั้นทำโอทีต่อกลางคืนเลิก ๓ ทุ่ม แฟนผมก็บอกกับผมว่าลูกไม่รู้เป็นอะไร จะว่าเป็นไข้ก็ไม่ใช่ตัวก็ไม่ร้อน กลางวันยังเล่นอยู่ดี ๆ เมื่อผมนั่งดูลูกนอนสักครู่ ผมนึกในใจชักไม่ได้การ ทั้งที่ปลุกก็แล้วเขย่าตัวก็แล้วยังเป็นอยู่เหมือนเดิม พอดีผมนึกขึ้นได้ลองเอาผ้ายันต์ที่บูชามาไว้บนหัวนอนลูกดูซิ ผมก็ไปเอามา มาถึงก็ยกมือไหว้อาราธนาถึงหลวงพ่อกวยเป็นที่สุด ขนหัวและตัวลุกซ่าไปหมด ผมก็เอาสอดไว้ใต้หมอนสักครู่ลูกผมก็เงียบกริบ ไม่น่าเชื่อทั้งที่ปลุกก็แล้ว เขย่าตัวก็แล้วก็ไม่ตื่น พอเอาผ้ายันต์มาไว้ใต้หมอนกลับเงียบเลย ผมคิดว่าเป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อกวยแน่ ๆ ที่ทำให้ลูกผมหลับดีทั้งคืนเลย

ขอบคุณครับ

นายบุญเป้ง อินภิบาล
บริษัทสยามยามาฮ่า เชียงใหม่


แทงหนูไม่เข้า

ต่อไปเป็นบันทึกของพี่ดำ หรือเซียนดำ ชื่อจริงคือสุวัฒน์ ปัจจุบันได้ไปทำกินอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ พี่ดำได้เคยเล่าถึงปฏิปทาของหลวงพ่อเอาไว้ พี่ดำเขาเป็นเซียนพระ คือมีอาชีพพิเศษซื้อและขายพระ เขาพูดจาสุภาพ เป็น ๑ ใน ๒ คนที่หลวงพ่อให้นำพระท่านไปจำหน่ายได้ คนแรกคือลุงนบ เจียมพลับ คุณลุงนบ แกจนมาก หลวงพ่อก็สงสารไม่รู้จะช่วยอย่างไร เลยให้ลุงนบเอารูปหล่อรุ่น ๑ ของท่าน ตะกรุด ผ้ายันต์ เอาไปจำหน่าย สมัยก่อนรูปหล่อวัดจำหน่าย ๒๐ บาท ลุงนบเอาไปจำหน่าย ๓๐ บาท ก็พอได้อาศัยแก้จนไปได้ คนที่ ๒ ก็มีพี่ดำนี่แหละ เคยมาเช่าสมเด็จหลังรูปเหมือนรุ่น ๒ เต็มองค์เอาไปจำหน่ายกับมีดหมอเล่มเล็ก ตอนนั้นวัดจำหน่าย สมเด็จหลังรูปเต็มองค์รุ่น ๒ ราคาวัด ๒๐ บาท พี่ดำมาออก ๓๐ บาท มีดหมอราคาวัดเล่มละ ๓๕๐ บาท พี่ดำก็มาออก ๕๐๐ บาท ๒ คนนี้เหมือนกันคือชื่อตรง ไม่มีทำเพิ่มเติม และที่สำคัญคือจำหน่ายก็ไม่ได้เท่าไร คนเขาไปวัดดีกว่า พี่ดำเคยตีมีดหมอไปให้หลวงพ่อท่านใส่ด้ามให้ ๑ เล่ม หลวงพ่อท่านใส่ด้ามอย่างไรไม่รู้เกิดแตก หลวงพ่อเลยต้องทำด้ามให้ใหม่ ทำด้วยมือเลยผลคือสวยกว่าเก่าซะอีก งานฝังลูกนิมิตเสร็จแล้วพี่ดำได้ไปกราบท่าน ได้ไปเช่ามีดหมอเล่มเล็กท่านมาทั้งหมด ๕ เล่ม พี่ดำได้เผลอพูดโกหกท่านว่า งานฝังลูกนิมิตไม่ได้มาเลยไม่ได้เอาอะไรไป ท่านหัวร่อหึหึ แล้วพูดว่า“มึงน่ะหรือไม่ได้มางานฝังลูกนิมิต” พี่ดำถึงกับก้มหน้า แต่ไม่รู้ว่า หลวงพ่อท่านรู้ได้อย่างไรว่า พี่ดำมางานฝังลูกนิมิต คนเป็นหมื่น ๆ คนและหลวงพ่อก็อยู่แต่บนกุฏิ คือหลวงพ่อท่านไม่ชอบคนมาก ไม่ชอบการจำหน่ายวัตถุมงคล

 วิธีการสร้างพระสมเด็จของหลวงพ่อ ท่านจะใช้ผงวิเศษสีดำ กับสีขาว สีดำมีส่วนผสมของผงใบลานเผา ท่านจะสร้างไว้ ๒ เนื้อเสมอ นอกจากผงแล้วก็มีว่านที่ให้คุณ ท่านเคยปลูกว่านเอาไว้หลายชนิด เพราะท่านเคยธุดงค์ ว่านไหนดีท่านก็เอามา เช่น ว่านดอกทอง พอดอกเริ่มออก จะบานท่านก็เด็ดเอามา ไม่รู้ว่าท่านผสมทำอะไร ยังมีว่านแปลก ๆ ที่ศิษย์ท่านนำมาถวายเป็นว่านกินคน มีมือระโยงระยางคล้าย ๆ หนวดตำลึง สามารถยื่นสายระโยงระยางจับแมลงกินได้ มีพิษ มีศิษย์ท่านนำมาถวายตอนนั้นต้นยังไม่โตเท่าไรใส่กระป๋องเลี้ยงเอาไว้ ไม่มีสัตว์ให้กินต้องเลี้ยงด้วยน้ำเลือด ตอนหลังท่านเลยตั้งเอาไว้บนหัวเสาสูง เพราะเป็นอันตราย และท่านก็ปล่อยให้ตาย ท่านบอกว่ามันมีตัวเข้าใจว่าเป็นวิญญาณ เรื่องว่านท่านว่ามักจะมีวิญญาณสิ่งสู่ ท่านเคยให้ว่านกวักหงสาวดี หรือนางพญาใหญ่ผมมาต้นหนึ่ง เอามาใส่กระถางปลูกแล้วมีวิญญาณจริง ๆ ผมไม่ชอบผีผมเลยขุดทิ้งไปแล้ว

 ตอนนั้นพี่ดำไปเช่าสมเด็จหลังรูปเต็มองค์รุ่น ๒ ท่านให้ศิษย์ท่านคือนายโจ๊วตอนนั้นอายุประมาณ ๑๒-๑๓ ปี ไปหยิบมาให้ นายโจ๊วแกเจอหนูพอดี แกเอาเหล็กหมาด คือเหล็กแหลมแทงหนู แทงเต็มที่ผลคือแทงหนูไม่เข้า เหล็กแหลมจิ้มหนังที่หลังติดท้องน้อย หนูก็ดิ้นสุดกำลังเจ็บด้วยร้องด้วย นายโจ๊วได้เรียกพี่ดำให้ช่วยกันทุบให้ตาย พี่ดำก็เข้าไปดู หลวงพ่อได้พูดว่าปล่อยมันไปเถอะ อย่าไปทำอะไรมัน พี่ดำก็แปลกใจว่าทำไมจึงแทงหนูไม่เข้า ยังไม่ทันถามท่าน ท่านก็ตอบว่าหนูมันกินว่านท่าน กินผงท่าน พระท่านมันก็กิน ท่านพูดว่า“หนูมันไม่มีดี มันไม่ละเว้น มันกัดไม่เลือก พระไตรปิฎกมันก็กัด มด ปลวก แมลง เขายังบอกได้” 

 พี่ดำจึงได้เข้าใจว่าที่หนูแทงไม่เข้าเพราะกินว่านกินผงพระของท่านนั่นเอง ส่วนเรื่องมดปลวกและแมลงที่ท่านบอกว่าเขายังบอกได้ จะสังเกตได้ว่า ที่กุฏิท่านยุงไม่มี ปลวกไม่ขึ้นกุฏิท่าน และท่านเคยเรียกมดให้ลงรูได้ ไม่ให้มารบกวนคนได้

เรื่องเรียกมดลงรูนี่ท่านเคยทำให้หมอแจ๋ศิษย์ท่านดู คือท่านเคยมานั่งกรรมฐานหน้าศพผีตายท้องกลมที่ป่าช้าวัดการเปรียญ ท่านมาปักเสา ๔ เสา ปรากฏว่าตอนมามีมดขึ้นศพเต็มไปหมด พอท่านปักเสาและเริ่มภาวนามดได้ลงรูหายไปหมด

เรื่องของพี่ดำก็มีเท่านี้ ปัจจุบันสมเด็จหลังรูปไม่มีแล้ว มีดปากกาก็ไม่มีแล้ว อ้อ ! ศิษย์ของหลวงพ่อที่สามารถเรียกมดลงได้ชื่อ ยุทธ ยิ้มจู เป็นคนบ้านแค หลวงพ่อถ่ายทอดคาถาให้ตอนเป็นเด็กวัด ปัจจุบันถ้าเจอเขาทำให้ดูได้




จดหมายคุณนภภณ เหมวงษ์
๒๒๑/๑ ถ.ประชาอุทิศ ๕๒ แขวงบางมด ราษฎร์บูรณะ กทม.๑๐๑๔๐

เรียนอาจารย์เฒ่า สุพรรณ ที่นับถือ

ก่อนอื่นผมขอชมเชยคุณก่อน ที่คุณมีความกตัญญูต่อหลวงพ่อกวยตลอดมา ผมยังชมกับอาจารย์โม่ว่าคุณเคารพนับถือและตั้งใจจริงมาก ไม่นับถือแบบหัวเต่า(ผลุบเข้า-ผลุบออก) แบบบางท่าน ผมได้ทราบประวัติหลวงพ่อมานาน และได้ไปนมัสการสรีระท่านที่วัด สลดใจไปบ้างดูไม่ค่อยเจริญทางวัตถุ อาจจะเป็นอย่างที่คุณว่า สมัยหลวงพ่ออยู่ท่านไม่ปรารถนาชื่อเสียง หรืออาจเป็นเพราะว่า แถบนั้นมีเกจิอาจารย์ดังหลายรูปก็เป็นได้ อาจารย์โม่บอกว่าสรีระหลวงพ่อยังอยู่ไม่เน่าเปื่อย(แต่ท่านไม่ค่อยให้ใครรู้) จิตสำนึกอันน้อยนิดของผมคิดว่าไม่น่าจะฌาปนกิจท่าน โอกาสต่อไปมีกำลังก็หาโลงแก้ว และสร้างมณฑปถวายท่าน เพื่อสานุศิษย์รุ่นหลังไม่ลืมเลือนได้กราบคารวะ วัดก็จะไม่เฉา ดังตัวอย่างวัดต่าง ๆ ที่รักษาอาจารย์เขาไว้ (ครูบาอาจารย์เปรียบประดุจปูชนียบุคคลของชาวพุทธทุกคน) ถ้าเผาก็จะได้ทรัพย์เพียงวูบเดียวแล้วก็ดับไป สุดแต่ดุลยพินิจท่าน

ดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อกวย ยังดูแลห่วงใยสานุศิษย์เสมอ ขอให้ตั้งมั่นและมีศรัทธาปสาทะอย่างจริงจัง ปรับคลื่นพลังจิตให้มั่นคงตรงต่อท่าน ก็จะสัมผัสได้และประสบสิ่งที่หวังตามกำลังบารมี

ดั่งเช่นเมื่อช่วงปลายปี ๒๕๓๒ ดวงผมตกต่ำมาก ทั้งเรื่องโรงเรื่องศาล ทั้งขับรถชน ทั้งการงานและเรื่องทันสมัยของคนไทยคือการเงิน มากระทบทุกรูปแบบ แต่ผมก็พยายามแก้ไขพร้อมทั้งทำบุญและปฏิบัติจิตเสมอมา เมื่อต้นธันวาคม ผมไปนมัสการท่านที่วัด ขากลับได้สิ่งมงคลของท่านไว้คุ้มตัวด้วยเพราะผมยังมีกิเลสหนาแน่นและโง่เขลาปัญญาเอาตัวไม่รอด ต้องอาศัยบารมีท่านเพื่อความอุ่นใจและมีจุดยืนต่อสู้ต่อไป ทุกวันจะสวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติและขอพรจากท่าน ความรู้สึกสัมผัสดูจะไม่เหมือนกับพระอาจารย์องค์อื่นมันเป็นปัจจัตตัง ที่รับรู้ได้เฉพาะตน เช่น เรารู้ว่านกแก้ว นกขุนทองสามารถฝึกให้พูดได้ ก็มีคนทำมาได้แล้ว แต่ถ้าเอาแต่นั่งดูไม่ฝึกจริงจัง ไม่พยายามอดทนและเชื่อมั่น นกก็พูดไม่ได้ และจากเมตตาบารมีท่านทุกอย่างก็ดูจะดีขึ้นตามลำดับ งานการไม่ติดขัด สายงานคอยช่วยเหลือ และมีเมตตามีมาก (แต่เราต้องทำตัวเองด้วยไม่ใช่หน้ายับเข้าบริษัท) ได้ปรับฐานะเงินเดือนขึ้นซึ่งเคยติดขัดก็สำเร็จ ได้ยกระดับการงานขณะที่มีโครงการใหญ่เสนอมา ๒-๓ โครงการ และมกราคมที่ผ่านมานี้ก็ดีขึ้น เงินเดือนพร้อมโบนัสอีกรอบ ผมว่าท่านให้โชค ดีกว่าถูกหวยซะอีกคือถูกทุกเดือนตลอดไป ดูท่านจะมีอุตมะลาภดีแท้ ด้านแคล้วคลาดและกำบังตาก็ออกจะชัดเจน มีครั้งหนึ่งผมออกไปพบลูกค้าที่อ่อนนุชหาที่จอดรถยาก ไปเจอซอยหนึ่งเข้าต้องรีบเสียบไว้ก่อน ไปธุระเสร็จพอประมาณกลับมาที่รถ ผมแทบวูบแบบเขาค้อ มองดูกระจกอีกด้านเปิดโล่งเลย และกระเป๋าเอกสารก็วางไว้ด้วย ที่สำคัญมีเอกสารสัญญาและเงินอีกเกือบ ๔๐,๐๐๐ บาท แถมที่รถมีรอยมือคนเข็นรถเดินหน้าถอยหลังอีกต่างหาก นี่ถ้าท่านไม่ช่วยผมคงต้องไปเริ่มดวงตกใหม่ เหมือนตอนแรกเริ่มเล่าเรื่อง ดีที่ในกระเป๋าผมมีสิ่งมงคลของหลวงพ่อกวยด้วย สาธุ

ขอแสดงความนับถือ

นภภณ  เหมวงษ์

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: POLLASAK ที่ กันยายน 28, 2012, 09:43:01 am
ขอบคุณพี่มากครับ  ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: tree_alone ที่ กันยายน 28, 2012, 01:41:57 pm
รออ่านเรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 28, 2012, 03:05:32 pm
วันศุกร์
ปางรำพึง


พระพุทธรูปปางรำพึง สำหรับผู้ที่เกิดวันศุกร์นั้น  เท่าที่ผมเห็นมา พระองค์ท่านจะอยู่ในอิริยาบถประทับยืน โดยที่พระหัตถ์ ๒ ข้าง ประสานกัน หรือไขว้กัน โดยมีพระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย อยู่ที่พระอุระ (อก) ลักษณะอาการเช่นนี้ โบราณท่านเรียกว่า "กิริยารำพึง"  ซึ่งคำว่า "รำพึง" กับ "รำพัน"  นั้น มีความหมายแตกต่างกัน บางท่านเข้าใจผิด ด้วยเคยเห็น  หรือได้ยินคนเขาผนวกสองคำนี้เข้าไว้ด้วยกันคือ "รำพึงรำพัน" บ่อย ๆ เลยเหมารวมเป็นคำคำเดียวกันเสียเลย อย่างนี้ทำให้ "ภาษาวิบัติ" หมด

คำว่า "รำพึง" นั้น มีความหมายในด้านความครุ่นคิด พิจารณา ตรึกตรอง ใคร่ครวญในเรื่องราวต่าง ๆ  ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในใจ ยังไม่ได้แสดงออกมา  ส่วนคำว่า "รำพัน" นั้นมีความหมายในด้านการระบายอารมณ์ที่คุกรุ่น หรือสุมแน่นอยู่ในใจออกมา เช่นอารมณ์รัก อารมณ์โกรธอารมณ์เศร้า ออกมาเป็นคำพูดให้ได้ยิน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม  คำสองคำนี้ก็มีความหมายในด้านอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด จินตนาการ ซึ่งตรงกับความหมายของ "ดาวศุกร์" ซึ่งเป็นดาวเกี่ยวกับศิลปะ การบันเทิง ซึ่งต้องใช้อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด จินตนาการเข้าช่วย ด้วยเหตุนี้กระมัง   คนโบราณท่านจึงจัดพระพุทธรูปปางนี้ สำหรับผู้ที่เกิดวันศุกร์ หรือมีดาวศุกร์เด่นในดวงชะตา  ลองมาอ่านเรื่องราวความเป็นมาของพระปางนี้กันก่อน ดังนี้

หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ธรรม สำเร็จเป็น "พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า" แล้วนั้น พระองค์ยังคงประทับเสวยวิมุติสุขอยู่ ณ ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์  เป็นเวลา ๗ วัน คำว่า "วิมุติสุข" แปลว่า สุขอันเกิดจากความสงบ ระงับ เป็นภาษาที่ใช้สำหรับท่านผู้หลุดพ้นแล้ว เทียบกับสามัญชนคนมีกิเลสก็คือพักผ่อนภายหลังที่ตรากตรำทำงานมานั่นเอง หลังจากนั้น ได้ทรงเสด็จแปรสถานที่ประทับในอาณาบริเวณนั้น ด้วยกันอีก ๖ แห่ง แห่งละ ๗ วัน โดยในสัปดาห์ที่ ๒    ประทับยืนกลางแจ้ง ห่างจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ไปทางทิศตะวันออก ทรงพิจารณาต้นพระศรีมหาโพธิ์โดยอาการลืมพระเนตรตลอด ๗ วัน อันเป็นที่มาของพระปางถวายเนตร ดังได้กล่าวไว้แล้ว

ในสัปดาห์ที่ ๓ อยู่ภายใต้ต้นจิก หรือ มุจลินทร์ ตลอด ๗ วัน    ในสัปดาห์นี้มีเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดพระพุทธรูปปางนาคปรก สำหรับผู้ที่เกิดวันเสาร์  รายละเอียดจะนำมาเสนอต่อจากพระประจำวันศุกร์ขอได้โปรดติดตาม

ในสัปดาห์ที่ ๔ เสด็จประทับอยู่ภายใต้ต้นไม้ที่ภาษาบาลีเรียกว่า " ราชายตนะ" ไทยเรียกไม้ชนิดนี้ว่า "ไม้เกด" อยู่ถัดไปทางทิศใต้ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ในสัปดาห์นี้มีพ่อค้ากองเกวียน  ชื่อ"ตปุสสะ" และ "ภัลลิกะ" เกิดความเลื่อมใสได้เข้าเฝ้าและถวายข้าวสัตตุก้อนและสัตตุผง ไทยเรียกว่า "ข้าวตู" จากนั้นได้ถวายตนเป็นอุบาสกคู่แรกที่เข้าถึงพระพุทธและพระธรรมเป็นที่พึ่ง (ตอนนั้นยังไม่มีพระสงฆ์) และก่อนที่จะถวายบังคมกราบลา ได้กราบทูลขอสิ่งของเป็นที่ระลึกจากพระพุทธเจ้า   (ทำนองขอของดีไว้บูชาเพื่อเป็นสิริมงคลอย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ ชอบขอจากพระเกจิอาจารย์นั่นแหละ) ซึ่งพระพุทธองค์ก็ไม่ทรงขัดศรัทธา  ทรงยกพระหัตถ์ขวาลูบเบื้องพระเศียร ทันใดนั้น พระเกศาธาตุ (ผม) ทั้ง ๘ เส้น   มีสีดุจแก้วอินทนิล และปีกแมลงภู่..ก็หล่นลงประดิษฐานในฝ่าพระหัตถ์ (ตกลงบนฝ่ามือ)  แล้วทรงประทานเส้นพระเกศาทั้งแปดแก่นายกองเกวียนเพื่อนำไปบูชาเป็นที่ระลึก  (น่าจะจัดเข้าข่ายวัตถุมงคล หรือเครื่องรางของขลังสิ่งแรกในพระพุทธศาสนา) ทั้งสองเมื่อได้รับ ต่างโสมนัส แล้วถวายอภิวาทกราบทูลลาพระพุทธเจ้าไป เคยได้ทราบจากผู้รู้ท่านหนึ่งว่า พระเกศาธาตุทั้ง ๘ นั้น ปัจจุบัน ประดิษฐานอยู่ ณ เจดีย์ชะเวดากอง (เจดีย์ทอง) เมืองร่างกุ้ง ประเทศพม่า  ด้วยว่าพ่อค้ากองเกวียนทั้งสองนั้น หากไม่เป็นชาวมอญก็น่าจะเป็นชาวพม่า ผิดพลาดประการใด  ขอให้ท่านผู้รู้จริงช่วยชี้แจงเสนอแนะกับผู้เขียนด้วย จักเป็นพระคุณยิ่ง เพราะในปฐมสมโพธิ กล่าวเพียงว่า พ่อค้าทั้งสองมาจาก "อุกกลชนบท"    ซึ่งผู้เขียนเองก็ไม่ทราบคำแปลเหมือนกัน

หลังจากที่ทรงประทับอยู่ภายใต้ต้นราชายตนะหรือไม้เกดครบ ๗ วันแล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จแปรสถานที่ประทับไปยังต้น "อชปาลนิโครธ" หรือ "ต้นไทร" นับเป็นสัปดาห์ที่ ๕  ระหว่างประทับอยู่ที่นี่ พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาถึงธรรมที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้มา ทรงเห็นว่า เป็นธรรมที่มีความหมายสุขุมละเอียดหรือทวนกระแสใจ(ความต้องการ) ของมนุษย์ปุถุชนที่หนาแน่นด้วยกิเลส ก็ทรงบังเกิดความท้อพระทัยว่าจะมีใครสักกี่คนที่จะฟังธรรมของพระองค์รู้เรื่อง    และน้อมนำไปปฏิบัติตามเพื่อให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด (นิพพาน) พระทัยหนึ่งจึงเกิดความมักน้อยว่า   "จะไม่แสดงธรรมโปรดใครเลย"

ท่านผู้รจนาคัมภีร์เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ได้แต่งเรื่องสาธกให้เห็นเป็นปุคลาธิษฐานประกอบเข้าในตอนนี้ว่า  พระดำริของพระพุทธเจ้าเรื่องนี้ ได้ทราบไปถึงท่านท้าวสหัมบดีพรหมในพรหมโลก ท้าวสหัมบดีพรหมจึงตกพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงเปล่งศัพท์สำเนียงอันดังถึงสามครั้งว่า    "โลกจะฉิบหายในครั้งนี้"  ปฐมสมโพธิว่า  "เสียงนั้นก็ดังแผ่ไปทั่วหมื่นโลกธาตุ   ท้าวสหัมบดีพรหมจึงพร้อมด้วยเทวาคณานิกร ลงมากราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรม" ตอนท้าวสหัมบดีพรหมลงมาทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรมโปรดชาวโลกนี้ กวีท่านแต่งเป็นอินทรวงศ์ฉันท์ภาษาบาลีไว้ว่า

 "พรัมมา จะ โลกา ธิปปะติ สะหัมปะติ กัตอัญชะลี อันธิวะรัง อะยาจะถะ สันตีธะ   สัตตาปปะระชักขะ ชาติกา เทเสตุ ธัมมัง อะนุกัมปิมัง ปะชัง " แปลว่า "ท้าวสหัมบดีพรหม ประณมกรกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าผู้ทรงคุณอันประเสริฐว่า สัตว์ในโลกนี้ ที่มีกิเลสบางเบาพอที่จะฟังธรรมเข้าใจนั้นมีอยู่ ขอพระองค์ได้โปรดแสดงธรรมช่วยเหลือชาวโลกเทอญ"     ต่อมาภาษาบาลีที่เป็นฉันท์บทนี้ ได้กลายเป็นคำสำหรับอาราธนาพระสงฆ์ในเมืองไทยให้แสดงธรรมมาจนทุกวันนี้

 พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นได้ฟังคำอาราธนากราบทูลจากท่านท้าวสหัมบดีพรหมแล้ว ทรงรำพึงถึงธรรมเนียมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายแต่ปางก่อน ว่าได้ตรัสรู้แล้วย่อมแสดงธรรมโปรดประชากรทั้งหลายประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้แผ่ไพศาลเพื่อประโยชน์สุขแก่ปัจฉิมชน คนที่เกิดมาภายหลัง แล้วจึงเสด็จปรินิพพาน จึงได้น้อมพระทัยไปในอันแสดงธรรมโปรดประชากรในโลก

ท้าวสหัมบดีพรหมที่เสด็จมากราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรมประกาศพระศาสนาโปรดชาวโลก ที่ได้กล่าวถึงในตอนที่แล้วนั้น เป็นเรื่องที่กวีแต่งขึ้นเป็นปุคคลาธิษฐาน คือ แต่งเป็นนิยายมีบุคคลเป็นตัวแสดงในเรื่อง  ถ้าถอดความเป็นธรรมาธิษฐาน หรืออธิบายกันตรง ๆ ก็คือ   สหัมบดีพรหมนั้นได้แก่ "พระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า" นั่นเอง ถึงพระพุทธเจ้าจะทรงท้อพระทัยว่าจะไม่แสดงธรรม แต่อีกพระทัยหนึ่งซึ่งมีอำนาจเหนือกว่า คือพระมหากรุณาธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณนี่เอง ที่เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าตัดสินพระทัยว่าจะทรงแสดงธรรม

หลังจากตัดสินพระทัยแล้ว จึงทรงพิจารณาดูอัธยาศัยของคนในโลก ว่าจะมีผู้รู้ถึงธรรมนั้นบ้างหรือไม่  แล้วทรงเห็นความแตกต่างแห่งระดับสติปัญญาของคนทั้งหลายในโลก ย่อมมีต่าง ๆ กัน คือ มีทั้งประณีต ปานกลาง และหยาบ  ที่มีนิสัยดี มีกิเลสน้อยเบาบาง มีบารมีที่ได้สั่งสมอบรมมาแล้ว  ซึ่งพอจะตรัสรู้ธรรมตามพระองค์ได้ก็มี ผู้มีอินทรีย์ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา แก่กล้าก็มี ผู้มีอินทรีย์อ่อนก็มี เป็นผู้จะพึงสอนรู้ให้ได้โดยง่ายก็มี เป็นผู้จะพึงสอนให้รู้ได้โดยยากก็มี เป็นผู้สามารถจะรู้ได้ก็มีเป็นผู้ไม่สามารถจะรู้ได้ก็มี และเพื่อให้เกิดความเข้าใจโดยง่าย พระองค์ทรงแบ่งระดับความแตกต่างของคนไว้ ๔ ระดับ ได้กับบัว ๔ ประเภท ดังนี้

จำพวกที่หนึ่ง  ฉลาดมาก  เพียงแต่ได้ฟังหัวข้อธรรมที่ยกขึ้นมาก็เข้าใจทันที  เปรียบได้กับ "ดอกบัวเปี่ยมน้ำ" พอได้รับแสงอาทิตย์ก็บาน

จำพวกที่สอง  ฉลาดพอควร  คือ ยกหัวข้อธรรมอย่างเดียวไม่เข้าใจ  ต่อเมื่อฟังคำอธิบายอีกชั้นหนึ่งจึงเข้าใจ เปรียบเหมือนดอกบัวใต้น้ำที่จะโผล่พ้นน้ำ พร้อมเสมอที่จะบานในวันรุ่งขึ้น

จำพวกที่สาม  ฉลาดปานกลาง ที่เรียกว่า "เวไนยสัตว์" (สัตว์ที่สั่งสอนได้)  ต้องใช้เวลาอบรมบ่มสติปัญญาพอควร จึงจะเข้าใจ เปรียบเหมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำลึกลงไปหน่อย   ซึ่งจะแก่กล้าขึ้นมาบานในวันต่อ ๆ ไป

จำพวกที่สี่ เรียกว่า "ปทปรมะ" ตรงกับภาษาไทยว่า "โง่ทึบ" ตรงกับอังกฤษว่า "Idiot" เป็นคนที่โปรดไม่ได้ สอนยังไงก็ไม่ขึ้น เรียกอีกสำนวนหนึ่งว่า "ผู้ที่พระพุทธเจ้าทรงทอดทิ้ง" เปรียบเหมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำลึกลงไปมาก ถึงขนาดไม่อาจขึ้นมาบานได้ เพราะตกเป็นภักษาของเต่าและปลาเสียก่อน

ระดับสติปัญญาของคนในโลกที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นดังกล่าวนี้  คือ   สิ่งที่ภาษาจิตวิทยาทุกวันนี้เรียกกันว่า "ไอ.คิว."  ของคนนั่นเอง

หลังจากทรงพิจารณาใคร่ครวญ หรือ รำพึงถึงธรรม  ที่จะแสดงโปรดมหาชนดังได้กล่าวมาแล้วนั้น ก็ทรงอธิษฐานพระหฤทัยในอันที่จะแสดงธรรมสั่งสอนมหาชน   และตั้งปณิธานจะใคร่ดำรงพระชนม์อยู่จนกว่าจะได้ประกาศพระศาสนาให้แพร่หลาย ประดิษฐานให้มั่นคง สำเร็จประโยชน์แก่ชนนิกรทุกเหล่า จากพุทธอิริยาบถที่ทรงรำพึงถึงธรรมนี่เอง  จึงเป็นที่มาแห่งพระพุทธรูปปางรำพึง ซึ่งคนโบราณท่านจัดให้เป็นพระประจำวันสำหรับผู้ที่เกิดวันศุกร์

พระประจำวันศุกร์ หรือปางรำพึงนี้ เป็นพระประจำวันอีกปางหนึ่งที่หาดูได้ยากพอ ๆ กับพระประจำวันพุธกลางคืน (ปางราหู)  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบูชาขนาดใหญ่ หรือพระประธานด้วยแล้ว แทบจะไม่มีเอาเสียเลย   ทั้ง ๆ   ที่พระปางนี้ เป็นปางสำคัญยิ่ง รองลงมาจากปางสมาธิ  เป็นปางที่พุทธศาสนิกชนควรจะได้มีไว้สักการบูชาประจำบ้าน ประจำตัว ประจำครอบครัว   เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงตัดสินพระทัยที่จะแสดงธรรมโปรดชาวโลก


หลังจากรำพึงถึงธรรมที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว  เพราะถ้าหากว่าพระพุทธองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะไม่แสดงธรรมโปรดชาวโลกแล้วล่ะก็  โลกในยุคต่อมา หรือในยุคปัจจุบันนี้   "คงจะปั่นป่วน วุ่นวาย ฉิบหายใหญ่โต" ดังคำอุทานของท่านท้าวสหัมบดีพรหมเป็นแน่

คำว่า "วันศุกร์" นั้น พ้องเสียงกับคำว่า "วันสุข" ผู้ที่เกิดวันนี้ หรือมีดาวศุกร์เด่นในดวงชะตา มักจะสนใจ ใฝ่ใจในเรื่องราวของศิลปะ การบันเทิง    ไม่ซีเรียสเครียดมากกับการดำเนินชีวิต ส่วนมากมักจะเป็นคนยิ้มง่าย พูดง่าย รู้จักปล่อยวาง ไม่จมปลักกับความทุกข์  และถ้าหากได้บูชาพระประจำวันศุกร์ หรือปางรำพึงถึงธรรมที่ทรงตรัสรู้ด้วยแล้ว อำนาจแห่งพระพุทธคุณ ซึ่งประกอบไปด้วย พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ จะส่งผลดลบันดาลให้ทุกท่านที่สักการบูชา ประสบกับความสำเร็จมีโชคลาภ วาสนา บารมี   เป็นที่รักใคร่เมตตาของคนทั่วไป   แม้กระทั่งเทพยดา อารักษ์ ก็จะคอยให้ความพิทักษ์ดูแล ไม่ให้สิ่งเลวร้าย อัปมงคลมากล้ำกรายได้

 วันศุกร์เป็นวันที่มีกำลังวันมากกว่าวันอื่น ๆ ด้วยมีกำลังวันถึง ๒๑ โบราณท่านให้ท่านที่เกิดวันนี้หรือผู้ที่มีพระประจำวันนี้ไว้สักการบูชา พึงสวดพระพุทธมนต์บท "อาฎานาฎิยะปริตร" ซึ่งเป็นพุทธมนต์ที่ท่านท้าวเวสสุวัณ จตุโลกบาลประจำทิศเหนือ ถวายแด่พระพุทธองค์ เอาไว้สวดสำหรับป้องกันภัยจากภูตผีปีศาจ ยักษ์มารทั้งหลายโดยมีเนื้อหาในตัวพระคาถาดังนี้

" อัปปะสันเนหิ  นาถัสสะ  สาสะเน  สาธุสัมมะเต  อะมะนุสเสหิ  จัณเฑหิ  สะทา  กิพพิสะการิภิ ปะริสานัญจะ ตัสสันนะ มะหิงสายะ จะ คุตติยา ยันเทเสสิ มะหาวีโร ปะริตตันตัม ภะณามะ เห ฯ "

 ท่านให้สวดให้ได้วันละ ๒๑ จบก่อนนอน หรือหากท่านใดไม่ชอบอะไรที่มันยืดยาวยุ่งยาก ไม่ค่อยมีเวลาจะสวดภาวนาพระคาถาบทนี้ คือ " อะ วิช สุ นุต สา นุส ติ " ก็ไม่ผิดกติกาอะไร เรื่องของพระคาถาบทสวดแบบสั้น มีท่านผู้อ่านท่านหนึ่งทักท้วงมาว่า  ไม่เหมือนกับที่เคยได้พบเห็นหรือได้ฟังมา เอ๊ะ มันยังไงกันแน่  ซึ่งเรื่องนี้ผมก็ได้ชี้แจงในเบื้องต้นว่า คาถาบทสั้นนั้น อาจารย์แต่ละคนท่านก็คงตัดตอนเอามาจากบทสวดพุทธคุณต่าง ๆ อาจจะมีผิดเพี้ยนกันไปบ้าง    อย่างที่ผมนำมาเสนอนั้นผมได้นำมาจากหนังสือ "กรรมฐานประจำวันเกิด" ของทีมงาน "โลกทิพย์" ซึ่งบทสวดแต่ละวันนั้น เป็นพระคาถาที่เรียกว่า "กระทู้เจ็ดแบก" แต่ละบทมีชื่อเรียกต่างกัน   และมีฝอยในการนำไปใช้ต่างกัน


เห็นว่า วันนี้ เป็นวันศุกร์ เลยอยากให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่าน มีความสุขทุกท่านนะครับ สัปดาห์หน้าพบกันใหม่ในตอนต่อไปครับ

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ตุลาคม 04, 2012, 10:24:48 pm
ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒๔๕
วันที่ ๕ ส.ค. – ๑๕ ส.ค.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


สรงน้ำไม่ได้

ประเพณีสรงน้ำผู้ใหญ่ เป็นประเพณีอันดีงามเก่าแก่ของคนไทย คนไทยนิยมสรงน้ำผู้ใหญ่ในวันสงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่ของไทย คือ วันที่ ๑๓ เมษายน ภาคเหนือเราเรียกประเพณีนี้ว่า รดน้ำดำหัว เรียกซะน่ากลัวเลย ตามต่างจังหวัดวันสงกรานต์เขานิยมเล่นน้ำและอาบน้ำผู้ใหญ่ รวมทั้งสรงน้ำพระพุทธ และพระสงฆ์ด้วย เขาว่าปีใหม่จะได้ร่มเย็น แต่เดิมประเพณีนี้จัดกันยิ่งใหญ่มาก มีการละเล่นกันประมาณ ๑ สัปดาห์ เช่น มีการเล่นลูกช่วง มีการเล่นทอยสตางค์ แข่งเรือ จบลงด้วยการรดน้ำหรืออาบน้ำผู้ใหญ่ เพื่อแสดงมุทิตาจิตและกตัญญูกตเวที


ที่วัดหลวงพ่อกวย ก็มีประเพณีนี้สืบทอดกันมา มีการนิมนต์พระสงฆ์ลงมาสรงน้ำ แต่พวกเขารู้ว่าหลวงพ่อกวยท่านยุ่งในกุฏิ เขาจะไม่กล้ารบกวนนิมนต์ท่าน สมัยท่านมีชีวิตอยู่ไม่เคยมีงานบุญสรงน้ำ หรือทำบุญแซยิด คือท่านไม่ชอบพิธีการ สรุปคือไม่ค่อยมีใครได้สรงน้ำท่าน จนเมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว จึงได้คิดจัดงานสรงน้ำให้ท่าน ประกอบกับวันที่ ๑๒ เมษายน เป็นวันครบรอบวันมรณภาพท่านด้วย และมีศิษย์ท่านนำผ้าป่าจากที่ไกล ๆ มาทอดให้ท่าน ทางวัดจึงได้กำหนดเอาวันที่ ๑๒ เมษายน เป็นวันสรงน้ำให้ท่านด้วย พระในวัดด้วย กลางคืนมีการสวดพระอภิธรรม สวดเสร็จมีลิเก ภาพยนตร์ ให้ดูฟรี คือศิษย์ท่านโดยมากจะแก้บนกันในวันนั้น

ปีแรกที่มีการสรงน้ำรูปหล่อ กลางคืนมีงาน ผลคือฝนตกทั้งคืน ปีที่ ๒ มีงานสรงน้ำรูปหล่อ ตกกลางคืนฝนตกอีก ผลคือชาวบ้านอดดูภาพยนตร์ ลิเกก็อดดู ปีที่ ๓ และปีที่ ๔ ก็เป็นเช่นนั้นอีก ชาวบ้าน กรรมการวัด และอาจารย์สำรวยเลยคิดได้ว่า ถ้าขืนสรงน้ำในวันที่ ๑๒ เมษายนละก็ ชาวบ้านอดดูภาพยนตร์ อดดูลิเกแน่ ตกลงวันที่ ๑๒ เมษายน จึงสรงน้ำรูปหล่อท่านไม่ได้ เพราะถ้าสรงน้ำเมื่อไรฝนตกเมื่อนั้น แม้ปัจจุบันนี้ถ้าฝนฟ้าไม่ตกชาวบ้านจะมาสรงน้ำรูปหล่อท่านเสมอ และเป็นเรื่องจริงด้วย ถ้าสรงน้ำท่านเมื่อไรฝนเป็นต้องตก ในวันที่ ๑๒ เมษายน คนไกล ๆ ที่มาทอดผ้าป่าชอบมาสรงน้ำท่าน ชาวบ้านที่อยากดูลิเก ภาพยนตร์ ต้องมายืนบอกว่าขอร้องอย่าเพิ่งสรงน้ำท่าน เรื่องนี้แปลกดีจึงเล่าให้ฟัง หรือท่านชอบน้ำหรืออย่างไรไม่รู้

จดหมายคุณพรชัย วุฒิไชย

เรียนอาจารย์เฒ่า สุพรรณ ที่นับถือ

ผมเคยอ่านแต่เรื่องราวของคนอื่นเกี่ยวกับหลวงพ่อกวย ที่เขียนมาเล่าให้คุณฟังใน “นะโม” มาตลอด แต่ไม่เคยประสบกับตนเองมาก่อนเลยสักครั้ง ในคราวนี้ผมจะขอเล่าเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ทางด้านโชคลาภของหลวงพ่อให้คุณได้รับทราบคือ ในวันก่อนล็อตเตอรี่ออกประมาณ ๕ วัน ผมได้ซื้อล็อตเตอรี่ไว้ใบหนึ่ง ก่อนจะซื้อผมก็บอกกับหลวงพ่อ (ในใจ) ว่า “จะซื้อเลขอะไรดี หลวงพ่อช่วยลูกเลือกหน่อยเถอะ” แล้วก็ยืนดูคือไม่ได้คิดอะไรมากน่ะ ก็บอกให้คนขายหยิบมาให้ใบหนึ่งเลขท้าย ๐๖๒ ทีนี้พอควักเงินมาจะจ่าย อ้าวนึกขึ้นได้ว่า ๖๒ มันเพิ่งออกไปเมื่องวดที่แล้วนี่เอง ก็จะบอกให้คนขายเปลี่ยนเป็น ๒๒๖ ก็เหมือนมีอะไรมาบอกในใจไม่ให้เปลี่ยน ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ผมก็เลยไม่เปลี่ยนกลับมาบ้านก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหวยจะออกซ้ำเลขเดิม คือที่ผมจะเปลี่ยนนี้มันมีเหตุนะคุณเฒ่า คือตอนนั้นผมได้รับรูปถ่ายเล็กหลังจีวรพร้อมกับรูปซีล็อกใหม่ผมก็อยากจะลองดูก็เลยไปซื้อล็อตเตอรี่ ก่อนจะซื้อผมก็บอกกับหลวงพ่อกวย คือในความรู้สึกแว่บแรกที่ผมดูตู้ล็อตเตอรี่ ผมสะดุดใจกับเลข ๒๒๖ ก่อนเลย แต่งวดนั้นไม่ซื้อ พอวันหวยออกปรากฏว่ามี ๒๒๖ ด้วย พอมางวดนี้ผมคิดว่า ๖๒ ออกแล้วเลยจะเปลี่ยนเป็น ๒๒๖ ดู ก็เหมือนที่ผมเล่าให้ฟังตอนต้นน่ะแหละ ยังคิดเลยว่าหลวงพ่อไม่ให้โชคซะละมั้ง พอตกตอนเย็นได้ยินคนเขาพูดเรื่องหวยได้ยินเค้าบอกว่า ๒ ตัวล่างออก ๖๒ โอ้โฮ คุณเฒ่า ผมดีใจใหญ่เลยก็เกิดมาผมเพิ่งจะเคยถูกหวยเป็นครั้งแรกในชีวิตเลย ทำให้ผมมีความศรัทธาหลวงพ่อขึ้นอีกเป็นล้นพ้นเลย ทั้งที่ในตอนแรกยังคิดน้อยใจว่าหลวงพ่อให้โชคแต่คนอื่น ถึงแม้รางวัลจะไม่มากเพียงพันบาทเท่านั้น แต่ผมก็เชื่ออย่างที่สุดว่าหลวงพ่อมีความศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ
นับถือ
พรชัย วุฒิไชย
สถานีอนามัยตำบล อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน ๕๕๑๓๐


สมเป็นผู้กล้า

ต่อไปจะกล่าวถึงรูปหล่อรุ่น ๑ ชนิดคล้องคอ หลวงพ่อได้สร้างรูปหล่อรุ่น ๑ ชนิดเล็กเป็นเนื้อฝาบาตร มีส่วนผสมของทองเหลืองและทองแดงกะไหล่ไฟ มีขนาดกะทัดรัด ขนาดปลายนิ้วก้อย เป็นรูปหล่อปั๊มไม่มีกริ่ง สวยงามมาก นัยน์ตา ๒ ข้างแกะได้กลมมีประกาย หลวงพ่อเป็นผู้ดำเนินงานสร้างเอง คือวัตถุมงคลท่าน ๆ จะจัดทำเองไม่ชอบให้กรรมการวัดมายุ่ง สร้าง พ.ศ.๒๕๑๒ นำเงินรายได้จากผู้ทำบุญ นำมาสร้างศาลาหลังเก่า จำหน่ายในสมัยนั้นองค์ละ ๑๕-๒๐ บาท หลวงพ่อปลุกเสกอยู่ประมาณ ๓-๕ ปี คือท่านปลุกเสกเรื่อย ๆ รูปหล่อรุ่น ๑ ชนิดเล็กนี้จะเป็นวัตถุมงคลที่อมตะ ราคาเช่าหาจะแพงขึ้นเรื่อย ๆ และโดยมากแทบทุกองค์จะยังสวยอยู่เพราะก่อนใช้ต้องนำไปเลี่ยมก่อนจึงจะใช้ได้

ศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่งชื่อวิไล งิ้วงาม เป็นคนหนองอ้อ ติดหนองบอนสามเอก อ.เดิมบางนางบวช เป็นชื่อจริงนามสกุลจริง มีรูปหล่อเล็กรุ่น ๑ ของหลวงพ่อเพียงองค์เดียวติดตัว แกเป็นคนที่กล้าหาญอดทนมาก ที่ว่ากล้าหาญเพราะแกเป็นคนไม่กลัวเมีย ผู้ชายเรานี่บางคนหน้าดุ พอเจอหน้าเมียแพ้เมียหน้าหวานก็มี บางคนเมาเหล้าเข้าไปเหมือนหนึ่งว่า พอเจอหน้าเมียจะเตะเมียให้ตายอย่างงั้นแหละ พาเพื่อนไปด้วยพอไปถึงบ้านกลับจะเตะเพื่อนให้เมียดูก็มี แต่นายวิไลไม่ใช่คนอย่างนั้น เมียจะด่าจะว่าแกไม่สนใจ สมกับที่เป็นศิษย์ของหลวงพ่อจริง ๆ คือกล้าหาญ อดทน

วันเกิดเหตุแกไปปักเบ็ด ตอนกลางคืนขณะที่เดินมาจากนาขึ้นถนนเล็กมีป่าละเมาะอยู่ ๒ ข้างทาง มีคนร้าย ๒ คนมาดักยิงแกด้วยปืนลูกซองระยะประชิดไม่ถึงวา เข้าใจว่าเป็นปืนลูกซองยาว ๑ กระบอก สั้น ๑ กระบอก ยิงพร้อมกันเลยเสียงดังสนั่น ปรากฏว่านายวิไลไม่เป็นอะไรเลย ไม่ล้ม ไม่ตกใจ ไม่วิ่งหนี คนร้ายเห็นท่าไม่ดีวิ่งหนีสุดชีวิต เมื่อนายวิไลมาถึงร้านค้าซึ่งมีไฟสว่าง แกก็มาดูรอยลูกปืนคือให้ชาวบ้านมาช่วยกันดู ผลคือไม่โดนตัวแกเลย มีบางลูกที่โดนเสื้อเพราะลูกปืน ๒ นัด ๆ ละ ๙ เม็ด รวม ๑๘ เม็ด คนเห็นต่างแปลกใจไปตาม ๆ กัน ก็ขนาดเขม่าปืนจับเต็มหน้าแกดำไปหมด ยังไม่โดนลูกปืนแม้เม็ดเดียว วันนั้นแกคล้องรูปหล่อรุ่น ๑ เพียงองค์เดียว

ผมเห็นแกเป็นคนกล้าหาญ ไม่ตกใจต่อเสียงปืน ผมก็แปลกใจเช่นกัน ต่อเมื่อสอบถามชาวบ้านแถวนั้นดู จึงได้รู้ว่านายวิไล หรือคุณวิไลแกหูตึงสาเหตุเพราะตอนไปรบที่ลาว หรือสงครามลาวแกโดนยิงด้วยปืนเอสเค โดนทั้งชุด หูเสียเลย แถมโดนลูกอาร์พีจีอีกหูแกเลยเสียตั้งแต่นั้นมา ตอนไปรบที่ลาวแกก็มีรูปหล่อรุ่น ๑ ติดตัวองค์เดียวกับผ้าแดง อิติปิโส ๘ ทิศ ของหลวงพ่อ ๑ ผืน มิน่าล่ะถึงไม่กลัวเมีย

จดหมาย ส.อ.นคร ไชยาโส

นมัสการ อาจารย์สำรวย

กระผมมีความสนใจผ้ายันต์ค่ายกล ที่หลวงพ่อกวยสร้างเอาไว้ อยากบูชาเอาไว้ติดตัวสักผืน เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้ศรัทธามานานแล้ว เพราะมีเหรียญของหลวงพ่อติดตัวแล้วเกิดอุบัติเหตุ เอามอเตอร์ไซค์ชนกับท้ายรถเก๋งที่สี่แยกบ้านคลอง อ.เมือง จ.พิษณุโลก อย่างจัง รถคอบิดใช้ไม่ได้ ตัวผมเองตกลงไปที่พื้นถนนกลิ้งหลายตลบไม่เป็นอะไร ถลอกที่แขนนิดหน่อย แปลกมาก

นมัสการมาด้วยความเคารพ

ส.อ.นคร ไชยาโส
ตู้ ป.ณ.๖๔ ร้อย.ลว.ไกลที่ ๔ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ๖๕๑๓๐


[/b] จดหมายคุณรงค์ศักดิ์ ทองเล็ก[/b]

ถึง ลุงเฒ่า ที่เคารพ

เมื่อครั้งก่อนผมได้เขียนประสบการณ์มาเล่าให้ลุงฟัง รู้สึกว่าผมจะเขียนมา ๒ ฉบับแล้ว ส่วนฉบับนี้ก็เป็นฉบับที่ ๓ แล้ว ซึ่งก็เป็นประสบการณ์ที่ผมได้ประสบกับหลวงพ่ออีก ผมขอรับรองว่าทุกเรื่องเป็นจริงทั้งนั้น และคงเป็นเพราะผมศรัทธาหลวงพ่อมาก ท่านจึงได้ช่วยผม

ผมขอเริ่มเลยนะครับ

เมื่อคราวก่อนผมฝันเห็นหลวงพ่อมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ผมก็ฝันเห็นท่านอีก วันไหนผมจำไม่ได้แล้ว แต่รู้สึกว่าราว ๆ ก่อนปีใหม่แน่ ผมฝันว่าคืนนั้นเกิดพายุแรงมากท้องฟ้ามืดมิดไปหมด ลมก็แรง ซึ่งน่ากลัวมาก หลังคาบ้านผมโอนเอนโยกไปมาจนบางส่วนเกือบจะพัง ผมฝันว่าอยู่กับแม่ ผมไม่รู้จะทำอย่างไร ส่วนแม่ผมตกใจทำอะไรไม่ถูกเพราะกลัวก็กลัว ผมจึงบอกกับรูปหล่อหลวงพ่อให้ช่วย(ความจริงผมมีแต่รูปถ่ายที่ลุงให้ใส่กรอบไว้บูชา) ผมเห็นหลวงพ่อท่านหายตัวออกมาจากรูปหล่อ ท่านไม่พูดอะไรได้แต่เดินออกมาจากห้องของผม มุ่งตรงไปที่หน้าบ้านซึ่งติดชายทะเล ผมก็เดินตามท่านไป ผมเห็นท่านไปยืนที่หน้าบ้าน ท่านใช้ผ้าสังฆาฏิหรือไงก็จำไม่ได้ โบกสะบัดไปมาประมาณ ๓ ครั้ง ปรากฎว่าพายุที่พัดโหมกระหน่ำอยู่ก็หยุดลง ท้องฟ้าที่มืดมิดกลับสว่างไสว ตะวันทอแสงออกมามีสีเหลืองอร่ามสุกใสดูสวยงามมาก ผมฝันได้แค่นี้จากนั้นก็ตื่น

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมรู้สึกว่าครอบครัวผมดีขึ้น ขายของได้มากกว่าเดิม มีแขกมาจองอาหารบ่อย ปรากฏว่ามีแขกมาเหมาอาหารพร้อมกัน ๒ เจ้า เจ้าละ ๖๐๐ กว่าคน รวม ๑,๒๐๐ กว่าคน จนเตี่ยผมรับไม่ไหว รับได้แค่เจ้าเดียวคือรับได้แค่ ๖๐๐ คนแรกที่มาติดต่อ สรุปรับได้ ๖๐๐ คน แต่ตอนหลังเขามาเพิ่มอีกเป็น ๘๐๐ คน คิดค่าหัวตกคนละ ๘๐ บาท คิดดูว่าเป็นเงินเท่าไร ซึ่งผมเชื่อว่าคืนที่ผมฝันนั้น ผมคิดว่าหลวงพ่อคงปัดเอาสิ่งไม่ดีออกจากครอบครัวของผมเช่นเดียวกับการปัดพายุร้ายให้หมดสิ้นไป และมีแต่สิ่งที่ดีเข้ามาเปรียบดังตอนที่ท้องฟ้าอันสุกใสที่ปรากฎหลังจากพายุหมดสิ้น

นอกจากนี้ผมยังได้พระเครื่องดี ๆ มาอีกหลายอย่าง เช่น รูปหล่อสมเด็จพุฒาจารย์โต ซึ่งเก่ามาก พระสีวลี ฯลฯ ขนาดผมไปเที่ยวเกาะเสม็ดยังไปเจอพระบนกิ่งไม้เลยใส่กล่องอย่างดีด้วยหลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์มากจริง ๆ ครับ

จากนั้นยังมีประสบการณ์อีกครับ ผมลืมเล่าให้ลุงฟังเพิ่งนึกขึ้นได้ เป็นประสบการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ

เมื่อตอนปิดเทอม ผมไปปราจีนบุรีไปค้างที่บ้านป้า ผมไปสวนกับเด็กที่บ้านป้า ผมเดินมาถึงต้นมังคุดก็หยุดดูผลมัน ที่ผมยืนนั้นมีงูอะไรก็ไม่รู้มันอยู่ตรงนั้น พอมันเห็นคนมันก็เลื้อยหนี มันเลื้อยตรงมาทางผมแต่กลับไม่ตรงมาที่ผม กลับตรงไปที่เด็กที่มากับผม ผมบอกเด็กคนนั้นแต่มันไม่รู้เรื่องดันไปเหยียบงูเข้าอีก พอมันเห็นงูเท่านั้นกระโดดเหยงเลย งูก็รีบเลื้อยหนีไป ผมว่ามันต้องแพ้อำนาจปลัดที่ผมคาดอยู่แน่ ๆ เลย จึงทำอะไรไม่ได้

ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ผมเดินไปในป่าหญ้าไปเหยียบกระเบื้องเข้าทะลุรองเท้าเลย ทะลุมากด้วย แต่เท้าถลอกนิดหน่อย ไม่มีเลือดออกเลย ความจริงน่าจะเกิดแผล และลึกด้วยเพราะว่ากระเบื้องที่แทงทะลุรองเท้าแหลมมาก ครับประสบการณ์ของผมก็จบลงแค่นี้ละครับ ถ้ามีผมจะเล่ามาอีก

ผมมีปัญหารบกวนจะถามลุงดังนี้ครับ

๑.มีดหมอด้ามงาฝักงา ขนาดเล็กของหลวงพ่อ ส่วนด้ามนั้นมีอะไรบรรจุอยู่บ้างครับ หรือไม่มี?
๒.หลวงพ่อท่านใช้คาถาอะไรปลุกเสกมีดหมอครับ?
๓.มีดหมอขนาดใหญ่ ด้ามไม้ฝักไม้ ของหลวงพ่อมีของบรรจุอยู่ภายในด้ามทุกเล่มเลยหรือไม่?
๔.มีดหมอเล่มใหญ่ กับ เล่มเล็ก ฝักงาด้ามงามีพุทธคุณเท่ากันหรือไม่?
สุดท้ายนี้ผมขออำนาจบุญบารมีของหลวงพ่อกวย จงคุ้มครองให้ลุงและครอบครัวจงมีแต่ความสุข ความเจริญ


ปล.ลุงช่วยตีความฝันให้ด้วย
ศิษย์หลวงพ่อกวย
ณรงค์ศักดิ์  ทองเล็ก

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ตุลาคม 08, 2012, 08:23:24 am
ณรงค์ศักดิ์  ทองเล็ก ในขณะนั้นน่าจะประมาณ น้องโก้ ในปัจุบันนี้ เห็นลีลาการเขียนจดหมายแล้วต้องยอมรับว่า มีแววการเขียนหนังสือตั้งแต่ในวัยเรียน
;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ ตุลาคม 11, 2012, 07:59:04 pm
ณรงค์ศักดิ์  ทองเล็ก ในขณะนั้นน่าจะประมาณ น้องโก้ ในปัจุบันนี้ เห็นลีลาการเขียนจดหมายแล้วต้องยอมรับว่า มีแววการเขียนหนังสือตั้งแต่ในวัยเรียน
;D
;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D
น่าสนๆ ติดตามอ่านตลอดครับพี่
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ตุลาคม 12, 2012, 11:28:05 am
ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒๔๖
วันที่ ๑๕ ส.ค. – ๒๕ ส.ค.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


ตอบคุณณรงค์ศักดิ์ ทองเล็ก ความฝันของคุณ ๆ ตีฝันถูกต้องแล้ว กิจการทางบ้านคุณจะดีขึ้น ให้คุณจุดธูปบอกท่านในกลางแจ้ง ๙ ดอก จะทำมาค้าขึ้น

ตอบคำถาม

๑.มีดหมอด้ามงาฝักงา ชนิดปากกา ที่ด้ามตามหลักต้องมีผงวิเศษ เส้นเกศา อุกาบาตร แผ่นเงินหรือผ้าแดงบรรจุอยู่

๒.คาถาที่ใช้ปลุกเสกมีดหมอคาถาหลักหลวงพ่อใช้คาถาอาวุธ ๕ คาถาเกราะเพชร คาถามหาทมื่น มงกุฎพระเจ้า และอิติปิโส ๘ ทิศ

๓.มีดหมอขนาดใหญ่ ตามหลักก็ต้องมีของวิเศษบรรจุอยู่ แต่จะทุกเล่มหรือเปล่าผมไม่รู้ เพราะตอนบรรจุผมก็ไม่อยู่ แล้วเมื่อบรรจุใส่ด้ามแล้วผมก็มองไม่เห็น อันนี้คงไม่ว่านะตอบอย่างนี้เพราะเป็นอย่างนี้จริง ๆ

๔.มีดหมอเล่มใหญ่กับเล่มปากกาพุทธคุณจะเท่ากันหรือไม่ อันนี้ขอตอบว่า ความจริงน่าจะเท่ากันแต่คงไม่เท่ากันทีเดียว เพราะด้ามไม้ฝักไม้รุ่นเก่าหลวงพ่อตีเองตอกลายเอง เคยเห็นท่านบรรจุก้นบุหรี่ลงไป ไฟแดง ๆ เลย แต่ชนิดปากกาคงบรรจุไม่ได้

จำได้ว่าคุณชอบท่องคาถาโองการมหาทมื่น ผมเลยส่งคาถาโองการเกราะเพชรไปให้ใช้คู่กัน คาถาเป็นลายมือหลวงพ่อเลย เป็นตำราพิชัยสงคราม เห็นว่าหลวงพ่อเอ็นดูคุณ มีครูคนหนึ่งบ้านอยู่ตลาดท่าช้าง ชื่อบุญส่ง เคยไปกราบหลวงพ่อครั้งหนึ่ง แต่หลวงพ่อมาเข้าฝัน ๓ ครั้ง สาเหตุเขานับถือหลวงพ่อมาก หลวงพ่อท่านรู้ใครคิดถึงท่านใครนับถือท่าน ๆ จะส่งจิตไปหา พลังจิตของท่านหลวงพ่อเดิมอย่างไร หลวงพ่อก็อย่างนั้น อันนี้คงเป็นศิษย์จริง ๆ จะรู้ อ้อ ! ครูบุญส่งต่อ หลวงพ่อมาบอกหวย ๒ ครั้ง ไม่แทง ครั้งที่ ๓ ตัดสินใจซื้อ ถูกหมื่นกว่าบาท เห็นว่าเป็นเรื่องคล้าย ๆ ของคุณเลยเล่าให้ฟัง

โชคดีนะ

ฒ.สุพรรณ


   สมบัติล้ำค่า

เมื่อหลวงพ่อมรณภาพแล้ว ทางวัดได้รื้อกุฏิของหลวงพ่อออก เอามาทำโรงครัว ก็ขอชมว่ากรรมการชุดที่รื้อกุฏิหลวงพ่อออกปัญญานิ่มจริง ๆ มีการสำรวจของ เช่น วัตถุมงคล และได้เก็บรวบรวมเอาไว้ที่กุฏิใหม่ สร้างด้วยคอนกรีต ๒ ชั้น วัตถุมงคลบ้าง รูปบ้าง ตำรายันต์บ้าง ฯลฯ ไม่รู้จะเก็บไว้อย่างไร ก็เอาใส่กล่องใส่ลังเอาไว้ มดเข้าไปทำรังบ้าง แมลงสาปแทะเอาบ้าง วันหนึ่งผมได้ไปหาท่านอาจารย์สำรวย คือผมอยากจะได้หลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับครูบาอาจารย์ของท่าน อาจารย์สำรวยได้ขึ้นไปค้นในห้องวัตถุมงคล แล้วลงมาด้านล่างส่งรูปและของเก่า ๆ ในห้องวัตถุมงคลให้ผมดูมีดังนี้
รูปแรกเป็นรูปสี ขนาดโปสการ์ดของหลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว หลวงพ่อกันท่านเป็นศิษย์รุ่นพี่ของท่าน คือตอนที่ท่านไปเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม หลวงพ่อกัน ท่านเป็นศิษย์รุ่นพี่

รูปที่ ๒ เป็นรูปขาว-ดำ ขนาดโปสการ์ดเช่นกัน เป็นรูปหลวงพ่อโตวัดวิหารทอง อ.สรรคบุรี หลวงพ่อโตท่านเป็นพระที่มีบุญญาธิการสูง ท่านมีอาคมและตบะแก่กล้ามาก ในสมัยที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ผมได้เรียนถามท่านว่า หลวงพ่อเป็นศิษย์หลวงพ่อโตวิหารทองหรือ ท่านบอกว่าเปล่า แต่ท่านทันหลวงพ่อโต ท่านเคยจารนะหลวงพ่อโตให้ผมดู แสดงว่าท่านมีความเคารพในองค์หลวงพ่อโต แต่ไม่ได้เรียนวิชาอะไรไว้ อีกอย่างหลวงพ่อโตท่านก็ไม่ได้สนใจในวิชาอะไรทั้งหมดเช่นกัน ที่ท่านมีอาคมแก่กล้าและตบะแก่กล้าเพราะบุญเก่าเฉพาะตัวของท่าน

รูปที่ ๓ ใส่กรอบไว้อย่างดี เป็นรูปสีสวยงาม มีรอยจารที่กระจกเป็นลายมือหลวงพ่อกวย ท่านจารทั้ง ๆ ที่รูปอยู่ในกรอบกระจก เป็นรูปของหลวงพ่อคำ วัดสุวรรณ จังหวัดอุทัยธานี เมื่อเทียบตามอายุหลวงพ่อคำ อายุพรรษามากกว่าท่าน ทราบว่าทำมีดหมอด้วย เข้าใจว่าหลวงพ่อคำคงจะเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กัน หลวงพ่อคำอาจเป็นศิษย์องค์หนึ่งของหลวงพ่อเดิมก็ได้ ปัจจุบันทราบว่าอายุตก ๙๐ กว่าแล้ว ทำมีดหมอให้บูชาเช่นกัน

 รูปสุดท้าย รูปนี้เป็นรูปขาว-ดำ ขนาดโปสการ์ด ผมเห็นเข้าถึงกับตลึงรูปใส่กรอบอย่างนี้ เป็นรูปพระผู้เฒ่าองค์หนึ่ง แม้จะชราภาพมากแล้ว ตาเริ่มฝ้ามัวแล้ว แต่ท่านก็นั่งตัวตรง เป็นรูปของอาจารย์ปู่ คือ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ นครสวรรค์ รูปนี้ถ่ายที่ร้านงามดารา บ้านหมี่ ลพบุรี ด้านบนขวามือท่าน ๆ จารยันต์พระเจ้าอมโลกเอาไว้ ซ้ายมือจารยันต์นะหัวใจมนุษย์ เป็นการจารโดยใช้ปากกา รูปนี้เป็นหลักฐานแน่ชัดว่าหลวงพ่อเป็นศิษย์องค์หนึ่งของหลวงพ่อเดิม เมื่อผมเห็นรูปทำให้ผมนึกถึงของเก่า ๆ ในตู้พิพิธภัณฑ์ ผมได้ไปค้นดูเจอตะขอช้าง ของหลวงพ่อเดิม ๑ อัน มีจารยันต์เก่ามากไว้ เจอแส้ม้าของหลวงพ่อเดิมอีก ๑ อัน เพราะหลวงพ่อเดิมสำเร็จวิชาคชสาร และท่านเคยขี่ม้า เมื่อดูไปดูมาเจอไม้เท้าเก่า ๑ อัน ไม้เท้านี้ไม่แน่ใจว่าจะเป็นของหลวงพ่อองค์ใดให้ท่านมา หรือท่านจะจารเองผมก็ไม่รู้ การจาร ๆ ได้มหัศจรรย์มาก มีอักขระไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ ตัว ตัวเหมือนตัวพิมพ์ในหนังสือเลย นับว่าผู้สร้างไม้เท้าอันนี้มีความมานะพยายามสูงมาก

นอกจากนั้นยังเจอบาตรน้ำมนต์ชินบัญชร ที่วัดชิโนรส กรุงเทพฯ มอบให้ท่าน ๑ ใบ ตอนที่ท่านปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดชิโนรส และยังเจอรูปถ่าย ท่านถ่ายรูปหมู่เอาไว้ ผมไม่รู้จักว่าเป็นหลวงพ่อองค์ใดบ้าง รู้จักเพียงองค์เดียวคือ หลวงพ่อมิ่ง วัดกก บางขุนเทียน ธนบุรี

นอกจากตะขอช้าง และแส้ม้าแล้ว นึกขึ้นได้ว่าอาจารย์ตั้วเคยได้มีดหมอจากหลวงพ่อ ๑ เล่ม เป็นมีดหมอหลวงพ่อเดิม แต่ด้ามเริ่มชำรุดแล้ว เกี่ยวกับเรื่องครูบาอาจารย์ของท่านสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ผมเคยถามท่านเอาไว้ว่าอาจารย์ของหลวงพ่อมีใครบ้าง รู้สึกท่านไม่ค่อยพอใจผมสักเท่าไร ผมมานึกดูการถามชื่อครูบาอาจารย์ก็คล้าย ๆ ถามชื่อพ่อแม่ท่านนั่นเอง ดีที่ท่านยังแย้ม ๆ ให้ฟัง ผมได้เรียนถามท่านว่า“อาจารย์หลวงพ่อชื่อหลวงพ่อเฒ่า วัดค้างคาว หรือ”ท่านตอบว่า“เปล่า ไม่ใช่ ไม่ทัน” คือท่านเกิดทันแต่ไม่ได้ไปเรียนวิชาเอาไว้ ผมได้ถามท่านว่า“อาจารย์ของหลวงพ่อคือหลวงพ่อโต วัดวิหารทอง หรือ”ท่านตอบว่า“เปล่า” ผมเลยถามท่านอีกว่า “งั้นอาจารย์ของหลวงพ่อใช่หลวงพ่อปากคลองมะขามเฒ่าหรือเปล่า”ท่านตอบว่า“เปล่า ไม่ได้ไป” ผมเลยตัดสินใจถามปัญหาเป็นครั้งสุดท้ายว่า“งั้นอาจารย์ของหลวงพ่อชื่ออะไร”ท่านได้ตอบว่า “พ่อศรี พ่อเดิม พ่อเคน พ่ออิ่ม ปะขาวตำรายันต์” ในวันนั้นท่านได้ตอบชื่ออาจารย์ท่านที่เป็นฆราวาสอีก ๒-๓ คน ผมจำชื่อไม่ได้ท่านเรียกอาจารย์ท่านว่าพ่อทุกคำ พ่อศรี คือหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ ผู้ยิ่งยงแห่งสิงห์บุรี พ่อเดิม คือหลวงพ่อเดิม เทพเจ้าแห่งเมืองสี่แคว พ่อเคน คือหลวงพ่อเคน วัดดงเศรษฐี อ.บรรพตพิสัย อาจารย์ท่านองค์นี้เป็นพระหมอโบราณ จึงไม่ได้เป็นที่รู้จักแพร่หลายนัก อีกองค์หนึ่งคือ หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา อ.เดิมบาง เจ้าของผงและมนต์จินดามณี ส่วนปะขาวคือชีปะขาว ที่สอนวิชาเสือสมิงให้ท่านที่ป่าเมืองกาญจนบุรี ส่วนตำรา คือตำราอักขระเลขยันต์ ท่านถือว่าเป็นอาจารย์ท่านองค์หนึ่ง ตำรายันต์ท่านจะเป็นกระดาษแผ่นใหญ่พับได้ต่อ ๆ กัน เป็นกระดาษโบราณ ท่านเก็บรักษาไว้อย่างดี เล่มไหนมีอาถรรพณ์แรง ท่านจะเขียนด้วยสีแดงว่า “ครูแรง” ส่วนหลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร ไม่ได้เป็นอาจารย์ของท่าน แต่ท่านได้ผงมาอย่างไรไม่รู้ หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ก็ไม่ได้เป็นอาจารย์ท่าน ในตำราของหลวงพ่อสดชื่อ “ทางมรรคผล” หลวงพ่อเขียนไว้ด้วยลายมือท่านว่า รับหนังสือนี้ไว้ พ.ศ.๒๕๐๒ แสดงว่ารับหนังสือตำราเล่มนี้มา หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ มรณภาพแล้ว แต่ท่านนับถือตำราเล่มนี้

เกี่ยวกับเรื่องครูบาอาจารย์ท่านบางคนเจอผม รู้จักผม ได้บอกกับผมว่า ให้ผมเขียนไปเลยว่า อาจารย์ของหลวงพ่อคือ หลวงพ่อเฒ่า วัดค้างคาว หลวงพ่อโต วัดวิหารทอง หลวงพ่อปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ อันนี้ผมบอกตามตรงว่า ผมทำไม่ได้ หลวงพ่อก็คงไม่ชอบเช่นกัน คือท่านไม่ได้เป็น จะให้ผมเขียนให้เป็นให้ได้ อันนี้ผมทำไม่ได้ ผมไม่ได้เขียนประวัติและอภินิหารของท่าน ทำนองปั้นผีลุกปลุกผีนั่ง[/b]“ข้อเขียนผมต้องเป็นอมตะ คู่กันกับท่านเช่นกัน” [/b]

มีเกร็ดประวัติท่านเล็กน้อย คือ ขณะที่ท่านเดินทางไปเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม ท่านได้พักจำพรรษาที่วัดบางตาหงาย บางครั้งท่านก็ไปเยี่ยมหลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว ครั้งหนึ่งพระโชน วัดหัวเด่น ได้เดินทางไปกราบหลวงพ่อพิมพา วัดหนองตางู อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ อายุ ๘๔ พรรษา ถ้าเทียบอายุหลวงพ่อ ถ้าหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่จะอายุเท่า ๆ กัน พระโชนได้เข้าไปกราบหลวงพ่อพิมพา หลวงพ่อได้ถามว่า มาจากไหน พระโชนได้ตอบว่า มาจากอำเภอสรรค์ ท่านถามว่า อำเภอสรรค์น่ะแถวไหน พระโชนตอบว่า หัวเด่นบ้านแค หลวงพ่อพิมพาได้ถามท่านว่า มาจากหัวเด่นบ้านแคงั้นก็เป็นศิษย์ท่านกวยน่ะสิ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ ตุลาคม 12, 2012, 12:35:51 pm
:D :D :D :D :D เยี่ยมครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ตุลาคม 12, 2012, 01:11:59 pm
คาถาโองการมหาทมื่นของหลวงปู่เอี่ยมวัดสะพานสูง
โอม นะ โม พุท ธา ยะ

กูจะกล่าวกำเนิดเกิดพระมหาทมื่น กูจะโยนตัวกูขึ้นไปเป็นกงไม้ไร่ ก็หักแหลกลงเป็นผุยผงทั่วทั้งเมืองสกลชมพู
กูจะลำลึกถุงครูกูใครจะสู้กูก็บ่มิได้ ครูกูจึงให้กูเล่า พระคาถาพุทธังสรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ
สังฆังสะระณังคัจฉามิ ภะคะวาไชยมังคะลัง อะระหัง สุคะโต นะโมพุทธายะวันทานัง ปาสุอุชา อิสะปะมิ
พุทธสังมิ อิสวาสุ นะมะอะอุ อิกะวิติ วิสุทธิเสฐโฐ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ อะระหังสุคะโตภะคะวา
สังวิธาปุกะยะปะ อาปามะจุปะ ทีมะสังอังขุ ทุสะมะนิ สะธะวิปิปะสะอุ ทุสะนะโส จิเจรุนิ ตันนิพพุทติง
นะมะนะอะ นอกอนะกะ กออนออะ นะอะกะอัง ตัถถะนะถะ อุมะอะยัง จิปิเสคิ คิเสปิจิ กันหะเนหะ นิระมหาสะตัง
จะภะกะสะ นะมะพะทะ กะระมะถะ จะอะภะคะ นะมะกะยะ สุสิโมพุทโธภะคะวา สุสิโมธัมโมภะคะวา สุสิโมสังโฆภะคะวา
โลกะนาโถมหิทธิโก นาสังสิโม ยะถาพะลังจังงังเหยหาย เดชะครูปัทธิยายจึงให้เป็นกำแพงเพชรทั้ง 7
ชั้นกันตนกู คือ พระวิภังค์พระสังฆณีพระปรมัตถะอัตถาจาริย์เจ้าจึงให้คงแก่หอกดาบแหลนหลาว
ธนูง้าวทั้งหน้าไม้ปืนไฟอย่าได้ต้องตนกู


เพชชะคงแก่ หอกเหล็ก หอกหล่อ หอกข้อเงิน หอกข้อทอง หอกสำริดกริชทองแดงคงแก่แสงฟ้าผ่า คงทั้งข้างซ้าย
คงทั้งข้างขวา คงทั้งข้างหน้า คงทั้งข้างหลัง คงทั้งนั้ งคงทั้งยืน คงทั้งหลับ คงทั้งตื่น คงทั้งกลางคืน คงทั้งกลางวันตรีเพชชะคงๆสวาหะ
โอมเอิกเกริกไตรภพตลบบาดาลเหาะทยานบนอากาศหมู่อสูรขยาดมืดมัวกลัวกูอยู่ระย่อฤาษีเล้นซุกซ้อนนอนหลับอยู่ก
ลางป่า ทั้งขโมดมารยาเหาะทยานมา ช่วยกูหนุมานหลานพระไวยบุตรสัปปะยุทธ ด้วยอินทรชิตประสิทธิสรรพางค์ล้างมารมัดตนได
้เอาไปถวายแก่ราพย์เจ้ากรุงลงกาหมู่อสูรยักษาจะฆ่ากูก็บ่มิตาย ด้วยเดชะพระนารายณ์ จุติลงมาบังเกิด
นะโมพุทธายะ ตรีเพชชะคงๆ อิติปิโสภะคะวา เกศาผม อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ อิติปิโสภะคะวา
โลมาขนอยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ อิติปิโสภะคะวา นะขาเล็บ อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ
อิติปิโสภะคะวา ทันตาฟัน อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ อิติปิโสภะคะวา ตะโจหนัง
อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ อิติปิโสภะคะวา มังสังเนื้อ อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ
อิติปิโสภะคะวานหารูเอ็น อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ อิติปิโสภะคะวา อัตถิกระดูก
อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ คงด้วยนะโมพุทธายะ พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา บิดารักษา
มารดารักษา พระอินทรักษา พระพรหมรักษา ครูบาอาจารย์รักษา อิมังกายะพันธะนังอะธิฏฐามิ

คาถาโองการมหาทมื่น : คาถาโองการมหาทมื่น เป็นพระคาถาโบราณ ภาวนาด้วยจิตที่เป็นสมาธิ จะเป็นคงกระพันชาตรียิ่งนัก จะใช้ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง เสกข้าวกิน เสกได้สารพัดแล พระคาถานี้ หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูงได้ใช้เสกผงดินสอเป้นเวลาสามปีก่อนทำพระปิดตาผงโสฬสอันลือเลื่อง
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: tree_alone ที่ ตุลาคม 13, 2012, 09:42:52 pm
คาถาโองการมหาทมื่นของหลวงปู่เอี่ยมวัดสะพานสูง
โอม นะ โม พุท ธา ยะ

กูจะกล่าวกำเนิดเกิดพระมหาทมื่น กูจะโยนตัวกูขึ้นไปเป็นกงไม้ไร่ ก็หักแหลกลงเป็นผุยผงทั่วทั้งเมืองสกลชมพู
กูจะลำลึกถุงครูกูใครจะสู้กูก็บ่มิได้ ครูกูจึงให้กูเล่า พระคาถาพุทธังสรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ
สังฆังสะระณังคัจฉามิ ภะคะวาไชยมังคะลัง อะระหัง สุคะโต นะโมพุทธายะวันทานัง ปาสุอุชา อิสะปะมิ
พุทธสังมิ อิสวาสุ นะมะอะอุ อิกะวิติ วิสุทธิเสฐโฐ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ อะระหังสุคะโตภะคะวา
สังวิธาปุกะยะปะ อาปามะจุปะ ทีมะสังอังขุ ทุสะมะนิ สะธะวิปิปะสะอุ ทุสะนะโส จิเจรุนิ ตันนิพพุทติง
นะมะนะอะ นอกอนะกะ กออนออะ นะอะกะอัง ตัถถะนะถะ อุมะอะยัง จิปิเสคิ คิเสปิจิ กันหะเนหะ นิระมหาสะตัง
จะภะกะสะ นะมะพะทะ กะระมะถะ จะอะภะคะ นะมะกะยะ สุสิโมพุทโธภะคะวา สุสิโมธัมโมภะคะวา สุสิโมสังโฆภะคะวา
โลกะนาโถมหิทธิโก นาสังสิโม ยะถาพะลังจังงังเหยหาย เดชะครูปัทธิยายจึงให้เป็นกำแพงเพชรทั้ง 7
ชั้นกันตนกู คือ พระวิภังค์พระสังฆณีพระปรมัตถะอัตถาจาริย์เจ้าจึงให้คงแก่หอกดาบแหลนหลาว
ธนูง้าวทั้งหน้าไม้ปืนไฟอย่าได้ต้องตนกู


เพชชะคงแก่ หอกเหล็ก หอกหล่อ หอกข้อเงิน หอกข้อทอง หอกสำริดกริชทองแดงคงแก่แสงฟ้าผ่า คงทั้งข้างซ้าย
คงทั้งข้างขวา คงทั้งข้างหน้า คงทั้งข้างหลัง คงทั้งนั้ งคงทั้งยืน คงทั้งหลับ คงทั้งตื่น คงทั้งกลางคืน คงทั้งกลางวันตรีเพชชะคงๆสวาหะ
โอมเอิกเกริกไตรภพตลบบาดาลเหาะทยานบนอากาศหมู่อสูรขยาดมืดมัวกลัวกูอยู่ระย่อฤาษีเล้นซุกซ้อนนอนหลับอยู่ก
ลางป่า ทั้งขโมดมารยาเหาะทยานมา ช่วยกูหนุมานหลานพระไวยบุตรสัปปะยุทธ ด้วยอินทรชิตประสิทธิสรรพางค์ล้างมารมัดตนได
้เอาไปถวายแก่ราพย์เจ้ากรุงลงกาหมู่อสูรยักษาจะฆ่ากูก็บ่มิตาย ด้วยเดชะพระนารายณ์ จุติลงมาบังเกิด
นะโมพุทธายะ ตรีเพชชะคงๆ อิติปิโสภะคะวา เกศาผม อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ อิติปิโสภะคะวา
โลมาขนอยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ อิติปิโสภะคะวา นะขาเล็บ อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ
อิติปิโสภะคะวา ทันตาฟัน อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ อิติปิโสภะคะวา ตะโจหนัง
อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ อิติปิโสภะคะวา มังสังเนื้อ อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ
อิติปิโสภะคะวานหารูเอ็น อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ อิติปิโสภะคะวา อัตถิกระดูก
อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ คงด้วยนะโมพุทธายะ พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา บิดารักษา
มารดารักษา พระอินทรักษา พระพรหมรักษา ครูบาอาจารย์รักษา อิมังกายะพันธะนังอะธิฏฐามิ

คาถาโองการมหาทมื่น : คาถาโองการมหาทมื่น เป็นพระคาถาโบราณ ภาวนาด้วยจิตที่เป็นสมาธิ จะเป็นคงกระพันชาตรียิ่งนัก จะใช้ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง เสกข้าวกิน เสกได้สารพัดแล พระคาถานี้ หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูงได้ใช้เสกผงดินสอเป้นเวลาสามปีก่อนทำพระปิดตาผงโสฬสอันลือเลื่อง

ชอบๆครับพี่  :D :D :D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ตุลาคม 15, 2012, 09:50:23 am
คาถาโองการมหาทมื่นของหลวงพ่อกวย

โอมนะโมพุทธายะ กูจะกล่าวกำเนิดเกิดพระมหาทะมื่น กูจะโยนตัวกูขึ้นไปเป็นกง ไม้ไร่ก็หักแหลกเป็นผุยผงทั่วทั้งเมืองสกลชมภู กูจะรำลึกถึงครูกู ใครจะสู้กูก็มิได้ ครูกูจึงให้กูเล่าพระคาถา พุทธังสรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ ภควาไชยะมังคะลัง อรหังสุตโต นะโมพุทธายะ วันทะนัง ปาสุอุชา อิสะปะมิ พุทธสังมิ อิสวาสุ นะมะ อะอุ อิกะวิติ วิสุทธิเสฏโฐ อะสังวิสุโล ปุสะพุภะ อรหังสุตโตภควา สังวิธาปุกะยะปะ อาปามะจุปะ ทีมะสังอังขุ ทุสะมะนิ สะธะวิปิปะสะ อุทุสะนะโส จิเจรุนิ ตันนิพุทติง นะมะ นะอะ นอกอ นะกะ กอออนออะ นะอะกะอัง ตัดถุมะถะ อุมะอะยัง จิปิเสติ กิเสปิจิ กันหะเนหะ นิระมะหะสะตัง จะภะกะสะ นะมะพะทะ กะระมะถะ จะอะภะคะ นะมะกะยะ สุสิโมพุทโธภควา สุสิโมธัมโมภควา สุสิโมสังโฆภควา โลกะ นาโถ มะหิทธิโก นาสังสิโม ยะถาพะลัง จังงังเหยหาย เดชะครูบาธิบาย จึงให้เป็นกำแพงเพ็ชรทั้ง 7 ชั้น ต้นตนกู คือพระวิภังค์ พระสังฆนี พระปรมัตถ อัตถาจาริย์เจ้า จึงให้คงแก่ หอกดาบ แหลนหลาว ธนู ธน้า ทั้งหน้าไม้ ปืนไฟ อย่าได้ต้องตัวกู เพชรคง คงแก่หอกเหล็ก หอกหล่อ หอกข้อเงิน หอกข้อทอง หอกสัมฤทธิ์ กริชทองแดง คงแก่แสงฟ้าผ่าวัง คงทั้งข้างซ้าย คงทั้งข้างขวา คงทั้งข้างหน้า คงทั้งข้างหลัง คงทั้งนั่ง คงทั้งยืน คงทั้งหลับ คงทั้งตื่น คงทั้งกลางคืน คงทั้งกลางวัน ตรีเพ็ชร คงคงสวาหะ อมเอิกเกริกไตรภพ ตลบบาดาลเหาะทยานบนอากาศ หมู่อสูรขยาดมืดมัวกลัวกูอยู่ระย่อ ฤาษีเร้นซุกซ่อนนอนหลับอยู่กลางป่า ทั้งขโมดมายาทะยานเหาะมาช่วยกู หนุมานหลานพระวัยบุตร สัปประยุทธด้วยอินทรชิต ประสิทธิสรรพางค์ล้างมาร มัดตนได้เอาไปถวายแก่ราพย์เจ้ากรุงลงกา หมู่อสูรยักษาจะฆ่ากูก็บ่อมิตาย ด้วยเดชะพระนารายณ์ จุติลงมาบังเกิด นะโมพุทธายะ ตรีเพ็ชรคงคง อิติปิโสภควาเกษาผม อยู่ทั่วไปในกายตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง อิติปิโสภควา โลมาขนอยู่ทั่วในกายตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง อิติปิโสภควาตะโจหนังหุ้มห่อตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง อิติปิโสภะคะวา มังสังเนื้ออยู่ทั่วในกายตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง อิติปิโสภควา นหารูเอ็นอยู่ทั่วในกายตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง อิติปิโสภควา อัตถิกระดูกอยู่ทั่วในกายตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง คงด้วยนะโมพุทธายะ  พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา บิดารักษา มารดารักษา พระอินทร์รักษา พระพรหมรักษา ครูบาอาจารย์รักษา อิมังกายาพันธนังอธิฏฐามิ ฯ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ตุลาคม 19, 2012, 08:45:33 am
ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒๔๗
วันที่ ๒๕ ส.ค. – ๕ ก.ย.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


มีเกร็ดประวัติท่านเล็กน้อย คือ ขณะที่ท่านเดินทางไปเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม ท่านได้พักจำพรรษาที่วัดบางตาหงาย บางครั้งท่านก็ไปเยี่ยมหลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว ครั้งหนึ่งพระโชน วัดหัวเด่น ได้เดินทางไปกราบหลวงพ่อพิมพา วัดหนองตางู อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ อายุ ๘๔ พรรษา ถ้าเทียบอายุหลวงพ่อ ถ้าหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่จะอายุเท่า ๆ กัน พระโชนได้เข้าไปกราบหลวงพ่อพิมพา หลวงพ่อได้ถามว่า มาจากไหน พระโชนได้ตอบว่า มาจากอำเภอสรรค์ ท่านถามว่า อำเภอสรรค์น่ะแถวไหน พระโชนตอบว่า หัวเด่นบ้านแค หลวงพ่อพิมพาได้ถามท่านว่า มาจากหัวเด่นบ้านแคงั้นก็เป็นศิษย์ท่านกวยน่ะสิ พระโชนได้ตอบว่า ครับ หลวงพ่อพิมพาท่านชอบใจหัวร่อลงลูกคอเลยแล้วพูดว่า ท่านกวยน่ะเขาใจจริง ทำอย่างไรเขาก็ไม่กลัว เรียนวิชามาด้วยกันเลย เขาเคยมาพักกับฉัน เรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม สำหรับเกร็ดประวัติอันนี้ก็เป็นเรื่องยืนยันได้ว่าหลวงพ่อเป็นศิษย์หลวงพ่อเดิมแน่นอน ศิษย์ร่วมรุ่นยังมีชีวิตอยู่ใครอยากไปกราบก็รีบไปกราบซะ

สำหรับเรื่องสมบัติล้ำค่านี้ หมายถึงรูปหลวงพ่อเดิม ผมเคยนำรูปต้นแบบเอาไปทำเขาคิดอย่างถูกแล้วก็โหลนึงราคา ๑๕๐ บาท ผมนำไปให้อาจารย์ตี๋ปลุกเสกพร้อมรูปหลวงพ่อศรี หลวงพ่ออิ่ม อาจารย์ตี๋ปลุกเสกแล้วบอกดีมาก ท่านเห็นว่าดี ท่านเลยปั๊มยันต์ของท่านให้ ปั๊มชื่อผู้ปลุกเสกปั๊มตราวัดให้ ปกติท่านหวงตราวัดท่านมาก ท่านคงกลัวว่าจะเอาไปขายกิน ทีนี้รูปหลวงพ่อเดิมนี้ผมเคยนำไปถ่ายซีล็อค เพื่อจะแจกแต่ภาพที่ออกมาไม่สวยเลย เพราะรูปนั้นมีฉากหลังเป็นสีดำ ถ้าจะทำได้ก็ต้องทำแบบโปสการ์ด แต่แพงผมก็ทำแจกไม่ไหว ส่วนเรื่องจะทำออกจำหน่ายแม้เพียงรูปละ ๑๕ บาท ๒๐ บาท ผมก็ทำไม่ได้ ผมไม่ใช่พระและไม่ใช่วัด ถ้าใครมีความเห็นอย่างไรจะเขียนจดหมายถึงผมก็เอา แต่ผมขอร้องถ้าจะให้ทำแจกเพราะการสร้างของศักดิ์สิทธิ์ต้องมีเจตนาที่บริสุทธิ์เป็นที่ตั้ง ของนั้นจึงจะศักดิ์สิทธิ์ และเป็นอมตะตลอดกาล

จดหมายคุณสมพงษ์ วงศ์สินประเทือง

นมัสการหลวงพ่อสำรวย ที่เคารพ

จดหมายที่ผมเขียนมาถึงหลวงพี่ฉบับนี้ เพราะผมใคร่อยากจะเรียนถามหลวงพี่ว่าวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยที่ใช้ในการค้าขาย เมตตามหานิยมนอกจากปลัดแล้ว ยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่ ค่าบูชาเท่าไรครับ คือผมเคยส่งเงินมาบูชาปลัดไปจากหลวงพี่แล้ว ผมต้องการบูชาอย่างอื่นอีก และที่วัดมีพระสังกัจจายน์หรือนางกวัก พระสีวลีขนาดบูชาหรือห้อยคอติดตัวหรือไม่ ไม่ทราบว่าหลวงพี่พอจะหาให้ได้ไหม คือผมมีอาชีพค้าขายน่ะครับ และผมมีเรื่องอภินิหารของหลวงพ่อกวย คือดังนี้ครับ ผมค้าขายของใช้เบ็ดเตล็ดทั่วไปต้องรับเงินทอนเงินตลอดเวลา มีอยู่วันหนึ่งผมขายดีมากลูกค้าเข้ามาซื้อของเยอะมีลูกค้าคนหนึ่งส่งแบงก์ ๑๐๐ ให้ผม ๆ รับเงินมาแล้วก็หยิบเงินทอนให้ลูกค้าไปเลยเพราะมันยุ่งเลยไม่ได้คลี่แบงก์ดู ปรากฏว่าพอหยิบแบงก์ใบนั้นมาดูพบว่าแบงก์ใบนั้นขาดคือมุมแบงก์ขาดหายไปเยอะเลย ผมลองเอาไปซื้อของร้านอื่นเขาก็ไม่เอา ผมเสียดายเงินมากเลยระลึกถึงหลวงพ่อกวยที่ผมนับถือว่า ขอให้หลวงพ่อช่วยดลใจให้เจ้าของร้านนั้นรับแบงก์ของผมไปด้วย แล้วผมก็เดินเข้าไปทำทีซื้อของเขาแล้วยื่นแบงก์ ๑๐๐ ใบนั้นให้เขาไป ปรากฏว่าเขารับแบงก์ใบนั้นแล้วเก็บใส่กระเป๋าเงินทันทีเลย โดยที่ธรรมดาเขาต้องคลี่แบงก์ออกดูทุกครั้งไปว่าชำรุดหรือไม่ แต่นี่เขารับไปแล้วก็เก็บเลย ผมว่าต้องเป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อแน่เลย

สุดท้ายนี้ผมขอให้หลวงพี่ตอบให้ผมทราบด้วยจักเป็นพระคุณอย่างสูง

ด้วยความเคารพอย่างสูง

สมพงษ์ วงศ์สินประเทือง

๙๕ ซอยไสวสุวรรณ ประชาราษฎร์ ๑ แขวงบางซื่อ ดุสิต กทม.๑๐๘๐๐


ตอบคุณสมพงษ์ ไม่ทราบว่าอาจารย์ได้ตอบจดหมายคุณหรือยัง วัตถุมงคลของหลวงพ่อที่ใช้ทางเมตตามหานิยม นอกจากปลัดแล้วก็มีสมเด็จ ผ้ายันต์สารพัดดีตำราของหลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา พระสิวลีองค์เล็ก พระทุ่งเศรษฐีองค์เล็กครับอันนี้ดี เรื่องประสบการณ์ของคุณอาจารย์ส่งมาที่ผม ผมเลยนำลงตีพิมพ์ ก็แปลกดีคุณยังเอาแบงก์ขาดไปซื้อของได้ หลวงพ่อก็เป็นจริงเหมือนกัน เขาขอให้ช่วยเป็นช่วย อยู่ไกลแค่ไหน ขอให้ระลึกถึงช่วยได้เป็นช่วยทันที

ฒ.สุพรรณ


จดหมายจากคุณกัลยา  มีน

2800/5 TH.AVE
PHENIX ALA.36867 U.S.A

สวัสดีค่ะ พี่เฒ่า สุพรรณ ที่เคารพ

จากแฟนนะโมแดนไกลโน้น ดิฉันเป็นแฟนนะโมเมื่อไม่น่านมานี่แหละ คือหนังสือที่ถูกใจดิฉันมากที่สุด(นะโม) มีจำหน่ายที่แห่งเดียวคือ ATLANTA ขับรถสองชั่วโมงกว่า ๆ บางครั้งไปก็ไม่มีขายหมด ดิฉันเลยโทรศัพท์ไปจองเอาไว้ขึ้นไปทุกสิ้นเดือนเอามาสองเล่ม มีบางครั้งขาดตอน อ่านมันทั้งขาด ๆ น่ะแหละดีกว่าไม่มีอ่าน อ่านนะโมแล้วสบายดี จิตใจสดชื่น บางทีอ่านทั้งวันเลยค่ะ ถือโอกาสดูชมรมพระเครื่องด้วย ที่มีข่าวครึกโครมมากก็สมเด็จพระศาสดา ภ.ป.ร.รามาธิบดีสร้าง ดิฉันอยากได้ใจจะขาด ได้ข่าวว่าจะสร้างใหม่ ได้ฤกษ์ใหม่อีกครั้งคงเร็ว ๆ นี้ กระมัง ขออธิษฐานให้ได้เป็นเจ้าขององค์เล็ก ๆ ก็ยังดี ดิฉันขอบคุณที่พี่เฒ่าจะกรุณาแจกรูปหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ดิฉันอ่านมาตลอด ทุกคนที่บูชาภาพของหลวงพ่อต่างก็มีโชคลาภตาม ๆ กัน ขณะที่ขอภาพหลวงพ่อมานี้คิดว่าจะต้องเหลือสักใบสำหรับแฟนนะโมแดนไกลคนนี้ด้วยนะคะ และขอฝากพี่เฒ่าเป็นสื่อกลาง บอกกันต่อ ๆ ไปว่าหนังสือนะโม มีแฟนทั่วโลก มิใช่แต่เมืองไทยนะคะ

สุดท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงปกป้องคุ้มครองพี่เฒ่า ของ “นะโม” ให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงเทอญ

กราบพี่เฒ่าที่เคารพ

กัลยา มีน

ปล.ดิฉันฝากเงินทำบุญมาด้วย แล้วแต่พี่เฒ่าจะเห็นสมควร จะทอดผ้าป่าหรืออะไร ร่วมสร้างวัด พี่เฒ่าทำเองเถิด แล้วได้บุญร่วมกันค่ะ


ตอบคุณกัลยา เงินบุญของคุณ ๑๐ ดอลล์ ผมได้รับแล้วจะนำไปทำซุ้มประตูกำแพงแก้ว ผมส่งรูปบูชาไปให้รูปเล็กด้วย ใบคาถาสิวลีลายมือหลวงพ่อ ๑ ใบ ขอให้คุณโชคดี อยู่แดนไกลถนอมตัวด้วย

ผมก็ดีใจเช่นกันที่ นะโม ดังทั่วโลก

นับถือ

ฒ.สุพรรณ


[/b]สมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ[/b]

พระสมเด็จเดิมหมายถึง พระพิมพ์รูปสี่เหลี่ยม ของสมเด็จพุฒาจารย์(โต) ภายหลังเกจิอาจารย์มักนิยมสร้างพระพิมพ์ทรงสี่เหลี่ยมขึ้น จึงเรียกว่าพระสมเด็จ หลังจากหลวงพ่อกวยสร้างพระเนื้อดิน พิมพ์สรรค์ และพิมพ์อื่น ๆ เรื่อยมา ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๓ จนกระทั่ง พ.ศ.๒๕๑๓ ท่านได้เก็บรวบรวมผงวิเศษ ผงจินดามณี ว่านวิเศษ ฯลฯ ท่านได้สร้างพระพิมพ์สมเด็จขึ้นเป็นพระสมเด็จปรกโพธิ์ เป็นปรกโพธิ์ ๙ ใบ เป็นมงคลนาม ด้านหลังเป็นยันต์พระเจ้า ๕ พระองค์ แบบขวามือของรูปท่าน เนื้อหาแบ่งออกเป็น ๓ เนื้อ คือ เนื้อดำสนิทแบบถ่าน เป็นเนื้อผงใบลานล้วน ๆ เนื้อละเอียดมาก อีกเนื้อหนึ่งเป็นเนื้อผงใบลานดำแต่ดำไม่สนิทแบบสมเด็จขาโต๊ะ คือมีเนื้อว่านผสม อีกเนื้อหนึ่งเป็นสีขาวอมน้ำตาล เป็นเนื้อผงผสมว่าน

พิมพ์ทรงของสมเด็จนี้ใหญ่โตกว่าสมเด็จธรรมดา และมีการเล่นหากันสูงมาก และหาคนปล่อยไม่ได้ เพราะท่านเลือกแจกให้เป็นรายบุคคลไป ท่านจะพูดว่าดี ให้เก็บรักษาให้ดี ท่านจะบอกทุกคนที่ได้ไปว่า สมเด็จนี้ดีมีเกศาของ..(คือมีส่วนผสมของเกศาของผู้มีบุญสูงมากท่านหนึ่ง ศิษย์ท่านนำมาถวายให้ท่าน คือผมไม่กล้าพูดออกไปกลัวจะเป็นว่าผมแอบอ้าง) เมื่อท่านพิมพ์พระพิมพ์นี้เสร็จแล้ว ท่านไม่อาจตัดใจโยนแม่พิมพ์ลงสระน้ำทิ้งไปได้ ท่านทิ้งแต่แม่พิมพ์ยันต์ด้านหลัง ส่วนด้านหน้าท่านยังคงเก็บรักษาเรื่อยมาภายหลังท่านมอบให้อาจารย์ตั้วเอาไว้ สมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบนี้ คนที่ได้ไปจะประสบกับความสุขความเจริญ จะร่มเย็นเป็นสุขเหมือนร่มโพธิ์ และใครได้ไปบูชาจะรวยทุกคน

 จะขอเล่าอภินิหารไว้ดังนี้ เรื่องที่ ๑ นายจันทร์ ทับบุรี คนปากน้ำ อ.เดิมบาง ได้รับสมเด็จพิมพ์นี้จากหลวงพ่อ ๑ องค์ เมื่อบูชามีโภคทรัพย์ร่ำรวย ปลูกบ้านฝากระดานยาวประมาณ ๑๐ วา วันที่แกจะหมดบุญแกได้ตอบตกลงนำพระปรกโพธิ์สีดำนี่แลกเปลี่ยนกับพระของผม คือผมอยากได้เอาไว้ เขาว่าใครได้ไว้จะร่ำรวย ผมพยายามหามาหลายปีวันที่แกแลกพระของผม แกได้หยิบพระจากบนหลังตู้เอามา เกิดอัศจรรย์พระหลุดมือตกแตก แตกตรงคอเลยผมงี้เสียดายจับใจนึกอยู่เสมอว่าบุญผมไม่พอ แม้ปัจจุบันนี้ ๑๐ กว่าปีล่วงมาแล้วเคยเจออีก ๓ องค์ แตก ๑ องค์ ดี ๒ องค์

ขอเช่าเขาไม่มีใครให้ ส่วนนายจันทร์ เมื่อพระแตกแล้วก็ทรุดเรื่อยมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

เรื่องที่ ๒ นายเจน คนโพธิ์งาม อ.สรรคบุรี มีพระปรกโพธิ์ของหลวงพ่ออยู่องค์หนึ่ง ขณะไปทำนาฝนตกพรำ ๆ มีคนลักยิง คือแอบยิงด้วยปืนลูกซอง ๙ เม็ด โดนตรงหน้าอกแรงปะทะของลูกปืน ถึงกับหงายท้อง ยัง ยังครับยังไม่ตาย คือแกเจ็บ จุก และกลัวโดนยิงซ้ำน่ะ แกเลยแกล้งตาย เรื่องนี้คนร่ำลือกันมาก นายแรม คนโพธิ์งาม แกเห็นรอยลูกปืนชัดเจน แกเลยหาเอาไว้ใช้ ๑ องค์ ปัจจุบันแตกแล้ว แต่เจ้าตัวยังใช้อยู่ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมจึงยิงออก

เรื่องที่ ๓ นายแถม เข็มทอง คนปากน้ำ อ.เดิมบาง นายแถมนี่เป็นศิษย์หลวงพ่อใจถึงมาก เคยฟันกับพ่อเลี้ยงชื่อสง พ่อเลี้ยงอยู่บนบ้านมีมีดปาดตาลขนาดใหญ่กำลังลับมีดอยู่ นายแถมมีมีดหวดหญ้า(มีดหวดหญ้ายาว ๑ วา โค้งงอ) ถือพาดบ่ามาพอดี พ่อเลี้ยงอยู่บนบ้านโดดลงมาจะฟันนายแถม นายแถมฟันสวนไปด้วยมีดหวดหญ้าซึ่งยาวกว่าชั้วเดียวคอขาดเป็นฤทธิ์ดาบวงพระจันทร์เลย ตั้งแต่นั้นมาทางญาติของพ่อเลี้ยงก็ตามล้างตามล่าแกเรื่อยมา แกไปหาหลวงพ่อ ๆ ให้สมเด็จปรกโพธิ์มา โดนดักยิงเป็นสิบ ๆ ครั้ง ให้แคล้วคลาดไปทุกครั้ง เจ้าตัวกลัวจะไม่แคล้วคลาดจริงได้อพยพไปอยู่ดง อ.ด่านช้าง ติดเมืองกาญจนบุรี อยู่ในหุบเขา ไม่มีน้ำบ่อ น้ำคลอง ใช้น้ำซับจากภูเขา อยู่ดงยังเจออิทธิพลมืด ขอซื้อแกมบังคับให้ขายที่ให้ แกถือว่าแกมาจนสุดแดนแล้ว แกไม่ยอมขาย แกโดนลักยิงอีกหลายครั้ง แคล้วคลาดทุกครั้ง ขนาดนักเลงอิทธิพลให้คนมาติดต่อขอเช่าพระแกองค์นั้นเท่าไหร่เท่ากัน ผมยังแกล้งยุให้ขาย แกบอกว่า“ถ้าขาย มึงก็เตรียมไปเผาผีกูได้ มันเอากูแน่” ปัจจุบันนี้ฐานะแกมั่นคงดีมาก เรียกว่าในถิ่นที่แกอยู่แกมีฐานะดีกว่าเขา แกบอกพระปรกโพธิ์ ๙ นี้ร่มเย็นดีจริง ๆ

ปรกโพธิ์ ๙ ใบนี้ ด้านหลังยันต์เท่าที่พบจะมีทั้งบอก พ.ศ.๒๕๑๓ และไม่บอก พ.ศ. และด้านหลังเป็นรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม เป็นลายเส้นก็มี ส่วนเนื้อมีเนื้อสีดำสนิท ผงใบลานละเอียดยิบก็มี เนื้อดำผสมว่านและผงไม่ดำสนิทก็มี เนื้อน้ำตาลแบบผงน้ำมันก็มี เนื้อน้ำตาลแบบผสมว่านและผงก็มี ถ้าสงสัยว่าพระพิมพ์นี้ผสมเส้นเกศาของใครให้เขียนมาถามเป็นส่วนตัว

ปรกโพธิ์ ๙ ใบนี้ ขนาดใหญ่ใช้บูชาก็มี เป็นเนื้อผงใบลาน ด้านหลังรูปพระพุทธชินราช ขนาดเล็กกว่าพิมพ์มาตรฐาน ขนาดเล็กกว่าพิมพ์มาตรฐานก็มี(ใช้คล้องคอ)

ว่าจะจบเรื่องปรกโพธิ์ ๙ ใบ ก็จบไม่ลงขอต่ออีกนิ๊ด นายชาติ คนหนองหิน เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่ง วันหนึ่งได้รับพระปรกโพธิ์ ๙ ใบจากบิดา แกนำไปเลี่ยมคล้องคอ แล้วนำมาอวดหลวงพ่อทำนองถามความเห็น พระปรกโพธิ์ ๙ ใบ องค์นั้นด้านหลังเป็นรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม เมื่อหลวงพ่อเห็นเข้าท่านพูดว่า “ดี รุ่นนี้ไม่มีออก” นายชาติแกก็ดีใจคิดว่ารุ่นนี้ทางวัดไม่ได้ออกจำหน่ายคงจะให้เป็นบุคคลไป วันหนึ่งแกมาเที่ยวที่หนองแขม โดนนักเลงสามเอกยิงติด ๆ ๓ นัดไม่ออกเลยแม้นัดเดียว แกถึงเข้าใจว่าที่หลวงพ่อพูดว่าไม่มีออก คือยิงไม่ออกนั่นเอง ปัจจุบันพระสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบนี้ถือว่าเป็นพระชุดผงชั้นหนึ่งของหลวงพ่อทีเดียว หายากแพงมาก

พระสมเด็จปรกโพธิ์ที่มียันต์ข้างหลังนั้น มีคนเอาไปบูชาได้ผลมาก ผมจึงสะสมสมเด็จของหลวงพ่อเอาไว้เพราะเห็นสรรพคุณ ถ้าคนรู้จักใช้เขาร่ำรวยกันมาหลายคน บางคนเป็นหนี้เป็นสินเป็นล้าน ๆ จนหมดปัญญาจนแทบจะตกงานหรือแทบจะเป็นโรคประสาทตาย ได้มาหาหลวงพ่อ ๆ ให้สมเด็จปรกโพธิ์ไปบูชาอยู่ต่อมาไม่นาน คน ๆ นั้นก็หมดหนี้หมดสินอย่างน่าพอใจ

 
   
 
 
 
   
   
  
   
   
 
    
     
   
   
   
   
   
      

   
     
   
    
      
       
      
   

ตอบ 
     
     
      
    
   
     
   
   
         
   
   
   
   
     
    
     
   
         
         











     




หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ตุลาคม 19, 2012, 10:49:11 am
ปรกโพธิ์ ๙ ใบนี้ ขนาดใหญ่ใช้บูชาก็มี เป็นเนื้อผงใบลาน ด้านหลังรูปพระพุทธชินราช ขนาดเล็กกว่าพิมพ์มาตรฐาน ขนาดเล็กกว่าพิมพ์มาตรฐานก็มี(ใช้คล้องคอ)

ปัจจุบัน ผมมีไว้บูชา ๑ องค์ ได้มาแบบมีผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือมาก นำมามอบให้กับมือเลยครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ตุลาคม 22, 2012, 01:13:27 pm
ผมรู้สึกดีใจและมีความสุขมากครับ
ที่เห็นมีผู้คอยติดตามอ่านมาก
จะพยายามลงให้อ่านเรื่อย ๆ ครับ
ขอให้ศิษย์หลวงพ่อทุกคนมีความสุขครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: tree_alone ที่ ตุลาคม 23, 2012, 05:47:08 pm
ผมรู้สึกดีใจและมีความสุขมากครับ
ที่เห็นมีผู้คอยติดตามอ่านมาก
จะพยายามลงให้อ่านเรื่อย ๆ ครับ
ขอให้ศิษย์หลวงพ่อทุกคนมีความสุขครับ

ยังติดตามผลงานพี่อยู่เรื่อยๆครับ
ขอบคุณครับ :)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ตุลาคม 26, 2012, 09:01:08 am
ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒๔๘
วันที่ ๕ ก.ย. – ๑๕ มิ.ย.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


มีคน ๆ หนึ่งเป็นทหารนักบินเขามีพระปรกโพธิ์ ๙ ใบอยู่ ๑ องค์ เขาขับเครื่องบินแบบคลักเก่งมาก ต่อมาได้ขับเครื่องบินไอพ่น ซึ่งมีความเร็วสูงมาก ทำให้เขาหลงทางเข้าไปในเขตของประเทศพม่า จำภูมิประเทศก็ไม่ได้ ใจเสียเลย น้ำมันก็จะหมด ก็เลยเอาพระสมเด็จของหลวงพ่อมาอาราธนาขอให้จำภูมิประเทศได้ เลยเสี่ยงปักหลักลงต่ำก็ติดต่อกับพม่าได้ เขาแจ้งว่าเขาหลงทางขอลงที่ประเทศพม่า แต่พม่าไม่ยอมให้ลง เพราะสนามบินของเขาเครื่องบินไอพ่นลงไม่ได้ เขามองดูน้ำมันก็เหลือน้อยเต็มที จึงนึกถึงหลวงพ่อขอเสี่ยงไปลงที่สนามบินดอนเมือง พอลงที่สนามบินดอนเมืองปรากฏว่าน้ำมันหมดพอดี ตัวเนื้อสั่นไปหมด ทางราชการเลยสั่งพักผ่อน ๓ เดือน ไม่ต้องไปทำงาน ก็จบเรื่องพระปรกโพธิ์ ๙ ใบ แต่เพียงเท่านี้


จดหมายคุณวินัย ฤกษ์สาหร่าย

ผมได้มีจดหมายมาหาอาจารย์วัดทับขี้เหล็ก ผมมีเรื่องจะเรียนท่าน ๆ ได้ให้ผมจดหมายมาหาคุณเฒ่าเพื่อเล่าประสบการณ์ในความศักดิ์สิทธิ์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อกวย ที่ได้มีการมหาพุทธาภิเษก ที่ วัดทับขี้เหล็ก ในวันที่ ๒-๓-๔ มีนาคม ๒๕๓๓ นี้ ผมเป็นคนหนึ่งที่มีความเคารพนับถือในองค์หลวงพ่อเมื่อประมาณวันที่ ๕ เม.ย.๒๕๓๓ ได้เกิดมีเพลิงไหม้ที่ซอยอินทมะระที่ ๒๙ เวลาประมาณ ๕ โมงเย็น เพลิงได้ไหม้อย่างแรงในบริเวณที่เกิดเหตุ เพลิงไหม้เป็นเวลาหลายนาที ในขณะที่เกิดเพลิงไหม้ผมทำอะไรไม่ถูกเลย ได้พยายามรวบรวมสิ่งของต่าง ๆ ไว้เพื่อจะได้หนีเพลิงไหม้ให้ทันในขณะนั้น ผมได้นึกถึงที่ผมได้เก็บวัตถุมงคลต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก ในจำนวนนั้นก็มีรูปหล่อขนาดบูชา ๕ นิ้ว ของหลวงพ่อกวย ที่สร้างที่วัดทับขี้เหล็กอยู่ด้วย ผมได้ยกมือไหว้ขอความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อให้ช่วยผมให้รอดจากเพลิงไหม้ในครั้งนี้ด้วย คุณจะเชื่อผมหรือไม่ก็ตามในขณะที่ผมขอความศักดิ์สิทธิ์นั้น วงเพลิงที่กำลังไหม้อย่างดุเดือดรุนแรงและร้ายแรงมากยิ่งขึ้น ได้มีลมกรรโชกให้เป็นรูปตัวยูผ่านบริเวณบ้านที่ผมอยู่ไปอย่างน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง นี่ถ้าไม่ใช่ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อกวยช่วยแล้วอะไรล่ะที่ช่วยผมทำให้บริเวณบ้านผมอยู่นั้นได้รอดจากการเป็นเหยื่อพระเพลิงไปได้ จนบริเวณที่อยู่ด้วยกันแม้แต่ตำรวจได้พูดว่าอัดฉีดไปเท่าไร ผมจะไปอัดฉีดได้อย่างไรเล่า ก็เมื่อบ้านหลังนั้นผมต้องเช่าเขาเลย ผมจึงได้จดหมายไปหาอาจารย์ท่านอาจารย์ได้แนะนำให้ผมเขียนมาหาคุณเฒ่านี่แหละ ผมจึงเขียนมาเพื่อให้รู้ว่ารูปหล่อรุ่นนี้มีความศักดิ์สิทธิ์จริง สมกับที่ได้จัดเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่ ผมไม่เสียดายในราคาที่ไปบูชามา และผมก็ได้ไปเห็นบริเวณวัดทับขี้เหล็กมาด้วยตนเอง จึงเกิดศรัทธาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะปีนี้ผมและเพื่อน ๆ ได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพกฐินให้กับวัดทับขี้เหล็กด้วย

สุดท้ายนี้ ขออำนาจพระรัตนตรัย และความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อกวย จงบันดาลให้คุณเฒ่าและบรรดาลูกศิษย์ที่มีความนับถือในองค์หลวงพ่อกวยจงประสบแต่ความเจริญในหน้าที่การงานยิ่ง ๆ ขึ้น

นับถือเสมอ

วินัย  ฤกษ์หร่าย

ซ.อินทมะระ ๒๙ ถ.สุทธิสาร กทม.


ท่านอาจารย์ธรรมโชติ

ต่อไปเป็นเรื่องการกุศล หรืองานบุญ คือผมได้รับการขอร้องจากท่านอาจารย์เจน พวงมาลี ให้ช่วยปะชาสัมพันธ์เกี่ยวกับงานบุญงานกุศลของ ร.ร.ธรรมโชติศึกษาลัย แต่เนื่องจากเวลากระชั้นชิดข่าวนี้กว่าจะถึงมือท่านงานอาจจะเลิกแล้วก็ได้ คือทางโรงเรียนธรรมโชติศึกษาลัยได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน ช.ก.ท. ระดับชาติหรืองานชุมนุมเกษตรกรรม ร.ร.มัธยมศึกษา แห่งประเทศไทย ระดับชาติครั้งที่ ๑๐ มีการแสดงและประกวดสินค้าเกษตรกรรม ในงานนี้ทางโรงเรียนได้ขอบารมีท่านอาจารย์ธรรมโชติ สร้างวัตถุมงคลขึ้นเป็นที่ระลึก

ประวัติท่านอาจารย์ธรรมโชติก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะเสียแก่พม่าในครั้งที่ ๒ เนเมียวสีหบดี แม่ทัพพม่า ได้ยกทัพมาทางเมืองกาญจนบุรีและเมืองตาก และได้ตั้งค่ายอยู่ที่เมืองวิเศษชัยชาญ แล้วให้ทหารกองโจรออกค้นหาสมบัติ และข่มขู่ราษฎรไทย คนไทยโกรธแค้นมากได้รวบรวมคนเข้าต่อสู้กับพม่า มีหัวหน้า ๖ คน คือ นายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมือง นายดอก และนายแก้ว โดยลวงพม่าว่าจะไปค้นหาผู้หญิงไทยที่หลบซ่อนอยู่ ทหารกองโจรพม่าหลงเชื่อจึงตามไป คนไทยเหล่านั้นก็ฆ่าทหารพม่าตายหมด ต่อจากนั้นได้มาตั้งค่ายที่บ้านบางระจัน เพื่อต่อสู้กับพม่า และได้ไปนิมนต์ท่านอาจารย์ธรรมโชติ ที่สำนักเขานางบวช แขวงเมืองสุพรรณ มาเป็นขวัญและกำลังใจ ในการต่อสู้กับพม่า มีการอาบน้ำมนต์ อาบน้ำว่าน สร้างตะกรุดพิสมรแจก ต่อจากนั้นก็มีคนไทยมาอาสารบอีกเป็นจำนวนมาก มีหัวหน้าเพิ่มขึ้นอีกคือ ขุนสรรค์ นายจัน หนวดเขี้ยว นายทองเหม็น และนายทอง แสงใหญ่



ทหารพม่าได้พยายามนำกำลังเข้าโจมตีชาวบ้านบางระจัน ๖ – ๗ ครั้งก็ไม่สำเร็จ ด้วยขวัญและกำลังใจที่ดีเยี่ยมของชาวบ้านบางระจัน เพราะก่อนรบทุกครั้งอาจารย์ธรรมโชติได้รดน้ำมนต์และให้พรทุกครั้ง ในครั้งหลังที่ค่ายแตกนั้น เพราะทหารพม่าได้ใช้ปืนใหญ่ยิงค่าย ๆ จึงได้แตก หลังจากนั้นท่านอาจารย์ธรรมโชติก็ได้มาจำพรรษาที่สำนักวัดเขาขึ้น (เขานางบวช) อ.เดิมบางนางบวช ที่วัดนี้เดิมได้สร้างอุโบสถไว้บนยอดเขา ด้านหลังพระประธานมีทางลงไปในถ้ำได้นับว่าอัศจรรย์ ปัจจุบันทางนี้ยังอยู่ ภายหลังทางอำเภอเดิมบางนางบวชได้ตั้ง ร.ร.มัธยมขึ้น ได้ขออนุญาตใช้ชื่อท่านเป็นชื่อโรงเรียนเพื่อเป็นมงคลนาม และได้หล่อรูปท่านขึ้นที่โรงเรียน

ในปี พ.ศ.๒๕๐๐ ที่วัดเขานางบวช ปีนั้น มีเจ้าอาวาสรักษาการชื่ออาจารย์ดำรง ได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นเป็นผ้ายันต์ ชื่อผ้ายันต์ชนะศึก ออกในนามของท่านอาจารย์ธรรมโชติ เพื่อหาปัจจัยสร้างวัดให้ดีขึ้น กลับไม่มีคนเช่าหากันเท่าไร เขาว่าอาจารย์ธรรมโชติก็มรณภาพนานมาแล้ว ผ้ายันต์นั้นจะไปดีได้อย่างไร จนกระทั่งวันหนึ่ง นายแถม เหมือนเงิน คนอำเภอเดิมบางนางบวช ได้นำผ้ายันต์นั้นไปทดลองยิงด้วยปืนลูกซอง บรรจุลูกโดด ผ้ายันต์ผืนใหญ่มาก นายแถมได้เล็งยิงเสียงปืนดังปัง แต่คนยิงกลับยืนนิ่งตะลึงอยู่กับที่ จะไม่ให้ตะลึงได้อย่างไร ก็ลูกปืนทะลึ่งวิ่งกลับมา เฉี่ยวเส้นผมตรงทัดดอกไม้ขาดเป็นทาง ลูกปืนไม่ถูกผ้ายันต์ไม่ถูกต้นไม้ แต่วิ่งกลับมาตัดเส้นผมนับว่าอัศจรรย์ วิชาแบบนี้พระโบราณรุ่นเก่าเท่านั้นที่ทำได้ ปัจจุบันผ้ายันต์รุ่นนี้ราคาเป็นหมื่น ๆ บาท

 ในงาน ช.ก.ท. ครั้งนี้ทาง ร.ร.ธรรมโชติ ได้ออกวัตถุมงคลขึ้นเป็นครั้งแรกของ ร.ร. เป็นรูปเหรียญหลวงพ่อธรรมโชติ หรือหลวงปู่ธรรมโชติ เจตนาการสร้างเพื่อ

๑.สมทบทุนมูลนิธิ อาจารย์ธรรมโชติ

๒.ซื้อที่ดินขยายเขตโรงเรียน

นับว่าเป็นกุศลเจตนาที่ดีมาก เหรียญที่สร้างครั้งนี้ เป็นชนิดเต็มองค์รูปกลมกับรูปไข่รมมันปูก็มี ชนิดชุบ ทอง เงิน นาก ก็มี ปลุกเสกโดยยอดเกจิอาจารย์ ๙ องค์ คือ

๑.หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรี สิงห์บุรี

๒.หลวงปู่เย็น ทานรโต วัดการเปรียญ ชัยนาท

๓.หลวงปู่เจ๊ก วัดระนาม สิงห์บุรี

๔.หลวงปู่ดี วัดพระรูป สุพรรณ

๕.หลวงพ่อสังวาลย์ วัดทุ่งสามัคคีธรรม สุพรรณ

๖.หลวงพ่อไสว วัดเขาพระ สุพรรณ

๗.อาจารย์เตี้ย วัดสามเอก สุพรรณ

๘.อาจารย์ตี๋ วัดเขาเขียว สุพรรณ

๙.อาจารย์สุบิน วัดหัวเขา สุพรรณ

เหรียญที่สร้างครั้งนี้ มีจำนวน ๓๐,๐๐๐ เหรียญ


ต่อไปจะขอเล่าอภินิหารของเหรียญรุ่นนี้ไว้สักเล็กน้อย

เรื่องที่ ๑ คุณปราณี สุขุม ได้บูชาเหรียญไป ๒ ชุด ทำงานอยู่ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาอู่ทอง ได้ขอลาภจากอาจารย์ธรรมโชติ ปรากฏว่าถูกหวย ๒๐,๐๐๐ บาท

เรื่องที่ ๒ คุณบรรจง พวงมาลี บูชาเหรียญรูปไข่กับเหรียญกลมไป ได้ขอโชคลาภจากอาจารย์ธรรมโชติ ได้ถูกหวยงวดเดียวกับคุณปราณี ตก ๕,๐๐๐ บาท

สำหรับท่านที่สนใจจะทำบุญให้ติดต่ออาจารย์สมจิต นุ่มดี ร.ร.ธรรมโชติศึกษาลัย อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ๗๒๑๒๐ ธนาณัติสั่งจ่าย ป.ท.เดิมบางนางบวช

เหรียญทองแดงกลมหรือรูปไข่ทำบุญ ๓๐ บาท ช่วยค่าส่ง ๕ บาท ต่อ ๑ ครั้ง

เหรียญทองแดงกลม หรือรูปไข่ ๑ ชุด กะไหล่ทอง เงิน นาก ทำบุญชุดละ ๑๐๐ บาท ช่วยค่าส่ง ๑๐ บาท ต่อ ๑ ครั้ง


ขอย้ำวัตถุประสงค์การสร้างอีกครั้งครับ คือ ๑.สมทบทุนมูลนิธิอาจารย์ธรรมโชติ ๒.ซื้อที่ดินขยายเขตโรงเรียน ขอให้ท่านยิ่งใหญ่เจริญในหน้าที่การงาน ไม่ตกต่ำทุกภพทุกชาติ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ ตุลาคม 26, 2012, 10:08:21 pm
 :o :o :o :o :o :o
เข้ามาไล่อ่าน
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 05, 2012, 09:57:24 am
ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒๔๙
วันที่ ๑๕ ก.ย. – ๒๕ ก.ย.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



ลูกปืนลงอาคม

หลวงพ่อท่านเรียนรู้วิชาทำเครื่องรางของขลังเอาไว้เกือบทุกชนิด แต่บางอย่างทำยาก คุณภาพดี บางอย่างทำง่ายคุณภาพดี ท่านเลยเลือกเอาชนิดทำง่ายคุณภาพดี เพราะทำได้มาก หลวงพ่อท่านทำเครื่องรางได้เกือบทุกชนิด เช่น เบี้ยแก้ ควายธนู กะลาราหู สังวาล มงคลคอ ฯลฯ แต่ของเหล่านี้ทำได้ยาก ท่านจึงทำให้เฉพาะบุคคล ท่านนิยมทำวัตถุมงคลที่ทำได้ง่าย และคุณภาพดีต้นทุนการทำต่ำ เช่น ใช้วัสดุเป็นดินเป็นต้น ทำเองเป็นต้น ไม่ต้องเสียค่าจ้างทำ
 
มีเครื่องรางชนิดหนึ่งที่หลวงพ่อทำได้ดี แต่ไม่เป็นที่นิยมของศิษย์เท่าไร เครื่องรางชนิดนั้นคือ ลูกปืนลงอาคม วิธีการทำคือใครอยากให้ท่านทำให้ต้องหาวัสดุไปเอง คือลูกปืนที่ยิงไม่ออกคือด้านเองโดยธรรมชาติ แล้วแกะเอาหัวลูกปืนคือตะกั่วออกแล้วเทดินปืนทิ้งเอาไปให้ท่าน ท่านจะนำลูกปืนนั้นบรรจุผงวิเศษหรือทรายเสก แต่บางลูกก็ไม่ได้บรรจุ แล้วท่านก็จารอักขระ บางลูกท่านจะจารนะอุกปืนให้ นะอุดปืนนี้ท่านใส่ไว้ที่ด้านข้างตัวท่าน ๒ ตัว ในเหรียญรุ่นสุดท้าย บางลูกท่านจะลงอุดให้ตรงหัวลูกปืนแล้วลงด้วยพระเจ้า ๕ พระองค์ คือนะโมพุทธายะ อ่านได้ว่านะอุด โมอุด พุทอุด ธาอุด ยะอุด แต่บางลูกท่านก็ไม่จารอะไรเลยก็มี จะขอเล่าอภินิหารเพื่อบันทึกเอาไว้ดังนี้

จ่านุ้ย จะชื่อนุ้ย หรือไข่นุ้ยไม่แน่ใจเพราะนานมาแล้ว เป็นคนใต้เข้าใจว่าเมืองนครฯ เป็นตำรวจอยู่สรรค์บุรี ย้ายมาจากใต้ได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงพ่อกวย เขาว่าอาคมดีจึงนำลูกปืนที่ยิงไม่ออกเอามาให้หลวงพ่อลงอาคมให้ หลวงพ่อก็ทำให้ จ่านุ้ยได้เอาลูกปืนลงอาคมบรรจุในปืนลูกโม่เป็นลูกสุดท้ายคือลูกที่ ๖ เอาไว้คับขันเวลายิงต่อสู้กับคนร้ายจะได้แคล้วคลาดปลอดภัย ยิงน้อยหน่อย ๕ นัดก็ไม่เป็นไร วันเกิดเหตุจ่านุ้ยยิงต่อสู้กับคนร้าย ผลปรากฏว่าปืนที่จ่านุ้ยยิงออกไป ปั้ง แชะ ปั้ง แชะ ปั้ง คือออก ๓ นัด ไม่ออก ๒ นัด ออก ๓ นัดออกไม่ค่อยดีเหมือนไม่เต็มใจออก จ่านุ้ยแกคิดว่าปืนแกคงจะอยู่ใกล้ลูกปืนลงอาคมมากเกินไป แกเลยเอาลูกปืนออกมาเหน็บที่เอว ตอนหลังไปยิงเป้า ผลคือปืนของจ่านุ้ยก็ยิงออกมั่งไม่ออกมั่ง ครั้งสุดท้ายแกโดนยิงระยะใกล้ ๆ ด้วยปืนลูกซอง ควันปืนจับหน้าดำไม่ถูกเฉย ๆ ไม่รู้ว่าตอนหลังแกจะพกพาลูกปืนลงอาคมของหลวงพ่อหรือเปล่าไม่รู้ ปัจจุบันย้ายไปใต้นานแล้ว รู้สึกว่าแกอึดอัดใจเรื่องพกพาลูกปืนของหลวงพ่อเพราะแกเป็นตำรวจ เมื่อแกไปอยู่ใต้แล้ว แกเคยกลับมาเยี่ยมหลวงพ่อแกเล่าว่า โดนลอบยิงอีก ๒ ครั้ง ออกมั่งไม่ออกมั่ง ที่ออกก็ไม่ถูกเลย ไม่มีผลงานดีเด่นอะไร ปัจจุบันปลดเกษียณแล้ว

ลูกปืนลงอาคมนี้เมื่อหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว ได้พบในบาตรของท่าน ๕ – ๖ ลุก หลวงพ่อเขียนชื่อเจ้าของเอาไว้ หลวงพ่อทำไว้ให้แต่ศิษย์ไม่มา ศิษย์ก้นบาตรเลยได้ไป

เกี่ยวกับการพกพา ถ้าจะใช้ให้นำไปเลี่ยมก่อน จะเลี่ยมพลาสติกหรือเอาเงินจับก็ได้ อย่าพกพาชนิดไม่ได้เลี่ยมเดี๋ยวตำรวจจะจับเอา ฐานมีลูกปืนอยู่ในครอบครอง แม้จะเป็นลูกด้านก็ตาม

จดหมายจากคุณนิพันธ์ นนท์สรกิจ

กราบนมัสการพระอาจารย์สำรวย ที่เคารพ

ในปลายปี ๒๕๓๒ ผมได้บูชาพระเครื่องของหลวงพ่อกวยจากพระคุณท่าน มีพระสมเด็จขาว รูปขาวดำหลวงพ่อกวยหลังจีวร ผ้ายันต์สารพัดดีสารพัดกัน และใบปลิวปี ๑๒ ผมพูดด้วยความจริงใจ แรก ๆ ก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรนัก คือว่า ลอง ๆ ดูเท่านั้น ผมลองเอามาก็เยอะแล้วไม่ค่อยได้ผล แต่ของหลวงพ่อกวยได้ผลทันตาเห็น หลังจากผมได้พระที่พระคุณท่านส่งให้แล้ว ไม่นานผมก็อาราธนาขึ้นคอ ขอบารมีและความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อคุ้มครองผม และตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าผมมีบุญได้บูชาพระของหลวงพ่อ ก็ขอให้ผมมีโชคบ้าง จะได้มีเงินที่หลวงพ่อให้นั้นบูชาพระของหลวงพ่อ หลวงพ่อกวยท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ๑๖ มกราคม ๒๕๓๓ นี้ ผมได้เลขท้าย ๓ ตัว ๒,๐๐๐ บาท ด้วยสัจจะต่อหลวงพ่อ ผมจึงได้ธนาณัติเงิน ๒,๓๐๐ บาท มาให้พระคุณท่านเพื่อขอบูชาพระของหลวงพ่อกวย

ตั้งแต่บูชาพระหลวงพ่อกวยมาทุกอย่างดีขึ้นมาก สุดท้ายขอให้อาจารย์จงสืบทอดเจริญพระธรรม และมีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง

ขอกราบเคารพอย่างสูง

นิพันธ์  นนท์สรกิจ

หมู่ ๑๐ หนองปรือ พัทยาใต้ บางละมุง ชลบุรี

 
ตอบคุณนิพันธ์ เงินบุญของคุณอาจารย์ได้รับแล้ว ขอบคุณมาก คุณนี่ใจถึงจริง ๆ ถูกหวย ๒,๐๐๐ บาท ทำบุญ ๒,๓๐๐ บาท ต้องเชื่อเลย

โชคดีครับ

ฒ.สุพรรณ


จดหมายคุณเชิดชาย วิชกำจร

๕๑ หมู่ ๒ ซ.ไทยอารีย์ ต.บางครุ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ

ถึง อาจารย์เฒ่า สุพรรณที่เคารพ

ผมมีเรื่องของหลวงพ่อนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ไม่ใช่ผมนะครับ กับเพื่อน เขาทำงานอยู่ปากซอยบริษัทผมอีกที แค่น้ำมนต์หน้ารูปหล่อยังแก้เด็กถ่ายท้องได้เลยครับ คือ วันอาทิตย์ที่ผ่านลูกชายเขาไม่สบายถ่ายท้อง หมอให้ยามากินก็ยังถ่ายอยู่ เขาเลยจุดธูปบอกหลวงพ่อแล้วเอาน้ำมนต์ที่เขาที่เขาไปเอามาจากวัดที่หน้ารูปหล่อให้ลูกกิน แปลก ! หายครับ ไม่ถ่ายอีกเลยจนต้องบังคับให้นั่งกระโถนครับถึงออกมานิดหน่อย (ลูกเขาอายุได้ ๑๙ เดือน) ก็เล่าให้อาจารย์ฟังครับ ผมไม่กล้ายกรูปหล่อบูชา ๕ นิ้วไปให้เขาดูครับ เขาบอกว่าดูไม่เอา เอามาก็ขอเช่าต่อเลย

เคารพ

เชิดชาย วิชกำจร


ตอบคุณเชิดชายเรื่องของเพื่อนคุณก็แปลกดี ท้องเสียกินน้ำมนต์หาย หลังจากผมได้รับจดหมายคุณไม่นาน คุณคเชนทร์ มาสมาน สำนักงานบัญชีทนายความ สิทธิประชา บางเขน ก็เขียนมาเล่าให้ฟังว่าภรรยาเขาท้องเสีย เขาเลยเอาน้ำมนต์ให้กินหายอีกเช่นกัน นับว่าพลังจิตของหลวงพ่อดีมากทีเดียว

โชคดีครับ ผมยังคิดถึงคุณอยู่เงินมูลนิธิ ๕,๐๐๐ บาท ได้รับแล้วขอบคุณมาก

นับถือ

ฒ.สุพรรณ


คุณปลัด

ปลัดขิก หรือ คุณปลัด โดยทั่วไปคนจะเรียกกันว่า ปลักขิก หรือไอ้ขิก ปลัด แปลว่า ผู้อยู่เคียงข้าง เช่น ปลัดอำเภอ หมายถึง ผู้อยู่เคียงข้างนายอำเภอ ส่วนคำว่า ขิก คงจะหมายถึง อวัยวะเพศชาย ที่เรียกว่าไอ้ขิก เวลาใช้นิยมคาดเอว ส่วนกำเนิดเดิมคงจะหมายถึง ศิวลึงค์ ปลักรูปร่าง ๆ แบบศิวลึงค์ คือเรียบ ๆ ธรรมดา มักนิยมสร้างไว้ตามศาลเจ้าแม่ เช่น เจ้าแม่คนนี้ตายเพราะคอยคนรัก เขามักสร้างเป็นรูปปลัดตัวโต ๆ ถวายเจ้าแม่ ๆ จะได้เพลิดเพลิน อะไรทำนองนี้ ส่วนปลัดอีกแบบหนึ่งเป็นตัว มีหาง มีขา ๔ ขา มีหัว มีไข่ ปลัดชนิดนี้ไม่มีข้อมูลไม่รู้ที่มาที่ไป

ส่วนการนำปลัดมาย่อส่วนให้เล็ก แล้วนำมาทำเครื่องรางของขลังนี้ เข้าใจว่า คงมีมาก่อนหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ แต่เพิ่งโด่งดังและนิยมกันในสมัยหลวงพ่ออี๋

หลวงพ่อกวยท่านก็สร้างปลัดเช่นกัน แต่เดิมท่านทำแจกมีทั้งชนิดไม้และชนิดตะกั่ว และตะกั่วผสมปรอท ปัจจุบันเป็นที่นิยมของศิษย์มาก เพราะนอกจากหลวงพ่อจะใช้คาถาปลุกเสกแล้ว หลวงพ่อยังใส่หัวใจต่าง ๆ ลงไปขณะปลุกเสก แม้ในใบฝอยคาถาก็มี หลักฐานหัวใจต่าง ๆ ที่หลวงพ่อบรรจุลงไป เช่น หัวใจโจร กันโจร หัวใจนาคราช กันงู หัวใจเปรต หัวใจเวสสุวัณกันผี จากมนต์คาถาของหลวงพ่อที่บรรจุลงไป มีผลให้ปลัดของท่านมีอำนาจทางกันเขี้ยวงา กันงูได้ สุนัขกัดไม่เข้า กันผีได้ ค้าขายดี สามีใช้ภรรยารัก ภรรยาใช้สามีรัก เป็นต้น

มีเกร็ดอภินิหารที่ยืนยันได้ นอกจากหลวงตาสมาน เคยเห็นท่านปลุกเสกปลัดในบาตรน้ำมนต์จนลอยได้แล้ว ยังมีเรื่องเล่าเอาไว้อีกเรื่องหนึ่ง มีพยานบุคคลยืนยันได้ คือตอนนั้นหลวงพ่อได้สร้างปลัดปรอทขึ้นมา หลวงพ่อท่านชอบแจกชอบให้กับมือ แต่คนก็เกรงใจท่านไม่ค่อยมีใครมาขอเท่าไร วันหนึ่งท่านจะน้อยใจ หรือจะเคืองอย่างไรไม่แน่ชัด ท่านได้อุ้มบาตรลงมาด้านล่างลงมาที่แพโบสถ์น้ำ ขณะนั้นมีคนอยู่หลายสิบคน เมื่อท่านมาที่แพโบสถ์น้ำท่านได้เทปลัดปรอททิ้งลงในสระ แล้วท่านก็หันหลังกลับ ท่านเดินกลับพูดเสียงใหญ่ ๆ คือท่านพูดเสียงก้อง ท่านพูดว่า “ของดี ๆ มันอยากไม่มาขอเอาไปใช้กัน ทิ้งน้ำให้หมด” พอท่านหันหลังกลับเท่านั้น ปลัดของท่านว่ายน้ำวิ่งไปวิ่งมา ว่ายได้แบบปลาเลย บางตัวโดดได้ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับยืนตะลึง คือท่านคงเห็นว่าปลัดท่านนั้นดี แต่คนไม่รู้คุณค่า


ท่านเลยทิ้งน้ำซะเลย แม้ปัจจุบันนี้ปลัดท่านในสระ วันดีคืนดีบางครั้งยังว่ายน้ำให้เห็น ถ้ามีคนใจถึงเป็นผู้หญิง จะใช้ตะแกงหรือสวิงก็ได้ บางคนลงไปสามารถช้อนขึ้นมาได้แต่ต้องเป็นผู้หญิง ผู้ชายไม่ปรากฏว่ามีใครช้อนได้ แต่ก็หาคนใจถึงยาก ขนาดผักที่ขึ้นในสระยังไม่ค่อยมีใครกล้ากินเท่าไร เขาถือว่าเป็นสระศักดิ์สิทธิ์ ท่านำฟันของท่านโยนไว้ในสระ อ้อ ! คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนท่านนำปลัดมาเทลงสระคือ คุณเสมอ แสงบัวเผื่อน บ้านอยู่สามเอก ปัจจุบันบวชเป็นพระ อีกคนคือคุณประยุทธ แสงสว่าง บ้านอยู่สามเอก อ.เดิมบางนางบวช

ต่อไปจะขอเล่าถึงอภินิหารของปลัดของหลวงพ่อเอาไว้สัก ๒ – ๓ เรื่อง

เรื่องแรก ให้ชื่อว่า ปลัด ๑ แสน เรื่องนี้เกิดขึ้นที่บ้านเอง ความจริงไม่อยากเล่าเท่าไร แต่เห็นว่าไม่ใช่เรื่องยิง เรื่องฟันจึงเล่าให้ฟัง ภรรยาของผู้เขียนเองใช้ปลัดอยู่ตัวหนึ่งรู้สึกเขาจะใช้ขึ้น วันหนึ่งต้องการรวบรวมเงินให้ได้สัก ๕๐,๐๐๐ บาท คือรวมมานานก็ยังรวมไม่ได้ ขอให้ได้ภายในภายในเดือนนี้ และได้บนกับปลัดว่าถ้าได้จะเลี่ยมทองให้เขา ผลปรากฎว่าได้จริง ๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ พอดีสารทจีนได้ขึ้นมากรุงเทพฯ น้องภรรยาผู้หญิงหรือน้องเมียนั่นแหละ เขาเห็นปลัดที่ภรรยาผม เขาบอกว่าทุเรศเป็นผู้หญิงคาดปลัด เขาว่านางสาวไทยชื่ออะไรผมจำไม่ได้รายนั้นก็คาดปลัด ทุเรศ ภรรยาผมเขาก็เถียงว่าทุเรศก็เรื่องของเขา และได้พูดว่าปลัดนี้ถ้าไม่ดีจริงคงไม่เลี่ยมทอง ใส่สายทองแน่ ปลัดนี้ดีอย่าดูถูก ให้โชคลาภดี บนเขาได้ กันงูได้ กันผีได้ ฯลฯ ภรรยาผมก็สาธยายให้ฟัง ความจริงเรื่องนี้น่าจะจบแล้ว เมื่อภรรยาผมไปกรุงเทพฯ อีกครั้ง น้องเมียได้ขอดูปลัดในเอว และควักเงินส่งให้ก้อนหนึ่ง เขาบอกปลัดนี้เขาขอ เขาเชื่อแล้วว่าศักดิ์สิทธิ์จริง ดีจริง คือพบกันครั้งก่อนเขาได้แต่ทุเรศ พอเห็นบรรยายสรรพคุณว่าดี เขาก็เลยนึกบนในใจว่า ปลัดนี้ถ้าดีจริง หลวงพ่อผู้ปลุกเสกดีจริง เขากำลังขาดเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท ขอให้ได้งาน คือ น้องเมียผมเขาทำงานอดิเรกในการถ่ายแบบของที่จะขายในการโฆษณา เมื่อเขาแอบบนต่อปลัดในใจ ๓ วันต่อมา เขาได้งานทันที ๑๐๐,๐๐๐ บาท หักแล้วกำไรได้ ๕๐,๐๐๐ บาท พอได้ซื้ออุปกรณ์ถ่ายแบบใช้ในบริษัท ทำให้เขาศรัทธามาก ซึ่งเดิมก็มีแต่งานเล็ก ๆ น้อย ๆ ๒,๐๐๐ – ๓,๐๐๐ บาท เท่านั้น เมื่อไปกรุงเทพฯ อีกทีเห็นภรรยาผมเขาบอกว่า น้องเมียใช้สายทองคาดเอวแล้ว นี่ไม่รู้ว่าบนอะไรสำเร็จ เขาไม่ยอมบอก ครั้นผมจะไปถามเขาหรือไปขอดูผมก็ไม่กล้าเท่าไร
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 05, 2012, 10:06:30 am
หลวงพ่อท่านไม่ทอดทิ้งช่วยให้ผมถูกรางวัลที่ 5
 
งวดประจำวันที่ ๑ พ.ย.๕๕


หลังจากว่างเว้นประสบการณ์ของตัวเองไปนานพอสมควร วันนี้มีเรื่องของตัวเองมาเล่าให้ฟังครับ เป็นเรื่องทำให้ผมรู้สึกดีใจจนน้ำตาไหลเลยทีเดียว เมื่อวันที่ ๑ พ.ย.๕๕ ที่ผ่านมาตื่นแต่เช้า ลุกขึ้นสวดมนต์เหมือนเช่นที่เคยทำมาทุก ๆ วัน แต่วันนี้พิเศษกว่าวันอื่น ๆ เพราะว่าวันนี้เป็นวันที่หวยออกนั่นเอง ก็คือ ผมตื่นขึ้นมาด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยมหวังพึ่งบารมีของหลวงพ่อ เพราะเดือนนี้การเงินเกิดอาการช็อต คือสะดุดไปไม่คล่องมือกว่าที่เคยเป็นมา ทั้ง ๆ ที่ก็ใช้จ่ายตามปกติไม่ได้มีอะไรพิเศษ อีกทั้งตั้งใจว่าปีนี้อยากจะไปทอดกฐินที่วัดหลวงพ่อในวันอาทิตย์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ที่จะถึงนี้ แต่ตอนนี้ไม่มีเงินเลย หลังสวดมนต์เสร็จจึงขอพรจากหลวงพ่อขอให้ลูกถูกหวยงวดนี้ด้วยเถอะถ้าถูกหวยมีเงินพอจะไปทอดกฐินทำบุญกับหลวงพ่อที่วัด

หลังจากสวดมนต์เสร็จเรียบร้อย จึงอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน โดยแวะไปที่ตลาดก่อนเพื่อซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลหลังจากไปถึงก็มองหาเลขก็ยืนดูอยู่นานไม่รู้ว่าจะซื้อเลขอะไรดี เห็นเลขท้าย ๖๗๔ สวยดีจึงจับดูเห็นว่ามีใบเดียวจึงบอกคนขายว่าเอาใบนี้ด้วยราคาใบละร้อย ได้สลากกินแบ่งตามที่ต้องการก็ไปทำงาน งวดนี้ซื้อใบเดียวเป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่ซื้อน้อยขนาดนี้ปกติชอบซื้อเป็นชุดและหวยที่ออกมักจะทำให้ได้เสียวคือมีลุ้นตลอด พอถึงที่ทำงานสาย ๆ มีคนมาเดินโพยหวยใต้ดินจึงซื้อเลขนี้ไปตัวละยี่สิบคือสองตัวด้วย ปรากฎว่า หวยออก ๕๒๔๖๙๔ รู้สึกว่าตัวชาไปชั่วขณะ เพราะเป็นความหวังจริง ๆ ครับสำหรับหวยงวดนี้

หลังจากหมดหวังจากสามตัว สองตัว บน ล่าง ก็เหลือเพียงความหวังสุดท้ายคือรางวัลที่ ๒ – ๕ ซึ่งผมเองไม่เคยถูกรางวัลเหล่านี้มาก่อนเลยในชีวิต หลังจากกรอกตัวเลขในอินเตอร์เน็ตตามใบสลากที่ซื้อมาคือ ๑๗๑๖๗๔ แล้วก็กดตรวจแหมเจ้ากรรมเน็ตก็ช้าและอืดมากหรือขัดข้องก็ไม่รู้ปกติก็เร็วดี ปรากฎว่าเครื่องช้าอยู่สักพัก ก็ปรากฎกล่องอักษรพิเศษขึ้นมาบอกว่า ถูกรางวัลที่ 5 เท่านั้นแหละ น้ำตาแห่งความหวังก็ไหลพรากออกมาด้วยความปีติ บอกตัวเองได้ทันทีเลยว่า หลวงพ่อช่วยให้รอดตายแล้ว หลวงพ่อไม่ทิ้งลูกจริง ๆ

นึกดีใจว่าเดือนนี้มีเงินใช้ยืดอายุไปได้และยังมีเงินเหลือพอที่จะไปทำบุญทอดกฐินกับหลวงพ่อที่วัดด้วย คือตั้งใจว่าปีนี้จะไปงานบุญกฐินที่วัดหลวงพ่อให้ได้ เลิกงานกลับบ้านด้วยใจที่เบิกบานเป็นสุข รีบอาบน้ำแต่งตัวและสวดมนต์ทันทีด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความสุขจึงทำให้รู้สึกว่าการปฏิบัตินั้นผ่านไปรวดเร็วมาก เมื่อปฏิบัติภารกิจเรียบร้อยแล้วจึงบอกภรรยาว่าเรารอดตายแล้ว ไปตลาดขึ้นเงินกันดีกว่า ภรรยาผมถึงกับอึ้งไปครับ ถามว่าจริงเหรอ ดูเธอแทบไม่เชื่อหูเมื่อได้ยินผมบอกเช่นนั้น

ไปตลาดขึ้นเงินรางวัลที่แผงเจ้าประจำ ตอนแรกเขาตรวจดูเขาก็งงนึกว่าผมไปขึ้นรางวัลสองตัวสามตัว ผมเลยบอกว่ารางวัลที่ห้าครับ เขาเลยรีบตรวจใหม่พร้อมกับนับเงินให้ผม ๑๙,๖๐๐.-บาท ถูกหักร้อยละสอง ผมรับเงินด้วยความสุขใจจริง ๆ ครับ บรรยายไม่ถูกเพราะเป็นความหวังของผมจริง ๆ สำหรับวันนี้เหมือนตายแล้วเกิดใหม่เลยครับ

รักและเคารพหลวงพ่อหมดหัวใจเลยครับ


หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: Eman ที่ พฤศจิกายน 05, 2012, 10:57:23 am
ขออนุโมทนาสาธุครับ ผมเกิดมาซื้อลอตเตอรี่ ยังไม่เคยถูกรางวัลเลย ถูกแต่รางวัลเลขท้าย
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 05, 2012, 11:12:13 am
ขออนุโมทนาสาธุครับ ผมเกิดมาซื้อลอตเตอรี่ ยังไม่เคยถูกรางวัลเลย ถูกแต่รางวัลเลขท้าย


ขอบคุณครับ แค่เลขท้ายก็นับว่ายังดีกว่าไม่ถูกเลยนะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: anon ที่ พฤศจิกายน 05, 2012, 11:31:06 am
 ;D  ยินดีด้วยนะครับ คุณ Weerawat
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 05, 2012, 11:39:37 am
;D  ยินดีด้วยนะครับ คุณ Weerawat

ขอบคุณมากนะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 06, 2012, 08:39:49 am
เมื่อคืนนี้ได้โทรไปสอบถามท่านพระครูโฆสิตพัฒนคุณเจ้าอาวาสเกี่ยวกับการทำบุญงานกฐิน ในวันอาทิตย์ที่ ๒๕ พ.ย.๕๕ นี้ ท่านเจ้าอาวาสได้กรุณาให้ข้อมูลว่าเป็นกฐินสามัคคีแบ่งเป็นกองให้ทำบุญกองละ ๒,๕๕๕.-บาท ผมเลยขอจองไป ๒ กอง ถ้าหารถไปได้ก็จะไปให้ได้ ถ้าหารถไม่ได้ก็คงจะขอส่งเงินไปทำบุญแทนครับ เลยขอบอกบุญมายังศิษย์ของหลวงพ่อทุกท่านครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 06, 2012, 08:41:13 am
เมื่อคืนนี้ได้โทรไปสอบถามท่านพระครูโฆสิตพัฒนคุณเจ้าอาวาสเกี่ยวกับการทำบุญงานกฐิน ในวันอาทิตย์ที่ ๒๕ พ.ย.๕๕ นี้ ท่านเจ้าอาวาสได้กรุณาให้ข้อมูลว่าเป็นกฐินสามัคคีแบ่งเป็นกองให้ทำบุญกองละ ๒,๕๕๕.-บาท ผมเลยขอจองไป ๒ กอง ถ้าหารถไปได้ก็จะไปให้ได้ ถ้าหารถไม่ได้ก็คงจะขอส่งเงินไปทำบุญแทนครับ เลยขอบอกบุญมายังศิษย์ของหลวงพ่อทุกท่านครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 06, 2012, 04:14:24 pm
วันออกพรรษา หรือ วันปวารณาออกพรรษา เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาวันหนึ่งในประเทศไทย เนื่องจากเป็นวันสิ้นสุดระยะเวลาจำพรรษา 3 เดือนของพระสงฆ์เถรวาท โดยเป็นวันที่พระสงฆ์จะทำสังฆกรรมปวารณาออกพรรษาในวันนี้ วันออกพรรษาตามปกติ (ออกปุริมพรรษา1) จะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 (ประมาณเดือนตุลาคม) หลังวันเข้าพรรษา 3 เดือน ตามปฏิทินจันทรคติไทย

การออกพรรษานั้น ถือเป็นข้อปฏิบัติตามพระวินัยสำหรับพระสงฆ์โดยเฉพาะ เรียกว่า "ปวารณา" จัดเป็นญัตติกรรมวาจาสังฆกรรมประเภทหนึ่ง ที่ถูกกำหนดโดยพระวินัยบัญญัติให้โอกาสแก่พระสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ร่วมกันตลอดไตรมาสสามารถว่ากล่าวตักเตือนและชี้ข้อบกพร่องแก่กันและกันได้โดยเสมอภาค ด้วยจิตที่ปรารถนาดีซึ่งกันและกัน เพื่อสามารถให้พระสงฆ์ที่ถูกตักเตือนมีโอกาสรับรู้ข้อบกพร่องของตนและสามารถนำข้อบกพร่องไปแก้ไขปรับปรุงตัวให้ดียิ่งขึ้น

เมื่อถึงวันออกพรรษา พุทธศาสนิกชนถือเป็นโอกาสอันดีที่จะเข้าวัดเพื่อบำเพ็ญกุศลแก่พระสงฆ์ที่ตั้งใจจำพรรษาและตั้งใจปฏิบัติธรรมมาตลอดจนครบไตรมาสพรรษากาลในวันนี้ และวันถัดจากวันออกพรรษา 1 วัน (แรม 1 ค่ำ เดือน 11) พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยยังนิยมไปทำบุญตักบาตรครั้งใหญ่ เรียกว่า ตักบาตรเทโว หรือ ตักบาตรเทโวโรหณะ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติที่กล่าวว่า ในวันถัดวันออกพรรษาหนึ่งวัน พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงจากเทวโลกกลับจากการโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในพรรษาที่ 7 เพื่อลงมายังเมืองสังกัสสนคร พร้อมกับทรงแสดงโลกวิวรณปาฏิหาริย์เปิดโลกทั้งสามด้วย

นอกจากนี้ ช่วงเวลาออกพรรษาตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ถึง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ถือเป็นเวลากฐินกาลตามพระวินัยปิฎกเถรวาท เป็นช่วงเวลาที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยจะเข้าร่วมบำเพ็ญกุศลเนื่องในงานกฐินประจำปีในวัดต่าง ๆ ด้วย โดยถือว่าเป็นงานบำเพ็ญกุศลที่ได้บุญกุศลมากงานหนึ่ง


ช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงเวลากฐิน - ๒๘ พ.ย.๕๕ (วันลอยกระทง)
อย่าลืมไปทอดกฐินกันนะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: ไพฑูรย์ ที่ พฤศจิกายน 07, 2012, 11:47:41 am
 ประวัติและอานิสงส์การทอดกฐิน

การทอดกฐินเป็นการถวายผ้าจีวรแด่พระสงฆ์ที่จำพรรษาครบ 3 เดือน
งานบุญนี้มีระยะเวลาทำตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11
จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12
มูลเหตุที่มีการทำบุญกฐินนั้น มีเรื่องเล่าว่า
มีพระภิกษุจำนวนหนึ่งได้เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
ระหว่างการเดินทางนั้นยังเป็นช่วงหน้าฝน
และระยะทางไกลจึงทำให้ผ้าจีวรของพระภิกษุเหล่านั้น
เปียกน้ำเปรอะเปื้อนโคลนไม่สามารถหาผ้าผลัดเปลี่ยนได้
พระพุทธเจ้าได้เห็นถึงความยากลำบากนั้น
จึงมีพุทธบัญญัติให้ภิกษุแสวงหาผ้าและรับผ้ากฐินได้
เป็นเวลาหนึ่งเดือนหลังออกพรรษา
ชาวบ้านจึงได้จัดผ้าจีวรนำมาถวายพระภิกษุในช่วงเวลาดังกล่าว
จนกลายเป็นประเพณีทำบุญกฐินมาจวบจนปัจจุบัน

ต่อไปนี้ จะพูดถึงอานิสงส์กฐิน เอาย่อๆนะ อานิสงส์ในการถวายกฐิน
หรือว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายถวายสังฆทาน
สังฆทานวันนี้เป็นสังฆทานของกฐิน การถวายสังฆทานทุกอย่างมีผลควบกับกฐิน
เพราะเป็นวันของกฐิน ความจริงการทอดกฐิน ไม่ใช่ประเพณีนิยม
เป็นพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่า ผ้ากฐินทาน
จะรับได้ก็ต่อเมื่อถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงกลางเดือน 12
หลังจากนั้น จะทอดขนาดไหนก็ตาม จะไม่เป็นกฐิน
ฉะนั้น กฐินมีเวลากาลจำกัด

ทีนี้ ว่าถึงอานิสงส์กฐิน อานิสงส์กฐินนี้ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านเคยเทศน์ และก็เทศน์ตามบาลี
ท่านพูดถึงอานิสงส์ให้ทราบ ฉะนั้น การถวายวันนี้ทั้งหมด เมื่อวานก็ดี
วันนี้ก็ดี จะเป็นเงินก็ตาม จะเป็นของก็ตาม ถือว่าทุกอย่าง เป็นอานิสงส์กฐิน

ต่อไปนี้ก็โปรดทราบ จะนำพระสูตรตามที่ท่านกล่าวไว้ในบาลีให้ทราบ
ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ในสมัยพระองค์เกิดเป็น"มหาทุคคตะ"
ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "พระปทุมมุตระ"
เวลานั้น พระพุทธเจ้าของเรา เกิดเป็นคนจนอย่างยิ่ง
เป็นทาสของคหบดี เวลานั้น ถอยหลังจากนี้ไป 92 กัป
ก็ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า"พระปทุมมุตระ"
วันหนึ่ง มหาทุคคตะ ไปดูงานทอดกฐิน เมื่อเขาทอดกฐินเสร็จ
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า บุคคลใด เคยทอดกฐินแล้วในชีวิตหนึ่ง
ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพกฐินก็ดี และเป็นบริวารกฐินก็ดี
(แต่ว่ากฐินนี้ไม่มีบริวาร มีแต่เจ้าภาพ เพราะเป็นกฐินสามัคคี)
จะทำบุญน้อย จะทำบุญมาก มีอานิสงส์เสมอกัน
แต่ทว่าปริมาณอาจจะแตกต่างกัน

และอานิสงส์กฐินนี่ เวลานั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
"โภ ปุริสะ ดูก่อนท่านผู้เจริญ บุคคลใดเคยทอดกฐิน
ไว้ในพระพุทธศาสนา แม้ครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าตายจากความเป็นคน
ยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ท่านผู้นั้น จะไปเกิดเป็นเทวดา
หรือนางฟ้า 500 ชาติ"

นั่นหมายความว่า ถ้าหมดอายุเทวดา หรือ นางฟ้า
จุติแล้วก็เกิดทันที 500 ครั้ง เมื่อบุญหย่อนลงมานิดหน่อย
เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นนางฟ้าไม่ได้ ลงมาเป็นมนุษย์
จะเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก 500 ชาติ
แล้วบุญก็หย่อนลงมา ก็จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 500 ชาติ
แล้วบุญก็หย่อนลงมา ก็จะเป็นพระมหากษัตริย์ 500 ชาติ
หลังจากนั้น จะเป็นมหาเศรษฐี 500 ชาติ

คำว่า"มหาเศรษฐี"นี่ มีเงินตั้งแต่ 80 โกฏิขึ้นไป
เขาเรียกว่า "มหาเศรษฐี" ถ้ามีเงินต่ำกว่า 80 โกฏิ
แต่ว่าตั้งแต่ 40 โกฏิขึ้นไป เขาเรียกว่า "อนุเศรษฐี"
เมื่อเป็นมหาเศรษฐี 500 ชาติแล้ว ก็เป็นอนุเศรษฐี 500 ชาติ
หลังจากเป็นอนุเศรษฐี 500 ชาติแล้ว ก็เป็นคหบดี 500 ชาติ

ก็รวมความว่า การทอดกฐินครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า
นอกจากจะเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีแล้ว
บุคคลที่ทอดกฐินครั้งหนึ่งในชีวิต จะปรารถนาพระโพธิญาณก็ย่อมได้
นั่นก็หมายความว่า จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้
จะปรารถนาเป็นอัครสาวกก็ได้ จะปรารถนาเป็นมหาสาวกก็ได้
จะปรารถนานิพพานเป็นพระอรหันต์ปกติก็ได้

ฉะนั้น การทอดกฐินแต่ละคราว ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท
โปรดทราบถึงอานิสงส์ คนที่เคยทอดกฐินแล้วแต่ละครั้ง
รวมความว่า ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด
คำว่ายากจนเข็ญใจ จะไม่มีแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกชาติ


สำหรับวันนี้ การทอดกฐินมันมี 3 อย่าง
ความจริงอานิสงส์กฐินก็ย่อมเป็นอานิสงส์กฐิน
แต่ในปัจจุบัน จัดกฐินเป็น 3 อย่าง คือ
(1) จุลกฐิน (2) ปกติกฐิน (3) มหากฐิน
กฐิน 3 อย่าง ย่อมเป็นเทวดานางฟ้าเหมือนกัน
แต่ทว่าจะมีทรัพย์สมบัติมากกว่ากัน

คำว่า"จุลกฐิน" เวลานี้แปลงไป คงจำของพระพุทธเจ้าไม่ได้
คำว่า"จุลกฐิน" ก็หมายความว่า ที่เขาถวายผ้าโดยเฉพาะชิ้นเดียว
คือ ผ้ากฐิน จะเป็นผ้าสังฆาฏิตัวหนึ่งก็ได้ จะเป็นผ้าจีวรตัวหนึ่งก็ได้
สบงตัวหนึ่งก็ได้ ถ้าเราไม่มีทั้งไตร ถวายผ้าชิ้นใดชิ้นหนึ่งก็เป็นกฐิน
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 09, 2012, 08:34:21 am
ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒๕๐
วันที่ ๒๕ ก.ย. – ๕ ต.ค.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



คุณปลัด

เรื่องที่ ๒ เรื่องนี้ให้ชื่อว่า รับผิดชอบสูง ปลัดโดยทั่วไปจะดีทางเมตตา คือทำให้คนชอบกัน หรืออยู่กินด้วยกันแล้วมีลูก แต่ปลัดของหลวงพ่อเหนือกว่านั้น ยังทำน้ำมนต์ออกลูกก็ได้
นายปี มั่นปาน บ้านเดิมอยู่ ๑๙ หมู่ ๑๐ ต.ดงคอน อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท อยู่บ้านหนองแขม แกไปค้างคืนที่บ้านญาติที่บ้านป่าซาง ใกล้จังหวัดสุพรรณบุรี พอดีมีลาวคนหนึ่งชื่อ ตาลวก เมียแกปวดท้องจะคลอดลูกเป็นเวลา ๒ วันแล้ว แต่ไม่ออกสักที ตาลวกแกเลยไม่สบายใจ หมอตำแยก็มาอยู่ที่บ้านแต่เมียแกก็ไม่ยอมออกลูก ตาลวกได้มาปรึกษา ขอคำแนะนำเชิงขอร้องให้นายปีช่วย นายปีแกนึกขึ้นได้ว่าปลัดของหลวงพ่อกวย สามารถทำน้ำมนต์คลอดลูกได้ หลวงพ่อท่านเคยสั่งไว้
นายปีเลยทำปลัดแกว่งทำน้ำมนต์ พอเมียตาลวกกินน้ำมนต์หมดขันเท่านั้นเอง มีลมเบ่งคลอดลูกทันทีเลย นายปีเล่าว่าถ้ากินน้ำมนต์แล้ว ๓ ชั่วโมงค่อยออกลูก แกจะไม่คุยเลย นี่ที่คุยเพราะออกทันทีเลย

 
เกี่ยวกับคาถาสะเดาะกุมารในท้องนี้ ผู้เขียนมีใบคาถาลายมือหลวงพ่ออยู่ ในสมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ ฝีมือท่านแน่นอนและเด็ดขาด ท่านเคยเป่าหัวให้เมียลุงทอด ซึ่งคลอดลูกไม่ออกเป็นวัน ๆ ท่านเป่าให้ทีเดียว แล้วลุกขึ้นหันหลังกลับ โดยไม่ต้องการแม้อามิสสินจ้าง หรือคำขอบคุณ หรือคำชม ทีเดียวจริง ๆ พอหันหลังกลับเด็กร้องแว๊เลย

เรื่องปลัดต่อนะ ปัจจุบัน นายปีบวชเป็นพระ ครั้งสุดท้ายจำพรรษาอยู่วัดหนองตาแก้ว

 ต่อไปจะขอบันทึกคาถาของหลวงพ่อเอาไว้ หากมีผู้หนึ่งผู้ใดสนใจ จะได้เรียนเอาไว้ ผมจำได้ว่าคาถานี้มีความคล้ายคลึงกัน รู้สึกว่าจะคล้าย ๆ กับตำราของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ที่เขียนไว้ว่าคล้ายคลึงกันเพื่อเป็นแนวทางศึกษา เพราะใบฝอยคาถาเกิดขาดหายไปครึ่งบทไม่สมบูรณ์ ถ้าใครที่ทราบคาถาที่หายไป โปรดบอกให้ทราบด้วย คาถาบทนี้หลวงพ่อเรียนมาจาก ครูฟื้นและครูจำปี คาถานี้เป็นคาถาเกี่ยวกับสะเดาะกุมารในท้อง

บทที่ ๑ ใช้ทำน้ำมนต์ให้คนที่จะคลอดลูกกิน ขึ้นต้นด้วย นะ จิ เจ รุ นิ (คาถาขาดหายไป ใครทราบช่วยบอกด้วย)

บทที่ ๒ ใช้เป่ากระหม่อมตะหวาดกุมารในท้องให้กลัว และเสกฝ่ามือประทับท้อง “อะหัง ภาโว ปริสาโท อิมังทาเรถะ”

บทที่ ๓ คาถาขับกุมารในท้อง และเป่ากระหม่อมให้มีลมเบ่ง “จิ เจ รุ นิ รัน ทัง” แล้วเอาคาถานี้ขับคู่กัน “เอ ตะ ถา อะ ยะ วา”

บทที่ ๔ เสกด้ายดิบ ๗ เส้น ทำมงคลให้กิน พร้อมกับกินน้ำมนต์ “ทะ รุ นิ จิ เจ สะ ระ มัน ทัง”


คาถานี้ถ้าจะเรียนให้ระลึกถึงครูฟื้นและครูจำปี หลวงพ่อกวยเป็นที่สุด คาถาบทที่ ๔ เสกด้ายดิบนี้หมายถึง ด้ายใจ หมอโบราณเขาทำได้เสกด้ายดิบ ๗ เส้น ให้แม่กินเป็นมงคล ลูกออกมามงคลคล้องคอลูกเลยแปลกมาก แต่คนเดี๋ยวนี้ทำไม่ค่อยจะได้ คาถานี้ใช้สะเดาะลูกตายในท้องได้ คาถาบทที่ ๑ ที่ขาดหายไป ถ้าหมอเฉลียว เดชมา ทราบ โปรดบอกด้วย

อภินิหารเรื่องที่ ๓ ชื่อ หัวใจนาคราช คาถาหัวใจนาคราชนี้ หลวงพ่อเรียนมาจากหลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา อำเภอเดิมบางนางบวช สุพรรณบุรี แต่อาจารย์องค์แรกของท่านคือ หลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ สิงห์บุรี ชำนาญในการสร้างวัตถุมงคลกันเขี้ยวงามากเช่นกัน เกี่ยวกับหลักฐานเรื่องที่หลวงพ่อเรียนวิชามาจากหลวงพ่ออิ่มนี้ มีหลักฐานแน่นอนคือ หลวงพ่อสร้างยันต์พัดโบก หรือสารพัดดีสารพัดกัน ผ้านี้เป็นตำราของหลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา หลวงพ่อเคยสร้างผ้ายันต์พัดโบกรุ่นเก่า บอกวิธีการใช้ทั้งหมด พร้อมทั้งให้ระลึกถึง ครูเม่น ครูหมี ครูสุข ครูอ่อน อุปัชฌาย์อิ่ม ทีนี้คาถาหัวใจนาคราชกับ นายชัย หมองู แกไม่ค่อยเต็มคน ไม่ค่อยเต็มนี่ใจถึง เขากล้า แม้แต่จับงูจงอางด้วยมือเปล่า แต่คนเต็ม ๆ อย่างเราทำไม่ได้


ทีนี้ปลัดของหลวงพ่อนี่ ผมเคยพูดเอาไว้ว่า มีอำนาจรุนแรงทางกันงูมากทีเดียว ภรรยาผมเคยใช้อยู่กับตัวเดินผ่านใต้ต้นไม้ คือบ้านผมเป็นสวน งูตกใจคงแพ้อำนาจปลัดร่วงลงมา ดีว่าไม่ร่วงลงมาพันคอ อีกครั้งหนึ่งเขานอนเล่นที่โซฟา มองไปด้านบนเพดานเจอแมงป่อง พอเขามองไปที่แมงป่อง ๆ ร่วงลงมาเลย เรื่องที่ ๒ เรื่องนี้มองดูผิวเผินก็เหมือนฟลุค เบื่อเต็มทีเรื่องเก่า ๆ เอามาเล่าใหม่ดีกว่า คุณวินัย อิสริยสุนทร บ้านอยู่ตำบลบ่อสุพรรณ สุพรรณบุรี ติดนครปฐม เขาทำไร่ไผ่ตง วันหนึ่งเขาเดินอยู่ใต้ต้นกอไผ่ตง งูซึ่งอยู่บนต้นกอไผ่ ร่วงตุบลงมาจุกไปไหนไม่ไหว ซึ่งปกติงูจะร่วงจากกิ่งไม้เป็นเรื่องยากมาก อีกครั้งหนึ่งเขาเดินอยู่ใต้ต้นกอไผ่ตงเช่นกัน กับลูกน้องงูร่วงลงมาดังตุบ ลูกน้องอยู่ใกล้ ๆ ถามว่าอะไรร่วงลงมา คุณวินัยตอบหน้าตาเฉยว่างูร่วง ลูกน้องไม่เชื่อเดินไปดูเป็นงูร่วงจริง ๆ คุณวินัยเขาใช้ปลัดของหลวงพ่อตัวเดียวกับเหรียญรุ่น ๑ เขาเป็นคนดีและนับถือหลวงพ่อมาก ตอนที่ผมก่อตั้งมูลนิธิเขาอธิษฐานว่าถ้าเขาถูกหวยเท่าไรเขาจะเข้ามูลนิธิให้หมด เขาถูกจริง ๆ ๑,๐๐๐ บาท เขาก็มาเข้ามูลนิธิจริง ๆ ในงานผ้าป่าปี ๒๕๓๒ เขามางานผ้าป่าที่วัด มากับลูกน้อง เขานับถือแต่ลูกน้องไม่รู้จักหลวงพ่อ ลูกน้องปวดท้องมาตลอดทาง แต่ไม่พูดไม่บ่นพอมาถึงวัด ลูกน้องได้ขึ้นไปกราบรูปหล่อของหลวงพ่อ พร้อมทั้งอธิษฐานว่า เขาว่าหลวงพ่อเก่งผมปวดท้องขอน้ำมนต์กินแก้ปวดท้องหน่อย นับว่าอัศจรรย์สำหรับเขามาก เขายังทำบุญผ้าป่าร่วมกับผม

 ก็ควรจะจบเรื่องปลัดเพียงแค่นี้ แต่ขอต่ออีกหน่อย คุณสะอิ้ง บ้านอยู่บ้านแค มีปลัดของหลวงพ่อคาดเอวเพียงตัวเดียว ไม่สบายไปหาหมอ ๆ ฉีดยาเท่าไรก็ฉีดไม่เข้า เปลี่ยนเข็มแล้วเปลี่ยนเข็มอีกตกลงแกเลยไม่ฉีด กลับมาบ้านสงสัยเลยขึ้นมาหาหลวงพ่อเล่าให้หลวงพ่อฟังว่าไม่สบายไปหาหมอ ๆ ฉีดยาไม่เข้า หลวงพ่อท่านพูดว่า “ก็มึงเป็นอะไรที่ไหน จะต้องไปฉีดยา” พอหลวงพ่อเท่านั้น คุณสะอิ้ง แกดีใจหายเลย อันนี้ก็แปลกดี เรื่องที่คนคล้องหรือใช้วัตถุมงคลแล้วฉีดยาไม่เข้า อันนี้คงไม่เสมอไป จะถือเป็นหลักตายตัวไม่ได้ เพราะมันต่างกรรมต่างวาระกัน แต่เห็นว่า แปลก และมีคนยืนยันได้ ลุงเนียมบ้านอยู่หน้าวัดยืนยันได้ ผมจึงเล่าเอาไว้


จดหมายคุณศรัทธา ณ สงขลา

หน้า ร.ร.ชุมชนฯ สงขลา


เรียน อาจารย์เฒ่า ที่นับถือ

ผมมีเรื่องเกี่ยวกับ อภินิหารของหลวงพ่อกวย มาเล่าให้ฟังครับ นับตั้งแต่อาจารย์ได้ส่งวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยไปให้บูชาหลายอย่าง เช่น พระสรรค์นั่ง รูปถ่ายซีล็อกซ์ รูปถ่ายเล็กพร้อมด้วยจีวร ผมไม่เคยพบอภินิหารอย่างชัดแจ้งเลย ท่านอาจจะช่วยเหลือผมมาบ้างแล้วก็ได้ แต่ผมอาจจะไม่รู้ก็ได้

เมื่อปี ๒๕๓๒ ผมได้หลงเชื่อญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งว่า เขาจะช่วยเหลือเกี่ยวกับที่ดิน ซึ่งยังไม่มี น.ส.๓ ของเดิมเป็น สค.๑ อยู่ แล้วมีเรื่องยุ่งเหยิงอยู่มาก เขารับรองอย่างแข็งขันว่า เขาให้ผมหาเงินให้สัก ๓๐,๐๐๐ บาท เพื่อนำไปให้ผู้มีอำนาจในการจะทำ น.ส.๓ ให้ เขาเป็นกว้างขวางในวงราชการ ผมก็เชื่อให้เงินเขาไป เวลาล่วงมาหลายเดือน ผมได้ยินข่าวไม่ค่อยดี ว่าเขาเป็นนักพนันตัวยง ซ้ำที่ดินก็ยังไม่ได้ น.ส.๓ ทำให้ผมคิดไปในทางไม่ดี จึงให้ภรรยาไปขอเงินคืน เขาพูดให้เหตุผลต่าง ๆ นานา ฟังดูแล้วผมคิดว่า เงินจำนวนดังกล่าวคงหมดหวังแน่แล้ว ผมก็เลยคิดว่า คราวนี้ผมได้รับความเดือดร้อน เพราะใจง่ายแล้ว จึงเข้าห้องพระซึ่งมีภาพถ่ายซีล็อกซ์ใส่กรอบบูชาตั้งอยู่หน้าพระบนโต๊ะหมู่บูชา ผมอธิษฐานหลวงพ่อทุก ๆ ครั้ง เช้าเย็นที่ห้องพระว่า

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ พฤศจิกายน 10, 2012, 09:22:39 pm
หลวงพ่อท่านไม่ทอดทิ้งช่วยให้ผมถูกรางวัลที่ 5
 
งวดประจำวันที่ ๑ พ.ย.๕๕


หลังจากว่างเว้นประสบการณ์ของตัวเองไปนานพอสมควร วันนี้มีเรื่องของตัวเองมาเล่าให้ฟังครับ เป็นเรื่องทำให้ผมรู้สึกดีใจจนน้ำตาไหลเลยทีเดียว เมื่อวันที่ ๑ พ.ย.๕๕ ที่ผ่านมาตื่นแต่เช้า ลุกขึ้นสวดมนต์เหมือนเช่นที่เคยทำมาทุก ๆ วัน แต่วันนี้พิเศษกว่าวันอื่น ๆ เพราะว่าวันนี้เป็นวันที่หวยออกนั่นเอง ก็คือ ผมตื่นขึ้นมาด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยมหวังพึ่งบารมีของหลวงพ่อ เพราะเดือนนี้การเงินเกิดอาการช็อต คือสะดุดไปไม่คล่องมือกว่าที่เคยเป็นมา ทั้ง ๆ ที่ก็ใช้จ่ายตามปกติไม่ได้มีอะไรพิเศษ อีกทั้งตั้งใจว่าปีนี้อยากจะไปทอดกฐินที่วัดหลวงพ่อในวันอาทิตย์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ที่จะถึงนี้ แต่ตอนนี้ไม่มีเงินเลย หลังสวดมนต์เสร็จจึงขอพรจากหลวงพ่อขอให้ลูกถูกหวยงวดนี้ด้วยเถอะถ้าถูกหวยมีเงินพอจะไปทอดกฐินทำบุญกับหลวงพ่อที่วัด

หลังจากสวดมนต์เสร็จเรียบร้อย จึงอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน โดยแวะไปที่ตลาดก่อนเพื่อซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลหลังจากไปถึงก็มองหาเลขก็ยืนดูอยู่นานไม่รู้ว่าจะซื้อเลขอะไรดี เห็นเลขท้าย ๖๗๔ สวยดีจึงจับดูเห็นว่ามีใบเดียวจึงบอกคนขายว่าเอาใบนี้ด้วยราคาใบละร้อย ได้สลากกินแบ่งตามที่ต้องการก็ไปทำงาน งวดนี้ซื้อใบเดียวเป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่ซื้อน้อยขนาดนี้ปกติชอบซื้อเป็นชุดและหวยที่ออกมักจะทำให้ได้เสียวคือมีลุ้นตลอด พอถึงที่ทำงานสาย ๆ มีคนมาเดินโพยหวยใต้ดินจึงซื้อเลขนี้ไปตัวละยี่สิบคือสองตัวด้วย ปรากฎว่า หวยออก ๕๒๔๖๙๔ รู้สึกว่าตัวชาไปชั่วขณะ เพราะเป็นความหวังจริง ๆ ครับสำหรับหวยงวดนี้

หลังจากหมดหวังจากสามตัว สองตัว บน ล่าง ก็เหลือเพียงความหวังสุดท้ายคือรางวัลที่ ๒ – ๕ ซึ่งผมเองไม่เคยถูกรางวัลเหล่านี้มาก่อนเลยในชีวิต หลังจากกรอกตัวเลขในอินเตอร์เน็ตตามใบสลากที่ซื้อมาคือ ๑๗๑๖๗๔ แล้วก็กดตรวจแหมเจ้ากรรมเน็ตก็ช้าและอืดมากหรือขัดข้องก็ไม่รู้ปกติก็เร็วดี ปรากฎว่าเครื่องช้าอยู่สักพัก ก็ปรากฎกล่องอักษรพิเศษขึ้นมาบอกว่า ถูกรางวัลที่ 5 เท่านั้นแหละ น้ำตาแห่งความหวังก็ไหลพรากออกมาด้วยความปีติ บอกตัวเองได้ทันทีเลยว่า หลวงพ่อช่วยให้รอดตายแล้ว หลวงพ่อไม่ทิ้งลูกจริง ๆ

นึกดีใจว่าเดือนนี้มีเงินใช้ยืดอายุไปได้และยังมีเงินเหลือพอที่จะไปทำบุญทอดกฐินกับหลวงพ่อที่วัดด้วย คือตั้งใจว่าปีนี้จะไปงานบุญกฐินที่วัดหลวงพ่อให้ได้ เลิกงานกลับบ้านด้วยใจที่เบิกบานเป็นสุข รีบอาบน้ำแต่งตัวและสวดมนต์ทันทีด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความสุขจึงทำให้รู้สึกว่าการปฏิบัตินั้นผ่านไปรวดเร็วมาก เมื่อปฏิบัติภารกิจเรียบร้อยแล้วจึงบอกภรรยาว่าเรารอดตายแล้ว ไปตลาดขึ้นเงินกันดีกว่า ภรรยาผมถึงกับอึ้งไปครับ ถามว่าจริงเหรอ ดูเธอแทบไม่เชื่อหูเมื่อได้ยินผมบอกเช่นนั้น

ไปตลาดขึ้นเงินรางวัลที่แผงเจ้าประจำ ตอนแรกเขาตรวจดูเขาก็งงนึกว่าผมไปขึ้นรางวัลสองตัวสามตัว ผมเลยบอกว่ารางวัลที่ห้าครับ เขาเลยรีบตรวจใหม่พร้อมกับนับเงินให้ผม ๑๙,๖๐๐.-บาท ถูกหักร้อยละสอง ผมรับเงินด้วยความสุขใจจริง ๆ ครับ บรรยายไม่ถูกเพราะเป็นความหวังของผมจริง ๆ สำหรับวันนี้เหมือนตายแล้วเกิดใหม่เลยครับ

รักและเคารพหลวงพ่อหมดหัวใจเลยครับ



สุดยอดประสบการณ์เลยครับพี่วีรวัฒน์ ไว้ขอโชคลาภหลวงพ่อกวยมั้งแล้วครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 16, 2012, 08:00:41 am
ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒๕๑
วันที่ ๕ ต.ค. – ๑๕ ต.ค.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



ขออำนาจบารมีของหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ซึ่งเป็นที่นับถือของคนทั่ว ๆ ไป และศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย ผมเองก็เป็นศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งด้วย มีความเคารพนับถือหลวงพ่อย่างจริงใจและหนักแน่น เคยภาวนาพร่ำบ่นออกชื่อหลวงพ่อทุก ๆ ครั้งที่บูชาพระ บัดนี้ลูกได้รับความเดือดร้อนเรื่องเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท โดยเสียทีเขา กระผมขออำนาจบารมี อภินิหารของหลวงพ่อได้ช่วยลูกในครั้งนี้ด้วย โดยให้หลวงพ่อจงดลจิตดลใจให้ญาติผู้ใหญ่คนนั้น ได้โปรดคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้ด้วย

ผมได้ภาวนาอยู่ประมาณ ๔ เดือน เห็นจะได้ วันหนึ่งตอนเช้า ผมได้รับโทรศัพท์จากญาติผู้ใหญ่บอกมาว่า เดี๋ยวนี้ท่านผู้มีอำนาจย้ายไปเสียแล้ว ขอให้ไปรับเงินคืนจากเขาได้ ผมพอได้ยินดังนั้นขนลุกขนชันเลยครับ ผลปรากฏว่าขณะที่เขียนจดหมายนี้มาเล่าให้อาจารย์ฟัง ผมได้รับเงินเรียบร้อยแล้ว

ผมเห็นว่าที่ผมได้เงินคืนมาในครั้งนี้ ผมคิดว่า คงเป็นเพราะอภินิหารบารมีของหลวงพ่อกวยเป็นแน่ ผมจึงมีจดหมายมาถึงอาจารย์ เพื่อจะได้ประกาศเกียรติคุณของหลวงพ่อกวยให้คนทั่วไปและศิษย์ของหลวงพ่อทั่วประเทศ จะได้รับทราบไว้บ้างครับ

ผู้ใดก็ตามถ้าประพฤติตัวดี ถูกทำนองคลองธรรม พร่ำบ่นนึกถึงหลวงพ่ออยู่เสมอ เมื่อมีเรื่องทุกข์ร้อนเกิดขึ้นซึ่งตัวเองแก้ไขไม่ได้แล้ว ผมเชื่อเหลือเกินว่า หลวงพ่อท่านคงจะเมตตาให้ความช่วยเหลือแน่นอน เช่นเรื่องของผมเป็นตัวอย่างครับ

พรุ่งนี้ผมจะทำอาหารไปถวายพระเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้หลวงพ่อครับ

นับถือ

ศิษย์หลวงพ่อกวย

ศรัทธา ณ สงขลา



รูปหล่อบูชา ๕ นิ้ว

ต่อไปจะกล่าวถึงความเป็นมาของรูปหล่อ ชนิดบูชาอีกสักครั้ง รูปหล่อชนิดบูชา ๕ นิ้ว เป็นรูปหล่อเนื้อทองเหลืองผสมทองแดงรมดำ ช่างบ้านนอก รู้สึกจะช่างทางสิงห์บุรียิ่งทำยิ่งขี้เหร่ แสดงถึงความพัฒนาในอาชีพ รูปหล่อบุชาแบ่งออกเป็น ๒ รุ่น หน้าตัก ๕ นิ้ว เท่านั้น รุ่นแรกจะบอก พ.ศ.๒๕๑๘ รุ่นสองไม่บอก พ.ศ. เดิมรูปหล่อรุ่นแรกนี้ต้องมีการจอง สร้างจำนวน ๕๐๐ องค์ คือประมาณ ๔๐๐ กว่า ๆ เท่าที่สอบถาม และดูจากหลักฐานคือใบจอง จะมีดินหุ่นใต้ฐานไม่เหมือนกัน เช่น บางองค์ใช้ทรายผสมกับกาวทำดินหุ่น โดยมากจะสวยและหนา มีบางองค์ใช้หินลูกรังป่นผสมกับกาวทำดินหุ่น ชุดนี้จะบางและไม่สวย เขาว่าหลวงพ่อให้ผงไปบรรจุพร้อมดินหุ่นเลย และมีบางองค์ใช้แกลบขี้เถ้าผสมกาวทำดินหุ่น ชุดนี้ดินหุ่นจะกะเทาะออกมาประมาณครึ่งองค์ ไม่สวยมากเช่นกัน แต่สร้างพร้อมกันปลุกเสกพร้อมกัน หลวงพ่อทำพิธีในพระอุโบสถเพียงองค์เดียว จำหน่ายองค์ละ ๕๐๐ บาท

เมื่อรูปหล่อ ๕ นิ้วรุ่นแรกหมดลง ทางศิษย์ที่ไม่ได้ ได้ขอให้ท่านสร้างอีกหลวงพ่อได้เมตตาสร้างขึ้นมาอีก ๑ รุ่น ประมาณ ๕๐๐ องค์ รุ่นนี้ใช้ขี้เถ้าผสมกาวทำดินหุ่นทั้งหมด แต่ไม่ได้บอก พ.ศ. ไม่สวยมากเช่นกัน รูปแบบคล้ายรุ่น ๑ องค์ท้ายทำไม่สวย บางองค์ศีรษะท่านโหนกหน้าโหนกหลังเลย เห็นแล้วน่าด่าช่าง

ต่อไปเป็นเกร็ดคำพูดและอภินิหารของรูปหล่อบูชา ๕ นิ้ว ปีนั้นประมาณ พ.ศ.๒๕๑๙ หรือ ๒๕๒๐ มีศิษย์ท่านคนหนึ่งอยู่ทางสำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ทำงานโรงงานชื่อสำราญ นามสกุลผมไม่รู้ ได้เดินทางมากราบหลวงพ่อและนำเงินมาทำบุญกับหลวงพ่อเป็นจำนวนมาก ตอนนั้นอาจารย์เหวียน มณีนัย อยู่ที่กุฏิท่านด้วย คุณสำราญเล่าว่า ซอยที่แกอาศัยอยู่เกิดไฟไหม้ บ้านอยู่ติด ๆ กัน ไหม้ตอนกลางวัน บังเอิญแกไม่อยู่ ไฟได้ไหม้จากในซอยออกมาปากซอย บ้านแกอยู่ปากซอยพอดี ขณะที่ไฟกำลังไหม้จวนจะถึงบ้านแก มีคนเห็นพระองค์หนึ่ง เพราะเปลวไฟกับพระอยู่ในรัศมีเดียวกัน แล้วไฟก็ดับเอง ทั้ง ๆ ที่น่าจะไหม้บ้านคุณสำราญ ๆ ได้เล่าเรื่องนี้ให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อท่านนั่งเฉย คุณสำราญเห็นหลวงพ่อนั่งเฉยเลยหยุดเล่า และได้พูดว่าเขาเอาทองเปลวปิดรูปหล่อหลวงพ่อเต็มไปหมด เพราะเขาเชื่อว่าเป็นอภินิหารของหลวงพ่อ เหตุที่เชื่อเพราะในบ้านเขาไม่มีรูปหล่อที่เป็นพระสงฆ์เลย นอกจากรูปหล่อของหลวงพ่อ เมื่อคุณสำราญหยุดเล่า ท่านได้พูดว่า “มึงอย่าเอาทองไปปิดตากูนะ” คือท่านไม่ให้เอาทองเปลวปิดตรงตาท่าน ตอนนั้นอาจารย์เหวียนได้แหย่ท่านว่า “เป็นอย่างไรล่ะหลวงพ่อ กลัวจะมองไม่เห็นหรืออย่างไร” ท่านก็ไม่ตอบ อันนี้เห็นว่าหลวงพ่อพูดเอาไว้ เลยเล่าให้ฟัง แม้รูปหล่อเท่าองค์จริงที่วัด ก็ไม่ควรนำทองเปลวปิดตาท่าน

จดหมายคุณสมบัติ  วงศ์มาศ

เรียน คุณเฒ่า สุพรรณ

ผมได้มีความศรัทธาในพระคุณหลวงพ่อกวยเป็นอย่างมาก ได้มีจดหมายไปกราบเรียนอาจารย์โอภาส พระอาจารย์โอภาสได้แนะนำให้ผมมีจดหมายมาถึงอาจารย์เฒ่า สุพรรณ เรื่องมีอยู่ว่า ผมได้มีจดหมายมาขอเหรียญรูปโล่จากอาจารย์โอภาส ๑ เหรียญ โดยการขอท่านอาจารย์เมื่อผมได้มาก็นำมาเลี่ยมขึ้นคอ แล้วประมาณวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๓๓ นี้ ผมได้ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปกับเพื่อน ที่ จ.อยุธยา คนหนุ่มอาจารย์คงเข้าใจนะครับ มันต้องซิ่งเป็นธรรมดาของคนหนุ่มด้วยวัยคะนอง มีสิบล้อพุ่งออกจากซอยทางขวามือ อ.บางปะอิน ผมตกใจอย่างมากเบรคก็ไม่ทันผมได้แต่นึกถึงพระคุณหลวงพ่อกวยขอให้ช่วยผมด้วย อาจารย์จะเชื่อผมหรือเปล่าเหมือนปาฏิหาริย์ รถที่ผมขับมานั้นเหมือนมีมือมาผลักดันลงข้างทาง ผมตกใจอย่างมากเหมือนเกิดใหม่อีกครั้ง ถ้าไม่ได้บารมีหลวงพ่อปกปักรักษาผม นี่เพราะเหรียญรูปโล่ห์ช่วยปกปักรักษาให้ผมมีชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้ ผมจึงเขียนจดหมายมาให้ทราบเพื่อได้ให้บรรดาลูกศิษย์ที่เคารพในหลวงพ่อยังมีความศักดิ์สิทธิ์ถึงแม้หลวงพ่อจะมรณภาพไปร่วม ๑๐ กว่าปีแล้วก็ตาม

สุดท้ายนี้ ผมขอคุณพระรัตนตรัยและบารมีหลวงพ่อกวยดลบันดาลให้อาจารย์เฒ่า จงประสบแต่ความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป

นับถือเสมอ

สมบัติ วงศ์มาศ

ปล.ถ้าผมมีเรื่องราวปาฏิหาริย์เกี่ยวกับหลวงพ่อ ผมจะเขียนมาเล่าอีก



โรคป่วง

โรคป่วงนี้ คนโบราณหรือคนแต่ก่อนเขาเรียกกัน เข้าใจว่าคงใช้เรียกเฉพาะภาคกลาง เข้าใจว่าเป็นโรคท้องเสียปวดท้องอย่างรุนแรง หรืออาจจะเป็นโรคไทฟอยด์นั่นเอง เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง คนแต่ก่อนเขามีวิธีรักษาโรคแปลก ๆ อาจใช้สมุนไพรประกอบอาคม หรือใช้อาคมอย่างเดียว ฟัง ๆ ดูแล้วบางอย่างก็ไม่น่าเชื่อถือเท่าไร เช่น โรคกระดูกนี่หมอเขาจะเข้าเฝือกให้ แล้วให้เอาน้ำมันไปนวดเอาเอง หมออยู่ที่บ้าน บางหมอไปเข้าเฝือกต้นไม้ แล้วเอามีดทุบ ๆ ๆ ทุกวัน กระดูกคนป่วยที่หักกลับหายได้ บางหมอเอากระดูกผีมาภาวนา ทุบจนป่นทุกวัน กระดูกป่นละเอียดเมื่อไร คนป่วยกระดูกหักจะหายเมื่อนั้นก็แปลกดี เข้าเฝือกต้นไม้นี่ยิ่งแปลกใหญ่ ฝรั่งเห็นหัวร่องอหาย ฟันหักเมื่อไรนั่นแหละค่อยหยุดหัวร่อ

หลวงพ่อกวยท่านเป็นพระหมอเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยมีใครมาให้ท่านรักษาเท่าไร คือเกรงใจท่านอย่างหนึ่ง ตบะในตัวท่านอย่างหนึ่ง วิธีการรักษาโรคป่วงของท่านคือ ถ้าใครไปบอกกับท่านว่าคนที่บ้านป่วยเป็นโรคป่วงให้หลวงพ่อช่วยรักษาให้ ท่านจะให้คน ๆ นั้น ไปตักน้ำมา ๑ ขัน มาทำน้ำมนต์

 เมื่อทำเสร็จ ท่านจะให้คนที่ไปบอกท่านกินน้ำมนต์ ไม่ต้องให้คนป่วยกิน ให้คนที่มาบอกกิน ทีนี้เกิดคนที่มาบอกงก คืออยากได้น้ำมนต์มาก ๆ ก็เอาขันใบใหญ่ตักมาให้ท่าน เมื่อท่านให้กินต้องกินให้หมด บางคนโดนเข้าไปอิ่มแปล้เลย เมื่อกลับมาถึงบ้านคนป่วยหายได้อัศจรรย์

ครั้งหนึ่งนายชื้น เดชมา คนบ้านแค เมียแกเป็นป่วงปวดท้องอย่างแรง นายชื้นได้มาหาหลวงพ่อ บอกท่านว่า เมียปวดท้องอย่างแรง หลวงพ่อได้ให้นายชื้นไปตักน้ำมา ๑ ขัน ทำน้ำมนต์ให้นายชื้นดื่มกิน แล้วท่านได้พูดกับนายชื้นว่า “เมียแกไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย” แต่นายชื้นไม่ค่อยเชื่อเท่าไร เมื่อลาท่านกลับไปบ้าน ผลคือ เมียนายชื้นหายปวดท้องแล้ว

เกี่ยวกับวิชาแปลก ๆ และวิชาหมอโบราณนี่ ท่านพยายามจะถ่ายทอดให้ลุงทอด แต่ลุงทอดแกไม่ค่อยชอบ ขนาดวิชาบางอย่างท่านบังคับให้ลุงทอดเรียนเอาไว้ ตอนนั้นลุงทอดเล่าว่า หลวงพ่อเรียนวิชาดูเนื้อคู่ในบาตรน้ำมนต์ได้ คือใครอยากดูเมื่อไปหาท่าน ๆ จะจุดเทียนนั่งสมาธิเพ่งในบาตรน้ำมนต์ จนเกิดรูปคนที่มาหาสามารถเห็นเนื้อคู่ตัวเองในน้ำในบาตรได้ (บาตรน้ำมนต์) ท่านจะให้ลุงทอดเรียน ลุงทอดไม่เรียนคือแกไม่ชอบเรียน แกก็แปลกคนดี เมื่อลุงทอดสึกออกไปมีภรรยา เกิดภรรยาแกจะออกลูก สมัยก่อนคลอดลูกกันตามบ้าน เมียแกปวดท้องอย่างแรงแต่คลอดลูกไม่ได้ ลุงทอดแกเห็นว่าถ้าปล่อยเอาไว้เมียแกต้องตายแน่ ๆ แกเลยให้คนมานิมนต์หลวงพ่อกวยไปทำน้ำมนต์ให้กิน หรือจะช่วยอย่างไรก็แล้วแต่ แกให้คนมานิมนต์ท่าน ๒ ครั้ง ๒ คน ท่านก็นั่งเฉยวะคงจะแกล้งลุงทอด ๆ แกทนไม่ไหว แกเลยมานิมนต์เอง กราบชนิดขอร้อง พอหลวงพ่อกวยไปถึงท่านได้เป่าหัวให้เมียแก ๑ ที ทีเดียวจริง ๆ แล้วท่านก็ลุกขึ้นหันหลังกลับ เมียแกก็ออกลูกทันที เด็กร้องดังแว้ ๆ ท่านยังไม่ทันลงบันไดด้วยซ้ำ แต่ก็แปลกท่านไม่เหลียวกลับมาดูเลยแม้แต่น้อย ลุงทอดเล่าว่าเด็กคลอดยากเพราะตัวโตหัวใหญ่คลอดออกมาหัวยาวเป็นกระป่องโอวัลตินเลย ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องดูดออกหรือผ่าออก ปัจจุบันทราบว่าชื่อกลม มาจากหัวกลม ปัญญาดี เป็นตำรวจ รู้สึกว่าเป็นจ่า

น่าเสียดายจริง ๆ เรื่องวิชาดูเนื้อคู่นี่ ถ้าแกเรียนเอาไว้แค่ลงโฆษณาใน “นะโม” ว่ารับดูเนื้อคู่ชนิดเห็นตัว ผมว่างานนี้รับเละ

ตอบตอบจดหมาย ต่อไปขอตอบจดหมายคุณเฉลิม จากสมุทรปราการ

ถามมาว่า พระหลวงพ่อลอดราวผ้าจะเสื่อมหรือไม่ เข้าห้องน้ำต้องถอดออกหรือไม่ และเวลานอนต้องถอดพระออกหรือไม่ เขาว่าควรถอดออกพระจะได้พักผ่อน

ตอบ จดหมายคุณเป็นปัญหาโลกแตกนะ เรื่องการเสื่อมไม่เสื่อมนี่บางครั้งมันก็อยู่ที่ใจและเจตนา ผมขอตอบว่าไม่เสื่อม แต่ไม่ควรไปลอดโดยเฉพาะราวตากผ้าของผู้หญิง ถามมาว่าเข้าห้องน้ำต้องถอดออกหรือไม่ ก็ขอตอบว่า ลองถอดออกซิครับจะได้หาย ถามมาว่า เวลานอนต้องถอดออกหรือไม่ ขอตอบว่าไม่ควรถอดครับ คล้องไว้ดีกว่า บางทีมืด ๆ ค่ำ ๆ เดินออกมานอกบ้านเกิดลืมพระ อาจโดนยิงตายได้ คือผมว่าคนที่ควรพักผ่อนควรจะเป็นเรามากกว่านะครับ แต่ถ้านอนกับภรรยาเพื่อทำลูกอันนี้ต้องถอดออกเด็ดขาดครับ


จดหมายคุณสมบัติ แซ่โง้ว

อาจารย์เฒ่าที่เคารพ

ผมมีเรื่องเกี่ยวกับอภินิหารของหลวงพ่อ ๒ เรื่อง จะเล่าให้ฟังดังนี้

เรื่องที่ ๑ คือ ที่บ้านผมมีอาชีพทำไร่ผัก แต่พี่ชายผมเขาเปิดอู่ซ่อมรถอยู่ พอตกเย็นผมจะต้องไปช่วยพี่ชายซ่อมรถทุก ๆ เย็น วันนี้ดวงผมจะไม่ดีหรืออะไรก็ไม่ทราบ พี่ชายผมใช้ผมให้เอาสีพ่นกันสนิมไปพ่นรถแต่สีพวกนี้มันเป็นก้อนก่อนใช้ต้องเอาน้ำมันเบนซินใส่แล้วเอาสว่านปั่นให้เละเสียก่อนจึงจะใช้ได้ ขณะที่ผมกำลังปั่นสีอยู่นั้น สว่านได้เกิดช็อตขึ้น และมีไฟแลบออกมาจากมอเตอร์ทำให้ในถังที่ผมกำลังปั่นสีอยู่เกิดไฟลุกขึ้น และหน้าผมก็อยู่ตรงปากถังพอดี มือที่จับสว่านก็อยู่ในถัง แทนที่หน้าผมจะพองแต่เหมือนมีอะไรมาบังก็ไม่ทราบ ทำให้หน้าผมเพียงแค่อุ่น ๆ และนิ้วก็ปวดแสบปวดร้อน คิ้วกับผมก็ไหม้จนหงิกงอ พอผมได้สติผมนึกถึงหลวงพ่อกวยก่อนเป็นอันดับแรก ผมรีบวิ่งมาที่บ้านจุดธูปบอกกับหลวงพ่อกวยและผมก็ใช้คาถาของหลวงพ่อกวยที่ใช้ดับพิษไฟ พอผมท่องเสร็จเป่าที่มือทีแรกก็ยังร้อนและแสบอยู่ พอเป่าครั้งที่ ๒ คุณจะเชื่อหรือไม่ครับว่าอาการร้อนและแสบหายเป็นปลิดทิ้งเลย และนิ้วผมไม่พองด้วย

เรื่องที่ ๒ เมื่อ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๓๒ ที่จังหวัดปทุมธานี เขามีงานที่หน้าศาลากลาง คืนนั้นมีวงสตริงเทอร์โบมาเล่น พวกผมและเพื่อนอีก ๘ คน ก็ได้ขับรถจักรยานยนต์ไปกัน ๔ คัน ตอนนั้นเวลาประมาณ ๒๒.๓๐ น. (สี่ทุ่มครึ่ง) จะถึงจังหวัดปทุมธานีอยู่แล้ว อีกประมาณ ๔ กม.ก็เกิดอุบัติเหตุรถของผมกับรถของเพื่อนผมเกิดการเกี่ยวแฮนด์ทำให้รถผมเสียหลักพลิกคว่ำ ตัวผมกับเพื่อนที่ซ้อนมาด้วยกันกระเด็นไปคนละทาง ตัวผมลอยสูงกว่าพื้นเกือบ ๒ เมตร ตกลงมากระแทกกับพื้นถนนแทนที่จะเจ็บและจุกกลับเหมือนมีอะไรมารับผมไว้ก็ไม่ทราบมันนุ่ม ๆ และผมก็ลื่นไหลไปตามพื้นถนน คุณจะเชื่อหรือไม่ว่าหัวของผมไปหยุดตรงปลายแหลมของฟุตบาทกลางถนนพอดีเหลืออีก ๒ ศอก หัวผมก็ต้องกระแทกกับฟุตบาทพอดี มันเหมือนกับมีอะไรมาเบรกไว้ก็ไม่ทราบ พอผมลุกขึ้นมาเพื่อจะดูบาดแผลของผมและเพื่อน ๆ ผมนั้น มือ หัว เข่า หลัง หนังหลุดจนเลือดไหล ส่วนผมแค่มือข้างซ้ายเลือดซิบ ๆ เท่านั้นเอง คืนนั้นตกลงพวกผมเลยอดไปดูสตริงเลย ผมรอดตายมาได้เพราะเหรียญรูปโล่หลังยันต์ทองแดง

สุดท้ายนี้ขอให้ดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อกวยคุ้มครองคุณอาและครอบครัวให้มีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป

สมบัติ  แซ่โง้ว

๘๑ ม.๑ ตำบลไทรน้อย อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ๑๑๑๕๐

คาถาอาวุธ ๕ ถ้าท่องแล้วจะทำให้กุมารทอง รัก-ยม กลัวหรือไม่


ตอบคุณสมบัติ ขอบคุณมากครับที่อุตส่าห์เขียนเรื่องมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังครับ คาถาอาวุธ ๕ ถ้าท่องแล้วผมว่า รัก-ยม กุมารทองคงจะกลัวครับ เพราะเป็นคาถาปราบผีที่รุนแรง ส่วนวัตถุมงคลที่ผมไม่มีให้เช่าครับ ที่มีอยู่เล็กน้อยโดยมาก ไว้มอบให้เป็นที่ระลึกเวลาคนทำบุญเข้ามูลนิธิครับ คือไม่น้อยกว่าจำนวนเงิน ถ้าจะเช่าบูชาให้เท่าจำนวนเงินต้องเช่าที่วัดครับ

โชคดีครับ

ฒ.สุพรรณ

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 16, 2012, 09:27:50 am
คาถาอาวุธห้าประการ  ตามเเบบของคุณพ่อเดิม วัดหนองโพ

สักกัสสะวชิราวุธธัง เวสสุวัณณัสสะคธาวุธธัง ยะมะนัสสะนัยยะนาวุธธัง อะฬะวะกัสสะทุสาวุธธัง นรายัสสะจักราวุธธัง ปัญจะอาวุธธานัง เอเตสังอานุภาเวนะ ปัญจะอาวุธธา ภัคคะ ภัคคา วิจุณณัง วิจุณณาโลมังมาเมนะ ผุสสันติ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 16, 2012, 10:53:36 am
ผู้ใดก็ตามถ้าประพฤติตัวดี ถูกทำนองคลองธรรม พร่ำบ่นนึกถึงหลวงพ่ออยู่เสมอ เมื่อมีเรื่องทุกข์ร้อนเกิดขึ้นซึ่งตัวเองแก้ไขไม่ได้แล้ว ผมเชื่อเหลือเกินว่า หลวงพ่อท่านคงจะเมตตาให้ความช่วยเหลือแน่นอน
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 23, 2012, 08:28:08 am
ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๒๕๒
วันที่ ๑๕ ต.ค. – ๒๕ ต.ค.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



“ไอ้ตายโหง”

คำว่าตายโหง หมายถึงตายด้วยอุบัติเหตุหรือตายเพราะคนทำให้ตาย คือตายในเวลาที่ยังไม่แก่ เช่น รถคว่ำตาย โดนยิงตาย ส่วนคำว่าห่า หมายถึงตายเพราะเป็นโรคระบาดตาย สมัยก่อนคนเป็นโรคระบาดมาก ยังไม่มียาที่ทันสมัย โรคห่าก็คือโรคอหิวาห์ตกโรค การตายโหงและตายห่า จึงนิยมนำมาใช้คู่กัน
 
เรื่องนี้เป็นเรื่องของวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อ หรือเพราะท่านรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ คือไม่แน่ใจ ที่วัดหลวงพ่อ หลวงพ่อกวยได้ให้กรรมการวัดดำเนินการก่อสร้างพระอุโบสถ คือทำไปเรื่อย ๆ ให้ชาวบ้านทำไม่ได้จ้างช่าง ทำกันในฤดูแล้งว่างเว้นจากการทำนา ก็ทำไปเรื่อย ๆ ใครมีศรัทธาก็นำเงินไปถวายท่าน ๆ ไม่เคยร้องขอกฐินหรือผ้าป่าจากใคร เท่าที่จำได้หลวงพ่อไม่เคยขออะไรจากใคร อ้อ ! จะว่าไม่เคยก็ไม่เชิง ท่านเคยให้ลุงทอดไปขอไก่ต๊อกเขามาเลี้ยงในวัด ๑ คู่ และเคยขอนกเขาครูซินบ้านหัวเขา ๑ คู่ เมื่อมาถึงวัดท่านให้ข้าวนกกินแล้วปล่อยไป ครูซินเสียดายแทบแย่ ก็นกเขาคู่ละเป็นพันบาท นึกว่าหลวงพ่อจะขอมาเลี้ยงอุตส่าห์ให้มา เอาไปปล่อยหน้าตาเฉย

ทีนี้ในการสร้างพระอุโบสถต้องมีลูกนิมิต ลูกนิมิตนี่เข้าใจว่าแทบทุกคนคงเคยเห็น ทำจากหินทรายหรือหินอ่อน จะมีทั้งหมด ๙ ลูก ลูกใหญ่สุดเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า ให้ฝังไว้ที่ใจกลางพระอุโบสถ อีก ๘ ลูก หมายถึง พระอรหันต์อีก ๘ องค์ ประจำอยู่ ๘ ทิศ เช่น พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระโกณฑัญญะ ฯลฯ ให้ฝังไว้รอบนอก ๘ ทิศ เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน พระอาจารย์ที่ทรงคุณวิเศษท่านจะเคารพในพระอรหันต์ และรูปแทนตัวของพระองค์ คือ ลูกนิมิตนี้มักมีการจารหรือลงอักขระเลขยันต์ ลงรักปิดทอง เพื่อให้เป็นของอาถรรพณ์ คุ้มพระอุโบสถได้ด้วย ทีนี้ที่วัดหลวงพ่อ หลวงพ่อได้จารอักขระลงบนลูกนิมิต และนำมาตั้งเอาไว้ในที่สมควร หลวงพ่อจะมาปลุกเสกอยู่เสมอ เพราะหลวงพ่อเป็นพระที่ลงอาถรรพณ์เก่งมาก


อยู่มาวันหนึ่ง นายช่วง จั่นหนู เป็นคนบ้านแคได้นำเหล้าขาวมานั่งดื่มนั่งติด ๆ กับลูกนิมิตเลย หลวงพ่อท่านอยู่บนกุฏิแต่ท่านรู้ จะรู้ได้อย่างไรไม่รู้เหมือนกัน ท่านลงมาด้านล่างที่นายช่วงนั่งดื่มเหล้าอยู่ ท่านพูดว่า “ไอ้ตายโหงเอ๊ย ที่นั่งกินมีถมเถไปไม่นั่งกิน ต้องมานั่งกินตรงลูกนิมิต”อยู่มาไม่นานนายช่วงไปธุระที่โพธิ์งามรถคว่ำเสียหลักตายคาที่เลย

จดหมายคุณสมนึก เทียนศิริ

๑๑๔/๓ หมู่ ๗ ต.อุโมงค์

อ.เมือง จ.ลำพูน ๕๑๑๕๐

สวัสดี อาจารย์เฒ่า ที่เคารพอย่างสูง

ผมส่งเงินมาทำบุญกับหลวงพ่อ ๑๐๐ บาท อาจารย์ครับผมใช้รูปหล่อของหลวงพ่อองค์เดียวครับ แคล้วคลาดดีมากและผมยังมีโชคอีกครับ งวดนี้ถูกใต้ดิน ๒ ตัวล่าง ๕ บาท ๘๔ ผมได้เงิน ๓๐๐ บาท ผมส่งเงินไปทำบุญที่วัดทับขี้เหล็ก ๑๐๐ บาท ผมดีใจมากครับ ๔ ปีมาแล้วผมไม่เคยถูกเลย ถึงจะน้อยแต่ก็ดีใจเพราะผมเล่นน้อย

สุดท้ายนี้ผมขอบารมีของหลวงพ่อ จงคุ้มครองอาจารย์และครอบครัวให้มีแต่ความสุขตลอดไป

ด้วยความเคารพอย่างสูง

สมนึก เทียนศิริ


ต้านฉลาม

ปลาฉลามเป็นปลาชนิดหนึ่งตัวโตใหญ่กว่าคน อาศัยอยู่ในทะเลลึก โดยปกติกินสัตว์น้ำด้วยกันเป็นอาหาร แต่ถ้ามีคนหลงเข้าไปมันก็กิน ฟันของมันคมมาก กัดแขนแขนขาด กัดขาขาขาดทีเดียว เมื่อโดนกัดมีเลือดออก พวกมันได้กลิ่นคาวเลือดมันจะยกโขยงกันมาเป็นฝูง ๆ เลย บางคนให้ฉายามันว่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องทะเล คือมันชอบกินคน บางครั้งเรือล่มคนในเรือเป็นร้อย ๆ คน มันแห่กันมาเต็มไปหมด ไม่นานมันรุมกินกันแผล็บเดียวหมดเลย แต่คนภาคกลางกับภาคเหนือรวมทั้งภาคอีสาน เขาไม่ค่อยกลัวเพราะฟังดูแล้วปลาก็คือปลา เคยปิ้งกินบ่อยไป เขากลัวจระเข้กัน แต่คนที่เป็นชาวประมงหรือพวกตังเก เขารู้พิษสงมันดีว่ามันขนาดไหน พวกเขากลับมาหาวัตถุมงคลที่แปลกออกไปคุ้มตัว คือคงกระพันชาตรีไม่เอา แคล้วคลาดเมตตาไม่ต้อง เอาชนิดต้านฉลามก็พอ

นายวิชาญ เนียมหุ่น บ้านอยู่บ้านคู บ้านคูนี่อยู่ในเขตอำเภอบางระจัน สิงห์บุรี คนบ้านคูทั้งบ้านเคารพหลวงพ่อกวยมาก ทีนี้คุณวิชาญจะไปอยู่เรือประมงจังหวัดระยอง ได้มาขอพรหลวงพ่อ คือ คนภาคกลางเวลาจะไปไหนมาไหนไกล ๆ เขานิยมมาบอกกล่าวครูบาอาจารย์ที่เขาเคารพ เรียกว่ามาขอพร ได้บอกหลวงพ่อว่าจะไปอยู่เรือประมง หลวงพ่อท่านได้เข้าไปหยิบเหรียญหนุมานให้ ๑ เหรียญปกติท่านต้องให้พิมพ์สรรค์ ท่านคงเห็นว่าเดี๋ยวน้ำทะเลจะกัดพระซะเสีย เมื่อนายวิชาญมาอยู่เรือประมง การมีชีวิตในทะเลสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ คลื่นลม พายุ และเรือล่ม เรือล่มในทะเลนี่ไม่ใช่ของเล่นนะครับ ไม่ใช่เรือล่มในหนอง คือทะเลกว้างใหญ่ไพศาลถ้าไม่ตายก็คางเหลืองทีเดียว ชาวตังเกจึงนิยมนุ่งกางเกงขาก๊วยใหญ่ ๆ ถอดง่าย ๆ เวลาเรือล่ม วันหนึ่งเรือประมงลำของนายวิชาญโดนคลื่นลมแรงเกิดล่ม คลื่นได้ซัดคนที่ไปด้วยกันซัดไปคนละทางสองทาง มีหลายคนโดนฉลามกิน นายวิชาญเมื่อเรือล่มได้นึกถึงหลวงพ่อตลอดเวลา จะตายก็ไม่ตายจะจมน้ำก็ไม่จม ปลาฉลามว่ายมาใกล้ ๆ ก็ไม่กินแก นับว่าแปลกมาก รุ่งขึ้นเช้ามีคนมาช่วย ปรากฏว่าพวกเพื่อน ๆ ที่ไปด้วยกันรอดตายมาได้แค่ ๒ – ๓ คน นอกนั้นปลาฉลามกินหมด

เรื่องนี้เห็นเป็นเรื่องแปลกดีเกี่ยวกับเหรียญหนุมาน จึงเล่าให้ฟัง

เกี่ยวกับคาถาที่ใช้กับเหรียญหนุมานนี้ ผมเคยบอกไว้ไม่ครบ คือถ่ายทอดจากปากต่อปาก ผมได้ค้นเจอใบคาถาที่หลวงพ่อพิมพ์เอาไว้ ให้ตั้งนะโม ๓ จบ คาถาว่าดังนี้

“อม ผงเผ่าเถ้าธุลี คงกระพันชาตรี สวาหะ คลุกคลีตีมะ คลุกคลีตีอุ คลุกคลีตีอะ”


จดหมายคุณอเนก จันทุ่ง

๔๗/๔๗๙ ซอยศิริพจน์ สวนหลวง พระโขนง กทม.๑๐๒๕๐

สวัสดีครับคุณเฒ่า สุพรรณ ที่เคารพ

ผมมีเรื่องจะเล่าให้คุณทราบดังนี้ คือรูปโปสการ์ดที่คุณแจกผมใบแรกนั้นผมบูชาทำให้มีโชคลาภมาตลอด มีงานเยอะขึ้นซึ่งผมเคยเขียนเล่าให้คุณทราบแล้ว ผมก็เขียนมาขอคุณอีกเป็นรูปรุ่นหลัง ๆ คุณก็ส่งไปให้ผมทั้งหมด ผมได้รับแจกจากคุณไป ๔ ใบ แต่ตอนนี้ผมได้แจกเขาไปบ้าง ผมแจกเฉพาะคนจนเท่านั้น ใบแรกผมได้ให้หลานชายไปบูชาเมื่อวันที่ ๓๑ ปีที่แล้ว หลานผมโชคดียิ่งกว่าผมอีกถูกหวยติดต่อกัน ๓ งวดเลย คือ ๑ มกราคม ๑๖ มกราคม ๑ กุมภาพันธ์ (น่าจะปี ๒๕๓๓) หลานผมนับถือหลวงพ่อกวยมาก ตอนนี้ผมไม่ได้ไปหาหลาน ผมไม่รู้ว่าจะโชคดีอยู่หรือเปล่า ตอนนี้ผมมีวัตถุมงคลของหลวงพ่อเพิ่มมากขึ้นแล้วครับ ผมมีดังนี้

รูปขาวดำหลังจีวร เหรียญโล่หลังยันต์  และเหรียญออกที่วัดเขาใหญ่คุณเฒ่าพอจะรู้ประวัติวัดเขาใหญ่บ้างหรือเปล่าครับ ว่าเหรียญหลวงพ่อไปออกที่วัดเขาใหญ่ได้อย่างไร ผมว่าน่าสนใจมิใช่น้อย ถ้าคุณเฒ่ารู้ประวัติเอามาลงในนะโมก็จะได้เป็นวิทยาทานแก่ลูกศิษย์หลวงพ่อกวยต่อไป ว่าจะถ่ายรูปเหรียญหนุมานมาให้คุณเฒ่า ก็ไม่ว่างงานยุ่งมากกลับบ้านดึกร้านถ่ายรูปก็ปิด มีเวลาน้อยมากเลยครับ

ขอจบแค่นี้ก่อนขอให้ลูกศิษย์หลวงพ่อกวยทุกคนจงมีแต่ความสุขขอให้คุณเฒ่าสุพรรณจงมีแต่ความเจริญหลวงพ่อกวยคุ้มครองโชคดี

อเนก จันทุ่ง


ตอบคุณอเนก เหรียญรูปไข่ครึ่งองค์ออกวัดเขาใหญ่ หลวงพ่อปลุกเสกเองครับ ดีมาก วันหน้าจะแพงครับ ผมลงประวัติการสร้างให้แล้วครับ

นับถือ

ฒ.สุพรรณ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: tree_alone ที่ พฤศจิกายน 24, 2012, 12:25:11 am
ขอบคุณครับพี่ ยังติดตามอยู่เสมอครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 26, 2012, 08:14:55 am
เมื่อวานอิ่มบุญเป็นที่สุดเพราะไปทอดกฐินที่วัดหลวงพ่อ มีเรื่องเล่าพอสมควร ขอเวลาเขียนก่อนสักวันนึง
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: Eman ที่ พฤศจิกายน 26, 2012, 09:06:34 am
ใครช่วยตอบที ว่าท่านเจ้าอาวาสเวลาสวด ทำไมต้องติดสระอวย.. ตลอด ผมฟังแล้วทะแม่งๆ มา 2-3 ปี แล้ว
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 27, 2012, 11:54:15 am
ใครช่วยตอบที ว่าท่านเจ้าอาวาสเวลาสวด ทำไมต้องติดสระอวย.. ตลอด ผมฟังแล้วทะแม่งๆ มา 2-3 ปี แล้ว

แหม ภรรยาผมก็สงสัยเหมือนคุณเลยครับ อิอิ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 27, 2012, 11:54:34 am
ครั้งแรกที่มีวาสนาได้ทอดกฐินของวัดหลวงพ่อ
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๕


หลังจากได้ตั้งจิตอธิษฐานขอโชคลาภจากหลวงพ่อและหากมีเงินเหลือมากพอจะไปทอดกฐินที่วัดหลวงพ่อ นั้น เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๕ ก็มีโชคลาภจริง ๆ คือ ถูกรางวัลที่ ๕ ผมเชื่ออย่างมั่นใจมากว่า หลวงพ่อได้เมตตาให้ผมไปทอดกฐินที่วัดหลวงพ่อในวันที่ ๒๕ พ.ย.๕๕ จึงได้โทรไปหาพระเดชพระคุณท่านพระครูฯเจ้าอาวาสเพื่อขอจองกฐินจำนวน ๒ กอง คือ ตามกำลังทรัพย์ที่มี

หลังจากจองกฐินกับท่านเจ้าอาวาสเรียบร้อยแล้วจึงบอกครอบครัวคือภรรยาและลูกอีก ๒ คนชวนเขาไปทำบุญในครั้งนี้ด้วย ปัญหาแรกจึงอยู่ที่การหารถ ได้รถคันแรกเป็นของเพื่อนซึ่งทำงานอยู่ที่ กรุงเทพฯ วิ่งรถตู้เป็นงานอดิเรกเพื่อหารายได้เสริม บอกเล่าให้เพื่อนฟังเพื่อนเรียกราคาเหมารวมแล้ว ๔,๕๐๐.-บาท เล่นเอาผมสะดุ้ง เพื่อนบอกว่าเป็นรถตู้มือสองหลังคาสูงใช้ทั้งแก๊สและน้ำมัน เพื่อนถามผมว่าไหวไหม ผมเองก็คำนวณไม่ถูกแต่ว่าราคานั้นอยู่ในงบที่ตั้งเอาไว้คือรวมกับค่าจองกฐิน ๒ กองแล้วก็ยังเหลืออีกจำนวนหนึ่งคือเป็นค่าใช้จ่ายอย่างอื่นระหว่างเดินทาง ผมจึงตอบตกลงเพื่อนไปเพราะทราบมาว่าช่วงนั้นยังเป็นเทศกาลทอดกฐินอยู่ แต่พอบอกภรรยาเธอกลับงอแงอย่างไม่มีเหตุผล คือทำท่าว่าจะไม่ไปเสียอย่างนั้นแหละอันที่จริงผมเองก็เตรียมแผนสองไว้แล้วว่าถ้ามีเหตุที่ภรรยาและลูกไปไม่ได้ผมก็จะไปคนเดียว ผมภรรยาทำท่าว่าไม่อยากไปวันรุ่งขึ้นผมก็โทไปขอยกเลิกเรื่องกับเพื่อนด่วนทันที แต่พอเที่ยงภรรยาผมกลับเปลี่ยนใจโทรมาบอกผมว่า จะไป แหม ตั้งตัวแทบไม่ทันจึงรีบโทรไปบอกเพื่อนว่า ตามแผนเดิม แต่เพื่อนกลับตอบมาว่า เสียใจด้วยเขาเปลี่ยนแผนแล้ว โอ อะไรจะเร็วปานนั้น ทำเอาผมตัดสินใจไม่ถูกเลยว่าจะหารถที่ไหนดี เลยตั้งสติเลิกงานกลับบ้านแล้วค่อยคิดใหม่ ปัญหาของผมก็คือผมอยู่กับภรรยาที่ต่างจังหวัด ลูกผมสองคนหญิงชายอยู่ที่ กรุงเทพฯ ใจหนึ่งก็ไม่อยากให้เขาลำบากคือไม่ต้องเดินทางมาหาผมที่ต่างจังหวัดโดยผมหารถในพื้นที่ ใจหนึ่งผมกับภรรยาขึ้นไปกรุงเทพฯ โดยหารถที่กรุงเทพฯจะสะดวกกว่า คิดเอาไว้แล้วว่าจะไปทางสายสุพรรณบุรี – ชัยนาท ตกเย็นกลับบ้านตกลงกับภรรยาว่าจะเหมารถตู้ญาติพี่น้องกันแต่ว่าไม่มีเบอร์ติดต่อ จึงต้องผ่านคนกลางคือพี่ชายภรรยาเพราะเขาเหมารถญาติคันนี้ไปงานบุญอยู่บ่อย ๆ ผมเองก็เคยใช้บริการเหมาไปเชียงรายครั้งหนึ่งแล้ว แต่ลืมขอเบอร์โทรไว้ จึงโทรไปหาพี่ชายภรรยาบอกเล่าเขาว่าให้ช่วยติดต่อรถตู้ให้หน่อยจะไปทอดกฐินที่ชัยนาท แล้วก็ต้องเอ่ยปากชวนพี่เขาไปด้วยตามมรรยาท ปรากฎว่าเขาติดต่อให้เรียบร้อยรถว่างวันนั้นพอดี วันเสาร์มีคนเหมาไปหัวหินและกลับในวันนั้น วันอาทิตย์ว่างโดยคิดค่ารถวันละ ๑,๘๐๐.-บาท ค่าน้ำมันคนเหมาต้องรับผิดชอบ ผมประเมินว่าค่าน้ำมันไม่น่าเกิน ๒,๐๐๐.-บาท เพราะว่าระยะทางไม่ไกลมาก บอกตามตรงว่ารู้สึกดีใจมากที่ได้รถราคานี้ ปรากฎว่าระหว่างที่ผมคุยโทรศัพท์กับพี่ชายภรรยานั้นมีคนได้ยินเข้าก็เกิดอยากจะไปทำบุญด้วย โดยโทรมาขอกับภรรยาผมแต่ละคนบอกว่าจะช่วยออกค่าน้ำมันรถให้ แต่ผมเฉย ๆ เพราะว่า เงินทำบุญทอดกฐิน เงินค่ารถ นั้น หลวงพ่อท่านช่วยผมอยู่ก่อนแล้วไม่มีปัญหาอะไร จึงไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ โดยบอกภรรยาว่าใครมีวาสนาจะได้ไปทำบุญกับหลวงพ่อก็ให้เขาไปโดยความสมัครใจของเขาเองจะดีกว่า

หลังจากเรื่องรถ เรื่องคนเรียบร้อยแล้วก็ได้แต่รอเวลา โดยผมไปค้างกับลูกที่กรุงเทพฯ ในวันเสาร์นัดแนะกันไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วว่าจะไปออกเดินทางตั้งแต่เวลา ๐๕.๓๐ น. ไปทางสาย ๓๐๔ สุพรรณบุรี-ชัยนาท

ผมตื่นตั้งแต่ ๐๔.๐๐ น. เพราะที่บ้านมีห้องน้ำเพียงห้องเดียวจึงเผื่อเวลาไว้ ผมชำระร่างกายเสร็จจึงเห็นว่ามีเวลาเหลือมากเหมาะแก่การสวดมนต์มากเพื่อเป็นสิริมงคลก่อนออกเดินทาง หลังจากสวดมนต์เสร็จเรียบร้อยจึงบอกเล่าต่อหลวงพ่อขอให้เดินทางไปถึงวัดโดยสวัสดิภาพอย่าได้มีอุปสรรคใด ๆ เลย ปัญหามาติดที่ลูกสาวคนเล็กที่ทำอะไรช้ามากใกล้เวลานัดหมายเดินทางทุกคนพร้อม รถพร้อม แต่ลูกสาวคนเล็กยังไม่พร้อม ไม่น่าเชื่อครับ พอถึงเวลา ๐๕.๓๐ น. ตรงเป๊ะฝนก็เริ่มโปรยปรายเป็นสัญญาณเตือนว่าสมควรจะออกเดินทางได้แล้ว แต่ลูกสาวคนเล็กคาดว่าน่าจะแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วและยังเดินมาไม่ถึงรถ สายฝนก็ค่อย ๆ โปรยตกลงมาเหมือนจะไล่ให้เจ้าคนเล็กเร่งรีบให้เร็วกว่านี้ เพราะคนอื่นเขารออยู่ หนักเข้าฝนจึงเริ่มลงหนาเม็ดขึ้นเรื่อยจนกระทั่งไล่เจ้าคนเล็กซึ่งภรรยาผมก็ประกบมาด้วย จึงโดนฝนมาบ้าง พอขึ้นรถปิดประตูเท่านั้นแหละฝนก็เทลงมาอย่างหนาแน่น คือ รอดตัวหวุดหวิดไปไม่อย่างนั้นคงต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่อย่าแน่นอน ครับก่อนออกเดินทางก็มีเรื่องฝนกับลูกสาวคนเล็กซึ่งพลอยทำให้ภรรยาผมต้องรับไปด้วยเล็กน้อย ออกจากซอยเพชรเกษม 54 มุ่งหน้าไปทางเดอะมอลบางแคออกวงแหวนรอบนอก ไปบางบัวทอง สุพรรณบุรี ตลอดระยะเส้นถนนทางค่อนข้างโปรดโปร่ง โล่ง รถไม่ค่อยมี ทำให้รถวิ่งอย่างสบาย ๆ ไปถึง บึงฉวาก ก็บอกคนขับว่าจะมีทางแยกไปสรรคบุรีอีกประมาณ ๔ กม.อยู่ข้างหน้า ให้เลี้ยวขวา คนขับก็ชะลอรถจนสักพักก็ถึงทางแยกเห็นป้ายบอกทางเลี้ยวขวาไป สรรคบุรี ๑๑ กม.ก็ใจชื้นเลี้ยวไปตามทางที่ป้ายบอก เวลาในขณะนั้นประมาณ ๐๘.๓๐ น.เห็นจะได้ถือว่ายังเช้าอยู่มาก วิ่งไปสักพักก็พบทางแยกเป็นสี่แยก ทางซ้ายมือมีป้ายบอกทางเลี้ยวขวาไปวัดโฆสิตาราม ส่วนข้างหน้าเห็นป้ายใหญ่บอกว่า วัดโคกดอกไม้ตั้งเด่นเป็นสง่า คนขับจึงเลี้ยวขวาตามศรชี้เพื่อมุ่งหน้าไปวัดโฆสิตารามตามที่ตั้งใจไว้

หลังจากเลี้ยวขวาตรงทางแยกผมก็จำทางได้ว่าครั้งก่อนผมวิ่งตรงมาจากสรรคบุรีคือตรงมาจากทางซ้ายมือนั่นแหละ ก็บอกคนขับว่าวัดอยู่ทางซ้ายมืออีกไม่ไกล วิ่งไปสักระยะจึงพบป้ายของวัดอยู่ทางซ้ายมือก็เลี้ยวซ้ายเข้าซอยทางฝั่งซ้ายเป็นวัดการเปรียญ ทางฝั่งขวาเป็นวัดโฆสิตาราม คืออยู่เยื้อง ๆ ใกล้กัน พอเลี้ยวเข้าวัดก็ประมาณเวลา ๐๘.๔๕ น. นับว่ามาถึงเร็วมากคนยังบางตาอยู่ เมื่อลงจากรถสิ่งแรกที่ทำคือแนะนำให้ทุกคนไปกราบรูปหล่อหลวงพ่อที่มณฑปกันก่อน ทุกคนก็เต็มใจไปกราบไหว้อย่างพร้อมเพรียงกัน นับว่า ภารกิจแรกจบลงอย่างสวยงาม

หลังจากกราบไหว้รูปหล่อหลวงพ่อที่มณฑปเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก เห็นใต้ศาลามีการจัดเตรียมอาหารไว้ต้อนรับ เนื่องจากคนยังไม่มาก จึงหาอาหารรับประทานอย่างสะดวก ยอมรับว่าอาหารมีมากมายให้เลือกทานอย่างหลากหลาย ผมกับลูกชายเกิดชอบเหมือนกันคือเห็นขนมจีน เจ้าลูกชายผมตักขนมจีนรากแกงลูกชิ้นปลากรายเขาชอบมากบอกว่าอร่อย ส่วนผมราดน้ำยาแหมเส้นขนมจีนนั้นเหนียวนุ่มจริง ๆ รสชาติดีมาก ลูกยุว่าแกงลูกชิ้นปลากรายอร่อยเลยต้องเบิ้ลตามระเบียบคือเที่ยวนี้ตักข้าวราดแกงลูกชิ้นกับแกงมัสมั่นไก่ เจ้าลูกชายเห็นผมตักแกงมัสมั่นไก่เกิดอยากกินจึงต้องไปตักเบิ้ลเป็นรอบที่สอง ปกติไม่น่าจะกินมากขนาดนี้ วันนี้กินมากผิดปกติ คงเป็นเพราะอาหารเพิ่งสุกมาใหม่ ๆ กำลังร้อน ๆ เลย นั่งทานข้าวไปสายตาก็เหลือบไปมองทางมณฑปพระสีวลีและพระสังกัจจายน์ คือมองแล้วตั้งใจว่าเดี๋ยวอิ่มแล้วจะไปนั่งสวดมนต์เพราะเห็นว่ายังปลอดคนอยู่ พอผมกับลูกชายกินอิ่มหนำสำราญแล้วก็ชวนลูกชายไปที่มณฑปพระสีวลีและพระสังกัจจายน์ทันที บรรยากาศน่านั่งสวดมนต์มนต์มากเพราะไม่มีคนมากวนเลย มีเทียนจุดปักอยู่ก่อนแล้วผมจึงหยิบธูปมาเสกก่อนแล้วจึงจุด สวดคาถาบูชาพระสีวลีและพระสังกัจจายน์อย่างละ ๗ จบ โดยที่ไม่มีใครมากวนเลย แล้วก็ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก พอถ่ายรูปเสร็จก็ปรากฎว่ามีคนมาทั้งสองด้านเลยคือคงตั้งใจมากราบไหว้บูชาพระสีวลีและพระสังกัจจายน์เหมือนกันนี่แหละ ภารกิจที่สองตรงจุดนี้รู้สึกมีความสุขใจอย่างที่สุด

หลังจากลงมาจากมณฑปพระสีวลีและพระสังกัจจายน์แล้วก็เดินมาที่บริเวณสระน้ำ ที่ปรับปรุงภูมิทัศน์คือก่ออิฐถือปูนมีรั้วรอบสระทำให้ดูสวยงามจึงถ่ายรูปเป็นที่ระลึกโดยใช้โบสถ์เป็นฉากหลังผลัดกันถ่ายคนละสองสามรูปจึงชวนกันไปที่มณฑปที่ประดิษฐานโลงแก้วที่บรรจุสรีระของหลวงพ่อ และพิพิธภัณฑ์ของหลวงพ่อ ซึ่งตอนนี้หลายคนต่างก็แยกกลุ่มกันไปตามจุดต่าง ๆ และก็ไปเจอกันที่จุดนี้ตอนแรกผมนึกว่าทางวัดคงจะปิดคือไม่เปิดให้ลอดโลงแก้วของหลวงพ่อ แต่วันนี้เปิดให้ทุกคนลอดโลงแก้วของพ่อซึ่งต่างก็ทยอยกันมาทีละกลุ่ม ๆ สำหรับผมลอดไปทั้งหมด ๓ ครั้ง คือเข้า ๆ ออก ๆ มาบูชาวัตถุมงคล ๒ เที่ยว เห็นปลอดคนก็เลยลอดอีก ๒ ครั้ง รวมเป็น ๓ ครั้ง ๆ ละ ๓ รอบ เรียกว่า มาทำบุญทอดกฐินครั้งนี้ขอลอดโลงแก้วหลวงพ่อ ๓ ครั้ง ๆ ละ ๓ รอบ รวม ๙ รอบ

การจองกฐินในปีนี้ ทางวัดได้จัดเตรียมของที่ระลึกเป็นพระของหลวงพ่อจำนวน ๑ กล่อง ๆ ละ ๔ เหรียญต่อการทำบุญกฐิน ๑ กอง ผมทำบุญไป ๒ กอง ได้ของที่ระลึกมา ๒ กล่อง และได้รูปถ่าย(รูปเสกพระ)เลี่ยมพลาสติก ๒ บาน แต่ที่มณฑปหลวงพ่อมีรูปถ่ายกระดานสามแผ่นหลังปั๊มตราวัดและจีวรเลี่ยมพลาสติกใช้ราคา ๕๐.-บาท สวยเกินห้ามใจจึงบูชามา ๒ บาน และรูปถ่ายกะดานสามแผ่นใส่กรอบพร้อมบูชาราคา ๒๕๐.-บาท มาอีก ๑ บาน ประมาณเที่ยงครึ่งก็เสร็จพิธี ทุกคนต่างก็ทยอยกันกลับรวมทั้งกลุ่มของผมด้วยกว่าจะออกจากวัดก็ประมาณบ่ายโมงเห็นจะได้

หลังจากออกจากวัดและย้อนกลับทางเดิม คนขับก็หวังดีเพราะเห็นว่าเวลายังเหลือเยอะเพราะเห็นว่าเพิ่งจะบ่ายโมงจึงสอบถามว่าใครจะแวะบึงฉวาก กับตลาดสามชุกบ้าง ทั้งสองที่นี้ผมเองและครอบครัวรวมทั้งอีกหลายคนต่างก็ยังไม่เคยไปเที่ยวเลย ก็ตกลงแวะเที่ยวทั้งสองที่จนประมาณบ่ายสี่โมงเศษจึงเดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ ประมาณ ๑๘.๓๐ น. คือทุกคนเดินทางไปกลับโดยสวัสดิภาพ แวะเติมน้ำมันประมาณ ๑,๓๒๐.-บาท จ่ายค่ารถ ๑,๘๐๐.-บาท รวม ๓,๑๒๐.-บาท มีคนช่วยค่าน้ำมันรถประมาณ ๙๐๐.-บาท เท่ากับว่าผมจ่ายค่าเหมารถไปทั้งสิ้น ๒,๒๒๐.-บาท 

ผมไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว มาเกือบปีเพราะล่าสุดที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาก็คือปีใหม่ที่ผ่านมานี่แหละพอจ่ายค่ารถเสร็จฝนก็ตกลงมาพอดี โอ อะไรกันเนี่ยฝนตกทั้งไปทั้งกลับ ต่างคนต่างเข้าบ้านใครบ้านมันเพราะฝนไล่ แต่ก็ไม่หนักมากนักเลยตกลงกับลงกันว่าเดี๋ยวจะไปที่ซีคอนบางแคที่เพิ่งเสร็จใหม่ ๆ ไปหาอะไรกินกันสรุปคือไปร้าน MK สุกี้ สังสรรค์กันเล็ก ๆ ภายในครอบครัว อิ่มหนำสำราญกันทุกคนประมาณ ๒๐.๐๐ น.แต่ก็ติดฝนนิดหน่อยเพราะฝนยังไม่หยุด ตัดสินใจเดินตากฝนกลับบ้าน เพราะพี่ชายภรรยามานั่งคอยที่บ้าน ถึงบ้านก็ตกใจเพราะไม่คิดว่าพี่เขาจะเตรียมเบียร์ไว้คอยท่า ไม่อยากขัดศรัทธาเพราะนาน ๆ เจอกันที พี่ชายเขาทำงานไปรษณีย์ไปพักบ้านภรรยาที่แถวตลิ่งชันใกล้ ๆ กัน ก็เลยต้องนั่งจิบเบียร์คุยกันไปหนีไม่พ้นเรื่องที่เพิ่งผ่านกันมาหมาดก็คือเรื่องที่ได้ไปทอดกฐินที่วัดหลวงพ่อนี่แหละ ภรรยาของพี่เขาก็เล่าให้ฟังว่าพี่เขาแปลกไปคือตั้งใจที่จะไปทำบุญเป็นพิเศษแบบที่ไม่เคยตั้งใจมาก่อนที่สำคัญไม่ยอมกินเหล้าเลยกินเบียร์เลยนับว่าแปลกมาก ปกติแล้วพี่เขาจะอดไม่ได้ยิ่งเดินทางแบบนี้ด้วยแล้วไม่เคยพลาดอีกทั้งอุปนิสัยใจคอเขาแล้วหากไม่กินแล้วมักจะพูดไม่ออกคือจะเงียบไปเลย ก็เห็นภาพติดว่าพี่เขาไปช่วยยกผ้าไตรจีวรบาตรตาลปัตรเพราะมีคนเตรียมไว้น้อย ดูพี่เขาตั้งใจช่วยมากจริง ๆ เพราะเขาไปได้ยินว่ามีคนไม่พร้อมเท่าไรพี่เขาเลยคิดในใจว่าเขาช่วยตรงจุดนี้และเขาก็ทำให้เห็นจริง ๆ ดูพี่เขาจริงจังและตั้งใจมาก พี่เขาเล่าว่าช่วงเช้าหลังจากที่กินข้าวอิ่มแล้วจึงไปเดินเที่ยวชมรอบวัดและพิพิธภัณฑ์เรือนไทย มีจังหวะหนึ่งพี่เขาพูดเล่นกับหลาน ๆ ว่า มาขึ้นมาเที่ยวบนบ้านลุงนี่ เท่านั้นแหละครับ พี่เขาเล่าว่ามีอาการแน่นหน้าอกเกือบหายใจไม่ออก สงสัยพี่เขาพลั้งปากพูดเล่นเข้าหรืออย่างไรก็ไม่แน่ชัด แต่พี่เขาก็เล่าให้ฟังแบบแหยง ๆ   

อีกครอบครัวหนึ่งมีสามคน มีแม่(พี่สะใภ้ภรรยา) ลูกสาว และหลานสาวอายุประมาณ ๕ ขวบ หลานสาวคนนี้เป็นเด็กพิเศษครับคือพัฒนาช้ากว่าเด็กปกติ แต่วันนี้แปลกมากตั้งแต่เช้าที่เตรียมตัวออกจากบ้านเขาทักทายผมด้วยเสียงดังใสแจ๋วก็คือเด็กมีอาการดีใจที่จะได้ไปเที่ยว ตลอดเส้นทางเด็กเก็บอาการได้เรียบร้อย ไม่งอแง ไม่ดื้อ ไม่ซนไม่สร้างปัญหาแต่อย่างไรเลยนับว่าแปลกมาก ครั้งแรกก็รู้สึกกังวลว่าเด็กและครอบครัวนี้จะสร้างปัญหาให้ ลูกสาวพี่สะใภ้เขาโทรมาขอกับภรรยาผมว่าอยากจะไปทำบุญด้วย

เมื่อวันเสาร์ผมเองก็เก็บตัวเงียบ ไม่บอก ไม่กล่าวเรื่องราวใด ๆ ให้ใครฟังทั้งสิ้น คือเก็บตัวเงียบเฉยเสีย อธิษฐานในใจว่าใครได้ไปหรือตั้งใจทำบุญทอดกฐินในวันพรุ่งนี้ก็ถือว่าหลวงพ่ออนุญาตแล้ว

และก็จริงดังที่คาดการณ์ไว้ คือ ให้เขาไปรู้ไปเห็นเองจะดีกว่า หากเขาสงสัยสอบถามมาก็จะเล่าให้เขาฟังตามที่ถาม ครอบครัวของพี่ทั้งสองครอบครัวเขาไปเห็นเข้าและไปได้ยินได้ฟังเรื่องราวก็เกิดความศรัทธา คือยากมาทำบุญอีก คือปีหน้าให้ผมจองกบินเผื่อครอบครัวพี่เขาด้วย ปีหน้าอาจจะได้ยอดจองจากครอบครัวพี่ทั้งสองเพิ่มอีก ๔ กองก็เป็นได้

หลังจากพูดคุยกันไปจิบเบียร์กันพอสมควรแก่เวลาคือประมาณ ๒๓.๐๐ น. เห็นจะได้พี่เขาก็ขอตัวกลับบ้านผมก็ขึ้นบ้านไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวนอนเพื่อพักผ่อน ประมาณสัก ๐๔.๐๐ น. เห็นจะได้ผมก็ตื่นรู้สึกว่าข้างกายผมจะว่างพอสักพักภรรยาก็กลับมานอนเห็นผมตื่นแล้วจึงเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อคืนเจ้าลูกชายถูกผีอำ ลูกชายเห็นเงาตะคุ่มยืนอยู่หัวนอนเขา และมีอาการเหมือนถูกผีอำคือกระดิกตัวไม่ได้ ปากก็ร้องเรียกแม่ แม่ แม่ พอภรรยาผมรู้สึกตัวว่าลูกชายร้องเรียก หันไปดูก็เห็นเขามาเอาสร้อยพระที่แขวนอยู่ที่เสาบ้านตรงที่ผมนอนอยู่ คือเขาพยายามฝืนและลุกขึ้นมาจนได้ หลังจากสวมสร้อยแล้วอาการถูกผีอำก็หายไป ภรรยาเล่าให้ฟังว่าดูเจ้าลูกชายเขามีอาการตื่นกลัวอยู่พอสมควรเพราะว่าไม่เคยถูกผีอำมาก่อน ผมให้พระของหลวงพ่อเขาไว้สององค์คือ เหรียญเดิมบางที่เคยเล่าให้ฟังแต่เขาเอาสร้อยไปเปลี่ยนเป็นเงินเพื่อซื้อโทรศัพท์ใหม่ จึงเปลี่ยนมาคล้องอีกองค์หนึ่งคือรูปหล่อปั๊มรุ่นย้อนยุคก้นอุดผงเขาแขวนบ้างไม่แขวนบ้าง ตามประสาเด็กสมัยใหม่ หลังจากเขาเอารูปหล่อรุ่นย้อนยุคสวมคอแล้วก็รู้สึกดีขึ้นและภรรยาผมก็ไปนอนเป็นเพื่อนจนเขาหลับไป ภรรยาเล่าให้ผมฟังต่อไปอีกว่าได้ยินเสียงพี่ชายที่ล่วงลับไปแล้วเรียกชื่อเขาเต็มสองรูหูคือเสียงได้ดังได้ยินชัดเจนมาก พอผมฟังจบจึงลุกขึ้นไปล้างหน้าชำระร่างกาย และสวดมนต์ไหว้พระทันที พอ ๐๖.๐๐ น. เศษจึงปลุกลูกชายไปใส่บาตรพร้อมกันพ่อแม่ลูก หลังจากกลับมาจากใส่บาตรภรรยาผมก็เดินไปที่บ้านพี่สะใภ้เล่าเรื่องลูกชายถูกผีอำคาดว่าน่าจะเป็นพี่ชายภรรยาผมนั่นเองพี่สะใภ้ได้ฟังก็ตื่นเต้นตกใจเอาเหมือนกัน เพราะเรื่องของสามีผู้ล่วงลับไปนั้นมักมีเรื่องเล่าให้ฟังกันอยู่บ่อย ๆ พี่สะใภ้ก็นึกขึ้นได้ว่าเสื้อที่เจ้าชายผมใส่ไปงานทอดกฐินนั้นเป็นเสื้อของสามี โดยพี่สะใภ้เล่าให้ฟังว่าก่อนออกจากบ้านได้จุดธูปบอกเล่าชวนสามีให้ไปทำบุญด้วย นึกไม่ถึงว่าเจ้าลูกชายผมจะเลือกใส่เสื้อของลุงเขาไป คือพี่สะใภ้ได้สังเกตเห็นว่าวันนั้นเจ้าลูกชายผมกินข้าวมากผิดสังเกตคือมากกว่าปกติ ซึ่งอุปนิสัยใจคอตรงนี้เหมือนสามีผู้ล่วงลับชอบคือเวลาไปทำบุญที่วัดต่างจังหวัดมักจะชอบและกินข้าวได้เยอะ เรื่องนี้ก็แปลกดี

 สรุปคือ ไปทำบุญกฐินครั้งนี้ งบที่ตั้งไว้เหลืออยู่หลายตังค์ ค่าเหมารถก็ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ ได้บูชาภาพถ่ายใส่กรอบและขนาดคล้องคอ และยังได้พาครอบครัวไปสังสรรค์ตามประสาได้ทั้งความสุขและเต็มอิ่ม แสดงถึงความเมตตาของหลวงพ่อที่มีต่อครอบครัวผมในครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย สมดังวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อที่ได้ให้ไว้คือ ขอศิษย์ทั้งหลาย จงอย่าอด อย่าอยาก อย่ายาก อย่าจน อย่าต่ำกว่าคน อย่าจนกว่าเขา


หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 27, 2012, 11:55:48 am
ประสบการณ์ข้างบนถือเสียว่าอ่านเล่น ๆ แก้เหงา นะครับ อย่าคิดอะไรมาก
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ พฤศจิกายน 27, 2012, 09:22:23 pm
:D :D :D :D :D
ที่แน่ๆถ้าผมสอบติดมหาลัย เจอกันที่วัดไม่พลาดแน่นอน สาธุๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 28, 2012, 09:12:21 pm
:D :D :D :D :D
ที่แน่ๆถ้าผมสอบติดมหาลัย เจอกันที่วัดไม่พลาดแน่นอน สาธุๆๆๆ


ขออวยพรให้น้องโก้ประสบความสำเร็จสอบติดคณะที่เลือกนะครับ ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 29, 2012, 01:30:52 pm
วีดีโองานกฐินที่วัดโฆสิตารามครับ
http://socialcam.com/v/VZstLvZk (http://socialcam.com/v/VZstLvZk)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ พฤศจิกายน 29, 2012, 09:46:05 pm
วีดีโองานกฐินที่วัดโฆสิตารามครับ
http://socialcam.com/v/VZstLvZk (http://socialcam.com/v/VZstLvZk)
ขอบคุณครับพี่วีรวัฒน์ที่นำภาพงานกฐิน และเล่าเรื่องราวดีๆให้ฟังครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 30, 2012, 08:28:05 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๕๓
วันที่ ๒๕ ต.ค. – ๕ พ.ย.๒๕๓๓
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


ให้ตีอยู่ที่บ้าน

เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อ ในสมัยที่หลวงพ่อยังหนุ่ม หลวงพ่อท่านชอบเทศน์มหาชาติกัณฑ์ทานกัณฑ์มาก ภายหลังเมื่อหลวงพ่อเรียนวิปัสสนาและอาคม หลวงพ่อได้เลิกเทศน์ แต่การเทศน์มหาชาติเป็นงานบุญต้องจัดให้มีขึ้นเป็นประเพณีทุกปี เล่ากันว่าเทศน์มหาชาตินี้มีกำเนิดมาจาก พระมาลัย ซึ่งเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง สัตว์นรกเมื่อเห็นพระมาลัยมาโปรดก็ดีใจจนน้ำตาไหล สั่งถึงลูกถึงเมียให้ทำบุญอุทิศให้ตน พระมาลัยก็จำชื่อเอาไว้ ต่อจากนั้นพระมาลัยได้ไปนมัสการพระเขี้ยวแก้วบนสวรรค์ และได้พบกับพระศรีอาริย์ พระศรีอาริย์ได้ตรัสถามพระมาลัยถึงมนุษย์โลก พระมาลัยได้เรียนตอบว่ามนุษย์โลกอยากจะเกิดในศาสนาของพระองค์คือพระศรีอาริย์เพราะทราบว่าศาสนาของพระองค์จะมีแต่ความสุข นึกคิดอะไรก็จะสมความปรารถนา พระศรีอาริย์ จึงได้แนะนำพระมาลัยว่า ให้มาบอกต่อมนุษย์โลกด้วยว่า ถ้าอยากจะเกิดในศาสนาของพระองค์ให้บริจาคทานเป็นประจำ ให้ถือศีลและภาวนา และข้อสำคัญให้ฟังเทศน์มหาชาติ และให้ปฏิบัติตามแนวทางของพระเวสสันดร ข้อความเรื่องนรกและสวรรค์มีอยู่ในพระมาลัยหมื่นมาลัยแสน เป็นร้อยกรอง สามารถนำมาท่องบ่นสวดได้ นิยมสวดในงานศพ ส่วนเทศน์มหาชาติ นั้น จึงเป็นที่นิยมของชาวพุทธตลอดมาเรียกว่างานบุญพระเวส

เทศน์มหาชาตินี้แบ่งเป็น ๑๓ กัณฑ์ในต่างจังหวัดถือเป็นงานใหญ่ มีการจัดแต่งศาลา มีกล้วย อ้อย ต้นกล้วยชนิดติดลูกแก่ คือแต่งให้คล้าย ๆ เป็นป่าหิมพานต์ ทางวัดหลวงพ่อแม้หลวงพ่อจะไม่ได้เทศน์แล้ว แต่ทางวัดก็จัดให้มีประจำทุกปี คือเป็นงานใหญ่ เทศน์มหาชาตินี้มีการแหล่ พระต้องมีเสียงดังกังวาน เมื่อแหล่จบเป็นตอน ๆ จะมีการเชิด มีระนาดตี ปัจจุบันบางวัดถึงกับมีการเทศน์มหาชาติแบบทรงเครื่อง มีคนแต่งตัวแสดงให้ดูเป็นชูชก เป็นพระนางมัทรี เป็นกัณหา-ชาลี เป็นต้น

ที่บ้านแค ซึ่งเป็นหมู่บ้านของวัดหลวงพ่อ มีคณะระนาดอยู่คณะหนึ่ง เจ้าของชื่อ ฟ้อน จั่นหนู ระนาดคณะนี้เมื่อทางวัดมีเทศน์มหาชาติครั้งใด ทางวัดก็หาเอามาตีประจำ เพราะเจ้าของเป็นคนท้องที่ ราคาในการหามาบรรเลงตอนเชิด คิดราคากัณฑ์ละ ๒ บาท (เงินสมัยก่อน) ทีนี้ปีนั้นเจ้าของระนาดเกิดมีงานชุก นายฟ้อนก็ขึ้นราคาเป็นกัณฑ์ละ ๔ บาท ทีนี้ทางวัดก็ไปจองระนาดของนายฟ้อนไว้แล้ว เพราะเป็นคนกันเองในราคากัณฑ์ละ ๒ บาท พอถึงวันงานนายฟ้อนเกิดไม่มา ทางคณะกรรมการวัดได้ไปตาม นายฟ้อนบอกว่าจะขอขึ้นราคา ๔ บาท ถ้าไม่ได้ ๔ บาท ไม่มา คณะกรรมการวัดได้มาแจ้งหลวงพ่อว่า ระนาดคณะนายฟ้อนไม่มา จะขอขึ้นราคา ๔ บาท หลวงพ่อท่านคงจะหัวเสีย ทางวัดก็กำลังยุ่ง พระที่จะเทศน์มหาชาติก็มาแล้ว ท่านได้พลั้งปากออกไปว่า “เออ ! ถ้ามันจะเอาอย่างนั้น ให้มันตีอยู่ที่บ้าน) จะเป็นด้วยวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อหรือคนเขาจะรังเกียจระนาดนายฟ้อนจอมโหดก็ไม่รู้ได้ ผลปรากฏว่า อยู่ต่อมาไม่มีใครไปหาระนาดคณะนายฟ้อนอีกเลย ต้องตีอยู่ที่บ้าน ภายหลังได้เลิกราไป ถ้าท่านมาวัดท่านสามารถสอบถามถึงคณะระนาดคณะนี้ได้ เพราะในอดีตมีคณะเดียว ปัจจุบันไม่มี


จดหมายคุณสายสวรรค์ สายสุขประเสริฐ

สวัสดีค่ะคุณเฒ่า สุพรรณ

ก่อนอื่นดิฉันต้องขอโทษที่ใช้กระดาษเขียนจดหมายไม่ค่อยสุภาพ เพราะดิฉันเขียนจดหมายไม่เก่ง และไม่เคยเขียนจดหมายเลย หวังว่าคุณเฒ่าคงไม่ตำหนิดิฉันนะคะ จดหมายฉบับนี้ดิฉันได้ส่งเงิน ๕๐๐ บาท เพื่อร่วมทำบุญกับหลวงพ่อตามที่ได้บอกหลวงพ่อไว้คือ ดิฉันได้นำภาพถ่ายหลวงพ่อ(ภาพถ่ายหลวงพ่อกวยที่ขอจากคุณและคุณได้ส่งมาให้ดิฉันนั้น) ใส่กระเป๋าเสื้อลูกชาย วันนั้นแกจะไปสอบเข้าโรงเรียนใหม่และแกก็สอบเข้าได้จริง ๆ ตามที่ดิฉันได้ขอกับท่านไว้ หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ นะคะคุณเฒ่าค่ะ

และดิฉันต้องขอขอบพระคุณคุณเฒ่าที่ได้ส่งพระคาถาหลวงพ่อและเป็นลายมือของหลวงพ่อมาให้อีก อ้อ ! พระพิมพ์สรรค์อีกหนึ่งองค์ ขอบคุณคุณเฒ่าอีกครั้งนะคะ คุณเฒ่าเป็นคนใจดี ใจบุญคนหนึ่ง ขอให้หลวงพ่อกวยและหลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลายจงคุ้มครองคุณเฒ่าให้มีความสุขความเจริญตลอดไปด้วยเทอญ

คุณเฒ่ามีพระคาถาหลวงพ่อกวยบทสั้น ๆ ไหมคะ ที่หลวงพ่อสวดเป็นประจำหรือคาถาที่เวลาเราสวดแล้วระลึกถึงหลวงพ่อก็ทราบแล้วมาช่วยอะไรทำนองนี้น่ะค่ะ ถ้ามีก็ลงในหนังสือนะโมก็ได้นะคะ เพราะดิฉันชอบอ่านคอลัมน์ของคุณเฒ่าเป็นประจำ

สุดท้ายนี้ขอให้คุณเฒ่าและครอบครัวจงประสบแต่ความสุข

สวัสดีค่ะ

สายสวรรค์ สายสุขประเสริฐ



ตอบตอบคุณสายสวรรค์ เงินบุญของคุณผมได้รับแล้วครับ เรื่องที่คุณขอให้ท่านช่วยให้ลูกชายสอบเข้าได้ และสอบได้จริง ๆ ก็ดีแล้วครับ และยังได้ทำบุญมา มีเรื่องคล้าย ๆ กับเรื่องของคุณ คือลูกสาวเขาบนต่อหลวงพ่อให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ ผลคือสอบได้จริง ๆ ปรากฏว่าบนหนักใจถึงจริง ๆ บนว่าถ้าสอบได้จะเข้ามูลนิธิท่าน ๕,๐๐๐ บาท ถ้าเป็นลูกสาวผมบนแบบนี้ ถ้าไม่ค่อยมีเงินละก็โดนตีแน่เลย

เกี่ยวกับคาถาผมก็ไม่รู้ว่าหลวงพ่อท่านใช้บทไหนประจำ ที่มีหลักฐานลายมือท่านคือ คาถาบูชาพระสิวลีบทเดียว ส่วนคาถาที่ใช้สวดระลึกถึงท่านไม่มีครับ ใช้นึก ๆ เอาครับ คือสวดมนต์แล้วนั่งมองดูรูปท่าน นึก ๆ เอาก็ใช้ได้ครับ ที่ว่าใช้ได้เพราะผมใช้ประจำ เพราะสมัยที่ท่านอยู่เมื่อถามคาถากับท่าน ท่านบอกว่านึก ๆ เอาอย่างนี้

โชคดีครับ

ฒ.สุพรรณ


ตักเตือน

เล่ากันว่าคนพาลโปรดไม่ได้ พระพุทธองค์ท่านตรัสเอาไว้เกี่ยวกับการเทศน์โปรดบุคคลเอาไว้คือ ห้ามเทศน์ให้คนถือร่มฟัง ห้ามเทศน์ให้กับคนมีอาวุธอยู่ในมือ ห้ามเทศน์ให้กับคนใส่รองเท้าฟัง เพราะเขาไม่พร้อมที่จะฟัง ดีไม่ดีเขาไม่พอใจอาจจะเอากระบองในมือตีหัวพระเอาได้ แม้แต่ประเทศข้างเคียงกับประเทศเราคือ เขมร ลาว พม่า แม้จะนับถือศาสนาพุทธก็ตามถ้าคน ๆ นั้นเป็นคนพาลพระก็โปรดไม่ได้ ถ้าโปรดได้ประเทศข้างเคียงกันกับประเทศเราคงไม่ฆ่ากันเป็นใบไม้ร่วง ก็ศีลคือข้อห้ามข้อ ๑ บัญญัติไว้ว่าห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่เขาไม่ฟัง แผ่นดินเลยต้องลุกเป็นไฟ สรุปได้ว่าคอมมิวนิสต์โปรดไม่ได้

ที่หน้าวัดหลวงพ่อมีต้นสำโรงใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ใหญ่มากเป็นที่อยู่อาศัยของนกกาเป็นจำนวนมาก ในสมัยเสือ เมื่อเสือหรือโจรที่มีความเคารพหลวงพ่อเมื่อเดินผ่านวัดจะเป็นกลางวันก็ดี กลางคืนก็ดี จะต้องยิงปืนถวายหลวงพ่อเป็นการเคารพหรือคารวะเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย เขาเลยยิงใส่ต้นสำโรง ความแรงของปืนเล็กยาวและปืน ร.ศ. ปืนพระราม ภายหลังต้นสำโรงถึงกับยืนต้นตาย ทีนี้ต้นสำโรงนี้เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของนกเป็นจำนวนมาก แต่มีนกเกเรอยู่ตัวหนึ่งเป็นนกเหยี่ยวชอบรังแกนกอื่นอยู่เสมอ รวมทั้งชอบโฉบลูกไก่แจ้ในวัดเป็นประจำ เป็นที่หวาดกลัวของนกและแม่ไก่ในวัดมาก หลวงพ่อท่านรู้เข้าท่านพยายามแผ่เมตตาไปที่นกเหยี่ยวหลายครั้งไม่ได้ผล ถ้าหลวงพ่ออยู่เหยี่ยวตัวนี้ก็เกรงใจดี ถ้าหลวงพ่อไม่อยู่มันจะแอบมาโฉบลูกไก่เอาไปกินเป็นประจำ

วันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังสักยันต์ให้ศิษย์อยู่พอดี นกเหยี่ยวตัวนี้ได้โฉบเอาลูกเจี๊ยบหรือลูกไก่เอาไปกิน เมื่อได้ลูกไก่เอาไปแล้วก็บินขึ้นยอดต้นสำโรงหลวงพ่อท่านคงจะเห็นว่าเหยี่ยวตัวนี้ทำเกินไปแล้วเพราะหลายครั้งมาแล้วท่านได้พูว่า “เอาซะทีเถอะไอ้นี่ พูดไม่รู้เรื่อง หลายทีแล้ว” แล้วท่านก็เข้าไปในกุฏิหยิบคันกระสุน คันกระสุนนี่คล้ายธนู แต่ใช้ลูกกระสุนดินยิง ยิงได้ไวกว่าธนูมาก ไกลกว่ามากแต่ยิงคนไม่ตายเหมือนธนู ท่านได้ว่าคาถาเปิดหน้าต่างกุฏิออกไป ยิงไปที่ยอดต้นสำโรงท่านยิงด้วยกระสุนคดเพราะต้นสำโรงสูงมาก สูงขนาดมองไม่เห็นตัวนก สูงขนาดเด็ก ๆ ยิงด้วยยางง่ามหรือหนังสติ๊กไม่ถึงยอด ท่านว่าคาถาแล้วยิงออกไป นกเหยี่ยวซึ่งอยู่ถึงยอดต้นสำโรงร่วงลงมาเป็นว่าวขาดป่าน แล้วท่านก็บอกให้ลูกศิษย์ไปจับเอามา แปลกมากนกเหยี่ยวไม่ตาย หลวงพ่อได้ใส่กรงขังเอาไว้ ได้เอาน้ำมนต์รักษาอาการช้ำในให้ ได้แผ่เมตตาจิตสั่งสอนในระยะใกล้จนกระทั่งนกเหยี่ยวยอมกินผลไม้เป็นอาหาร หลวงพ่อได้ใส่กรงขังเอาไว้ประมาณ ๑ เดือน แล้วท่านก็ปล่อยมันไป หลังจากนั้นไม่ปรากฏว่ามีนกเหยี่ยวมาโฉบเอาลูกเจี๊ยบหรือลูกไก่ในวัดอีกเลย แต่วันดีคืนดีเขาหิว เขาก็จะมาหาหลวงพ่อมาขอผลไม้ที่กุฏิหลวงพ่ออยู่เสมอ เรื่องนี้แสดงถึงพลังจิตของหลวงพ่อ เรื่องนี้เกิดขึ้นขณะที่หลวงพ่อสักให้ศิษย์ คือ นายชิต นายหมอน นายแอ๊ด นายเอียง คนจังหวัดราชสีมา พระโชน วัดหัวเด่นพามา ปัจจุบันนายเอียงตายแล้ว โดนยิงหลายครั้งไม่ออก เมาเข้าไปร้องท้าด่าแม่เขาให้มายิงกันตัวต่อตัว เขายิงสวนมานัดเดียวตายเลย ส่วนนายชิต นายแอ๊ด นายหมอนนี่ สักกันไปใหม่ ๆ หนังยังไม่ทันลอกเลย ไปโดนยิงติด ๆ ห่างไม่ถึงนิ้ว โอกาสหน้าจะเล่าให้ฟัง

จดหมายคุณกวีวงศ์ ตัณฑโกศัย

๘๓ ซอยอ่อนนุช ๒ พระโขนง กทม.๑๐๒๕๐


สวัสดีครับคุณสมจิตต์ ที่นับถือ

ผมจะเล่าประสบการณ์ให้คุณฟังครับ เมื่อสิ้นเดือนมกราคม ๒๕๓๓ นี้ผมรับเงินเดือนมาแล้วมีความจำเป็นต้องทำธุระบางอย่าง เงินไม่มีเหลือเลย ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร นึกขึ้นมาได้ตามที่เคยอ่านในหนังสือนะโม เพราะอ่านมาหลายปีแล้ว ประกอบกับมีรูปหล่อรุ่น ๒ ของหลวงพ่อกวยอยู่ ๑ องค์ (ไปบูชามาจากศูนย์พระเครื่องสะพานควายเมื่อปลายปี ๓๑) เลยเอาขึ้นมาอาราธนาขอบารมีหลวงพ่อและเอารูปหล่อท่านปิดหน้าผาก ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์แก้ขัดสนสักที และพอดีงวดวันที่ ๑ ก.พ.๒๕๓๓ ผมได้ซื้อเลขใต้ดินตามที่พวกที่ทำงานเขาบอกไว้ เลข ๙๔๖ ผมซื้อไว้ ๑๐ บาท พอล็อตเตอรี่ออกปรากฏว่าเลขท้ายรางวัลที่ ๑ ก.พ.๒๕๓๓ ออก ๙๔๖ ผมถูกได้เงินมาพอใช้(๕,๐๐๐ บาท) ผมจึงได้ส่งเงินมาร่วมทำบุญกับมูลนิธิดังกล่าวนี้แหละครับ โอกาสหน้าผมจะขอส่งมาร่วมสมทบอีก นี่เพราะบารมีหลวงปู่ช่วยผม

สุดท้ายนี้ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย บารมีหลวงพ่อเดิมและบารมีหลวงพ่อกวย ขอให้ดลบันดาลให้คุณประสบแต่ความสุขครับ

ด้วยความเคารพ

กวีวงศ์ ตัณฑโกศัย


ผู้มีเทพคุ้มครอง

เล่ากันว่าพระที่สร้างมีดหมอได้ขลังต้องมาจากเทพ คือเป็นเทพหรือพรหมมาจุติหรือมาเกิด จึงจะสร้างมีดหมอได้ขลัง คือเป็นผู้สืบเชื้อสาย จะสังเกตได้ว่าพระในสายของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ท่านไม่รังเกียจเทพ หลวงพ่อเดิมท่านเคยสร้างพระปิดตางาแกะด้านหนึ่งเป็นพระปิดตา ด้านหนึ่งเป็นนางกวัก หลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว เคยสร้างเหรียญรูปหัวใจ ด้านหนึ่งเป็นรูปท่าน ด้านหนึ่งเป็นรูปนางกวัก หลวงพ่อกวยท่านเคยสร้างพระปรกโพธิ์ ๙ ใบ ด้านหลังเป็นรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม หลวงพ่อเคยสร้างรูปแม่นางกวักชนิดบูชา  เคยสร้างรูปปั้นชนิดเล็กของแม่โพสพไว้เฝ้ายุ้งข้าว เคยสร้างรูปพญาครุฑชนิดบูชาไว้ป้องกันพวกนาคีหรือผีงู

 พระพุทธพิมพ์รุ่นแรกของท่านใครเห็นต้องตกใจทุกคน เพราะแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจากฝีมือของคน ท่านใช้ปลายมีดแกะสลักพระพุทธพิมพ์รูปพระฤษีอาจารย์ของท่าน แกะรูปพระนารายณ์ทรงนาค มือถือธนู ถือจักร ถือพระขรรค์ และถือสังข์ แกะรูปแม่พระธรณี แกะรูปตัวท่าน แม้แต่ตำรายันต์ยังผูกพันกับเทพ และพรหม การไหว้ครูตำราท่าน ท่านจะระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ พระพรหม พระฤษี เทพทุกชั้นฟ้าทุกวิมาน ท่านเคยเล่าว่า ตอนที่ท่านไปจำวัดที่หนองอีดุก ในงานฝังลูกนิมิต ท่านไม่ได้หลับไม่ได้นอน มีผีเปรต อสุรกาย มาขอส่วนบุญเต็มไปหมด นอกนั้น เป็นเทพ เทวดา มากราบท่านเต็มไปหมดมาทุกชั้นฟ้า เรื่องนี้ท่านเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังเท่านั้น

ทีนี้ท่านใช้ตำรายันต์ของเทพ ของพรหม ของพระฤษี หลวงพ่อก็เคารพเขา ถือว่าเขาเป็นผู้มีวิชา เขาก็เคารพท่าน เพราะเห็นว่าท่านไม่ดูถูกไม่ดูหมิ่นไม่รังเกียจพวกเขา เขาเลยมาคุ้มครองดูแลท่าน เรื่องที่ท่านมีเทวดารักษานี้ มีหลักฐานพยานอ้างอิง สมควรบันทึกเอาไว้ดังนี้

ที่วัดหลวงพ่อมีต้นมะม่วงอยู่หลายต้น เวลาสุกก็จะค่อย ๆ ร่วงหล่นลงมา มีต้นมะม่วงอยู่ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ริมทางเดิน ปีนั้นนายเฉลียว เดชมา คนบ้านแค ได้มาบวชอยู่กับท่าน วันหนึ่งหลวงพ่อได้ลงไปด้านล่าง ได้เดินผ่านต้นมะม่วงได้เดินไปใต้กก จะเป็นเคราะห์หรือกรรมไม่แน่ชัด ลูกมะม่วงสุกเกิดหล่นลงมาโดนศีรษะ หรือโดนหัวท่านพอดี หลวงพ่อก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไร ท่านหัวร่อหึหึ ในลำคอ แล้วพูดว่า “เดี๋ยวเขาก็เอามึงซะตายหรอก” ท่านจะพูดกับต้นไม้หรือพูดกับรุกขเทวดารักษาต้นมะม่วงผมก็ไม่รู้ และคำว่าเขานั้นจะหมายถึงเทวดาที่ดูแลท่านหรือเปล่าผมก็ไม่รู้เช่นกัน อยู่ต่อมาในวันรุ่งขึ้นต้นมะม่วงต้นนั้น ใบเหี่ยวหมดทั้งต้น ยืนต้นตายพรายเลย ตายขณะติดลูกอยู่ ซึ่งผิดธรรมชาติ

เรื่องเกี่ยวกับเทวดารักษานี้ ในปีที่พระเฉลียว เดชมา บวชอยู่มีพระองค์หนึ่งชื่อช่วง จะเป็นด้วยความซนหรือจะแอบลักเรียนวิชา จากท่านไม่แน่ชัดได้ไปแอบเปิดตำราสมุดข่อยของท่านดูอยู่ ๆ ก็เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ชักดิ้นชักงอปางตายเลย ต้องหามเอามาให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้ จึงหาย

แม้แต่วัตถุมงคลของท่าน จะเป็นของแท้และยังไม่เสื่อม จะมีเทวดารักษาหรือเทพคุ้มครอง เอาไว้ใต้หมอนสามารถปลุกเรียกเตือนภัยได้ ถ้าไม่เชื่อให้นำวัตถุมงคลท่านเช่นมีด ตะกรุด รูปบูชา รูปหล่อ คนที่มีจิตกล้าแข็งจะนอนหลับแต่จะมีเคราะห์ตามมา ฉะนั้นใครที่มีวัตถุมงคลของหลวงพ่อขอให้เก็บรักษาให้ดี บูชาและบอกเล่าให้ดีเถิดจะเจริญรุ่งเรือง
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ พฤศจิกายน 30, 2012, 06:53:25 pm
เล่มนี้ที่พี่เล่าเพิ่งนำมาอ่านเมื่อเช้านี้เองครับใจตรงกับพี่เลยละ ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ พฤศจิกายน 30, 2012, 10:02:23 pm
:D :D :D :D :D
ที่แน่ๆถ้าผมสอบติดมหาลัย เจอกันที่วัดไม่พลาดแน่นอน สาธุๆๆๆ


ขออวยพรให้น้องโก้ประสบความสำเร็จสอบติดคณะที่เลือกนะครับ ;D ;D ;D
;D ;D ;D ;D ;D
วันนี้ 30 พ.ย. 55 สำเร็จดังใจแล้วครับ ผมสอบติดมหาลัยได้แล้ว เตรียมตัวไปกร่บหลวงพ่อกวยที่วัดโฆสิตารามได้เลย
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 03, 2012, 08:34:15 am
เล่มนี้ที่พี่เล่าเพิ่งนำมาอ่านเมื่อเช้านี้เองครับใจตรงกับพี่เลยละ ;D ;D ;D

อ้าว งั้นผมก้อเล่าซ้ำน่ะสิ อิอิ ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 03, 2012, 08:36:51 am
:D :D :D :D :D
ที่แน่ๆถ้าผมสอบติดมหาลัย เจอกันที่วัดไม่พลาดแน่นอน สาธุๆๆๆ


ขออวยพรให้น้องโก้ประสบความสำเร็จสอบติดคณะที่เลือกนะครับ ;D ;D ;D
;D ;D ;D ;D ;D
วันนี้ 30 พ.ย. 55 สำเร็จดังใจแล้วครับ ผมสอบติดมหาลัยได้แล้ว เตรียมตัวไปกร่บหลวงพ่อกวยที่วัดโฆสิตารามได้เลย


สุดยอด สุดยอด สุดยอด เก่งจังเลยครับ :o :o :o :o
ยินดีกับน้องโก้ด้วยนะครับ แล้วจะบวชให้หลวงพ่อปีนี้ ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยเลยหรือเปล่าครับน้องโก้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 03, 2012, 01:59:38 pm
ยอดกฐิน วัดโฆสิตาราม เมื่อวันที่ ๒๕ พ.ย.๒๕๕๕ ได้ยอดรวมทั้งสิ้น 1,115,217.-บาท
ยอดจองกฐินทั้งหมด จำนวน ๒๒๖ กอง
ขออนุโมทนาสาธุกับทุก ๆ ท่านด้วยครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 04, 2012, 11:40:07 am
เกือบไปแล้ว รอดหวุดหวิด

เมื่อวานนี้ตอนหัวค่ำ พาภรรยาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ ไปตลาดเพื่อหาซื้อของ หลังจากเสร็จธุระประมาณ ๑๘.๓๐ น.เศษ ๆ ก็ขี่รถกลับบ้าน ขณะไปถึงทางแยกทางที่จะกลับบ้าน นั้น หากเลี้ยวซ้ายก็จะเป็นทูเวย์ เลี้ยวขวาจะเป็นทางวันเวย์ ซึ่งทางเทศบาลได้กำหนดเส้นทางเดินรถเอาไว้เช่นนั้น ทางกลับบ้านปกติคือเลี้ยวขวา พอเลี้ยวไปได้ประมาณ ๒๐ เมตรความเร็วไม่มากนักคือประมาณ ๓๐ เห็นจะได้ขี่ไปคุยกันไป ปรากฎว่าจู่ ๆ ก็มีรถวิ่งย้อนศรสวนมาค่อนข้างเร็วมาก น่าจะเป็นหญิงวัยรุ่น พรวดเดียวก็ถึงรถผมเลย ความจริงถนนสองเลนก็จริงแต่สองข้างทางล้วนมีรถจอดเต็มสองข้างทางทำให้พื้นที่ถนนแคบลงไปถนัดตา ผมเองก็ตกหักหลบไปทางซ้ายแต่ก็ไม่พ้นครับรถมอเตอร์ไซค์ของเขามาเฉี่ยวกระจกด้านขวาของรถมอเตอร์ไซค์ของผม ดีที่รถผมวิ่งไม่เร็วมากจึงฝืนและทรงตัวเอาไว้ได้ไม่ล้ม ส่วนของเขามาเร็วมากผลคือล้มไม่เป็นท่า ผมกับภรรยาไม่เป็นอะไรเลยผมมีลอยถลอกนิดหน่อย กับเคล็ดขัดยอกน่าจะเกิดจากแรงปะทะซึ่งผมเองได้ฝืนรถเอาไว้เพื่อให้ทรงตัวได้ไม่ล้ม ผมเองฝืนรถไปได้สักระยะและจอดรถมาดูเห็นเขาลุกขึ้นมาประคองรถและมองมาด้วยสายตาที่จะกินเลือดกินเนื้อคิดว่าหากจอดรถและย้อนกลับไปดูก็คงจะเรื่องมากประเมินว่าไม่น่าจะมีอะไรมากก็เลยขี่รถกลับบ้านเลย ยังนึกเสียว ๆ อยู่เหมือนกันว่าหากปะทะบวกกันจัง ๆ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป จากการที่ผมและภรรยารอดไปหวุดหวิดในครั้งนี้ผมไม่สงสัยเลยครับว่า หลวงพ่อกวย ท่านปกป้องคุ้มครองผมทั้งสองอย่างแน่นอน ผมเองคล้องสมเด็จขาวหลังรูปถ่ายองค์ที่เคยลงให้ดูน่ะครับ ส่วนแฟนผมก็คล้องรูปถ่ายหลังจีวรรุ่นย้อนยุค แค่นี้เองครับ

นับถือหลวงพ่อที่สุดเลยครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ ธันวาคม 05, 2012, 10:15:52 pm
เกือบไปแล้ว รอดหวุดหวิด

เมื่อวานนี้ตอนหัวค่ำ พาภรรยาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ ไปตลาดเพื่อหาซื้อของ หลังจากเสร็จธุระประมาณ ๑๘.๓๐ น.เศษ ๆ ก็ขี่รถกลับบ้าน ขณะไปถึงทางแยกทางที่จะกลับบ้าน นั้น หากเลี้ยวซ้ายก็จะเป็นทูเวย์ เลี้ยวขวาจะเป็นทางวันเวย์ ซึ่งทางเทศบาลได้กำหนดเส้นทางเดินรถเอาไว้เช่นนั้น ทางกลับบ้านปกติคือเลี้ยวขวา พอเลี้ยวไปได้ประมาณ ๒๐ เมตรความเร็วไม่มากนักคือประมาณ ๓๐ เห็นจะได้ขี่ไปคุยกันไป ปรากฎว่าจู่ ๆ ก็มีรถวิ่งย้อนศรสวนมาค่อนข้างเร็วมาก น่าจะเป็นหญิงวัยรุ่น พรวดเดียวก็ถึงรถผมเลย ความจริงถนนสองเลนก็จริงแต่สองข้างทางล้วนมีรถจอดเต็มสองข้างทางทำให้พื้นที่ถนนแคบลงไปถนัดตา ผมเองก็ตกหักหลบไปทางซ้ายแต่ก็ไม่พ้นครับรถมอเตอร์ไซค์ของเขามาเฉี่ยวกระจกด้านขวาของรถมอเตอร์ไซค์ของผม ดีที่รถผมวิ่งไม่เร็วมากจึงฝืนและทรงตัวเอาไว้ได้ไม่ล้ม ส่วนของเขามาเร็วมากผลคือล้มไม่เป็นท่า ผมกับภรรยาไม่เป็นอะไรเลยผมมีลอยถลอกนิดหน่อย กับเคล็ดขัดยอกน่าจะเกิดจากแรงปะทะซึ่งผมเองได้ฝืนรถเอาไว้เพื่อให้ทรงตัวได้ไม่ล้ม ผมเองฝืนรถไปได้สักระยะและจอดรถมาดูเห็นเขาลุกขึ้นมาประคองรถและมองมาด้วยสายตาที่จะกินเลือดกินเนื้อคิดว่าหากจอดรถและย้อนกลับไปดูก็คงจะเรื่องมากประเมินว่าไม่น่าจะมีอะไรมากก็เลยขี่รถกลับบ้านเลย ยังนึกเสียว ๆ อยู่เหมือนกันว่าหากปะทะบวกกันจัง ๆ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป จากการที่ผมและภรรยารอดไปหวุดหวิดในครั้งนี้ผมไม่สงสัยเลยครับว่า หลวงพ่อกวย ท่านปกป้องคุ้มครองผมทั้งสองอย่างแน่นอน ผมเองคล้องสมเด็จขาวหลังรูปถ่ายองค์ที่เคยลงให้ดูน่ะครับ ส่วนแฟนผมก็คล้องรูปถ่ายหลังจีวรรุ่นย้อนยุค แค่นี้เองครับ

นับถือหลวงพ่อที่สุดเลยครับ
บารมีหลวงพ่อกวยคุ้มครองครับพี่วีรวัฒน์
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 06, 2012, 08:09:47 am
เกือบไปแล้ว รอดหวุดหวิด

เมื่อวานนี้ตอนหัวค่ำ พาภรรยาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ ไปตลาดเพื่อหาซื้อของ หลังจากเสร็จธุระประมาณ ๑๘.๓๐ น.เศษ ๆ ก็ขี่รถกลับบ้าน ขณะไปถึงทางแยกทางที่จะกลับบ้าน นั้น หากเลี้ยวซ้ายก็จะเป็นทูเวย์ เลี้ยวขวาจะเป็นทางวันเวย์ ซึ่งทางเทศบาลได้กำหนดเส้นทางเดินรถเอาไว้เช่นนั้น ทางกลับบ้านปกติคือเลี้ยวขวา พอเลี้ยวไปได้ประมาณ ๒๐ เมตรความเร็วไม่มากนักคือประมาณ ๓๐ เห็นจะได้ขี่ไปคุยกันไป ปรากฎว่าจู่ ๆ ก็มีรถวิ่งย้อนศรสวนมาค่อนข้างเร็วมาก น่าจะเป็นหญิงวัยรุ่น พรวดเดียวก็ถึงรถผมเลย ความจริงถนนสองเลนก็จริงแต่สองข้างทางล้วนมีรถจอดเต็มสองข้างทางทำให้พื้นที่ถนนแคบลงไปถนัดตา ผมเองก็ตกใจหักหลบไปทางซ้ายแต่ก็ไม่พ้นครับรถมอเตอร์ไซค์ของเขามาเฉี่ยวกระจกด้านขวาของรถมอเตอร์ไซค์ของผม ดีที่รถผมวิ่งไม่เร็วมากจึงฝืนและทรงตัวเอาไว้ได้ไม่ล้ม ส่วนของเขามาเร็วมากผลคือล้มไม่เป็นท่า ผมกับภรรยาไม่เป็นอะไรเลยผมมีลอยถลอกนิดหน่อย กับเคล็ดขัดยอกน่าจะเกิดจากแรงปะทะซึ่งผมเองได้ฝืนรถเอาไว้เพื่อให้ทรงตัวได้ไม่ล้ม ผมเองฝืนรถไปได้สักระยะและจอดรถมาดูเห็นเขาลุกขึ้นมาประคองรถและมองมาด้วยสายตาที่จะกินเลือดกินเนื้อคิดว่าหากจอดรถและย้อนกลับไปดูก็คงจะเรื่องมากประเมินว่าไม่น่าจะมีอะไรมากก็เลยขี่รถกลับบ้านเลย ยังนึกเสียว ๆ อยู่เหมือนกันว่าหากปะทะบวกกันจัง ๆ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป จากการที่ผมและภรรยารอดไปหวุดหวิดในครั้งนี้ผมไม่สงสัยเลยครับว่า หลวงพ่อกวย ท่านปกป้องคุ้มครองผมทั้งสองอย่างแน่นอน ผมเองคล้องสมเด็จขาวหลังรูปถ่ายองค์ที่เคยลงให้ดูน่ะครับ ส่วนแฟนผมก็คล้องรูปถ่ายหลังจีวรรุ่นย้อนยุค แค่นี้เองครับ

นับถือหลวงพ่อที่สุดเลยครับ
บารมีหลวงพ่อกวยคุ้มครองครับพี่วีระวัฒน์
ความจริงแล้วก็ไม่อยากเล่าให้ฟังหรอกนะครับ แต่บารมีของหลวงพ่อยิ่งใหญ่นักผมต้องเล่าครับ ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 06, 2012, 08:13:28 am
ล่าสุดคือตอนที่ 253 ก็จะขอข้ามไปตอนที่ 263 เลยนะครับ เพราะว่า ผมขาดไป แปดตอนติดต่อกันนับว่าเสียดายมาก ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าทำไมตอนที่ 254 255 256 257 258 259 260 261 จึงพลาดขาดหายไป หากท่านใดมีตอนเหล่านี้ ลองนำมาแชร์กันหน่อยนะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 06, 2012, 08:34:28 am
ล่าสุดคือตอนที่ 253 ก็จะขอข้ามไปตอนที่ 263 เลยนะครับ เพราะว่า ผมขาดไป แปดตอนติดต่อกันนับว่าเสียดายมาก ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าทำไมตอนที่ 254 255 256 257 258 259 260 261 262 จึงพลาดขาดหายไป หากท่านใดมีตอนเหล่านี้ ลองนำมาแชร์กันหน่อยนะครับ

พรุ่งนี้ผมจะลงตอนที่ 263 นะครับ หากท่านใดมีตอนที่ขาดหายไปขอความกรุณามาลงได้นะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 07, 2012, 11:47:13 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๖๒
วันที่ ๒๕ ม.ค. – ๕ ก.พ.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา




พระรอด

กำเนิดพระรอดนี้ มีกำเนิดที่เมืองลำพูน เขาว่าสร้างสมัยพระนางจามเทวี ในสมัยที่ปกครองเมืองลำพูน เขาว่าสร้างโดยพระฤษี ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่พระฤษีสร้างพระ แม้แต่พระซุ้มกอ พระผงสุพรรณ เขาก็ว่าพระฤษีสร้างเช่นกัน เขาว่ามีหลักฐานในแผ่นลานเงินลานทอง ผมเองก็ไม่เคยเห็นสักที ถึงเห็นก็อ่านไม่ออก เขาว่าพระฤษีที่สร้างคือ พระฤษีนารอท พระฤษีนารอทนี้เป็นนิกายของฤษี ไม่ใช่ชื่อ เช่น ฤษีนารอท ฤษีนารายณ์ ฤษีตาวัว ฤษีตาไฟ เป็นต้น ภายหลังมีการเรียกตัดทอนลงมา จากพระฤษีนารอทเป็นพระรอด ซึ่งมีความหมายใหม่ แปลว่า แคล้วคลาด และประกอบกับพระรอดเดิมและของใหม่ที่สร้างขึ้น พระนี้มีผลทางแคล้วคลาด สาเหตุที่เป็นเช่นนี้อาจมีสาเหตุจากพระเมืองเหนือ นิยมปลุกเสกทางแคล้วคลาดอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเมื่อสร้างพระรอดออกมากความหมายคือ แคล้วคลาดปลอดภัย พระอาจารย์ที่ปลุกเสกจึงเน้นทางแคล้วคลาดปลอดภัย ให้สมกับชื่ออันเป็นมงคลนามของท่าน

พระรอดของเก่าปัจจุบันมีราคาแพงเป็นแสน พระอาจารย์รุ่นหลังจึงสร้างขึ้นมาใหม่ เน้นหนักทางแคล้วคลาดเช่นกัน บางคนเข้าใจผิดไม่พกพาพระรอดเอาไปค้าขาย โดยเข้าใจว่าทำให้แคล้วคลาดจากลูกค้า ซึ่งไม่เป็นความจริง พระนี้แม้การปลุกเสกจะเน้นทางแคล้วคลาดก็จริง แต่ทางโชคลาภและเมตตาก็มีคล้ายพระเครื่องทั่ว ๆ ไป

หลวงพ่อก็สร้างพระรอดไว้เช่นกัน มีทั้งชนิดเนื้อดินและเนื้อผงแต่สร้างจำนวนน้อย แจกให้เฉพาะผู้จำเป็น เป็นราย ๆ ไป โดยท่านเน้นหนักในความหมายของแคล้วคลาดอย่างชัดแจ้ง พิมพ์ทรงเท่าที่พบมีพิมพ์ใหญ่เนื้อดิน พิมพ์ใหญ่เนื้อผงใบลาน พิมพ์กลางเนื้อดิน พิมพ์เล็กเนื้อดิน ส่วนพิมพ์จิ๋วนั้นหลวงพ่อไม่ได้ทำเอง สั่งให้ช่างทำมาให้ ออกในงานฝังลูกนิมิต ส่วนพิมพ์ใหญ่-กลาง-เล็ก ไม่เคยนำออกจำหน่าย หลวงพ่อให้เป็นรายบุคคลไป

ต่อไปเป็นอภินิหารของพระรอดของหลวงพ่อ ซึ่งควรบันทึกเอาไว้ นายบุญชู จิตฉ่ำ เป็นคนทางแม่น้ำน้อย  แต่มาได้ภรรยาอยู่ที่เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี เป็นศิษย์รุ่นเก่าของหลวงพ่อ มีนิสัยและอาชีพชอบกลอยู่ สมัยหนุ่ม ๆ เกเร หลวงพ่อเป็นห่วงกลัวจะตาย เพราะโดนเขาไล่ยิงมา หลวงพ่อได้ให้พระรอดมาบูชาติดตัว เป็นเรื่องแปลกคือ แกไปกราบหลวงพ่อครั้งใด หลวงพ่อกลับหยิบพระรอดให้แกทุกครั้งไป แกจึงมีพระรอดของหลวงพ่อ ๓-๔ องค์ แกเคยไปลักควายเขา โดนเจ้าทรัพย์ดักยิงที่ปากทาง เดือนมืด ๆ ระยะห่าง ๑ ศอกได้ ผลคือยิงแกไม่ถูก ๆ แต่เสื้อผ้า ซึ่งแปลกมาก เพราะปืนลูกซองยิงในระยะประชิดจำนวน ๙ เม็ด น่าจะถูกตัวบ้างแต่ไม่ถูกเลย อีกครั้งหนึ่งแกโดนเจ้าทรัพย์ล้อมดักยิง กะฆ่าให้ตาย ปืนลูกซองยาวประมาณ ๖-๗ กระบอก ยิงแกทุกทิศทุกทางไม่ถูกเลย ลูกปืนเป็นร้อย ๆ เม็ดไม่ถูกเลย ถูกแต่เสื้อผ้า แกมั่นใจพระรอดของแกมาก ถ้าใครถามถึงพระรอดของแก ๆ จะเล่าให้ฟัง แต่จะไม่ยอมให้ใครดูอย่างเด็ดขาด แกบอกแต่ก่อนมี ๓-๔ องค์ เดี๋ยวนี้เหลือองค์เดียว เมื่อถามถึงสาเหตุ แกเล่าว่าเอาไปให้หลาน ๆ และคนรู้จักกันพกติดตัว เช่น อมไว้ในปาก หรือใช้มือจับ เวลาไปคัดเลือกทหาร จับใบดำใบแดง ผลคือพระรอดของแกเคยช่วยคนไม่ให้ถูกทหารถึง ๑๐ กว่าคน แต่ในจำนวน ๑๐ กว่าคนนี้ ภายหลังไม่ยอมคืนพระให้แก คือเอาไปเลย แกเลยไม่ยอมให้ใครยืมอีกเลย แม้ให้ดูก็ไม่ยอมหยิบให้ดู

พระรอดของหลวงพ่อนี้ เป็นของที่หลวงพ่อให้เฉพาะบุคคล จึงมีไม่มาก ใครมีจะหวงแหนทุกคน ถ้าท่านจะเช่าหาขอให้ระวังการแอบอ้างด้วย เกี่ยวกับพระรอดนี้ในปี พ.ศ.๒๕๓๒ มีพระองค์หนึ่งชื่อ สถาพร ช่างสมบูรณ์ ได้มาบวชเพราะเคารพในตัวหลวงพ่อ ได้จำพรรษาที่สำนักสงฆ์เขาเขียวพนาราม มีความสนใจในวิชาไสยศาสตร์ ชอบพอกันกับผม ผมจึงได้ขอร้องให้ท่านทำพระรอดให้ผมสัก ๙๙๙ องค์ ผมตั้งใจจะให้หลวงปู่หล้า ตาทิพย์ วัดป่าตึง ปลุกเสกให้ หลวงปู่หล้าองค์นี้ผมมีความเคารพท่าน และท่านเก่งจริง ผมเกรงว่าท่านจะมรณภาพเสียก่อน ผมเสียดายอาคมและจิตอันมหัศจรรย์ของท่าน ผมเลยนำผงวิเศษสีขาวของหลวงพ่อกวย ผงนี้นอกจากผมแล้วจะมีอยู่ที่ศิษย์ของหลวงพ่อเพียงอีกคนเดียวเท่านั้น นอกนั้นผมเชื่อว่าไม่มี และผมได้นำเกศาของหลวงปู่และหลวงพ่อจำนวนมาก เป็นกระป๋องเลย ประมาณ ๕๐ หลวงปู่ นำไปให้ท่านสร้างโดยผงนั้น ไม่ได้ผสมผงอื่นใดอีก เป็นผงล้วน ๆ ทั้งสิ้น ส่วนเกศานั้นเป็นเกศาของหลวงพ่อหลวงปู่ที่ดีเยี่ยม เช่น เกศาหลวงปู่แหวน เกศาหลวงปู่ชอบ เกศาหลวงปู่สาม เกศาครูบาธรรมชัย เกศาหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ เกศาหลวงปู่บุดดา เกศาครูบาพรหมา วัดพระบาทตากผ้า เกศาหลวงพ่อกัสสปะมุณี ฯลฯ เพียงแค่เกศาของหลวงปู่แหวน กับเกศาของครูบาพรหมา ๒ องค์นี้ผมว่าก็เกินพอแล้ว

เรื่องเกศานี้ไม่ใช่พูดเล่น แม้จดหมายลายมือของหลวงพ่อหลวงปู่ที่เขียนมอบให้มาผมก็ยังเก็บรักษาอยู่ กราบไหว้ด้วยความเคารพอยู่เสมอ พระสถาพรได้ใช้ผงวิเศษของหลวงพ่อผสมกับเกศาทำพระรอดขึ้นมา ช่างแบน ช่างทำฟันตลาดท่าช้าง ได้ทำพิมพ์ให้เป็นปูนปาสเตอร์ ก่อนพิมพ์พระได้จุดธูปบอกต่อหลวงพ่อกวยขออนุญาตสร้างพระรอดจำนวน ๙๙๙ องค์ แต่เมื่อเริ่มพิมพ์พระผมได้ไปเยี่ยมท่าน ผลคือพระรอดนี้ไม่ได้ใช้แม่พิมพ์ทองเหลือง จึงทำให้เนื้อพระหดฝ่อ ไม่ติดหน้าติดตา คือไม่สวยเลย ผมได้พูดว่าพระไม่สวย อาจารย์ก็ว่าไม่สวย แต่พอพิมพ์พระไปได้ ๙๙๙ องค์ แม่พิมพ์ได้แตกโดยอัศจรรย์ พระนี้ได้ปลุกเสกมาหลายพิธี แต่ไม่พอใจเลย อยากให้หลวงปู่หล้าปลุกเสกให้ จนกระทั่งพระสถาพรไปจำพรรษาที่วัดกู่เต้า อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จึงได้ส่งพระไปให้ท่านนำไปให้หลวงปู่หล้าปลุกเสกให้ ท่านได้ให้หลวงปู่หล้าปลุกเสกถึง ๓ พิธี ๓ ครั้ง เมื่อนำไปให้หลวงปู่องค์อื่นปลุกเสก ท่านหลวงปู่บางองค์ถึงกับพูดว่าพระนี้ดีแล้วนี่ไม่ต้องปลุกเสกอีก พระรอดชุดนี้ชื่อว่า“พระรอดหลวงปู่หล้าตาทิพย์ วัดป่าตึง รุ่นใช้ผงหลวงพ่อกวยสร้าง”

พระนี้ผมผู้สร้างมีเจตนาบริสุทธิ์ ไม่ได้ทำการซื้อขาย ทำขึ้นเพราะเสียดายในอาคมและจิตของหลวงปู่หล้า เพียงองค์เดียว ใครที่อยากได้ไว้บูชา เขียนจดหมายมาขอผมได้เลย แต่ให้ช่วยค่าส่งผมมาด้วย เพราะพระส่งยากต้องใส่กล่องพัสดุ และต้องลงทะเบียน กล่องละ ๕ บาท ลงทะเบียน ๗ บาท ส่วนใครที่ทำบุญมาเป็นผ้าป่าสมทบถวายหลวงพ่อกวย และต้องการได้พระนี้ไว้บูชา ให้แยกค่าส่งมาต่างหาก คือเพิ่มค่าส่งมาด้วย ผมจะได้ไม่ต้องเอาเงินทำบุญของท่านมาเป็นค่าส่ง คือพระนี้ขอฟรีก็ได้ ทำบุญมาก็ได้เช่นกัน ผมหวังเพียงว่าเมื่อท่านได้รับพระนี้ไว้บูชา เมื่อท่านแคล้วคลาด ปลอดภัย มีโชคลาภ จิตใจของท่านจะได้น้อมนำสู่บุญกุศล เชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ จะได้เป็นกำลังต่อพระพุทธศาสนาต่อไป ก็ขอจบเรื่องพระรอดแต่เพียงนี้

 หมายเหตุ ท่านที่ส่งจดหมายมาที่ผม ส่งมาที่ เฒ่า สุพรรณ วัดท่าทอง ต.ปากน้ำ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี กรุณาอย่าส่งไปที่นะโม เพราะจะเป็นภาระต่อทางนะโม ต้องลำบากส่งจดหมายมาที่ผม ทำให้ล่าช้าด้วย ขอขอบคุณทุกท่านที่ทำบุญมา ขอย้ำอีกครั้งผ้าป่าอุทิศจะทอดวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๓๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. ทุกปี


จดหมายจากเชียงใหม่
วัดกู่เต้า ต.ศรีภูมิเขต ๓ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ๕๐๐๐๐
๒๖ ธันวาคม ๒๕๓๓


อาจารย์สมจิตต์ที่นับถือ

พระรอดที่ส่งไปได้ให้หลวงปู่หล้าปลุกเสกให้ ๓ ครั้ง ที่วัดท่าน ๒ ครั้ง ปลุกเสกที่วัดศรีสดา ๑ ครั้ง หลวงปู่ปลุกเสกให้ดีแล้ว พร้อมทั้งพรมน้ำมนต์ให้อีก แล้วนำไปให้หลวงปู่องค์อื่นปลุกเสกให้อีก ๕ องค์ คือ ๑.ครูบาอินทร์ วัดฟ้าหลั่ง(ท่านพูดว่าพระนี้ดีมากแล้ว ไม่ต้องปลุกเสกอีกก็ใช้ได้) ๒.ครูบามงคลคุณากร วัดหม้อคำตวง ๓.ครูบาวัดป่ากอง เชียงใหม่ ๔.ครูบาอินตา วัดห้วยไซ อ.เมือง จ.ลำพูน ๕.ครูบาผัด วัดศรีดอนมูล จ.เชียงใหม่ รูปถ่ายที่ส่งมาพระรอดวางอยู่ข้าง ๆ หลวงปู่หล้า

ฉันขอฝากพระที่วัดกู่เต้าออกให้หลวงปู่หล้าปลุกเสกมาให้เล็กน้อย รูปที่ส่งมาหลวงปู่หล้าปลุกเสกให้แล้ว

ขอเจริญพร

พระสถาพร(อ๊อด)



ตอบตอบ หลวงพี่อ๊อด ที่เคารพ พระรอดผมได้รับแล้ว รูปหลวงปู่ด้วย ขอบคุณอย่างสูง หลวงพี่ดีต่อผมมาก สร้างให้แล้วยังเป็นภาระในการปลุกเสกให้อีก บุญคุณนี้ผมขอจดจำตลอดชีวิต ผมฝากพระหลวงพ่อกวยไปให้ ๒๐ กว่าองค์ ปัจจัยเล็กน้อย อยากให้หลวงปู่หล้าปลุกเสกเหรียญทองโภคทรัพย์ซัก ๒ ถุง รบกวนอาจารย์ด้วย

เฒ่า สุพรรณ


ปล.ขอชี้แจงเรื่องเงินมูลนิธิเล็กน้อย ครั้งก่อนส่งต้นฉบับไป ๒ ครั้ง ทาง บก.เขาลงครั้งหลังให้ก่อน กลัวศิษย์จะเข้าใจสับสน เดี๋ยวบอกยอด ๘๐,๐๐๐ เดี๋ยว ๗๐,๐๐๐ ตอนนี้ยอดยอดได้ ๑๐๐,๐๐๐ บาทแล้วครับ ๑๒ เมษายนนี้ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมจะนำเงินต้น ๑๐๐,๐๐๐ บาท ไปมอบให้ทางวัดและทางโรงเรียนเก็บรักษา เพื่อใช้ดอกผลต่อไป

ฒ.สุพรรณ


   จดหมายคุณเกรียงไกร สายทอง
สวัสดีครับคุณเฒ่า สุพรรณ

คือผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟังมีดังนี้ครับ คือที่บ้านผมนั้นมีรูปหลวงพ่อกวยที่คุณแจก ก็มีคนที่รู้จักกับแฟนผม เขากำลังจะสอบและเขาได้มาบนกับรูปหลวงพ่อที่บ้านผมให้เขาสอบได้ครับ ถ้าเขาสอบไม่ได้ก็ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นครับ คือเขาทำงานราชการครับ แล้วเขาก็สอบได้จริง ๆ ครับ เขาบนไว้มีเป็ด ๑ ตัว ไก่ ๑ ตัว พวงมาลัย ๙ พวง และทอง ๙ แผ่น ครับเขามาแก้บนแล้วครับศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ เลยครับ

สุดท้ายนี้ผมขอให้คุณและครอบครัวจงมีแต่ความสุขความเจริญนะครับ

นับถืออย่างสูง

เกรียงไกร สายทอง

๑๒๑/๒๘ ซ.เวียงบัว ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ๕๐๐๐๐

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 07, 2012, 11:49:20 am
ล่าสุดคือตอนที่ 253 ก็จะขอข้ามไปตอนที่ 263 เลยนะครับ เพราะว่า ผมขาดไป แปดตอนติดต่อกันนับว่าเสียดายมาก ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าทำไมตอนที่ 254 255 256 257 258 259 260 261 262 จึงพลาดขาดหายไป หากท่านใดมีตอนเหล่านี้ ลองนำมาแชร์กันหน่อยนะครับ

พรุ่งนี้ผมจะลงตอนที่ 263 นะครับ หากท่านใดมีตอนที่ขาดหายไปขอความกรุณามาลงได้นะครับ

ขอแก้ไขครับ ขาดหายไปแปดตอน ขอข้ามมาเป็นตอนที่ 262
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ ธันวาคม 10, 2012, 01:27:23 pm
คงจะยัง ไม่สะดวก
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 13, 2012, 10:48:43 am
เกือบไปอีกแล้ว

เมื่อวานพาภรรยาไปกินสุกี้ที่ร้าน MK โลตัสพัทยาใต้ หลังจากกินกันอิ่มหนำสำราญแล้วก็เดินย่อยพักใหญ่ในห้าง พอจะกลับระหว่างเดินไปที่ลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ก็เปิดกระเป๋าเพื่อหยิบกุญแจแต่ไม่มีกุญแจ ใจหายวูบรีบเดินไปที่รถเห็นรถจอดอยู่ก็เบาใจ คือเข้าใจว่าน่าจะลืมกุญคาอยู่ที่รถมอเตอร์ไซค์ พอเดินไปถึงรถก็แปลกใจเพราะที่รถก็ไม่มีกุญแจคาอยู่แต่อย่างใด หรือว่าลืมใส่ไว้ใต้เบาะก็ไม่น่าจะใช่ กลับไปถามที่ร้านสุกี้ก็ไม่พบ ที่ห้องน้ำก็ไม่พบ กลับไปที่ลานจอดรถคราวนี้ตัดสินใจถาม รปภ.ที่คุมรถเข้าออกว่าเห็นกุญแจรถตกหล่นบ้างหรือไม่ รปภงเขาก็บอกว่ามี ๑ พวงอยู่ในตะกร้า เขาชี้ให้ดูผมเห็นกุญแจก็จำได้ทันที วินาทีนั้นบอกตรง ๆ ว่าดีใจมากบอกไม่ถูก รปภ.เขาบอกว่า เขาไปเดินตรวจเห็นกุญคาอยู่ที่ท้ายรถ ก็ต้องขอบคุณเขาเป็นการใหญ่ โล่งอกไปที เป็นไปได้อย่างไร ผมจอดรถทิ้งไว้เกือบ ๓ ชั่วโมง รถไม่หาย นับว่า โชคเคราะห์ของผมยังดีแท้ ๆ มิเช่นนั้นแล้ว ปัญหาของผมคงจะตามมาอย่างมากมายเลยทีเดียว

ทั้งหมดทั้งปวง ผมเชื่อว่า หลวงพ่อท่านปกป้องคุ้มครองอย่างแน่นอน ผมเชื่อเช่นนี้จริง ๆ ครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 14, 2012, 08:35:30 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๖๓
วันที่ ๕ ก.พ. – ๑๕ ก.พ.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



ลองดู

หลวงพ่อเป็นพระที่ชอบค้นคว้าทดลอง เมื่อหลวงพ่อเรียนวิธีลงอักขระเลขยันต์แล้ว หลวงพ่อก็ต้องทดลองดูว่าจะได้ผลแค่ไหน พอจะแจกให้ศิษย์ไปป้องกันตัวได้หรือไม่ เพราะศิษย์นำไปใช้โดยมากก็เอาไปป้องกันมีด ป้องกันปืน ถ้าศิษย์เอาไปใช้ไม่ได้ผล เขาก็จะเสื่อมศรัทธา ซึ่งอุปนิสัยนี้ตรงกับหลวงพ่อหรือหลวงปู่โบราณ ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา ไม่ใช่เห็นว่าเขานับถือว่าดีก็ออกรูปออกเหรียญปลุกเสกงอมแงม ๆ แจกให้เขาไป บางองค์ปลุกเสกด้วยโองการมหาจู๋ด้วยซ้ำ โองการนี้ว่าอย่างนี้ “โอมดวงดีก็รอด ดวงจู๋ก็ตาย”

แต่สำหรับหลวงพ่อกวย ท่านไม่ทำอย่างนั้น ท่านทดลองดูจนมั่นใจ หลายครั้งหลายหน จนแน่ใจจึงทำออกแจกออกไป ซึ่งอุปนิสัยนี้เกิดขึ้นและมีอยู่ในตัวท่านตั้งแต่ท่านยังหนุ่ม ซึ่งผมได้รับคำบอกเล่าต่อไปนี้ เป็นคำพูดของหมอเฉลียว คำว่าผมนั้นต่อไปนี้หมายถึงหมอเฉลียว

วันหนึ่งหลวงพ่อไปดูชาวบ้านกับพระภิกษุสามเณรเลื่อยไม้ในดงเพื่อมาสร้างศาลา ผมก็ไปด้วย บังเอิญมีคนแบกปืนยาว ปืนลูกซองเดินมา หลวงพ่อเห็นแต่ไกล หลวงพ่อหยิบเปลือกไม้แล้วเอาผ้าอาบน้ำฝนพัน แล้วบอกกับพระและชาวบ้านว่า “ประเดี๋ยวจะให้อ้ายนี่ยิงพระองค์นี้ดูซิจะยิงออกหรือเปล่า” คน ๆ นั้นมาถึง ชาวบ้านจึงบอกว่า ลองยิงพระองค์นี้ดูซิจะออกหรือเปล่า คน ๆ นั้นไม่รู้ว่าเป็นเปลือกไม้ที่เขากำลังเลื่อยกันอยู่ เขาเลยยกปืนขึ้นเล็งทันที ปรากฏว่ายิงไม่ออก เลยหันลำจะเปลี่ยนลูกใหม่แต่เอาลูกออกจากลำไม่ได้ ได้ไม้กระทุ้งก็ไม่ออก ใช้เวลาเป็นชั่วโมงก็ไม่ออก เลยแบกปืนกลับบ้าน พอไปแล้ว พระและชาวบ้านก็ไปหยิบเอาผ้าที่ห่อเปลือกไม้มาดู ปรากฏว่าข้างในเป็นเปลือกไม้จริง ๆ ชาวบ้านเลยหัวเราะกันใหญ่ หลวงพ่อหัวร่อ หึหึ


อีกครั้งหนึ่ง ผมเห็นกับตา สมัยก่อนเด็ก ๆ เด็กวัดต้องไปต่อหนังสือค่ำกับพระ ประมาณ ๕ หรือ ๖ โมงเย็น การต่อหนังสือค่ำ คือท่องหรืออ่านหนังสือ คือเรียนหนังสือกับพระนั่นเอง ตอนนั้นมีเด็กวัดคนหนึ่งชื่อ สุธน ต้องไปต่อหนังสือกับหลวงพ่อ หลวงพ่อกำลังพักผ่อนที่ศาลา เมื่อเด็กชายสุธนต่อหนังสือค่ำเสร็จ หลวงพ่อคงจะเอ็นดูเด็กชายสุธนเพราะเป็นเด็กขยันและปัญญาดี หลวงพ่อเลยให้คาถาไปบทหนึ่งมี ๔ ตัว หลวงพ่อให้เด็กชายสุธนท่องแล้วถามว่า“จำได้ไหม จำได้หรือยัง” พอเด็กบอกจำได้ดีแล้ว หลวงพ่อพูดว่า“มึงไปให้พ้นเลย” เด็กก็ตกใจหน้าเสียเลย หลวงพ่อคว้าไม้รวกยาวประมาณ ๑ เมตร ได้ ตีเด็กอย่างแรงหลายที ตีจนเด็กตกศาลาเลย แต่เด็กชายสุธนกลับไม่ร้องไห้คล้าย ๆ ไม่เจ็บ ภายหลังผมจึงรู้ว่าหลวงพ่อให้คาถาตีไม่เจ็บกับไอ้ธน เพราะตอนหลังมันทำผิด พระตีมันเห็นมันยิ้ม ผมเลยคอยเวลาหาโอกาสอยู่ คอยอยู่ ๕-๖ ปีได้ ผมก็ไปนั่งคุยกับท่าน วันนั้นผมเห็นท่านอารมณ์ดีเป็นพิเศษ จึงได้ถามหลวงพ่อ “ผมเห็นไอ้ธนโดนหลวงพ่อตีวันนั้น หลวงพ่อมีคาถาอะไรดี ผมขอเรียนได้ไหม” หลวงพ่อบอกว่า“เป็นคาถาตีไม่เจ็บ”ท่านได้ให้ผมมา ตอนนั้น ผมอายุ ๑๗-๑๘ ปีได้ ผมก็เลยมาทดลองปลุกเสกคาถาดูจนขึ้นใจ ทีแรกผมให้เด็ก ๆ เพื่อนกัน ตีหลังด้วยก้านกล้วยก่อน เห็นว่าไม่เจ็บแน่ ผมเลยให้เพื่อนตีด้วยไม้รวก เพื่อน ๆ ๒ คนผลัดกันตี ตีจนไม้แตกก็ไม่รู้สึกเจ็บ เมื่อเลิกแล้วรู้สึกแสบ ๆ คัน ๆ นิด ๆ แต่ไม่มีผื่นเลย เล่นกันจนสนุกไปเลย เพราะผมยังหนุ่มอยู่ตอนนั้น ถ้าได้เป็นนักมวยผมว่าคงจะดีตอนนั้น เพราะหลวงพ่อให้คาถาจับไม่อยู่มาอีกบทหนึ่ง ผมคิดว่าตีไม่แตก จับไม่อยู่ คงพอสู้เขาได้

ตอนนั้นมีเด็กวัดอยู่อีกคนหนึ่งชื่อเวก ไปนั่งเล่นอยู่กับหลวงพ่อ ๆ นึกขลังอย่างไรขึ้นมาไม่รู้ ท่านหยิบผ้าจีวรเก่า ๆ ขาด ๆ มาฉีกแล้วขวั้นเป็นเกลียวแล้วเรียกเด็กมา เอาผ้าผูกคอเด็ก เห็นท่านทำปากขมุบขมิบ ไม่รู้ว่าคาถาอะไร เด็กกำลังเผลออยู่พอดี ท่านเอื้อมมือไปหยิบขวานหมูที่ข้างหลังฟันหัวเด็กไป ๒ ที ฟันอย่างแรงเด็กหัวทิ่มเลย เด็กตกใจสลัดหลุดวิ่งไป ๓-๔ วาได้ ไปร้องไห้ที่บันได คือจับราวบันไดร้องไห้ หลวงพ่อเลยเรียกเด็กให้มานี่ มานี่ ได้ยินไหม เสียงท่านดัง เด็กก็กลัวเดินมาหา หลวงพ่อก็แก้ผ้าออกเฉย ๆ แล้วหลวงพ่อก็หัวร่อ หึหึ อยู่องค์เดียว ผมแอบดูอยู่พอลับตาหลวงพ่อ ผมเลยขอดูหัวไอ้เวก ปรากฏว่าไม่มีรอยฟันแม้แต่นิดเดียว ผมก็เลยว่าเด็กว่า มึงกลับไปให้ท่านแก้ผ้าขวั้นออกทำไม เป็นกู ๆ ไม่ให้เลยแบบนี้ เด็กก็ตอบว่า ผมไม่รู้ ผมกำลังตกใจ นึกว่าทำอะไรผิดซะอีก

อีกเรื่องหนึ่ง ตอนนั้นหลวงพ่อยังแข็งแรงอยู่ มีโยมที่บ้านหนองแขม มานิมนต์หลวงพ่อไปเทศน์มหาชาติ เรื่องพระเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมารกับทานกัณฑ์ ๒ กัณฑ์ ตอนนั้นหลวงพ่อซุ่มเสียงยังดี เทศน์กัณฑ์ทานกัณฑ์นี่ไม่มีใครเทียบเท่าท่านได้เลย วันนั้นผมได้เป็นลูกศิษย์ท่านไปด้วย เมื่อเทศน์จบแล้ว ผมก็เป็นคนหาบเครื่องกัณฑ์ที่เขาถวายหลวงพ่อมา เดินบุกป่ามาได้สัก ๓-๔ กิโลได้ ขณะเดินทางมาถึงวัดใหม่ ตอนนั้นวัดใหม่ไม่มีพระอยู่ ตั้งอยู่ในป่ามีกุฏิหลังเดียว พอมาถึงร่มต้นกร่างใหญ่ หลวงพ่อก็หยุดพัก เพราะอากาศร้อนมาก หลวงพ่อได้พูดว่า “พระที่วัดน่าจะบอกกับแขกที่มาหากูให้กลับไปก่อน อ้ายพระองค์นี้ไม่เข้าท่าเลย เราไม่อยู่ก็น่าจะบอกเขาให้รู้เรื่อง ปล่อยให้เขารออยู่ได้”คือหลวงพ่อท่านรู้เหตุการณ์ข้างหน้า หรือรู้เรื่องไกล ๆ ได้ จนผมชินแล้ว หลวงพ่อพูดอย่างนี้แสดงว่ามีแขกมาหา แล้วพระที่วัดน่าจะบอกกับแขกให้รู้เรื่องว่าหลวงพ่อไม่อยู่ ปล่อยให้แขกคอย แล้วท่านก็บอกให้ผมกินขนมที่ผมหาบมา ท่านพูดว่า “กูไม่ค่อยชอบกินสักเท่าไรหรอก มึงกินเถอะ”แล้วหลวงพ่อก็เปลื้องจีวรออกผึ่งแดด ตามป่าหญ้า เผอิญท่านเห็นสังกะสีฝาปี๊บของใครเขาตัดทิ้งเอาไว้ ยังใหม่ ๆ อยู่เลย หลวงพ่อเลยหยิบเหล็กจารในย่ามมาจารสังกะสีเป็นอักขระ ๔ ตัว เดินไปที่ต้นมะกอก แล้วท่านพูดว่า  เมื่อมาถึงวัดก็มีแขกมารออยู่หน้ากุฏินอนหลับอยู่จริง ๆ“ไปกันเถอะอ้ายท่านนั้นมันให้แขกรอเดี๋ยวมันจะกลับมืด”

พอรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งมีพรรคพวกผมมาซื้อข้าวเปลือก คือซื้อข้าวเปลือกเอาไปขายโรงสี ขณะขับรถจะมาหาผม พอมาถึงวัดใหม่ตรงที่ผมหยุดพักกับหลวงพ่อเมื่อวาน เห็นมีบ้านอยู่หลังหนึ่งจึงหยุดรถลงไปถามซื้อข้าว ปล่อยให้คนท้ายรถเฝ้ารถอยู่คนเดียว คนเฝ้าเป็นลูกน้องด้วยมือปืนด้วย ชื่อสุนทร เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่ เหลือบเห็นสังกะสีที่แปะอยู่กับต้นมะกอก เห็นเหมาะดีนึกคันไม้คันมือตามประสาคนชอบยิงปืน จึงชักปืนออกจากเอวยิงฝาปี๊บโดยคะนองมือ ผลปรากฏว่าออกดังปังเสียงปืนสะท้านดง เมื่อเถ้าแก่เจ้าของรถได้ยินเสียงปืนคิดว่าเกิดเหตุร้ายได้รีบวิ่งมาที่รถ เมื่อมาถึงที่รถ ก็ตกใจเห็นลูกน้องมีเลือดไหลโกรกเต็มหน้าเต็มตัวเต็มไปหมด ถามดูได้ความว่า เอาปืนมาลองยิงแผ่นสังกะสีดู เห็นเหมาะดีปืนเกิดถีบโดนหน้า ๆ แตกเลย เถ้าแก่เพื่อนผมจึงรีบพาไอ้สุนทรมาเย็บแผลกับหมอฮวด เย็บไป ๗ เข็ม เมื่อเย็บแผลเสร็จก็มาบ้านผม ผมเห็นเข้าก็ถามว่าเป็นไงมาช้าไป พอดีผมแหงะไปเห็นหน้าไอ้ทรพอดี เลยถามเรื่องแผลก่อน อ้ายทรก็เล่าให้ฟัง ผมจำได้เลยถามว่า ฝาปี๊บขาว ๆ ที่แปะที่ต้นมะกอกหน้าวัดใหม่ใช่ไหม อ้ายทรบอกว่าใช่ ผมเลยบอกว่า หลวงพ่อกวยแปะเอาไว้เมื่อวานและมึงเอามาหรือเปล่า นายสุนทรบอก  นายสุนทรรู้ว่าหลวงพ่อจารอักขระไว้ที่ฝาปี๊บเลยขอยืมรถมอเตอร์ไซค์ผมขี่ไปเอา แต่น่าเสียดายตอนโมโหเขวี้ยงทิ้งไปหาไม่เจอหรือคนอื่นหยิบเอาไปก็ไม่รู้ “เปล่า โมโหเลยแกะเขวี้ยงทิ้งไว้ข้างทางนั่นแหละ”

ก็จบจดหมายจากหมอเฉลียวไป ๑ ตอน ผมต้องขอขอบคุณท่านมาก อุตส่าห์สละเวลาอันมีค่าเล่าเรื่องเกี่ยวกับอภินิหารของหลวงพ่อมาหลายตอน ทราบว่า ท่านตอนนี้อยู่ห้วยปง หรือห้วยบง จ.นครราชสีมา ผมมีเรื่องอยากจะขอร้องท่านอยู่ ๑ เรื่องคือ ผมอยากให้ท่านได้ถ่ายทอดคาถาตีไม่เจ็บกับคาถาจับไม่อยู่ ขอให้ท่านได้โปรดนึกถึงศิษย์รุ่นหลังด้วย หรือท่านมีคาถาอะไรดี ๆ หรือประวัติและอภินิหารของหลวงพ่อ ขอให้ท่านได้เขียนเล่ามาอีก ข้อเขียนของท่านเป็นข้อเขียนที่สมบูรณ์ ถ้าขาดข้อเขียนของท่านประวัติและอภินิหารของหลวงพ่อจะไม่สมบูรณ์เลย ขอให้ท่านส่งมาที่อาจารย์สำรวยก็ได้ ขอขอบพระคุณท่านไว้เป็นอย่างสูง

นับถือ

ฒ.สุพรรณ






 คาถาปลุกปลัด
" อมน้ำ ๓ จอก ขึ้นไปถอกบนหลังคา ถอกขาว ถอกเขียว ถอกเยี่ยวรดผ้า ถอกค้าคนกิน ถอกอินทนิน ถอกพระอินทร์ อมมะจักพัน สวาหะ "

คาถาตีไม่เจ็บ

" อยู่ วะ พา วะ " (ถ่ายทอดให้หมอเฉลียว เดชมา)

คาถาจับไม่อยู่
" อะ ยา ปอย ยะ "(ถ่ายทอดให้หมอเฉลียว เดชมา)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 14, 2012, 09:36:48 am
ปัจจุบันเป็นตอนที่ 263 หลังจากนั้นผมก็จะข้ามไปตอนที่ 273

เนื่องจาก ผมเองขาดการซื้อหนังสือนะโมไป สิบฉบับ ครับ หากใครมีตอนที่ 264-272 จะนำมาลงก็จะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: tree_alone ที่ ธันวาคม 14, 2012, 11:49:06 pm
ขอบคุณครับ :D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ ธันวาคม 18, 2012, 09:29:13 pm
:o :o :o :o :o
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 19, 2012, 04:08:17 pm
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น

สพฺพทานํ  ธมฺมทานํ  ชินาติ
การให้ธรรม  ชนะการให้ทั้งปวง

ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินํ
บุญเป็นที่พึ่งของสัตว์ในโลกหน้า

จาก...สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ข้อ ๘๘




เป็นมนุษย์นี้แสนยาก




บนพื้นโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล เป็นที่อาศัยของสัตว์นานาชนิด มากมายเหลือที่จะนับ มีทั้งที่เราเคยเห็นและไม่เคยเห็น ที่มีร่างกายใหญ่โตอย่างช้างก็มี ที่มีร่างกายเล็กอย่างมดหรือ เล็กยิ่งกว่ามดก็มี ที่มีร่างกายละเอียดเกินกว่าที่ตามนุษย์จะเห็นได้ เช่นเทวดาก็มี

สัตว์บางพวกมีรูปร่างสวยงาม  น่าทัศนา  บางพวกมีรูปร่างน่าเกลียด  ไม่ชวนมอง  บางพวกก็มีรูปร่างแปลกๆจนดูน่าขัน

สัตว์นอกจากจะมีมากมายหลายชนิด และมีรูปร่างผิดแผกแตกต่างกันแล้ว ยังมีอุปนิสัยจิตใจแตกต่างกันด้วย บางพวกมีจิตใจอ่อนโยน มีเมตตากรุณา บางพวกดุร้าย ใจแคบ บางพวกใจกว้างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อารีอารอบ ฯลฯ ไม่มีสัตว์ชนิดใดเลยที่เหมือนกันทุกอย่าง แม้ลูกฝาแฝดที่ว่ามีรูปร่างหน้าตาคล้ายกันมากที่สุด ก็ยังไม่เหมือนกันทุกส่วน ถ้าเหมือนกันทุกส่วนแล้ว เราจะไม่ทราบเลยว่าใครเป็นพี่ ใครเป็นน้อง นอกจากนั้น นิสัยใจคอของฝาแฝดก็มิได้เหมือนกัน

ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายเกิดมาด้วยกรรม และดำเนินไปตามกรรมที่ตนทำไว้ มีกรรมจำแนกให้ผิดแผกแตกต่างกัน

ในน้ำมี กุ้ง ปู เต่า ปลา และสัตว์น้อยใหญ่ที่เรารู้จัก และไม่รู้จักอีกมากมาย

บนบกมี มนุษย์ ช้าง ม้า วัว ควาย สุนัข แมว เป็นต้น

ในอากาศมี นก ผีเสื้อ และแมลงต่างๆ

นอกจากนั้นก็ยังมีเทพบุตร  เทพธิดา  อินทร์  พรหม  ยม  ยักษ์  เปรต  อสุรกาย  และสัตว์นรก


ในบรรดาสัตว์เหล่านั้น มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐที่สุด ที่ประเสริฐที่สุดเพราะมนุษย์มีโอกาสทำความดีได้ทุกชนิด ตั้งแต่ความดีเล็กน้อย  ไปจนถึงความดีขั้นสูงสุด คือการบรรลุมรรคผล นิพพาน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "การได้อัตภาพเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก" แต่การดำเนินชีวิตให้ถูกทางเมื่อมาแล้วยังยากกว่า เพราะถ้าดำเนินชีวิตไม่ถูกทางแล้วชีวิตในอนาคตมีแต่จะตกต่ำลง ยากนักที่จะมีโอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ในเมื่อตายไป

การเกิดเป็นมนุษย์ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างนำเกิดฉันใด การดำเนินชีวิตให้ถูกต้องเมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างฉันนั้น

 การเกิดเป็นมนุษย์ต้องอาศัย บุญ มีทานเป็นต้นนำเกิด


การดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง ก็ต้องอาศัยสมบัติ ๔ อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า จักกะ ๔ หรือจักร ๔ เป็นสำคัญผู้ใดมีจักร ๔ อย่างนี้ ย่อมได้รับโภคทรัพย์ ยศ ชื่อเสียง ความสุขและความเจริญตลอดชีวิต


จักร ๔ อย่าง คือ

๑.   ปฏิรูปเทสวาสะ  การได้อยู่ในประเทศที่สมควร
คำว่า ประเทศที่สมควร นั้นได้แก่ สถานที่ หรือถิ่นที่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแผ่ไปถึง หรือเป็นที่อยู่ หรือเป็นที่ผ่านไปมาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวก หรืออุบาสก อุบาสิกา ผู้นับถือพระรัตนตรัย

ลองพิจารณาดูเมืองไทยที่ได้ชื่อว่า ดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาบ้าง บางแห่งก็ไม่มีพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าอาศัยอยู่ หรือจาริกผ่านไป บางแห่งมีวัดก็ไม่มีพระสงฆ์ ต้องการจะทำบุญ ถวายทานสักครั้ง ก็หาภิกษุผู้รับทานไม่ได้ แม้การทำทานก็ยังยาก จะป่วยกล่าวไปไยกับการรักษาศีล หรือเจริญภาวนา ที่ใดที่กุศลเกิดได้ยาก ที่นั้นไม่ชื่อว่าประเทศที่สมควร

ผู้ที่อยู่ในถิ่นที่พระพุทธศาสนาแผ่ไปไม่ถึงนั้นน่าสงสารมาก แม้การหาเลี้ยงชีพจะไม่ฝืดเคืองมีอาหารบริโภคสมบูรณ์ แต่เขาก็ดำเนินชีวิตไปตามยถากรรม โดยไม่รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรทำแล้วเป็นบุญ อะไรทำแล้วเป็นบาป สักแต่ว่าทำตามๆกัน อย่างที่บรรพบุรุษเคยทำมา

แม้คนที่อยู่ในถิ่นที่พระพุทธศาสนาแผ่ไปถึง แต่ไม่สนใจศึกษาหรือสดับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ไม่ผิดอะไรกับคนป่าคนดอย

คนที่ไม่รู้จักพระพุทธศาสนานั้น เวลามีทุกข์ก็แสวงหาวิธีดับทุกข์ที่ไม่ถูกทาง

บางคนอาศัยอบายมุข มีการพนันเป็นต้น เป็นเครื่องดับทุกข์
บางคนบนบาน เทวดา ผีสาง นางไม้ เจ้าป่า เจ้าเขาให้ช่วย
บางคนคิดว่า ตายเสียได้คงพ้นทุกข์ จึงได้ฆ่าตัวตายด้วยวิธีต่างๆ ฯลฯ


ผู้ที่แสวงหาสิ่งดังกล่าวแล้วเป็นต้นนี้ เป็นที่พึ่ง เป็นที่ดับทุกข์ ชื่อว่าแสวงหาที่พึ่งผิดทาง เพราะที่พึ่งเหล่านั้นไม่ใช่ที่พึ่งอันประเสริฐ ไม่ใช่ที่พึ่งที่อาจดับทุกข์ได้ตลอดไป

เพราะอะไร
เพราะตัวของผู้เป็นทุกข์เองก็มีสภาพไม่เที่ยง ยังต้องมีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย แตกดับ เป็นธรรมดา สิ่งที่ยึดเอาเป็นที่พึ่งนั้นเล่าก็ไม่เที่ยง มีความแตกดับเป็นธรรมดาเช่นเดียวกัน สิ่งที่มีสภาพไม่เที่ยง แตกดับด้วยกัน จะดับทุกข์ของกันได้ตลอดไปได้อย่างไร

บางคนมีทุกข์ไม่ได้แสวงหาที่พึ่งดังกล่าวนั้น แต่อาศัยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง คนเช่นนี้ชื่อว่าแสวงหาที่พึ่งที่ถูกทาง แสวงหาเครื่องดับทุกข์ที่ถูกทาง


เพราะอะไร
เพราะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ๓ ประการนี้ชื่อว่าที่พึ่งอันประเสริฐ ชื่อว่าที่พึ่งอันสูงสุด ชื่อว่าที่พึ่งอันเกษม เพราะเป็นที่พึ่งที่เป็นปัจจัยให้เข้าถึงความเกษม คือพระนิพพาน อันไม่มีความแตกดับ ก้าวล่วงทุกข์ทั้งปวงได้ในที่สุด

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ธรรมบท พุทธวรรค ข้อ ๒๔ ว่า "มนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก ถูกภัยคุกคามแล้ว ย่อมถือเอาภูเขา  ป่า อาราม และรุกขเจดีย์ว่าเป็นที่พึ่ง นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันสูงสุด บุคคลอาศัยสิ่งเหล่านั้นแล้วย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

ส่วนผู้ใดมาถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง เห็นแจ้งอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ นิโรธ ธรรมเป็นเครื่องดับทุกข์ และอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อันเป็นทางให้ถึงความดับทุกข์ ด้วยปัญญาอันชอบ นั่นเป็นที่พึ่งอันเกษม นั่นเป็นสูงสุด บุคคลอาศัยพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้ว ยังพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้"

เพราะฉะนั้น การอยู่ในประเทศที่สมควร ประเทศที่มีพระพุทธศาสนาแผ่ไปถึง จึงเป็นอุดมมงคล เป็นเหตุให้เกิดความเจริญ เป็นปัจจัยให้เราดำเนินชีวิตได้ถูกทางประการหนึ่ง


๒.   สัปปุริสูปัสสยะ การเข้าไปอาศัยสัตบุรุษ หรือการคบหาสัตบุรุษ
อย่าว่าแต่คนที่อยู่ในดินแดนที่ไม่สมควรเลย ที่จะแสวงหาที่พึ่งอันไม่ถูกทาง แม้คนที่อยู่ในประเทศที่สมควร บางครั้งและบางคนก็ยังแสวงหาที่พึ่งไม่ถูกทางเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพราะเขามิได้เข้าไปคบหา สนทนากับสัตบุรุษผู้รู้ทั้งหลาย เขาจึงไม่มีโอกาสทราบว่า สิ่งใดควรประพฤติ สิ่งใดไม่ควรประพฤติ สิ่งใดมีโทษ สิ่งใดไม่มีโทษ สิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดไม่เป็นประโยชน์

เพราะฉะนั้น การคบหาสัตบุรุษจึงเป็นปัจจัยประการหนึ่งที่ ๒ ในการดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง สัตบุรุษนั้น ได้แก่ผู้สงบ คือ สงบจากกายทุจริต สงบจากวจีทุจริต สงบจากมโนทุจริต อันเป็นบาปอกุศล

 กายทุจริตการประพฤติชั่วทางกาย มี ๓ อย่าง คือ การฆ่าสัตว์ทั้งด้วยตนเองและใช้ผู้อื่น ๑ การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ด้วยเจตนาคิดจะลัก ๑ การประพฤติผิดประเวณี ๑

วจีทุจริตการประพฤติชั่วทางวาจา มี ๔ อย่าง คือ การพูดเท็จ ๑ การพูดส่อเสียด ให้ผู้อื่นแตกแยกกัน ๑ การพูดคำหยาบ ๑ การพูดเพ้อเจ้อ เหลวไหล ไร้สาระ ๑

มโนทุจริตการประพฤติชั่วทางใจ  มี ๓ อย่าง  คือ  อภิชฌา  การคิดเพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตน ๑  พยาบาท  การคิดให้ผู้อื่นพินาศ ๑ มิจฉาทิฏฐิ  ความเห็นผิดว่าทานที่ให้แล้วไม่มีผล เป็นต้น ๑

สัตบุรุษนั้นเป็นผู้มีศรัทธา เชื่อมั่นในพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  เชื่อกรรมและผลของกรรม  เชื่อว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน  เป็นผู้มีศีล  เป็นผู้มีพาหุสัจจะ คือ สดับฟังตรับฟังมาก  มีหิริ ความละอายบาป   มีโอตตัปปะ  ความกลัวบาป  มีจาคะ  ยินดีในการให้ไม่ตระหนี่  และมีปัญญารู้จัก  อะไรควรไม่ควรตลอดจนมีปัญญาพาตนให้พ้นทุกข์ได้

พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสาวก ตลอดจนผู้ตั้งอยู่ในศีล ในธรรม ชื่อว่าสัตบุรุษ ในบรรดาสัตบุรุษเหล่านั้น พระพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด

พระพุทธเจ้านั้นเกิดขึ้นได้แสนยาก นานนักหนาว่าจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้สักพระองค์หนึ่ง การบังเกิดขึ้นของพระองค์นำมาซึ่งประโยชน์ และความสุขแก่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย อย่างหาประมาณมิได้ พระองค์ทรงชี้ทางให้สัตว์ทั้งหลายได้เข้าสู่สุคติโลกสวรรค์ และมรรค ผล นิพพาน เป็นจำนวนมาก

การได้ฟังพระสัทธรรม คือคำสั่งสอนของพระองค์ก็ยากเพราะเราอาจจะไปเกิดเสียในทุคติมีนรกเป็นต้น หรือแม้ได้เกิดในสุคติมีมนุษย์เป็นต้น ก็ไม่แน่ว่าเราจะได้มีโอกาสฟังธรรมของพระองค์หรือไม่ ทั้งนี้เพราะใจของสัตว์นั้นมากด้วยความยินดีต้องการ แต่พระองค์ทรงสอนให้ละความยินดีความต้องการ เป็นการทวนกระแสกิเลส ผู้ฟังที่ขาดปัญญาบารมี จึงมิได้สนใจคำสอนของพระองค์เท่าที่ควร เมื่อไม่สนใจก็ประพฤติผิดทาง

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า "ในโลกนี้ คนที่เห็นแจ้งมีน้อย สัตว์ที่ไปสวรรค์มีน้อย เหมือนนกพ้นจากข่ายมีน้อย"

และตรัสว่า "คนที่ไปถึงฝั่งคือพระนิพพานมีน้อย ส่วนมากมักเลาะอยู่ริมฝั่ง"

ผู้ใดได้ฟังธรรมของพระองค์แล้วประพฤติตาม ย่อมได้รับความสุขชั่วนิรันดร

พระพุทธเจ้าและพระสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ควรบูชา ใครๆไม่ควรดูหมิ่นว่า บุญที่เกิดจากการบูชาพระองค์และสาวกของพระองค์เป็นบุญเล็กน้อย เพราะว่าการบูชาบุคคลที่ควรบูชา ผู้เช่นกับด้วยพระองค์และสาวกของพระองค์ผู้หมดจดจากกิเลสนั้น ใครๆ ไม่อาจประมาณบุญนั้นได้ว่ามีประมาณเท่านั้นเท่านี้

เมื่อสัตบุรุษท่านเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยคุณความดีดังกล่าวนี้ ท่านก็ปรารถนาให้ผู้อื่นได้เป็นเช่นเดียวกับท่าน เมื่อผู้ใดเข้าไปหาท่าน ท่านก็ย่อมจะสอนให้ผู้นั้นได้ตั้งอยู่ในคุณความดีเช่นเดียวกับท่าน นั่นคือสอนให้ละชั่ว ประพฤติดี ได้แก่ละบาปทุจริต ประพฤติกุศลสุจริต

ปัจจุบันนี้แม้พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้ว แต่พระสงฆ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบตลอดจนอุบาสก อุบาสิกา ผู้ตั้งอยู่ในศีล ในธรรม มั่นคงในพระรัตนตรัย ยังมีอยู่ ท่านเหล่านี้เป็นสัตบุรุษที่เราควรเข้าไปคบหาสมาคม และดำเนินรอยตามท่าน

การคบหาสัตบุรุษ จึงเป็นปัจจัยประการหนึ่งในการดำเนินชีวิตให้ถูกทาง


๓.  อัตตสัมมาปณิธิ  การตั้งตนไว้ชอบ
แม้การคบสัตบุรุษจะเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการดำเนินชีวิตให้ถูกทาง แต่ถ้าเป็นแต่เพียงเข้าไปคบหา มิได้สนใจที่จะประพฤติตามคำสอนของท่านแล้ว การคบหานั้นก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด ในเมื่อเรามิได้ตั้งตนไว้ชอบ คือมิได้ตั้งอยู่ในธรรมของสัตบุรุษ คือสุจริตธรรม ๑๐ ประการ มีการงดเว้นจากการฆ่าสัตว์เป็นต้น

ก็สุจริตธรรม ๑๐ ประการ หรือกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ ชื่อว่าธรรมของมนุษย์ เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วมีกุศลกรรมบถไม่ครบ ๑๐ จะชื่อว่าเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ได้อย่างไร

ก็คำว่า "มนุษย์" นั้นแปลว่า ผู้มีใจสูง คือสูงด้วยคุณธรรม มีเมตตากรุณา ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ เป็นต้น ทั้งเป็นผู้จักเหตุที่สมควรและไม่สมควร เป็นผู้รู้จักว่าอะไรเป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์ และอะไรเป็นกุศล อะไรไม่เป็นกุศล ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ มนุษย์ก็ไม่ต่างกับสัตว์เดียรัจฉาน

มนุษย์ที่มีจิตใจเป็นมนุษย์ ท่านเรียกว่า มนุสสมนุสโส

มนุษย์ที่มีจิตใจเหมือนเปรต คือหิวกระหาย อยากได้ ต้องการ อยู่เสมอ ไม่อิ่ม ไม่เต็ม ท่านเรียกว่า มนุสสเปโต

มนุษย์ที่มีจิตใจเหมือนเดียรัจฉาน ไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว เอาแต่ กิน นอน และสืบพันธุ์เท่านั้น ท่านเรียกว่า มนุสสติรัจฉาโน
มนุษย์ที่มีจิตใจเหมือนเทวดา คือรู้จักละอายบาปและกลัวบาป รื่นเริงบันเทิงอยู่ ท่านเรียกว่า มนุสสเทโว

มนุษย์จึงควรมีศีล ๕ เป็นอย่างต่ำ มีกุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นอย่างสูง  ส่วนใครสามารถจะทำฌาน  วิปัสสนา  มรรค  ผล  อันเป็นอุตตริมนุสสธรรม คือธรรมที่ยิ่งกว่า ธรรมของมนุษย์ให้เกิดได้ ยิ่งประเสริฐ

คนในสมัยพุทธกาลเป็นจำนวนมาก ที่ได้เกิดในประเทศที่สมควร คือเกิดในดินแดนของพระพุทธศาสนาในสมัยที่พระบรมศาสดาอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ได้เข้าไปคบหา ใกล้ชิดพระองค์ ได้ฟังธรรมของพระองค์ แต่ยังคงประพฤตินอกลู่ นอกทาง ผิดศีล ผิดธรรม อย่างนี้ชื่อว่าตั้งตนไว้ผิด ดังพระเทวทัตเป็นตัวอย่าง เมื่อตั้งต้นไว้ผิด ชีวิตของเขาจะพบกับความสุขความเจริญได้อย่างไร

ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกทาง" คือบอกทางสวรรค์ และ มรรค ผล นิพพาน ให้เท่านั้น ส่วนการดำเนินชีวิตให้ถึงจุดหมายปลายทางนั้น ท่านทั้งหลาย ต้องประพฤติด้วยตนเอง

๔.  ปุพเพ  กตปุญญตา การได้ทำบุญไว้ในปางก่อน เป็นจักรข้อที่ ๔ ที่จะสนับสนุนให้เราดำรงชีวิตอยู่ในทางที่ชอบ กอปรด้วยประโยชน์
การเกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ก็อาศัยบุญที่ได้ทำไว้ในปางก่อน คือในชาติที่ล่วงมาแล้วนำเกิด เมื่อมีชีวิตอยู่ มีโอกาสได้อยู่ในถิ่นที่สมควร ได้พบพระพุทธศาสนา ได้คบหาสัตบุรุษและฟังธรรมจากท่าน  ทำให้ตั้งตนไว้ชอบ  สนใจในการทำบุญกุศล  ตลอดจนการประพฤติปฏิบัติ  เพื่อบรรลุ  มรรค  ผล  นิพพาน  อันเป็นกุศลสูงสุด  ก็ล้วนอาศัย  บุญ  ที่ได้เคยทำไว้เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ได้รับผลสำเร็จทั้งสิ้น

ถ้าขาดบุญเสียแล้ว  ท่านจะไม่มีโอกาสได้รับสิ่งเหล่านี้เลย

หากยังต้องเกิดอีกตราบใด  บุญที่ทำไว้ในชาติก่อนๆที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล  รวมกับบุญที่ทำใหม่ในชาตินี้  ก็ยังติดตามไปให้ผลในชาติต่อไปด้วย

สิ่งทั้งหลายที่เราปรารถนาและแสวงหามาไว้  ล้วนอยู่กับเราผู้เป็นเจ้าของไม่นานเลย  ของเหล่านั้นแม้จะเป็นที่รักสักเพียงใด  ก็ไม่อาจติดตามเจ้าของไปภพหน้าได้  แม้เมื่อเจ้าของยังมีชีวิตอยู่  ก็ไม่แน่ว่าของนั้นจะอยู่กับเจ้าของตลอดไป   อาจสูญหาย  หรือถูกทำลายไปด้วยไฟบ้าง  ด้วยโจรบ้าง  ด้วยน้ำบ้าง  ด้วยผู้มีอำนาจบ้าง  ด้วยการล้างผลาญของทายาทที่มีความประพฤติไม่ดีบ้าง  ฯลฯ

ส่วนบุญมิได้เป็นเช่นนั้น  ใครๆไม่อาจทำลายบุญให้สูญหายไปได้  แม้โจรก็ลักไปไม่ได้  ไฟไหม้ไม่ได้  น้ำท่วมไม่ได้  ถูกผู้มีอำนาจริบไม่ได้  หรือถูกทายาทที่มีความประพฤติไม่ดีล้างผลาญไม่ได้ ฯลฯ แม้เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว บุญนั้นสามารถติดตามไปให้ความสุขแก่เจ้าของในภพหน้าได้ด้วย

เพราะเหตุนั้น  บุญ  ที่ทำไว้  จึงเป็นปัจจัยเกื้อกูลแก่ชีวิตของเรา ให้พบกับความสุขและความสำเร็จ  ประการหนึ่ง

ในทางตรงกันข้าม  บาปที่บุคคลสั่งสมไว้ในปางก่อน  ก็เป็นปัจจัยให้พบกับความทุกข์และความผิดหวังนานาประการ  ทั้งยังติดตามไปให้ความทุกข์แก่ผู้กระทำในภพหน้าด้วย

ผู้มีปัญญาจึงเพียรละบาป  เร่งบำเพ็ญบุญ

เรื่องของการทำความดี  คือบุญกุศลนั้น  เมื่อมีจิตเลื่อมใสศรัทธาแล้ว  อย่ารีรอจงทำทันที  เพราะจิตนั้นกลับกลอกเปลี่ยนแปลงรวดเร็วนัก  มีปกติไหลไปหาบาป  ทั้งเราไม่อาจรู้ว่าความตายจะมาถึงเราเมื่อไร  เราอาจจะตายเสียในขณะที่ยังรีรออยู่ก็ได้

ชีวิตนั้นยังพอประกันได้  แต่ไม่มีใครสามารถประกันศรัทธาของใครได้  ว่าให้ตั้งอยู่นานเท่านั้นเท่านี้แม้ท่านผู้ทรงฤทธิ์  เป็นพระอรหันต์อย่างท่านพระมหาโมคคัลลานะ  ก็ยังไม่อาจประกันศรัทธาของอุบาสกผู้เป็นอุปัฏฐากของท่านได้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 19, 2012, 04:08:45 pm

มีเรื่องเล่าไว้ใน สุปปาวาสาสูตร ขุททกนิกาย อุทาน ข้อ ๖๒ ตอนหนึ่งว่า

พระนางสุปปาวาสาโกลิยธิดา ประสูติพระโอรสแล้ว ทรงปรารถนาจะถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์สาวกสัก ๗ วัน เมื่อทรงส่งคนไปกราบทูลนิมนต์พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่อาจทรงรับนิมนต์ได้ในทันที เพราะอุบาสกผู้เป็นอุปัฏฐากของท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้กราบทูลนิมนต์ไว้ก่อนแล้ว จึงตรัสสั่งให้ท่านพระมหาโมคคัลลานะบอกเรื่องนี้แก่อุบาสกผู้เป็นอุปัฏฐากของท่าน อุบาสกนั้นกล่าวว่า ถ้าท่านพระมหาโมคคัลลานะสามารถประกันโภคสมบัติ ชีวิตและศรัทธาของท่านได้ ท่านก็ยอมตกลง ท่านพระมหาโมคคัลลานะยอมประกันแต่โภคสมบัติ และชีวิตของอุบาสกนั้นเท่านั้น แต่ไม่อาจประกันศรัทธาของอุบาสกได้

เมื่ออุบาสกนั้นเห็นท่านพระมหาโมคคัลลานะประกันโภคสมบัติและชีวิตของตน ว่าจะไม่เป็นอันตรายใน ๗ วัน จึงได้ยินยอมให้พระนางสุปปวาสาถวายภัตตาหารแก่พระพุทธเจ้าและพระสาวกก่อน ตนจะถวายภายหลัง ทั้งนี้เพราะมั่นใจว่าศรัทธาของตนที่มีต่อพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวก จะไม่หวั่นไหวเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น

สรุปว่าไม่มีใครอาจประกันจิตที่เป็นกุศลของใครได้ว่า จะไม่เปลี่ยนเป็นอื่น เพราะจิตนั้นเกิดดับรวดเร็ว กลับกลอกรักษาได้ยาก แต่ผู้ที่สามารถฝึกจิตที่กลับกลอก รักษาได้ยากให้อยู่ในอำนาจได้ คือให้ตั้งอยู่ในกุศลได้แล้ว เป็นความดีเพราะจิตที่บุคคลฝึกดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้

แต่จิตที่บุคคลตั้งไว้ผิด คือตั้งไว้ในบาปอกุศล มีกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ย่อมนำความทุกข์และความพินาศมาให้ แม้คนที่มีเวรต่อกัน ก็ยังนำความทุกข์และความพินาศมาให้น้อยกว่าจิตที่ตั้งไว้ผิด


    มีคนเป็นจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจว่า จิตของมนุษย์เมื่อเริ่มเกิด คือถือกำเนิดในครรภ์มารดานั้นบริสุทธิ์ ไม่มีความต้องการใดๆ แต่เมื่อโตขึ้นจิตก็เศร้าหมอง เพราะอุปกิเลสมีโลภะเป็นต้นจรมารบกวน ทำให้ต้องการสิ่งโน้นสิ่งนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

จริงอยู่ พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน อํ. เอกนิบาต ข้อ ๕๐ ว่า จิตนี้ผุดผ่อง  แต่ว่าจิตนี้เศร้าหมองแล้ว  ด้วยอุปกิเลสที่จรมา

คำว่า จิตปภัสสร ที่แปลกันว่า จิตผุดผ่อง นี้ ก็มีความหมายเพียงผุดผ่องเท่านั้น มิได้หมายไกลไปถึงว่าบริสุทธิ์ เพราะจิตบริสุทธิ์นั้นหมายถึงจิตที่ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง

แต่จิตผุดผ่องมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะยังมีกิเลสอย่างละเอียดคืออนุสัยกิเลสตามนอนอยู่ ด้วยเหตุที่ยังละไม่ได้ ก็อนุสัยกิเลสนี้ที่ทำให้จิตเศร้าหมอง หากเชื้อคืออนุสัยกิเลสยังนอนสงบนิ่งอยู่ตราบใด จิตนี้ผุดผ่องอยู่ตราบนั้น จิตผุดผ่องนี้คือภวังคจิต ที่ทำหน้าที่รักษาภพชาติคือความเป็นมนุษย์เอาไว้เป็นจิตที่รับอารมณ์ที่ได้รับมาจากภพเก่าคือชาติก่อน ยังมิได้ขึ้นสู่วิถี ทำหน้าที่เห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง และรู้ธัมมารมณ์ ต่อเมื่อใดอารมณ์ใหม่มาปรากฎทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เมื่อนั้นจิตก็ขึ้นวิถีทำหน้าที่เห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง และรู้ธัมมารมณ์ หากไม่สำรวมจิตให้ดี คือขาดสติหลงใหลไปในอารมณ์เหล่านั้นอุปกิเลสก็จะจรเข้ามา ทำให้จิตเศร้าหมองทันที

ด้วยเหตุนี้ ภวังคจิตจึงไม่ผิดกับน้ำที่มองดูใส แต่มีตะกอนนอนอยู่ข้างล่าง เมื่อมีอะไรมากวน น้ำนั้นก็ขุ่นทันที

น้ำที่มีตะกอนนอนอยู่ข้างล่าง  มองดูใสสะอาดฉันใด  ภวังคจิตที่มีอนุสัยนอนสงบอยู่ก็ดูผุดผ่องฉันนั้น

ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ จิตของทารกแรกเกิดจึงมิได้บริสุทธิ์ เพราะถ้าจิตของทารกบริสุทธิ์แล้วไซร้ ทารกนั้นก็ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง เป็นพระอรหันต์มาตั้งแต่เกิด แต่พระอรหันต์นั้นเมื่อปรินิพพานแล้ว ท่านไม่เกิดอีก เพราะท่านดับอนุสัยกิเลสอันเป็นเชื้อที่จะทำให้เกิดได้หมดแล้ว

ในทางพระพุทธศาสนานั้นแสดงว่าผู้ที่มาเกิด ไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใด ผู้นั้นคือผู้ที่ยังไม่หมดกิเลส จิตยังไม่บริสุทธิ์ เพราะถ้าจิตบริสุทธิ์หมดกิเลสแล้วจะมาเกิดอีกไม่ได้ นอกจากนั้นยังแสดงว่า ผู้ที่เกิดขึ้นในภพใหม่นั้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วจิตที่เกิดขึ้นรับอารมณ์ใหม่เป็นครั้งแรกต่อภวังคจิต คือโลภะจิตที่ประกอบด้วยความยินดีในภพที่ตนเกิด  ต่อแต่นั้นจิตอื่นมีกุศลเป็นต้นจึงจะเกิดได้  ทั้งนี้ ไม่เว้นแม้แต่พระอนาคามีผู้เกิดในพรหมโลก

การร้องไห้ของทารกที่คลอดจากครรภ์มารดาก็ดี ร้องไห้เพราะต้องการนมก็ดี ล้วนแต่แสดงว่า ทารกนั้นมีกิเลสทั้งสิ้น จริงอยู่ เด็กไม่อาจแสดงออกซึ่งกิเลสหยาบมีการตีการด่า เป็นต้นได้ แต่เด็กก็แสดงออกซึ่งกิเลสที่มีอยู่ในใจให้ผู้อื่นรู้ว่า เขาชอบใจ ไม่ชอบใจ อยากได้ ไม่อยากได้ เป็นต้น

ก็กิเลสที่มีอยู่ในใจนั้นมาจากไหนเล่า  ถ้าหากว่าไม่มีเชื้อ  คืออนุสัย  ตามนอนอยู่ในสันดาน  คือ ความสืบต่อของจิตแล้ว  กิเลสอย่างกลางที่คอยกลุ้มรุมจิตใจให้เร่าร้อน และกิเลสอย่างหยาบที่แสดงออกทางกายทางวาจา มีการตีการด่าเป็นต้น จะเกิดขึ้นได้อย่างไร  แต่เพราะมีอนุสัยอันเป็นกิเลสอย่างละเอียดเป็นเชื้ออยู่  กิเลสอย่างกลางและอย่างหยาบจึงเกิดได้

ด้วยเหตุนี้ ความเข้าใจที่ว่า จิตของมนุษย์แรกเกิดบริสุทธิ์จึงไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อเรายังละเชื้อ คืออนุสัยยังไม่ได้ตราบใด  อนุสัยนั้นก็ติดตามเราไปทุกชาติตราบนั้น  ทำให้เกิดในภพใหม่อยู่ร่ำไป ทั้งยังทำให้จิตใจของเราผู้เกิดแล้ว ต้องเศร้าหมองด้วยความรักบ้าง  ความโกรธบ้าง  ความหลงบ้าง

พระพุทธองค์ตรัสว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จแล้วแต่ใจ(คือจิต) ถ้าบุคคลมีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว กล่าวอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม ทุกข์ย่อมไปตามบุคคลนั้น เพราะทุจริต ๓ อย่าง เหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท้าโคตัวลากเกวียนไปฉะนั้น

เพราะฉะนั้นจึงควรติดตามดูจิต  เพื่อมิให้ตกไปในอกุศล  ด้วยการกำหนดรู้สภาพของจิตที่เกิดขึ้นทุกขณะ

เพียงเท่านี้ก็จะเห็นได้ว่า การเกิดเป็นมนุษย์แล้วดำรงชีวิตให้ถูกทาง คือให้อยู่ในบุญกุศลนั้นแสนยาก เพราะต้องคอยประคับประคองจิตไม่ให้ตกไปในบาปอกุศล หากใจเป็นบาปอกุศลแล้วโอกาสที่ความชั่วทางกาย  ทางวาจา  ทางใจ  คืออกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ  อันมิใช่ธรรมของมนุษย์ย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย  การรักษาใจเพียงอย่างเดียวชื่อว่ารักษากายและวาจาด้วย

ในจำนวนคนเป็นล้านๆ มีกี่คนที่รักษาใจไว้มิให้ตกไปในบาปอกุศล แม้คนที่ศึกษาธรรมมาอย่างดี รู้โทษของอกุศลแล้ว ก็ยังยากที่จะทำใจให้เป็นกุศลได้ตลอดเวลา เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา จิตหรือใจก็เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจของใคร เราจึงไม่อาจบังคับจิตของเราให้เป็นกุศลตลอดไปได้ กุศลและอกุศลเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยและความคุ้นเคย กล่าวคือ  ถ้าจิตคุ้นเคยอยู่กับบุญกุศล บุญกุศลก็เกิดได้ง่าย แต่ถ้าจิตคุ้นเคยกับอกุศล อกุศลก็เกิดได้ง่าย ด้วยเหตุนี้ควรพยายามสั่งสมกุศลให้มาเพื่อให้จิตคุ้นเคยกับกุศล โดยเฉพาะกุศลขั้นภาวนาเพราะกุศลขั้นภาวนาเท่านั้น ที่ช่วยรักษาจิตมิให้ตกไปในบาปอกุศลได้ การตามรู้สภาพของจิตตามความเป็นจริงนี้ จะช่วยให้เรารู้ว่าขณะนี้จิตเป็นกุศล หรือจิตเป็นอกุศล เมื่อรู้ว่าเป็นกุศลก็พยายามรักษาไว้และเจริญให้มากขึ้น แต่ถ้ารู้ว่าจิตเป็นอกุศลก็พยายามละและระวังไม่ให้เกิดขึ้นอีก

การฝึกจิตให้คุ้นเคยกับกุศลนั้นทำอย่างไร ไม่ยากเลย ขอเพียงอย่าปล่อยกุศลเล็กๆน้อยๆผ่านไปโดยไม่ใส่ใจ หรือดูหมิ่นว่าเป็นกุศลเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องทำ ซึ่งไม่ถูกต้อง กุศลทุกชนิดไม่ควรละเลย

เช่นเราเห็นมดลอยน้ำอยู่ในน้ำ โอกาสที่เราจะช่วยให้มดรอดตายมีอยู่ จะโดยการใช้มือช้อนขึ้นมา หรือใช้ไม้เขี่ยให้พ้นน้ำก็ได้  แต่เราไม่ได้ทำ เพราะคิดว่าธุระไม่ใช่ มดไม่ใช่ลูกหรือพ่อแม่ ญาติพี่น้องของเรา หรือคิดว่าการช่วยมดไม่ทำให้เราได้รับประโยชน์อันใด ถึงจะได้บุญ ก็ได้บุญเล็กน้อย เสียเวลา เอาไว้ทำบุญใหญ่ๆดีกว่า แล้วก็ละเลยเสีย ไม่ได้คิดว่านั่นเป็นโอกาสที่จะได้ทำกุศลแล้ว กลับปล่อยให้กุศลที่จะเกิดผ่านไปเสียด้วยความประมาท ความจริงแล้วมดก็มีชีวิตจิตใจเช่นเดียวกับมนุษย์ กลัวตายเหมือนมนุษย์ ทั้งหมดนั้นอาจเป็นพ่อแม่หรือญาติพี่น้องของเราในอดีตก็ได้ ใครจะรู้ว่าในวัฏฏสงสารอันยืดยาวนี้ เราและสัตว์ทั้งหลายมีความผูกพันกันอย่างไร จึงไม่ควรดูดาย คนที่ตกน้ำแล้วช่วยตนเองไม่ให้จมน้ำตายไม่ได้ ย่อมกลัวตายอย่างไร มดก็กลัวจมน้ำตายอย่างนั้นการช่วยให้มดรอดชีวิตจึงไม่ใช่กุศลเล็กน้อย แต่เพราะประมาทดูหมิ่นว่าเป็นกุศลเล็กน้อย กุศลก็เกิดไม่ได้ มิหนำซ้ำอกุศลยังเกิดแทนอีกด้วย

หรือเพียงเราเดินไปตามถนนหนทาง พบเศษกระเบื้องหรือเศษแก้วทิ้งอยู่บนทางเดิน พบแล้วก็มิได้เดินผ่านไปเฉยๆ ได้เก็บเศษแก้วแตกนั้นออกไปให้พ้นทางเดิน ด้วยจิตใจที่ประกอบด้วยเมตตากรุณา ต้องการให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้รับความปลอดภัย ไม่ถูกกระเบื้องแตกตำเท้าให้บาดเจ็บ ซึ่งบางครั้งเมื่อถูกตำแล้วไม่รักษาให้ถูกต้อง ปล่อยให้สกปรก อาจเป็นบาดทะยักถึงตายได้ การทำอย่างนี้ ก็เป็นบุญเป็นกุศล ซึ่งบางคนอาจคิดว่าเป็นบุญเล็กน้อยจึงละเลย ความจริงหาได้เล็กน้อยไม่ เพราะเป็นประโยชน์แก่คนเป็นอันมาก

 ถ้าเราหมั่นฝึกจิตของเราให้ไม่ละเลยต่อกุศล แม้เล็กน้อยอย่างนี้บ่อยๆ จิตใจของเราจะคุ้นเคยกับกุศล จนกุศลสามารถเกิดได้บ่อยและง่ายขึ้น อกุศลหาโอกาสแทรกได้ยาก ด้วยเหตุนี้จึงไม่ควรปล่อยให้กุศลเล็กน้อยผ่านไป อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า "บุคคลไม่ควรดูหมิ่นบุญว่าบุญมีประมาณน้อย จักไม่มาถึง แม้หม้อน้ำยังเต็มได้ด้วยหยาดน้ำที่ตกลงมาทีละหยาดๆ ฉันใด นักปราชญ์สั่งสมบุญแม้ทีละน้อยๆ ย่อมเต็มด้วยบุญ ฉันนั้น"

ในทางตรงกันข้าม เราก็ไม่ควรดูหมิ่นบาปเล็กน้อยว่าจะไม่เพิ่มมากขึ้น ในเมื่อเราทำบาปนั้นบ่อยๆ และเมื่อทำบ่อยๆ จิตใจก็คุ้นกับบาป เป็นเหตุให้บาปเกิดได้ง่ายและบ่อยขึ้น

ลองสังเกตดูเด็กที่ขาดการอบรมสั่งสอน มักชอบรังแกและฆ่าสัตว์เล็กๆโดยเห็นเป็นของสนุก เมื่อโตขึ้นก็สามารถฆ่าสัตว์ใหญ่ตลอดจนมนุษย์ได้อย่างสบาย โดยไม่มีความละอายและเกรงกลัวบาป เห็นการกระทำความชั่ว การกระทำบาปเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งนี้ก็เพราะ  จิตใจของเขาคุ้นเคยกับบาปมาตั้งแต่เยาว์

บางคนชอบลักเล็กขโมยน้อย หยิบฉวยทรัพย์สินของผู้อื่น ทั้งที่เป็นของสาธารณะ และของส่วนบุคคลจนเคยชิน สายไฟ หลอดไฟตามถนนหนทางถูกขโมย ต้นไม้ที่มีผลยื่นออกมานอกรั้ว หรือแม้จะอยู่ภายในรั้ว มีเจ้าของหวงแหนและระแวดระวัง ก็ถูกคนจำพวกนี้หยิบฉวย เก็บเอาไปทั้งต่อหน้าและลับหลัง โดยขาดความละอายใจ ว่าตนได้ละเมิดกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น

 คนเหล่านี้หวงแหนชีวิตและทรัพย์สินของตน ใครมาทำลายชีวิตและทรัพย์ของตนก็โกรธคิดอาฆาตพยาบาท  แต่ร่าเริงบันเทิงใจ  เมื่อได้ชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมิชอบธรรม  ลืมเอาใจเขามาใส่ใจเรา ว่าเรารักชีวิตและทรัพย์สินของเราอย่างไร  ผู้อื่นก็รักชีวิตและทรัพย์สินของเขาอย่างนั้น

พระพุทธองค์ตรัสว่า  "บุคคลไม่ควรดูหมิ่นบาปว่ามีประมาณน้อยจะไม่มาถึง  แม้หม้อน้ำย่อมเต็มด้วยหยาดน้ำที่ตกลงมาทีละหยาดๆฉันใด  คนพาลสั่งสมบาปแม้ทีละน้อยๆ  ย่อมเต็มด้วยบาปฉันนั้น"

เพราะฉะนั้นจงสั่งสมบุญ  ละเว้นบาป

ด้วยเหตุที่การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก เพราะต้องอาศัยบุญนำเกิด  เมื่อได้ความเป็นมนุษย์มาแล้ว  ก็ควรใช้ชีวิตให้ถูกต้อง  ให้สมกับที่ได้มาโดยยาก  และให้สมกับที่ได้รับสมญาว่า "ผู้มีใจสูง" ผู้มีใจสูงย่อมตั้งตนไว้ในบุญกุศล   คือ  ทาน  ศีล  ภาวนา  ไม่ปล่อยตนให้ตกไปในบาปอกุศล  เพราะถ้าประมาทพลาดพลั้งไปกับบาปอกุศลแล้ว  โอกาสที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้นยากนัก

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอกธัมมาทิบาลี ตอนหนึ่งว่า "สัตว์ที่จุติคือตายจากมนุษย์กลับมาเกิดในมนุษย์มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้"

ถ้าไม่อยากไปเกิดในนรก ในกำเนิดเดียรัจฉาน ในปิตติวิสัย ก็จงตั้งตนไว้ในธรรมของมนุษย์ คือกุศลกรรมบถ ๑๐ อันได้แก่การงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ๑ การงดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของเขาไม่ให้ ๑ งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ๑ งดเว้นจากการพูดเท็จ ๑ งดเว้นจากการพูดส่อเสียด ๑ งดเว้นจากการพูดคำหยาบ ๑ งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ ๑ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่น ๑ ไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น ๑ มีความเห็นถูก คือเห็นว่าการทำบุญมีผล เป็นต้น ๑ หรือจะเจริญกุศลให้สูงยิ่งขึ้นจนได้ฌาน วิปัสสนา และมรรค ผล นิพพาน ก็ยิ่งประเสริฐ

แม้ว่าการเกิดเป็นมนุษย์จะได้มาโดยยาก และมนุษย์จะได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ ถึงกระนั้นการเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นทุกข์ ไม่ใช่จะเป็นสุขไปทุกอย่าง ทุกข์เพราะต้องแสวงหาสิ่งต่างๆมาปรนเปรอชีวิต ทุกข์เพราะเจ็บป่วย ทุกข์เพราะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก เป็นต้น แม้มนุษย์ที่มีความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์ที่สุดอย่างพระเจ้าจักรพรรดิ ก็หนีทุกข์เป็นต้นเหล่านี้ไม่พ้น เกิดมาแล้วก็เป็นทุกข์บ้าง สุขบ้าง คละเคล้ากันไป

ในวัฏฏสงสารอันยาวนานนี้ เราจำกันได้หรือไม่ว่า เราได้เกิดมากี่ครั้ง เชื่อแน่ว่าไม่มีใครจำได้

*พระพุทธเจ้าตรัสว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดและเบื้องต้นไม่ได้ เมื่อหมู่สัตว์ผู้มีอวิชชากางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดและเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฎ
*อนมตัคคสังยุตต์ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค


พระพุทธองค์ทรงแสดงให้เราทราบว่า ทุกคนที่เกิดมานี้ล้วนแต่มีบรรพบุรุษสืบสายกันมานับไม่ถ้วน ทั้งทางฝ่ายมารดาและบิดา โดยทรงเปรียบเทียบกับผืนแผ่นดินใหญ่นี้ว่าถ้าเราจะเอาดินมาปั้นเป็นก้อนเล็กๆเท่าเมล็ดกระเบา แล้วสมมุติให้ก้อนนี้เป็นมารดาของเรา ก้อนนี้เป็นมารดาของมารดาเราเป็นลำดับไป มารดาของมารดาเราจะไม่ถึงความสิ้นสุด แต่ดินบนผืนแผ่นดินใหญ่นี้จะพึงหมดไปเสียก่อน แม้ในฝ่ายบรรพบุรุษของบิดาก็เช่นเดียวกัน

เราได้เสวยความทุกข์เดือดร้อน ร้องไห้ คร่ำครวญกันมานานไม่น้อยเลย พระพุทธองค์ตรัสว่า น้ำตาของเราผู้ร้องไห้อยู่ในสงสารอันยาวนานนี้ ยังมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ รวมกันเสียอีก ร่างกายของเรานั้นเล่าก็นอนทับถมพื้นดินกันมานานมิใช่น้อย จนนับประมาณมิได้

ตลอดเวลาที่เราท่องเที่ยวอยู่ในสงสารนี้ บางคราวก็จากโลกนี้ไปสู่โลกอื่น บางคราวก็จากโลกอื่นมาสู่โลกนี้ เวียนวนไปมาอยู่อย่างนี้ โดยไม่อาจกำหนดที่สุดของการเกิดของเราได้เลย ตราบเท่าที่ยังไม่เห็นอริยสัจ  ๔

ทุกข์นั้นมีมากมาย แต่ไม่มีทุกข์อะไรที่น่ากลัวยิ่งกว่า ทุกข์ในวัฏฏะ อันมีการเวียนเกิดเวียนตายที่หาจุดจบมิได้ เกิดทีไรก็เป็นทุกข์ทีนั้น


การเกิดบ่อยๆ จึงเป็นทุกข์ การไม่ต้องเกิดเป็นอะไรเลยเป็นความสุข

ทุกข์เหล่านี้มีตัณหาความอยาก ความต้องการเป็นมูล พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้มีตัณหาเป็นเพื่อนสองท่องเที่ยวไปอยู่สิ้นกาลนาน ย่อมไม่ก้าวล่วงสงสารไปได้ เพราะฉะนั้นการดับตัณหาอันเป็นมูลเหตุของทุกข์ทั้งมวลเสียได้ จึงเป็นความสุขอย่างยิ่ง

ตัณหาจะดับได้ก็เพราะได้ดำเนินตามทางสายกลางที่เรียกว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ อันประกอบด้วย สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ๑ สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ ๑ สัมมาวาจา การเจรจาชอบ ๑ สัมมากัมมันตะ การทำงานชอบ ๑ สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีพชอบ ๑ สัมมาวายามะ การเพียร ๑ สัมมาสติ การระลึกชอบ ๑ สัมมาสมาธิ การตั้งใจมั่นชอบ ๑ จนบรรลุพระอรหัตต์เป็นพระอรหันต์เท่านั้น

ความเป็นมนุษย์ของเราจะสมบูรณ์ที่สุดก็เพราะได้เข้าถึง อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ อันเกษมจากโยคะ หมดสิ้นทั้งกิเลสและขันธ์ทั้งปวง ไม่ต้องเกิดมาพบกับความทุกข์อีก
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 21, 2012, 08:58:31 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๗๓
วันที่ ๑๕ พ.ค. – ๒๕ พ.ค.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


พระพุทธโคดม

ต่อไปจะกล่าวถึงการสร้างพระเครื่องของหลวงพ่อพิมพ์พระพุทธโคดม หรือพิมพ์พระพุทธเจ้าในวิหาร พระเครื่องพิมพ์นี้หลวงพ่อได้จำลองมาจากพระพุทธเจ้าในวิหาร ซึ่งเป็นของคู่วัดสร้างขึ้น พ.ศ.๒๔๗๓ ปัจจุบันหลักฐานชื่อผู้บริจาคเงินสร้างยังมีอยู่ วิหารนี้ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กุฏิของหลวงพ่อ คือวิหารนี้ ถ้าเจ้าอาวาสเห็นความสำคัญของวัด นับถือพระพุทธองค์จริง ต้องสร้างรูปจำลองของพระพุทธเจ้า และพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร ประทับอยู่ในวิหาร เหมือนเมื่อครั้งพระพุทธกาล คือพระพุทธองค์เคยประทับอยู่ที่เชตะวันวรวิหาร ถือเป็นหัวใจของวัด

พระพุทธเจ้าในวิหารที่วัดหลวงพ่อ เป็นพระปูนปั้น มองดูก็ธรรมดา ๆ แต่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ถ้าจะบนบานให้บนด้วยประทัด ซึ่งเป็นเรื่องแปลกคือ หลวงพ่อไม่ค่อยชอบเสียงปืน เสียงประทัด แต่พระคู่วัดกลับชอบรับบนด้วยประทัด

ต่อมาหลวงพ่อได้สร้างพระพุทธพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรกของท่าน แต่จะว่าครั้งแรกทีเดียวก็ไม่เชิง เพราะก่อนหน้านี้หลวงพ่อใช้กระเบื้องแกะเอา หลังจากหมดกระเบื้องเก่าแล้ว หลวงพ่อก็สร้างพระพุทธพิมพ์ พิมพ์นี้ขึ้นมา จะเรียกว่ารุ่นทดลองก็เรียกได้ หลวงพ่อได้ทุ่มเทหาดินวิเศษจากที่ต่าง ๆ เช่น ที่ดอนเจดีย์ เขาสารพัดดี ดินอาถรรพณ์ที่มีเทวดารักษาตามที่ต่าง ๆ ผสมกับทรายเสกจากอินเดีย แร่โคตรเหล็กไหล เพชรหน้าทั่ง อุกกาบาต ฯลฯ เป็นพระเครื่องที่มีส่วนผสมของวิเศษมากกว่าพระเครื่องทุกพิมพ์ มากกว่าพิมพ์สรรค์ด้วยซ้ำ เมื่อหลวงพ่อพิมพ์พระแล้วนำมาเผา ปรากฏว่าไม่แตก ไม่ระเบิด คือปกติแร่ต่าง ๆ ถ้าผสมกันทำพระแล้วนำไปเผาจะทำให้ยากมาก พระจะแตกเกือบหมด เพราะการขยายตัวและการหดตัวของความร้อน แต่พระของหลวงพ่อไม่เป็นไร คือหลวงพ่อคงมีกรรมวิธีที่ดี พระพิมพ์นี้ค่อนข้างโต ตามแบบฉบับพระของหลวงพ่อหรือหลวงพ่อจะลองใจศิษย์ก็ไม่รู้ ฐานกว้างตก ๒ นิ้วกว่า  ศิษย์รุ่นหลังเห็นแล้วไม่มีใครคิดจะใช้ แต่พุทธคุณเด็ดขาด และแน่นอน ดีทางกันอาวุธ ดีทางอำนาจลึกลับ ทำน้ำมนต์รักษาโรค ทำน้ำมนต์รักษาไข้ได้ ขนาดองค์ที่หักและแตกเจ้าของยังเอาผ้ามาห่อแบ่งให้ลูกติดตัวใช้ได้ พระชุดนี้สร้างน้อยและหายาก โดยมากอยู่กับศิษย์รุ่นเก่า ๆ อายุตก ๖๐ ปีขึ้นไป จึงไม่ค่อยมีอภินิหาร และคนอายุตก ๖๐ ปีก็ไม่ค่อยกล้าเล่าเรื่องความเกเรของแกเมื่อครั้งหนุ่ม ๆ คงกลัวลูกหลานจะได้ยิน


ต่อไปจะขอบันทึกอภินิหารเอาไว้สักหนึ่งเรื่อง ศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่งชื่อ ร้อย เขาเรียกแกว่า นายร้อย เป็นศิษย์รุ่นเก่าอายุตอนพบกันกับผู้เขียนตก ๖๐ กว่า เวลาล่วงเลยมาเกือบ ๑๐ กว่าปี ปัจจุบันคงจะอายุ ๗๐ ปีกว่า เป็นคนทุ่งคลี อ.เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี เป็นคนโบราณ สุขภาพแข็งแรงมาก เขาว่าคนถือวิชาจะสุขภาพดี แข็งแรง ลุงร้อยอายุตอนนั้น ๖๐ กว่า ยังสามารถรับจ้างแบกข้าวสารเป็นกระสอบ ๆ ได้ ชอบเล่นพนันมวย สมัยหนุ่ม ๆ เกเรเป็นโจร เคารพหลวงพ่อเป็นที่สุด ได้มากราบหลวงพ่อ หลวงพ่อได้ให้พระพิมพ์นี้ไป ๑ องค์ เคยไปปล้นเขาก็เคย เคยไปลักควายเขาก็เคย ลักมันดะไปหมด ๓ จังหวัดติดต่อกัน สุพรรณบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี แกเล่าว่าเคยโดนยิงจริง ๆ ประมาณ ๖-๗ ครั้ง ถ้าไปลักของเขาทุกครั้ง แต่ถูกมั่งไม่ถูกมั่ง แต่ถ้าถูกลอบยิงจะไม่เคยเลย  แต่ก็มีดังฟู๊ด มีมั่งเป็นบางครั้ง แต่ไม่รู้ไปพลาดท่าอย่างไรโดนติดคุกที่ชัยนาท ตอนหลังได้รวมพวกแหกคุกออกมา ๑๐ กว่าคน หัวหน้าผู้คุมสั่งจับตาย ทั้งหมด ๑๐ กว่าคนตายเรียบ นายร้อยก็ตายแต่ถ้าตายกันง่าย ๆ แบบนี้ หลวงพ่อคงไม่เป็นที่กล่าวขานของศิษย์แน่ ๆ วันโดนจับและวันแหกคุก นายร้อยได้ใช้พระห่อผ้าเหน็บชายพกตรงเอว ทางผู้คุมจึงไม่รู้ ในวันแหกคุกก็เช่นกัน นายร้อยได้นำพระห่อชายพกตรงเอวแหกคุกออกมา โดนยิงด้วยปืนเป็นสิบ ๆ กระบอก โดนตีซ้ำตาย นักโทษทั้งหมดสิบกว่าคน พัศดีเรือนจำได้แทงบัญชีตายทั้งหมด นอนตายเกลื่อนกำแพงเต็มไปหมด แต่พอผู้คุมจะลากตัวไปเผา มีนักโทษคนหนึ่งไม่ตายสลบไปเฉย ๆ มีรอยเลือดเต็มไปหมด แต่เมื่อเอาน้ำสาดให้ฟื้นกลับเป็นเลือดของคนอื่น ผลคือนายร้อยไม่ตาย แต่ได้แทงบัญชีตายไปแล้ว หน่วยเหนือก็สั่งให้ตายแล้วด้วย ผู้คุมก็คนถึงจะใจหินอย่างไรเอาไปตีให้ตายเฉย ๆ ก็ทำไม่ได้ เลยให้นักโทษชายชื่อ นายร้อย อยู่ในคุกโดยไม่มีชื่อในบัญชี แม้ชื่อในทะเบียนบ้านก็ไม่มี แทงว่าตายแล้วเช่นกัน ภายหลังได้ทำงานบ้านพัศดีและได้ออกมาจากคุก เป็นคนไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน ไม่มีบัตร เข้าใจว่าปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ แกยังเล่าว่าตอนเจ็บอยู่ในคุก ได้ใช้พระนี้รักษาโรค ทำน้ำมนต์ได้ ทำน้ำมนต์ลดอาการไข้ได้ บางคนมีโรคประจำตัวยังสามารถทำน้ำมนต์รักษาได้ ปัจจุบันพระของแกฐานหักบิ่น ส่วนที่บิ่นยังได้แบ่งให้ลูกชายไว้ใช้ แกบอกว่าแคล้วคลาด เข้าป่าเข้าดงยังรอดชีวิตมาหลายครั้ง ก็ขอจบเรื่องพระพุทธพิมพ์พระพุทธโคดม หรือ พระพิมพ์พระพุทธเจ้าในวิหาร แต่เพียงนี้ พระพิมพ์นี้ศิษย์รุ่นเก่าบางคนเรียกว่าพิมพ์พระปัจเจกโพธิ์ก็เรียก

 จดหมายคุณจำนง คล้ายพันปี
โรงงานพิษณุโลก องค์การทอผ้า
จ.พิษณุโลก โทร.๒๕๘๐๑๖ – ๒๕๘๖๘๔
เรื่องส่งเงินมาบูชากุมารทองหลวงพ่อกวย
กราบเรียนพระอาจารย์สำรวย อคฺคปัญโญ ที่เคารพยิ่ง
สิ่งที่ส่งมาด้วย ในซองนี้ตั๋วแลกเงิน จำนวน ๑๐๐ บาท

ท่านอาจารย์ครับ เงินที่ผมส่งมานี้หากอาจารย์รับแล้ว ขอความกรุณานำไปรับเงินที่ทำการไปรษณีย์ได้เลยนะครับ เงินจำนวนนี้ผมส่งมาเพื่อบูชากุมารทองของหลวงพ่อกวยครับ เพราะผมมีลาภจากที่หลวงพ่อท่านเมตตาให้ เรื่องมีดังนี้ครับ คืนวันที่ ๑๐ ก.ย.๒๕๓๓ ที่ผ่านมานี้ หลังจากสวดมนต์ไหว้พระแล้ว ผมก็บอกกับท่านว่า หลวงพ่อครับลูกยากจนเหลือเกิน หลวงพ่อก็รู้แล้ว ขอหลวงพ่อเมตตาแก่ผมสักครั้งเถอะ และผมจะบูชากุมารทองหลวงพ่อด้วย คืนนั้นผมหลับไปนานเท่าไรไม่ทราบ หลวงพ่อไปเข้าฝันบอกกับผมว่าหลวงพ่อเอาของมาให้วางไว้ที่โต๊ะ ผมตกใจตื่นรีบออกมาดูที่โต๊ะ ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย มีแต่ซองจดหมายเก่า ๆ ที่ใช้แล้ว ที่ญาติผมส่งมาคุยด้วย ผมก็เอาหลังซองคิดเลขบางอย่างที่เกี่ยวแก่การงานแล้วเสียบไว้ที่ข้างฝา ซองนี้นานมาแล้วครับ เมื่อไม่เห็นมีอะไรก็วางจะเข้านอน คิดว่าคิดถึงท่านมากจนฝันไปเอง แต่ไม่ทราบว่าอะไรดลใจให้จับซองนั้นมาดูอีกก็เห็นเลขที่คิดแล้วเอาปากกาแดงวงไว้เป็นยอดเงิน ๓๓,๖๗๑ บาท ใจคิดว่าหรือหลวงพ่อจะเอาเลขนี้ให้ผม ตื่นตอนเช้าก็เอาเลขนั้นมาซื้อหวยออมสิน ข้างบน ๖๗๑ ซื้อ ๓๐ บาท ๒ ตัวข้างล่างซื้อ ๗๑ เพียง ๕ บาท เวลาหวยออกผมแทบดิ้นตาย ๓ ตัวบนออกมา ๓๓๖ ล่างออก ๗๑ ความฝันอันนี้ผมไม่เล่าให้ใครฟังเลยแม้แต่ภรรยา เสียดายจังครับ ท่านให้โชคตรง ๆ เลย แต่วาสนาผมมีโชคแค่นี้เอง เห็นเป็นความมหัศจรรย์ที่สุด จึงได้จดหมายมาเล่าให้อาจารย์ฟัง พร้อมกับส่งเงินมาบูชากุมารทอง ตามที่พูดกับท่านไว้ จำนวน ๑ องค์ ตามสัญญา หากอาจารย์รับแล้วขอได้จัดส่งไปให้ผมตามต้องการต่อไปด้วย ขอกราบเรียนถามดังต่อไปนี้

ทันทีที่รับเข้าบ้านจะทำอย่างไร บูชาด้วยอะไร ต้องจัดอาหารรับครั้งแรกไหม และต้องจัดทุกวันไหม (ผมกลัวลำบากเพราะบางทีลืมได้) เวลากินข้าวในบ้าน นอกบ้านใช้เรียกเอาได้ไหม ให้กินพร้อมเราเลย เวลาไปนอกบ้านจะให้ไปด้วยใช้วิธีบอกได้ไหม อยากให้ปรากฏร่างแก่เราบ้างทำอย่างไร อยากให้แสดงออกให้คนเห็นในเวลาที่เราให้เฝ้าบ้านด้วย ขอคาถาเชิญ เรียก ควรตั้งในที่ใด หิ้งพระ หิ้งอื่น ฯลฯ น้ำมันที่เลี้ยงเจาะจงไหมว่าเป็นน้ำมันอะไร ขอได้บอกถึงวิธีการเดินทางมาวัดด้วยรถไฟ รถยนต์ ผมจะมาวัด แต่ไม่เคยมาเลย

จึงกราบนมัสการมาเพื่อทราบ
ขอแสดงความนับถือ

จำนงค์ คล้ายพันปี


ตอบตอบ คุณจำนงค์ ที่นับถือ คือ อาจารย์ส่งจดหมายมาที่ผม ผมไม่แน่ใจว่าอาจารย์ตอบคุณไปแล้วหรือยัง มีจดหมายถามผมมาถึงวิธีเลี้ยงรัก-ยม กุมารทอง ผมก็ไม่ค่อยมีความรู้เท่าไร และจริง ๆ แล้ว ผมเองก็ไม่ค่อยชอบเลี้ยงสิ่งเร้นลับพวกนี้เท่าไร โดยเฉพาะผีนี่ไม่ชอบเลย ผมขอตอบจดหมายแทนท่านอาจารย์สำรวย ดังนี้ รัก-ยม กุมารทอง เวลาเราได้มาให้บอกพระในบ้าน บอกเล่าพระภูมิ บอกเล่าหลวงพ่อผู้ปลุกเสกด้วยว่า ตอนนี้มีสมาขิกเพิ่ม คือ บอกแต่สิ่งดี ๆ ควรมีหิ้งพิเศษให้อยู่คนละที่กับหิ้งพระ มีแก้วน้ำให้เขา วันแรก ๆ ควรมีขนมหวานให้เขากิน บอกเล่าเรียกเขาให้กินข้าวพร้อมกัน อยากกินอะไรให้หากินเอา เวลาไปนอกบ้านอยากให้เขาไปด้วย ก็ชวนเขาไปเรียกเขาด้วยคาถากุมารทอง คือ เอหิตาตะ ฯ คาถารัก-ยม ก็ จิเจรุนิฯ ถ้าจะให้ดีก็เอาขวดรัก-ยม กุมารทองไปด้วยเลย เป็นเครื่องรางได้ เป็นเมตตาดีด้วย เพราะน้ำมันเป็นน้ำมันเสน่ห์จันทร์ เวลาน้ำมันแห้งยุบ ก็ต้องเติมด้วยนร้ำมันจันทร์ เรื่องที่คุณอยากให้ปรากฎร่างให้เห็น อันนี้ยากครับ เหมือนกับคุณอยากเห็นผีนั่นแหละ ขนาดเดินผ่านป่าช้ายังไม่เจอเลย อย่างมากเขาก็พบเราในความฝันครับ แต่ก็มีบ้างที่ทำให้กลัว

การเดินทางมาวัดทางรถยนต์คุณนั่งรถให้มาถึงชัยนาท ให้ได้ก่อนเป็นใช้ได้ แล้วมาอำเภอสรรคบุรี ทางรถไฟคุณมาจากพิษณุโลกมาลงที่สถานีตาคลี จ.นครสวรรค์ แล้วนั่งรถมาชัยนาท สรรคบุรีครับ

โชคดีครับผม

ฒ.สุพรรณ

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 28, 2012, 08:42:18 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๗๔
วันที่ ๒๕ พ.ค. – ๕ มิ.ย.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


ตำนานพระสมเด็จวัดโฆสิตาราม

ต่อไปจะกล่าวถึงกรรมวิธีสร้างพระพุทธพิมพ์รูปแบบที่เรียกว่าสมเด็จ พระสมเด็จนั้นหมายถึงพระเครื่องที่มีรูปแบบทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า สร้างตามแบบของพระสมเด็จพุฒาจารย์โต วัดระฆังโฆษิตาราม ผู้ยิ่งยง วิธีการสร้างพระสมเด็จนั้น หมอเฉลียว เดชมา ศิษย์ใกล้ชิดเป็นผู้เล่าไว้ สำหรับหมอเฉลียวนี้บางคนอาจจะสงสัยว่า หมอเฉลียวกับผมใครใกล้ชิดหลวงพ่อมากกว่ากัน อันนี้ขอให้เข้าใจด้วยว่า หมอเฉลียวเขาใกล้ชิดมากกว่าผม ถ้าเทียบกับผมเป็นเพียงศิษย์หางแถวเท่านั้น คำว่าผมต่อไปนี้หมายถึงหมอเฉลียว เดชมา

พระสมเด็จของหลวงพ่อเป็นพระที่ทำได้ยากมาก เพราะพระของหลวงพ่อ หลวงพ่อต้องทำเอง ไม่ได้จ้างใครทำมาส่งให้ ส่วนผสมที่เป็นผงวิเศษนี้ เป็นผงวิเศษจริง ๆ ไม่ใช่ผงปูนปาสเตอร์หรือปูนขาว หลวงพ่อต้องใช้กระดานชนวนสมัยโบราณมาลงอักขระเรียกสูตรอักขระเลขยันต์ต่าง ๆ แล้วลบผงปลุกเสกอีกทีหนึ่งเรียกว่า ผงอิทธิเจ ผงมหาราช ผงปถมัง ผงนะร้อยแปด ฯลฯ เป็นต้น แม้ดินสอที่ใช้เขียนลบผง หลวงพ่อยังปั้นเองด้วย ดินสอพองผสมว่าน ๑๐๘ เกสร ๑๐๘ ดินต่าง ๆ อีก ปั้นตากแดดปลุกเสกเอาไว้ก่อนแล้ว เมื่อได้ผงมากแล้วก็นำมาผสมกับว่าน ๑๐๘ ข้าวตอกพระร่วง แร่อาถรรพณ์ แม้แต่อาหารในปากท่าน ถ้าท่านฉันอาหารมีรสอร่อยหลวงพ่อจะคายออกจากปาก แล้วตากแดดเอาไว้ผสมทำพระ นอกจากผงทั่ว ๆ ไปแล้ว หลวงพ่อยังใช้ไม้ตีระฆัง ชื่อไม้คันทรง เอามาบดทำผง หลวงพ่อบอกว่าเอามาทำสมเด็จจะค้าขายดี เป็นเคล็ดลับของหลวงพ่อ นอกจากผงของหลวงพ่อแล้วยังมีผงวิเศษของครูบาอาจารย์ของท่าน และที่สำคัญคือ ผงวิเศษของสมเด็จพุฒาจารย์โตผสมอยู่ด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง คือประมาณ พ.ศ.๒๔๗๗ พี่ชายผมได้มาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ได้พักที่วัดระฆังโฆษิตาราม พี่ชายเล่าว่าปีนั้นมีพระจำพรรษามาก พระเลยให้เด็กวัดไปนอนที่กุฏิเก่ารกรุงรัง ที่กุฏิเก่านี้ปกติไม่มีใครเข้าไปอยู่ เขาว่าผีดุเป็นที่เก็บโลงศพ ตู้เก่า ใบลานเก่า สมุดข่อยเก่า ๆ ของวัด ที่ตู้โบราณหลังหนึ่ง พี่ชายผมได้เจอผงวิเศษพร้อมผ้ายันต์และตำรายันต์เก่าของสมเด็จโต ที่สำคัญคือ มีสมเด็จวัดระฆังที่ทำแล้วปนอยู่กว่า ๑๐ องค์ สมัยนั้นพระสมเด็จของสมเด็จโตก็ไม่ดังอะไร ราคาก็ไม่แพง ภายหลังยังเปิดกรุที่วัดบางขุนพรหมอีกประมาณ พ.ศ.๒๕๐๐ กว่า ๆ พระมีมาก เมื่อพระรู้เรื่องที่พี่ชายผมได้พระสมเด็จโตก็มาขอเอาไปเกือบหมด เหลืออยู่แต่ที่ติดตัวกับได้ถวายหลวงพ่อกวยเอาไว้ ส่วนผงได้ถวายหลวงพ่อกวยจนหมด ผงมีมาก ๑ ห่อใหญ่ พระสมเด็จที่เหลือที่พี่ชายผมนี้ภายหลังมีคนมาให้ราคาเป็นแสนบาท หลวงพ่อได้นำผงวิเศษของท่านมาผสมกับผงของสมเด็จโตทุกพิมพ์และทุกรุ่น เมื่อได้ผงได้ว่านได้เกสรแร่ดี ๆ แล้วเอามารวมกันทำพระสมเด็จ บางทีมีหนูมากินผงของท่าน หนูยังแทงไม่เข้า ตอนกลางคืนถ้าไม่ปิดให้ดีจะมีค้างคาวมารุมกินผงของท่าน เมื่อหลวงพ่อว่างก็พิมพ์พระ พอลงมือโขลกผสมผงเกิดอัศจรรย์ ลูกศิษย์จะมารอหน้ากุฏิเต็มไปหมด ถ้าไม่ทำก็ไม่มาเท่าไร เพราะขณะหลวงพ่อโขลกผงหลวงพ่อจะว่ามนต์ไปด้วย พระก็จะทำลูกศิษย์ก็จะคอย ยุ่งไปหมด ถ้าไม่ทำพระลูกศิษย์ก็ไม่ค่อยมาอัศจรรย์ หลวงพ่อถึงกับเอ่ยปากชมว่า  “ผงสมเด็จโตนี่ก็แน่เหมือนกันนะ โขลกผสมผงไม่ได้เลย ลูกศิษย์คอยจะมา เมตตา โชคลาภดีแท้ ๆ แต่กูซิชักรำคาญแล้ว ไม่เป็นอันทำอะไร ยิ่งยุ่งก็ยิ่งมา”หลวงพ่อจะเลือกวันพิมพ์พระ เลือกเวลาด้วย เช่น ยามกากบาทหลวงพ่อจะไม่ทำพระเด็ดขาด ต้องเลือกทำยามสี่ศูนย์ ยามปลอดศูนย์ เป็นต้น ทีนี้หลวงพ่อปิดกุฏิทำพระ แขกก็มารอ บางคนก็หาว่าหลวงพ่อพบยาก แถมหมาคอยจะกัดอีก เรื่องหมาของหลวงพ่อ มันไม่กัดใครจริง ๆ เลย มันกัดขู่ ๆ แต่กางเกงขาด จริง ๆ แล้วหลวงพ่อท่านลงอาคมเย็บปากมันไว้ มันอ้าปากกัดใครแทบไม่ได้เลย ได้แต่ขู่ ๆ เท่านั้น
การทำพระลงพิมพ์ของหลวงพ่อจะผสมเนื้อในวันเดียวกันเนื้อหนึ่ง อ่อนแก่ต่างกันกะ ๆ เอา แล้วกดพิมพ์ลงในแม่พิมพ์ประมาณสอง-สามพิมพ์ ฉะนั้นบางครั้งจะพบพระคนละพิมพ์แต่เนื้อเดียวกัน หรือ พิมพ์เดียวกันแต่คนละเนื้อ เป็นต้น อันนี้ต้องดูให้เป็นจริง ๆ แต่ถ้าเคยเห็นก็ดูได้ พระของหลวงพ่อทำได้ยาก ท่านไม่ต้องการให้เอาออกจำหน่าย แค่แลกกับเงิน ๑๐-๒๐ บาท แต่ท่านอยากให้คนที่มีความทุกข์ร้อน เพราะค่าของพระท่านนั้นมีมาก หลวงพ่อจึงแจกให้คนมีทุกข์ร้อน กับคนที่อยากได้คือขอท่านนั่นเอง ท่านบอกท่านไม่อยากแจกให้คนที่ไม่ขอ ไม่อยากได้ ท่านว่าเดี๋ยวมันเอาไปทิ้งกันหมด มันนึกว่าตุ๊กตา ท่านว่าคนไม่รู้ค่าก็เหมือนไก่ที่ไม่รู้จักพลอย แต่ผมพูดกับท่านว่าผมไม่ใช่ไก่นะ หลวงพ่อเลยพูดว่า “มึงเก็บไว้เถอะดี เก็บไว้เยอะ ๆ เมื่อกูตายไปแล้วจะหาพระที่ทำผงเอง พิมพ์พระเองแบบกูนี้ จะหาแทบไม่มีอีกแล้ว พระกูในวันหน้า จะหายาก และแพงมาก แล้วมึงคอยดูก็แล้วกัน”

ขณะที่ผมกำลังเขียนวิธีทำพระสมเด็จของหลวงพ่อให้คุณเฒ่าอยู่นี้ ก็พอดีมีมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาหาผม ชื่อ สำรวย ข้องหลิม พาคนมาหาผมมาถามผมว่า รู้จักหลวงพ่อกวยบ้างไหม ผมก็บอกว่ารู้จัก เขาเลยลงจากรถและแนะนำตัวเองว่าชื่อ ฉลวย นพรัตน์ บ้านอยู่มหาชัย อยากมาหาหลวงพ่อกวย คือ ผมกำลังมีปัญหาเรื่องคดีที่ดินมาหลายปีแล้ว เป็นความจนเงินหมด มีหนี้สินรุงรัง แก้ปัญหาไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้บอกเล่าพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโลกว่า ถ้าพระพุทธมีจริง พระธรรมมีจริง พระสงฆ์มีจริง ขอให้เขาได้พบกับพระที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่จะช่วยเขาได้ด้วยเทอญ ก็พอดีตกกลางคืนฝันว่า มีพระแก่ ๆ ผอม ๆ ผิวขาวเหลืองไปบอกว่าชื่อ หลวงพ่อกวย อยู่วัดโฆสิตาราม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ไปบอกให้ผมไปเช่าพระสมเด็จหรือเหรียญก็ได้ของท่านมาบูชาจึงจะช่วยได้ หรือถ้าได้สมเด็จที่มีรูปท่านอยู่ข้างหลังก็ยิ่งดี ผมจึงสืบเสาะมาหาจนถึงที่นี่ แต่เงินผมไม่ค่อยมี คือมัวแต่เอาไปตีเป็นตัวเลขหวยซะ แต่ยังดีที่ถูกบ้าง และใช้เงินตามหาหลวงพ่อจนเงินจะหมดอยู่แล้ว ผม(หมอเฉลียว)นึกสงสารเลยให้พระของหลวงพ่อเท่าที่ผมจะมีอยู่ นายฉลวยดีใจมาก พูดว่า“ความเรื่องที่ดินคงจะสำเร็จแน่ เพราะผมฝันแปลกว่าหลวงพ่อจะช่วยได้” เรื่องนี้ผมว่าแปลกดีเพราะมหาชัยกับชัยนาทไกลกันมาก แล้วหลวงพ่อไปเข้าฝันเขาได้อย่างไร ผมก็แปลกใจ วันอื่น ๆ ก็ไม่มา ๆ ในวันที่ผมกำลังเขียนเรื่องให้คุณเฒ่า อยู่พอดี

พอดีหมอเฉลียว ได้เล่าเรื่องการสร้างพระสมเด็จไว้ ก็ขอเล่าเรื่องอภินิหารของพระสมเด็จพิมพ์หลังรูปเอาไว้สัก ๑ เรื่อง เรื่องพระเครื่องนี้เป็นเรื่องของจิตใจและการผูกพัน ถ้ามีอยู่แล้วไม่ได้บูชาก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เหมือนอิฐ เหมือนกระเบื้องอย่างนั้นคล้ายกัน ถ้าบูชาระลึกถึงบ่อย ๆ จึงจะดี เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ ต.พักทัน เจ้าของเรื่องชื่อ สนิท เป็นคนจรแต่นิสัยดี มีอาชีพจำหน่ายพระของสำนักพุทธประทีป บังเอิญวันนั้นได้เดินเร่ มาจำหน่ายพระที่บ้านนายอู๋ หมู่ ๑ ต.พักทัน เห็นนายอู๋นอนซมอยู่ใต้ต้นไม้หน้าบ้านมีแผลเต็มไปหมดทั่วตัว ขาดการเอาใจใส่ดูเนื้อตัวก็เปรอะเปื้อนขมุขมอม น่าเวทนา นายสนิทก็ถามว่าเป็นอะไรไป เมียนายอู๋ก็ตอบว่าก็เมาน่ะซิ นอนหลับหนาว ๆ เอาผ้าห่ม ๆ ก่อกองไฟให้อุ่น ไฟไหม้ผ้าห่มไม่ยอมตื่น ดีชะบุญไม่ตาย คือตอนนั้นเป็นฤดูหนาว พอดีนายสนิทเหลือบเห็นเด็ก ๆ ลูกของนายอู๋ ๒-๓ คน เอาปอกล้วยมาลากพระเล่น อยู่ที่ลานบ้านเป็นพระสมเด็จมีลวดถักไว้ นายสนิทเห็นเข้าก็ทุเรศทุรัง คิดในใจว่าบ้านนี้ทำไมเอาพระมาให้เด็ก ๆ ลากเล่น หรือเพราะนายอู๋ทำอย่างนี้จึงไม่เจริญ ไฟจึงไหม้เอา มองดูสภาพบ้านก็น่าสังเวชก็เลยไปหยิบพระที่เด็ก ๆ ลากเล่นกันเอามาดู ปรากฏว่าเป็นพระสมเด็จ ด้านหลังมีรูปเขียนว่าหลวงพ่อกวย เมื่อนายอู๋เห็นพระก็นึกชอบขึ้นมา จึงได้ขอเช่าจากเมียนายอู๋ เมียนายอู๋ก็บอกว่าเอาซิขอเหล้าขวดเดียว นายสนิทเลยควักสตางค์ให้ไป ๑๕๐ บาท บอกว่าจะได้เหลือค่ารักษานายอู๋ และได้ถามทางมาวัดของหลวงพ่อกวย ระหว่างทางก็หยิบพระมาพิจารณาดูเห็นรูปด้านหลังของหลวงพ่อมีรอยถลอกปอกเปิก เกิดตื้นตันใจสงสารหลวงพ่อจนน้ำตาไหล ทั้ง ๆ ที่นายสนิทไม่เคยรู้จักหลวงพ่อกวยมาก่อนเลย

เมื่อนายสนิทมาถึงวัดได้เอาพระให้หลวงพ่อดู พร้อมทั้งเล่าเรื่องให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อได้พูดว่าพระที่วัดนี้เองเอาไปเก็บไว้บูชาเถิดดี จะร่ำรวย เมื่อหลวงพ่อพูดอย่างนั้น นายสนิทก็ดีใจไปตลาดซื้อหวย ๔ ใบ ถูกรางวัลที่ ๕ หนึ่งใบ เลขท้าย ๒ ตัวอีก ๓ ใบ คือถูกทั้ง ๔ ใบเลย เมื่อถูกหวย นายสนิทได้เดินทางมากราบหลวงพ่อ ขอเช่าบูชาเฉพาะสมเด็จหลังรูปอย่างเดียว เช่าไปหลายสิบองค์ และเดินทางไปเยี่ยมนายอู๋กับเมีย ที่บ้านหมู่ ๑ ต.พักทัน ปรากฏว่านายอู๋ตายแล้ว เมียนายอู๋เล่าว่าวันนั้นเมื่อได้เงินแล้วก็ไปซื้อเหล้ามากินกันหลายขวดกับนายอู๋ ๒ คน เหล้าสมัยก่อนขายขวดละสิบกว่าบาทเท่านั้น ปรากฏว่าคืนนั้นนายอู๋ก็สิ้นใจตาย เมียก็ไม่รู้เพราะเมา ส่วนนายสนิทเมื่อบูชาพระของหลวงพ่อกวยก็มีแต่ความสุขความเจริญ ไม่ได้เป็นลูกจ้างเขาอีก หนี้สินก็ใช้หนี้เขาหมด หวยก็ถูกบ่อย ได้เดินทางมากราบหลวงพ่อเป็นประจำอยู่เสมอ ครั้งหลังได้เล่าเรื่องให้หลวงพ่อฟังว่า แต่เดิมตัวเองติดการพนัน เหล้าและบุหรี่ แต่เมื่อบูชาพระสมเด็จของหลวงพ่อติดตัว ภายหลังเลิกได้หมดเลิกได้เอง และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเลิกได้ตั้งแต่เมื่อไร มานึกได้อีกทีก็ตอนที่เลิกได้แล้วนี่เอง นับว่าบารมีของสมเด็จหลวงพ่อนี้ดีแท้ ๆ

เรื่องนี้ก็เล่าให้ฟัง ความจริงเรื่องอภินิหารของสมเด็จหลังรูปนี้ยังมีอีกมากกว่านี้ และเหนือกว่านี้อีก โอกาสหน้าจะเล่าให้ฟัง ก็ขอขอบคุณหมอเฉลียว เดชมา ที่เล่าให้ฟังเรื่องวิธีสร้างพระผงของหลวงพ่อ

ปัจจุบันสมเด็จหลังรูปนี้มีปลอมทำได้คล้ายคลึง“แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด อันเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน”

จดหมาย คุณสมชาย สุภานุสร

นมัสการพระอาจารย์สำรวย อัคฺคปัญโญ ที่เคารพ

หลายปีมาแล้วผมเคยบูชาผ้ายันต์ท้าวเวสสุวัณ ของหลวงพ่อกวยและอาจารย์ก็แจกรูปถ่ายขนาด ๑ นิ้ว ขาวดำ หลังปั๊มตราวัดมาให้ปรากฏว่าทั้งผ้ายันต์และรูปถ่ายต่างก็มีอภินิหาร ผ้ายันต์นั้นดีมาก และรูปถ่ายเล็กนั้นก็ให้โชคลาภ ตอนได้มาใหม่ ๆ ผมเคยอธิษฐานว่า ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงก็ขอให้ถูกล็อตเตอรี่ แล้วผมจะเอารูปท่านไปเลี่ยมทองให้ ปรากฏว่างวดนั้นถูก ๓ ตัวได้เงินมา ๒,๐๐๐ บาท ผมต้องเอารูปไปเลี่ยมทอง ค่าเลี่ยมก็พอดี ๒,๐๐๐ ตอนหลังผมให้น้องสาวไปใช้ก็ประสบโชคลาภอยู่เรื่อย ๆ ไม่ทราบว่ารูปถ่ายขนาด ๑ นิ้ว หลังปั๊มตราวัดสีแดงหมดหรือยัง ยังไงอาจารย์ส่งข่าวให้ผมทราบด้วยนะครับ

นมัสการด้วยความเคารพ

สมยศ สภานุสร

๒๔๑/๔๑๒๗ แฟลต ๖๒ ชั้น ๑ ถ.ประชาสงเคราะห์ แขวงดินแดง เขตห้วยขวาง กทม.๑๐๔๐๐


ตอบคุณสมยศ คำตอบอาจารย์สำรวยคงตอบคุณแล้ว ประสบการณ์ของคุณอาจารย์เห็นว่าดี เลยส่งมาให้ผม เรื่องปั๊มตราวัดจะสีแดงหรือน้ำเงินก็เหมือนกันครับ เพราะอาจารย์สำรวยท่านประทับเอง แล้วแต่หมึกครับ

ฒ.สุพรรณ

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 28, 2012, 10:12:01 am
ขอถือโอกาสนี้สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๖ เลยนะครับ ขอให้ลูกศิษย์ของหลวงพ่อทุกท่านจงมีความสุขเจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ ธันวาคม 29, 2012, 06:12:43 pm
ขอถือโอกาสนี้สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๖ เลยนะครับ ขอให้ลูกศิษย์ของหลวงพ่อทุกท่านจงมีความสุขเจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป
เช่นกันครับพี่วีรวัตน์ ขอให้พี่มีความสุขร่ำรวยเงินทอง และนำสิ่งดีๆๆของหลวงพ่อกวยที่ลูกศิษย์ทั้งหลายต่างเคารพมาเล่าสู่กันฟังอีกนะครับ  ;) ;) ;) ;) ;)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 02, 2013, 03:46:50 pm
คาถาอาราธนาครู

คำอาราทะนาว่าดังนี้ฯ สาธุ สาธุ
อุกาสะ อุกาสะ ข้าพเจ้าจะขออาราทะนา
นะคือพระกุกุสนโธฯ โมคือโกนาคะมะโนฯ
พุทธคือกัสสะโปฯ ทาคือพระสะมะณะโคดม
ยะพระศรีอาริยะเม็ตไตร ที่ได้สร้าง พระบารมี ๑๖ อะสงฆ์ไข
กำไรแสนมะหากับที่ล่วงลับเข้าสู่เข้านิพพาน
ข้าพะเจ้าจะขอบาระมีของท่านมาอยู่ในรูป เวทนาสัญญาสังขาร
และวิญญาณ ของข้าพะเจ้า ข้าพะเจ้าจะทำการเป็นหมอดู
ขอให้ประสิทธิเมพุททังประสิทธิ ฯลฯ ทำมํ ฯ สํฆํง ฯ ประสิทธิ ฯ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 02, 2013, 03:51:36 pm
คาถาเชิญครู

สาธุ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมนมัสการ พระพุทธคุณนัง พระธรรมะคุณนัง พระสังฆะคุณนัง พระศรีรัตนตรัยแก้ว ทั้งสามประการ พระพุทธชินสีห์ พระพุทธชินราช พระธาตุจุฬามณี พระศรีสรรเพชร พระธรรมเจ้าทั้ง แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ก็จบ ข้าพเจ้าขออาราธนาเข้ามาอยู่ในดวงจิต ในหทัยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะทําการสิ่งใด ขอให้ประสิทธิ ขอเดชเดชะคุณ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ปวงเทพเทวา จงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้าในกาลบัดนี้เถิด สาธุ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 02, 2013, 03:54:39 pm
คาถาไหว้ครู

ถ้าท่านผู้ใดจะไหว้ครู หรือบอกเล่าครูหลวงพ่อกวยจะท่องบ่นคาถาทุกบท ในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งข้าพเจ้ารวบรวมมานี้ ขอให้ท่านนำดอกไม้มาจบสักการะ ต่อหน้าพระพุทธ เพื่อเป็นศิริมงคลเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ ตำราเล่มนี้ จะช่วยท่านได้ทุกประการ ให้ระลึกนึกถึง หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร  แล้วตั้งนะโม 3 จบ แล้วว่าคำไหว้ครูโดยย่อดังต่อไปนี้

ตะมัตถัง  ปะกาเสนโต  สัตธาอะหะ
อิมะอะวิ  ตะอุอะมิ  มะสะนะโม


สิบนิ้วข้าพเจ้าขอน้อมนมัสการ แด่คุณครูอาจารย์ ผู้ประสาทวิทย์ อันเป็นมิ่งมิตรทั่วโลกา ข้าพเจ้าขอไหว้เทพยดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งองค์พระพรหมเมศรี ผู้เรืองฤทธิดกร อีกทั้งพระครูผู้รู้ไสยศาสตร์ โหราจารย์ จงมาอภิบาลปกเกศ ทั้งบิตุเรศชนนี หลวงพ่อกวยก็ดีจงมาเป็นสักขีพยานให้ข้าซึ่งจะท่องว่า คาถาอาคม ให้บรรลุสม และศักดิ์สิทธิ์ เป็นนิมิตดีแก่ตัวข้านะบัดนี้ เทอญ

บูชาธูปเทียนแล้วกราบลง 3 หน ก่อนท่านจะท่องคาถาใด ๆ ในตำราเล่มนี้ ให้ว่าบทนี้ได้ก่อน แล้วจึงท่องบทอื่น เลือกท่องได้ตามใจ ท่านควรเก็บไว้ที่สูง อย่าทิ้งเป็นของเล่น ตำรานี้ข้าพเจ้าคัดมาเรียกว่า ตำราแก้วสารพัดนึก

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 04, 2013, 06:28:27 pm
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๗๕
วันที่ ๕ มิ.ย. – ๑๕ มิ.ย.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



จดหมายคุณมนู รัตนลีลาวุฒิ

เรียนอาจารย์สมจิตต์ นับถือ

นานแล้วนะครับที่เราไม่ได้ทำบุญร่วมกัน แต่ผมก็ติดตามข้อเขียนของอาจารย์ไม่เคยขาด เห็นอาจารย์ตั้งมูลนิธิเพื่อการศึกษาของเด็กก็รู้สึกปลื้มใจมาก อาจารย์เป็นคนที่หาได้ยากมากในสังคมปัจจุบัน และพร้อมจดหมายนี้ผมได้ส่งธนาณัติมาร่วมกับอาจารย์ ๓,๕๐๐ บาท โดยเข้ามูลนิธิ ๓,๐๐๐ บาท ผ้าป่าถวายหลวงพ่อ ๕๐๐ บาท ก็ขอรบกวนอาจารย์ด้วยนะครับ

นับถือ

มนู รัตนลีลาวุฒิ


ตอบ ตอบคุณมนูที่นับถือ เงินมูลนิธิและเงินผ้าป่าได้รับแล้ว ลงบัญชีแล้ว ขอบคุณอย่างสูงสุด คุณว่าคนแบบผมหาได้ยากในสังคมปัจจุบันนี้ ผมว่า คนแบบผมยังหาง่ายกว่าคนแบบคุณ ผมตั้งมูลนิธิของหลวงพ่อขึ้นเพื่อเด็กวัดของหลวงพ่อ เพื่อวัดของหลวงพ่อ เพื่อบูชาคุณหลวงพ่อ อันนี้เป็นหน้าที่ของศิษย์อยู่แล้ว แต่ถ้าผมขาดพวกคุณ พวกคุณไม่เห็นความสำคัญงานนี้จะทำไม่ได้เลย ผมถึงว่าคนอย่างพวกคุณที่ทำบุญมานี่แหละหาได้ยากกว่า เพราะผมทำเพื่อหน้าที่ แต่คุณทำเพราะเห็นความสำคัญ สรุปคือถ้าไม่มีคนแบบคุณงานนี้ก็ไม่สำเร็จครับ ขอบคุณครับ ผมจำคุณได้เคยทำบุญมา

นับถือ

ฒ.สุพรรณ


พระลีลาถ้ำหีบ

พระปางลีลา คือพระพุทธพิมพ์รูปพระพุทธองค์ทรงย่างพระบาท เป็นลีลาที่อ่อนช้อยสวยงามของพระพุทธองค์ พระลีลาถ้ำหีบนี้เดิมพบที่ถ้ำหีบจังหวัดสุโขทัย เป็นพระเก่าศิลปะสุโขทัย เท่าที่พบมี ๒ เนื้อ คือ เนื้อชิน กับเนื้อดิน มีทั้งพิมพ์เล็ก และพิมพ์ใหญ่ เดิมพบในถ้ำหีบไม่ได้บรรจุกรุ ภายหลังเมื่อคนนำมาบูชามีผลดีทางโชคลาภ และความเจริญรุ่งเรือง คือความร่ำรวย

หลวงพ่อได้สร้างพระพิมพ์ลีลาแบบของถ้ำหีบไว้เช่นกัน แต่เป็นการถอดพิมพ์ คือหลวงพ่อคงจะเห็นว่าเป็นของเก่าเขาดี ควรอนุรักษ์เอาไว้ ท่านเลยถอดพิมพ์เอาไว้ แล้วสร้างด้วยเนื้อผงซึ่งไม่เหมือนของเก่า เท่าที่พบมี ๒ พิมพ์เช่นกัน ส่วนเนื้อหาเป็นเนื้อผง แต่มี ๒ เนื้อ คือเนื้อผงสีขาว กับเนื้อผงน้ำมัน เนื้อผงขาวถ้าโดนน้ำจะไม่ดีนัก แต่เนื้อผงน้ำมันจะคงทนมีความหนึกในตัว พิมพ์เล็กองค์พระยาวขนาดพิมพ์สรรค์ พิมพ์ใหญ่พระจะยาวกว่าพิมพ์สรรค์ คือค่อนข้างโต ด้านหลังของพิมพ์ใหญ่ หลวงพ่อจะฝังแร่วิเศษเอาไว้ เช่น แร่โคตรเหล็กไหล แร่อุกาบาตร แร่เพชรหน้าทั่ง ฯลฯ เรื่องแร่วิเศษนี้ ปัจจุบันที่ตู้พิพิธภัณฑ์ของท่าน ยังมีเก็บรักษาอยู่ ทีนี้ผงน้ำมันที่หลวงพ่อสร้างนี้ ขณะที่หลวงพ่อผสมผงลงพิมพ์ หลวงพ่อไม่ได้พิมพ์เพียงพิมพ์เดียว หลวงพ่อยังนำเนื้อเดียวกันนี้ลงพิมพ์ในสมเด็จพิมพ์ฐานผ้าทิพย์ด้วย พิมพ์ลงในสมเด็จพิมพ์พุทธกวักด้วย พิมพ์ลงในสมเด็จหลังรูปเหมือนด้วย คือขณะผสมเนื้อหลวงพ่อได้พิมพ์พระพิมพ์อื่น ๆ พร้อมกันไปด้วย แต่ในสมเด็จหลวงพ่อไม่ได้ฝังแร่ ส่วนพระลีลาถ้ำหีบนี้ฝังแร่ และปิดทองด้านหลัง เป็นทองแท้ ๑๐๐% ส่วนผงวิเศษของหลวงพ่อ นอกจากจะเป็นผงที่หลวงพ่อลบเองแล้ว ยังมีส่วนผสมของผงสมเด็จพุฒาจารย์โต วัดระฆังด้วย ส่วนจำนวนการสร้างนั้นคงจะไม่มาก เพราะหลวงพ่อทำเองคงได้ไม่มาก และไม่ได้เปิดให้จำหน่าย คงแจกให้ศิษย์เป็นรายบุคคลไป ถ้าศิษย์มาขอของดี คือขอพระเครื่อง ถ้าขอทางโชคลาภ ร่ำรวย หลวงพ่อจะหยิบพระสมเด็จ หรือลีลาถ้ำหีบให้ คือถ้าขอทางโชคลาภ ร่ำรวย หลวงพ่อจะให้พระเนื้อผง หลวงพ่อจะพูดว่า“ดี บูชาไว้จะร่ำรวย”หรือพูดว่า “ดี อีกหน่อยจะรวย”เป็นต้น
ต่อไปจะขอบันทึกอภินิหารของพระลีลาถ้ำหีบ ไว้สัก ๑ เรื่อง คือพระทางโชคลาภนี้มีอภินิหารน้อย และประกอบกับพระมีน้อยด้วย นายแป้นหรือคุณแป้น บ้านอยู่ข้างโรงสีบ้านเดิมบางฯ ฝั่งเดียวกับฝั่งเดิมบาง ชื่อจริง ๆ ตอนที่แกยังหนุ่มอยู่ได้ไปกราบหลวงพ่อ และได้ขอพระเครื่องของหลวงพ่อมาบูชา ๑ องค์ โดยบอกกับหลวงพ่อว่า ขอชนิดที่ดีทางโชคลาภ และร่ำรวย หลวงพ่อได้เข้าไปในกุฏิหยิบพระลีลาถ้ำหีบเอามาให้ ๑ องค์ คุณแป้นเห็นแล้วก็หนักใจเหมือนกัน เพราะองค์ค่อนข้างโต แต่ก็เคารพหลวงพ่อมาก หลวงพ่อบอกว่า ทำกับมือ และพูดว่า “ดี อีกหน่อยจะรวย” เมื่อเห็นหลวงพ่อพูดอย่างนั้น และเชื่อมั่นในหลวงพ่อด้วย เลยเลี่ยมคล้องคอประจำ คุณแป้นแกเป็นคนขยัน หนักเอาเบาสู้ เพราะความอยากรวย เหตุการณ์ล่วงเลยมาตก ๒๐ ปี คุณแป้นมีรถแทรกเตอร์ ๒ คัน ขณะที่ผมกำลังเขียนต้นฉบับอยู่นี้ เขากำลังติดต่อขอซื้อรถสิบล้ออีก ๑ คัน ซึ่งฐานะเดิมเป็นคนพอมีกินมีใช้เท่านั้น ถ้าใครเขาอวดพระกัน พระราคาเป็นหมื่นเป็นแสน ถ้าคุณแป้นมาเจอเข้าแกจะหยิบพระลีลาถ้ำหีบเลี่ยมทองของแกออกมาอวด แล้วพูดว่า “นี่ ๆ มึงดูของกูมั่งซิ กูใช้มาเป็นสิบ ๆ ปี ของหลวงพ่อกวย ใช้แล้วรวย ใช้แล้วรวย” แต่ไม่มีใครสนใจพระของแกเลย ก็พระใหม่ ๆ ราคาแทบไม่มี โตก็โต ดีแต่ว่าเลี่ยมทอง ไม่ว่าแกจะบอกใครว่าดีอย่างไร ไม่มีใครเชื่อแกเลย

ปัจจุบันพระพิมพ์นี้ ราคาไม่แพงเท่าไร แต่ก็หาคนปล่อยไม่ค่อยมี เพราะความไม่แพงคนเลยไม่ปล่อย คนก็ไม่ค่อยนิยมนักเพราะพระโต แต่วันหน้าพระชุดที่หลวงพ่อทำเองกับมือนี้จะแพงและหายากทุกแบบ

อีก ๓ วันรู้ผล

พระภาคเหนือท่านจะมีวิชาทำเทียนสะเดาะเคราะห์ เสริมดวงชะตา ส่วนพระภาคกลางนั้นถ้ามีเคราะห์ หลวงพ่อ หลวงปู่ ท่านมักจะใช้วิธีรดน้ำมนต์หรืออาบน้ำมนต์ เข้าใจว่าวิชาทำเทียนกับวิชาทำน้ำมนต์นี้ ถ้าจะให้ดีคงทำได้ยากพอ ๆ กัน แต่มองดูผิวเผินแล้ววิชาทำเทียนยุ่งยากกว่า และภาคเหนือไม่นิยมอาบน้ำมนต์เพราะอากาศหนาวเย็นนั่นเอง

เรื่องวิชารดน้ำมนต์นี้หลวงพ่อไม่เป็นสองรองใคร เด็ดขาด แน่นอน แต่น้อยคนนักที่จะได้มาอาบน้ำมนต์กับท่าน คือเป็นบุญเฉพาะตัว คือบางคนรังเกียจท่านว่าท่านเลี้ยงหมาดุ ไม่ดูหมาให้แขก พบยาก อยู่แต่ในกุฏิ พูดน้อย จะถามถึงดวงชะตาราศีแบบหลวงพ่อองค์อื่นก็ไม่ได้ สู้ไปหาหลวงพ่อองค์อื่นจะดีกว่า

ปีนั้น คุณสามารถ แซ่อึ้ง บ้านอยู่บ้านแค ฟังแค่นามสกุลก็พอรู้ว่าเป็นคนมีสตางค์ บ้านแกโดนโจรปล้นได้เงินทองไปมากพอสมควร เมื่อโจรปล้นไปแล้ว คุณสามารถแทนที่จะไปพึ่งตำรวจ แกกลับนึกถึงหลวงพ่อ แกได้มากราบหลวงพ่อว่าโดนโจรปล้น ขอให้หลวงพ่อช่วยด้วย ถ้าผมเป็นหลวงพ่อผมก็ต้องคิดมาก เพราะหลวงพ่อไม่ได้เป็นหัวหน้าโจร คนที่น่าจะช่วยได้น่าจะเป็นตำรวจ แต่หลวงพ่อก็ช่วย หลวงพ่อให้คุณสามารถไปตักน้ำมา หลวงพ่อทำน้ำมนต์อาบให้ ๑ กระป๋องใหญ่ ๆ เมื่ออาบน้ำมนต์เสร็จ คุณสามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เห็นหลวงพ่อนั่งเฉย ๆ ไม่พูดอะไรเลย แกเลยถามหลวงพ่อว่า ผมจะได้ของคืนหรือไม่ อันนี้ถ้าเป็นผม ๆ ก็หนักใจอยู่ดี แค่รดน้ำมนต์แค่นั้นจะมาถามว่า แล้วจะได้ของคืนหรือไม่ ถ้าผมเป็นหลวงพ่อ ผมคงจะตอบว่า ไอ้ห่า มึงจะได้ของคืนได้อย่างไร แค่อาบน้ำ แต่หลวงพ่อไม่เป็นอย่างนั้น ไม่พูดอย่างผมพูด ท่านกลับพูดว่า “อีกสามวันรู้ผล” อยู่ต่อมาอีกสามวัน โจรก๊กนี้ทะเลาะกันเรื่องแบ่งของไม่เท่ากัน คือแบ่งเงินและทองที่ปล้นคุณสามารถไม่เท่ากัน ตกลงกันไม่ได้ ยิงกันตายทั้งก๊ก ที่ไม่ตายก็บาดเจ็บ ตำรวจจับได้ ๆ เงินทองข้าวของ ๆ คุณสามารถคืนเกือบทั้งหมด นับว่าอัศจรรย์ ปัจจุบันคุณสามารถได้มาทำมาหากินที่ อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์

 เรื่องน้ำมนต์ของหลวงพ่อที่หลวงพ่อใช้รดอาบนี้ เวลาเป็นความ มีคดี หลวงพ่อจะใช้พระคาถาชื่อ พระพุทธเจ้าชนะมาร ในใบพระคาถานี้หลวงพ่อเขียนเอาไว้ว่า ใช้เรียกนางพระแม่ธรณี แม้ไม่มาช่วยจะอกแตกตาย พระคาถานี้โอกาสหน้าจะนำมาเผยแพร่ออกไป

พระสมเด็จปรกโพธิ์ที่มีรูปนางพระธรณีบีบมวยผม และสมเด็จปรกโพธิ์หลังมียันต์ ของหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร ท่านเคยพูดว่า ได้แก่ตอนพระพุทธเจ้าเรียกนางแม่ธรณี มาช่วยผจญมาร พระพิมพ์นี้ใครมีไว้บูชาจะค้าขายดี จะร่มเย็นเป็นสุขและจะร่ำรวย ถึงจะมีคนอิจฉาริษยาเรา ก็จะสู้เราไม่ได้เลย แม้ใครจะคิดทำร้ายเราก็จะแพ้ภัยตัวเอง ทำร้ายเรามิได้เลย ใครที่มีพระสมเด็จรุ่นนี้ ขอให้เก็บรักษาไว้ให้ดีอย่าให้ผู้อื่นเสียหมด ต่อไปจะเสียใจ แม้ท่านเป็นถ้อยเป็นความกับผู้อื่น หรือมีศัตรู เวลาอาราธนาพระติดตัว จงอาราธนาพระพิมพ์นี้ด้วยพระคาถา อัญเชิญพระแม่ธรณีให้มาช่วย คาถานี้ว่าดังนี้“โพ อะ วะ นิ ตะ ละ” ๓ จบ แล้วท่านก็เอาติดตัวไป จะซื้อง่ายขายคล่อง ศัตรูจะไม่อาจทำอันตรายต่อท่านได้เลย เพราะท่านมีพระแม่ธรณีรักษา พระแม่ธรณีนี้เป็นเทพผู้รักษาแผ่นดิน ใครจะไปใครจะมา ก็ต้องเดินบนแผ่นดินมาทั้งนั้น ไม่ได้เหาะเหินเดินอากาศมา ก็จบคำพูดของหมอเฉลียวไว้เท่านี้ ขอบคุณมากอุตส่าห์ให้คาถาเรียกพระแม่ธรณีมา แม้จะเขียนให้มาเป็นภาษาขอมก็ยังต้องขอบคุณอยู่ดี พระคาถานี้หลวงพ่อได้เขียนเอาไว้ในตำราการทำน้ำมนต์ชนะศัตรู หลวงพ่อเขียนไว้ว่า ใช้คาถานี้เรียกนางแม่ธรณีให้มาช่วย ถ้าไม่มาอกแตกตาย

   “โพ อะ วะ นิ ตะ ละ”

ต่อไปเป็นคาถาชื่อ มนต์ธรณีปริตร หรือ มนต์พระแม่ธรณี บางคนเรียกคาถานี้ว่า “คาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร”ใช้ทำน้ำมนต์รดอาบจะชนะศัตรูพระคาถานี้ให้ท่องบ่นหลังจากบอกเล่าอัญเชิญพระแม่ธรณีแล้ว ๓ จบ คาถานี้ถ้าจะทำน้ำมนต์ ต้องกล่าวคาถาชุมนุมเทวดาก่อน คาถานี้ขณะที่ติดอยู่กับโซ่ตรวนห้ามท่องบ่น เพราะเป็นคาถามีอยู่ในตำราพิชัยสงคราม เป็นเสนียดต่อโซ่ตรวน

พระคาถานี้มีอุปเท่ห์การใช้ดังนี้คือ ใช้ทำน้ำมนต์ชนะศัตรูได้ เขียนชื่อศัตรูทำไส้เทียน ศัตรูจะแพ้ภัยได้ เขียนชื่อศัตรูใส่กระดาษเอาใส่ในก้อนข้าวเสกด้วยคาถานี้ เอาไปโยนให้สุนัขกิน สุนัขพูดไม่ได้ ศัตรูจะแพ้เรา เขียนชื่อศัตรูลงบนแผ่นอิฐเสกด้วยคาถานี้ เอาอิฐไปถ่วงน้ำ ศัตรูจะพูดไม่ออกจะแพ้เรา คาถานี้ทำน้ำมนต์รดไล่ผี ผีอยู่มิได้ อุปเท่ห์การใช้พระคาถานี้ยังมีอีก ๑ ใน ๑๐ ส่วน ผมไม่อาจถ่ายทอดออกไปได้หมด เพราะเป็นมนต์มืด หรือไสย์ดำ เพราะในตำราเล่มใหญ่ที่ผมลักเรียนมายังได้พูดไว้ว่า ห้ามถ่ายทอดกับศิษย์ฆราวาส ฉะนั้นอุปเท่ห์การใช้จึงถ่ายทอดให้ไว้ได้เพียงนี้ แต่ตัวคาถานี้ให้ไว้ทุกตัวอักษร คาถานี้ใครได้ไว้ขอให้รักษาให้ดี ใครที่จะเรียนเอาไว้ให้จุดธูป ๙ ดอก บอกเล่าหลวงพ่อก่อน ให้หารูปหลวงพ่อไว้บูชาด้วย พระคาถาว่าดังนี้

“ตัสสา เกสีสะโต ยะถาคังคา โลตัง ปะวัตตันติ มาระเสนา ปะติฐฐาตุง อะสักโกนโต ปะลายิงสุ ปะระมิตา นุภาเวนะ มาระเสนะ ปะราชิตา ทิโสทิสัง ปะลายันติ วิทังเสนติ อะเสละโต”

พระคาถานี้ใครที่ไม่มีพระปรกโพธิ์ก็ใช้ได้ แต่ถ้ามีพระปรกโพธิ์ประกอบในการทำน้ำมนต์ยิ่งจะดีใหญ่ กรุณาอย่าถามถึงอุปเท่ห์การใช้ ส่วนที่ขาดไป เพราะผมจะไม่ตอบท่าน เดี๋ยวจะว่าผมไม่เกรงใจไม่ได้ คาถานี้ถ้าจะทำน้ำมนต์ หรือทำไส้เทียนต้องชุมนุมเทวดาก่อน ถ้าภาวนาขณะมีคดีความจะชนะศัตรู แต่ห้ามภาวนาหรือท่องบ่นขณะมีโซ่ตรวนติดอยู่ เพราะพระคาถานี้เป็นคาถาที่มีอยู่ในตำราพิชัยสงคราม ทุกบทจะเป็นเสนียดต่อโซ่ตรวน

นับถือ

ฒ.สุพรรณ



จดหมายคุณจำลอง แจ่มจันทรา

๗๐/๑๕๓ ประชานิเวศน์ ๒ ถ.ประชาชื่น อ.เมือง จ.นนทบุรี ๑๑๐๐๐

นมัสการอาจารย์สำรวย ที่เคารพ

ผมชื่อ จำลอง แจ่มจันทรา ผมส่งเงินมาเข้ามูลนิธิ ๕๐๐ บาท คือผมได้บนต่อหลวงพ่อกวยไว้ว่า ถ้าผมมีโชคลาภ ถูกหวย ผมจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาทำบุญมูลนิธิกับหลวงพ่อ ผมเป็นคนพูดจริง หลวงพ่อกวยท่านเก่งจริง ๆ เห็นผมตั้งใจจริงอย่างนั้น ตกกลางคืนหลวงพ่อไปเข้าฝันผม และได้บอกเลขหวยผมสองตัวตรง ๆ ผมเลยไปซื้อล็อตเตอรี่ปรากฏว่าถูกจริง ๆ ผมเลยส่งเงินมาจริง ๆ

เคารพ

จำลอง แจ่มจันทรา


ตอบคุณจำลอง เงินมูลนิธิ ๕๐๐ บาท อาจารย์ได้มอบให้ผมลงบัญชีไว้แล้วครับ

ขอบคุณ

ฒ.สุพรรณ

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 11, 2013, 09:12:09 am
คาถาไหว้ครู

ถ้าท่านผู้ใดจะไหว้ครู หรือบอกเล่าครูหลวงพ่อกวยจะท่องบ่นคาถาทุกบท ในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งข้าพเจ้ารวบรวมมานี้ ขอให้ท่านนำดอกไม้มาจบสักการะ ต่อหน้าพระพุทธ เพื่อเป็นศิริมงคลเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ ตำราเล่มนี้ จะช่วยท่านได้ทุกประการ ให้ระลึกนึกถึง หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร  แล้วตั้งนะโม 3 จบ แล้วว่าคำไหว้ครูโดยย่อดังต่อไปนี้

ตะมัตถัง  ปะกาเสนโต  สัตธาอะหะ
อิมะอะวิ  ตะอุอะมิ  มะสะนะโม


สิบนิ้วข้าพเจ้าขอน้อมนมัสการ แด่คุณครูอาจารย์ ผู้ประสาทวิทย์ อันเป็นมิ่งมิตรทั่วโลกา ข้าพเจ้าขอไหว้เทพยดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งองค์พระพรหมเมศรี ผู้เรืองฤทธิดกร อีกทั้งพระครูผู้รู้ไสยศาสตร์ โหราจารย์ จงมาอภิบาลปกเกศ ทั้งบิตุเรศชนนี หลวงพ่อกวยก็ดีจงมาเป็นสักขีพยานให้ข้าซึ่งจะท่องว่า คาถาอาคม ให้บรรลุสม และศักดิ์สิทธิ์ เป็นนิมิตดีแก่ตัวข้านะบัดนี้ เทอญ

บูชาธูปเทียนแล้วกราบลง 3 หน ก่อนท่านจะท่องคาถาใด ๆ ในตำราเล่มนี้ ให้ว่าบทนี้ได้ก่อน แล้วจึงท่องบทอื่น เลือกท่องได้ตามใจ ท่านควรเก็บไว้ที่สูง อย่าทิ้งเป็นของเล่น ตำรานี้ข้าพเจ้าคัดมาเรียกว่า ตำราแก้วสารพัดนึก



ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๗๖
วันที่ ๑๕ มิ.ย. – ๒๕ มิ.ย.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


สุดยอดพระสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ หลังแม่พระธรณี

ต่อไปจะกล่าวถึง พระสมเด็จพิมพ์สุดยอดของหลวงพ่อ หรือ เป็นชุดพระเนื้อผงที่มีราคาเช่าสูงสุด และได้รับความนิยมสูงสุด มีอานุภาพมากและมหัศจรรย์ พระพิมพ์นั้นคือ พิมพ์ปรกโพธิ์ ๙ ใบ พระพิมพ์นี้เป็นพระพิมพ์สมเด็จค่อนข้างโตกว่าสมเด็จทั่ว ๆ อีกประมาณเท่าตัว หรือครึ่งหนึ่งเป็นรูปพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใต้ร่มโพธิ์ มีใบโพธิ์อยู่ ๙ ใบ เป็นรูปดวงแก้วของพระพุทธเจ้า แกะมีหน้าตา จมูก ค่อนข้างชัดเจน ใบหน้าอวบอ้วนสมบูรณ์ ยาวแบบศิลปะสุโขทัย ด้านหลังแกะยันต์นะโมพุทธายะ เป็นยันต์จมก็มี เป็นยันต์นูนก็มี บอก พ.ศ. สร้าง พ.ศ.๒๕๑๓ ก็มี ไม่บอก พ.ศ.ก็มี ชนิดที่เป็นรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม  แกะเป็นลายเส้นอยู่ด้านหลังก็มี เนื้อหาดำสนิทก็มี ดำไม่สนิทก็มี เนื้อพิกุลกับเนื้อดำเนื้อในจะหยาบ ประกอบไปด้วยแร่และทราย คือเนื้อพระ ๒ เนื้อนี้ ถ้าผู้ใช้เลี่ยมเปิดโดนน้ำ ผิวนอกจะถลอกออกเห็นเนื้อในได้ แร่ที่พบมีแร่อุกาบาตร แร่โคตรเหล็กไหล และทรายจากอินเดีย ฯลฯ

ความจริงผงที่ใช้ทำพระพิมพ์นี้ก็คล้าย ๆ ผงที่หลวงพ่อใช้ผสมทำพระสมเด็จทั่วไป แต่พระพิมพ์นี้มีเอกลักษณ์พิเศษ ๓ อย่าง คือ

๑.พระนี้เป็นพิมพ์ปรกโพธิ์ หลวงพ่อเรียกพระพิมพ์นี้ว่า พิมพ์ร่มโพธิ์ หลวงพ่อพูดว่า “พระพิมพ์ร่มโพธิ์นี้ อยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครรังเกียจ มีแต่ความร่มเย็น”

๒.พระพิมพ์นี้ หลวงพ่อปลุกเสกด้วยคาถาพระแม่ธรณี หรือคาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร ซึ่งเป็นคาถาที่หลวงพ่อใช้รดน้ำมนต์ให้กับศิษย์ที่โดนคดีความ พระนี้สามารถใช้ทำน้ำมนต์ได้

๓.พระพิมพ์นี้มีส่วนผสมของเกศา ของผู้มีบุญสูงมากผสมอยู่ ใครที่ได้พระพิมพ์นี้ไว้บูชาจะร่มเย็น และร่ำรวย เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง พระพิมพ์นี้หลวงพ่อจะให้ใคร หลวงพ่อจะพูดบอกเล่าทุกครั้งว่า ใช้เกศาของผู้มีบุญผสมอยู่ ขอให้เก็บรักษาให้ดี จะร่มเย็นและร่ำรวย เกี่ยวกับเกศาของผู้มีบุญสูงนี้ มีผู้ที่อยากรู้ได้ถามมามาก แต่ผมตอบท่านในนะโมไม่ได้ เพราะถ้าตอบออกไป ถ้าดีก็จะดีถึงที่สุด คือ พระพิมพ์นี้จะแพงกว่าทองคำมากนัก แต่ถ้าไม่ดีก็ต้องไม่ดีเอามาก ๆ เลย(เกี่ยวกับตัวผม) ส่วนเกศาสีขาวที่ผสมอยู่ เป็นเกศาของหลวงพ่อเอง กับเกศาของครูบาอาจารย์ของท่าน

ต่อไปจะกล่าวถึงความหมายของพระพิมพ์นี้ พระพิมพ์ปรกโพธิ์นี้ หมายถึงตอนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ ขณะที่พระองค์ใกล้จะตรัสรู้ นั้น ได้มีพญามาร ขุนมาร เสนามาร มาขัดขวางไม่ให้ตรัสรู้ เพราะถ้าตรัสรู้แล้วเป็นพระอรหันต์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็จะอยู่นอกกฎแห่งกรรม จะอยู่นอกวัฏสงสาร จะไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก พญามารได้พาสมัครพรรคพวกมากันมืดฟ้ามัวดินเต็มไปหมด พระพุทธเจ้าเห็นพญามารมากันมาก พระองค์ได้ระลึกถึงนางแม่ธรณี หรือ พระแม่ธรณีให้มาช่วย เมื่อพระแม่ธรณีมาช่วย นางได้บีบมวยผมของนางออกมาเป็นน้ำไหลบ่าท่วมพญามาร ขุนมาร และเสนามารจนหมดสิ้น ข้อความเหล่านี้เราอาจได้ยินได้ฟังมาบ้างจากพระภิกษุที่อธิบายให้เราฟัง จากภาพฝาผนังพระอุโบสถ แต่แท้ที่จริงแล้ว พญามาร ขุนมาร เสนามาร นั้นคือกิเลส คือความโลภ ความโกรธ ความหลงนั่นเอง ความโลภคืออยากได้โน่นอยากได้นี่ อยากเป็นนั่นอยากเป็นนี่ ความโกรธคือความยึดมั่นในตัวเราของเรา ความหลงคือการมองไม่เห็นในความจริงของรูป รส กลิ่น และเสียง คือขณะที่พระองค์กำลังจะตรัสรู้นั้นได้มีอวิชชามาครอบงำ พระองค์เลยรำลึกถึงผลบุญที่ได้บำเพ็ญมาถึง ๑๐ ชาติ และที่ได้บำเพ็ญมาขณะเป็นพระโพธิสัตว์อีกหลายชาติ บุญกุศลที่พระองค์บำเพ็ญมานี้ พระองค์ได้หลั่งอุทกวารีหรือกรวดน้ำฝากไว้กับพระแม่ธรณี เมื่อพระองค์ระลึกถึงบุญกุศล บุญกุศลของพระองค์ก็หลั่งไหลมาท่วมกิเลสจนหมดสิ้น พระองค์เลยตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทีนี้พระพิมพ์นี้เมื่อใครมีไว้บูชาศัตรูจะแพ้ภัยตัวเอง เพราะศัตรูนั้นเป็นคน ซึ่งจะเทียบกับความร้ายกาจของกิเลสคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง นั้น จะเทียบกันไม่ได้เลย เพราะกิเลสนี้ยิ่งกว่าไฟ มันจะเผาผลาญทุกสิ่ง เผาข้ามภพข้ามชาติเลย
ต่อไปเป็นคำพูดของหมอเฉลียว เดชมา ศิษย์ใกล้ชิดของหลวงพ่อได้พูดถึงพระพิมพ์นี้ไว้ดังนี้ คำว่าผมต่อไปนี้หมายถึงหมอเฉลียว เดชมา

 พระสมเด็จปรกโพธิ์ที่มีรูปนางพระธรณีบีบมวยผม และสมเด็จปรกโพธิ์หลังมียันต์ ของหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร ท่านเคยพูดว่า ได้แก่ตอนพระพุทธเจ้าเรียกนางแม่ธรณี มาช่วยผจญมาร พระพิมพ์นี้ใครมีไว้บูชาจะค้าขายดี จะร่มเย็นเป็นสุขและจะร่ำรวย ถึงจะมีคนอิจฉาริษยาเรา ก็จะสู้เราไม่ได้เลย แม้ใครจะคิดทำร้ายเราก็จะแพ้ภัยตัวเอง ทำร้ายเรามิได้เลย ใครที่มีพระสมเด็จรุ่นนี้ ขอให้เก็บรักษาไว้ให้ดีอย่าให้ผู้อื่นเสียหมด ต่อไปจะเสียใจ แม้ท่านเป็นถ้อยเป็นความกับผู้อื่น หรือมีศัตรู เวลาอาราธนาพระติดตัว จงอาราธนาพระพิมพ์นี้ด้วยพระคาถา อัญเชิญพระแม่ธรณีให้มาช่วย คาถานี้ว่าดังนี้“โพ อะ วะ นิ ตะ ละ” ๓ จบ แล้วท่านก็เอาติดตัวไป จะซื้อง่ายขายคล่อง ศัตรูจะไม่อาจทำอันตรายต่อท่านได้เลย เพราะท่านมีพระแม่ธรณีรักษา พระแม่ธรณีนี้เป็นเทพผู้รักษาแผ่นดิน ใครจะไปใครจะมา ก็ต้องเดินบนแผ่นดินมาทั้งนั้น ไม่ได้เหาะเหินเดินอากาศมา ก็จบคำพูดของหมอเฉลียวไว้เท่านี้ ขอบคุณมากอุตส่าห์ให้คาถาเรียกพระแม่ธรณีมา แม้จะเขียนให้มาเป็นภาษาขอมก็ยังต้องขอบคุณอยู่ดี พระคาถานี้หลวงพ่อได้เขียนเอาไว้ในตำราการทำน้ำมนต์ชนะศัตรู หลวงพ่อเขียนไว้ว่า ใช้คาถานี้เรียกนางแม่ธรณีให้มาช่วย ถ้าไม่มาอกแตกตาย

ต่อไปเป็นคาถาชื่อ มนต์ธรณีปริตร หรือ มนต์พระแม่ธรณี บางคนเรียกคาถานี้ว่า “คาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร” ใช้ทำน้ำมนต์รดอาบจะชนะศัตรูพระคาถานี้ให้ท่องบ่นหลังจากบอกเล่าอัญเชิญพระแม่ธรณีแล้ว ๓ จบ คาถานี้ถ้าจะทำน้ำมนต์ ต้องกล่าวคาถาชุมนุมเทวดาก่อน คาถานี้ขณะที่ติดอยู่กับโซ่ตรวนห้ามท่องบ่น เพราะเป็นคาถามีอยู่ในตำราพิชัยสงคราม เป็นเสนียดต่อโซ่ตรวน

พระคาถานี้มีอุปเท่ห์การใช้ดังนี้คือ ใช้ทำน้ำมนต์ชนะศัตรูได้ เขียนชื่อศัตรูทำไส้เทียน ศัตรูจะแพ้ภัยได้ เขียนชื่อศัตรูใส่กระดาษเอาใส่ในก้อนข้าวเสกด้วยคาถานี้ เอาไปโยนให้สุนัขกิน สุนัขพูดไม่ได้ ศัตรูจะแพ้เรา เขียนชื่อศัตรูลงบนแผ่นอิฐเสกด้วยคาถานี้ เอาอิฐไปถ่วงน้ำ ศัตรูจะพูดไม่ออกจะแพ้เรา คาถานี้ทำน้ำมนต์รดไล่ผี ผีอยู่มิได้ อุปเท่ห์การใช้พระคาถานี้ยังมีอีก ๑ ใน ๑๐ ส่วน ผมไม่อาจถ่ายทอดออกไปได้หมด เพราะเป็นมนต์มืด หรือไสย์ดำ เพราะในตำราเล่มใหญ่ที่ผมลักเรียนมายังได้พูดไว้ว่า ห้ามถ่ายทอดกับศิษย์ฆราวาส ฉะนั้นอุปเท่ห์การใช้จึงถ่ายทอดให้ไว้ได้เพียงนี้ แต่ตัวคาถานี้ให้ไว้ทุกตัวอักษร คาถานี้ใครได้ไว้ขอให้รักษาให้ดี ใครที่จะเรียนเอาไว้ให้จุดธูป ๙ ดอก บอกเล่าหลวงพ่อก่อน ให้หารูปหลวงพ่อไว้บูชาด้วย พระคาถาว่าดังนี้

“ตัสสา เกสีสะโต ยะถาคังคา โลตัง ปะวัตตันติ มาระเสนา ปะติฐฐาตุง อะสักโกนโต ปะลายิงสุ ปะระมิตา นุภาเวนะ มาระเสนะ ปะราชิตา ทิโสทิสัง ปะลายันติ วิทังเสนติ อะเสละโต”

พระคาถานี้ใครที่ไม่มีพระปรกโพธิ์ก็ใช้ได้ แต่ถ้ามีพระปรกโพธิ์ประกอบในการทำน้ำมนต์ยิ่งจะดีใหญ่ กรุณาอย่าถามถึงอุปเท่ห์การใช้ ส่วนที่ขาดไป เพราะผมจะไม่ตอบท่าน เดี๋ยวจะว่าผมไม่เกรงใจไม่ได้ คาถานี้ถ้าจะทำน้ำมนต์ หรือทำไส้เทียนต้องชุมนุมเทวดาก่อน ถ้าภาวนาขณะมีคดีความจะชนะศัตรู แต่ห้ามภาวนาหรือท่องบ่นขณะมีโซ่ตรวนติดอยู่ เพราะพระคาถานี้เป็นคาถาที่มีอยู่ในตำราพิชัยสงคราม ทุกบทจะเป็นเสนียดต่อโซ่ตรวน

ต่อไปจะขอเล่าถึงอภินิหารของสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ เพื่อบันทึกเอาไว้ พระสมเด็จของหลวงพ่อโดยมาก หลวงพ่อจะผสมทรายเสก แร่อุกาบาตร โคตรเหล็กไหล ปฐวีธาตุ(หินเย็น) ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกคือ พระเนื้อผงกลับมีแร่ผสมอยู่ด้านใน แต่ถ้าเป็นเนื้อดินหลวงพ่อจะใช้ผงผสม เกี่ยวกับทรายเสกนี้อัศจรรย์มาก หลวงพ่อสามารถเสกทรายจนเป็นหุ่นพยนต์เฝ้าบ้านได้ คุ้มครองได้ พรางตาศัตรูได้ ซึ่งหลวงพ่อเคยพูดกับอาจารย์ศรีนวล สำนักสงฆ์ทับนา ว่า ถ้าปลุกของไม่ขึ้น ให้เรียกวิญญาณผีตายโหงเข้าช่วยจะขึ้น ซึ่งจากผลของการตั้งใจสร้างอย่างจริงจังของหลวงพ่อ โดยใช้ผงจินดามณี ผงอิทธิเจ ฯลฯ ผสมกับแร่วิเศษ ทรายอินเดีย ทำให้พระของหลวงพ่อมีทั้งบุญฤทธิ์ และอิทธิฤทธิ์ประกอบกัน สมควรบันทึกไว้ดังนี้ มีศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งชื่อสมนึก มั่นปาน เป็นคนอำเภอสรรคบุรี มีปรกโพธิ์ ๙ ใบของหลวงพ่อคล้องคออยู่ประจำ คุณสมนึกเป็นคนพอมีอันจะกิน จึงมีคนอิจฉาริษยา และคนที่ประกอบอาชีพคล้ายกันขัดกันก็อิจฉา จึงได้สั่งลูกน้องให้มาลักควายคุณสมนึก เมื่อขโมยมาลักควายบ้านคุณสมนึก ก็ลักไม่ได้ เพราะเห็นคนบ้านคุณสมนึกเดินขวักไขว่เต็มไปหมด ไม่หลับไม่นอน หมาก็มีหลายตัว ขโมยก็ขโมยควายเอาไปไม่ได้ เพราะเข้าใจว่าคนบ้านคุณสมนึกคงจะรู้ตัว ขโมยได้พยายามอยู่จนเป็นเดือน ๆ หลายครั้งหลายหนไม่สำเร็จ จนเกิดการท้อถอย ได้พยายามมาพูดคุยกับคุณสมนึก เห็นว่าคุณสมนึกเป็นคนดีเลยเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมดว่า มีคนเขาจ้างวานให้มาลักควายหลายครั้งหลายหน เห็นว่าไหน ๆ ก็ลักไม่สำเร็จแล้ว เลยเล่าให้ฟัง เห็นว่าคุณสมนึกเป็นคนดีด้วย และได้ถามคุณสมนึกว่ามีของดีอะไร หรือรู้ตัวอย่างไรจึงไม่ยอมหลับยอมนอน คุณสมนึกตอบว่าไม่มีอะไรคนดีผีคุ้มครองนี่เอง

อยู่ต่อมาคู่อริคุณสมนึก ได้ว่าจ้างมือปืนให้มาฆ่าคุณสมนึกในราคางาม มือปืนได้มาดักยิงคุณสมนึกหลายครั้งไม่สำเร็จ บางครั้งเห็นเป็นคนหลายคนเดินมา บางครั้งเห็นคุณสมนึกเดินมาแต่ไกล  พอเดินมาใกล้ ๆ กลับเห็นเป็นคนอื่น มือปืนได้พยายามอยู่หลายสิบครั้งจนอ่อนใจ ตอนหลังได้พูดคุยกับคุณสมนึกเห็นว่าเป็นคนดีเลยใจอ่อน เล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด เล่ายั้นว่าใครเป็นคนจ้างวานมาฆ่า

 อีกครั้งหนึ่งคู่อริได้ว่าจ้างคนมาลักปิกอัพของคุณสมนึก คราวนี้ขโมยเตรียมพร้อมทุกอย่าง ได้ถอยรถออกมาจะเป็นเพราะความมืดหรืออำนาจมนต์ในพระปรกโพธิ์ที่คุณสมนึกคล้องคออยู่ไม่แน่ชัด ขโมยได้ดันรถถอยออกมาด้วยความแรงรถตกลงไปในคูน้ำเอาไปไม่ได้เลย ภายหลังขโมยชุดนี้ได้มาขอโทษคุณสมนึก ส่วนคู่อริภายหลังได้แพ้ภัยตัวเอง โดนลูกน้องตัวเองหักหลังถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัว

ก็ขอจบเรื่องสุดยอดพระสมเด็จไว้แต่เพียงนี้ ชื่อสมนึกนี้ไม่ใช่ชื่อจริง เพราะเจ้าตัวไม่ต้องการเปิดเผยตัวเอง แต่เป็นเรื่องจริงยืนยันได้ เขาใช้ปรกโพธิ์ ๙ ใบ หลังพระแม่ธรณีบีบมวยผม

ปล.พระปรกโพธิ์ ๙ ใบนี้ เป็นของที่หาได้ยาก ผู้มีบุญจริง ๆ จึงจักได้ไว้บูชา มีทั้งชนิดหลังยันต์จมและยันต์นูน มีทั้งชนิดบอก พ.ศ.๒๕๑๓ ก็มี ชนิดหลังแม่พระธรณีก็มี สนนราคาหลังแม่ธรณีจะแพงกว่ากันเล็กน้อย เนื้อหามีสีขาว สีพิกุล สีขาวอมเขียว สีน้ำตาลอ่อน และสีดำ เท่าที่พบ ผู้ที่มีไว้บูชาสมควรบันทึกเอาไว้ดังนี้ เผื่อว่าพบเขาจะขอเขาดูเอาไว้เผื่อไปเจอที่ไหนจะได้หาเอาไว้บูชาติดตัว คุณเสงี่ยม จิตรักสระนะ อ.เมือง จ.เชียงราย มี ๓ องค์ คุณประพนธ์ เชาวน์วิทยางกูร อ.เมือง จ.เชียงใหม่ มี ๒ องค์ คุณเกรียงไกร ทัศนโกศล อาคารไทยสมุทรชั้น ๑๙ บางรัก มี ๑ องค์ สวยมาก คุณเจิดศักดา มีจิตร สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี มี ๑ องค์ คุณทินกร วรสาร ร.ร.ยโสธรพิทยาคม จ.ยโสธร มี ๑ องค์ คุณกมล พลพิทักษ์กุล ยานนาวา กรุงเทพ มี ๑ องค์สวยมาก นอกนั้นก็มีที่นายแถม เข็มทอง ๑ องค์ อาจารย์เหวียน มณีนัย ๒ องค์ ก็ขอจบเรื่องปรกโพธิ์ ๙ ใบ แต่เพียงนี้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: K ที่ มกราคม 11, 2013, 07:03:09 pm
คาถาไหว้ครู

ถ้าท่านผู้ใดจะไหว้ครู หรือบอกเล่าครูหลวงพ่อกวยจะท่องบ่นคาถาทุกบท ในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งข้าพเจ้ารวบรวมมานี้ ขอให้ท่านนำดอกไม้มาจบสักการะ ต่อหน้าพระพุทธ เพื่อเป็นศิริมงคลเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ ตำราเล่มนี้ จะช่วยท่านได้ทุกประการ ให้ระลึกนึกถึง หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร  แล้วตั้งนะโม 3 จบ แล้วว่าคำไหว้ครูโดยย่อดังต่อไปนี้

ตะมัตถัง  ปะกาเสนโต  สัตธาอะหะ
อิมะอะวิ  ตะอุอะมิ  มะสะนะโม


สิบนิ้วข้าพเจ้าขอน้อมนมัสการ แด่คุณครูอาจารย์ ผู้ประสาทวิทย์ อันเป็นมิ่งมิตรทั่วโลกา ข้าพเจ้าขอไหว้เทพยดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งองค์พระพรหมเมศรี ผู้เรืองฤทธิดกร อีกทั้งพระครูผู้รู้ไสยศาสตร์ โหราจารย์ จงมาอภิบาลปกเกศ ทั้งบิตุเรศชนนี หลวงพ่อกวยก็ดีจงมาเป็นสักขีพยานให้ข้าซึ่งจะท่องว่า คาถาอาคม ให้บรรลุสม และศักดิ์สิทธิ์ เป็นนิมิตดีแก่ตัวข้านะบัดนี้ เทอญ

บูชาธูปเทียนแล้วกราบลง 3 หน ก่อนท่านจะท่องคาถาใด ๆ ในตำราเล่มนี้ ให้ว่าบทนี้ได้ก่อน แล้วจึงท่องบทอื่น เลือกท่องได้ตามใจ ท่านควรเก็บไว้ที่สูง อย่าทิ้งเป็นของเล่น ตำรานี้ข้าพเจ้าคัดมาเรียกว่า ตำราแก้วสารพัดนึก


ขออนุโมทนา สาธุ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มกราคม 12, 2013, 10:04:42 pm
:D :D :D :D :D
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 17, 2013, 09:17:52 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๗๗
วันที่ ๒๕ มิ.ย. – ๕ ก.ค.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


จดหมายคุณปิง มณีโคตร

เรียนคุณอาเฒ่า สุพรรณ ที่นับถือ

ผมมีเรื่องเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์และบารมี ในวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยเล่าให้ฟัง คือ เมื่อวันที่ ๔ ก.พ.๒๕๓๔ ผมได้ส่งเงินมาร่วมทำบุญกับคุณอา พร้อมทั้งได้ขอพระรอดที่คุณอาได้จัดสร้างขึ้น ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๒ ก.พ.๒๕๓๔ ผมได้รับพระรอดจากคุณอา จำนวน ๑ องค์ ผมจึงคิดจะเสี่ยงโชคจากการได้พระรอดมาในครั้งนี้ จึงได้ดูกล่องพัสดุ ที่คุณอาส่งไปให้ มีเลขดังนี้ “พัสดุ เลขที่ ๙๑๓๓ ป.ท.เขาพระ” จะไปซื้อสลากกินแบ่งฯ คิดไปคิดมาเลข ๓๓ คงไม่ออกเพราะเป็นเลขเป๋า เลยซื้อตัวอื่น ผมมีโชคแต่ไม่มีลาภ หลวงพ่อกวยท่านให้ลาภแล้วแต่ไม่ซื้อ ดันไปซื้อตัวอื่น หลวงพ่อกวยท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ เพียงแต่ลูกศิษย์ยังไม่มีโชคลาภทางนี้เท่านั้นเอง เห็นแล้วเชื่อแล้ว สาธุ สาธุ สาธุ สุดท้ายนี้ผมขอให้คุณอา และครอบครัวจงมีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป

ขอแสดงความนับถือ

ขิง มณีโชติ

ปล.ทำไมวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยจึงแพงจังเลย


ตอบตอบคุณขิง ที่นับถือ เรื่องวัตถุมงคลของหลวงพ่อ ทำไมจึงแพงมาก ตอบอย่างไรดีล่ะ คือ วัตถุมงคลของหลวงพ่อ ๆ ท่านโดยมากจะทำเองกับมือให้เฉพาะบุคคลไป จึงเป็นของดีที่หายาก ดีตั้งแต่ตอนทำ หายากตั้งแต่ตอนแจกเฉพาะคน ทีนี้กว่าจะเช่าเขามาได้ต้องคอยจนถึงรุ่นลูก ของจึงแพงเพราะหาคนปล่อยไม่ได้ หลวงพ่อเก่งมากขนาดนี้ ถ้าของถูกผมก็โม้เท่านั้น

นับถือ

ฒ.สุพรรณ


   จดหมายคุณนิพล บุญเสริม

เรียนอาจารย์เฒ่า สุพรรณ ทราบ

ผมมีเรื่องจะเรียนถามอาจารย์เฒ่า แต่ก่อนอื่นผมขอบอกอาจารย์ก่อนว่า ผมก็คนชัยนาท จังหวัดเดียวกับหลวงพ่อกวย แต่ผมมาอยู่กรุงเทพฯ นานแล้ว แต่ผมก็รู้กิตติศักดิ์ของหลวงพ่อดี เรื่องที่ผมอยากรู้ก็คือ ผมได้สิงห์ของหลวงพ่อกวยมา ๑ ตัว และผมก็ห้อยอยู่ติดกับแหนบกระเป๋าเสื้อ เหมือนกับที่นะโมลงรูปไว้ฉบับที่ ๒๔๔ เป็นสิงห์เนื้อตะกั่วเก่าชื่อสิงห์คอยาว ผมเอามาเทียบกับรูปที่นะโมลงไว้ เหมือนกันหมดแต่ผมก็อยากจะทราบว่า เวลาใช้ท่านอาจารย์ควรทำอย่างไร มีคำอาราธนา หรือว่าคาถากำกับหรือเปล่า และหลวงพ่อสร้างสิงห์รุ่นนี้เมื่อปีไหน หลวงพ่อปลุกเสกหรือเปล่า ถ้ามีพระคาถากำกับอาจารย์พอมีบ้างไหม ถ้ามีอาจารย์ช่วยลงในนะโมได้ไหมครับ เพราะผมไม่รู้จะไปปรึกษาใคร เห็นมีแต่อาจารย์เฒ่านี่แหละครับ ผมติดตามอ่านนะโมเป็นประจำและติดตามคอลัมน์ของอาจารย์เป็นประจำเกี่ยวกับหลวงพ่อกวย เพราะผมนับถือหลวงพ่อกวยมาก ส่วนสิงห์หลวงพ่อกวยนั้นดีในด้านไหนครับ หวังว่าอาจารย์เฒ่าคงจะช่วยกรุณาตอบด้วยนะครับ

ด้วยความนับถือ

นิพล บุญเสริม

บ.อักษรเจริญทัศน์
๑๔๒ แพร่งสรรพศาสตร์ ถ.ตะนาว กรุงเทพ ๑๐๒๐๐

   

ตอบคุณนิพล เรื่องสิงห์ของคุณผมจำ พ.ศ.ไม่ได้ แต่สิงห์คอยาวแจกหมดก่อนงานฝังลูกนิมิต คาถาว่าดังนี้ ใช้กับรูปถ่ายหลังสิงห์ด้วยเหมือนกัน คาถาอาราธนาว่าดังนี้ “พุทธังอาราธนานัง  ธรรมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง สิงหะคะคะ” สิงห์ของหลวงพ่อเขาว่าดีทางอำนาจ ถ้าค้าขายไม่ดีนัก

ฒ.สุพรรณ



สมเด็จหลังรูป
หลวงพ่อสร้างพระพิมพ์สมเด็จไว้หลายแบบ ได้รับความนิยมจากศิษย์ทุกแบบ เพราะหลวงพ่อทำเอง เล่ากันว่า สมเด็จรุ่นแรก คือรุ่นแหวกม่าน และใน พ.ศ.๒๕๑๓ หลวงพ่อสร้างปรกโพธิ์ ๙ ใบ ส่วนสมเด็จหลังรูปรุ่น ๑ นั้น ไม่ทราบว่าสร้างตอนไหน แต่ประมาณ พ.ศ.๒๕๑๕ ส่วนรุ่น ๒ ประมาณ พ.ศ.๒๕๑๗ ชนิดที่เป็นรูปท่านไม่มีสมเด็จก็สร้างประมาณ พ.ศ.๒๕๑๗ นี้ นอกจากนั้นก็เป็นสมเด็จหลังเรียบพิมพ์ฐานผ้าทิพย์ พิมพ์พุทธกวัก สมเด็จหลังเรียบนี้มีหลายแบบ บางแบบก็ยืนยันไม่ได้ สมเด็จที่มีความนิยมสูงสุดนั้นคือปรกโพธิ์ ๙ ใบ รองลงมาก็สมเด็จหลังรูปรุ่น ๑  ส่วนสมเด็จหลังรูปรุ่น ๒ นั่น ยังไม่ค่อยนิยมนัก เพราะรูปแบบโต และขาดความสวยงาม คือช่วงนั้นเป็นช่วงปลายอายุของหลวงพ่อแล้ว มือท่านไม่ค่อยมีกำลังในการตำผง ผสมผง และกดพิมพ์

ในปีที่ท่านสร้างสมเด็จหลังรูปรุ่น ๒ นั้น ผมได้นำว่านหลายชนิดที่ปลูกเองรดด้วยอาคม เช่น ว่านหนังแห้ง กระชายดำ ไพรดำ หอกหัก สบู่เลือด มหาเมฆ นำเอาไปถวายท่านเพื่อทำพระ ว่านเป็นลังใหญ่ ๆ บางส่วนผมได้ตำเป็นผงล่อนเสร็จแล้ว เอาไปถวายท่าน คือ สมัยนั้นผมเป็นคนยากจน คนเราจนแล้วให้จนแต่ตัวอย่าจนน้ำใจ ผมคิดอย่างนั้น เมื่อท่านเห็นว่านเข้าท่านดีใจยกเข้ากุฏิเลย ท่านบอกว่าว่านมหาเมฆนี้ดี ถ้าปลุกเสกให้ดีจะกำบังได้ ภายหลังผมยังเก็บมะขามป้อมไปถวายท่าน เห็นท่านดองถวายพระผมก็ดีใจ เก็บไปถวายประจำ รู้สึกท่านตื้นตันใจกว่าการถวายเงินมาก คือ เคยถวายเงินท่านเห็นท่านเฉย ๆ

สมเด็จรุ่น ๒ ที่ว่าไม่สวยนี้ ปัจจุบันขนาดไม่ค่อยนิยมเท่าไร แต่ราคาเช่าหาเดี๋ยวนี้แพงมากเลย เพราะคนที่นำไปใช้มีโชคลาภดี ทำกินร่ำรวย เมตตา กำบังดี แคล้วคลาดดี จะเป็นเพราะว่านมหาเมฆหรือเปล่าไม่แน่ชัด เพราะปีนั้นผมเห็นท่านเอาช้อนมาขูดกระดูกผีโบราณเอาไปผสมพระ แต่จะเป็นรุ่นนี้หรือเปล่าไม่แน่ชัด เพราะหลังจากนั้นหลวงพ่อก็ไม่ได้พิมพ์พระอีกเลย เพราะมือท่านไม่มีกำลัง เรื่องผงผีนี้ผมไม่ยืนยันว่าท่านจะใช้ผสมหรือเปล่า คือผมไม่กล้าถามท่าน ท่านได้แต่พูดว่าใช้ว่านผสมทำ แต่ผมไม่เคยเห็นตอนที่ท่านทำเลย

สำหรับอภินิหารสมเด็จหลังรูปรุ่น ๒ นี้มีอภินิหารเล่าขานมากมาย ไม่แพ้รุ่นอื่น ๆ เช่นกัน จะขอบันทึกเอาไว้เล่าให้ฟังดังนี้

มีศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งชื่อบุญยัง บ้านอยู่สิงห์บุรี เคยมากราบหลวงพ่อตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม ๆ เคยได้พระของหลวงพ่อไปหลายแบบ เมื่อมีภรรยาก็ไปประกอบอาชีพบ้านภรรยา ที่จังหวัดนครสวรรค์ อาชีพค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นครอบครัวที่ยากจน ประกอบอาชีพมาหลายปีมีแต่พอกับไม่พอเลี้ยงครอบครัวเท่านั้น ภายหลังอดอยากแล้งแค้น มีหนี้สินรุงรัง กลุ้มอกกลุ้มใจไม่รู้จะทำอย่างไร เที่ยวได้ไปหาหลวงพ่อองค์นั้นองค์นี้รดน้ำมนต์ก็ไม่มีผลอะไร อยู่มาวันหนึ่งได้ระลึกถึงหลวงพ่อกวยได้ แต่หลวงพ่อก็มามรณภาพเสียแล้ว จำได้ว่าเคยมีวัตถุมงคลของหลวงพ่อหลายอย่างจะลอง ๆ เอามาทำน้ำมนต์และอาราธนาติดตัว แต่เมื่อค้นดูปรากฏว่าไม่มีเลย ได้เอาให้พวกหมู่ไปจนหมดเพราะไม่ได้สนใจมานาน เมื่อไม่มีอะไร ก็เลยจุดธูปขอพรต่อท่าน พอวันรุ่งขึ้นภรรยาได้เจอพระสมเด็จองค์หนึ่ง ด้านหลังมีรูปเขียนว่าหลวงพ่อกวย จึงถามสามีว่าใช่พระองค์นี้หรือไม่ นายบุญยังพอเห็นเข้าก็ดีใจจนน้ำตาไหล นึกไม่ถึงว่าพระนี้มาอยู่ได้อย่างไร ชะรอยหลวงพ่อคงจะไม่ทอดทิ้งตนเป็นแน่ พอตกกลางคืน ก็เอาพระสมเด็จหลังรูปใส่พานหาดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา สวดมนต์ขอพรต่อหลวงพ่อทุกคืน ลูกเมียก็หัดให้กราบพระสวดมนต์ทุกคืน ได้อธิษฐานว่า “ขอให้หลวงพ่อช่วยดลจิตดลใจให้ข้าพเจ้านี้เกิดปัญญา ทำมาค้าขายให้ร่ำรวย ใช้หนี้ใช้สินให้หมดด้วย สาธุ” ประมาณเดือนเศษการค้าการขายเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ พอมีเงินติดตัวเล็กน้อย พอดีเพื่อนฝูงมาชวนไปทัศนาจรที่พัทยา นายบุญยังกับภรรยา ปกติก็ไม่อยากไป แต่มานึกดูอีกทีอยากจะหาทำเลค้าขายใหม่ จึงได้ตกลงไปดู เมื่อไปก็มองหาแต่ช่องทางทำมาหากินอย่างเดียว เมื่อไปกินก๋วยเตี๋ยวที่พัทยา ได้พูดคุยกับเจ้าของร้านซึ่งขายก๋วยเตี๋ยวร้านไม่โตนัก ได้คุยถึงทำเลว่าขายดีไหม ที่ต้องเช่าเขาหรือเปล่า เหมือนหนึ่งว่าหลวงพ่อจะดลใจ แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวได้พูดคุยด้วยดี ได้พูดคุยว่า ที่ไม่ได้เช่าเขาเป็นที่ของตัวเอง เป็นป่าชายเลนซื้อเหมาเขาไว้ ของก็ขายดี คุณบุญยังได้พูดคุยว่าอยากจะมาค้าขายอยู่ด้วย แต่จะไม่ขายก๋วยเตี๋ยวหรอก เดี๋ยวจะหาว่าเป็นการแย่งลูกค้ากัน แต่จะขายลูกชิ้นปิ้ง ไส้กรอก จะมาขายอยู่ด้วยได้ไหม แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวก็ดีใจหาย บอกว่าให้มาอยู่เถอะจะได้เป็นเพื่อนกัน เมื่อกลับจากพัทยา คุณบุญยังกับภรรยาได้จุดธูปบูชาหลวงพ่อกวยกับสมเด็จหลังรูป ได้บอกเล่าต่อหลวงพ่อว่าจะไปอยู่พัทยาจะดีหรือไม่ คืนนั้นหลับไป ค่อนสว่างได้ฝันเห็นหลวงพ่อมาที่บ้าน หลวงพ่อได้พูดว่า “ไปเถอะดี ทางใต้น่ะจะร่ำรวย หรืออาจจะถูกรางวัลที่ ๑ ก็ได้” พอตอนเช้าสองสามีภรรยาจึงได้ตัดสินใจขายของที่มีอยู่พร้อมกระท่อมหลังน้อย คงเหลือแต่หม้อข้าวกับเครื่องนุ่งห่ม เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าจากบ้านที่เคยอยู่อาศัย ด้วยเชื่อมั่นในหลวงพ่อ จากมาด้วยน้ำตา มีเงินติดตัว ๒,๐๐๐ บาท เมีย ๑ ลูก ๑ ขอไปตายเอาดาบหน้า ถ้าหลวงพ่อไม่ช่วย นั่งรถโดยสารมุ่งสู่พัทยาไม่บอกให้ใครรู้ เมื่อไปถึงก็อาศัยนอนกับเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว รุ่งเช้าก็ก่อเพิงปลูกร้านอาศัยใบจาก แล้วเปิดร้านขายลูกชิ้นปิ้ง ไส้กรอก ปรากฏว่ามีคนที่มาเที่ยวกันมากทำให้ขายดี ส่วนนายบุญยังก็ขายล็อตเตอรี่ให้กับนักท่องเที่ยว การค้าขายดีขึ้นมาก ต่อมามีเงินเก็บเป็นหมื่นบาท ร้านขายก๋วยเตี๋ยวก็ขายดีจนรวย จึงอยากจะไปอยู่ในเมือง จึงขายร้านให้นายบุญยังพร้อมที่ดินที่เป็นป่าชายเลน มีแต่น้ำแฉะ เนื้อที่ ๕๐๐ ตารางวาได้ มีแต่ใบครอบครอง ใบซื้อขาย ๆ ให้เป็นเงิน ๑ หมื่นบาท อยู่ต่อมาประเทศไทยถูกชาวต่างชาติซื้อที่ดินดี ๆ เอาไปซะมาก เศรษฐีที่ดินกลัวจะไม่ที่อยู่ ก็ไปซื้อที่ตามต่างจังหวัด เศรษฐีขายที่ต่างจังหวัดก็ซื้อที่ตามป่ากันซื้อกันดะไปหมด เรียกว่าป่าชายเลนทะเลเกาะภูเขา เหมาแหลก เขาว่าสาเหตุมาจากเกาะฮ่องกงจะถูกเวนคืนให้จีนแผ่นดินใหญ่ เศรษฐีฮ่องกงที่รวยมากไม่อยากอยู่ภายใต้การปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่ กลัวยิงแบบที่จตุรัสเทียนอันเหมิน เลยมาหาที่อยู่ใหม่ เช่น มาเลย์ อินโด ฟิลิปปินส์ รวมทั้งไทยด้วย

ทีนี้พูดถึงคุณบุญยังต่อ ในปี ๒๕๓๒ มีคนมาขอซื้อที่แก ๔๐๐ ตารางวา เขาให้ราคา ๑๒ ล้านบาท วิ่งเต้นให้เสร็จที่ ๆ เหลืออีก ๑๐๐ ตารางวา เขาทำ น.ส.๓ ให้อีกด้วย แกเลยปลูกบ้านไป ๒ ล้าน สมเด็จก็นำไปเลี่ยมทอง
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ มกราคม 17, 2013, 07:53:07 pm
อ่านแล้วหลวงพ่อกวยไม่เคยทอดทิ้งลูกศิษย์เลย สาธุขอบารมีหลวงพ่อกวยคุ้มครองครับพี่วีรวัฒน์
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 21, 2013, 09:04:44 am
อ่านแล้วหลวงพ่อกวยไม่เคยทอดทิ้งลูกศิษย์เลย สาธุขอบารมีหลวงพ่อกวยคุ้มครองครับพี่วีรวัฒน์

สาธุ ขอให้หลวงพ่อคุ้มครองคุณcarpenter43 เช่นเดียวกันครับ ขอให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านจงร่ำรวย โชคดี ทุกๆ ท่านครับ ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ มกราคม 21, 2013, 08:08:35 pm
อ่านแล้วหลวงพ่อกวยไม่เคยทอดทิ้งลูกศิษย์เลย สาธุขอบารมีหลวงพ่อกวยคุ้มครองครับพี่วีรวัฒน์

สาธุ ขอให้หลวงพ่อคุ้มครองคุณcarpenter43 เช่นเดียวกันครับ ขอให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านจงร่ำรวย โชคดี ทุกๆ ท่านครับ ;D ;D ;D
เช่นกันครับพี่วีรวัฒน์ขอบคุณสำหรับคำอวยพรครับบารมีหลวงพ่อกวยคุ้มครองและขอให้พี่นำเรื่องราวดีๆๆมาเล่าสู่กันฟังอีกต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มกราคม 23, 2013, 09:13:34 pm
:o :o :o :o
เข้ามานั่งไล่อ่านบทความตารายเลย โชว์เดิมบางหน่อย
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 24, 2013, 08:01:57 am
:o :o :o :o
เข้ามานั่งไล่อ่านบทความตาลายเลย โชว์เดิมบางหน่อย


ยินดีด้วยนะครับน้องโก้ เหรียญเดิมบางสวยดีนะ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ มกราคม 24, 2013, 08:17:59 pm
:o :o :o :o
เข้ามานั่งไล่อ่านบทความตารายเลย โชว์เดิมบางหน่อย

สวยงามมากครับโก้ ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 25, 2013, 09:44:42 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๗๘
วันที่ ๕ ก.ค. – ๑๕ ก.ค.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


ทีนี้พูดถึงคุณบุญยังต่อ ในปี ๒๕๓๒ มีคนมาขอซื้อที่แก ๔๐๐ ตารางวา เขาให้ราคา ๑๒ ล้านบาท วิ่งเต้นให้เสร็จที่ ๆ เหลืออีก ๑๐๐ ตารางวา เขาทำ น.ส.๓ ให้อีกด้วย แกเลยปลูกบ้านไป ๒ ล้าน สมเด็จก็นำไปเลี่ยมทอง ทุกวันนี้นับถือหลวงพ่อทุกลมหายใจ แต่จะให้ผมลงชื่อพร้อมนามสกุล ที่อยู่ เขาคงไม่สะดวกเขารวยเป็นเศรษฐีไปแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงถ้าไม่เชื่อให้ไปถาม หมอเฉลียว เดชมา ได้ หรือจะให้เขาพาไปพบก็ได้

ปล.ครั้งก่อนผมได้ตอบคำถามคุณธนมิตร ฟุ้งกิตติกุล จากซิดนี่ย์ ออสเตรเลีย คุณธนมิตรได้ถามว่า สมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ แหวกม่าน และหลังรูป อย่างไหนจะดีกว่ากัน ผมได้ตอบว่าดีทั้ง ๓ แบบ ผมได้ตอบว่า สมเด็จหลังรูปดีเก่ง คือหลวงพ่อพูดอย่างนี้ แต่ตอนที่ตอบไปครั้งก่อนเขาพิมพ์ผิด เขาพิมพ์ลงไปว่าหลังรูปดีกว่า อันนี้ผมต้องขอโทษอย่างสูงด้วย ที่มีการผิดพลาดเกิดขึ้น

 จดหมายคุณวิชัย
ถลาง ภูเก็ต

เรียนคุณเฒ่า สุพรรณ ที่นับถือ

เมื่อต้นเดือนธันวาคม ๒๕๓๓ นี้ผมได้ขอพรกับหลวงพ่อโดยขอพรกับปรกโพธิ์ ๙ ใบ เนื้อขาวอมเทา หลังมียันต์ พ.ศ.๒๕๑๓ ปรากฏว่า วันที่ ๑๖ ธ.ค.ผมถูกหวยได้มากพอสมควร ผมดีใจมากที่สุดในรอบปี หลวงพ่อท่านเก่งจริง ๆ ผมส่งเงินมาเข้ามูลนิธิ ๕๐๐ บาท พร้อมจดหมายฉบับนี้แล้ว ผมขอถามว่า “ตะกรุดแม่ทัพ” นั้น ใช่ตะกรุดโทนหรือไม่ มีประวัติการสร้างอย่างไรและยอดเยี่ยมอย่างไ



ตอบ ตอบคุณวิชัย เงินมูลนิธิได้รับครับ ตะกรุดแม่ทัพ นั้น ต้องมี ๒ ดอก ดอกเล็กอยู่หน้าดอกใหญ่อยู่หลัง จึงเรียกว่าตะกรุดแม่ทัพ แต่หายาก หาคนปล่อยยาก ส่วนตะกรุดโทนจะมีดอกเดียว ที่ถามว่ายอดเยี่ยมอย่างไร ก็ขนาดหลวงพ่อลองจารฝาปี๊บด้วยอักขระ ๔ ตัว คนลองยิงโดนปืนถีบหัวเลือดอาบเลยหลวงพ่อก็ทำได้ จารอักขระ ๔ ตัวที่ต้นสำโรงคนเดินผ่านไปมายิงด้วยปืนเล็ก-ยาว มี ร.ศ.ยิงไม่ออกเลยหลวงพ่อก็ทำได้ แล้วตะกรุดซึ่งมีอักขระเลขยันต์มากมายจะไม่ดีได้อย่างไร ส่วนประวัติการสร้างหลวงพ่อจารเองถักเองม้วนเอง ไม่เคยให้ใครจารแทน อันนี้เป็นเรื่องจริง หลวงพ่อจารเองทุกดอก ยกเว้นตะกรุดปลอม ปัจจุบันนี้ตะกรุดแม่ทัพของหลวงพ่อมีราคาแพงที่สุดในประเทศไทย อาจแพงที่สุดในโลกก็ได้ นี่เป็นเรื่องจริงนะ ผมไม่ได้พูดเล่น

นับถือ

ฒ.สุพรรณ


ไอ้หัวเละ

เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ มีหลักฐานและพยานอ้างอิงแน่ชัด ปีนั้นหลวงพ่อได้ว่าจ้างช่างมาอัดพื้นศาลา บังเอิญหมาวัดได้ไปกัดเขาเข้า หมาตัวนั้นชื่ออีจุ่น ดุ ตัวไม่โต ชอบกัดคน แต่กัดไม่ค่อยเป็นเท่าไร เพราะตัวเล็กและเป็นตัวเมีย อีจุ่นนี้ไม่มีใครจับได้เลย ยกเว้นหลวงพ่อเพียงองค์เดียว ทีนี้ช่างคนนี้เป็นคนใจร้าย ดุพอ ๆ กับอีจุ่นเช่นกัน ชื่อจุ่นเช่นกัน เมื่ออีจุ่นไปกัดช่างจุ่นเข้า ช่างจุ่นไม่กัดตอบคว้ามีดปาดตาลขนาดใหญ่ฟันอีจุ่นเต็มแรง ฟันชนิดไม่เลี้ยงเลยทีเดียว กระดูกสันหลังขาดเลย อีจุ่นคงจะเจ็บมากมันคลานมาหน้ากุฏิหลวงพ่อ พระเห็นเข้าก็เรียกหลวงพ่อมาดู พอหลวงพ่อเห็นเข้าท่านได้ถามพระว่าใครฟัน พระตอบว่าช่างอัดพื้นศาลาฟัน พอหลวงพ่อรู้ว่าช่างจุ่นฟัน ท่านได้พูดว่า“ไอ้หัวเละเอ๊ย จะฟันเสียให้ตายเลยก็ไม่เอา ทำอย่างนี้มันทุเรศ คนอะไรช่างไม่สงสารเสียบ้างเลย มิน่าหัวมันถึงได้เละ”

วันนั้นหลวงพ่อพูดว่าไอ้หัวเละ พระก็ไม่ได้เอะใจอะไร ท่านได้ขึ้นไปเอาน้ำมันมนต์มาทาใส่ให้อีจุ่น ไม่นานแผลก็หาย กระดูกสามารถติดกันได้ ประมาณเดือนหนึ่งได้ช่างจุ่นก็โดนลอบยิงหัวเละ ตายคาที่เลย นับว่าอัศจรรย์ ตอนนั้นหลวงพ่อเลี้ยงหมาตัวผู้ไว้ตัวหนึ่งชื่อ ไอ้ตุง ไอ้ตุงไปแอบกินแตงสุกในไร่ของชาวบ้าน พอดีเจ้าของไร่มาเจอได้ยิงด้วยปืนลูกซอง ชนิดลูกโดดโดนตรงหัวพอดีแต่ไม่เข้า ภายหลังนี้ไอ้ตุงได้ยินเสียงพลุ เสียงปืน เสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่าไม่ได้เลย มันจะวิ่งเข้ามาหาหลวงพ่อมันคงจะเข็ดลูกปืน

จดหมายคุณสำเนา อุ่นแก้ว
เรียนคุณลุงเฒ่า สุพรรณ ที่นับถือ
ที่ผมเขียนจดหมายมาในครั้งนี้ เพราะผมประทับใจในตัวของคุณลุงมาก และผมก็เคารพนับถือในองค์หลวงพ่อกวย เพราะได้อ่านเรื่องราวต่าง ๆ ที่คุณลุงได้ลงในนะโม และได้ยินได้ฟังเรื่องต่าง ๆ ที่คนอื่นได้เล่าให้ฟัง คือว่าตอนเข้าพรรษาที่ผ่านมาผมได้บวชที่วัดแถวบ้าน และมีเพื่อนผมคนหนึ่งได้มีผ้ายันต์ของหลวงพ่ออยู่ผืนหนึ่ง เพื่อนอีกคนหนึ่งได้เอาไปทดลองยิงปรากฏว่า ลูกปืนนัดแรกไม่ออก นัดสองออกเหมือนแต่ออกมาแค่ปากกระบอกปืนเท่านั้น ตั้งแต่นั้นมาผมจึงได้เลื่อมใสในองค์หลวงพ่อกวยยิ่งขึ้น สุดท้ายนี้ขอคุณพระศรีรัตนตรัยให้คุณลุงและครอบครัวจงมีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป
ด้วยความเคารพอย่างสูง
สำเนา อุ่นแก้ว
๖๑/๑ บ.ลัคกี้เฟรมเทรดดิ้ง จำกัด ถ.กิ่งแก้ว ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ๑๐๕๔๐


จดหมายคุณศราวุฒิ โพธิ์เงิน
สวัสดีครับอาจารย์เฒ่า สุพรรณ ที่เคารพ

ผมมีประสบการณ์กับเหรียญของหลวงพ่อกวย คือก่อนหวยออกประมาณสักหนึ่งอาทิตย์ แต่ผมได้ไปเช่าเหรียญหลวงพ่อจากชมรมพระเครื่องวงเวียนใหญ่ ผมได้เหรียญไปผมก็เอาไว้บนหิ้งบูชา และผมได้อาราธนาให้ผมถูกหวย ในงวดวันที่ ๑๖ พ.ย.๒๕๓๓ ด้วย คือผมบอกว่าถ้าผมถูกหวยในงวดนี้ผมจะไปเช่ารูปหลังจีวรของหลวงพ่อมาบูชาอีก และพอดีเพื่อนเอาเบอร์ทองมาขายให้ผม ทีแรกผมจะไม่เอาอยู่แล้ว เพราะผมไม่เคยซื้อเบอร์ทอง ผมรับไว้เบอร์ ๐๖ ๐๕ ๖๖ ก่อนหวยออกผมได้ระลึกถึงหลวงพ่อว่า ขอให้ผมถูกเบอร์ทองสักครั้งเถิดหลวงพ่อผู้มีเมตตา ผลของการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลวันนั้นเลขล่างออก ๐๖ ผมได้เบอร์ทองดังใจ ผมจึงรีบไปเช่ารูปหลวงพ่อทันที (รูปอัดกรอบเล็กหลังจีวร) เหรียญที่ผมเช่าไป เป็นเหรียญรูปโล่หลังยันต์ พ.ศ.๒๕๒๑ เป็นเหรียญแท้หรือเก๊ครับ เพราะผมไม่เคยเห็นและไม่เคยรู้จักหลวงพ่อเท่าใด เพียงแต่อ่านเจอในนะโม สุดท้ายนี้ผมขอรูปถ่ายของหลวงพ่อกวยด้วย เพราะผมอยากได้มาก แต่ไม่รู้จะหาที่ไหน

ขอกราบขอบพระคุณมาก

ศราวุฒิ โพธิ์เงิน

๒๔๔-๒๔๖ พลับพลาไพชย กทม.๑๐๑๐๐


ตอบตอบคุณศราวุฒิ คุณแปลกดีไม่รู้ว่าปลอมหรือเปล่ายังกล้าเช่า เหรียญโล่ตอนนี้ยังแท้อยู่ไม่ปลอมครับ รูปถ่ายคุณคงไม่ได้ไปเพราะหมด แต่ตอนนี้มีแล้ว เป็นรูปซีล็อค เป็นรูปคู่กับหลวงพ่อเดิม มีคนทำถวาย ผมตั้งใจจะแจกตอน “สมบัติล้ำค่า” คือรูปหลวงพ่อเดิมบังเอิญเอารูปไปให้อาจารย์ตี๋ปลุกเสก ๆ ซะหายไปเลย เพิ่งเจอ ใครที่ยังไม่มีรูปหลวงพ่อไว้บูชา จะขอก็สอดซองติดแสตมป์จ่าหน้าขอมาฟรี ห้ามทำบุญ รุ่นนี้ให้ชื่อว่า “ปลุกเสกลืม”

ฒ.สุพรรณ

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: tree_alone ที่ มกราคม 26, 2013, 08:30:06 pm
หลวงพ่อท่านรักหมาของท่านมากเลยนะครับ :)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มกราคม 31, 2013, 05:19:42 pm
ขอบคุณสำหรับบทความครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2013, 08:45:19 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๗๙
วันที่ ๑๕ ก.ค. – ๒๕ ส.ค.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


พระกระเบื้องโบสถ์แกะ

ต่อไปจะกล่าวถึงพระพุทธพิมพ์ยุคแรกของหลวงพ่อ วัตถุมงคลและเครื่องรางของหลวงพ่อชุดแรก หลวงพ่อสร้างขึ้นในสมัยที่หลวงพ่อยังสักยันต์อยู่มีการสร้างแหวนแขน ตะกรุด และพระพุทธพิมพ์หรือ พระเครื่อง แรกทีเดียวหลวงพ่อสร้างพระที่แกะขึ้นจากหิน เป็นหินใต้น้ำตก หลวงพ่อสะสมไว้เรียกว่าหินเย็น หินนี้ถ้าปวดศีรษะ หรือปวดหัว ให้นำมาคลึงบริเวณที่ปวดจะหาย หลักฐานการแกะพระจากหิน ยังมีอยู่ในตู้พิพิธภัณฑ์ของท่าน เป็นหินชนิดต่าง ๆ แม้พระที่หลวงพ่อแกะเองจากมือก็ยังมีอยู่ให้ดู เท่าที่พบหลวงพ่อแกะพิมพ์สมาธิ และพิมพ์ห้ามสมุทร ที่แกะจากคตหอยโข่งก็มี บางคนอาจไม่เชื่อว่าเป็นไปได้ เรื่องที่หลวงพ่อมีจิตพิเศษนี้ จะนำไปเล่าในตอนวิชามือเหล็กและวิชามือยางของหลวงพ่อตอนต่อไป  ระยะต่อมาหลวงพ่อได้แกะพระจากกระเบื้อง คือเข้าใจว่าหินจะหมด (หินชนิดดี) กระเบื้องนี้หลวงพ่อได้ไปขุดพระเครื่องของวัดร้างหรือวัดใน ๑ วัด กับวัดการเปรียญ อยู่ตรงทางเข้าวัดของหลวงพ่ออีก ๑ วัด หลวงพ่อได้พบกระเบื้องพระอุโบสถในสมัยอยุธยา จำนวนหนึ่ง กระเบื้องโบราณของอุโบสถนั้นเป็นของดีในตัว เพราะพระอุโบสถเก่าพระได้ทำสังฆกรรมในอุโบสถหลายร้อยครั้ง พลังจิตย่อมติดอยู่บ้าง เข้าใจว่าอย่างนั้น นอกจากกระเบื้องแล้ว หลวงพ่อยังได้นำเงินเหรียญจำนวน ๑ บาตรไปแลกกับอิฐที่วัดการเปรียญเพื่อนำมาสร้างโบสถ์อิฐเก่านี้แข็งมาก ก้อนโตกว่าอิฐในปัจจุบัน ประมาณ ๒๐ เท่า ปัจจุบันที่วัดหลวงพ่อ ยังพอมีให้เห็นอยู่บ้างกองอยู่ใกล้ ๆ กับศาลาธรรมสังเวช ที่กำลังก่อสร้าง มีบางคนเอาเท้าเหยียบเล่นกลับไปบ้านเท้าบวม ต้องมาขอขมาอิฐก็มี

พระพิมพ์กระเบื้องแกะนี้เท่าที่พบมีพิมพ์พระนารายณ์ พิมพ์พระฤาษี พิมพ์ท้าวเวสสุวัณ พิมพ์พระแม่ธรณี พิมพ์รูปท่าน พิมพ์พระพุทธ ฯลฯ ปัจจุบันพระชุดนี้หายาก เท่าที่พบจะหักไม่สมบูรณ์ พิมพ์พระพุทธที่หลวงพ่อแกะไม่เสร็จ ปัจจุบันผมยังเก็บรักษาอยู่ ๑ องค์ เขาว่าพิมพ์พระนารายณ์ดีทางอำนาจตบะ พิมพ์พระฤาษีดีทางกันคุณ ดีทางทำน้ำมนต์ พิมพ์ท้าวเวสสุวัณดีทางกันผีกันอำนาจลึกลับ พิมพ์แม่ธรณีดีทางทำน้ำมนต์ ชนะศัตรูดีเทียบเท่าปรกโพธิ์ ๙ ใบ ซึ่งกล่าวถึงตอนปรกโพธิ์ ๙ ใบหลังพระแม่ธรณี

เกี่ยวกับประสบการณ์ของพระชุดหินแกะ ชุดกระเบื้องแกะนี้ ประสบการณ์มีน้อยมาก เพราะหลวงพ่อทำไว้น้อย ศิษย์ที่ได้ไปเป็นคนรุ่นเก่าอายุขนาด ๖๕ ปีขึ้นไป คนรุ่นนี้โดยมากจะไม่พูดไม่คุย จะไม่เอามาอวด เพราะเอามาอวดลูกอวดหลานทีไร เสร็จหลานทุกทีไป จะขอเล่าถึงอภินิหารเพื่อบันทึกเอาไว้สักเล็กน้อย ปู่เส็งเป็นคนท่าทองภายหลังได้เป็นผู้ใฝ่ในการปฏิบัติธรรม เคารพหลวงพ่อมาก ได้ไปเรียนวิปัสสนากรรมฐานที่วัดเขาพอง วัดเขาพองนี้อยู่ติดกับสวนนกชัยนาท เมื่อปู่เส็งนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ในบางครั้งจิตได้ออกจากร่างไปยังเมืองนรก ได้เจอเจ้ากรรมนายเวรเป็นคนบ้างเป็นสัตว์บ้าง เป็นคนแต่หัวเป็นสัตว์บ้าง พวกเขาได้มาทำร้ายปู่เส็ง ทำให้ปู่เส็งตกใจกลัวออกจากสมาธิ และกว่าจะรวบรวมจิตเป็นสมาธิอีกได้ ต้องทำสมาธิใหม่เป็นเวลานานถึงเป็นปี ๆ แม้เมื่อรวบรวมสมาธิได้ เวลาจิตออกจากร่าง ก็จะไปเจอเจ้ากรรมนายเวรอีก เป็นแบบนี้หลายครั้ง บางครั้งถึงกับสติแทบเสีย เขาว่ากรรมฐานแตกภายหลังปู่เส็งได้มากราบหลวงพ่อ และเล่าเรื่องให้ฟัง พอหลวงพ่อได้ให้พระกระเบื้องแกะพิมพ์ท้าวเวสสุวัณไป ๑ องค์ไว้ติดตัว ผลคือเมื่อจิตออกจากร่าง ปู่เส็งไม่เจอวิญญาณร้ายอีกเลย ภายหลังปู่เส็งนี้ได้ตายที่เขาพองนั่นเอง ไม่รู้ว่าท้าวเวสสุวัณนั้นใครเก็บรักษา

อีกเรื่องหนึ่ง เจ้าของเรื่องเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ของจังหวัดชัยนาท ชื่อชาญ หรือชำนาญนี่แหละ คือนานมากแล้ว เป็นคนร่ำรวย บุญก็ทำ กรรมก็สร้าง ปัจจุบันอายุคงจะเกือบ ๗๐ ปีแล้ว เห็นว่าไม่เกี่ยวกับราชการแล้วจึงได้เล่าให้ฟัง นายชาญนี้ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่การงาน ทุจริต ภายหลังถูกจับได้ มีโทษถึงไล่ออก และต้องติดคุกประมาณ ๑๐ ปี นายชำนาญแกเป็นคนมีเงิน ได้พยายามวิ่งเต้นทุกวิถีทาง หมดเงินไปหลายแสนบาท จนเกือบสิ้นเนื้อประดาตัว ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก ๒๐ ปี ได้อุทธรณ์ลดเหลือ ๑๐ ปี เหลือศาลสุดท้ายคือศาลฎีกาแกพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้พ้นโทษ แต่ไม่เป็นผล ได้วิ่งเต้นต่อผู้พิพากษาก็ไม่เป็นผล บังเอิญภรรยาแกเป็นคนทางสรรค์บุรี ได้ระลึกถึงหลวงพ่อกวยเล่าเรื่องให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อบอกว่าถ้าประกันตัวนายวิชาญมาได้ จึงจะช่วยได้ นางได้ขอร้องอ้อนวอนหลวงพ่ออยู่นาน จนหลวงพ่ออดรนทนไม่ได้ ท่านได้พูดว่าก็ได้จะลองดู หลวงพ่อได้ทำน้ำมนต์ให้มา ๑ ขัน แล้วหยิบพระกระเบื้องแกะพิมพ์พระแม่ธรณีให้มา ๑ องค์ พร้อมคาถาเชิญพระแม่ธรณีมา ๖ ตัว สั่งว่าให้นำพระแม่ธรณีติดตัวน้ำมนต์ใช้กินและล้างหน้าตา รดหัวกล่าวคาถาเชิญพระแม่ธรณี ให้ระลึกถึงบุญกุศล ที่นายวิชาญทำมาเช่นทอดผ้าป่าหรือสร้างวัดเป็นต้น ให้ระลึกถึงแต่กรรมดีและบุญกุศลเป็นต้น

เมื่อคุณวิชาญได้รับพระแล้ว ได้ท่องคาถาอัญเชิญพระแม่ธรณี ได้ระลึกถึงบุญกุศลที่นายวิชาญทำมา เพราะแกเคยทำไว้พอสมควรเรียกว่าบุญก็ทำ กรรมก็สร้าง เมื่อไปขึ้นศาลขั้นสุดท้าย ผู้พิพากษาคนที่เคยวิ่งเต้นให้เงินเป็นแสนบาทแต่ไม่เอา คุณวิชาญเห็นหน้าผู้พิพากษาถึงกับยืนไม่อยู่ เพราะความท้อแท้ใจจะเป็นด้วยอำนาจในพระกระเบื้องแกะพิมพ์พระแม่ธรณี หรืออย่างไรไม่แน่ชัด ผู้พิพากษาได้ตัดสินยกฟ้อง และให้ออกจากราชการเฉย ๆ ซึ่งอัศจรรย์มากส่วนพระคาถา ๖ ตัว ที่หลวงพ่อให้ไปนั้น หลวงพ่อได้เขียนไว้เป็นภาษาขอมในวิชาละลายความว่า“ให้เรียกนางแม่ธรณี มาช่วยด้วยคาถานี้ ถ้าไม่มาอกแตกตาย” ตัวคาถาจะกล่าวถึงในตอนปรกโพธิ์ ๙ ใบ หลังแม่ธรณี


ส่วนพระกระเบื้องแกะพิมพ์อื่นก็คงจะเก่งเช่นกัน แต่ตอนนี้ผมไม่รู้นอกจากหินแกะ กระเบื้องแกะ แล้วหลวงพ่อยังเคยแกะกุมารทองจากกระดูกผีด้วย แม้หลักฐานกระดูกผีสดก็ยังมีอยู่ในตู้พิพิธภัณฑ์ มีคนเคยลักเอาไปไม่เกิน ๑ คืนก็เอามาส่ง เรื่องวิชาแปลก ๆ ของหลวงพ่อนี้ หลวงพ่อเคยพูดกับอาจารย์ศรีนวล เจ้าอาวาสสำนักปฏิบัติธรรมทับนาว่า ถ้าปลุกเสกแล้วไม่ขึ้น ไม่พอใจ ท่านจะเรียกวิญญาณผีตายโหงเข้าช่วย ท่านพูดอย่างนี้ไม่เชื่อผมก็ไม่เป็นไร ถ้าสงสัยถามอาจารย์ศรีนวลได้อยู่ อ.หันคา ชัยนาท ก็คงต้องยุติเรื่องพระพิมพ์กระเบื้องแกะแต่เพียงนี้

จดหมายคุณ ณ เดช พรหมบันดาล
๔๒๑ ภูผาภักดี อ.เมือง จ.นราธิวาส

สวัสดีคุณเฒ่า สุพรรณ

ผมเป็นอีกผู้หนึ่งซึ่งได้พิสูจน์ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อกวย ขอส่งเรื่องมาร่วมเผยแพร่ดังนี้

คุณปลัด(ขิก) แคล้วคลาด

วันศุกร์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๓๓ เพื่อนผมได้โทรศัพท์มาเรียกผมให้ไปยิงทดสอบของหลายชิ้นที่บ้านกูบู อ.ตากใบ จ.นราธิวาส วันที่ยิงคือวันเสาร์ ๘ กันยายน ๒๕๓๓ ไปกันทั้งหมด ๑๕ คน เป็นคนไทย ๗ คน มาเลเซีย ๘ คน คนลงมือยิงมี ๓ คน คือ

๑.ปริ๊นซ์ ออฟ การันตัง ยิงพระเครื่องและเครื่องราง

๒.จ.ส.ต.มานิต ยิงเครื่องราง

๓.นาย ณ เดช พรหมบันดาล ยิงเครื่องราง

ปืนที่ใช้ยิงเป็นปืนพกลูกโม่ .๒๒ แม็กนั่ม ของ สมิทธ์ แอนด์เวสสัน ลำกล้อง ๓ นิ้วครึ่ง กระสุน วินเชสเตอร์ ของที่นำมายิงมีประมาณ ๕๐ ชิ้น เป็นของมิสเตอร์จิมมี่เกือบทั้งสิ้น ของที่นำมายิงมีพระเครื่อง รูปเหมือน เหรียญ แหวน ตะกรุด ลูกอม ปลัดขิก งั่ง วิธียิง ใช้ยืนบ้าง นั่งบ้าง แล้วแต่ความถนัด โดยตอกตะปูหลายตัวที่ต้นมะพร้าวแล้วเอาของไปวาง ระยะยิงห่างไม่เกิน ๑ เมตร ส่วนใหญ่ระยะจากปากกระบอกกับของไม่เกิน ๒ นิ้ว ได้ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานด้วย

ของที่ยิงส่วนใหญ่จะแตกในนัดแรก บางอย่างถูกกระเด็นแต่ไม่มีรอยบุบสลาย บางอย่างไม่ถูกในนัดแรกพอนัดต่อมาแตกกระจาย แต่ที่ด้านไม่มี

เมื่อของที่เตรียมมาถูกลองยิงจนหมด เราก็เตรียมตัวกลับ แต่ มิสเตอร์จิมมี่ ได้มาบอกกับผมว่า ของที่ยิงทั้งหมดเป็นของที่ทางมาเลย์เอามา ขอให้ทางไทยเอามายิงบ้าง สักอย่างก็ยังดี อย่าให้อายเขา ผมใจหายวาบเลย เพราะไม่ได้เตรียมมา บังเอิญนึกได้ว่ามีคุณปลัดของหลวงพ่อกวยติดเอวอยู่ก็เลยปลดออกมาให้ยิง

ปริ๊นซ์ ออฟ การันตัน เป็นผู้ยิงโดยยืนยิงปากกระบอกปืนห่างจากคุณปลัดประมาณ ๒ ฟุต แล้วเสียงปืนก็ระเบิด โป้ง โป้ง โป้ง สนั่นหวั่นไหวไปหมดเสียงดังเท่าที่กระสุน .๒๒ แม็กนั่มจะดังได้

พอสิ้นเสียงปืน ผมก็ผวาเข้าไปดูคุณปลัดแทนที่จะเห็นคุณปลัดบุบหรืองอ อันเป็นเรื่องธรรมดาที่ของอ่อนอย่างตะกั่วควรเป็น แต่ปรากฎว่าที่ลำตัวตลอดหัวของคุณปลัดไม่เป็นอะไรเลย แม้แต่เชือกที่ร้อยก็ไม่มีริ้วรอย ทุกคนตื่นเต้นมากที่ได้เห็นกับตา

เป็นอันว่า ผมรอดพ้นจากหน้าแตกไปได้เพราะคุณปลัดของหลวงพ่อกวย ทั้ง ๆ ที่ในวันนั้นผมก็มีของไปให้ยิงเพียงอย่างเดียว

นับถือ

ณ เดช พรหมบันดาล


ตอบคุณ ณ เดช ต้องขอขอบคุณ คุณ ณ เดช อุตส่าห์เขียนมาเล่าให้ฟัง ถ่ายรูปมาให้ดูด้วย เพื่อยืนยันความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ แต่ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ อย่านำวัตถุมงคลของหลวงพ่อไปทดลองเลย ไม่ดีเลย ยังไงก็ต้องขอขอบคุณที่อุตส่าห์เขียนส่งข่าวมาจากแดนไกลมาให้เพื่อนอ่าน

นับถือ

เฒ่า สุพรรณ

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2013, 08:38:16 pm
หลวงพ่อกวยสุดยอดจริงๆ สาธุขอบารมีหลวงพ่อจงคุ้มครอง
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2013, 09:51:56 pm
สุดยอดประสบการณ์พระเครื่องหลวงพ่อกวยเลยครับ ;D ;D ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2013, 09:52:59 pm
สุดยอดประสบการณ์พระเครื่องหลวงพ่อกวยเลยครับหลงพ่อกวยรักลูกศิษย์มากๆๆเลยครับ ;D ;D ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กุมภาพันธ์ 08, 2013, 11:15:00 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๘๐
วันที่ ๒๕ ก.ค. – ๕ ส.ค.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


วิชาสัก

ต่อไปจะกล่าวถึงวิชาสักของหลวงพ่อ ตลอดจนเกร็ดอภินิหารเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อศิษย์รุ่นหลังจะได้ทราบถึงปฏิปทาและการสักของหลวงพ่อในสมัยนั้น วิชาสักนั้นเป็นวิชาโบราณ คนแต่ก่อนนิยมเขาว่าติดตัวดีไปไหนไปด้วย หลวงพ่อเริ่มสักให้ศิษย์เมื่อใดไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัด แต่จากการประมาณได้จากศิษย์รุ่นเก่าของหลวงพ่อ ที่มีอายุมากกว่าหลวงพ่อคือ ๙๐ กว่า แสดงว่าหลวงพ่อสักให้ศิษย์ตั้งแต่อายุท่านได้ ๓๕ พรรษาถึง ๔๐ พรรษา สมัยนั้นเมื่อหลวงพ่อสักให้ใครจะจดชื่อเอาไว้ทั้งหมด ที่อยู่ด้วยหลวงพ่อเขียนเอาไว้เอง ใช้สมุดปกแข็งเล่มโตกว่าสมุดบัญชีในปัจจุบัน ใช้สมุดจดไว้ถึง ๓ เล่ม รายชื่อศิษย์สักทั้งหมด ๘๘,๐๐๐ คน แล้วหลวงพ่อก็เลิกจด และไม่ถามชื่อศิษย์อีกเลย ปัจจุบันสมุดรายชื่อเล่มที่ ๓ อยู่ การสักของหลวงพ่อนอกจากหลวงพ่อจะใช้ญาณประกอบอาคมในการสักแล้ว หลวงพ่อยังให้ศิษย์กินน้ำมันงาเสกอีกครั้งหนึ่ง ๆ ประมาณ ๒ – ๓ ช้อน น้ำมันงานี้เมื่อหลวงพ่อจะให้ศิษย์กิน หลวงพ่อจะปลุกเสกจนแข็งแบบเกร็ดน้ำแข็ง ผู้ที่ปลุกเสกน้ำมันงาจนแข็งแบบเกร็ดน้ำแข็งได้ ต้องมีอาคมแก่กล้า เพราะน้ำมันงานี้แม้ในฤดูหนาวยังไม่แข็งตัวเลย คนที่เคยกินจะรู้ดีคือกินแล้วจะติดปากติดคอไปไหนไม่ได้ เล่ากันว่าเมื่อใครได้กินน้ำมันงาของท่านก็จะติดตัวไปตลอดชีวิต ถ้านอนกับไม้ ไม้จะเป็นมัน เวลาหนาวหรือฤดูหนาวจะหนาวสั่นกว่าคนธรรมดา การสักของหลวงพ่อต้องใช้หัวหมูบายศรีไหว้ครู แสดงว่าอาจารย์ผู้ประสิทธิ์วิชาให้ท่านต้องเป็นฆราวาส นอกจากนั้นยังมีคาถาเสกเหล้า เสกน้ำตาลประกอบ แสดงว่าต้องเป็นอาจารย์ฆราวาสแน่นอน

อานุภาพของยันต์ที่หลวงพ่อสัก ถ้าคนที่หมั่นปลุกเสก เสกข้าวกินทุกวัน อาบน้ำเสก จะยิงไม่ออก ซึ่งไม่ปรากฏมีในองค์อาจารย์องค์อื่น แต่คนที่สักหนุมานไปเฉย ๆ ตัวเดียว ตรงสีข้างจะยิงออกแต่ไม่เข้า คนที่สักพญาหงษ์ทองที่หัวไหล่ซ้ายขวา จะเป็นเมตตามหานิยม คนที่สักเสือจะมีอำนาจตบะ ฯลฯ

คนที่สักยันต์จากหลวงพ่อไปแล้วโดยมากจะปลุกไม่ขึ้น คือไม่มีอาการ ๓๒ ของสิ่งมีชีวิตประกอบ จึงมักนิยมสักหนุมานกันทุกคน หนุมานนี้อาจารย์สักแต่ก่อนนิยมสัก เพราะหนุมานเขาเก่ง เป็นทหารเอกของพระราม ในคัมภีร์รามายณะ ถือเป็นเรื่องจริง เขาแคล้วคลาดเก่ง เมตตาดี กำบังตัวได้

การสักของหลวงพ่อ มีดังนี้คือ สักเสือ สักสิงห์ สักหนุมาน สักยันต์ สักกระหม่อม สักยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้าที่กระหม่อม สักยันต์เกราะเพชรที่กระหม่อม สักหงษ์คู่ซ้ายขวาที่หัวไหล่ สักธนูมือ เป็นต้น การสักนั้น แล้วแต่ศิษย์ชอบ หลวงพ่อจะไม่แนะนำว่าอย่างไหนดีหรือไม่ดี หรืออย่างไหนดีกว่ากัน แต่จากการสังเกตถ้าสักยันต์นั้น หลายคนยิงไม่ออก สักหนุมานยิงออกทุกคนแต่ไม่เข้า ไม่ถูก สักหงษ์ดีทางเมตตา สักเสือ สักสิงห์ยิงออกเช่นกันไม่เข้า ไม่ถูก แต่มีอำนาจ ตบะ น้อยคนที่ท่านจะสักธนูมือให้ ในบัญชีเล่ม ๓ มีปรากฎว่าท่านสักให้เพียงคนเดียว ยันต์เกราะเพชร ยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้ามีอย่างละ ๑ คนเช่นกัน ใครที่ได้สักยันต์นี้ เวลามีเหตุร้ายสามารถรัดศีรษะเตือนภัยได้ อัศจรรย์

ต่อไปผมจะขอกล่าวถึงรายชื่อศิษย์สักรุ่นหลังสุด ในบัญชีเล่ม ๓ พอเป็นสังเขป เพื่อศิษย์รุ่นหลัง ๆ ได้พบจะได้พูดคุยถามคำพูดของศิษย์รุ่นพี่ อาจเกิดประโยชน์ต่อศิษย์รุ่นหลัง ๆ ได้ จากบัญชีเล่ม ๓ นี้ หลวงพ่อเคยไปจำพรรษาที่ไหน คนที่นั่นจะมาสักกับหลวงพ่อเป็นพิเศษ เช่น ที่หัวเขา อำเภอเดิมบาง เป็นหมู่บ้านของวัดหลวงพ่ออิ่ม อาจารย์องค์หนึ่งของท่าน ที่อำเภอชันสูตร อำเภอบางระจัน สิงห์บุรี ที่พำนักของหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ มีศิษย์สักของหลวงพ่อมากเป็นพิเศษ ที่วังจิก วังลึก อำเภอสามชุก ที่พำนักของพระเพื่อนท่านคือหลวงพ่อหร่ำ ก็มีศิษย์มาสักกับท่านมาก ที่มีมามากและมาไกลด้วยคือ บ้านบางตาหงาย หนองตางู บ้านตากฟ้า บ้านหนองโพธิ์ อำเภอตาคลี จ.นครสวรรค์ ที่พำนักของอาจารย์อีกองค์หนึ่งของท่านคือหลวงพ่อเดิม ที่พิจิตร บ้านบางคลานก็มี

เรื่องรายชื่อคงต้องยกไว้เพียงเท่านี้ เพราะในบัญชีมีมากเหลือเกิน กลัวจะเบื่อเอา นอกจากที่ได้บอกไปว่า ศิษย์ทางหนองโพธิ์ ตากฟ้า อ.ตาคลีมีมากแล้ว ที่ จ.นครราชสีมา ก็มีมาก ยิ่งจังหวัดที่อยู่ติดกัน เช่น สิงห์บุรี ชัยนาท สุพรรณ มีมากที่สุด เรียกว่า ถ้าเป็นภาพยนตร์จีนละก็ ถ้าผมมีไม้เท้าอาญาสิทธิ์สามารถระดมศิษย์ในสำนักได้ละก็ ผมว่าสำนักของหลวงพ่อนี้ ต้องเป็นหนึ่งในบู๊ลิ้มแน่เลย คงได้สู้กับพวกมารกันมั่ง

ต่อไปเป็นคำพูดของหลวงพ่อที่พูดไว้กับอาจารย์ผ่อง เจ้าอาวาสวัดท่าทอง ท่านพูดว่าถ้าจะสู้กับเขาถึงเลือดตกยางออกละก็ ถ้าเป็นวันเกิดของเราไม่ให้สู้ให้กลับไปตั้งหลักก่อน เพราะคนเราอาจหมดอายุวันตัวได้ อันนี้ท่านสั่งแต่เฉพาะตัว

อีกครั้งหนึ่งท่านคุยกับลุงสงัด คนแหลมว้า อ.เดิมบางว่า ถ้าจะตัดผมไม่ให้ตัดในวันตัว เช่น เกิดวันอังคาร ไม่ให้ตัดผมในวันอังคาร เป็นต้น อันนี้ท่านพูดไว้เฉพาะตัวเช่นกัน

คำพูดของท่านทั้ง ๒ ข้อนี้ ก็แล้วแต่ท่านจะปฏิบัติหรือไม่ แต่ถ้าถามผมว่าผมถือหรือไม่ ผมจะตอบว่าไม่ ท่านไม่ได้สั่งผมไว้ แต่ท่านเคยพูดกับผมไว้ข้อหนึ่งคือ ท่านพูดว่า ถ้าจะเป็นคนเหนือคน จะให้มีตบะ อำนาจ อย่ากินของเหลือเดนคนอื่น
 
เกี่ยวกับวิชาสักนี้ รวมถึงวิชาคงกระพันของหลวงพ่อด้วย ต้องมีนิสัยคล้าย ๆ หลวงพ่อ นิสัยนี้รวมถึงศิษย์รุ่นหลังด้วย จึงจะถือของหรือถือวิชาของหลวงพ่อขึ้น เช่น ไม่ประจบสอพลอ ไม่พูดมาก ไม่โอ้อวด ต้องมีศีลธรรม ชอบทำทาน และที่ห้ามที่สุดคือ ห้ามโวยวาย คือร้องท้าด่าแม่ ให้มายิงกันแทงกัน จะสังเกตได้ว่า คนที่มีวิชาอาคมโดยมากจะพูดน้อย สุภาพ มีศีลธรรม ไม่เห็นแก่เงินทอง ไม่ประจบสอพลอ ข้อที่ไม่ประจบสอพลอนี้ ถ้าเป็นนายคนจะดี แต่ถ้าเป็นลูกน้องเขาจะไม่ดี นายจะเกรงใจแต่ไม่รักเท่าไร และคนแบบศิษย์หลวงพ่อนี้ก็มีน้อยโดยมากอยู่ที่ไหนจะอยู่มันหัวเดียวโด่เด่ แบบเพลงเลยคือมาหัวเดียวโด่เด่ จะหันเหไปทางใดก็ไปมันหัวเดียว ดุ่มดุ่ม ถูกเขารุมมาก ๆ เข้าก็แสดงเลือดนักสู้ทำกามิกาเช่ สักทีหนึ่ง
 
ต่อไปจะเล่าถึงเกร็ดอภินิหารของหลวงพ่อ เป็นคำบอกเล่าของลุงสงัดเป็นคนบ้านหัวแหลมว่า เล่าให้ฟังที่กุฏิอาจารย์ผ่อง คำว่าผมหมายถึงลุงสงัด ตอนนั้นผมไปสักตอนเป็นพระ ผมบวชอยู่วัดเดิมบาง หลวงพ่อแพ เจ้าอาวาสเดิมบางรู้ว่าผมจะไปสัก ได้ฝากขอไก่ต๊อกจากหลวงพ่อ ๑ คู่ ผมเดินกันไปประมาณครึ่งวันก็ถึงวัด แต่ศิษย์ที่จะสักมีมาก ผมต้องคอยคิว กว่าจะได้สักตกประมาณตี ๒ ได้ ขณะกำลังสัก หลวงพ่อเมื่อยมือได้เดินเข้าไปในกุฏิ ตักน้ำมันงามาให้กิน ประมาณ ๓ เที่ยว ๓ ช้อนได้ เมื่อสักเสร็จผมก็เข้านอน เข้าใจว่าหลวงพ่อคงจะสักให้ศิษย์คนอื่นต่อถึงสว่าง พอตอนสายวันรุ่งขึ้น ผมก็ไปต้อนไก่ต๊อกจะเอาไปฝากหลวงพ่อแพ พอดีมีกองปราบเมาเหล้าเดินมาในวัด ๒ คน กองปราบนี้มาจากที่อื่นเป็นสายตรวจพิเศษ เมื่อมาถึงก็มาร้องถามถึงอาจารย์กวย ได้ถามว่า อาจารย์กวยอยู่ไหม อาจารย์กวยองค์ไหน เขาว่าเก่งนักไม่ใช่หรือ พอดีหลวงพ่อได้ยินเข้า ได้โผล่หน้าต่างออกมาพูดว่า ฉันเองแหละ อาจารย์กวย กองปราบเห็นเข้าก็พูดว่า เขาว่าเก่งนักจะมาขอลองสักหน่อย หลวงพ่อก็พูดว่าก็เอาซิ ลองยิงฉันดู ถ้ายิงออกไม่ต้องมานับถือกัน ไม่เอาผิดด้วย ท่านชี้ไปที่หน้าอกท่าน กองปราบเห็นท่านให้ลองยิงตัวท่านเลย ก็เสียงอ่อนลง หลวงพ่อเห็นว่ากองปราบ ๒ คนไม่กล้าลอง ท่านได้พูดว่าทำไม่ถึงไม่ยิงล่ะ กองปราบได้ตอบว่าเดี๋ยวยิงออกหลวงพ่อตายผมจะติดคุก หลวงพ่อเลยพูดว่า งั้นลองยิงต้นสำโรงดูทีซิจะถูกไหม กองปราบเห็นว่ายิงต้นไม้ ไม่อันตรายอะไรเลย ประทับปืนยาวเล็งยิง ยิงกันคนละหลายนัดไม่ออกเลย กองปราบได้หันมาหาหลวงพ่อทำนองเชื่อแล้ว นับถือแล้ว จะขอโทษ แต่หลวงพ่อไม่ได้อยู่ที่หน้าต่างแล้ว และปิดประตูเงียบ ลุงสงัดเล่าเอาไว้ตอนหนึ่งสมควรบันทึกเอาไว้เช่นกันว่า หลวงพ่อเป็นพระเช่นนี้ คือ ขณะสักให้ศิษย์ตอนตี ๒ ได้ มีคนเมาเหล้าเดินผ่านวัดได้แหกปากตะโกนเป๊ปๆๆๆ หลวงพ่อคงจะเห็นว่าไม่เกรงใจ ได้หยิบไม้ตะพดลงไปด้านล่างคราวนี้ได้ยินแต่เสียง ตุ้บโอ๊ย ตุ้บโอ๊ย โอ๊ยๆๆๆๆ ดังสลับกันลั่นไปหมด แล้วหลวงพ่อก็ขึ้นมาสักต่อไม่พูดอะไร
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กุมภาพันธ์ 15, 2013, 08:54:41 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๘๑
วันที่ ๕ ส.ค. – ๑๕ ส.ค.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


ต่อไปจะขอเล่าถึงอาจารย์ร่วมสมัยของหลวงพ่อองค์หนึ่ง ถ้าไม่เล่าเอาไว้ก็ถือว่าไม่สมบูรณ์ ตอนนั้นมีอาจารย์สักอยู่องค์หนึ่งเป็นพระ ชื่อหลวงพ่อเอ๊บ บวชเมื่อแก่บางคนเรียกว่าหลวงตาเอ๊บ อยู่วัดนก หรือวัดสกุณาใกล้ ๆ วัดพระแก้ว อ.สรรค์บุรี เส้นทางชันสูตร-สรรค์บุรี ผ่าน หลวงตาเอ๊บนี้เป็นพระเขมร มีวิชาดีเช่นกันรูปร่างใหญ่โตแบบคนโบราณ ทีนี้เมื่อหลวงพ่อสักให้ศิษย์ หลวงพ่ออยากให้ศิษย์เกิดความมั่นใจหมั่นปลุกเสกอยู่เสมอ เมื่อหลวงพ่อเจอหลวงตาเอ๊บครั้งใด หลวงพ่อจะพูดจายั่วยุหลวงตาเอ๊บ ให้ศิษย์หลวงตาเอ๊บ มาลองตี ลองฟันศิษย์ท่านเสมอ โดยพูดทำนองที่ว่าถ้าศิษย์ท่านโดนตี หรือโดนฟันจนได้เลือดท่านจะยอมลงให้หลวงตาเอ๊บ เมื่อหลวงตาเอ๊บโดนหลวงพ่อพูดจายั่วยุเรื่อย ๆ ก็ไปสั่งลูกศิษย์ท่านให้ดักฟันดักตีลูกศิษย์ของหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อสักให้ศิษย์แล้วท่านก็จะประสิทธิ์ให้ ก่อนลากลับท่านจะสั่งว่าระวังลูกศิษย์หลวงตาเอ๊บจะฟันเอานา ผลคือศิษย์ใหม่ ๆ ของหลวงพ่อมักจะโดนศิษย์หลวงตาเอ๊บดักตีหรือดักฟันอยู่เสมอ เมื่อโดนตีไม่แตก โดนฟันไม่เข้าศิษย์ก็จะมีความมั่นใจเพราะเจอของจริง ๆ ตอนหลังนี่หลวงตาเอ๊บได้ใช้อาคมลงที่คมแฝก และดาบได้ให้มาทดลองฟันศิษย์ของหลวงพ่อ แต่ก็ไม่เข้าเช่นกัน ท่านถึงกับพูดว่าหลวงพ่อกวยนี่อาคมดีจริง ๆ เมื่อศิษย์ของหลวงพ่อบางคนไปหาหลวงตาเอ๊บจะให้สักเพิ่ม หลวงตาเอ๊บจะไล่ไม่ยอมสักทับ ท่านได้พูดว่าของเก่าดีแล้วเขาดีกว่าข้า เมื่อหลวงตาเอ๊บมรณภาพ มีการประชุมเพลิง จ่าหลุยส์ได้ใช้ปืนเล็กยาวยิงข้ามเมรุ ผลคือยิงไม่ออก นับว่าหลวงตาเอ๊บนี้ก็มีวิชาองค์หนึ่งเช่นกัน

เรื่องวิชาสักนี้ ถ้าเป็นหนุมานจะยิงออกแต่ไม่เข้า มีหลักฐานยืนยันอยู่ คือลุงเมือง มั่นปาน เคยโดนยิงหลายสิบครั้งไม่เข้า ได้เล่าไว้แล้วจะขอเล่าเพื่อบันทึกเพิ่มเติมเอาไว้ พระโชนเล่าให้ฟังตอนนั้น นายแอ๊ด พยัคฆเดช คนโคราช นายเอียง แซ่จึง นายสมร ขอเหนียวกลาง และนายชิต กลับหอม คนราชทั้งหมด เข้าใจว่ามาสักพร้อมกัน พี่ชิตนี้ทำงานอยู่บริษัทขนส่ง หลังจากสักไปใหม่ ๆ หน้ายังไม่ทันลอกตกสะเก็ด พี่ชิตก็มีโชคทันทีที่กลับไปบ้านถูกใต้ดินเป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท เงินสมัยก่อนถือว่ามากทีเดียว แต่เจ้ามือจ่ายเพียง ๖,๐๐๐ บาท อีก ๔,๐๐๐ บาทติดไว้ก่อน นายชิตก็ไม่พอใจเดินหงุดหงิด ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ปรึกษาลูกน้องคือนายแอ๊ด พยัคฆเดช โดยสั่งว่าให้ไปเอาหูไอ้หัวล้านมาที คือเจ้ามือหัวล้าน ให้เอามา ๑ หู นายแอ๊ดก็คนจริงไปถึงไม่พูดมาก ชักมีดฟันหูเจ้ามือฉับ เจ้ามือก็คนจริงเช่นกัน เห็นหูตัวเองโดนฟันร่วงลงมา แกชักปืนยิงนายแอ๊ดยิงติด ๆ ห่าง ๑ นิ้วได้ เสียงดังปังสนั่น นายแอ๊ดร้องโอยวิ่งกลับมาบ้าน เสื้อขาดมีเลือดด้วยตะโกนบอกนายชิต นายโชน ว่าโดนยิงตรงสีข้างเข้าด้วย สงสัยไม่รอด นายโชนเอาผ้ามาเช็ดเลือด ผลคือความแรงของลูกปืนในระยะประชิดทำให้หนังขาดมีเลือดออกแต่ไม่เข้า อำนาจของความแรงของปืนทำให้หนุมานถึงกับลิ้นขาดเลย พอนายแอ๊ดรู้ว่าโดนยิงไม่เข้าถึงหัวร่อออกมาได้

เมื่อหลวงพ่อสักให้ศิษย์แล้ว หลวงพ่อจะประสิทธิ์ให้ มีคาถาให้ เขียนให้ทุกคน ซึ่งแสดงถึงความตั้งใจของหลวงพ่อ เช่น คาถาโองการมหาทหมื่น ซึ่งยาวมากหลักฐานใบคาถานี้อยู่ที่ลุงคลี่ ยิ้มจันทร์ แต่ใบคาถาเก่ามากแล้ว คาถาที่หลวงพ่อให้ไปมีหลายบทแล้วแต่คนละรุ่นไป มีคาถาเสกน้ำอาบ คาถาเสกข้าวกิน คาถาเสกเหล้า เสกน้ำตาล หรืออาพัดเหล้า อาพัดบุหรี่ หรือเสกบุหรี่ เวลาสูบแล้วว่าคาถาสูบเข้าไปสามารถเป็นคงกระพันชาตรีได้ มีคาถาอยู่ ๒ – ๓ บท ศิษย์ไม่ได้สักก็ใช้ได้ เช่น คาถาเสกน้ำอาบ คาถาเสกข้าวกิน คาถาเสกเหล้าเสกบุหรี่ เป็นต้น “อม กึก กึก ตัก ตัก” นี่เป็นคาถามหาทหมื่นบทสั้น หรือคาถาหินเบานั่นเอง คาถานี้เดิมเป็นของหลวงพ่อเฒ่า ผู้วิเศษแห่งเมืองสรรค์ องค์ที่ ๑ เป็นผู้ถ่ายทอดมา จะขอเล่าอภินิหารไว้ดังนี้ นายเทพ บ้านหนองอีดุก ไปกินเหล้าที่อำเภอสรรค์บุรี นั่งอยู่กับเพื่อน ๒ – ๓ คน กินเข้าไปมากด้วย นั่งอยู่ด้านในของร้าน พอดีโต๊ะด้านนอกเขาเกิดไม่พอใจขึ้นมา นายเทพแกรู้ตัวเลยว่าคาถานี้เสกเหล้า เสกบุหรี่สูบ เป็นจังหวะที่โต๊ะด้านนอก เกิดหมั่นไส้หมั่นตับขึ้นมา ลุกขึ้นมารุมนายเทพกับเพื่อน นายเทพโดนหนักกว่าเขา โดนตีด้วยขวดเหล้าและขวดโซดา ไม่ต่ำกว่า ๓ – ๔ ขวด สลบไปเลย อัศจรรย์ไม่แตกไม่บุบเลย เพื่อนอีก ๒ คนหนีไปได้ ไปเจอกันตอนเช้า เพื่อนเย็บคนละ ๒๐ กว่าเข็ม นายเทพนี้เป็นศิษย์ของหลวงพ่อในวันนั้นแกมีตะกรุดอีก ๑ ดอก แต่แกไม่ได้สักอะไร


อีกเรื่องหนึ่งนายนิด คนหนองอีดุกเช่นกัน เป็นศิษย์รุ่นหลังของหลวงพ่อมีเหรียญหนุมาน ๑ เหรียญ คาถาหนุมานใช้คู่กับเหรียญด้วย คาถาคือ “อม ผงเผ่าเถ้าธุรี” คาถานี้หลวงพ่อเขียนไว้ว่า ใช้ฝุ่นประกอบ ทีนี้นายนิดแกทำกินไม่เหมือนคนอื่นเขา จี้รถมอเตอร์ไซค์เขามาจากสุพรรณ คือท่าช้างจะเข้าชัยนาท พอดีตำรวจเขารู้ เขาวิทยุบอกด่านที่ถ้ำเข้ อ.หันคา ชัยนาท พอรถนายนิดมาถึงตำรวจ ๓ – ๔ คนก็กรูกันมา ชักปืนออกมาด้วยเพื่อนแกเป็นคนขับไม่ยอมหนี ส่วนแกไม่ยอมให้จับ ตำรวจยิงด้วยปืน ๒ – ๓ กระบอกยิ่งกว่าในหนังอีก ดังเป็นประทัดเลย นายนิดแกกลิ้งลงไปคว้าฝุ่นได้ ๑ กำมือ วิ่งด้วยเสกด้วยคาถาหนุมานแล้วเอาฝุ่นโรยบนหัว ตำรวจตามมา ๒ คนยิงด้วยปืนสั้นจนลูกหมดเอว ไม่ถูกเลย จับไม่ได้ด้วย นับว่าอัศจรรย์
เกี่ยวกับเหรียญหนุมานนี้เท่าที่พบจะยิงออกไม่ถูกและไม่เข้า เหรียญนี้จึงไม่ค่อยนิยมเท่าเหรียญทองแดงหลังยันต์ซึ่งบางครั้งยิงไม่ออก  ไม่ถูกและไม่เข้า ก็ขอจบเรื่องวิชาสักของหลวงพ่อเพียงเท่านี้ สำหรับคนที่สักยันต์แล้วยิงไม่ออกจะไม่ขอกล่าวถึง เพราะเคยเล่าไว้แล้วส่วนวิชาหนุมานที่หลวงพ่อบรรจุไว้ในหลังเหรียญรุ่นหนุมานนี้ ก็มีอานุภาพมากทีเดียว เล่าขานกันไม่จบสิ้น ยาวนานทีเดียว โอกาสหน้าจะเล่าให้ฟัง

ว่าจะจบ จบไม่ลง ถ้าจบอย่างนี้ก็ไม่สมบูรณ์ ปัจจุบันศิษย์สักของหลวงพ่อที่สักอยู่มีเหลือคนสุดท้าย ๑ คนชื่อลุงลอน เป็นหลานหลวงพ่อพูดน้อย สุภาพ ไม่โอ้อวด เขาสักหนุมานค่าครู ๓๐ บาท ใครที่คิดว่ายังหนุ่มอยู่ อยากเจ็บตัวก็ไปสักได้ แต่จะให้เอาเหมือนหลวงพ่อนั้นไม่ได้ บ้านเขาอยู่หน้าวัดเลย ใครที่จะสักอยากจะให้สักน้ำมันก็จะดี ไม่เปื้อนตัวและไม่เสียใจภายหลัง พ้นจากลุงลอนแล้วถ้ามีใครไปเร่สักตามวัด บอกว่าเป็นศิษย์สักของหลวงพ่อ จงอย่าได้เชื่อถือเพราะศิษย์ของหลวงพ่อเขาจะไม่พูดจาคุยโม้โอ้อวดเด็ดขาด ขนาดอาจารย์เม่าเขาบังถ้วยได้ บางคนไปขอเรียนวิชากับเขาเขาจะพูดถ่อมตนว่าวิชงวิชาอะไรไม่มี มีแต่คาถาเป่าตาต้อ ตาแดง หายมั่งไม่หายมั่ง ก็ขอจบเรื่องวิชาสักเพียงเท่านี้

จดหมายจากเชียงใหม่
สำนักงานเกษตรอำเภอจอมทอง จ.เชียงใหม่

๑๑ มีนาคม ๒๕๓๔

นมัสการพระอาจารย์สำรวย ที่เคารพ

ท่านอาจารย์คงจะจำกระผมได้ เมื่อประมาณเดือนธันวาคม ๒๕๓๓ กระผมและพี่พร้อมด้วยครอบครัวของพี่ ๆ ได้มากราบรูปหล่อของหลวงพ่อมาถึงวัดประมาณ ๒ ทุ่ม จึงได้จุดธูปขอน้ำมนต์ที่หน้ารูปหล่อ วันรุ่งขึ้นเดินทางกลับเชียงใหม่ ถึง จ.ลำปาง ประมาณ ๑ ทุ่ม ได้แวะทานอาหารเย็นที่ลำปาง ทานอาหารเสร็จขึ้นรถยนต์ จะเข้าเชียงใหม่ พี่ชายเกิดปวดท้องอย่างแรง ได้ซื้อยากินก็ไม่หาย ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดีนึกขึ้นมาได้ว่ามีน้ำมนต์ของหลวงพ่อ จะลองกินเสี่ยงดู ได้อธิษฐานขอให้รักษาอาการปวดท้องดื่มน้ำมนต์ชั่วครู่อาการปวดหายเป็นปลิดทิ้งเลย แปลกมาก กินยาไม่หาย กินน้ำมนต์หลวงพ่อกลับหายได้

ถ้ามีโอกาสจะมากราบรูปหล่อของหลวงพ่ออีก

เคารพ

สุรพล ชื่นเย็น


ตอบ ตอบ คุณสุรพล จดหมายของคุณอาจารย์สำรวยส่งให้ผม เห็นว่าเป็นประสบการณ์เลยนำมาลง เรื่องน้ำมนต์หน้ารูปหล่อนี้ เรื่องปวดท้อง ท้องเดิน มีคนเอาไปกินปรากฏว่าหาย เป็นเรื่องแปลกมาก คือเดิมหลวงพ่อมีวิชารักษาโรคป่วงโดยให้คนไปหาตักน้ำมาทำน้ำมนต์ ทำเสร็จให้คนที่มาบอกนั่นแหละกิน คนป่วยอยู่ทางบ้านหายได้ แม้แต่การคลอดลูก ถ้ากลัวปวด กลัวเจ็บ พากันมาหาท่าน ท่านสามารถทำให้สามีปวดแทนได้ คนไหนแกงบอนแล้วคันคอ จดชื่อเอาไปให้ท่าน ท่านสามารถทำให้คนที่แกงบอนคันคอ หรือขื่นคอ แกงแล้วไม่คันคอได้ อันนี้เป็นเกร็ดวิชาแปลก ๆ ที่ท่านเรียนเอาไว้ และทำได้ ซึ่งไม่ค่อยปรากฏมีในองค์หลวงพ่อองค์อื่น

ผมจำคุณได้คุณมีรูปอัดกระจกหลวงพ่อเดิม คุณคงสบายดี

เฒ่า สุพรรณ


จดหมายคุณเทิน ศรีทอง
๑๔๐ หมู่ ๕ ต.ชัยนาม อ.วังทอง จ.พิษณุโลก


๔ มีนาคม ๒๕๓๔

เรียนคุณเฒ่า สุพรรณ ที่นับถือ

ผมส่งเงินมาทำบุญผ้าป่าอุทิศ ๑๑๙ บาท คือผมถูกหวยเลขท้าย ๓ ตัว ๑ คู่ ก่อนหน้านั้นผมตัดเอารูปของหลวงพ่อจากในหนังสือ เอาไปบูชา แล้วขอโชคลาภจากท่าน ปรากฏว่างวดนี้ผมถูกหวย ๓ ตัว ๑ คู่ เลยส่งเงินมาทำบุญกับหลวงพ่อ

ขอแสดงความนับถือ

เทิน ศรีทอง

ปล.ขอส่งข่าวถึงคุณ นฐพล สามแยกไปฉาย กับคุณจักร สุวรรณโรจน์ กรุณาติดต่อคุณเปีย ศรีราชา ด่วน โทร. ๐ ๓๘๓๕ ๑๑๒๕   

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: ooxboom ที่ กุมภาพันธ์ 15, 2013, 05:15:54 pm
อ่านเเล้วปลื้มใจมากครับพี่วีรวัฒน์ ;D
 ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: tree_alone ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2013, 12:12:36 am
ยังติดตามผลงานพี่อยู่เสมอเลยครับ ขอบคุณครับที่ลงให้อ่านครับ ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2013, 03:46:23 pm
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๘๒
วันที่ ๑๕ ส.ค. – ๒๕ ส.ค.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


ผ้าขอด

ต่อไปจะกล่าวถึงวิชามหัศจรรย์ของหลวงพ่อวิชาหนึ่ง คือ วิชาขอดผ้า วิชาขอดผ้านี้เป็นวิชาโบราณ อาจารย์รุ่นเก่า ๆ นิยมนำผ้าจีวร ผ้ายันต์ขาว-แดง นำมาผูกเป็นปม เรียกว่า ผ้าขอด อาจผูกเป็นเงื่อนพิรอด หรือเงื่อนขัดสมาธิ เชื่อกันว่ามีผลทางแคล้วคลาดกันอาวุธปืนได้ แต่มีผ้าขอดชนิดหนึ่งที่ทำได้ยาก และถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์คือ ผ้าขอดไปได้-กลับได้ เท่าที่พบผ้าขอดชนิดนี้ มีผู้สร้างเอาไว้ ๒ องค์คือ องค์แรกหลวงพ่อแบน อดีตเจ้าอาวาสวัดเดิมบาง หลวงพ่อองค์นี้เก่งมาก เป็นพระรุ่นก่อนหลวงพ่ออีกทีหนึ่ง องค์ที่ ๒ ที่สร้างผ้าขอดชนิดนี้ไว้ก็คือ หลวงพ่อกวย

     

เล่ากันว่าการขอดผ้าชนิดนี้ต้องทำให้เฉพาะคนและทำได้ยาก วิธีการขอดหลวงพ่อจะนำผ้าขาว หรือผ้าแดง หรือผ้าจีวรก็ได้ โดยมากจะเล็กกะทัดรัดเพราะใช้พกติดตัว เท่าที่พบผ้าขาวจะขอดเพียง ๑ ขอด ผ้าแดงจะขอด ๗ ขอด ผ้าจีวรก็ ๗ ขอด การขอดหลวงพ่อจะผูกเงื่อนตาย แต่สอดเงื่อน ๒ ครั้งเมื่อดึงให้ตึงจะกลม ขอดตรงกลางนี้เรียกว่าขอดไป ผ้าจะมีหัวและท้าย หลวงพ่อจะนำชายผ้าหัวและท้ายมาผูกเป็นเงื่อนอีก ๑ ครั้ง เรียกว่าขอดกลับ ส่วนผ้าจีวรหลวงพ่อจะขอดไว้ให้เคียนเอว คือยาว เกี่ยวกับคาถาหลวงพ่อเคยถ่ายทอดให้อาจารย์เตี้ย วัดสามเอก ไว้ขอดผ้าเป็นมงคลสวมคอ ท่านว่าให้ขอดด้วย “ยะมิ อิสะ พุทโธ” แล้วปลุกด้วยคาถานี้ จะมีผลทางแคล้วคลาดสูงยิงตรงไม่ถูก แม้ปืนใหญ่ก็ยิงไม่ถูก ท่านว่าอย่างนี้ ส่วนการขอดแบบมหาอุด หลวงพ่อเคยถ่ายทอดให้ นายวิเชียร คนหัวเด่น ว่าอย่างนี้ “นะ บังลูก โม บังดิน พุท มิให้ออก ธา ปิดปากกระบอก ยะ อุด” โดยให้นำผ้าที่จะขอดไว้ด้านหลัง เอามือไพล่หลัง ขอดด้วยมือเพียงข้างเดียว ให้เพ่งจิตไปที่ผ้าที่ขอด พอถึง ยะอุด ให้เสร็จพอดี นายวิเชียรนี้เคยขอดผ้าได้ขลัง ขนาดนำไปท้าทดลองยิง ด้วยปืนแก๊ปได้ปรากฏว่ายิงไม่ออก เขาเล่าให้ผมฟังเขาถ่ายทอดคาถาให้ผม ผมไม่สนใจผมพูดว่าเดี๋ยวนี้เขาไม่ใช้ปืนแก๊ปกันแล้ว ขนาดเบา ๆ ก็จุดสามแปด อย่าเที่ยวไปขอผ้าท้าใครเขายิงล่ะ เดี๋ยวจะอายเขา พอผมพูดอย่างนั้นรู้สึกเขาขวัญเสียขาดความมั่นใจ ภายหลังไปไหนมาไหน เขาไม่ขอดผ้าใช้ติดตัวอีกเลย

เกี่ยวกับผ้าขอดนี้ สมัยที่หลวงพ่อยังแข็งแรงเรืองวิชา ท่านเคยนำผ้าจีวรมาขอด แล้วคล้องคอศิษย์แล้วฟันด้วยขวานหมูที่หัว เด็กตกใจแทบช็อคตาย เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงศิษย์คนที่ถูกฟันยังมีชีวิตอยู่

ต่อไปจะเล่าถึงอำนาจผ้าขอดไปขอดกลับ หรือไปได้กลับได้เอาไว้เพื่อแสดงถึงอำนาจจิตของหลวงพ่อที่บรรจุอยู่ในผ้าขอด คุณฉลองบ้านอยู่อำเภอบางระจัน เป็นศิษย์ของหลวงพ่อ แต่ทำกินไม่เป็นเหมือนชาวบ้านเขา มีศัตรูมากทั้งตำรวจก็ต้องการตัว โดนยิงมาหลายครั้งแต่ไม่เข้าไม่ถูก เพราะหลวงพ่อสักให้มา ตอนหลังใจเสียได้มากราบหลวงพ่อเล่าเรื่องให้ฟัง หลวงพ่อได้ขอดผ้าให้มาเป็นผ้าขอดไปได้กลับได้ คราวนี้โดนยิงอีกหลายครั้งไม่ถูกเลย โดนดักยิงโดยเรียกให้หยุดคล้าย ๆ จะยิงแต่พอเข้ามาใกล้กลับปล่อยคล้าย ๆ จำคนผิด บางคนพูดว่าหลวงพ่อเสกด้วยคาถากำบัง แม้ยิงก็จะยิงถูกแต่เรา แต่อาจารย์ศรีนวลซึ่งเป็นพระเป็นเจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ทับนา ท่านพูดว่า หลวงพ่อเรียกวิญญาณผีตายโหงเข้าช่วย คือท่านเคยคุยกับหลวงพ่อ ถามถึงเคล็ดลับการปลุกเสกของจะให้ขึ้นให้ขลัง ถ้าจะให้ขลังเป็นพิเศษให้เรียกวิญญาณผีตายโหงเข้าช่วย อันนี้ท่านพูดเอาไว้ อีกครั้งหนึ่งท่านพูดเอาไว้เช่นกัน ท่านพูดเวลาทำน้ำมนต์จะให้ชนะศัตรูท่านจะเรียกนางแม่ธรณีให้ช่วย โดยอ้างบุญกุศลของท่านที่ทำมา แม้คาถาเรียกพระแม่ธรณีนี้ศิษย์ใกล้ชิดบางคนยังได้ไว้ แต่ท่านเรียกว่า นางแม่ธรณี เกี่ยวกับผ้าขอดนี้เล่ากันว่าถึงคราวคับขัน จะทำให้ศัตรูจำไม่ได้ จะเห็นเป็นคน ๒ คน ๓ คน ได้ทำให้ตัดสินใจไม่ได้ ยิงไม่ได้หรือยิงจะถูกแต่เป็นเงา เป็นต้น เกี่ยวกับผ้าขอดก็มีเพียงเท่านี้ ความจริงอภินิหารมีอีกแต่คล้ายคลึงกัน เล่าไม่สนุกไม่เหมือนยิงไม่ออกยิงไม่เข้า แต่ผ้าขอดของหลวงพ่อนี้ถือว่าเป็นสิงมหัศจรรย์ของท่านอันหนึ่งเหมือนกัน นอกจากผ้าขอดแล้วหลวงพ่อเคยจารยันต์ลงแผ่นอลูมิเนียมเป็นยันต์ปลอดภัยไปได้กลับได้ เป็นของหายากเช่นกัน ก็ขอจบเรื่องผ้าขอดเพียงเท่านี้

จดหมาย คุณสุเทพ มาใหญ่
๑๘/๑๐๙ หมู่บ้านอินทนนท์ ซอย ๓ อ.บางเขน กทม.


นมัสการอาจารย์สำรวย ที่เคารพ

ผมชื่อสุเทพ มาใหญ่ มีความเคารพในองค์หลวงพ่อกวยมาก ผมจบ ปวช.บังเอิญเขารับสมัครงาน วุฒิ ปวส. ผมอยากจะทำงาน ถึงแม้คุณวุฒิผมจะไม่ถึงก็ตาม แต่ผมกำลังเรียน ปวส.อยู่ ผมเลยจุดธูปบอกกับหลวงพ่อกวยว่า ถ้าเขารับผมทำงานในวุฒิ ปวช. ในวันพรุ่งนี้ผมจะมาถวายสังฆทานให้หลวงพ่อ ๑ ชุด ทอง ๑๐๐ แผ่น พอตกกลางคืนผมฝันว่าผมได้กราบหลวงพ่อ คือหลวงพ่อมาหาผม หลวงพ่อเรียกผมไปเป่าหัวให้ ๑ ที ผมหนาวสั่นทั้งตัว ตกใจตื่นนอนหนาวสั่นอยู่เลย ที่องค์หลวงพ่อมีแสงสว่างเป็นรัศมีพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าสวยงามมาก ผมดีใจมากที่ได้พบหลวงพ่อในฝัน ผมว่านิมิตดีผมเลยไปสมัครงาน ผมวุฒิ ปวช. แต่ไปสมัครงานแข่งกับวุฒิ ปวส.ตั้งหลายคน แปลกมากเขารับผมทำงานนับว่าบารมีของหลวงพ่อกวยนี้ยิ่งใหญ่จริง ๆ ผมนับถือมาก หรือหลวงพ่อจะดลใจให้ผู้จัดการสงสารผมรับผมเข้าทำงาน ผมดีใจมาก

เคารพ

สุเทพ มาใหญ่


ตอบคุณสุเทพ พอดี อ.สำรวย ท่านเอาจดหมายมาให้ผม คุณก็โชคดีได้ทำงานและยังได้พบหลวงพ่ออีกด้วย มีเรื่องคล้าย ๆ ของคุณอยู่ ๑ เรื่อง มีศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่ง เป็นคนอำเภอสรรค์บุรี ไปสมัครงานที่สำโรง สมุทรปราการ มีคุณวิชัย บุญสาใจ เป็นผู้จัดการอยู่ คุณวิชัยได้ถามว่า อยู่หนองอีดุก อ.สรรค์บุรี รู้จักหลวงพ่อกวยหรือไม่ ศิษย์ของหลวงพ่อตอบว่า เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อกวย ตอบเท่านั้น คุณวิชัย รับเข้าทำงานเลย เรื่องนี้คงไม่ใช่อภินิหารเท่าไร คงเป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อเพราะคุณวิชัย เขาก็นับถือหลวงพ่อกวยมาก ก็ต้องขอขอบคุณ คุณวิชัย ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ฒ.สุพรรณ


จดหมาย คุณวีนัส สงวนศิริมงคล
๑๐/๑๖๑ หมู่บ้านรุ่งเจริญ ซอยโชคชัย ๔ ลาดพร้าว กทม.๑๐๒๔๐

คุณเฒ่า สุพรรณ ที่นับถือ

ดิฉันได้มีโชคจากองค์หลวงพ่อกวย นิดหน่อยและมีความประสงค์จะนำเงิน ๒๐๐ บาท เข้าร่วมมูลนิธิของหลวงพ่อขอให้คุณเป็นธุระจัดการให้ด้วยนะคะ

นับถือ

วีนัส สงวนศิริมงคล


ตอบคุณวีนัส เงินมูลนิธิได้รับแล้วครับ

นับถือ ขอบคุณ

ฒ.สุพรรณ

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ กุมภาพันธ์ 27, 2013, 12:58:46 pm
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆครับ นั่งไล่อ่านตาแฉะเลย

ไม่ประจบ/ไม่พูดมาก/ไม่โอ้อวด/ต้องมีศีลธรรม/ทำทาน/ไม่โวยวายด่าพ่อด่าแม่

จะจำไว้ครับ


 ;D ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มีนาคม 01, 2013, 11:05:06 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๘๓
วันที่ ๒๕ ส.ค. – ๕ ก.ย.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


เมล์อากาศ

เล่ากันว่าหลวงพ่อที่เก่ง ๆ สมัยก่อน เวลาท่านจะติดต่อข่าวสารกันท่านจะเสกของส่งไปในอากาศ เช่น เสกดอกจำปีให้เป็นตัวแมลงภู่ โดยเขียนข้อความเอาไว้ที่กลีบดอกจำปี เป็นต้น เมื่อไปถึงผู้รับ ผู้รับก็มีวิชาเช่นกัน จะใช้ขันครอบแล้วว่าอาคมสะกด แมลงภู่จะกลับกลายเป็นดอกจำปีเช่นเดิม สามารถอ่านข้อความติดต่อสื่อสารได้บางองค์ท่านเขียนข้อความลงบนแผ่นหนัง แล้วปลุกเสกให้เล็กแล้วปล่อยไปในอากาศ เมื่อไปถึงผู้รับแล้วจะใหญ่โตเหมือนเดิม สามารถอ่านหนังสือที่แผ่นหนังได้ติดต่อสื่อสารได้

เกี่ยวกับเรื่องที่หลวงพ่อท่านสามารถเสกวัตถุชิ้นใหญ่ ๆ ให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วส่งไปในอากาศนี้ มีหลักฐานยืนยันอยู่ ๒ – ๓ เรื่อง คือ

เรื่องแรก หลวงพ่อเสกหนังควายให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ โดยตัดเป็นท่อน ๆ แล้วปล่อยเข้าไปในลูกมะละกอที่วัดหลวงพ่อ โดยปกติจะปล่อยออกไปในวันพระจันทร์เต็มดวง คือหลวงพ่อไม่ปล่อยไปในอากาศเดี๋ยวจะไปเข้าคนหรือสัตว์ได้ เมื่อปล่อยไปเข้ามะละกอ มะละกอจะมีสีเหลืองคล้ายสุก

เรื่องที่สอง นายกุน ศรีแก้ว คนแม่น้ำน้อย จะไปขุดพลอยที่จังหวัดจันทบุรี แต่หลวงพ่อท่านห้ามไม่ให้ไป โดยพูดว่า “ไอ้กุนมึงอย่าไปเลย มึงไปมึงก็ไม่ได้กลับ” แต่นายกุนก็ไม่เข้าใจคำนี้สักเท่าไร อยู่ต่อมาอยากไปมาก ตัดสินใจไปเองไม่ได้บอกหลวงพ่อ กลางคืนก่อนไปมีเสียงดัง แกร๊ก ในบ้าน นายกุนก็ไม่ได้คิดอะไร ตอนเช้าตื่นขึ้นมานายกุนพบพระสรรค์ของหลวงพ่อตกอยู่ ๑ อยู่ รู้สึกแปลกใจมาก ดีใจและเข้าใจว่าหลวงพ่อกวยไม่ได้ทอดทิ้งตน ครั้งก่อนไปหาจะเอ่ยปากขอ พอดีหลวงพ่อท่านขัดเสียก่อนเลยไม่ได้ขอ เลยนำพระไปเลี่ยมคล้องคอติดตัวไป เขาว่าไปอยู่บ่อพลอย ได้พลอยเม็ดโตขณะกำลังจะขาย คือมีคนมาติดต่อปรากฏว่าโดนทุบตาย ตอนตายน่าเสียดายมากคือไม่ได้คล้องพระองค์นั้นไว้ คือพระคล้องอยู่หัวเสา เขาว่าโดนทุบตายคือศพก็ไม่มีใครเจอ เข้าใจว่าตาย ถ้าไม่ตายคงกลับบ้านได้แล้ว เพราะนานมากตก ๒๐ ปีแล้ว เกี่ยวกับพระพิมพ์สรรค์ที่หลวงพ่อส่งมาในอากาศนี้ ผมก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่า หลวงพ่อส่งมาได้อย่างไร

เรื่องที่สาม ศิษย์หลวงพ่อรุ่นเก่าชื่อ โฮม ไปขุดพลอยอยู่ที่จันทบุรี ปีนั้น พ.ศ.๒๕๒๒ เดือนเมษายน วันที่ ๑๑ ขณะสวดมนต์อยู่หน้ารูปบูชาของหลวงพ่อเกิดอาการตื้นตันใจสุดขีด เพราะนึกถึงหลวงพ่อที่จากบ้านมาไกลสุดแดน น้ำตาเกิดไหลขึ้นมาเอง ขณะเช็ดน้ำตามีเสียง แกร๊ก ตกที่โต๊ะหมู่บูชาพระเทียนได้ดับ พอจุดเทียนขึ้นมาใหม่ ได้พบพระพิมพ์สรรค์สรรค์ยืน ๑ องค์ ลุงโฮมจำได้ว่าเป็นพระของหลวงพ่อ และยังจำได้อีกว่าพระนี้ไม่เคยได้มาจากไหน เมื่อถามลูกและเมีย ไม่มีใครเห็นพระองค์นี้มาก่อน ประกอบกับพระพิมพ์สรรค์นี้เป็นพระของเมืองสรรค์ ไม่น่าจะมาตกอยู่ที่เมืองจันทบุรี คิดไปคิดมาคิดไม่ตก นอนก็ไม่หลับได้ตัดสินใจจ้างรถปิกอัพจากจันทบุรีมาวัดหลวงพ่อถึงในตอนสาย พอดีทันรดน้ำศพหลวงพ่อพอดี ลุงแกเสียใจมาก เรื่องนี้ก็แปลกดีที่หลวงพ่อสามารถส่งพระเครื่องไปเตือนบอกศิษย์ได้ นับว่าอัศจรรย์ทีเดียว

ในคืนนั้นเช่นกันตอนเช้ามืด ขณะที่ท่านอาจารย์ตี๋ ศิษย์องค์หนึ่งของท่านกำลังจำวัด คือนอน มีเสียงดังคล้ายฟ้าฟาดที่หลังคาสังกะสี อย่างแรงถึงกับตื่น อาจารย์ตี๋ท่านเลยเข้าที่ทำสมาธิทราบว่าหลวงพ่อมาเตือนเพื่อบอกว่าจะมรณภาพแล้ว พออาจารย์ตี๋มาบิณฑบาตที่ตลาดท่าช้างก็ทราบว่า หลวงพ่อมรณภาพแล้ว เรื่องการส่งของมาทางอากาศนี้ก็เห็นว่าแปลกดีเลยเล่าให้ฟัง 
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ มีนาคม 03, 2013, 07:24:51 am
ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าประสบการณ์หลวงพ่อกวยมากๆๆครับพี่วีรวัฒน์26หลวงพ่อกวยรักลูกศิษย์จริงๆๆครับ ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มีนาคม 05, 2013, 10:26:50 am
เยี่ยมครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มีนาคม 08, 2013, 12:49:18 pm
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๘๔
วันที่ ๕ ก.ย. – ๑๕ ก.ย.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านที่ทำบุญมูลนิธิมา ขอขอบคุณที่มองเห็นประโยชน์และความสำคัญ เงินของท่านทุกบาท ถึงปี ๑๒ เมษายน จะออกดอกผลทุกปี ดอกนั้นได้ทำบุญครึ่งหนึ่งอีกครึ่งหนึ่งได้ทำทาน เรียกว่าทานบารมี คือมอบให้เด็ก ๆ นักเรียนเป็นทุนการศึกษา ทุนการศึกษานี้ผมแยกไว้ ๓ ประเภทคือ โดยทั่วไปการมอบทุนการศึกษา นั้น จะมอบให้แต่นักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน ผมเห็นว่ายังดีไม่พอ ผมเลยเพิ่มให้อีก ๒ ประเภทคือ เรียนดีและนิสัยดี คือคนดีและนิสัยดี ก็ควรได้รับรางวัล ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือ นักเรียนที่ขาดผู้อุปการะ เช่น พ่อแม่ตาย หรือแยกกันอยู่ เป็นนักเรียนที่ขัดสน เป็นต้น

ตอนนี้มีผู้บริจาค ๓๐๐ บาท แล้วจะได้ทยอยแจ้งให้ท่านทราบต่อไป ยอดเงินตอนนี้ (๗ พฤษภาคม ๒๕๓๔) มียอดเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท ขอขอบคุณคุณพี่สำราญ รักแหลมทอง เงินมูลนิธินี้ พี่เป็นคนก่อตั้งหมายเลข ๑ เงินของพี่ ๔ ครั้ง ได้ ๑๐,๐๐๐ บาท ในวันทอดผ้าป่า ผมก็มัวแต่ยุ่ง ๆ ไม่ได้ดูแลพี่และคณะเท่าไร ถ้าการต้อนรับขาดตกบกพร่องอย่างไร ผมต้องขอโทษพี่และคณะไว้เป็นอย่างสูงด้วย

คุณพี่ประพันธ์ สุภาวธรรม บ้านอยู่ ๑๗๐/๓ อินทามระ ๒๒ ที่ทำบุญมูลนิธิมา หมายเลข ๒๐๒ วันนั้นผมเจอพี่ คุณพี่เล่าว่าหลวงพ่อไปเข้าฝัน เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกผมเลยเล่าให้ฟังดังนี้ คุณพี่เล่าว่าได้อ่านนะโมมานานนึกเกิดศรัทธาหลวงพ่อ เลยไปหาเช่ารูปขาว-ดำเล็กของหลวงพ่อมาติดตัว ๑ รูป ก่อนนอนก็ขอโชคลาภจากท่าน ตกกลางคืนหลวงพ่อไปเข้าฝัน ในฝันคุณพี่ประพันธ์เล่าว่า ได้มาที่วัด ได้มากราบรูปหล่อของหลวงพ่อ หลวงพ่อได้ออกมาจากรูปหล่อ และได้บอกเลขหวยคุณประพันธ์ ได้บอกว่าให้ไปซื้อหวยเลข ๙๔๖ ถ้าถูกแล้วให้มาทำบุญที่วัดด้วย เพราะที่วัดกำลังก่อสร้าง คุณประพันธ์พูดว่าผมยินดีช่วยครับ หลวงพ่อได้พูดย้ำว่า ๙ มาแน่ คุณประพันธ์ได้ซื้อหวยเลข ๙๔๖ ถูกได้เงินมาประมาณ ๒๐,๐๐๐ กว่าบาท ได้เดินทางมากราบรูปหล่อ เหมือนกับในฝันทุกอย่าง ยังได้ทำบุญถวายสังฆทานให้หลวงพ่อด้วย ทำบุญสร้างศาลาธรรมสังเวชด้วย ทำบุญมูลนิธิด้วย วันนั้นคุณพี่ผู้หญิงก็มาด้วย ยังเล่าให้ฟังด้วยความตื้นตันใจ คุณพี่พูดว่าหลวงพ่อดีต่อเขาจริง ๆ ท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ทำบุญมูลนิธิมา

แตกทั้งหมด

พระท่านว่า สังขารของคนเรานั้นมีความมั่นคงในเบื้องต้น มีความแปรปรวนในบั้นกลาง และดับสลายในบั้นปลาย แม้แต่สรรพสิ่งในโลกนี้ก็เช่นกัน แต่สรรพสิ่งหรือสิ่งของนั้น บางอย่างกว่าจะแตกสลายต้องใช้เวลานาน บางครั้งก็ใช้เวลาสั้น แต่ต้องดับสลาย หรือสูญสิ้นกลับเป็นธาตุเดิมทั้งหมด

เมื่อสิบกว่าปีก่อน ถ้าท่านอยู่ตามต่างจังหวัด ท่านอาจจะได้พบกับพ่อค้าเร่ขาบของชนิดหนึ่งคือ จานใสคล้าย ๆ แก้แต่ตกไม่แตก จะขว้างจะปาอย่างไรก็ไม่แตก โดยคนขายจะทดลองให้ดู ถ้าพอใจในคุณภาพเขาจะขายเป็นชุดละประมาณ ๑๕๐ บาท เงินสมัยก่อนนั้นก็มากโขอยู่

จะถึงคราวหน้าแตกของพ่อค้าเร่หรืออย่างไรไม่รู้ พ่อค้าคนนี้ได้นำจานชนิดตกไม่แตกปาไม่แตกมาเร่ขายที่วัดของหลวงพ่อ เขาได้ทดลองขว้างและปาให้พระ เณร และกรรมการวัดดู แถมให้พระและเณรทดลองปาดูด้วย เมื่อพระ เณร และกรรมการวัดเห็นว่าจานนี้เป็นของใหม่ ของดีควรซื้อเอาไว้ แต่ติดใจตรงที่มีราคาแพงต้องซื้อเป็นชุด ๆ เลยขึ้นกุฏิไปกราบหลวงพ่อเพื่อปรึกษา อย่างไรจะได้ให้หลวงพ่อซื้อไว้เป็นสมบัติของวัด ปีนั้นพระจิตบวชอยู่กับหลวงพ่อ(ภายหลังได้เป็นเจ้าอาวาสวัดหัวเด่น) เมื่อขึ้นมากราบหลวงพ่อ และเล่าเรื่องให้หลวงพ่อฟังแล้ว หลวงพ่อได้พูดเป็นปริศนาว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ไม่แตก ฝ่ายพระเณร และชาวบ้านเห็นว่าหลวงพ่อต้องไม่เชื่อเหมือนกับพวกตนที่ไม่เชื่อมาแต่แรก จึงได้ยืนยันกับหลวงพ่ออีกครั้งพร้อมทั้งให้เด็กวัดมาตามพ่อค้าเร่ขายจานให้มาพบหลวงพ่อ เมื่อพ่อค้าเร่ขึ้นมาบนกุฏิของหลวงพ่อ เขาก็คุยถึงสรรพคุณของจานของเขาทันที พร้อมทั้งแกให้หลวงพ่อดู โดยแกลงมาด้านล่างอย่างแรง ผลคือไม่แตก ก็จะแตกได้อย่างไร ในเมื่อบริษัทเขารับประกันคุณภาพ เจ้าของโฆษณาว่าเมดอินเจแปน หลวงพ่อท่านคงชอบใจคนขาย หรือชอบใจจานก็ไม่รู้ได้ ท่านหัวร่อ หึหึ สองคำ แล้วขอทดลองโยนจานจากพ่อค้าเร่ พ่อค้าก็ใจถึง พูดว่านิมนต์เลยหลวงตา ถ้าแตกไม่เอาสตางค์ไม่ต้องซื้อ พร้อมทั้งพูดทิ้งท้ายว่า“อย่าว่าแต่คนเลยครับเทวดาก็โยนจานผมไม่แตก”หลวงพ่อหยิบจานมาพิจารณาดู แล้วลองโยนในระยะใกล้ ๆ ประมาณ ๒ – ๓ ศอกได้ ผลคือแตกอ้างเพล้ง พ่อค้าเร่ถึงกลับหน้าถอดสี แต่ก็ไม่มั่นเท่าไร ส่งจานใหม่ให้หลวงพ่อโยนอีก ผลคือแตกอีก พ่อค้าเร่คนนั้นก้มกราบหลวงพ่อลงจากกุฏิไป ท่าทางของเขาหงอยและเซื่องซึม เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

ในวันนั้นถ้าเขารู้สักนิดว่า พระหลวงตาองค์นั้น คือ หลวงพ่อกวย เขาคงจะไม่เสียใจเท่าไร เขาได้พูดว่า อย่าว่าแต่คนเลย เทวดาก็โยนจานของเขาไม่แตก เขาคิดไม่ออกว่าหลวงตาองค์นั้นเป็นใคร ทำไมจึงโยนจานของเขาแตก ถ้าเขารู้ว่าหลวงตาองค์นั้นคือหลวงพ่อกวย ที่อย่าว่าแต่โยนเลย มองด้วยตาก็แตก เอานิ้วชี้ก็แตก เขาคงไม่เสียใจขนาดนั้น

แจกรูปดวงแก้วพระสิวลีฟรี
เรียนคุณเฒ่าที่นับถือทราบ

ผมได้อักรูปเอกสารเป็นรูปดวงแก้วนิมิตสิวลีหลวงพ่อกวยไว้ ขณะนี้ได้เอาไปฝากอาจารย์ที่ผมเคารพนับถือปลุกเสกอยู่ เมื่อปลุกเสกเสร็จแล้วผมยินดีที่จะแจกให้กับทุกคนที่ต้องการ แต่มีข้อแม้ต้องส่งซองพร้อมติดแสตมป์ถึงตัวเองให้เรียบร้อย (ฟรีทุกท่านประมาณ ๑,๐๐๐ ท่าน) ผมเองเคารพนับถือในความศักดิ์สิทธิ์บารมีของหลวงพ่อกวยมาก ผมขอแจกรูปดวงแก้วสิวลีเป็นทาน ขออุทิศกุศลมอบถวายแด่หลวงพ่อกวยที่ผมและทุกท่านที่นับถือท่าน ถ้าคุณเห็นว่าสมควรลงในหนังสือนะโมกรุณาลงบอกด้วย คนที่ปรารถนาจะบูชาก็ขอมาที่ผมได้ฟรี และผมจะส่งส่วนหนึ่งมาให้คุณเฒ่าแล้วแต่คุณเฒ่าจะแจกใครก็ได้เช่นกัน

ด้วยความนับถือ

หมอประสาน ฝังชัยมงคล



ตอบตอบ คุณหมอประสาน ผมเห็นว่าคุณหมอมีเจตนาดี และมีความจริงใจ ใครที่อยากจะได้รูปดวงแก้วพระสีวลี ปลุกเสกแล้วฟรี ก็ขอไปได้ที่คุณหมอประสาน ฝังชัยมงคล ประสานเวชกรรม ๑๖ ปากซอยวัดไผ่เงิน ถนนจันทร์ สะพาน ๒ แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาทร กทม.๑๐๑๒๐

โปรดจ่าหน้าซองติดแสตมป์ไปด้วย

ขอบคุณครับคุณหมอที่นับถือ

ฒ.สุพรรณ


เรียนคุณเฒ่า สุพรรณ
ผมอยากเล่าอภินิหารและบารมีของหลวงพ่อกวย สักเล็กน้อย เมื่อวันที่ ๒๖ พ.ค.ผมได้รูปบูชาสีเขียวมา ๑ รูป ผมนำไปใส่กรอบบูชาพอมาถึงวันที่ ๓๑ พ.ค.ผมได้ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลมา ๑ ใบเล็ก พอกลับมาถึงบ้านผมก็จุดธูปบอกหลวงพ่อว่าขอให้มีโชคลาภ ถ้าถูกหวยผมจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาทำบุญที่วัด ผลปรากฏว่าหวยออกเลขท้าย ๒ ตัว ตรงตามที่ผมซื้อไว้ทั้ง ๆ ที่ผมมาหลายปีไม่เคยถูก ผมคิดว่าเป็นบารมีหลวงพ่อแน่ ๆ

สุดท้ายผมขอฝากเงินธนาณัตินี้ให้คุณเฒ่า สุพรรณ ช่วยนำเงินไปทำบุญที่วัดให้ผมด้วย เพราะผมไม่ทราบที่อยู่วัด

ขอขอบพระคุณ

สงคราม ทิพย์เนตร


ตอบตอบคุณสงคราม เงินบุญได้รับแล้วครับขอบคุณ

นับถือ

ฒ.สุพรรณ

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มีนาคม 08, 2013, 02:21:22 pm
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ


สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต

อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง


สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต

อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ


 หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้า ทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่ เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี

ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้ มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบ เท่า เข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มีนาคม 15, 2013, 11:40:37 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๘๕
วันที่ ๑๕ ก.ย. – ๒๕ ก.ย.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


หมอแจ๋

ต่อไปจะเล่าถึงศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งชื่อ หมอแจ๋ หมอแจ๋นี่เขาเป็นหมอผี หมอทำเสน่ห์ ไม่ได้เป็นหมอรักษาโรค เป็นเขยคุณตาจันทร์ บ้านอยู่ซอยเดียวกันกับศาลนายดอก เขาว่าแกได้วิชาบังไพรจากหลวงพ่อ คือเอากิ่งไม้ทัดหูว่าคาถาสามารถกำบังตัวได้ ใช้ได้ในคราวคับขันจำเป็น หมอแจ๋หรือนายแจ๋นี่แกรูปร่างเล็ก กินเหล้าทั้งวัน เคยอยู่กับหลวงพ่อตั้งแต่สมัยเป็นเด็กวัด อ่านและเขียนหนังสือไทยไม่ได้ แต่อ่านและเขียนภาษาขอมเก่ง อักขระเลขยันต์เขียนได้ คาถายาว ๆ ท่องได้ พูดจาไม่ค่อยได้ร่องได้รอย อีล๊อกด๊อกแด๊ก ไม่รู้ว่าจะจริงแค่ไหน ไม่รู้ว่าจะจริงแค่ไหน แกเล่าว่า หลวงพ่อเคยพาแกมานั่งสมาธิที่ป่าช้า วัดหัวเด่น เขาเอาผีมาฝังกำลังอืดเลย มดขึ้นเต็มไปหมด พอหลวงพ่อมาถึงเอาไม้ปักเขตปริมณฑล ๔ ทิศ เอาสายสิญจน์วงเท่านั้นแหละ มดที่กำลังขึ้นศพลงรูกันไปหมด หลวงพ่อให้หมอแจ๋ลอง ๆ นั่งสมาธิดู ปรากฏว่ามีเสียอื้ออึงเต็มไปหมด เหมือนฟ้าถล่มทลาย หมอแจ๋เลยออกจากสมาธิ ส่วนหลวงพ่อนั่งอยู่ต่อค่อนคืน บางครั้งสว่างเลย

หมอแจ๋แกเล่าว่าแกได้วิชามาจากหลวงพ่อหลายอย่าง เช่น ดูชะตาราศีคน แกบอกว่าแกสามารถเพ่งรูปหลวงพ่อให้หลวงพ่อไปปรากฎบนก้อนเมฆได้ แกบอกอย่างนั้น เมียแกยืนยัน แถมจะถ่ายทอดให้ผมด้วย ผมก็ไม่แน่ใจเท่าไร แกเมา ๆ ด้วยเข้าไปด้วย เคยไปหาแกอีก ๒ ครั้ง เจอแกเมาทุกครั้ง เลยอดดูหลวงพ่อบนก้อนเมฆ และแกมีแขกอยู่เรื่อย ๆ เดี๋ยวผู้หญิงมาหา ผัวมีเมียน้อย เดี๋ยวมาตามผีเข้า ครั้งสุดท้ายผมไปหาแก เลยไม่ได้ไปอีก ไปเจอผู้ชายมาขอให้แกช่วย เมียจะทิ้ง โธ่ถัง ยังหนุ่มอยู่เลยเมียจะทิ้ง มีแต่เขาอยากให้เมียทิ้ง จะได้ไปออกเมียใหม่ เอาอายุ ๑๗ ปีเลย หมอนี่กินไม่ได้นอนไม่หลับ เมียจะทิ้ง ผมเลยหมดอารมณ์ เลยไม่ได้ไปหาแกอีก อีกวิชาหนึ่งที่แกได้มาคือแกบอกแกทำตะกรุดสาลิกาใส่ตาได้ ๒ ดอก ใช้ตะกรุดเงินแท้ ๑ ดอก ทองแท้ ๑ ดอก ดอกเล็กมาก ลงคาถาม้วนใส่ในขันน้ำมนต์ปลุกเสก จนตะกรุดลอยน้ำขึ้นมาได้ อันนี้ก็ไม่รู้จะจริงเท็จแค่ไหนตะกรุดเล็ก ๆ เอาสีผึ้งทาเข้าก็ลอยน้ำได้แล้ว แกบอกห้ามตกถึงดิน ถ้าตกแล้วจะหายไป ก็คงจะจริงเพราะดอกเล็กมาก ตกแล้วก็หาไม่เจอ ตะกรุดสาลิกานี้ผมไม่สนใจอยู่แล้ว ดอกจิ๊ดเดียวแถมเอามาใส่ตา ที่เก็บตะกรุดมีถมเถไปไม่เก็บมาเก็บในลูกตา

หมอแจ๋เขาได้มีดหมอรุ่นเก่า หลวงพ่อตีเอง ตอกลายเอง ๒ เล่ม จะขอแบ่งสัก ๑ เล่ม แกไม่ให้ เรื่องที่จะเล่าให้ฟังนี้เป็นเรื่องจริง มีพยานบุคคลยืนยันได้ วันนั้นแกไปตลาดชันสูตร สิงห์บุรี แกพกมีดหมอไป ๑ เล่ม เหน็บหลังตรงเอวไป ลูกสาวคาดปลัดรุ่นประสบการณ์ ๑ ตัว ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไป ขณะที่มาจวนจะถึงตลาด โดนรถปิคอัพเฉี่ยวด้วยความแรง รถแกโดนเฉี่ยวแทนที่จะกระเด็นเกิดแฮนด์รถไปเกี่ยวกับกระบะรถปิคอัพ รถปิคอัพก็ลากรถแกไปตก ๒๐ เมตร รถแกจึงหลุดออกมา แล้วล้มคว่ำล้มหงาย แกไปทางลูกสาวไปทางรถไปอีกทาง รถปิคอัพขับหนี ตำรวจได้มาดูที่เกิดเหตุ จะนำตัวแกและลูกสาวไปส่งโรงพยาบาลเพราะถลอกเสื้อผ้าขาด แกไม่ยอมไปเพราะมีดหล่นหาย แกเดินหาพักใหญ่ปรากฏว่ามีดหมอหลุดจากเอวแล้วขึ้นไปค้างตรงท้ายทอย เหน็บอยู่กับคอเสื้อไม่หลุดไปไหน แกบอกมีดมารับไม่ให้คอหัก ก็ขอจบเรื่องหมอแจ๋เท่านี้

จดหมายคุณยรรยง คุรุวิจักษณ์

๒๕ ม.ค.๒๕๓๔ เขียนที่พนมทวน

ถึงอาจารย์เฒ่า ที่เคารพ

ที่ผมเขียนจดหมายมานี้ เพื่อเล่าประสบการณ์รูปถ่ายหลวงพ่อกวยขนาดห้อยคอ มีอยู่วันหนึ่งผมได้ไปช่วยอาขนของลงจากรถอาผมเอากับข้าวเอาขนมไปเลี้ยงแขก ขุดมันสำปะหลังครับ พอผมขนของออกจากรถเข้าบ้านอา หมามาข้างหลังผมเมื่อไรไม่รู้ครับ กัดขาผมกระชากเลยครับ ผมปวดขาน่าดูเลยครับ ผมนึกว่าขาผมเหวอะแน่ครับ ผมก้มดูขาไม่เป็นอะไรเลยครับ ได้แต่ปวดครับ เพราะว่าหลวงพ่อกวยช่วยผมไว้แท้ ๆ เลยครับ ถ้าไม่ได้ห้อยรูปหลวงพ่อกวยผมคงเดินไม่ได้หลายวันครับ ผมได้ทำบุญมา ๒๐ บาทครับ เพื่อค่าส่งของครับ ผมขอพระรอด ๑ องค์ครับ และขอรูปขาวดำหลวงพ่อกวยที่เป็นรูปใบโพธิ์นะครับ สัก ๒ - ๓ ภาพได้ไหมครับ เพราะเพื่อนเขาขอ ผมก็ไม่มีให้ครับ ผมเลยบอกเพื่อนว่าจะขออาจารย์เฒ่าให้ครับ เพื่อนเขาอยากได้จริง ๆ ครับ ผมเป็นคนจนครับ อยากมีวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยทุกรุ่นครับแต่ก็ไม่มี ได้แต่ตัดในหนังสือนะโมบูชาครับ

อยากให้อาจารย์ช่วยลงเหรียญหลวงพ่อกวยที่หลวงพ่อกวยปลุกเสกและออกที่วัดต่าง ๆ ครับ ราคาถูก ๆ หน่อยครับ คนจนจะได้บูชาบ้างครับ  สุดท้ายนี้ผมขอให้อาจารย์เฒ่าและครอบครัว จงมีแต่ความสุขความเจริญตลอดไปนะครับ

เคารพอย่างสูง

จากยรรยง คุรุวิจักษณ์

ศูนย์สาธิตสหกรณ์โครงการเขื่อนบ้านเจ้าเณร ต.ท่ากระดาน อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ๗๑๐๐๐


ตอบตอบคุณยรรยง ตอนนี้พระรอดหมดแล้วครับ รูปโปสการ์ดที่คุณสมพร หาดใหญ่ ทำให้ก็หมดแล้ว ตะปูสะกดผีก็หมด ตอนนี้มีแต่รูปถ่ายซีล็อคแจก รูปดวงแก้วสิวลีก็มีแจก คุณรังสรรค์ โค้ววรวรรณ์ สำนักงานป่าไม้ อ.ปราจีน ทำแจกครับ ถ้าอยากได้ขอฟรีครับปลุกเสกแล้ว

ส่วนวัตถุมงคลที่หลวงพ่อปลุกเสกให้วัดต่าง ๆ ผมกำลังติดต่ออยู่แต่นานมากแล้ว ผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการจำหน่ายก็ล้มหายตายจากไปซะมาก เลยติดต่อไม่ค่อยได้ เช่น ที่พิษณุโลก ที่เชียงใหม่

โชคดีครับ

เฒ่า สุพรรณ


จดหมายเณรกิตติ สีมา

เจริญพรโยมเฒ่าที่คิดถึง โยมฉันมีเรื่องจะเล่าให้ฟังดังนี้ คือว่าก่อนนอนฉันได้กราบพระแผ่เมตตาจบแล้ว กราบพระแล้ว ฉันอธิษฐานในใจว่า “หลวงพ่อครับ เขาว่าหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์จริง ขอให้หลวงพ่อดลบันดาลให้คนไปตลาดทีเถิด” อัศจรรย์จริง ๆ ครับ มีคนไปตลาดจริง ๆ ด้วยครับ ก็จดหมายฉบับแรกนั่นแหละที่ผมอธิษฐาน

ขอให้โยมเฒ่าจงมีแต่ความสุขตลอดไป

สามเณรกิตติ สีมา

วัดบ้านชายคลอง ต.หนองโสน อ.สามง่าม จ.พิจิตร ๖๖๑๔๐


ตำนานต้นมะขวิด
 ต่อไปจะเล่าถึงความเป็นมาของวัดโฆสิตาราม อันชื่อวัดโฆสิตารามนั้นเป็นชื่อใหม่ ตั้งขึ้นในสมัยของหลวงพ่อ ส่วนชื่อเดิมชื่อวัดขวิด หมายถึงวัดนี้มีต้นมะขวิดอยู่มาก เป็นที่เด่นที่ดอน ส่วนอีกชื่อหนึ่งคือวัดบ้านแค หมายถึงชื่อปู่แค หลักฐานเกี่ยวกับชื่อวัดขวิดปัจจุบันยังมีอยู่ คือที่วัดมีต้นมะขวิดขึ้นอยู่หลายต้น มะขวิดนี้เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่มีลูกหรือผลใหญ่ขนาดมะตูมได้ คือเล็กกว่าส้มโอ แต่เปลือกแข็ง เวลาสุกจะร่วงลงมาเอง เด็ก ๆ ชอบมาก ราคาจำหน่ายหรือราคาขายถูกมากตกใบละ ๑ บาท ราคาเดิมแต่ก่อน ๑ สลึงเท่านั้น มะขวิดนี้สอยเอาไปบ่มจะไม่สุกจะกินไม่ดี ต้องให้สุกร่วงลงมาเอง เวลาร่วงจะร่วงลงมาทั้งกลางวันกลางคืน ถ้าโดนหัวถึงขนาดหัวโนเลยทีเดียว เพราะเปลือกแข็ง

ที่วัดหลวงพ่อมีโรงลิเกปลูกถาวรอยู่ เวลามีลิเกเล่นจะเล่นได้เลยไม่ต้องเสียเวลาสร้างโรงลิเก อันโรงลิเกนี้ปลูกใกล้ ๆ กับต้นสำโรง ด้านหน้าโรงลิเกมีต้นมะขวิดอยู่ต้นหนึ่ง เดิมเป็นต้นเล็กไม่มีลูก ต่อมาโตขึ้นได้ออกลูกดก เด็กวัดชอบมาเก็บเอาไปกินเป็นประจำ ปีนั้นเด็กชายแบนเป็นเด็กวัด บังเอิญปีนั้นมีลิเกมาเล่นตรงกับงานประจำปีพอดี มะขวิดก็กำลังร่วงพอดีเช่นกัน กรรมการวัดได้มาปรึกษาหลวงพ่อว่าลูกมะขวิดกำลังร่วงอยากจะขอโค่นเอาออก เดี๋ยวโดนหัวคนที่กำลังดูลิเก หลวงพ่อท่านพูดว่า “มะขวิดมันไม่ร่วงกลางคืนหรอกวะ ถ้ามันจะร่วง มันจะร่วงตอนเช้ามืด” กรรมการวัดก็เกรงใจหลวงพ่อ หลวงพ่อไม่อยากให้โค่นก็ไม่โค่น ได้แต่นึกเป็นห่วงคนดูลิเก ผลปรากฎว่าลิเกเล่นอยู่ ๓ คืน มะขวิดไม่เคยร่วงตอนกลางคืนเลย เด็กชายแบนตื่นเช้าขึ้นมาจะไปบิณฑบาตกับพระ ไปแวะดูใต้ต้นมะขวิด ผมคือมะขวิดร่วงเกลื่อนไปหมด แสดงว่ามันร่วงตอนเช้ามืดจริง ๆ เรื่องนี้ก็แปลกดี ปัจจุบันเด็กชายแบนบวชเป็นพระ

ส่วนชื่อวัดหลวงพ่อได้เปลี่ยนจากชื่อวัดขวิด หรือวัดบ้านแค เป็นวัดโฆสิตาราม เพราะเห็นว่าเป็นมงคลนาม คือหลวงพ่อท่านเรียนวิชาโหราศาสตร์มาด้วย คงเห็นว่าชื่อวัดขวิดฟังดูชอบกล คนฟังจะมองดูไม่ดี เช่น วัดพระพิเรนทร์ หรือวัดหน้ากาม เป็นต้น ชื่อนั้นใครว่าไม่สำคัญนั้นไม่จริง บางคนชื่อเบี้ยว ทะลึ่งไปทำงานแผนกเก็บเงิน แม้ว่าจะซื่อสัตย์อย่างไรก็เสียว ๆ อยู่ดี

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มีนาคม 22, 2013, 10:18:13 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๘๖
วันที่ ๒๕ ก.ย. – ๕ ต.ค.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


จดหมายจากเชียงใหม่

บ้านเรือนชื่น เชียงใหม่

เรียนอาจารย์เฒ่า สุพรรณ ที่เคารพ

ผมได้ส่งคาถาของหลวงปู่หล้า วัดป่าตึง เชียงใหม่ มาให้อาจารย์ได้ลงในหนังสือ เพื่อใช้คู่กับพระรอด ที่หลวงปู่หล้าเสก เป็นวิทยาทาน

คาถาว่าดังนี้นะครับ นะโม ๓ จบ

นะโมพุทธายะ นะเมตตา โมกรุณา พุทปราณี ธายินดี ยะเอ็นดู มะคือตัวกู อุคือคนทั้งหลาย จะพะกะสะ จิเจรุนิ อิสวาสุ สังฆังสรณัง คัจฉามิ ปิติ ปามุสสานานังปิติ โสหังมหาสัมปี ปิติอิ ไชยมังคะลัง

สุดท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ครูบาอาจารย์ทุก ๆ พระองค์ แผ่เมตตา บารมีให้ศิษย์หลวงปู่ทุกคนมีแต่ความสุข ความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป

เคารพ

วิชยุทธ พุทธิรินโน


ตอบตอบคุณวิชยุทธ ขอขอบคุณครับที่ส่งคาถาหลวงปู่หล้ามาให้ เห็นว่าคล้าย ๆ กันกับของหลวงพ่อเลยลงให้ไว้ คาถานี้เป็นคาถาเมตตาใช้คู่กันกับพระรอด รุ่นใช้ผงของหลวงพ่อกวยสร้าง หลวงปู่หล้าปลุกเสก

ขอบคุณครับ

ฒ.สุพรรณ


ขอชี้แจง พระรอดรุ่นใช้ผงหลวงพ่อกวยสร้าง หลวงปู่หล้าปลุกเสกนี้ ปัจจุบันที่ผมไม่มีเลยแม้องค์เดียว คนที่ขอมาแล้วไม่ได้ ได้โปรกเข้าใจด้วยแม้องค์ที่ผมเอาตะกรุดสาลิกา ๒ ดอกของหลวงปู่ทิมฝังไว้ด้านหลังก็หลงลืมไม่รู้ส่งไปให้ใคร คุณวิชยุทธนี้ เคยบวชอยู่กับหลวงปู่หล้า เป็นศิษย์ใกล้ชิดแม้เหรียญทองโภคทรัพย์ที่ให้หลวงปู่หล้าปลุกเสก ก็ได้อาศัยคุณวิชยุทธนี่แหละช่วยเหลือ ก็ต้องขอขอบพระคุณคุณวิชยุทธ ไว้ ณ ที่นี้อีกครั้ง

จดหมายคุณชนะ หวังสิทธิเดช
๙๙ หมู่ ๔ ต.ท่าตลาด อ.สามพราน จ.นครปฐม

กราบนมัสการ ท่านพระอาจารย์สำรวย อคฺคปัญโญ

ผมได้เคยส่งเงินที่ได้บนหลวงพ่อกวยมาแล้วครั้งหนึ่ง และท่านอาจารย์ก็ยังได้ส่งหวายที่ปลุกเสกโดยหลวงพ่อกวยไปให้ผม ซึ่งผมได้รับแล้วและขอกราบขอบพระคุณยิ่ง(ผมได้ใช้ติดตัวตลอดเวลา) มาบัดนี้ ผมมีปัญหาเรื่องรถยนต์ ผมจึงได้บนขอหลวงพ่อกวยอีก (แต่บนในใจเท่านั้นไม่ได้จุดธูปบูชาแต่อย่างใดทั้งสิ้น) และปัญหาของผมได้สำเร็จตามที่ผมบนไว้แล้ว ผมจึงขอส่งเงินมาทำบุญสร้างวัดหลวงพ่อกวย จำนวน ๑,๐๐๐ บาท (ที่บนไว้) ขอท่านอาจารย์โปรดรับไว้สร้างกุศลกับหลวงพ่อกวยด้วย

กราบเรียนมาด้วยความเคารพ

นายชนะ หวังสิทธิเดช



ตอบคุณชนะ เงินบุญที่คุณส่งมาแก้บนกับหลวงพ่อ ครั้งก่อน ๒,๐๐๐ บาท ครั้งนี้ ๑,๐๐๐ บาท อาจารย์สำรวยได้รับแล้วครับ

ฒ.สุพรรณ


ฤกษ์สึกไม่มี
ต่อไปเป็นเรื่องเกี่ยวกับฤกษ์ยาม หรือการหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าของหลวงพ่อในสมัยที่หลวงพ่อยังแข็งแรง หลวงพ่อเคยเทศน์มหาชาติ และเคยเป็นพระคู่สวด พระคู่สวดคือพระที่ช่วยอุปัชฌาย์บวชพระในพระอุโบสถ ก็คล้าย ๆ พระโมคคัลานะกับพระสารีบุตร ในสมัยพระพุทธกาลนั่นแหละ ตอนที่ท่านเป็นพระคู่สวด ศิษย์ท่านหรือศิษย์น้องท่านเป็นอุปัชฌาย์ คือพระครูพิมพ์ วัดสนามชัย บางครั้งก็เจอกันในอุโบสถ ครั้งหนึ่งหลวงพ่อกวยท่านมาก่อน พระครูพิมพ์มาทีหลัง เมื่อเข้ามาในอุโบสถเจอหลวงพ่อ พระครูพิมพ์ได้เข้ามากราบท่าน หลวงพ่อท่านได้ทักว่า “อุปัชฌาย์จะมากราบคู่สวดได้ไง โน่น ๆ ต้องกราบพระพุทธเจ้าโน่น” คือให้กราบพระประธาน ไม่ให้กราบท่าน ส่วนท่านพระครูพิมพ์ท่านคงเกรงใจและนับถือหลวงพ่อ เพราะเคยหิ้วปิ่นโตให้สมัยเป็นเด็กวัด ตอนนั้นหลวงพ่อไปเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม และพักที่วัดบางตาหงาย อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ ในบั้นปลายชีวิตของหลวงพ่อ ท่านได้ลาออกจากตำแหน่งคู่สวด คือหลวงพ่อสนใจแต่วิปัสสนากรรมฐาน และสร้างเครื่องรางของขลังอย่างเดียว แต่คนก็นิยมมาให้ท่านสึกให้ เขาว่าดี คำว่าสึกก็คงมาจากลาศึกษาหรือลาสิกขา เมื่อสึกออกมาแล้วภาคกลางเขาเรียกว่า ทิด ภาคเหนือเรียกว่า หนาน คำว่า ทิด ก็คงมาจากคำว่าบัณฑิต คือผู้คงแก่เรียน คนบวชพระแล้วเขาเรียกว่าบวชแล้วเรียนแล้ว เป็นผู้คงแก่เรียน สมัยก่อนคนที่ยังไม่ได้บวชเขาห้ามมีเมีย เขาว่าเป็นคนดิบ คือยังไม่สุก ยังไม่ได้บวชเรียน

หลวงพ่อมีชื่อเสียงทางสึกพระมาก น้ำมนต์ที่ท่านทำถ้าอธิษฐานทางใดก็จะสำเร็จ บางคนสำเร็จตลอดชีวิตเลย คือ ขอมากขอยาว เช่น ขอให้ร่ำรวย บางคนขอน้อยขอให้มีเมียภายใน ๓ วัน ๗ วัน แต่การสึกพระของท่านต้องมีฤกษ์ยาม ถ้าท่านบอกว่าสึกได้ ดี ก็ดี ถ้าท่านบอกว่าสึกไม่ได้ไม่มีฤกษ์สึก ก็อดสึก ต้องอยู่ต่อไปแต่พระจะสึกนี่ใจร้อน ร้อนขนาดมีคำกล่าวว่า “ฝนจะตก แดดจะออก พระจะสึกห้ามไม่ได้” มีเรื่องเกี่ยวกับเกร็ดอภินิหารเรื่องสึกพระหลายเรื่อง จะขอเล่าเอาไว้สัก ๒ เรื่อง พอเป็นสังเขปดังนี้

พระองค์หนึ่งชื่อโด่ง เป็นชื่อเล่นเพราะตัวโต ได้มาบวชอยู่กับหลวงพ่อ พอออกพรรษารับกฐินแล้ว พระก็เริ่มสึกกันออกไปประกอบอาชีพ บางองค์ก็บวชต่อพรรษาสอง พระที่บวชต่อพรรษาสองนี่ต้องใจถึงจริง ๆ เพราะพระที่บวชอยู่ด้วยกันสึกออกไปหมด ใจหายเหมือนกัน พระโด่งเห็นพระเพื่อน ๆ กัน สึกออกไปก็จะสึกกับเขามั่ง ได้ไปบอกหลวงพ่อให้หาฤกษ์สึกให้ หลวงพ่อได้พิจารณาดูแล้วเห็นว่าสึกไม่ได้ ไม่ดี ท่านได้พูดว่า “ยังสึกไม่ได้ ไม่มีฤกษ์” ให้อยู่ต่อไปก่อน พระโด่งก็ใจหายแว๊บเลย ก็เตรียมตัวตัดกางเกง ตัดเสื้อไว้แล้ว พอตอนสายก็รวบรวมความกล้า  เข้าไปหาหลวงพ่อใหม่จะสึก หลวงพ่อท่านพูดน้อยท่านได้มองหน้าแล้วพูดว่า “ยังสึกไม่ได้ ไม่มีฤกษ์” ก็อย่างที่บอกไว้แต่แรกว่า ฝนจะตกแดดจะออก พระจะสึกนี่ห้ามไม่ได้ พระโด่งจะอยู่ต่อเหมือนหนึ่งใจจะขาดรอน ๆ ได้ไปปรึกษาเพื่อนพระ พระเพื่อนกันก็ยุบอกให้พระโด่งเตรียมบาตรน้ำมนต์ใบเงินใบทองใส่ในบาตรน้ำมนต์เลย ท่านเห็นว่าพระโด่งมีใจจริง ท่านก็สึกให้เองนั่นแหละ พระโด่งความอยากสึกมากไม่เป็นอันกินอันนอน ประกอบกับได้รับแรงยุจากพระเพื่อนกัน ได้อุ้มบาตรน้ำมนต์เข้าไปหาหลวงพ่อบอกว่าจะสึก หลวงพ่อได้มองหน้าท่านได้พูดออกมาว่า “พระองค์นี้ท่าจะบ้า พูดไม่รู้เรื่อง” เมื่อพระโด่งโดนหลวงพ่อว่าบ้า จะเป็นด้วยคำพูดท่านหรือจะเป็นด้วยพระโด่งสติเริ่มไม่ค่อยดี ไม่แน่ชัด พระโด่งมีอาการของคนจิตไม่ค่อยดีป้ำ ๆ เป๋อ ๆ อยากเป็นหมอ ได้นำเข็มฉีดยาดูดน้ำเข้าไปในไซริงค์ คืออยากจะเป็นหมอแล้วทดลองฉีดเข้าไปในเส้นเลือด อยู่ต่อมาคงจะฉีดเข้าไปหลายเข็ม ถึงกับชักปัด ๆ ๆ ภายหลังได้ไปสึกกับหลวงพ่อองค์อื่น เมื่อเป็นฆราวาสก็จิตไม่ดีทางญาติได้นำกลับมาบวชที่วัดหลวงพ่ออีก ๑ ครั้ง และทางญาติได้ขอร้องท่าน ให้ท่านสึกให้ใหม่ และขอพรท่าน ครั้งที่สองนี้ เมื่อสึกออกไปท่านบอกว่าดี ก็ดีจริง ๆ ไม่มีอาการของคนจิตไม่ดีอีกเลย

อีกคนหนึ่งชื่อเมฆ ชื่อนี้เป็นชื่อจริง ไม่ได้เป็นชื่อเทียม หรือชื่อเลียนแบบแต่ไม่ขอเอ่ยนามสกุล เป็นคนทางวัดหอระฆัง อันวัดหอระฆังนั้นอยู่เลยวัดหนองอีดุกแกจะบวชอยู่กับหลวงพ่อหรือเปล่าไม่แน่ชัด แต่จะสึกกับหลวงพ่อ หลวงพ่อได้คำนวณดูแล้วสึกไม่ได้ คือไม่มีฤกษ์สึก แต่พระเมฆก็จะสึกให้ได้ พูดจาคะยั้นคะยอหลวงพ่อ หลวงพ่อเห็นว่าพูดไม่รู้เรื่อง หลวงพ่อได้พูดว่า “ท่านจะรีบตายไปถึงไหน” พระเมฆแกไม่สนใจ คือจะสึกออกไปเที่ยวงานวัดหอระฆัง เมื่อหลวงพ่อไม่สึกให้ จะแปลกอะไร ไปสึกที่อื่นก็ได้ พระเมฆไปสึกที่ไหนไม่ทราบแน่ชัด แต่สึกออกไปจนได้ คืนนั้นทิดเมฆได้ไปเที่ยว ซึ่งปกติทิดสึกใหม่เขาจะไม่ไปเที่ยวไหนจะอยู่วัด ๓ วัน ๗ วัน แต่ทิดเมฆแกไปเที่ยววัดหอระฆัง ขากลับเจอด่านตรวจของตำรวจเข้าพอดี แกพกปืนเถื่อนมาด้วย ความกลัวตำรวจจะค้นและจับตัวเอาไป แกไม่ยอมให้ตรวจค้นตัว ได้ขี่มอเตอร์ไซค์หนี ตำรวจคิดว่าเป็นผู้ร้ายแหกด่าน ได้ยิงถึงแก่ความตาย ตายที่บ้านหอระฆัง ไม่ไกลจากวัดนัก เกี่ยวกับเรื่องหลวงพ่อสึกพระนี่ หลวงพ่อจะถามก่อนว่า สึกออกไปจะไปทำอะไร หรือจะอธิษฐานขออะไร ก็บอกท่านไป ขอกันไป มีพระองค์หนึ่งได้บวชอยู่กับท่าน ดูแลท่านทุกอย่าง เป็นคนรอบจัด ชื่อห้อย เมื่อท่านถามว่าสึกออกไปจะไปทำอะไร พระห้อยได้ตอบว่า “ผมเอาทุกท่าแหละหลวงพ่อ” หลวงพ่อถึงกับนิ่งอึ้ง โอกาสหน้าจะเล่าให้ฟังเพราะว่าทิดห้อยนี่ดูท่าจะทำกินไม่เหมือนชาวบ้านเขา

ก็ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านที่ทำบุญมูลนิธิมา ขอขอบคุณ คุณพี่มนู รัตนลีลาวุฒิ พี่คงสบายดี ขอขอบคุณ คุณสมพร ปัญญเปี่ยมศักดิ์ ขอขอบพระคุณ คุณพี่ประพนธ์ เชาวน์วิทยางกูร เชียงใหม่ ดีใจด้วยครับที่บุตรสาวของท่าน สอบเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ เมื่อปีที่แล้วบุตรสาวคนโตท่านได้บอกเล่าต่อหลวงพ่อว่า ถ้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ จะทำบุญกับหลวงพ่อ ๕,๐๐๐ บาท ปรากฏว่า สอบเข้าได้จริง ๆ ปีนี้บุตรสาวคนรองได้บอกเล่าต่อหลวงพ่ออีก ปรากฏว่าสอบเข้าได้อีกเลยทำบุญมาอีก ๕,๐๐๐ บาท ผมขอแสดงความยินดีด้วยความจริงใจ ในปีนี้เช่นกัน คุณพี่วินัย อิสรยะสุนทร จ.นครปฐม ได้บอกเล่าต่อหลวงพ่อขอให้ลูกสาวสอบเข้าโรงเรียนสายปัญญาให้ได้ ปรากฏว่าสอบเข้าได้ ๑๒ เมษายน ๒๕๓๔ นี้ คุณพี่ยังพาลูกสาวมากราบหลวงพ่อที่วัด คุณพี่พูดว่าไม่น่าสอบเข้าได้ก็ได้ คุณพี่ดีใจมาก ท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่ทำบุญมูลนิธิมาอีกครับ สาธุ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ เมษายน 02, 2013, 10:13:24 am
Thank...... :o :o :o
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ เมษายน 04, 2013, 03:28:07 pm
ขออภัยตอนที่ 287 288 289 ขาดตอนไป พรุ่งนี้ จะลงตอนที่ 290

ท่านใดพอมีทั้ง ๓ ตอนที่ผมไม่มี จะกรุณานำมาลงก็จะดีมากครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ เมษายน 05, 2013, 10:16:00 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๙๐
วันที่ ๕ พ.ย. – ๑๕ พ.ย.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


จีวรของหลวงพ่อ[/ [/b]

เชื่อกันว่าหลวงพ่อที่เก่ง ๆ ผ้าจีวรที่ห่มตัวตัวท่านก็ต้องเก่งตามไปด้วย บางคนใช้จีวรของหลวงพ่อเป็นเครื่องรางของขลัง กันผีได้ทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยได้ คือเชื่อกันอย่างนั้น โดยมีความเข้าใจว่าเวลาหลวงพ่อเจริญมนต์ก็ดี นั่งสมาธิก็ดี พลังจิตของท่านได้มาปกคลุมตัวท่าน รวมทั้งผ้าจีวรด้วย นอกจากความเชื่ออันนี้แล้ว ยังเชื่อว่าผีกลัวผ้าจีวรพระด้วย

หลวงพ่อกวยก็เช่นกัน คนเขานับถือท่านเขาก็เชื่อว่า ผ้าจีวรท่านต้องเก่งต้องดี คนที่ได้ผ้าจีวรท่านเอาไว้สมควรบันทึกเอาไว้ มีหลวงตาสมานได้ไว้ ๑ ผืน อาจารย์ตั้วได้ไว้ ๑ ชุดเลย คุณยายฉายได้ไว้ ๑ ผืนใหญ่ ได้สายรัดเอวด้วย ที่คุณยายฉายได้ไว้พร้อมสายรัดเอว ท่านให้ไว้ก่อนมรณภาพ คือขอท่านไว้ผมเองได้ไว้ ๑ ผืน ผ้าเช็ดเท้าก็ได้ไว้ ปัจจุบันนี้ผมแจกหมดแล้ว ที่อาจารย์ถวาย ๑ ชุดถวายพระบวชใหม่ไปแล้ว ที่ใช้แล้วทำไม่ดีเป็นขี้กรากนั่นแหละ

เกี่ยวกับผ้าจีวรของหลวงพ่อนี้สมัยผมเป็นเด็กวัดด่านสำโรง ผมกลัวผีที่กุฏิหลวงปู่แย้ม กุฏิท่านมีเสาตกน้ำมันอยู่ ๑ ต้น มีนางไม้อยู่เฮี้ยนมาก ผมเคยเข้าไปอยู่ เฮี้ยนขนาดกล้าดึงขาพระออกจากมุ้งได้ พระบางองค์ร้องโวยสุดเสียงเลยเพราะหาทางออกจากกุฏิไม่เจอ โดนหลอกความตกใจประตูเขาลงดานแบบเก่าเวลาจำวัดก็ดับไฟ พอออกพรรษาพระไม่มี ผมเคยเข้าไปอยู่ รู้สึกเขาไม่ค่อยกล้ายุ่งกับผมเท่าไร ผมก็ไม่กล้ายุ่งกับเขาเหมือนกัน ในปี พ.ศ.๒๕๑๗ หรือ พ.ศ.๒๕๑๘ นี่แหละ ผมจะจากมา ผมได้ทดลองนำผ้าจีวรของหลวงพ่อไปผูกไว้หัวเสา เข้าพรรษาปีนั้นผีนางตะเคียน ไม่มารบกวนพระอีกเลย คือก่อนที่ผมจะมีความคิดนี้ มีเด็กวัดคนหนึ่งชื่อเต่า บ้านอยู่หน้าวัด ได้ไปขึ้นต้นตะเคียนทองในวัด เขาว่าต้นตะเคียนนี่มีนางไม้อาศัยอยู่ เด็กชายเต่าไม่รู้เพี้ยนอย่างไร ไปขึ้นต้นตะเคียนเล่นมืด ๆ พระไปเจอเข้าเอาไฟฉายส่องเรียกลงมา พอลงมาไม่ยอมนอน เดี๋ยวเดียวชักปัด ๆ เขาว่าผีทักบางคนก็ว่าผีเข้า ผมเลยเอาผ้าจีวรหลวงพ่อผูกข้อมือปรากฎว่าหาย เลยฉีกเป็นผืนยาว ๆ เอาไปผูกต้นตะเคียน ตั้งแต่นั้นผีหรือนางไม้ก็ไม่ไปรบกวนหรือหลอกใครอีกอันนี้ก็แปลกดี มีคนมาขอคำแนะนำจากผมว่า ที่บ้านมีเสาตกน้ำมัน ผมก็แนะนำให้เอาผ้าจีวรของหลวงพ่อผูกรอบเสา ผมก็แนะนำให้เอาผ้าจีวรหลวงพ่อผูกรอบเสา ผมก็แนะนำไปอย่างนั้นเองก็ยังไม่รู้เลยว่าถ้าผ้าจีวรเกิดขาด นางไม้ที่อยู่ที่เสาเขาจะว่าอย่างไร จะโกรธแค่ไหนผมก็ไม่รู้ อันนี้ผมเรียนแต่ผูกไม่ได้เรียนแก้ คือผูกอย่างเดียว(ผูกเสา) ผ้าจีวรหลวงพ่อนี้ผมเคยให้คุณวินัย อิสริยสุนทร บ้านอยู่ ต.บ่อสุพรรณ จ.นครปฐม ไป คือลูกเขาเล็ก ๆ โนผีแม่ซื้อรบกวน ผีแม่ซื้อนี่เขาว่าเป็นผีประจำตัวเด็ก ชอบมาเย้าหยอกเด็ก ๆ ทำให้สะดุ้งผวา ผีแม่ซื้อนี่ผมก็ไม่เคยเห็นสักที ไม่รู้รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ทีนี้คุณวินัย เลยนำผ้าจีวรของหลวงพ่อผูกข้อมือให้ ปรากฏว่านอนหลับดี ไม่สะดุ้งผวา

ทีนี้เมื่อผ้าจีวรของหลวงพ่อหมด เวลาผมแจกรูปขาวดำชนิดเล็ก ผมจึงใช้ผ้าจีวรห่มรูปหล่อหลวงพ่อโต วัดวิหารทองแทน เขาดีทางเตือนภัย และบางครั้งก็ใช้ผ้าจีวรห่มรูปหล่อหลวงพ่อหร่ำ วัดวังจิก แทน เขาดีทางแคล้วคลาดสูง ส่วนผ้าจีวรห่มรูปหล่อของหลวงพ่อกวย เมื่อผมมาวัดบางผืนเขาไม่ได้ใช้แล้วผมก็ขอท่านมา แต่ไม่กล้าแจกใคร ไม่ชอบการปะทะ คือวัตถุมงคลของหลวงพ่อรู้สึกจะหนักไปทางดับเครื่องชน แบบแรมโบ้ทำนองนั้น ผมเลยแก้เคล็ดใช้จีวรหลวงพ่อโต กับหลวงพ่อหร่ำแนบติดให้ไป อยู่มาวันหนึ่ง นายแดง สว่างศรี ศิษย์หลวงพ่อเจ้าของคาถาหัวใจแมงป่อง บ้านปากน้ำ บ้านใกล้กัน ได้มาขอผ้าจีวรของหลวงพ่อกวย ผมบอกผมไม่มีแล้ว มีแต่ผ้าจีวรรูปหล่อ เขาบอกเขาเอา ขอให้เป็นของหลวงพ่อเป็นใช้ได้ เขาจะเอาไปถักเป็นแหวนแขน ผมเลยฉีกให้ไป ไม่นึกว่าผ้าจีวรรูปหล่อนี้จะทำให้คนร่ำลือกันทั้งปากน้ำ หรือหลวงพ่อจะชี้แนะผมก็ได้ว่า “ไอ้ครูเอ๊ย ผ้าจีวรของกู นั้น ใช้ได้ทุกทางนั่นแหละ สุดแต่ว่าจะใช้ไปทางไหน ไม่ใช่ดีแต่ปะทะลูกเดียว” อันนี้ผมคิดเองนะ ท่านไม่ได้พูด

เรื่องของเรื่องเป็นอย่างนี้ คือเด็กข้างบ้านผมชื่อ ไพฑูรย์ ขุมทอง เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนธรรมโชติศึกษาลัย ชั้น ม.๖ ๒ คนกับพี่ชายชื่อ ประทวน ขุมทอง ได้พยายามสอบเข้าโรงเรียนพลตำรวจ พยายามอยู่ ๒-๓ ปีแล้วแต่ไม่ได้สักที ทั้งวิ่งเต้นทั้งเส้นก็ไม่ได้ ในปลายปี ๒๕๓๒ ๒ คนพี่น้องนี่ก็ไปสอบอีก คนพี่ไปสมัครสอบที่จังหวัดนครศรีธรรมราช คนน้องชื่อ ไพฑูรย์ ไปสมัครสอบที่จังหวัดนครสวรรค์ นายไพฑูรย์ก่อนไปสมัครสอบดวงไม่ดี แขนซ้ายโดนมีดบาดบริเวณท้องแขน เกือบถึงข้อศอก มีดบาดแผลยาวมาก ตก ๕ นิ้วได้ ให้หมอเย็บตกสิบกว่าเข็ม นายไพฑูรย์แกชอบเครื่องรางของขลัง แกได้ไปคุยกับนายแดง สว่างศรี แกบอกจะไปสมัครตำรวจ ตำรวจนี่เขาตรวจละเอียด ตามตัว ตามแขน ตามหน้า ตามหัว จะมีบาดแผลเป็นรอยมีดไม่ได้ รอยสักยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย แค่มีบาดแผลรอยมีด แค่สมัครสอบเขาก็ไม่รับแล้ว นายแดง แกแนะนำว่าเอาอย่างนี้เสี่ยงสัตย์อธิษฐานเอา ขอให้หลวงพ่อกวยช่วย พร้อมทั้งแกให้นายไพฑูรย์ขอยืมผ้าจีวรใส่แขน โดยขอให้เป็นกำบัง ขอให้นายตำรวจที่รับสมัครไม่เห็นรอยมีดบาด เพราะขณะไปสมัครเพิ่งตัดไหม เมื่อไปสมัครนายตำรวจได้ตรวจดูปรากฏว่าไม่เห็นรอยมีดบาด ซึ่งเป็นรอยแผลใหญ่ทีเดียว แต่ดันไปเห็นรอยแผลเป็นแขนขวาเป็นรอยหนามข่วน นายไพฑูรย์เลยตอบไปว่าเล่นฟุตบอลแล้วล้มลงไปเป็นแผลถลอก เมื่อสมัครได้แล้ว ตอนสอบข้อเขียนได้บอกกล่าวต่อหลวงพ่อบอกที่ผ้าจีวรด้วยซ้ำ ขอให้สอบได้ผลคือสอบได้จริง ๆ วันที่จะสอบสัมภาษณ์แกได้บนต่อหลวงพ่อกวยว่า หลวงพ่อกวยช่วยผมแล้วสองครั้ง ขอให้ช่วยให้ตลอด เพราะสอบสัมภาษณ์นี่ไม่ค่อยมีใครได้ แกได้บนต่อหลวงพ่อด้วยหัวหมู ๓ หัว ไก่ ๓ ตัว ผ้าป่า ๑ พุ่ม ผลคือแกสอบผ่านนายตำรวจไม่เห็นแผลที่แขน นับว่าอัศจรรย์ ส่วนพี่ชายคนโตสอบติดข้อเขียนที่นครศรีธรรมราช มีคนมาติดต่อให้สอบสัมภาษณ์ให้ผ่านสี่หมื่นห้าพัน ผลปรากฏว่าสอบไม่ผ่าน ขนาดวิ่งแล้ว เซ่นแล้ว

ประมาณเดือน มกราคม ๒๕๓๓ แกได้ไปแก้บนที่วัด นิมนต์อาจารย์สำรวย ชักผ้าป่า อาจารย์ยังบอกว่า เมื่อคืนก็มีหนังแก้บน บนให้สอบเข้าตำรวจได้เช่นกัน เรื่องนี้เล่าเอาไว้เห็นว่าแปลกดี ขนาดผ้าจีวรห่มรูปหล่อแท้ ๆ วันแก้บนกินกันเต็มบ้าน เขาดีใจตามบ้านนอกลูกได้เป็นทหาร นายสิบ เป็นพลตำรวจ เขาดีใจกันมากเท่า ๆ กับในกรุงเทพ ลูกเป็นนายร้อยนั่นแหละ เมาเข้าไปก็คุยกันแต่ผ้าจีวรหลวงพ่อ มีคนมาขอกับผมอีกหลายคน เขาถามว่าดีทางไหน ผมก็ตอบว่ากันผีดี ผมบอกว่ากันผีดีไม่ได้บอกว่ากันผีได้ คือผมเองก็ไม่รู้ว่ากันได้หรือเปล่าเลยตอบไปอย่างนั้น

ต่ออีกนิด เกี่ยวกับผ้าจีวรของหลวงพ่อบางคนถวายผ้าป่า บางคนถวายผ้าสังฆทาน บางคนถวายผ้าไตรอุทิศให้ท่าน ในสมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ หลวงพ่อห่มผ้าจีวรสีเหลืองครับ สีเหลืองแบบขมิ้นเลย ท่านไม่ได้ห่มสีกรักแบบพระธุดงค์ ฉะนั้นถ้าจะใช้ผ้าทำบุญอุทิศให้ท่าน ใช้สีเหลืองจะดี เกี่ยวกับการแก้บนเช่นกัน ระยะหลังมีคนบนด้วยหัวหมู ไก่ รู้สึกว่าจะสำเร็จ

จดหมายคุณสมควร ทิพย์เนตร

สวัสดีครับอาจารย์เฒ่า สุพรรณ ที่นับถือ

ผมมีประสบการณ์เกี่ยวกับองค์หลวงพ่อกวยจะเล่าให้ฟังสัก ๒ เรื่อง อาจารย์จะเชื่อหรือไม่เชื่อพิจารณาดูเอาเองแล้วกัน เรื่องแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของรูปเล็กขาวดำ เรื่องนี้ผมได้ฟังจากแม่ผมอีกทีเพราะผมไม่อยู่ไปทำงาน และไม่เห็น แต่แม่ผมคงไม่โกหกผมหรอก เรื่องเริ่มที่หลานผมลูกของน้องสาวฝากให้แม่ผมเลี้ยงไว้ อายุสัก ๓ ขวบเศษๆ กำลังซนเลยทีเดียว เป็นเด็กผู้ชายผมเลยเลี่ยมรูปขาวดำของหลวงพ่อกวยให้ห้อยคอไว้คุ้มครองตัว บริเวณบ้านผมมีน้ำท่วมถึงคืออยู่ใกล้แม่น้ำ วันนั้นน้ำก็ท่วมมากพอสมควร คือถึงสะพานที่เดินเข้า-ออก หลานผมก็เล่นอยู่บนสะพานกับเพื่อนรุ่น ๆ เดียวกันอีกคน พอดีมีงูลอยคอมาในน้ำใกล้ ๆ หลานผมเลยจับงูขึ้นมาถือไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นของมีพิษ เด็กอีกคนก็เล่นอยู่กับหลานผม เห็นหลานผมคว้าคองูมาถือไว้ ก็เลยดึงหางงูไว้เพื่อจะแย่งเอามาเล่น หลานผมก็ดึงไว้ไม่ยอมให้ ต่างคนต่างดึง งูมันคงเจ็บเลยพันแขนหลานผมเป็นเกลียว แต่แปลกไม่ยอมอ้าปากกัดหลานผม ได้แต่มัดอยู่อย่างนั้น พอดีมีคนเดินผ่านมาเขาเลยเรียกแม่ผมให้ออกมาดู แม่ผมเห็นบอกว่าจะเป็นลมเพราะทั้งกลัวและขยะแขยง แต่ติดขยะแขยงมากกว่า ไม่กล้าเข้าไปแย่งงูต้องค่อย ๆ ปลอบให้หลานปล่อยมือจากคองูให้มันคลายตัวจากแขน พอคลายตัวแล้วคนที่เรียกแม่ผมเลยเอาไม้ตีตายโยนทิ้งน้ำไป แม่ผมบอกตัวโตประมาณนิ้วโป้งคนโตได้ ไม่รู้เรียกงูอะไร ตัวดำ ๆ ผมถามแม่ว่าแล้วมันไม่กัดหลานเรอะ แม่บอกว่าไม่ยอมกัดมองดูเหมือนจะไม่มีแรง ผมนึก ๆ ดูงูนี่จะมีพิษหรือไม่มีพิษถ้ามันเจ็บมันคงต้องกัดตามสัญชาติญาณเป็นแน่ แต่แปลกไม่กัดหลานผม นี่คงเป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของรูปขาวดำหลวงพ่อกวยเป็นแน่ที่ช่วยหลานผมไว้

เรื่องที่ ๒ นี่ผมเจอเองเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของเหรียญรุ่นวัดเขาใหญ่ที่เรียกเหรียญ “จตุรพิธพรชัย” รู้สึกว่าจะเป็นคืนวันที่ ๑๔ พ.ย.๒๕๓๓ นี่แหละ แม่ผมนอนอยู่ในมุ้งอยู่ ๆ ก็ร้องโอย ๆ ดังเลย และเรียกผมที่นอนอยู่อีกมุ้งหนึ่ง ให้มาบีบให้หน่อยปวดขาเหลือเกินปวดแล้ววิ่งเป็นลูก ๆ ขึ้นมาตามลำตัว แล้วก็หายไปเดี๋ยวก็ปวดขึ้นมาอีก ผมก็ลุกออกมาบีบ เอายาหม่องมาทาให้ ละลายยาหอมให้กินค่อยยังชั่วไปหน่อย ไม่ปวดมากแต่ยังคราง ๆ อยู่ ผมเลยเข้านอนต่อเคลิ้ม ๆ จะหลับอยู่แล้ว เสียงแม่ผมร้องอีก ร้องดังกว่าเก่าอีก ผมตกใจลุกออกมาดูอีก คราวนี้แม่ผมอาเจียนอีกด้วย แต่เป็นแต่น้ำลายกับลมเท่านั้น ผมเลยละลายยาหอมให้กินอีก เอายาหม่องทาบีบนวดให้อีกก็ค่อยยังชั่วไป จะพาไปหาหมอก็ตี ๒ กว่าแล้ว รถก็ไม่มีถามแม่ไปหาหมอโรงพยาบาลไหวไหม แม่บอกไม่ไปทนได้ ตอนที่บอกทนได้ยังครางฮือ ๆ อยู่เลย บีบให้อีกสักพักหนึ่งแม่ไล่ให้ผมไปนอนเถอะเช้าต้องไปทำงาน เข้าไปนอนได้พักหนึ่งแต่ไม่หลีบคอยฟังดูแม่จะเรียกอีกไหม เอาอีกแล้วร้องอีกแล้ว คราวนี้อาเจียนใหญ่เลยเสียงดังด้วย กินน้ำเย็นเข้าไปยิ่งอาเจียนใหญ่ ผมจะรอให้เช้าค่อยพาไปหาหมอคงแย่แน่ เลยตัดสินใจลองพึ่งคุณพระดู หยิบเอาเหรียญหลวงพ่อกวยวัดเขาใหญ่มาใส่แก้วจะเอาน้ำเย็นธรรมดา แม่ผมกินแล้วอาเจียนอีกเลยเอาน้ำร้อนในกระติกใส่ลงไปในแก้ว อีกใจก็กลัวหลวงพ่อจะร้อนแต่ไม่รู้ทำไงดีเลยเอาแบบนี้ละ ยกแก้วขึ้นเหนือหัวหันหน้าเข้าหิ้งพระที่มีรูปหลวงพ่อกวยตั้งอยู่ว่าคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า ๓ หน บอกให้หลวงพ่อกวยช่วยแม่ของลูกด้วยเถิดจนปัญญาแล้ว เสร็จแล้วบอกให้แม่ผมกิน แม่ผมก็กินเข้าไป ๓ อึก ที่เหลือผมเอามาลูบตามขา-ลำตัว เผื่อหายบ้างแล้ว แม่ผมก็นอนต่อแต่ไม่ร้องโอยและอาเจียนแล้ว ผมเลยนอนบ้างเพราะเกือบตี ๔ แล้ว จน ๖ โมงเช้าแม่เรียกผมให้ไปทำงาน ผมล้างหน้าเสร็จแต่งตัวจะไปทำงานหันมาถามแม่ว่า หายปวดหรือยัง แม่ผมบอกว่า หายแล้วไม่เป็นไรแล้ว ผมเลยบอกว่าเดี๋ยวน้องสาวผมมาให้พาแม่ไปโรงพยาบาลหาหมอตรวจดูด้วย ผมกลับไปบ้านตอนเย็นถามแม่ว่า ไปหาหมอหรือเปล่า แม่บอก เปล่า น้องสาวผมวันนี้ไม่ได้มาหา แล้วมันไม่ปวดอะไรอะไรด้วย เลยไม่ไป จนวันที่ผมเขียนเรื่องนี้ก็ไม่มีอาการอะไรอีกเลยก็แปลกดี คงจะเป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อกวยที่สถิตอยู่ในเหรียญรุ่นวัดเขาใหญ่เป็นแน่ที่ช่วยแม่ผมให้หายป่วยหมดเรื่องแล้ววันหลังมีอะไรจะเล่ามาให้อาจารย์ฟังอีก

นับถือ

สมควร ทิพย์เนตร

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ เมษายน 05, 2013, 10:23:06 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๙๐
วันที่ ๕ พ.ย. – ๑๕ พ.ย.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


จีวรของหลวงพ่อ

เชื่อกันว่าหลวงพ่อที่เก่ง ๆ ผ้าจีวรที่ห่มตัวตัวท่านก็ต้องเก่งตามไปด้วย บางคนใช้จีวรของหลวงพ่อเป็นเครื่องรางของขลัง กันผีได้ทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยได้ คือเชื่อกันอย่างนั้น โดยมีความเข้าใจว่าเวลาหลวงพ่อเจริญมนต์ก็ดี นั่งสมาธิก็ดี พลังจิตของท่านได้มาปกคลุมตัวท่าน รวมทั้งผ้าจีวรด้วย นอกจากความเชื่ออันนี้แล้ว ยังเชื่อว่าผีกลัวผ้าจีวรพระด้วย

หลวงพ่อกวยก็เช่นกัน คนเขานับถือท่านเขาก็เชื่อว่า ผ้าจีวรท่านต้องเก่งต้องดี คนที่ได้ผ้าจีวรท่านเอาไว้สมควรบันทึกเอาไว้ มีหลวงตาสมานได้ไว้ ๑ ผืน อาจารย์ตั้วได้ไว้ ๑ ชุดเลย คุณยายฉายได้ไว้ ๑ ผืนใหญ่ ได้สายรัดเอวด้วย ที่คุณยายฉายได้ไว้พร้อมสายรัดเอว ท่านให้ไว้ก่อนมรณภาพ คือขอท่านไว้ผมเองได้ไว้ ๑ ผืน ผ้าเช็ดเท้าก็ได้ไว้ ปัจจุบันนี้ผมแจกหมดแล้ว ที่อาจารย์ถวาย ๑ ชุดถวายพระบวชใหม่ไปแล้ว ที่ใช้แล้วทำไม่ดีเป็นขี้กรากนั่นแหละ

เกี่ยวกับผ้าจีวรของหลวงพ่อนี้สมัยผมเป็นเด็กวัดด่านสำโรง ผมกลัวผีที่กุฏิหลวงปู่แย้ม กุฏิท่านมีเสาตกน้ำมันอยู่ ๑ ต้น มีนางไม้อยู่เฮี้ยนมาก ผมเคยเข้าไปอยู่ เฮี้ยนขนาดกล้าดึงขาพระออกจากมุ้งได้ พระบางองค์ร้องโวยสุดเสียงเลยเพราะหาทางออกจากกุฏิไม่เจอ โดนหลอกความตกใจประตูเขาลงดานแบบเก่าเวลาจำวัดก็ดับไฟ พอออกพรรษาพระไม่มี ผมเคยเข้าไปอยู่ รู้สึกเขาไม่ค่อยกล้ายุ่งกับผมเท่าไร ผมก็ไม่กล้ายุ่งกับเขาเหมือนกัน ในปี พ.ศ.๒๕๑๗ หรือ พ.ศ.๒๕๑๘ นี่แหละ ผมจะจากมา ผมได้ทดลองนำผ้าจีวรของหลวงพ่อไปผูกไว้หัวเสา เข้าพรรษาปีนั้นผีนางตะเคียน ไม่มารบกวนพระอีกเลย คือก่อนที่ผมจะมีความคิดนี้ มีเด็กวัดคนหนึ่งชื่อเต่า บ้านอยู่หน้าวัด ได้ไปขึ้นต้นตะเคียนทองในวัด เขาว่าต้นตะเคียนนี่มีนางไม้อาศัยอยู่ เด็กชายเต่าไม่รู้เพี้ยนอย่างไร ไปขึ้นต้นตะเคียนเล่นมืด ๆ พระไปเจอเข้าเอาไฟฉายส่องเรียกลงมา พอลงมาไม่ยอมนอน เดี๋ยวเดียวชักปัด ๆ เขาว่าผีทักบางคนก็ว่าผีเข้า ผมเลยเอาผ้าจีวรหลวงพ่อผูกข้อมือปรากฎว่าหาย เลยฉีกเป็นผืนยาว ๆ เอาไปผูกต้นตะเคียน ตั้งแต่นั้นผีหรือนางไม้ก็ไม่ไปรบกวนหรือหลอกใครอีกอันนี้ก็แปลกดี มีคนมาขอคำแนะนำจากผมว่า ที่บ้านมีเสาตกน้ำมัน ผมก็แนะนำให้เอาผ้าจีวรของหลวงพ่อผูกรอบเสา ผมก็แนะนำให้เอาผ้าจีวรหลวงพ่อผูกรอบเสา ผมก็แนะนำไปอย่างนั้นเองก็ยังไม่รู้เลยว่าถ้าผ้าจีวรเกิดขาด นางไม้ที่อยู่ที่เสาเขาจะว่าอย่างไร จะโกรธแค่ไหนผมก็ไม่รู้ อันนี้ผมเรียนแต่ผูกไม่ได้เรียนแก้ คือผูกอย่างเดียว(ผูกเสา) ผ้าจีวรหลวงพ่อนี้ผมเคยให้คุณวินัย อิสริยสุนทร บ้านอยู่ ต.บ่อสุพรรณ จ.นครปฐม ไป คือลูกเขาเล็ก ๆ โนผีแม่ซื้อรบกวน ผีแม่ซื้อนี่เขาว่าเป็นผีประจำตัวเด็ก ชอบมาเย้าหยอกเด็ก ๆ ทำให้สะดุ้งผวา ผีแม่ซื้อนี่ผมก็ไม่เคยเห็นสักที ไม่รู้รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ทีนี้คุณวินัย เลยนำผ้าจีวรของหลวงพ่อผูกข้อมือให้ ปรากฏว่านอนหลับดี ไม่สะดุ้งผวา

ทีนี้เมื่อผ้าจีวรของหลวงพ่อหมด เวลาผมแจกรูปขาวดำชนิดเล็ก ผมจึงใช้ผ้าจีวรห่มรูปหล่อหลวงพ่อโต วัดวิหารทองแทน เขาดีทางเตือนภัย และบางครั้งก็ใช้ผ้าจีวรห่มรูปหล่อหลวงพ่อหร่ำ วัดวังจิก แทน เขาดีทางแคล้วคลาดสูง ส่วนผ้าจีวรห่มรูปหล่อของหลวงพ่อกวย เมื่อผมมาวัดบางผืนเขาไม่ได้ใช้แล้วผมก็ขอท่านมา แต่ไม่กล้าแจกใคร ไม่ชอบการปะทะ คือวัตถุมงคลของหลวงพ่อรู้สึกจะหนักไปทางดับเครื่องชน แบบแรมโบ้ทำนองนั้น ผมเลยแก้เคล็ดใช้จีวรหลวงพ่อโต กับหลวงพ่อหร่ำแนบติดให้ไป อยู่มาวันหนึ่ง นายแดง สว่างศรี ศิษย์หลวงพ่อเจ้าของคาถาหัวใจแมงป่อง บ้านปากน้ำ บ้านใกล้กัน ได้มาขอผ้าจีวรของหลวงพ่อกวย ผมบอกผมไม่มีแล้ว มีแต่ผ้าจีวรรูปหล่อ เขาบอกเขาเอา ขอให้เป็นของหลวงพ่อเป็นใช้ได้ เขาจะเอาไปถักเป็นแหวนแขน ผมเลยฉีกให้ไป ไม่นึกว่าผ้าจีวรรูปหล่อนี้จะทำให้คนร่ำลือกันทั้งปากน้ำ หรือหลวงพ่อจะชี้แนะผมก็ได้ว่า “ไอ้ครูเอ๊ย ผ้าจีวรของกู นั้น ใช้ได้ทุกทางนั่นแหละ สุดแต่ว่าจะใช้ไปทางไหน ไม่ใช่ดีแต่ปะทะลูกเดียว” อันนี้ผมคิดเองนะ ท่านไม่ได้พูด

เรื่องของเรื่องเป็นอย่างนี้ คือเด็กข้างบ้านผมชื่อ ไพฑูรย์ ขุมทอง เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนธรรมโชติศึกษาลัย ชั้น ม.๖ ๒ คนกับพี่ชายชื่อ ประทวน ขุมทอง ได้พยายามสอบเข้าโรงเรียนพลตำรวจ พยายามอยู่ ๒-๓ ปีแล้วแต่ไม่ได้สักที ทั้งวิ่งเต้นทั้งเส้นก็ไม่ได้ ในปลายปี ๒๕๓๒ ๒ คนพี่น้องนี่ก็ไปสอบอีก คนพี่ไปสมัครสอบที่จังหวัดนครศรีธรรมราช คนน้องชื่อ ไพฑูรย์ ไปสมัครสอบที่จังหวัดนครสวรรค์ นายไพฑูรย์ก่อนไปสมัครสอบดวงไม่ดี แขนซ้ายโดนมีดบาดบริเวณท้องแขน เกือบถึงข้อศอก มีดบาดแผลยาวมาก ตก ๕ นิ้วได้ ให้หมอเย็บตกสิบกว่าเข็ม นายไพฑูรย์แกชอบเครื่องรางของขลัง แกได้ไปคุยกับนายแดง สว่างศรี แกบอกจะไปสมัครตำรวจ ตำรวจนี่เขาตรวจละเอียด ตามตัว ตามแขน ตามหน้า ตามหัว จะมีบาดแผลเป็นรอยมีดไม่ได้ รอยสักยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย แค่มีบาดแผลรอยมีด แค่สมัครสอบเขาก็ไม่รับแล้ว นายแดง แกแนะนำว่าเอาอย่างนี้เสี่ยงสัตย์อธิษฐานเอา ขอให้หลวงพ่อกวยช่วย พร้อมทั้งแกให้นายไพฑูรย์ขอยืมผ้าจีวรใส่แขน โดยขอให้เป็นกำบัง ขอให้นายตำรวจที่รับสมัครไม่เห็นรอยมีดบาด เพราะขณะไปสมัครเพิ่งตัดไหม เมื่อไปสมัครนายตำรวจได้ตรวจดูปรากฏว่าไม่เห็นรอยมีดบาด ซึ่งเป็นรอยแผลใหญ่ทีเดียว แต่ดันไปเห็นรอยแผลเป็นแขนขวาเป็นรอยหนามข่วน นายไพฑูรย์เลยตอบไปว่าเล่นฟุตบอลแล้วล้มลงไปเป็นแผลถลอก เมื่อสมัครได้แล้ว ตอนสอบข้อเขียนได้บอกกล่าวต่อหลวงพ่อบอกที่ผ้าจีวรด้วยซ้ำ ขอให้สอบได้ผลคือสอบได้จริง ๆ วันที่จะสอบสัมภาษณ์แกได้บนต่อหลวงพ่อกวยว่า หลวงพ่อกวยช่วยผมแล้วสองครั้ง ขอให้ช่วยให้ตลอด เพราะสอบสัมภาษณ์นี่ไม่ค่อยมีใครได้ แกได้บนต่อหลวงพ่อด้วยหัวหมู ๓ หัว ไก่ ๓ ตัว ผ้าป่า ๑ พุ่ม ผลคือแกสอบผ่านนายตำรวจไม่เห็นแผลที่แขน นับว่าอัศจรรย์ ส่วนพี่ชายคนโตสอบติดข้อเขียนที่นครศรีธรรมราช มีคนมาติดต่อให้สอบสัมภาษณ์ให้ผ่านสี่หมื่นห้าพัน ผลปรากฏว่าสอบไม่ผ่าน ขนาดวิ่งแล้ว เซ่นแล้ว

ประมาณเดือน มกราคม ๒๕๓๓ แกได้ไปแก้บนที่วัด นิมนต์อาจารย์สำรวย ชักผ้าป่า อาจารย์ยังบอกว่า เมื่อคืนก็มีหนังแก้บน บนให้สอบเข้าตำรวจได้เช่นกัน เรื่องนี้เล่าเอาไว้เห็นว่าแปลกดี ขนาดผ้าจีวรห่มรูปหล่อแท้ ๆ วันแก้บนกินกันเต็มบ้าน เขาดีใจตามบ้านนอกลูกได้เป็นทหาร นายสิบ เป็นพลตำรวจ เขาดีใจกันมากเท่า ๆ กับในกรุงเทพ ลูกเป็นนายร้อยนั่นแหละ เมาเข้าไปก็คุยกันแต่ผ้าจีวรหลวงพ่อ มีคนมาขอกับผมอีกหลายคน เขาถามว่าดีทางไหน ผมก็ตอบว่ากันผีดี ผมบอกว่ากันผีดีไม่ได้บอกว่ากันผีได้ คือผมเองก็ไม่รู้ว่ากันได้หรือเปล่าเลยตอบไปอย่างนั้น

ต่ออีกนิด เกี่ยวกับผ้าจีวรของหลวงพ่อบางคนถวายผ้าป่า บางคนถวายผ้าสังฆทาน บางคนถวายผ้าไตรอุทิศให้ท่าน ในสมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ หลวงพ่อห่มผ้าจีวรสีเหลืองครับ สีเหลืองแบบขมิ้นเลย ท่านไม่ได้ห่มสีกรักแบบพระธุดงค์ ฉะนั้นถ้าจะใช้ผ้าทำบุญอุทิศให้ท่าน ใช้สีเหลืองจะดี เกี่ยวกับการแก้บนเช่นกัน ระยะหลังมีคนบนด้วยหัวหมู ไก่ รู้สึกว่าจะสำเร็จ

จดหมายคุณสมควร ทิพย์เนตร

สวัสดีครับอาจารย์เฒ่า สุพรรณ ที่นับถือ

ผมมีประสบการณ์เกี่ยวกับองค์หลวงพ่อกวยจะเล่าให้ฟังสัก ๒ เรื่อง อาจารย์จะเชื่อหรือไม่เชื่อพิจารณาดูเอาเองแล้วกัน เรื่องแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของรูปเล็กขาวดำ เรื่องนี้ผมได้ฟังจากแม่ผมอีกทีเพราะผมไม่อยู่ไปทำงาน และไม่เห็น แต่แม่ผมคงไม่โกหกผมหรอก เรื่องเริ่มที่หลานผมลูกของน้องสาวฝากให้แม่ผมเลี้ยงไว้ อายุสัก ๓ ขวบเศษๆ กำลังซนเลยทีเดียว เป็นเด็กผู้ชายผมเลยเลี่ยมรูปขาวดำของหลวงพ่อกวยให้ห้อยคอไว้คุ้มครองตัว บริเวณบ้านผมมีน้ำท่วมถึงคืออยู่ใกล้แม่น้ำ วันนั้นน้ำก็ท่วมมากพอสมควร คือถึงสะพานที่เดินเข้า-ออก หลานผมก็เล่นอยู่บนสะพานกับเพื่อนรุ่น ๆ เดียวกันอีกคน พอดีมีงูลอยคอมาในน้ำใกล้ ๆ หลานผมเลยจับงูขึ้นมาถือไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นของมีพิษ เด็กอีกคนก็เล่นอยู่กับหลานผม เห็นหลานผมคว้าคองูมาถือไว้ ก็เลยดึงหางงูไว้เพื่อจะแย่งเอามาเล่น หลานผมก็ดึงไว้ไม่ยอมให้ ต่างคนต่างดึง งูมันคงเจ็บเลยพันแขนหลานผมเป็นเกลียว แต่แปลกไม่ยอมอ้าปากกัดหลานผม ได้แต่มัดอยู่อย่างนั้น พอดีมีคนเดินผ่านมาเขาเลยเรียกแม่ผมให้ออกมาดู แม่ผมเห็นบอกว่าจะเป็นลมเพราะทั้งกลัวและขยะแขยง แต่ติดขยะแขยงมากกว่า ไม่กล้าเข้าไปแย่งงูต้องค่อย ๆ ปลอบให้หลานปล่อยมือจากคองูให้มันคลายตัวจากแขน พอคลายตัวแล้วคนที่เรียกแม่ผมเลยเอาไม้ตีตายโยนทิ้งน้ำไป แม่ผมบอกตัวโตประมาณนิ้วโป้งคนโตได้ ไม่รู้เรียกงูอะไร ตัวดำ ๆ ผมถามแม่ว่าแล้วมันไม่กัดหลานเรอะ แม่บอกว่าไม่ยอมกัดมองดูเหมือนจะไม่มีแรง ผมนึก ๆ ดูงูนี่จะมีพิษหรือไม่มีพิษถ้ามันเจ็บมันคงต้องกัดตามสัญชาติญาณเป็นแน่ แต่แปลกไม่กัดหลานผม นี่คงเป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของรูปขาวดำหลวงพ่อกวยเป็นแน่ที่ช่วยหลานผมไว้

เรื่องที่ ๒ นี่ผมเจอเองเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของเหรียญรุ่นวัดเขาใหญ่ที่เรียกเหรียญ “จตุรพิธพรชัย” รู้สึกว่าจะเป็นคืนวันที่ ๑๔ พ.ย.๒๕๓๓ นี่แหละ แม่ผมนอนอยู่ในมุ้งอยู่ ๆ ก็ร้องโอย ๆ ดังเลย และเรียกผมที่นอนอยู่อีกมุ้งหนึ่ง ให้มาบีบให้หน่อยปวดขาเหลือเกินปวดแล้ววิ่งเป็นลูก ๆ ขึ้นมาตามลำตัว แล้วก็หายไปเดี๋ยวก็ปวดขึ้นมาอีก ผมก็ลุกออกมาบีบ เอายาหม่องมาทาให้ ละลายยาหอมให้กินค่อยยังชั่วไปหน่อย ไม่ปวดมากแต่ยังคราง ๆ อยู่ ผมเลยเข้านอนต่อเคลิ้ม ๆ จะหลับอยู่แล้ว เสียงแม่ผมร้องอีก ร้องดังกว่าเก่าอีก ผมตกใจลุกออกมาดูอีก คราวนี้แม่ผมอาเจียนอีกด้วย แต่เป็นแต่น้ำลายกับลมเท่านั้น ผมเลยละลายยาหอมให้กินอีก เอายาหม่องทาบีบนวดให้อีกก็ค่อยยังชั่วไป จะพาไปหาหมอก็ตี ๒ กว่าแล้ว รถก็ไม่มีถามแม่ไปหาหมอโรงพยาบาลไหวไหม แม่บอกไม่ไปทนได้ ตอนที่บอกทนได้ยังครางฮือ ๆ อยู่เลย บีบให้อีกสักพักหนึ่งแม่ไล่ให้ผมไปนอนเถอะเช้าต้องไปทำงาน เข้าไปนอนได้พักหนึ่งแต่ไม่หลีบคอยฟังดูแม่จะเรียกอีกไหม เอาอีกแล้วร้องอีกแล้ว คราวนี้อาเจียนใหญ่เลยเสียงดังด้วย กินน้ำเย็นเข้าไปยิ่งอาเจียนใหญ่ ผมจะรอให้เช้าค่อยพาไปหาหมอคงแย่แน่ เลยตัดสินใจลองพึ่งคุณพระดู หยิบเอาเหรียญหลวงพ่อกวยวัดเขาใหญ่มาใส่แก้วจะเอาน้ำเย็นธรรมดา แม่ผมกินแล้วอาเจียนอีกเลยเอาน้ำร้อนในกระติกใส่ลงไปในแก้ว อีกใจก็กลัวหลวงพ่อจะร้อนแต่ไม่รู้ทำไงดีเลยเอาแบบนี้ละ ยกแก้วขึ้นเหนือหัวหันหน้าเข้าหิ้งพระที่มีรูปหลวงพ่อกวยตั้งอยู่ว่าคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า ๓ หน บอกให้หลวงพ่อกวยช่วยแม่ของลูกด้วยเถิดจนปัญญาแล้ว เสร็จแล้วบอกให้แม่ผมกิน แม่ผมก็กินเข้าไป ๓ อึก ที่เหลือผมเอามาลูบตามขา-ลำตัว เผื่อหายบ้างแล้ว แม่ผมก็นอนต่อแต่ไม่ร้องโอยและอาเจียนแล้ว ผมเลยนอนบ้างเพราะเกือบตี ๔ แล้ว จน ๖ โมงเช้าแม่เรียกผมให้ไปทำงาน ผมล้างหน้าเสร็จแต่งตัวจะไปทำงานหันมาถามแม่ว่า หายปวดหรือยัง แม่ผมบอกว่า หายแล้วไม่เป็นไรแล้ว ผมเลยบอกว่าเดี๋ยวน้องสาวผมมาให้พาแม่ไปโรงพยาบาลหาหมอตรวจดูด้วย ผมกลับไปบ้านตอนเย็นถามแม่ว่า ไปหาหมอหรือเปล่า แม่บอก เปล่า น้องสาวผมวันนี้ไม่ได้มาหา แล้วมันไม่ปวดอะไรอะไรด้วย เลยไม่ไป จนวันที่ผมเขียนเรื่องนี้ก็ไม่มีอาการอะไรอีกเลยก็แปลกดี คงจะเป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อกวยที่สถิตอยู่ในเหรียญรุ่นวัดเขาใหญ่เป็นแน่ที่ช่วยแม่ผมให้หายป่วยหมดเรื่องแล้ววันหลังมีอะไรจะเล่ามาให้อาจารย์ฟังอีก

นับถือ

สมควร ทิพย์เนตร
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ เมษายน 10, 2013, 10:33:56 am
 :o :o :o :o
เยี่ยมครับ ชอบมากเลย
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: patompong ที่ เมษายน 10, 2013, 10:47:06 am
รวมเรื่องจัดพิมพ์ใหม่อีกครั้งน่าจะดีนะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ เมษายน 10, 2013, 01:25:13 pm
รวมเรื่องจัดพิมพ์ใหม่อีกครั้งน่าจะดีนะครับ

เรื่องที่ผมนำมาลงทั้งหมดนี้ ถือว่าไม่สมบูรณ์ครับ เพราะมีขาดหายไปหลายช่วงครับเนื่องจากภาระหน้าที่การงานในขณะนั้นเป็นเหตุ น่าเสียดายครับที่ไม่มีท่านใดมาเพิ่มเติมเสริมแต่งในส่วนที่ผมขาดหายไป ผมได้ทิ้งจังหวะเว้นวรรคไว้ตอนละ ๑ สัปดาห์ ส่วนที่ผมเหลือน่าจะลงให้ศิษย์ทุกท่านอ่านกันได้ตลอดทั้งปีครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ เมษายน 10, 2013, 01:27:05 pm
รวมเรื่องจัดพิมพ์ใหม่อีกครั้งน่าจะดีนะครับ

เรื่องที่ผมนำมาลงทั้งหมดนี้ ถือว่าไม่สมบูรณ์ครับ เพราะมีขาดหายไปหลายช่วงครับเนื่องจากภาระหน้าที่การงานในขณะนั้นเป็นเหตุ น่าเสียดายครับที่ไม่มีท่านใดมาเพิ่มเติมเสริมแต่งในส่วนที่ผมขาดหายไป ผมได้ทิ้งจังหวะเว้นวรรคไว้ตอนละ ๑ สัปดาห์ ส่วนที่ผมเหลือน่าจะลงให้ศิษย์ทุกท่านอ่านกันได้ตลอดทั้งปีครับ

ผมเคยตั้งใจไว้ว่าน่าจะพิมพ์เป็นเล่มไว้เช่นกันครับ เสียดายที่เรื่องทั้งหมดไม่สมบูรณ์
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: anon ที่ เมษายน 13, 2013, 08:59:08 pm
อ้างถึง
เรื่องที่ผมนำมาลงทั้งหมดนี้ ถือว่าไม่สมบูรณ์ครับ เพราะมีขาดหายไปหลายช่วงครับเนื่องจากภาระหน้าที่การงานในขณะนั้นเป็นเหตุ น่าเสียดายครับที่ไม่มีท่านใดมาเพิ่มเติมเสริมแต่งในส่วนที่ผมขาดหายไป ผมได้ทิ้งจังหวะเว้นวรรคไว้ตอนละ ๑ สัปดาห์ ส่วนที่ผมเหลือน่าจะลงให้ศิษย์ทุกท่านอ่านกันได้ตลอดทั้งปีครับ

  ขอบคุณมากครับ เอามาให้อ่านอีกนะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ เมษายน 17, 2013, 05:25:39 pm
อ้างถึง
เรื่องที่ผมนำมาลงทั้งหมดนี้ ถือว่าไม่สมบูรณ์ครับ เพราะมีขาดหายไปหลายช่วงครับเนื่องจากภาระหน้าที่การงานในขณะนั้นเป็นเหตุ น่าเสียดายครับที่ไม่มีท่านใดมาเพิ่มเติมเสริมแต่งในส่วนที่ผมขาดหายไป ผมได้ทิ้งจังหวะเว้นวรรคไว้ตอนละ ๑ สัปดาห์ ส่วนที่ผมเหลือน่าจะลงให้ศิษย์ทุกท่านอ่านกันได้ตลอดทั้งปีครับ

  ขอบคุณมากครับ เอามาให้อ่านอีกนะครับ

จะนำมาลงจนหมดแน่นอนครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ เมษายน 19, 2013, 04:54:38 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๙๑
วันที่ ๑๕ พ.ย. – ๒๕ พ.ย.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


ขาด ๑ ตอน


ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๙๒
วันที่ ๒๕ พ.ย. – ๕ ธ.ค.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


จดหมายจากภูเก็ต
ภูเก็ต

เรียนคุณเฒ่า ที่นับถือ

ผมติดตามรายการของคุณทางหนังสือนะโม มานานมากแล้ว อยากจะขอถามดังนี้

๑.ตะกรุดของหลวงพ่อกวยที่ลงในนะโมว่า “ตะกรุดแม่ทัพ” นั้น แท้จริงเรียกว่าอะไร คือตะกรุดมหากาฬ หรือว่าตะกรุดโทน

๒.คุณปลัดของหลวงพ่อเราใช้คาดเอวแล้วที่คอแขวนพระเครื่อง(ของหลายอาจารย์) จะได้หรือสมควรแค่ไหน

ขอให้ตอบในนะโมนะครับขอขอบคุณ

วิชัย

ตอบตอบคุณวิชัย

๑.ตะกรุดดอกเดียวของหลวงพ่อ เรียกว่าตะกรุดโทนครับ ยันต์หลักของหลวงพ่อคือยันต์มหากาฬครับ จึงเรียกอีกอย่างว่าตะกรุดมหากาฬ แต่จริง ๆ แล้วในตะกรุดผมก็ไม่เห็นว่าท่านจารยันต์อะไรครับ ส่วนตะกรุดแม่ทัพ ต้องมี ๒ ดอกดอกเล็กอยู่หน้า ดอกใหญ่อยู่หลังครับ

๒.ตามความเห็นของผมที่คอคล้องพระ เอวคาดปลัด ผมว่าไม่เป็นไรครับ เพราะอยู่คนละที่กัน ไม่น่ามีปัญหาครับ

โชคดีครับ

ฒ.สุพรรณ


จดหมายคุณณรงค์ศักดิ์ ทองเล็ก
 แหลมหญ้ารีสอร์ท

ถึงลุงเฒ่าที่เคารพ

เมื่อวันที่ ๒๓ ต.ค.๒๕๓๔ นี้ ผมเดินทางไปอรัญกับพ่อเพื่อไปซื้อของที่ฝั่งเขมร สินค้าที่ห้ามนำเข้ามาในไทยมีหลายชนิด เช่น เครื่องลายครามโบราณ และที่สำคัญคือ “บุหรี่และกระเทียม” ตอนกลับพ่อผมซื้อกระเทียมมา ๓ กระสอบ เรากลับกันอีกทางหนึ่งซึ่งไม่ใช่ทางตอนมา เพื่อหลบหลีกด่านตรวจซึ่งมีหลายด่าน แต่ทางที่เรามากันนี้ก็มีด่านตรวจอีก เพราะเขาคอยเข้มงวดกันมากเกี่ยวกับเรื่องกระเทียมกับบุหรี่ ผมรู้สึกใจไม่ดีเลย เพราะกระเทียมนี้เขาให้ผ่านได้แค่กิโลสองกิโล แต่ของผมมีตั้ง ๓ กระสอบ กระสอบหนึ่งมีตั้งสิบกว่ากิโล ที่แน่ ๆ คือ ถูกยึดหมดเงินที่ซื้อไปก็สูญเปล่า

ด่านนี้เป็นด่านของพวก ตชด. พวกนี้จะไม่กินสินบน พวกเขาจะทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด ซึ่งผิดกับพวกตำรวจชอบกินสินบน

เขาบอกกับพ่อผมว่า จะยึดหมด ๓ กระสอบ พ่อผมอ้อนวอนก็แล้ว ให้สินบนก็แล้ว เขาก็ไม่ยอม เขาบอกทำตามหน้าที่ ผมนั่งอยู่หน้ารถ ผมมองไปที่รูปหลวงพ่อที่ลุงเฒ่าให้มา ผมนำไปติดไว้หน้ารถ ผมทำจิตใจให้สงบนึกถึงหลวงพ่อขอให้ช่วยด้วย ปรากฏว่าเขาเอาไป ๒ กระสอบ และเหลือไว้ให้ผม ๑ กระสอบ พ่อผมถามเขาว่า กระสอบที่เหลือนี่ด่านที่เหลือเขาจะยึดไปไหม ถ้าตรวจเจอ เขาบอกว่าไม่รู้ ผมก็นึกถึงหลวงพ่อทุกด่าน ในที่สุดก็ผ่านมาตลอด ผมนึกเสียดายที่ถูกยึดไป แต่ก็ยังดีที่มีเหลืออยู่ดีกว่าไม่ได้เลย

ผมเชื่อว่าหลวงพ่อต้องช่วยผมแน่ ๆ เลย เพราะที่จริงแล้วเขาต้องยึดหมด แต่เขากลับเหลือไว้ให้ ถ้าลองนับถือท่านศรัทธาท่านอย่างจริงใจแล้ว ท่านต้องช่วยเหลือแน่ครับ ผมนับถือท่านเป็นครูบาอาจารย์ของผมเลยครับ ถ้ามีประสบการณ์ผมจะเล่ามาอีกนะครับ

สุดท้ายนี้ขออำนาจคุณบารมีของหลวงพ่อศรี หลวงพ่ออิ่ม หลวงพ่อเคน และพระเดชพระคุณของหลวงพ่อกวย จงคุ้มครองให้ลุงเฒ่าและครอบครัว จงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ

ด้วยความเคารพ

ณรงค์ศักดิ์  ทองเล็ก



จดหมายจากวัดโฆสิตาราม
ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท

เจริญพรโยมเฒ่า สุพรรณ

อาตมาภาพ พระสำรวย มีเรื่องจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับรูปถ่ายขาวดำชนิดเล็กห้อยคอ ออกในงานฝังลูกนิมิต ดังนี้ คือคุณขันติ วชรัตน์ บ้านอยู่ ๒๔๒/๑๐ ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม คุณขันติเล่าว่า ขณะนั่งคอยรถเมล์อยู่ ลูกชายเกิดหล่นจากที่พักผู้โดยสาร หัวทิ่มอย่างแรง โดนปูนซีเมนต์ข้างล่าง แต่ไม่เป็นอะไร ในคอคล้องรูปเล็กหลังจีวรอย่างเดียว

อีกเรื่องหนึ่งคือ หลานคุณขันติ ไม่สบาย ถ่ายท้องไม่หยุด กินยาก็ไม่หาย คุณขันติก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงอาราธนารูปถ่ายเล็กหลังจีวร ให้คล้องคออาการป่วยคือท้องเดินดังกล่าวหายเป็นปลิดทิ้งเลย ไม่น่าเชื่อ คุณขันติพูดว่าหลวงพ่อกวยนี่ศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ

เจริญพร

พระสำรวย อฺคฺคปัญโญ


ผึ้งหลวงพ่อ

หลวงพ่อกวยท่านรักธรรมชาติ รักต้นไม้ รักสัตว์ชอบเลี้ยงสัตว์ตามธรรมชาติ คือปล่อยให้มันอยู่เอง มีงูเหลือม เต่า ไก่ต๊อก ไก่แจ้ ลิง นก สุนัข เลี้ยงไว้ยันผึ้ง คือผึ้งที่หลวงพ่อเลี้ยงนี้ เขาจะมาอยู่เอง หรือหลวงพ่อเรียกด้วยอาคม อันนี้ไม่รู้ แต่เป็นผึ้งหลวง รังใหญ่ ตัวโต เขาอยู่ในกุฏิด้านในสุดของหลวงพ่อ คอยดูแลวัตถุมงคล คืออาจมีคนขาดความเกรงใจ เข้าไปหยิบฉวยของหลวงพ่อผึ้งนี้จะต่อย เรียกว่ารุมต่อย ถ้าหลวงพ่อเข้าไปด้วยเขาจะไม่ต่อย คือหลวงพ่อเลี้ยงสัตว์ด้วยความเมตตา และหลวงพ่อรู้คาถาหัวใจของสัตว์แทบทุกชนิด สามารถสะกดไว้ และสามารถถ่ายทอดอำนาจจิตสู่สัตว์ทุกชนิดได้

สมัยที่หลวงพ่อยังสักอยู่มีลูกศิษย์สักอยู่คนหนึ่งชื่อ เร่ง เมฆสารท ชื่อจริง นามสกุลจริง เป็นคนทางวัดฝาง จังหวัดชัยนาท เมื่อสักเสร็จ หลวงพ่อก็ชวนคุยด้วย หลวงพ่อได้เป่าหัวให้ ขณะที่นายเร่งกำลังเผลอ หลวงพ่อได้ฟันนายเร่ง ฟันด้วยความแรง ปรากฏว่าไม่เข้าเลย แล้วหลวงพ่อก็ชี้ให้นายเร่งดูรังผึ้งในกุฏิท่าน หลวงพ่อได้พูดว่า“มึงเข้าไปกินหัวน้ำผึ้งดูสิ กูเสกทุกวัน” แล้วหลวงพ่อก็บอกคาถาหัวใจผึ้ง หัวใจต่อ แตน คือ“มิ มิ” ให้นายเร่งไปเป่าที่หัวน้ำหวานผึ้ง ผึ้งก็จะเบิกคือหนีออกไป นายเร่งก็คนจริง อาจารย์จริง ศิษย์ก็จริงเช่นกัน ได้เข้าไปว่าคาถาสะกดผึ้งปรากฏว่าผึ้งได้หนีไปรวมกลุ่มอยู่ที่รัง แต่ก็มีหลายสิบตัวไม่ยอมหนี เข้าใจว่าสะกดไม่ลงหรือสะกดจนหนีไม่ได้ นายเร่งเลยหยิบเอาหัวน้ำหวานผึ้งพร้อมตัวที่ไม่ยอมหนี เอามาเคี้ยวกินแล้วเดินออกมาหาหลวงพ่อ หลวงพ่อได้พูดว่า“ไอ้เร่ง มึงกินผึ้งทั้งตัวเข้าไปได้ยังไง อ้าปากซิ”พอน่ายเร่งอ้าปาก สิ่งอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น คือผึ้งที่นายเร่งเคี้ยวกินเข้าไปแล้ว บินออกมาจากปากนายเร่ง ตกสิบกว่าตัว แปลกมาก นายเร่งนับถือหลวงพ่อจับใจ พูดว่าหลวงพ่อกวยนี้เก่งจริง ๆ ในวันนั้นก่อนจะลากลับหลวงพ่อยังได้หยิบเหรียญรุ่น ๑ ให้นายเร่งไป ๑ องค์ วันหนึ่งนายเร่งไปมีเรื่องกับอันธพาลที่ตลาดชัยนาท ตอนกลางคืน โดนขับยิงไม่ออกเลย ปัจจุบันนายเร่งยังมีชีวิตอยู่ บ้านอยู่ทางวัดฝาง จังหวัดชัยนาท ทำงานอยู่ที่เจ้าพระยาค้าไม้

ทีนี้เล่าเรื่องผึ้งของหลวงพ่อต่อ ผึ้งหลวงพ่อรังนี้เมื่อหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว เขาได้จากไปไม่ทราบแน่ชัดว่าอยู่ที่ไหน แต่ถ้ามีการบวชนาคคือบวชพระ ถ้ามีคนไม่เคารพหลวงพ่อ เอาเหล้ามาวนโบสถ์ คือเมาเหล้าเข้ามาในวัด แล้วถือขวดเหล้าวนโบสถ์ละก็ เขาจะมาตักเตือนสั่งสอนทุกครั้ง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เขาจะต่อยไม่เลือกไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ แม้ปัจจุบันนี้ก็ยังคงความศักดิ์สิทธิ์เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ เมษายน 24, 2013, 02:04:55 pm
ความเชื่อ 
คำเตือน: เรื่องนี้เป็นความเชื่อของตัวละครในเรื่อง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เย็นย่ำใกล้ค่ำ พ่อแบกจอบกลับมาจากถางหญ้าไร่อ้อย มี “ไอ้กว้าง” ควายเฒ่าเดินนำหน้ามาอย่างเชื่องช้า บางครั้งก็หยุดเล็มหญ้าอ่อนริมทาง หางของมันแกว่งไกวไล่ยุงเหลือบ ที่หวังจะสูบเลือดจากมัน

พ่อรักและผูกพันกับไอ้กว้างมาก มันลากคันไถให้พ่อทำนาทำไร่ตั้งแต่มันยังหนุ่มยันแก่ มีครั้งหนึ่งผมจำติดตา มันลากคันไถแล้วล้มฟุบลงไป พ่อรีบตรงเข้าปลดแอกออกจากคอไอ้กว้าง ลูบหน้าลูบหัวตบไหล่มันเบาๆเพื่อให้กำลังใจ มันพยายามอยู่ครู่ใหญ่ถึงลุกขึ้นได้ จากนั้นผมไม่เห็นพ่อใช้งานไอ้กว้างอีกเลย หันไปใช้ “ควายเหล็ก” แทน พ่อปลดเกษียณมัน แถมบำนาญให้มันกินๆนอนๆไม่ต้องทำอะไร

มีคนในเมืองแวะเวียนมาขอซื้อไอ้กว้างอยู่บ่อยๆ  ให้ราคาสูงเท่ากับควายหนุ่มใช้งาน พ่อกับแม่ยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่ขาย ผมเองแอบลุ้นตัวโก่ง ไม่อยากให้พ่อกับแม่ขายมันไปเลย ถึงผมจะเป็นเด็กอยู่ แต่ผมก็รู้สึกว่าไอ้กว้าง เป็นหนึ่งในครอบครัวของผม

“พ่อเชื่อว่ามันมีบุญคุณกับเรา ให้เรามีอยู่มีกิน ลืมตาอ้าปากได้ก็เพราะมัน พ่อกับแม่ขายมันไม่ลงหรอก ลูกไม่ต้องกลัว พ่อจะเลี้ยงมันจนแก่ตาย แล้วจะฝังมันด้วยมือของพ่อเอง” พ่อลั่นวาจากับผมในเช้าวันหนึ่งขณะเตรียมไปไร่ ผมจะไปโรงเรียน ส่วนแม่กำลังเตรียมเสบียงลงย่ามใบเก่งของพ่อ มีข้าวมื้อกลางวันห่อด้วยใบบัวมัดด้วยตอก น้ำฝนกรอกใส่ขวดไว้เต็ม และที่ขาดไม่ได้ ยาเส้นใบจากพร้อมไฟแช็กรุ่นเก่า

“ทำไมเขาถึงอยากได้ตัวไอ้กว้างกันนักล่ะแม่” ผมหันไปทางแม่ “แก่ก็แก่ ลากไถไม่ไหวแล้ว”

“พวกเขาไม่อยากได้ตัวมันหรอกลูก เขาอยากได้หัวมันเขามันมากกว่า สมมติพ่อกับแม่ขายไป มันต้องถูกเอาไปฆ่า ถูกตัดหัวเอาไปขายต่อ เขาสวยๆหายากแบบไอ้กว้างได้ราคาดีเชียวนะ นักเล่นเขาควายเขาซื้อขายกัน”

อย่างนี้นี่เอง หัวกระไดบ้านผมถึงไม่แห้งสักที หมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันมาไม่ขาด ผมเหลียวมองไอ้กว้างยืนรอพ่ออยู่ มันคงอยากออกไปกินหญ้าอ่อนที่เพิ่งแทงยอด หลังฝนมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เขาของมันแผ่กว้างออกไปด้านข้างเป็นแนวนอน ยาวออกไปร่วมๆเมตรทั้งสองข้าง ก่อนจะโค้งขึ้นเป็นพระจันทร์เสี้ยว พ่อเคยว่าเขาของไอ้กว้างเหมือนเขาควายโบราณ 

ผมรับจอบจากพ่อเอาไปเก็บ พ่อส่งไอ้กว้างเข้าคอก สุมไฟไล่ยุงให้ แล้วมานั่งพักบนแคร่หน้าบ้าน เล่นกับไอ้แดงอีเขียว สุนัขที่พ่อเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน ยามออกไปไร่ไถนากับแม่ มันสองตัวทำจมูกฟุตฟิต คงสากลิ่นบางอย่างในย่ามของพ่อ

“เอกมานี่ พ่อมีอะไรจะให้ลูก” พ่อล้วงเอาลูกสุนัขตัวน้อยออกมาจากย่าม มันมองผมตาแป๋ว พ่อบอกได้ยินเสียงร้องแว่วๆกลางไร่อ้อย จึงออกเดินหาอยู่นานถึงพบมันอยู่ในโพรงดิน กับพี่น้องอีกสามตัวแต่ตายหมดแล้ว เหลือมันรอดเพียงตัวเดียว พ่อให้ผมเข้าครัวขอน้ำข้าวจากแม่มาให้มัน พร้อมตั้งชื่อให้เดี๋ยวนั้น “ไอ้รอด”

“ลูกเห็นมั้ย ขาหลังมันมีนิ้วโป้งเหมือนคนเลย นานๆจะเจอสักตัว” พ่อชี้ให้ผมดูติ่งเล็กๆที่งอกออกมา แล้วพูดถึงความเชื่อของปู่ผู้ล่วงลับ “มันเข้าตำราของปู่ลูกที่บอกพ่อไว้ หมายี่สิบนิ้ว ขนสามสี หางตีหลัง”

ผมไม่เข้าใจ ให้สงสัยไปอีกว่า ไอ้แดงอีเขียวทำไมมันไม่มี ผมเก็บความอยากรู้สงสัยนั้นรอจนกินข้าวมื้อเย็นเสร็จ เอาไอ้รอดไปขังไว้ในสุ่มไก่ใต้ถุนบ้าน กันไอ้แดงอีเขียวไปรังแกเพราะยังไม่คุ้น พ่อถึงอธิบายให้ผมฟัง

“ที่ปู่ของลูกบอกพ่ออย่างนั้นปู่เชื่อว่า หมามันเกิดมาเพื่อเรียนรู้ชีวิตของคน เพราะเป็นสัตว์ที่คนนิยมเลี้ยงและใกล้ชิดมากที่สุด พอมันตายหมดชาติที่เกิดเป็นหมาแล้ว มันจะไปเกิดเป็นคน และจะเอาสิ่งที่มันเรียนรู้จากคนตอนที่มันเกิดเป็นหมา ไปใช้กับชีวิตของมัน ส่วนที่พ่อพูดไว้ตอนแรก หมายี่สิบนิ้วมันใกล้จะไปเกิดเป็นคนแล้วหละ ขนสามสีอย่างไอ้รอดบอกถึงความฉลาดแสนรู้ของมัน ส่วนหางตีหลังปู่ว่ามันดุ”

“แล้วไอ้แดงอีเขียวล่ะครับพ่อ”

“ไอ้สองตัวนี่ไม่ไหว พ่อพยายามสอนมันแล้วแต่มันไม่ค่อยรู้เรื่อง คงจะเกิดเป็นหมาเรียนรู้อีกหลายชาติ” พ่อหัวเราะหึๆ ส่วนผมเกาหัวแกรกๆ ไม่ค่อยเข้าใจนักในวัยเจ็ดขวบตอนนั้น

สามเดือนให้หลัง ไอ้รอดโตขึ้นเข้ากับไอ้แดงอีเขียวได้แล้ว มันวิ่งเล่นไล่กันคึ่กๆ ผมไม่เห็นมันส่อแววฉลาดแสนรู้อะไรเหมือนอย่างที่พ่อบอก วันๆเที่ยวซุกซนไล่ไก่ไล่เป็ดจนเป็ดไก่ไข่หด แม่ยังบ่นว่าขาดรายได้ตรงนี้ไปเยอะ

แล้วมาถึงเช้าวันที่ผมโกรธสุดๆ รองเท้าแตะของผมเหลือแค่ซากอยู่กองฟาง รองเท้านักเรียนขาดวิ่น มันกำลังเคี้ยวหมับๆอยู่นั่น ผมวิ่งลงบันไดเพื่อจะไปเอารองเท้าคืน มันกลับวิ่งหนีพร้อมคาบไปด้วย ประมาณว่า “จับให้ได้ถ้านายแน่จริง” ผมวิ่งไล่มันวิ่งหนี ผมหยุดมันหยุด กว่าจะลากคอมาได้ เล่นเอาทั้งเหนื่อยทั้งโกรธอีกเท่าตัว แต่ปากของมันยังคาบรองเท้าอยู่ ผมตบปากมันไปแรงๆสามที คราวนี้ร้องบ้านแทบแตก ไอ้แดงอีเขียววิ่งหางตกไปไหนไม่รู้

“ผมไม่เลี้ยงมันแล้ว จะเอาไปปล่อยวัด” ผมประกาศก้อง ฝากไปถึงพ่อแม่ได้รับรู้

“แล้วลูกจะได้อะไรกลับมา บุญหรือบาปล่ะ” พ่อเดินเข้ามาถาม ในหัวของผมรู้เพียงว่า ถ้าไม่มีไอ้รอด รองเท้าผมก็ไม่ขาด แต่ผมไม่ได้พูดออกไป
“ถ้าเอกไม่รู้พ่อจะตอบแทนให้ ลูกจะได้บาปกลับมา เพราะวัดเป็นที่ทำบุญไม่ใช่ที่ทำบาปและไม่ใช่ที่ทิ้งขยะ” พ่อทิ้งคำพูดให้คิด หันจูงไอ้กว้างออกไปกินหญ้า ผมพูดอะไรไม่ออก จริงของพ่อ…

วันนั้นผมต้องไปโรงเรียนด้วยเท้าเปล่า ถูกเพื่อนล้อทั้งวัน พกอารมณ์โกรธกลับมาอีก ผมเห็นไอ้รอดมานั่งรออยู่ทางเกวียน ปากทางเข้าบ้านเหมือนเคยทำ เช้ามาส่งเย็นมารับผมยังกับรู้เวลา แต่มันไม่รู้หรอกอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป

ควับ…ควับ…ควับ…

กิ่งฝรั่งแถวนั้นถูกหักมารูดใบออก ผมกระหน่ำตีไม่นับด้วยโทสะ แต่แปลก…ไอ้รอดไม่วิ่งหนีอย่างที่ผมคิด มันหมอบนิ่งให้ตีโดยไม่ร้องสักแอะ ผมชะงักไม้ค้างมองดูมัน คล้ายยังมีสายใยบางๆผูกพันอยู่ ผมโยนไม้ทิ้งไป หันหน้าเดินเข้าบ้านขึ้นไปบนชาน รองเท้าแตะกับรองเท้านักเรียนคู่ใหม่วางนิ่งอยู่ที่นั่น

แม่กลับจากไร่อ้อยก่อนพ่อ เพื่อเตรียมติดไฟหุงข้าว ผมไหว้และขอบคุณแม่ที่ซื้อรองเท้าใหม่ให้

“เมื่อเอกได้รองเท้าใหม่แล้ว แม่ขอ…อย่าตีไอ้รอดอีกเลยนะสมเพชมัน หมาก็เป็นอย่างนี้เวลามันคันเขี้ยว แม่ว่ามันกำลังเปลี่ยนเขี้ยวใหม่ จากเขี้ยวน้ำนมเป็นเขี้ยวแท้ ไอ้แดงอีเขียวก็เคยเป็น”
 
ผมก้มหน้าหลุบตาลงพื้นซ่อนพิรุธ แม่ไม่รู้มันเพิ่งโดนไปครู่ใหญ่ๆ ผมเลี่ยงออกมานั่งเล่นอยู่หน้าบ้านทบทวนเหตุการณ์ แล้วไอ้รอดก็เดินเข้ามาหาผมอีก ด้วยอาการหางตก ตาเศร้า ร้องงื้ดๆ มันนั่งลงยกขาหน้าสะกิดผม ราวกับว่ามันสำนึกผิดและมาขอโทษ

“ลูกจะไม่ดีกับมันหน่อยหรือจ๊ะ อุตส่าห์มาง้อแล้ว” เสียงแม่ดังมาจากบนชาน ถือทัพพีตักข้าวยืนยิ้มอยู่
 
ผมเอื้อมมือไปลูบหัวมัน ก่อนจะกอดมันไว้พรางกระซิบ “เอ็งอย่าจำวันเลว ๆ ของข้าเอาไว้เลยไอ้รอด”

ไอ้รอดมันเปลี่ยนแปลงไปจนผมรู้สึกได้เมื่อเข้าวัยหนุ่ม มันไม่ค่อยเห่าเหมือนไอ้แดงอีเขียวที่เห็นใบตองไหว มันชอบตามดูผมตลอดไม่ว่าจะให้อาหารเป็ด ไก่ หรือเอาไอ้กว้างไปกินหญ้าในทุ่ง

บรรดาเพื่อนบ้านเคยแวะเวียนมากินเหล้ากับพ่อ มีธุระกับแม่ แม้กระทั่งเพื่อนของผม ต่างพากันหวาดกลัวมัน ใครถือวิสาสะหยิบฉวยของในบ้านเป็นเจอดีทุกราย ต้องร้องห้ามกันวุ่น ไอ้รอดมันหวงของ

ใกล้ฟ้าสาง เสียงไอ้รอดเห่าขรม ปลุกคนทั้งบ้านให้ตื่น ต่างรู้สึกแปลกใจ มันไม่เคยเห่าแบบนี้มาก่อน พ่อคว้าไฟฉายเดินนำหน้า ส่องไปที่คอกควาย เห็นมันเห่าไอ้กว้างและร้องงื้ดๆ ทำทีว่าจะปลุกไอ้กว้างให้ลุกขึ้น ผมมองดูภาพนั้นน้ำตาคลอ ไอ้กว้างจากครอบครัวผมไปแล้ว

พ่อกับผมช่วยกันขุดหลุมฝังไอ้กว้าง ขอแรงเพื่อนบ้านมาช่วยกันลากศพลงหลุม โดยมีแม่จับไอ้รอดไว้ เพื่อนพ่อคนหนึ่งถามถึงเขาไอ้กว้าง พ่อว่าฝังไปก่อนแล้วค่อยมาขุดเอาทีหลัง

รุ่งขึ้นอีกวัน เมฆฝนก่อตัวตั้งแต่บ่าย มาตกเอาตอนเลิกเรียนพอดี กว่าผมจะกลับถึงบ้านก็จวนค่ำ ผมเห็นพ่อกับแม่นั่งคุยอยู่ใต้ถุนบ้าน มีไอ้รอด ไอ้แดง อีเขียวนั่งเรียงหน้ากระดาน รับ “ข้าวตู” จากมือแม่ไปตุงอยู่ในกระเพาะ ส่วนผมสิ “ไส้แห้ง”

“ลูกรู้หรือเปล่า วันนี้ไอ้รอดมันต้อนเป็ดให้แม่” แม่อวดไอ้รอดกับผม เริ่มที่ฝนซาเม็ดในตอนเย็นเป็ดของแม่ยี่สิบตัวไม่ยอมกลับเข้าเล้า มัวเพลินไล่กินกบ เขียด แมงเม่าอยู่ในสระบัว จนแม่ต้องลงไปไล่ มีไอ้รอดตามไปยืนดู สงสัยว่าแม่ทำอะไร ก่อนจะร้องงื้ดๆขยับตัวทำท่าจะลงสระ แม่เห็นจึงแกล้งเรียกให้ลงมาช่วยกัน  มันกระโจนลงไปไล่ต้อนจริงๆ จนเป็ดขึ้นจากสระ แต่ยังลังเลอยากกลับลงสระใหม่ โดยเฉพาะไอ้หัวเขียวตัวผู้จ่าฝูง ไอ้รอดไม่ปล่อยให้ทำแบบนั้น รีบไปดักหน้าดักหลัง ต้อนซ้ายต้อนขวา ไอ้หัวเขียวจำต้องพาลูกฝูงกลับเข้าเล้าไปอย่างหัวเสีย

“แม่ให้รางวัลมันหรือครับ” ผมถามขณะเข้าไปเล่นหัวกับพวกมันทั้งสามตัว “แล้วทำไมแม่ต้องให้ไอ้แดงอีเขียวด้วย มันไม่ได้ช่วยสักหน่อย”

“เอกเอ๊ย…” เสียงพ่อแทรกขึ้นมา “คนเรายังคิดอิจฉาตาร้อนกันเลย ทำไมหมามันจะไม่นึก ลูกอยากให้ไอ้แดงอีเขียว ไปเกิดเป็นคนขี้อิจฉาหรือไง”

พ่อพูดเสียจนผมนึกภาพออก คงจะเหมือนตัวอิจฉาในละคร “ดาวพระศุกร์” แน่ๆเลย ผมไม่ให้ไอ้แดงอีเขียวเป็นหรอก ชอบแกล้ง “ดาวพระศุกร์” ของผมอยู่เรื่อย แม่ชอบดูมากพาผมไปด้วยทุกครั้ง ที่ร้านค้าประจำหมู่บ้าน พอได้เวลาชาวบ้านจะมามุงดูกันเต็ม กับโทรทัศน์ขาวดำใช้แบตเตอร์รี่เครื่องแรกของหมู่บ้าน

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกได้ ดูพ่อจะคอยคัดท้ายเรือผมอยู่เสมอ ยามผมหันหัวเรือเข้ารกเข้าพง
       
หน้านา จะมีการขอแรงลงแขกดำนา หมุนเวียนกันไปจนถึงคิวบ้านผม ซึ่งจะต้องทำอาหารคาวหวานไปเลี้ยงแขก

แม่ง่วนอยู่ในครัวถึงเพลโดยมีผมเป็นลูกมือ จึงหาบกระจาดใส่อาหารไปเลี้ยงแขกใต้ต้นกระโดนใหญ่ ผมหิ้วกระติกน้ำตามไป ดูผู้ใหญ่ทุกคนมีสีหน้ายิ้มแย้มแม้เหงื่อจะหยดย้อย ผมได้เล่นกับเพื่อนๆที่ตามพ่อแม่มา มีไอ้แดงอีเขียวมาวิ่งวุ่นอยู่ด้วย ส่วนไอ้รอดไม่ได้มาร่วมกลุ่ม มันนั่งมองทุกคนสงบนิ่งบนอยู่คันนา
เวลาผ่าน ต้นข้าวใบเขียวชอุ่ม พ่อมีเวลาว่างชวนผมไปลงเบ็ดตอนโพล้เพล้ ยิ่งเป็นวันโกนด้วย พ่อว่าปลาจะกินเบ็ดดี มีไอ้รอดตามดูอยู่ตลอดไม่ว่าจะปักเบ็ดที่ไหน แต่นั่นกลับเป็นผลดี พอปลากินเบ็ดดิ้นโผงผาง มันจะวิ่งนำหน้าไปหาก่อน ถึงตรงนี้แล้ว ผมรู้สึกรักและผูกพันกับไอ้รอดจนแยกไม่ออก

วันนี้ ผมมีครอบครัวแล้ว มีลูกสองคนชายเจ็ดขวบหญิงห้าขวบ บ้านนาแห่งท้องทุ่งเปลี่ยนแปลงไป มีถนนลาดยางมาถึง แสงไฟฟ้าส่องสว่าง รถไถนามากขึ้น วัวควายเหลือน้อยเต็มที
 
ผมเตรียมออกไปถากหญ้าไร่มันสำปะหลัง สะพายย่ามใบเก่าของพ่อที่แม่คอยดูแลปะชุน ภรรยาของผมเตรียมข้าวมื้อกลางวัน ห่อด้วยใบบัวมัดด้วยตอก น้ำฝนกรอกใส่ขวดไว้เต็ม แต่ไม่มียาเส้นใบจากที่คร่าชีวิตพ่อผมไป

เขาไอ้กว้างแขวนติดอยู่เหนือประตูรั้วบ้านให้ระลึกถึง ไอ้แดงอีเขียวมาตายไล่ๆกันด้วยโรคชรา ถัดจากนั้นอีกสามปี ไอ้รอดก็มาจากผมไปเช่นเดียวกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทำให้ผมเชื่อใน “ความเชื่อ” ของปู่สอนพ่อ และพ่อสอนผม ไอ้รอดมันไปเกิดเป็นคนแล้ว ป่านนี้คงเลี้ยงเป็ดอยู่ที่ไหนสักแห่ง หรือกำลังตกปลาอยู่ ไม่ก็คอยระวังว่าใครจะไปขโมยของๆมัน

เย็นย่ำใกล้ค่ำ

ผมกลับจากไร่มันสำปะหลัง เห็นลูกชายลูกสาวกำลังเล่นกับทายาทไอ้รอดรุ่นหลาน ยังมีเหลนเล็กๆอีกสองตัว ช่วยให้ผมหายคิดถึงมันได้บ้าง

“พ่อครับ ลุงสีเอารถไถมาให้พ่อซ่อมแน่ะ” 

“พ่อคะ เครื่องสูบน้ำน้านึกด้วยค่ะ”

ผมพยักหน้ารับรู้ และภูมิใจกับความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา คงถึงเวลาสักที ลูกๆจะได้รับการถ่ายทอด “ความเชื่อ” ในแบบของผม เหมือนที่พ่อคิดไว้ในแบบของพ่อ จากคำบอกเล่าของแม่ หลังพ่อเสียชีวิตลง

“ลูกๆมาให้พ่อกอดหน่อย พ่อมีอะไรจะเล่าให้ฟัง”

-จบ-

หมายเหตุ : ละครเรื่อง “ดาวพระศุกร์” สมัยนั้น คู่พระ-นางเป็นคุณพล พลากรกับคุณมนฤดี ยมาภัย  (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ).
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ เมษายน 26, 2013, 08:11:24 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๙๒
วันที่ ๒๕ พ.ย. – ๕ ธ.ค.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


จดหมายจากภูเก็ต
ภูเก็ต

เรียนคุณเฒ่า ที่นับถือ

ผมติดตามรายการของคุณทางหนังสือนะโม มานานมากแล้ว อยากจะขอถามดังนี้

๑.ตะกรุดของหลวงพ่อกวยที่ลงในนะโมว่า “ตะกรุดแม่ทัพ” นั้น แท้จริงเรียกว่าอะไร คือตะกรุดมหากาฬ หรือว่าตะกรุดโทน

๒.คุณปลัดของหลวงพ่อเราใช้คาดเอวแล้วที่คอแขวนพระเครื่อง(ของหลายอาจารย์) จะได้หรือสมควรแค่ไหน

ขอให้ตอบในนะโมนะครับขอขอบคุณ

วิชัย

ตอบตอบคุณวิชัย

๑.ตะกรุดดอกเดียวของหลวงพ่อ เรียกว่าตะกรุดโทนครับ ยันต์หลักของหลวงพ่อคือยันต์มหากาฬครับ จึงเรียกอีกอย่างว่าตะกรุดมหากาฬ แต่จริง ๆ แล้วในตะกรุดผมก็ไม่เห็นว่าท่านจารยันต์อะไรครับ ส่วนตะกรุดแม่ทัพ ต้องมี ๒ ดอกดอกเล็กอยู่หน้า ดอกใหญ่อยู่หลังครับ

๒.ตามความเห็นของผมที่คอคล้องพระ เอวคาดปลัด ผมว่าไม่เป็นไรครับ เพราะอยู่คนละที่กัน ไม่น่ามีปัญหาครับ

โชคดีครับ

ฒ.สุพรรณ


จดหมายคุณณรงค์ศักดิ์ ทองเล็ก
 แหลมหญ้ารีสอร์ท

ถึงลุงเฒ่าที่เคารพ

เมื่อวันที่ ๒๓ ต.ค.๒๕๓๔ นี้ ผมเดินทางไปอรัญกับพ่อเพื่อไปซื้อของที่ฝั่งเขมร สินค้าที่ห้ามนำเข้ามาในไทยมีหลายชนิด เช่น เครื่องลายครามโบราณ และที่สำคัญคือ “บุหรี่และกระเทียม” ตอนกลับพ่อผมซื้อกระเทียมมา ๓ กระสอบ เรากลับกันอีกทางหนึ่งซึ่งไม่ใช่ทางตอนมา เพื่อหลบหลีกด่านตรวจซึ่งมีหลายด่าน แต่ทางที่เรามากันนี้ก็มีด่านตรวจอีก เพราะเขาคอยเข้มงวดกันมากเกี่ยวกับเรื่องกระเทียมกับบุหรี่ ผมรู้สึกใจไม่ดีเลย เพราะกระเทียมนี้เขาให้ผ่านได้แค่กิโลสองกิโล แต่ของผมมีตั้ง ๓ กระสอบ กระสอบหนึ่งมีตั้งสิบกว่ากิโล ที่แน่ ๆ คือ ถูกยึดหมดเงินที่ซื้อไปก็สูญเปล่า

ด่านนี้เป็นด่านของพวก ตชด. พวกนี้จะไม่กินสินบน พวกเขาจะทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด ซึ่งผิดกับพวกตำรวจชอบกินสินบน

เขาบอกกับพ่อผมว่า จะยึดหมด ๓ กระสอบ พ่อผมอ้อนวอนก็แล้ว ให้สินบนก็แล้ว เขาก็ไม่ยอม เขาบอกทำตามหน้าที่ ผมนั่งอยู่หน้ารถ ผมมองไปที่รูปหลวงพ่อที่ลุงเฒ่าให้มา ผมนำไปติดไว้หน้ารถ ผมทำจิตใจให้สงบนึกถึงหลวงพ่อขอให้ช่วยด้วย ปรากฏว่าเขาเอาไป ๒ กระสอบ และเหลือไว้ให้ผม ๑ กระสอบ พ่อผมถามเขาว่า กระสอบที่เหลือนี่ด่านที่เหลือเขาจะยึดไปไหม ถ้าตรวจเจอ เขาบอกว่าไม่รู้ ผมก็นึกถึงหลวงพ่อทุกด่าน ในที่สุดก็ผ่านมาตลอด ผมนึกเสียดายที่ถูกยึดไป แต่ก็ยังดีที่มีเหลืออยู่ดีกว่าไม่ได้เลย

ผมเชื่อว่าหลวงพ่อต้องช่วยผมแน่ ๆ เลย เพราะที่จริงแล้วเขาต้องยึดหมด แต่เขากลับเหลือไว้ให้ ถ้าลองนับถือท่านศรัทธาท่านอย่างจริงใจแล้ว ท่านต้องช่วยเหลือแน่ครับ ผมนับถือท่านเป็นครูบาอาจารย์ของผมเลยครับ ถ้ามีประสบการณ์ผมจะเล่ามาอีกนะครับ

สุดท้ายนี้ขออำนาจคุณบารมีของหลวงพ่อศรี หลวงพ่ออิ่ม หลวงพ่อเคน และพระเดชพระคุณของหลวงพ่อกวย จงคุ้มครองให้ลุงเฒ่าและครอบครัว จงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ

ด้วยความเคารพ

ณรงค์ศักดิ์  ทองเล็ก



จดหมายจากวัดโฆสิตาราม
ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท

เจริญพรโยมเฒ่า สุพรรณ

อาตมาภาพ พระสำรวย มีเรื่องจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับรูปถ่ายขาวดำชนิดเล็กห้อยคอ ออกในงานฝังลูกนิมิต ดังนี้ คือคุณขันติ วชรัตน์ บ้านอยู่ ๒๔๒/๑๐ ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม คุณขันติเล่าว่า ขณะนั่งคอยรถเมล์อยู่ ลูกชายเกิดหล่นจากที่พักผู้โดยสาร หัวทิ่มอย่างแรง โดนปูนซีเมนต์ข้างล่าง แต่ไม่เป็นอะไร ในคอคล้องรูปเล็กหลังจีวรอย่างเดียว

อีกเรื่องหนึ่งคือ หลานคุณขันติ ไม่สบาย ถ่ายท้องไม่หยุด กินยาก็ไม่หาย คุณขันติก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงอาราธนารูปถ่ายเล็กหลังจีวร ให้คล้องคออาการป่วยคือท้องเดินดังกล่าวหายเป็นปลิดทิ้งเลย ไม่น่าเชื่อ คุณขันติพูดว่าหลวงพ่อกวยนี่ศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ

เจริญพร

พระสำรวย อฺคฺคปัญโญ


ผึ้งหลวงพ่อ

หลวงพ่อกวยท่านรักธรรมชาติ รักต้นไม้ รักสัตว์ชอบเลี้ยงสัตว์ตามธรรมชาติ คือปล่อยให้มันอยู่เอง มีงูเหลือม เต่า ไก่ต๊อก ไก่แจ้ ลิง นก สุนัข เลี้ยงไว้ยันผึ้ง คือผึ้งที่หลวงพ่อเลี้ยงนี้ เขาจะมาอยู่เอง หรือหลวงพ่อเรียกด้วยอาคม อันนี้ไม่รู้ แต่เป็นผึ้งหลวง รังใหญ่ ตัวโต เขาอยู่ในกุฏิด้านในสุดของหลวงพ่อ คอยดูแลวัตถุมงคล คืออาจมีคนขาดความเกรงใจ เข้าไปหยิบฉวยของหลวงพ่อผึ้งนี้จะต่อย เรียกว่ารุมต่อย ถ้าหลวงพ่อเข้าไปด้วยเขาจะไม่ต่อย คือหลวงพ่อเลี้ยงสัตว์ด้วยความเมตตา และหลวงพ่อรู้คาถาหัวใจของสัตว์แทบทุกชนิด สามารถสะกดไว้ และสามารถถ่ายทอดอำนาจจิตสู่สัตว์ทุกชนิดได้

สมัยที่หลวงพ่อยังสักอยู่มีลูกศิษย์สักอยู่คนหนึ่งชื่อ เร่ง เมฆสารท ชื่อจริง นามสกุลจริง เป็นคนทางวัดฝาง จังหวัดชัยนาท เมื่อสักเสร็จ หลวงพ่อก็ชวนคุยด้วย หลวงพ่อได้เป่าหัวให้ ขณะที่นายเร่งกำลังเผลอ หลวงพ่อได้ฟันนายเร่ง ฟันด้วยความแรง ปรากฏว่าไม่เข้าเลย แล้วหลวงพ่อก็ชี้ให้นายเร่งดูรังผึ้งในกุฏิท่าน หลวงพ่อได้พูดว่า“มึงเข้าไปกินหัวน้ำผึ้งดูสิ กูเสกทุกวัน” แล้วหลวงพ่อก็บอกคาถาหัวใจผึ้ง หัวใจต่อ แตน คือ“มิ มิ” ให้นายเร่งไปเป่าที่หัวน้ำหวานผึ้ง ผึ้งก็จะเบิกคือหนีออกไป นายเร่งก็คนจริง อาจารย์จริง ศิษย์ก็จริงเช่นกัน ได้เข้าไปว่าคาถาสะกดผึ้งปรากฏว่าผึ้งได้หนีไปรวมกลุ่มอยู่ที่รัง แต่ก็มีหลายสิบตัวไม่ยอมหนี เข้าใจว่าสะกดไม่ลงหรือสะกดจนหนีไม่ได้ นายเร่งเลยหยิบเอาหัวน้ำหวานผึ้งพร้อมตัวที่ไม่ยอมหนี เอามาเคี้ยวกินแล้วเดินออกมาหาหลวงพ่อ หลวงพ่อได้พูดว่า“ไอ้เร่ง มึงกินผึ้งทั้งตัวเข้าไปได้ยังไง อ้าปากซิ”พอน่ายเร่งอ้าปาก สิ่งอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น คือผึ้งที่นายเร่งเคี้ยวกินเข้าไปแล้ว บินออกมาจากปากนายเร่ง ตกสิบกว่าตัว แปลกมาก นายเร่งนับถือหลวงพ่อจับใจ พูดว่าหลวงพ่อกวยนี้เก่งจริง ๆ ในวันนั้นก่อนจะลากลับหลวงพ่อยังได้หยิบเหรียญรุ่น ๑ ให้นายเร่งไป ๑ องค์ วันหนึ่งนายเร่งไปมีเรื่องกับอันธพาลที่ตลาดชัยนาท ตอนกลางคืน โดนขับยิงไม่ออกเลย ปัจจุบันนายเร่งยังมีชีวิตอยู่ บ้านอยู่ทางวัดฝาง จังหวัดชัยนาท ทำงานอยู่ที่เจ้าพระยาค้าไม้

ทีนี้เล่าเรื่องผึ้งของหลวงพ่อต่อ ผึ้งหลวงพ่อรังนี้เมื่อหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว เขาได้จากไปไม่ทราบแน่ชัดว่าอยู่ที่ไหน แต่ถ้ามีการบวชนาคคือบวชพระ ถ้ามีคนไม่เคารพหลวงพ่อ เอาเหล้ามาวนโบสถ์ คือเมาเหล้าเข้ามาในวัด แล้วถือขวดเหล้าวนโบสถ์ละก็ เขาจะมาตักเตือนสั่งสอนทุกครั้ง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เขาจะต่อยไม่เลือกไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ แม้ปัจจุบันนี้ก็ยังคงความศักดิ์สิทธิ์เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ เมษายน 26, 2013, 08:13:05 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๙๓
วันที่ ๕ ธ.ค. – ๑๕ ธ.ค.๒๕๓๔
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


โรงเรียนวัดไผ่รอบ หมู่ ๘ ต.ไผ่รอบ อ.โพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตร ๖๖๑๙๐

เรียนอาจารย์เฒ่า ที่เคารพ

ผมคนหนึ่งที่ได้จุดธูปบอกขอเป็นศิษย์กับหลวงพ่อกวย ที่ผมนับถือมากองค์หนึ่ง และปัจจุบันผมก็ใช้พระสมเด็จฐานสิงห์ของหลวงพ่อ และเหรียญติดตัวเป็นประจำ พบกับประสบการณ์มากมาย ส่วนใหญ่เป็นทางเมตตาและแคล้วคลาด ความเหนียวก็เคยประสบมาครั้งหนึ่งในช่วงฤดูฝนลื่นและตกลงไปในร่องน้ำด้วยความตกใจมือก็คว้าไปที่สังกะสีซึ่งเป็นรั้วกั้นอยู่ อาจารย์เชื่อไหมครับว่ามือผมข้างนั้นยุบไปตามความคมของสังกะสีเลย ผมนึกว่าคงได้เลือดเสียแล้ว แต่ไม่มีเลือดแม้แต่นิดเดียว เป็นแค่รอยเส้นของสังกะสีเท่านั้น และผมก็มี เหรียญรูปโล่ ติดเชือกร่มเพียงเหรียญเดียวเท่านั้น วัตถุมงคลของหลวงพ่ออื่นไม่มีเลย ตั้งแต่วันนั้นมาทำให้ผมเคารพนับถือในหลวงพ่อกวยมากเลยครับ อยากมากราบรูปหล่อหลวงพ่อสักครั้งแต่ก็ไม่มีโอกาส เรื่องภูตผีนั้นวัตถุมงคลของหลวงพ่อแน่มากครับ ไม่รู้ว่าอะไรคอยมากวนลูกชายผมเวลานอน พอหลับตาเขาจะร้องโวยวายว่าไม่เอา ไม่เล่นแล้วเลิกแล้ว ทีแรกก็คิดว่าลูกผมแกล้ง ก็เขย่าแกก็ลืมตาขึ้นถามว่าเป็นอะไรลูก แกตอบว่าเขามาชวนไปเล่นด้วยทั้ง ๆ ที่ตัวแกก็ยังไม่หลับดีนะครับ แค่พอหลับตาจะเคลิ้ม ๆ เท่านั้น เป็นอย่างนี้หลายครั้งหลายหนในคืนเดียวกัน ผมเลยจุดธูปบอกหลวงพ่อกวยแล้วนำ เอาเหรียญที่ออกวัดเขาใหญ่คล้องคอให้ปรากฏว่าเงียบเลยครับ หลับยันเช้าเลย

ด้วยความนับถือ

สุเนตร พินิจสงคราม



แดนอาถรรพณ์

แดนอาถรรพณ์ คือดินแดนหรือถิ่นที่เต็มไปด้วยสิ่งลี้ลับ หรือภัยมืด คล้าย ๆ แดนสนธยา ซึ่งไม่มีใครยอมรับอย่างเต็มปากหรือไม่มีใครปฏิเสธอย่างเต็มเสียง เช่น ถ้าเราจะพูดถึงพรายน้ำ พรายไม้ เมืองลับแล หรือผีบังบด การพูดถึงสิ่งเหล่านี้ ถ้าพูดกันในเมืองอาจมองดูเป็นเรื่องสนุกตื่นเต้น แต่ถ้าพูดกันในป่าเขา ในถ้ำ เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องตลกเลย เล่ากันว่าจิตวิญญาณของพรายน้ำ นางไม้ ผีบังบด หรือเจ้าป่าเจ้าเขานี้ เป็นจิตวิญญาณที่กล้าแข็งกว่าคนรุ่นนี้ เพราะจิตวิญญาณเหล่านั้นได้ตายมานานแล้ว บางพวกยังอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติด้วยซ้ำ

เขาว่าอำนาจจิตของพวกเจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าถ้ำ พรายน้ำ พรายไม้หรือนางไม้ ผีบังบด ฯลฯ นี่ เวทมนต์คาถาธรรมดาไม่อาจที่จะต่อสู้ได้หรือป้องกันได้ ต้องใช้ของอาถรรพณ์ด้วยกันเข้าแก้หรือป้องกัน เช่น มีดหมอ ผ้ายันต์ท้าวเวสสุวัณ หรือไม่ก็ต้องอัญเชิญครูบาอาจารย์ให้ช่วย หรือเรียกอาจารย์ให้ช่วย จึงจะแก้อาถรรพณ์ได้

เกี่ยวกับเรื่องที่หลวงพ่อถอดจิตไปช่วยศิษย์ มีหลายครั้งหรือเรื่องที่หลวงพ่อส่งจิตไปช่วยศิษย์ก็มีเช่นกัน เรื่องเกี่ยวกับการส่งจิตไปช่วยศิษย์นี้ เป็นเรื่องที่แสดงถึงความมหัศจรรย์ทางจิตของหลวงพ่อ ซึ่งสมควรบันทึกเอาไว้ นายเปี๊ยก เกิดแก้ว บ้านอยู่วังคูลา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ไปได้ครอบครัวที่ข้างวัด ดงชะอม อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี เคยไปทำไร่ที่จังหวัดอุทัยธานี เขาไปธุระที่ตลาด ขากลับบ้านปรากฏว่ามืดเสียก่อน ถิ่นที่นายเปี๊ยกทำไร่อยู่ เดิมเขาว่าเป็นเมืองลับแล มีคนเดินหลงทางเป็นประจำ แต่นายเปี๊ยกเขาไม่กลัวเพราะเขาชำนาญทาง ประกอบกับเป็นไร่ของเขาด้วย ของคนอื่นด้วย แต่เคยเห็นจำได้ แต่คืนนั้นนายเปี๊ยกพาภรรยามาด้วย ปรากฏว่าเดินหลงทางวนเวียนอยู่ในไร่ หาทางออกทางเข้าไม่เจอ เดินอยู่จนดึกดื่น เมื่อยล้าไปหมด แต่ก็เข้าไร่เข้าบ้านตัวเองไม่ได้ นายเปี๊ยกหมดหนทางนั่งลงพักกับภรรยา ๒ คน เพราะความเมื่อยล้า เหนื่อยอ่อน พอดีนึกขึ้นได้ว่าอาจโดนผีบังบด หรือเจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าที่เจ้าทาง ทำภาพลวงตาตนไม่ให้กลับบ้านถูกเป็นแน่ พอคิดได้อย่างนั้น นายเปี๊ยกเลยหยิบรูปถ่ายหลังจีวรออกมา พนมมือระลึกถึงหลวงพ่อกวย วัดบ้านแค ผู้เป็นอาจารย์ บอกเล่าว่าถึงคราวตกอับแล้ว ขอเชิญหลวงพ่อช่วยลูกด้วย พออาราธนาระลึกถึงสักครู่ อัศจรรย์มีแสงประหลาด เป็นแสงสว่างพุ่งขึ้นจากพื้นดิน เป็นแนวเอียงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทางขวามือนายเปี๊ยกแสงนี้มีสีนวล พุ่งขึ้นอยู่นานคล้ายแสงจากไฟฉาย พอนายเปี๊ยกเห็นแสง แกมีอาการขนลุกนั่งนิ่งตกใจอยู่นาน พอได้สติจึงนึกได้ว่าต้องเป็นเพราะหลวงพ่อกวยส่งจิตมาช่วยเป็นแน่ จึงพาภรรยาลุกขึ้นเดินตามทิศทางของแสงนั้น แล้วแสงก็ค่อย ๆ หายไป พอเดินมาได้ไม่นานก็จำได้ว่าเป็นไร่ของตน จึงกลับเข้าบ้านได้ นายเปี๊ยกเล่าว่าถ้าไม่ได้หลวงพ่อกวย ผมแย่แน่ ๆ สงสัยเจ้าป่าจะแกล้งทำให้หลงทาง เกี่ยวกับหลวงพ่อส่งจิตไป หรือไปปรากฏตัวให้เห็นนี้ จะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป เล่าเรื่องนายเปี๊ยกต่อ ครั้งหนึ่งแกไปธุระที่บ้านวังคูลาบ้านเกิดของเขา ขากลับโดนพวกลักยิงในระยะประชิด ๒ นัดหงายท้องลงไปคลุกฝุ่น ไม่ตาย เมื่อตรวจดูบาดแผลตรงหน้าอกมีรอยลูกปืน ๒ แห่ง ตะกั่วด้วย ๒ เม็ด ไม่เข้าเลย แต่มีรอยช้ำเล็กน้อย ตอนนั้น นายเปี๊ยกมีเหรียญหนุมานติดตัวเพียงเหรียญเดียว ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ รอยลูกปืนก็ยังอยู่ทั้ง ๒ รอย บ้านอยู่ใกล้วัดดงชะอม

ก็ขอจบเรื่องแดนอาถรรพณ์ไว้แต่เพียงเท่านี้ ถ้าศิษย์ของหลวงพ่อ จำเป็นจะต้องเข้าป่าเข้าดง ในยามค่ำคืน สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือมีดหมอ ผ้ายันต์ท้าวเวสสุวัณ วัตถุมงคลของหลวงพ่อ หรือคาถาอาวุธ ๕ แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ สวดมนต์ระลึกถึงหลวงพ่อ ขอบารมีของหลวงพ่อคุ้มครองในยามค่ำคืนด้วย จะดีที่สุด

คาถากำกับ ใช้คาถาอาวุธห้าประการตามเเบบของคุณพ่อเดิม วัดหนองโพ

สักกัสสะวชิราวุธธัง เวสสุวัณณัสสะคธาวุธธัง ยะมะนัสสะนัยยะนาวุธธัง อะฬะวะกัสสะทุสาวุธธัง นรายัสสะจักราวุธธัง ปัญจะอาวุธธานัง เอเตสังอานุภาเวนะ ปัญจะอาวุธธา ภัคคะ ภัคคา วิจุณณัง วิจุณณาโลมังมาเมนะ ผุสสันติ

เข้าป่า เข้าไพร ก่อนนอน เอามีดหมอออกจากฝัก ปักไว้บนดิน ตรงหัวนอน กันภูตผีปีศาจ สัตว์ร้าย เจ้าป่าเจ้าเขารบกวนลงน้ำยามค่ำคืน ชักมีดออกจากฝัก ลุยน้ำ หรือถ้าว่ายหรือดำน้ำ ใช้ปากคาบมีดไว้ กันผีน้ำ ผีพรายเจอผี คุณไสย หลอกหลอน ชักมีดออก ว่าคาถา ฟันมีดไปตรงรูปที่เห็นหรือเสียงที่ได้ยิน สิ่งนั้นจะหายไปเจอคนถูกผีเข้า คนถูกของ ชักมีดออกว่าคาถาไล่ สู้กับปืนอย่าชักมีดออก มีดอยู่ในฝัก ปืนจะยิงไม่ออก
เป็นวิธีใช้พอคร่าวๆตามที่ได้ยินมาจากศิษย์เก่าๆ


คาถาพระพุทธเจ้าชนะมารใช้ภาวนาป้องกันภัยอันตรายทั้งปวงฯ คาถาพระพุทธเจ้าชนะมารศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก


ตั้งนะโม 3 จบ แล้วภาวนา พระคาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร ดังนี้


ปัญจะ มาเร ชิโน นาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง


จะตุสัจจัง ปะกาเสติ ธัมมะจักกัง ปะวัตตะยิ


เอเต สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชะยะมังคะลัง

 
พระคาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร หมั่นภาวนาเป็นประจำสามารถใช้เป็น คาถาชนะคู่แข่ง จะเป็นมงคลกับชีวิต น้อมรำลึกถึงบารมีพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่มงคลสูงยิ่งนักแล
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ เมษายน 27, 2013, 06:34:15 pm
สุดยอดประสบการณ์ บารมีหลวงพ่อกวยคุ้มครอง ขอบคุณนะครับพี่weerawat26ที่นำเรื่องเล่าประสบการณ์หลวงพ่อกวยมาเผยแพร่ให้ศิษย์รุ่นหลังได้ฟังบารมีหลวงพ่อกวยครับ ;D ;D ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 03, 2013, 08:26:38 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๙๕
วันที่ ๒๕ ธ.ค. – ๕ ม.ค.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


ผ้าป่าอุทิศปี ๒๕๓๕

ในวันที่ ๑๒ เมษายน ขอทุกปี เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงพ่อ คือหลวงพ่อมรณภาพวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๒ เวลา ๗.๕๕ น. ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๒ เป็นต้นมา ทางคณะกรรมการวัด คณะศิษย์ได้จัดงานประจำปี เพื่อระลึกถึงหลวงพ่อ

ในวันที่ ๑๒ เมษายน ทุกปีมีการถวายเพลพระ สวดบังสุกุล กลางคืนมีมหรสพ ในวันนั้น ทางศิษย์จะนำผ้าป่ามาทอดเป็นการระลึกถึงหลวงพ่อ ผ้าป่าที่บนเอาไว้ก็จะนำมาทอดในวันนี้ มีทั้งคนบ้านแค และใกล้เคียงและศิษย์ที่ไกล ๆ พุ่มเล็กพุ่มใหญ่ ไม่ว่ากัน เมื่อนำมาก็นำมาแห่รอบ ๆ รูปหล่อของหลวงพ่อ มีกลองยาวของวัดช่วยแห่ ศิษย์ใกล้ ศิษย์ไกล ศิษย์ใหม่ ศิษย์เก่า จะมารวมกันในวันนี้ แม้จะไม่มีหลวงพ่อแล้ว แต่เขาก็มา มาเพื่อมากราบ มาเพื่อขอพร มาเพื่อแสดงความกตัญญู มาเพื่อบอกว่ายังคิดถึงระลึกถึงหลวงพ่ออยู่เสมอ

ผ้าป่าในปีนี้ จะนำไปสร้างศาลาธรรมสังเวช ซึ่งกำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ เพื่อให้แล้วเสร็จ ในปีนี้ทางวัดได้สร้างเหรียญหลวงพ่อขึ้นมา ๑ รุ่น ถ้านับรุ่นเป็นรุ่นที่ ๔ เป็นเหรียญกลม รูปแบบคล้ายเหรียญรุ่น ๑ แทบทุกอย่าง แต่ใบหน้าต่างกัน มีการบอกเล่าอย่างถูกต้อง ได้ทำการพุทธาภิเษกในวันที่ ๒๐ ก.ค.๒๕๓๔ เวลา ๑๖.๐๙ น. มีพระคณาจารย์นั่งปรกดังนี้ ๑.หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง ๒.หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ๓.หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม ๔.หลวงพ่อเจ๊ก วัดระนาม ๕.หลวงพ่อช่อ วัดฤกษ์บุญมี ๖.หลวงพ่อเป้า วัดถ้ำคีรีวงษ์ ๗.หลวงพ่อปรง วัดธรรมเจดีย์ ๘.หลวงพ่อป่วน วัดโพธิ์งาม ๙.หลวงพ่อป่วน วัดหนองบัวทอง

เสร็จแล้วได้นำไปให้หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม กับหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง ปลุกเสกให้อีก ๑ พรรษา แล้วนำมาให้หลวงปู่พิมพ์ วัดสนามชัย ปลุกเสกต่อ
 
ทางวัดให้ทำบุญบูชาเหรียญละ ๑๐๐ บาท ติดต่ออาจารย์สำรวย อคฺคปัญโญ ติดต่อ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ เป็นต้นไป
 
สำหรับคนที่จะนำผ้าป่ามาทอด หรือทอดสมทบ หรือจะช่วยเป็นกรรมการนำซองไปช่วยกันแจก ถ้าท่านเคยติดต่อไปวัดให้ติดต่อไปที่วัดท่านเคยติดต่อมาที่ผมจะให้ผมช่วยประสานงานให้ ก็ยินดี ปีนี้ใครที่เป็นกรรมการจะแจกเหรียญรุ่น ๔ ให้ กรรมการคนละ ๑๐๐ บาท ถ้าท่านจะให้ผมพิมพ์ชื่อสมทบเป็นกรรมการให้ส่งรายชื่อมาได้เลยช้าที่สุดอย่าให้เกินกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ ส่วนคนรับช่วยแจกซองเล็กไม่กะปัจจัย ก็ให้บอกจำนวนมา เรามีวัตถุมงคลแบบอื่นมอบให้ท่านที่เคยติดต่อไปวัดให้ติดต่อท่านอาจารย์สำรวย อัคฺคปัญโญ เจ้าอาวาสวัดโฆสิตาราม (บ้านแค) ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ๑๗๑๔๐ ถ้าจะติดต่อมาที่ผมให้ติดต่อ เฒ่า สุพรรณ วัดท่าทอง ต.ปากน้ำ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ๗๒๑๒๐ ป.ท.เดิมบาง

สำหรับท่านที่ทำบุญมาสมทบ คือ ทำมาเลยโดยตั้งกองผ้าป่าร่วมกันกับผม ก็ให้นำมาได้เลย ไม่กะเกณฑ์มากน้อย ไม่ว่ากัน มีวัตถุมงคลมอบให้ เมื่อ ๑๒ เม.ย.๒๕๓๔ มีผู้ทำบุญมาสมทบกับผมเป็นเงินผ้าป่าตก ๒๐,๐๐๐ กว่าบาท บางคนทำมาให้รูปของมูลนิธิ แต่ขอรับวัตถุมงคลตก ๖๐,๐๐๐ กว่าบาท ช่วงระยะเวลาที่บอกบุญเพียง ๓ เดือนเศษคือ มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม และถึง ๑๒ เมษายน ยังนึกถึงผู้สร้างพระรอดแจกคือคุณสถาพร ช่างสมบูรณ์ อยู่เสมอ พระรอดที่แจก ๑๒ เมษายน ๒๕๓๔ หลวงปู่หล้าปลุกเสก มีคนนำไปใช้ดีมาก มีคนนำไปตัดรุ้งกินน้ำขาด

สำหรับวัตถุมงคลที่ผมได้ดำเนินการจัดสร้าง และมีคนสร้างมาให้ แล้วผมดำเนินการปลุกเสกเพื่อมอบให้ผู้ทำบุญผ้าป่า ในปีนี้มีดังนี้ ปลุกเสกดีกว่าปีที่แล้วหลายเท่า

๑.พระสิวลี องค์เล็กชนิดคล้องคอมี ๓ แบบ

๒.เหรียญนิรันตราย โภคทรัพย์มี ๒ แบบ

๓.รูปดวงแก้วพระสิวลี ชนิดซีล็อค มี ๒ แบบ แจกฟรี

๔.รูปดวงแก้วพระสิวลี ชนิดพิมพ์คุณสุรวุฒิ แย้มศรี สร้าง

๕.รูปถ่ายขาวดำ (มีน้อย)

๖.หนังสือตำราแก้วสารพัดนึก ถ่ายซีล็อค(มีน้อย)

๗.รูปถ่ายซีล็อค(มีน้อย)แจกฟรี

๘.ตะปูลงอาคม เข้าใจว่าพอแจก แจกฟรี

๙.รูปหลวงปู่หล้า วัดป่าตึง มีเล็กน้อย รูปหลวงปู่อินทร์ วัดฟ้าหลั่ง เชียงใหม่

รายการที่ ๓ คือรูปดวงแก้วพระสิวลีชนิดซีล็อค มีผู้จัดสร้างให้ ๒ คน คือคุณสุรพล ชื่นเย็น สำนักงานเกษตร อำเภอจอมทอง จ.เชียงใหม่ ได้ทำการดำเนินงานปลุกเสกเอาไว้ดีมากรวม ๑๐ ครั้ง อีกคนหนึ่งคือคุณรังสรรค์ โค้ววรวรรณ สำนักงานป่าไม้จังหวัดปราจีนบุรี รูปรุ่นนี้ท่านอาจารย์ตี๋ สำนักสงฆ์เขาเขียวพนาราม ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ศิษย์องค์หนึ่งของหลวงพ่อ ปลุกเสกให้ตลอด ๗ เดือน รูปรุ่นนี้ถ้าท่านต้องการขอมาได้ฟรี ให้สอดซองจ่าหน้ามารูปรุ่นนี้นำไปถวายวัดจำนวนหนึ่งขอขอบคุณคุณสุรพล คุณรังสรรค์ อย่างสูง

รายการที่ ๗ รูปถ่ายซีล็อคจัดสร้างโดยคุณจำนง คล้ายพันปี โรงงานทอผ้า จ.พิษณุโลก ได้ทำแก้บน ไม่มาก เข้าใจว่าไม่พอแจกแน่นอน ปลุกเสกโดยท่านอาจารย์ตี๋ นานตก ๕ เดือน ถ้าท่านต้องการขอมาได้ฟรี เป็นรูปถ่ายของหลวงพ่อ ขอขอบคุณ คุณจำนง อย่างสูง

รายการที่ ๘ ตะปูอาคม คือเมื่อปีที่แล้วปี ๒๕๓๔ ผมได้แจกตะปูตอดเสากันอาถรรพณ์ไป ปรากฏว่าไม่พอแจก จึงได้จัดสร้างใหม่ให้อาจารย์ตี๋ปลุกเสกให้ ๕ เดือน รายการนี้ขอมาได้ฟรี

รายการที่ ๖ ตำราแก้วสารพัดนึกถ่ายซีล็อค เป็นหนังสือพระประวัติของหลวงพ่อ และมีคาถาเล็กน้อย ถ่ายไม่ชัดนัก พออ่านได้มีน้อย ไม่พอแจก มอบให้คนทำบุญเท่านั้น คนที่ไม่ได้ เราจะนำมาลงนะโมให้ใหม่ทั้งหมด คุณสงัด ปัจฉิม สมาคม องค์การสหประชาชาติ จัดสร้างให้ หนังสือนี้มอบให้วัดไปบางส่วน ขอขอบคุณ คุณพี่สงัด อย่างสูง

รายการที่ ๔ รูปดวงแก้วสิวลี ชนิดพิมพ์ จัดสร้างโดยคุณสุรวุฒิ แย้มศรี สร้างได้สวยงามมากมีคาถาอยู่ด้านหลัง นำไปให้อาจารย์ตี๋ปลุกเสกให้ ๕ เดือน อาจารย์ตี๋บอกรูปรุ่นนี้ดีมาก ปลุกเสกตอนหัวค่ำ ตื่นตี ๒ ๓ ๔ นำรูปมาลงจารให้ทุกรูป รูปเป็นพันรูป ท่านจารให้เต็มไปหมด รูปรุ่นนี้ต้องทำบุญมา มากน้อยไม่ว่ากัน ที่ขอฟรีไม่ได้เพราะพับใส่ซองไม่ได้ พับแล้วไม่สวย รูปรุ่นนี้นำไปถวายวัดจำนวนหนึ่ง ขอขอบคุณ คุณสุรวุฒิ อย่างสูง รูปของคุณสวยมาก

รายการที่ ๕ รูปถ่ายขาวดำ รูปรุ่นนี้ เป็นรูปรุ่นพรรษาสุดท้าย นำไปถ่ายใหม่ ด้วยฟิล์มสี เรียกว่ารูปสีซีเปีย จัดสร้างโดยคุณสมพงษ์ พรหมกา ถนนท่าแพ จ.เชียงใหม่ โดยท่านหลวงพ่ออุตตมะ หลวงพ่อลำไย รูปชนิดเล็กใครต้องการขอมาได้ฟรี ชนิดโปสการ์ดขอเอาไว้แจกคนทำบุญ รูปรุ่นนี้ได้ถวายวัดไว้จำนวนหนึ่ง ด้านหลังปั๊มนะฉิมพลี รูปร่างคล้าย ด.เด็ก ปลุกเสกที่วัดพระสิงห์ องเมือง จ.เชียงใหม่ ๙ – ๑๑ ส.ค.๒๕๓๔ มีหลวงปู่หล้าปลุกเสกด้วยขอขอบคุณ คุณสมพงษ์ อย่างสูง

รายการที่ ๒ เหรียญนิรันตราย โภคทรัพย์ เป็นเหรียญสลึงสีทองแบบเหรียญสลึงเล็กจิ๋วสวยงาม เป็นเหรียญขวัญถุงก็ดี พกติดตัวดี ผมจัดสร้างเอง ปลุกเสก ๑๒ ครั้ง พิธีใหญ่ ๒ ครั้ง คือพิธีมังคลาภิเษกกองทัพอากาศจัดสร้างเหรียญที่ระลึก ในการก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ นภพลภูมิสิริ พระคณาจารย์ ๑๐๘ รูปนั่งปรกปลุกเสก ในวันที่ ๙ – ๑๑ ส.ค.๒๕๓๔ พิธีนี้ห้ามนำวัตถุมงคลจากที่อื่นเข้าพิธี แต่จุดธูปบอกกับหลวงพ่อกวย เขาให้เข้าได้แปลกมาก มีหลวงปู่บุญมี วัดสระประสานสุข จ.อุบล ปลุกเสกด้วย

พิธีใหญ่อีกพิธีหนึ่งคือพิธีพุทธาภิเษก รูปหล่อ และรูปบูชาพระพุทธรูปพระเจ้าทันใจ ณ วัดพระนอนหนองผึ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ เหรียญที่ผมมีแจกอยู่มี ๒ แบบ แบบก่อนปลุกเสกโดยหลวงปู่หล้า หลายเดือนหลายครั้งดีมากเช่นกัน เหรียญสลึงทั้ง ๒ แบบ นี้ทำบุญก็ได้ขอฟรีก็ได้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 03, 2013, 08:31:43 am
สุดยอดประสบการณ์ บารมีหลวงพ่อกวยคุ้มครอง ขอบคุณนะครับพี่weerawat26ที่นำเรื่องเล่าประสบการณ์หลวงพ่อกวยมาเผยแพร่ให้ศิษย์รุ่นหลังได้ฟังบารมีหลวงพ่อกวยครับ ;D ;D ;D ;D ;D ;D

ยินดีครับ

ตอนที่ ๒๙๔ ขาดไปอีกตอนแล้วครับ ขออภัยจริง ๆ ครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ พฤษภาคม 03, 2013, 11:36:13 am
ขอบคุณครับพี่เข้ามาอ่านตลอดเลยครับรอฟังเรื่องต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 10, 2013, 09:56:23 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๙๖
วันที่ ๕ ม.ค. – ๑๕ ม.ค.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



อีกคนหนึ่งที่สร้างให้คือ คุณเปีย ศรีราชา ได้สร้างพระสีวลีทรงห้าเหลี่ยม เนื้อผงผสมว่าน เป็นเนื้อผงของหลวงพ่อครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเป็นผงว่านของอาจารย์ขาว วัดบ้านนาเก่า พระของคุณเปียโดยมากมีสีน้ำตาล เนื้อหนึกไม่ค่อยแห้ง แต่แห้งแล้วทนทาน คุณเปียยังได้พิมพ์พระรอดให้เล็กน้อย ยังมีปรกใบมะขาม ปิดตา โสธร อีกเล็กน้อย

อีกคนหนึ่ง คือคุณสงัด ปัจฉิมสุภาคม ทำงานอยู่องค์การสหประชาชาติ คุณพี่สงัดได้ตั้งใจทำอย่างดี ได้แกะแม่พิมพ์ขึ้นเป็นเงินตก ๓,๐๐๐ กว่าบาท โดยใช้เงินส่วนตัว รูปแบบเป็นทรงรูปไข่หน้าตรง ด้านหลังเป็นยันต์พระฉิม ใช้ผงของหลวงพ่อผสมใช้พระธาตุผสม และใช้ผงต่าง ๆ ของคุณพี่สงัดเอง มีหลายอาจารย์คือคุณพี่รู้จักกับช่างหล่อพระ ช่างหล่อพระทำพระนี้โดยมากจะมีผงของหลวงพ่ออยู่ เช่น หล่อรูปหล่อ ๕ นิ้ว แล้วบรรจุผง พอบรรจุผงไม่หมดผงก็เหลือ เช่น ผงของหลวงปู่นาค วัดหัวหิน มีมากเลย พระแก่ผงมาก เลยไม่ทนทานเปราะแตกหักง่าย นอกนั้นยังได้ผสมผงตะไบเหรียญเปียก เป็นโลหะเก่าแก่ที่อยู่บนยอดเจดีย์พระธาตุพนม เหล็กนี้กันและแก้อาถรรพณ์ได้ กันฟ้าผ่าได้ ด้านหลังสิวลีลงพระฉิมพลี(สิวลี) มีรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว หมายถึงฉายาของหลวงปู่หล้า วัดป่าตึง ส่วนนะฉิมพลีเป็นนะพิเศษประจำตัวของหลวงพ่อ

ในพิธีนี้ มีผ้าขอด ขอดด้วยผ้าจีวร เป็นจีวรห่มรูปหล่อหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค มีอยู่สิบกว่าอัน

มวลสารได้จากที่ต่าง ๆ ผสมสร้างวัตถุมงคลโดยย่อดังนี้(ของคุณพี่สงัด จัดสร้าง)

๑.ผงพระธาตุพนม จ.นครพนม ๒.ผงวัดพลับ กทม. ๓.ผงพระฤๅษี ๔.ผงแร่มันปู เกาะล้าน ๕.ผงสังเวชนียสถานสี่แห่งในชมพูทวีป ๖.ผงวัดอัมพวา กทม. ๗.ผงปฐมัง หลวงปู่คง วัดถนนหักใหญ่ จ.นครราชสีมา ๘.ผงบึงพระยาสุเรนทร์ หลวงปู่ทองอยู่ วัดใหม่หนองพะองมอบให้ ๙.ผงใบลาน หลวงปู่ทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง ๑๐.ผงดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี ๑๑.ผงใบโพธิ์พุทธคยา อินเดีย ๑๒.ผงเกสรดอกไม้ จากสถานที่สำคัญหลายแห่ง อาทิ วัดระฆังโฆษิตาราม วัดหลวงพ่อโสธร ๑๓.ผงตะไบพระกริ่ง พระบูชา ๑๔.ผงพระอาจารย์ลี วัดคันสีดาราม จ.ฉะเชิงเทรา ๑๕.ผงวัดกลางบางแก้ว ๑๖.ผงวัดหัวหิน ๑๗.ผงวัดไผ่เงิน กทม. ๑๘.ผงวัดใหม่ช่องลม จ.สมุทรสาคร ๑๙.ผงพระธาตุไชยยา พระปฐมเจดีย์ ๒๐.ชนวนทองพระประธานหลวงพ่อโง่น โสระโย ๒๑.ทรายเสกของหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม

พระที่สร้างในครั้งนี้ได้ตอโค้ดไว้ทุกองค์ ต้องขอขอบคุณผู้สร้างพระทั้ง ๓ คน ไว้เป็นอย่างสูง ณ ที่นี้ด้วย ขอขอบคุณ คุณสมพงษ์ พรหมกา ขอขอบคุณ คุณรังสรรค์ โค้ววรวรรณ ขอขอบคุณ คุณจำนงค์ คล้ายพันปี ขอขอบคุณ คุณสุรวุฒิ แย้มศรี ที่ได้สร้างรูปดวงแก้วพระสีวลีชนิดพิมพ์ ลงทุนสร้างให้อย่างดี

ทีนี้เมื่อสร้างพระสิวลีเสร็จได้ส่งไปให้คุณสุรพล ชื่นเย็น ปลุกเสกให้ ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยพบเห็นมา ได้นำพระเข้าพิธีปลุกเสกให้ถึง ๒๔ ครั้งเป็นพิธีใหญ่ ถึง ๔ ครั้ง พระที่คุณเปีย ศรีราชา กับของคุณพี่สงัด สร้างมีเกศาทุกองค์ แต่ของคุณสถาพร ได้นำเกศาตำผสมในเนื้อเลย จึงมองเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง สำหรับเกศานั้นเป็นเกศาที่ใช้ผสมในการสร้างพระรอดเมื่อปีที่แล้วยังเหลืออยู่ แม้ปัจจุบันก็ยังมีอยู่แต่ห้ามขอ เช่น เกศาหลวงปู่แหวน เกศาหลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรี เกศาพ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง เกศาหลวงปู่สาม วัดป่าไตรวิเวก สุรินทร์ เกศาหลวงพ่อกัสสปมุณี ระยอง เกศาหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ เกศาหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ ฯลฯ หลักฐานการได้มามีจดหมายลายมือของท่านปึกใหญ่ผมได้เก็บเอาไว้ ทีนี้ก่อนสร้างพระสิวลีเพื่อแจกผู้ทำบุญนี้ ผมได้ปรารถนาเอาไว้ ๒ อย่างคือ ๑.อยากให้หลวงปู่หล้า วัดป่าตึง ปลุกเสก ๒.อยากให้หลวงปู่บุญมี วัดสระประสานสุข อุบล ปลุกเสกให้ และอยากได้เกศาผู้มีบุญนำมาผสมเพิ่มให้ดีกว่าเก่า ก่อนสร้างมีคนส่งเกศาหลวงปู่หล้า วัดป่าตึง มาให้ มีคนส่งเกศาหลวงปู่บุญมี วัดสระประสานสุข มาให้ มีคนส่งเกศาหลวงปู่ศรี มหาวีโร ร้อยเอ็ด มาให้ ซึ่งผมไม่เคยคิดหวังว่าจะได้ เพราะท่านทั้ง ๓ นี้น้อยคนที่จะได้เกศาเอาไว้ ยังมีคนส่งเกศาหลวงพ่อองค์อื่นมาให้ผสมอีก เช่น หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม หลวงพ่อสุด วัดกาหลง ฯลฯ

ทีนี้เกศานี้ เขาว่า บางคนมีเกศาหลวงปู่แหวน เกศาครูบาพรหมา วัดพระบาทตากผ้า ฯลฯ เขาว่าเก็บบูชาเอาไว้ จะเป็นพระธาตุ แต่ที่ผมเก็บเอาไว้ดูกี่ทีๆ ก็ไม่เห็นเป็นสักที แต่ที่ประทับใจ สมควรเล่าเอาไว้ คือเรื่องของหลวงปู่สาม วัดป่าไตรวิเวก สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้เมตตาให้เกศามา ๓-๔ ซอง ให้มา ๒ ครั้ง ภายหลังท่านไม่สบายได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ผมได้ไปเยี่ยมท่าน ท่านเป็นพระที่มีใจคอเด็ดเดี่ยว สมเป็นพระปฏิบัติ นั่งตัวตรง ผมได้ถามท่านว่า หลวงปู่ไม่สบายเจ็บมากไหม ทรมานไหม ท่านนั่งเฉย ผมจึงเข้าใจว่าท่านคงหูไม่ได้ยินแล้ว เขาว่าท่านโดนคนเปรตเอาหินทุ่มท่านจนหูเสีย เมื่อถามท่านไม่ได้ยิน ผมได้ลองใหม่ ลอง ๆ ถามทางจิตมั่ง ผมถามท่านในใจ ด้วยคำถามเดิม ท่านตอบว่า “ไม่เจ็บ ไม่รู้สึกเจ็บ กายอยู่ส่วนกาย จิตอยู่ส่วนจิต คนละส่วนกัน เราไม่เอาใจไปจดจ่อมันก็ไม่เจ็บไม่ทุกข์” ตอนหลังผมได้ลากลับมา ผมยังคิดอยู่เสมอว่า พระแบบท่านนี้ สามารถรู้วาระจิตเราได้ หาไม่ได้ง่าย ความจริงศิษย์คุณพ่อมั่น ภูริทัตโต ผมเคารพทุกองค์ถ้าเป็นศิษย์จริง ๆ ผมยังเคารพหลวงปู่ดุลย์ วัดบูรพาราม อาจารย์ของท่านเลย แต่ขอเกศาไปไม่ได้

อาจารย์อีกองค์หนึ่งที่ผมควรกล่าวถึงคือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ หลวงพ่อคูณนี้ถึงจะไม่ใช่พระปฏิบัติแบบในสายคุณพ่อมั่นก็ตาม แต่ถ้าสิ้นท่านผมว่าโคราชก็วังเวงชอบกล หลายปีมาแล้วผมขอเกศาท่าน ท่านให้มาทั้งศีรษะเลย มีก้นบุหรี่มวนโตมาด้วย มีสำลีที่ใช้เช็ดในการปลงผมมาด้วย ทีนี้เมื่อได้เกศามา ผมได้เก็บเกศาเอาไว้เป็นอย่างดี แต่เกศาที่ติดสำลีเอาไม่ออก คือเอาออกไม่หมด ได้ตากแดดแล้วค่อย ๆ เลือกก็เอาออกไม่หมด พอดีผมมีหลานผู้ชายมาบ้าน ผมเลยให้ช่วยเลือกเกศาออกจากสำลี เขาอยู่ ป.๓ – ป.๔ ได้ เขาถามผมว่า“ผมใคร”ผมตอบว่า“ผมพระ” เขาเลือกไป ๆ ก็คุยไปคุยมา เขาถามอีกว่า “เก่งไหม พระองค์นี้” ผมก็ตอบว่า “เก่ง” เขาพูดว่า “ถ้าเก่งจริง ต้องเผาไม่ไหม้”      เขาพูดอย่างนั้น ผมก็ไม่ได้สนใจ มาเจออีกที เขาเอาไม้ขีดมาจุดที่สำลี แปลกมาก สำลีไม่ติดไฟ ได้แต่หดดำไปเฉย ๆ แต่เกศานั้นไม่ไหม้ไฟ โผล่ออกมาพ้นสำลี ซึ่งปกติจะต้องไหม้ทั้งหมด ผมเห็นก้านไม้ขีดถูกจุด ๓ – ๔ ก้าน ผมเลยบอกพัก ๆ ๆ ขี้เกียจเลือกเกศาก็ไม่ต้องเผา เข้าใจว่าแกจะเผาให้ไหม้จะได้ไม่ต้องเลือกเกศาออก ผมมาคิดดูพระองค์นี้ก็ชอบกลอยู่ อยากจะไปกราบท่านสักที เดือนตุลาคม ๒๕๓๔ ผมได้ไปกราบท่าน ไปทางสิงห์บุรี ลพบุรี แยกเข้าอำเภอบ้านหมี่ไปทางโคกสำโรง ไปลำนารายณ์ ไปด่านขุนทด วัดท่านทางเข้าอยู่ติด สภ.อ.ด่านขุนทด เข้าไปสิบกว่ากิโลเมตร ถึงวัดบ้านไร่ มีป้ายแผ่นใหญ่มากติดอยู่ เข้าอำเภอด่านขุนทด เขาใช้ภาษาลาว วัดท่านเจริญใหญ่โต เมื่อเข้าไปกราบ ท่านเห็นลูกชายผม เพิ่งเข้า ป.๑ ท่านถามว่า “มาจากใส เด็กน้อย”ลูกผมก็ตอบว่า“มาจากสุพรรณ”ท่านได้เอ็นดูลูกชายผมพอสมควร เรียกไปเป่าหัวให้ ผมดูวัตถุมงคลมีแต่รูปนั่งยอง ๆ กับรูปสูบบุหรี่ เลยไม่ได้เอาอะไรมา เช่า สีผึ้งมา ๕ ตลับ ๑๐๐ บาท เลยทำบุญกับท่าน ๔๐๐ บาท ท่านถามว่า“ทำบุญมาก จะเอาอะไร” ผมบอกอยากได้เกศา ท่านบอกว่า“ไม่มี มีแต่ขนหัว” ผมเลยขอก้นบุหรี่ ท่านถามว่า“ด่านบ๊อ”ผมตอบไปว่า“ไม่รีบครับ” ท่านได้นั่งยอง ๆ เสกให้นานมาก แล้วว่าคาถาบ้วนน้ำลายใส่ก้นบุหรี่ น้ำลายเหนียวมากเป็นก้อนเลย ผมคิดในว่าหลวงพ่อองค์นี้น้ำลายต้องดี ถ้าได้กินต้องหนังเหนียวแน่ แต่ก็คิดว่าใครจะกล้า เลยกราบลามา ท่านให้พรว่า“โชคดี มีเฮงเด้อ”เรื่องท่านนั่งยอง ๆ นั้น ท่านนั่งของท่านตามสบาย ท่านไม่ชอบหลอกลวงใคร ท่านไม่สนใจด้วยว่า วัตถุมงคลท่านจะขายได้หรือไม่ได้ เขาว่าท่านไม่เลือกรวย เลือกจน เลือกเล็กเลือกใหญ่ บางทีผู้ว่ามากราบท่าน ท่านยังพูดมึงกูหน้าตาเฉย ผมคิดว่าพระอย่างนี้หาได้ยากเหมือนกัน นึกถึงคำพรท่าน ท่านพูดว่า โชคดีมีเฮง ไม่รู้ว่าจะขลังแค่ไหน เพราะคนอื่นที่มากราบท่านก็ไม่เห็นพูดอะไร เลยนึกในใจอยากจะให้ขายของดี
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 14, 2013, 01:32:09 pm
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๙๘
วันที่ ๒๕ ม.ค. – ๕ ก.พ.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



ผงอิทธิเจ

เล่ากันว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม คือความชั่วร้ายย่อมพ่ายแพ้ต่อความดี อำนาจคุณไสยย่อมพ่ายแพ้ต่ออำนาจของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นต้น ในสมัยที่หลวงพ่ออยู่ มีคนโดนคุณโดนของมาหาหลวงพ่อ หลวงพ่อจะรดน้ำมนต์ให้ก็หายได้ เท่าที่พบหลวงพ่อไม่เคยใช้มีดหมอขับคุณขับของจากตัวใครเลย แค่รดน้ำมนต์ก็ออก ส่วนมีดหมอนั้นหลวงพ่อจะให้ไปใช้กันเอง คืออยู่ไกลหลวงพ่อ จึงต้องใช้มีดหมอขับออก ส่วนวิธีการป้องกันคุณกันของของผู้อื่นหลวงพ่อจะให้พระเครื่องเอาไปใช้ พระเครื่องของหลวงพ่อจะมีส่วนผสมของผงวิเศษชนิดหนึ่ง เป็นผงสีขาวซึ่งหลวงพ่อได้เรียกอักขระเลขยันต์เขียนลงบนกระดานชนวน แล้วปลุกเสกอีกทีผงนี้เรียกว่าผงอิทธิเจ จริง ๆ แล้วผงสีขาวนี้มีหลายชนิด เช่น ผงมหาราช ผงปถมัง ผงจินดามณี แต่ผมไม่รู้ดูไม่ออก เลยเรียกรวม ๆ กันว่า ผงอิทธิเจแล้วกัน สามารถกันคุณกันของได้ ทำน้ำมนต์ได้ ต่อไปจะขอบันทึกอำนาจคุณวิเศษของผงวิเศษของหลวงพ่อที่ผสมอยู่ในพระเครื่อง เอาไว้สัก ๑ เรื่อง ศิษย์รุ่นหลังจะได้รู้ว่าขนาดผงที่ผสมพระยังเก่งอย่างนี้ ถ้าเป็นองค์พระแล้วจะดีขนาดไหน

นายสามารถ หมวกอิ่ม บ้านอยู่หนองหิน อ.สรรคบุรี ชื่อจริงนามสกุลจริง ตอนที่มีเรื่องอายุประมาณ ๒๐ ปี ไปทำไร่ที่อำเภอบ้านไร่ จ.อุทัยธานี เกิดไปชอบแม่ม่ายเข้า แม่ม่ายคนนี้มีลูกติด ๑ คน และได้เสียอยู่กินด้วยกัน นายเหม็งผู้เป็นพ่อกับแม่นายสามารถอยากให้นายสามารถกลับมาบวชสัก ๑ พรรษา แต่นายเหม็งจะอ้อนวอนอย่างไร นายสามารถก็ไม่ยอมกลับมาบวช ไม่รู้ว่าแม่ม่ายคนนี้เอาอะไรให้นายสามารถกิน บ้านช่องไม่ยอมกลับ พ่อแม่อ้อนวอนอย่างไรก็ไม่ยอมกลับ ได้อ้อนวอนขอร้องถึง ๓ ครั้ง ก็ไม่ยอมกลับ นายเหม็งได้ระลึกถึงหลวงพ่อกวย ได้มาปรึกษากับหลวงพ่อ หลวงพ่อพูดว่ามันโดนกระทำมันจึงลืมพ่อลืมแม่ นายเหม็งได้ถามถึงวิธีช่วยเหลือลูกชายของตน หลวงพ่อได้เข้าไปในกุฏิหยิบผงอิทธิเจสีขาว ใส่กระดาษห่อมาให้ ๑ ห่อน้อยมาก ได้เอาไปให้นายเหม็งแล้วพูดว่า “ให้เอาผงนี้ใส่บนหัวมัน แต่อย่าให้มันรู้ตัว มันเป็นของต่ำมันจะสู้ของสูงไม่ได้หรอก” เมื่อนายเหม็งกลับไปบ้านก็ชวนภรรยาไปตามลูกชายที่อำเภอบ้านไร่ เมื่อไปถึงก็เข้าไปหาบอกคิดถึงมาก เอามือลูบหลังลูบไหล่ พอเผลอก็แอบเอาผงอิทธิเจใส่มือแล้วลูบผมนายสามารถ แล้วนอนค้างอยู่ ๑ คืน จะเป็นด้วยนายสามารถจะหมดเวรหมดกรรมกับภรรยาแม่ม่าย หรือจะเป็นด้วยผงอิทธิเจของหลวงพ่อกวยสามารถแก้อาถรรพณ์ได้ พอรุ่งเช้านายเหม็งกับภรรยาได้เอ่ยปากชวนลูกชายให้กลับไปบวช นายสามารถเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินตามพ่อแม่กลับทันที มิใยที่ภรรยาจะห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ฟัง เมื่อบวชแล้ว ออกพรรษาแล้ว ก็ไม่ยอมไปบ้านไร่อีกเลย เมื่อมีใครถามถึงเรื่องนี้กับแก แกจะหอร่อ หึหึ บอกว่าไม่รู้ไปหลงอะไรเขา ทำให้หน้ามืดตามัวไปหมด ปัจจุบันนายเหม็งระลึกถึงหลวงพ่อกวยอยู่เสมอ ได้บวชแทนคุณหลวงพ่ออยู่ที่วัดหลวงพ่อ หลวงตาเหม็งพูดว่าหลวงพ่อกวยนั้นเรื่องวิชาทำเป็นทุกอย่าง เว้นแต่จะทำให้หรือเปล่าเท่านั้น

เกี่ยวกับผงนี้ หลังจากหลวงพ่อมรณภาพ ผมได้นำผงของท่านมาสร้างพระรอดแจก พ.ศ.๒๕๓๔ และสร้างพระสิวลีแจก พ.ศ.๒๕๓๕ ในงานผ้าป่า ๑๒ เมษายน
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 17, 2013, 08:57:36 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๙๘
วันที่ ๒๕ ม.ค. – ๕ ก.พ.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



ผงอิทธิเจ

เล่ากันว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม คือความชั่วร้ายย่อมพ่ายแพ้ต่อความดี อำนาจคุณไสยย่อมพ่ายแพ้ต่ออำนาจของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นต้น ในสมัยที่หลวงพ่ออยู่ มีคนโดนคุณโดนของมาหาหลวงพ่อ หลวงพ่อจะรดน้ำมนต์ให้ก็หายได้ เท่าที่พบหลวงพ่อไม่เคยใช้มีดหมอขับคุณขับของจากตัวใครเลย แค่รดน้ำมนต์ก็ออก ส่วนมีดหมอนั้นหลวงพ่อจะให้ไปใช้กันเอง คืออยู่ไกลหลวงพ่อ จึงต้องใช้มีดหมอขับออก ส่วนวิธีการป้องกันคุณกันของของผู้อื่นหลวงพ่อจะให้พระเครื่องเอาไปใช้ พระเครื่องของหลวงพ่อจะมีส่วนผสมของผงวิเศษชนิดหนึ่ง เป็นผงสีขาวซึ่งหลวงพ่อได้เรียกอักขระเลขยันต์เขียนลงบนกระดานชนวน แล้วปลุกเสกอีกทีผงนี้เรียกว่าผงอิทธิเจ จริง ๆ แล้วผงสีขาวนี้มีหลายชนิด เช่น ผงมหาราช ผงปถมัง ผงจินดามณี แต่ผมไม่รู้ดูไม่ออก เลยเรียกรวม ๆ กันว่า ผงอิทธิเจแล้วกัน สามารถกันคุณกันของได้ ทำน้ำมนต์ได้ ต่อไปจะขอบันทึกอำนาจคุณวิเศษของผงวิเศษของหลวงพ่อที่ผสมอยู่ในพระเครื่อง เอาไว้สัก ๑ เรื่อง ศิษย์รุ่นหลังจะได้รู้ว่าขนาดผงที่ผสมพระยังเก่งอย่างนี้ ถ้าเป็นองค์พระแล้วจะดีขนาดไหน

นายสามารถ หมวกอิ่ม บ้านอยู่หนองหิน อ.สรรคบุรี ชื่อจริงนามสกุลจริง ตอนที่มีเรื่องอายุประมาณ ๒๐ ปี ไปทำไร่ที่อำเภอบ้านไร่ จ.อุทัยธานี เกิดไปชอบแม่ม่ายเข้า แม่ม่ายคนนี้มีลูกติด ๑ คน และได้เสียอยู่กินด้วยกัน นายเหม็งผู้เป็นพ่อกับแม่นายสามารถอยากให้นายสามารถกลับมาบวชสัก ๑ พรรษา แต่นายเหม็งจะอ้อนวอนอย่างไร นายสามารถก็ไม่ยอมกลับมาบวช ไม่รู้ว่าแม่ม่ายคนนี้เอาอะไรให้นายสามารถกิน บ้านช่องไม่ยอมกลับ พ่อแม่อ้อนวอนอย่างไรก็ไม่ยอมกลับ ได้อ้อนวอนขอร้องถึง ๓ ครั้ง ก็ไม่ยอมกลับ นายเหม็งได้ระลึกถึงหลวงพ่อกวย ได้มาปรึกษากับหลวงพ่อ หลวงพ่อพูดว่ามันโดนกระทำมันจึงลืมพ่อลืมแม่ นายเหม็งได้ถามถึงวิธีช่วยเหลือลูกชายของตน หลวงพ่อได้เข้าไปในกุฏิหยิบผงอิทธิเจสีขาว ใส่กระดาษห่อมาให้ ๑ ห่อน้อยมาก ได้เอาไปให้นายเหม็งแล้วพูดว่า “ให้เอาผงนี้ใส่บนหัวมัน แต่อย่าให้มันรู้ตัว มันเป็นของต่ำมันจะสู้ของสูงไม่ได้หรอก” เมื่อนายเหม็งกลับไปบ้านก็ชวนภรรยาไปตามลูกชายที่อำเภอบ้านไร่ เมื่อไปถึงก็เข้าไปหาบอกคิดถึงมาก เอามือลูบหลังลูบไหล่ พอเผลอก็แอบเอาผงอิทธิเจใส่มือแล้วลูบผมนายสามารถ แล้วนอนค้างอยู่ ๑ คืน จะเป็นด้วยนายสามารถจะหมดเวรหมดกรรมกับภรรยาแม่ม่าย หรือจะเป็นด้วยผงอิทธิเจของหลวงพ่อกวยสามารถแก้อาถรรพณ์ได้ พอรุ่งเช้านายเหม็งกับภรรยาได้เอ่ยปากชวนลูกชายให้กลับไปบวช นายสามารถเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินตามพ่อแม่กลับทันที มิใยที่ภรรยาจะห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ฟัง เมื่อบวชแล้ว ออกพรรษาแล้ว ก็ไม่ยอมไปบ้านไร่อีกเลย เมื่อมีใครถามถึงเรื่องนี้กับแก แกจะหอร่อ หึหึ บอกว่าไม่รู้ไปหลงอะไรเขา ทำให้หน้ามืดตามัวไปหมด ปัจจุบันนายเหม็งระลึกถึงหลวงพ่อกวยอยู่เสมอ ได้บวชแทนคุณหลวงพ่ออยู่ที่วัดหลวงพ่อ หลวงตาเหม็งพูดว่าหลวงพ่อกวยนั้นเรื่องวิชาทำเป็นทุกอย่าง เว้นแต่จะทำให้หรือเปล่าเท่านั้น

เกี่ยวกับผงนี้ หลังจากหลวงพ่อมรณภาพ ผมได้นำผงของท่านมาสร้างพระรอดแจก พ.ศ.๒๕๓๔ และสร้างพระสิวลีแจก พ.ศ.๒๕๓๕ ในงานผ้าป่า ๑๒ เมษายน

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 17, 2013, 08:58:56 am
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๓๐๐
วันที่ ๑๕ ก.พ. – ๒๕ ก.พ.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


อภินิหารของพระพิมพ์แหวกม่าน
ต่อไปจะขอเล่าอภินิหารของพระพิมพ์แหวกม่านเอาไว้สัก ๑ เรื่อง เรื่องของพระเครื่องนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความผูกพัน เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องของจิตใจถ้ามีอยู่ไม่บูชาก็ไม่เกิดประโยชน์ คล้องคออยู่ไม่ระลึกถึงองค์ผู้สร้างก็ไม่เกิดประโยชน์เท่าไร ต้องผูกพันกัน คนดี พระดี จึงจะดี เรื่องนี้เป็นเรื่องอุทาหรณ์ และเปรียบเทียบ มีลูกศิษย์ของหลวงพ่ออยู่คนหนึ่งชื่อเกษม ในสมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ เวลาทางวัดมีงานประจำปีอะไรเขาจะมาช่วยเสมอ ถ้าเป็นงานบุญเขาจะมาไม่ขาดเลย เขาจะมาทำบุญกับหลวงพ่อทุกครั้ง มีน้อยทำน้อย ครั้งละสิบบาทยี่สิบบาท ตามกำลังเพราะความยากจน หลวงพ่อเห็นว่าเป็นคนดีได้แจกพระสมเด็จให้ไปแทบทุกครั้ง นายเกษมก็เอาไปเก็บไว้ไม่ได้บูชาอะไร อาชีพของแกก็รับจ้างเขากินไปวัน ๆ หนึ่ง จนกระทั่งหลวงพ่อมรณภาพ เวลาทางวัดมีงานแกก็มาทุกปี เมื่อมาก็ยังได้กราบหลวงพ่อ แต่ปีนี้ไม่มีหลวงพ่ออีกแล้ว เดินไปทางไหนก็ว้าเหว่เงียบเหงา นึกถึงความเมตตาของหลวงพ่อที่มีต่อกัน นึกไปนึกมาน้ำตาพาลจะไหลออกมาให้ได้ คิดถึงหลวงพ่อจับใจ ทำอย่างไรก็ไม่หายคิดถึง กลับไปบ้านก็ไปกราบรูปหลวงพ่อ หยิบพระท่านมาดูจะได้สบายใจ ความคิดถึงจึงได้หยิบสมเด็จพิมพ์แหวกม่านออกมากะว่าจะนำไปเลี่ยมคล้องคอ แล้วก็นำพระไปเลี่ยมไม่มีสายสร้อยก็คล้องเชือกร่ม คล้องคออยู่ได้ ๒-๓ วัน พอดีเจอกับนายบุญสมเพื่อนกัน นายบุญสมเห็นเข้าก็แหย่นายเกษมพูดทำนองว่า หมู่นี้คล้องพระเลยหรือระวังฝนจะแล้งใหญ่ แล้วถามว่า แล้วนี่สมเด็จที่ไหน สวยดี นายเกษมก็พูดตอบว่า ก็หลวงพ่อกวยไงที่เราไปกราบด้วยกัน หลวงพ่อก็ให้แกมานี่หว่า นายสมบุญก็พูดว่าเคยได้มาแต่ให้ใครไปหมดแล้ว มันหลายปีแล้วนี่ ก่อนจากกันวันนั้น นายสมบุญได้ขอเช่าพระนายเกษมโดยให้ราคา ๑๐๐ บาท แต่น่ายเกษมอ้างว่า ให้ไม่ได้เพราะมีองค์เดียว อยู่ต่อมาพระสมเด็จพิมพ์แหวกม่านมีการเช่าหากันมากขึ้น นายสมบุญเกิดอยากได้ขึ้นมา ได้เพิ่มราคาให้นายเกษมเรื่อย ๆ พร้อมทั้งติดต่อเพื่อนบ้านให้มาเปลี่ยนหน้าเช่าพระจากนายเกษมอยู่เรื่อย ๆ จนชาวบ้านรู้กันมากขึ้นว่า สมเด็จพิมพ์แหวกม่าน นั้น มีราคา มีคนอยากได้กันหลายคน ร่ำลือกันไปใหญ่โต นายเกษมซึ่งเป็นคนจนหาเช้ากินค่ำ ไปทางไหน มีแต่คนขอดูพระ เถ้าแก่คนโน้นก็ให้ราคาคนนี้ก็ให้ราคา คนโน้นก็ให้ยืมเงินคนนี้ก็ให้ยืมเงิน โดยหวังจะยึดเอาพระ นายเกษมก็ไปขอยืมเงินเขามาทำทุนค้าขาย เพราะเขาไม่คิดดอก นายเกษมค้าขายดีจะเป็นด้วยเขาเป็นคนซื่อสัตย์ สุจริต ขยันด้วย หรือเป็นเพราะพระพิมพ์แหวกม่านไม่แน่ชัด เขาค้าขายอยู่ไม่นานก็มีเงินเป็นแสนฝากธนาคาร พระพิมพ์แหวกม่านก็เลี่ยมทองใส่สายทอง

เรื่องนี้ก็เล่าให้ฟังเป็นเรื่องจริง เขาเป็นคนสรรคบุรี เป็นเรื่องน่าคิดเขาได้พระนี้มาหลายปี แต่ทำไมเพิ่งมารวย และนายบุญสมก็ได้มาเช่นกันทำไมไม่รวย ทั้ง ๆ ที่เขาก็เคยทำบุญกับหลวงพ่อคนละ ๑๐ บาท ๒๐ บาท เช่นกัน

อีกเรื่องหนึ่ง ตอนนั้นลุงคลี่ ยิ้มจันทร์ บ้านอยู่บ้านคู เป็นลูกเขยพ่อแก่อุ้ยซึ่งเคยตีมีดให้หลวงพ่อทั้ง ๒ คน ลุงคลี่เคยเป็นเด็กวัดรับใช้หลวงพ่อ ลุงคลี่กับเพื่อนเล่นกันอยู่ใต้ถุนกุฏิ หลวงพ่อได้โผล่หน้าต่างออกมา หลวงพ่อพูดว่า “เฮ้ย พวกมึงจะเอาพระกันบ้างไหม” เด็กวัดก็ตอบด้วยความดีใจว่า เอา หลวงพ่อหยิบถาดออกมาที่หน้าต่าง แล้วสาดลงมาด้านล่าง เป็นพระองค์เล็กองค์น้อยเต็มไปหมด องค์ขนาดเม็ดน้อยหน่าก็มี ดำ ๆ ขาว ๆ เมื่อเด็กวัดแย่งพระกัน บ้างก็ได้กำหนึ่ง บ้างก็สองกำ บ้างก็ใส่กระเป๋าเสื้อ เมื่อพระหมดแล้ว เด็ก ๆ ก็เอาพระมาดู มาอวดกัน ผลคือเป็นขี้แมวทั้งหมด ไม่รู้ว่าหลวงพ่อทำอย่างไร ทำให้เห็นขี้แมวเป็นพระ คือตอนนั้นท่านเลี้ยงแมวอยู่ แมวจะขี้ใส่ถาด ในถาดมีขี้เถ้าอยู่ พอเด็กวัดรู้ว่าหลวงพ่อหลอก ก็หัวร่อกันใหญ่ พอดีท่านโผล่หน้าต่างออกมา ในมือถือถาด แล้วท่านก็สาดลงมาใหม่ เป็นพระเช่นกัน คราวนี้เด็กวัดแหยง ๆ กลัวจะเป็นขี้แมวอีก ลุงคลี่หยิบมา ๑ องค์ ไม่แย่งกับใคร เพราะกลัวเป็นขี้แมว ปรากฎว่าไม่เป็น ผมได้ถามว่าพระองค์นั้นยังอยู่หรือไม่ เขาหยิบให้ดูเป็นพระสมเด็จสีขาวองค์เล็ก ๆ หน้าตาถลอกกะเทาะออกหมดเลย เพราะเก็บรักษาไม่ดี เขาบอกว่านี่ไงสมเด็จรุ่นขี้แมว เขาตั้งชื่อรุ่นเอาเองผมเห็นเข้าเลยขอมา เพราะพระนั้นเป็นสมเด็จพิมพ์แหวกม่านนั่นเอง พระองค์นั้นเข้าใจว่า ปัจจุบันอยู่กับคุณละเอียด เพชรลอม เรื่องนี้ก็เล่าให้ฟังแปลกดี ปัจจุบันพระสมเด็จพิมพ์นี้มีปลอม ไม่เหมือนนัก

หมายเหตุ พระแหวกม่านพิมพ์นิยม เท่าที่พบมีทั้งชนิดมีเม็ดไข่ปลารอบ ๆ ตรงริม และไม่มีเม็ดไข่ปลา พระทั้ง ๒ พิมพ์นี้สร้างพร้อมกันครั้งแรก ส่วนพิมพ์ทรงเจดีย์หรือยันต์นั้น บางคนก็เรียกว่าพิมพ์แหวกม่านหลังยันต์ พิมพ์แหวกม่านนี้เคยพบชนิดที่เป็นเนื้อดินก็มี มีทั้งชนิดมีเม็ดไข่ปลา และชนิดไม่มีเม็ดไข่ปลา แหวกม่านพิมพ์ใหญ่อาจารย์ไพ่ อยู่วัดหนองอีดุก แกะพิมพ์ถวาย ส่วนพิมพ์เดิมหลวงพ่อได้ถอดพิมพ์จากพระสมเด็จของอาจารย์ถมยา คืออาจารย์ถมยานี้ไม่ทราบว่าอยู่วัดใด หมอเฉลียว เดชมา เป็นผู้ให้ข้อมูล

จดหมายคุณเกียรติ ศราพร
ที่ทำงาน ๑๐ มิ.ย.๓๔

เรียนคุณครูสมจิตต์

คุณครูคงจำกระผมได้ ผมเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่ง ผมมีเรื่องจะเล่าให้คุณครูฟัง คือเมื่อต้นเดือนผมเกิดอาการท้องร่วงอย่างแรง ชนิดถ่ายไม่หยุด จนผมอ่อนแรงไม่มีแรง หน้ามืดเลยครับ ผมคิดว่าผมคงไม่ไหวแน่ ๆ ไม่เคยเป็นมาก่อน ขนาดต้องคลานเลยครับ พอดีผมนึกถึงหลวงพ่อกวยได้ ท่านเคยเป็นพระหมอมีอาคมแก่กล้า ผมเลยคลานไปที่หิ้งพระได้เอาสมเด็จอาราธนาใส่แก้วน้ำทำน้ำมนต์ แล้วดื่มลงไป รู้สึกสบายตัวขึ้นอ่อนเพลียมาก ได้นอนและหลับไป รุ่งเช้ารู้สึกเพลียหน่อย ๆ แปลกมากอาการถ่ายท้องหายไป ผมจึงนับถือสมเด็จหลังรูปท่านมาก พระสมเด็จหลังรูปนี้ เมตตาดีมาก ครั้งหนึ่งผมลืมคล้องไปทำงานไปมีเรื่องกับผู้หญิง เรื่องเล็กน้อยแท้ ๆ เขาโกรธผมมาก ตอนหลังผมคล้องพระไปทำงาน เขากลับมาพูดดีกับผมแปลกมาก ผมมาแปลกใจตรงที่เธอมาจับพระสมเด็จของผมพลิกดู ซึ่งปกติผู้หญิงจะไม่ค่อยชอบจับต้องพระใช่ไหมครับ ผมจึงมาคิดดูว่าสมเด็จของหลวงพ่อนี้ เมตตาแรงดีจริง ๆ คุณครูว่าจริงไหม ตามที่ผมเล่า ขอให้คุณครูมีความสุข ความเจริญ

นับถืออย่างสูง

เกียรติ สราพร

ตอบตอบคุณเกียรติ พระสมเด็จของหลวงพ่อ มีผงวิเศษผสมอยู่ ใช้ทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ได้ ใช้ทำน้ำมนต์รักษาโรคบางอย่างได้ ใช้ติดตัวป้องกันคุณไสยได้ เมตตาดี

ขอบคุณครับ

เฒ่า สุพรรณ


จดหมายจากเชียงใหม่
เชียงใหม่ บ้านเรือนชื่น ๕ ศรีภูมิ ซ.๖ อ.เมือง ๕๐๐๐๐

๘ ก.พ.๒๕๓๔

เรียนอาจารย์สมจิตต์ที่นับถือ

ผมหนานขวัญ(วิชยุทธ พุทธิรินโน) ผมเป็นศิษย์ใหม่ของหลวงพ่อกวยเพราะเพิ่งได้รู้เรื่องจากหลวงพี่อ๊อต เคยมาจำพรรษาที่วัดกู่เต้า ผมได้รูปโปสการ์ด ซีล็อค และรูปขาวดำหลังจีวร จากท่าน ผมก็นำมาขึ้นหิ้งบูชาและขอพร ขอโชคขอลาภ ปรากฏว่าผมถูกหวย ๒ ตัว ๘๓ ได้เงินมา ๑,๐๐๐ บาท เลยทำบุญใส่บาตร อุทิศให้หลวงพ่อและผมฝากเงินทำบุญมาด้วย ๑๐๐ บาท ท้ายนี้ผมขอให้ศิษย์ของหลวงพ่อกวยทุกคน ประสบแต่ความสุขความเจริญ

เคารพอย่างสูง

วิชยุทธ

ปล.ผมฝากรูปหลวงปู่หล้า วัดป่าตึง และรูปหลวงปู่อินทร์ วัดฟ้าหลั่ง มาให้



ตอบตอบคุณวิชยุทธ เงินบุญ รูปหลวงปู่หล้า หลวงปู่อินทร์ ได้รับแล้ว ขอบคุณมาก ดีมาก สวยมาก ผมจะเอาไว้แจกคนที่ทำบุญมูลนิธิหลวงพ่อต่อไป

ขอบคุณ

เฒ่า สุพรรณ

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 23, 2013, 09:44:47 am
ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓๐๑
วันที่ ๒๕ ก.พ. – ๕ มี.ค.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


กำบัง

หลวงพ่อเป็นพระที่มีอาคมแก่กล้า มีวิชาแปลก ๆ หลายอย่าง สามารถทำในสิ่งที่คนธรรมดาทำไม่ได้ เป็นพระอภิญญา ๖ มีฤทธิ์ แต่ยังมีความยึดมั่นถือมั่นบ้าง ไม่ละวางเสียทุกสิ่ง ไม่เหมือนพระอรหันต์ พระอรหันต์นั้นจะปล่อยให้เป็นไปตามกรรม แต่หลวงพ่อไม่ปล่อยอย่างนั้น วัตถุมงคลท่านสร้างขึ้นเพื่อตัดกรรม ไม่ให้กรรมตามมาทัน ขอยกเว้นแม้แต่ตัวท่านเอง ท่านก็ไม่ปล่อยให้เป็นไปตามกรรม เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ท่านจะนับถือหรือไม่นับถือก็ตาม เรื่องการตัดกรรมหรือไม่ปล่อยให้เป็นไปตามกรรมนี้ เช่น ท่านจะไปธุระต้องขึ้นรถลงเรือ ท่านจะตรวจด้วยญาณสมาธิของท่านก่อนเสมอ เช่น ก่อนขึ้นรถลงเรือท่านจะยืนหลับตาดูเหตุการณ์ข้างหน้า ถ้าไปแล้วไม่ดีมีอุบัติเหตุท่านจะไม่ไป ท่านให้เหตุผลว่า “ถ้าเราไปมีอุบัติเหตุ ถ้าเราไปเป็นซะเอง เขาจะพูดเอาได้ว่าตัวของตัวยังคุ้มไม่ได้ แล้วจะคุ้มครองใครเขาได้” เรื่องนี้ท่านพูดไว้
 
เรื่องกำบัง เรื่องเรียกของออกมาจากที่ปกปิดมิดชิดท่านก็ทำได้ เช่น ตัวท่านเองสามารถทำให้ดูหนุ่มได้ทำให้ดูแก่ได้ คือมีบางคนมาหาท่าน ท่านทำให้จำไม่ได้ก็ได้ ท่านเคยบรรจุพระสมเด็จเอาไว้ที่อกไก่ ศาลาหลังเก่า แล้วเอาปูนปิดทับเอาไว้ ภายหลังได้รื้อศาลา กรรมการวัด ลูกศิษย์ วิ่งไปแย่งกันทุบอกไก่ศาลา ปรากฏว่าเมื่อทุบออกมาจนแตกแล้ว ไม่มีพระเหลืออยู่เลย ไม่รู้ว่าท่านเอาออกมาได้อย่างไร ก่อนหน้านั้นลูกศิษย์จะทุบ ท่านพูดว่าไม่มีแล้ว เอาออกมาแล้ว แต่ปูนก็ปิดมิดชิด ซึ่งตอนบรรจุลูกศิษย์เป็นคนฉาบปูนเองด้วยซ้ำตอนนั้นหลวงตาสมานฉาบปูนเอง บรรจุเอง

จะขอเล่าเรื่องเกี่ยวกับกำบังได้เรียกเงินได้ เอาไว้สัก ๑ เรื่อง เรื่องนี้หมอเฉลียว เดชมา ศิษย์ใกล้ชิดเล่าเอาไว้ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๔ หลวงพ่อเริ่มสร้างพระอุโบสถ อยู่มาวันหนึ่งหลวงพ่อชวนผมไปติดต่อซื้ออุปกรณ์ในการทำอุโบสถ ที่จังหวัดสิงห์บุรี เมื่อไปถึงตลาดสิงห์บุรี ก็เข้าไปในร้านอาหาร หลวงพ่อก็ขอเข้าห้องน้ำ ได้ส่งย่ามให้ผมถือเอาไว้ พอดีมีคนมาถามผมว่าหลวงพ่อกวยใช่หรือไม่ ผมตอบว่าใช่ทำไมหรือ เขาบอกว่าไม่เคยเห็นใกล้ ๆ สักที เคยเห็นแต่ในรูปเขาว่าท่านมีของดีและเก่งมาก ว่าจะไปที่วัดสักทีก็ไม่ได้ไป เขาก็มองเห็นย่ามของหลวงพ่อวางอยู่บนโต๊ะอาหาร เขาจึงพูดว่าหลวงพ่อมีพระอะไรติดย่ามมาบ้างหรือเปล่า ผมก็ตอบว่า ผมไม่รู้ เขาก็พูดบอกให้ผมดูในย่ามหน่อย เผื่อมีพระติดมาประเดี๋ยวจะได้ขอสักองค์ ผมก็ไม่ค่อยกล้ากลัวหลวงพ่อจะดุเอา แต่ก็เกรงใจเขาเสียแค่นไม่ได้ เลยแหวกย่ามดู ปรากฏว่าในย่ามของหลวงพ่อมีผ้าอาบน้ำฝน บุหรี่ตราไก่ กับสมุดพกเล่มเล็ก ๆ อีก ๑ เล่ม ในสมุดมีเงินอยู่ ๒๐ บาท ผมเห็นเข้าก็ใจแว๊บเลย เพราะผมไม่ได้เอาเงินติดตัวมาสักบาทเดียวเพราะเมื่อหลวงพ่อจะมาผมตั้งตัวไม่ทัน ไม่ได้เตรียมตัวมาเลย แล้วหลวงพ่อสั่งอาหารมาเต็มไปหมด ผมก็ใจคอไม่ดี ปกติถ้าไปไหนไปฉันอาหารตามร้านผมจะออกค่าอาหารเอง เมื่อทางร้านยกอาหารมาหมด หลวงพ่อก็แบ่งอาหารให้ผมกับแขกกินกัน ๒ คน แล้วท่านก็ฉันต่างหาก ผมกินไปคิดไปจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายดี เมื่ออิ่มเสร็จ หลวงพ่อก็พูดว่าให้ผมเอาเงินในย่ามมาจ่ายค่าอาหาร ผมก็พูดกับท่านว่า เงินหลวงพ่อไม่มีเงินผมก็ไม่มี หลวงพ่อท่านพูดว่า เงินในย่ามน่ะมี ผมก็รู้ว่าเงินในย่ามไม่มี แต่เกรงใจท่านทำเป็นแหวกย่ามดูซะหน่อย พอแหวกย่ามดูปรากฏว่ามีเงินเยอะแยะเลย ไม่รู้มาแต่ไหน และมีมาได้อย่างไรเพราะย่ามก็อยู่กับผม ผมถืออยู่ และยังได้แหวกดูด้วย ผมก็เลยจ่ายค่าอาหาร ๒๐๐ กว่าบาท ผมตกตลึง เลยไม่ได้ถามแขกคนนั้นชื่ออะไร ผมก็รีบลุกตามหลวงพ่อไป หลวงพ่อไปสั่งวัสดุก่อสร้างแล้ว ไปถึงร้านไทยฮวด เป็นร้ายขายมอเตอร์ไซค์ หลวงพ่อก็เข้าไปถามเขาว่ารถเยอะเลย ขายให้สักคันได้ไหม พร้อมกับชี้ไปที่รถ ถามว่า คันนี้ขายเท่าไร เจ้าของร้านไทยฮวดเขาก็บอกราคาว่า ๙,๕๐๐ บาท หลวงพ่อได้ต่อว่า ๙,๐๐๐ บาท ได้ไหม ทางร้านก็บอกว่า ไม่ได้ หลวงพ่อก็เดินออกมา มาถึงร้านสยามกลการ ขายรถเครื่องยามาฮ่า หลวงพ่อก็ถามเขาอีกว่า คันนี้เท่าไร ทางเจ้าของร้านบอกว่าคันนี้ ๑๑,๕๐๐ บาท ถ้าหลวงพ่อจะเอาผมลดให้ราคาให้คิดพิเศษ ๑๑,๐๐๐ บาท แถมอุปกรณ์ให้เสร็จ ผมก็นึกในใจ หลวงพ่อซื้อรถจะเอาเงินที่ไหนให้เขา ผมเปิดย่ามดูเห็นมีเงินอยู่สัก ๓,๐๐๐ บาทได้ เป็นแบงก์ปลีกบ้างแบงก์ร้อยบ้าง หลวงพ่อได้พูดกับเจ้าของร้านว่าเงินไม่พอจะเอาไปก่อนได้ไหม เจ้าของร้านได้ถามว่ามีมาเท่าไร หลวงพ่อตอนนั้นไม่ได้ถือย่ามผมถืออยู่ หลวงพ่อตอบว่าที่ตัวไม่มีสักบาทเดียว จะเอาไปวันนี้จะได้หรือไม่ เจ้าของร้านบอกตกลง พร้อมทั้งเอามอเตอร์ไซค์ขึ้นรถปิ๊คอัพ บรรทุกมาส่งที่วัดเลย เขาไม่รู้จักหลวงพ่อมาก่อนเลย เมื่อมาถึงวัดเขาก็จัดการยกลง หลวงพ่อก็บอกกับผมว่าให้เอาเงินในย่ามจ่ายให้ค่ารถไป ผมก็งงเงินในย่ามมีอย่างมากก็แค่ ๓,๐๐๐ บาท จะไปพอได้อย่างไร แต่พอหยิบขึ้นมานับ นับได้หมื่นกว่าบาท ยังมีเงินเหลืออยู่อีก พอเจ้าของร้านจะลากลับท่านได้สั่งว่าพรุ่งนี้ให้เอามาส่งให้อีก ๑ คัน เจ้าของร้านยิ้มหน้าบานเลย ไม่คิดว่าจะขายรถได้ทีเดียว ๒ คัน แถมเงินสดอีก เมื่อเจ้าของร้านไปแล้วท่านพูดว่า รถเอาไปเก็บไว้กูซื้อให้ เพื่อจะไปทางไหนจะได้สะดวก ไม่เสียเวลา อีกคันหนึ่งท่านซื้อให้ช่างทำโบสถ์ คือ ช่างสมาน ปัจจุบันบวชเป็นพระ ผมตื้นตันใจมากไม่คิดว่าหลวงพ่อจะซื้อให้ เพราะสมัยนั้นรถมอเตอร์ไซค์ยังไม่มีใครมี มีแต่รถจักรยาน

เรื่องที่หลวงพ่อกำบังได้เรียกเงินได้นี้ ทำให้ผมเคารพท่านมาก ผมว่าท่านต้องไม่ใช่พระธรรมดา ผมเลยอุทิศตัวเองให้ท่าน เมื่อท่านจะไปทางไหน ผมไม่ว่างก็ต้องตอบว่าว่าง ไปกับท่านเสมอ ไปปลุกเสกหลายที่ หลวงพ่อเป็นพระที่ระวังตัวเองอยู่เสมอ โดยเฉพาะถ้าไปปลุกเสกหลวงพ่อกลัวว่าผมจะถูกคนลองของ หรือพระลองของ ทำให้ผมปวดหัว ปวดท้อง หรือลองเอาปืนยิงผม ท่านจะให้ผมถือผ้าสังฆาฏิของท่านเอาไว้ ท่านบอกว่าผ้านี้กันตัวได้ ถือเอาไว้ บางทีก็เสกบุหรี่ให้ผมสูบ ผ้าสังฆาฏิของท่านนี้ ท่านปลุกเสกมาตั้งแต่หนุ่มจนชราภาพไม่เคยเปลี่ยนเลย โอกาสหน้าผมจะเล่าเรื่องผ้าสังฆาฏินี้ให้ฟัง

ปล.ท่านที่จะมางานผ้าป่าหลวงพ่อ ให้มาทางสายใต้ บางเขน แคลาย มาสายกรุงเทพ-สุพรรณ เดิมบางนางบวช-ชัยนาท(สรรคบุรี) ถนนลาดยางถึงวัด อย่ามาทางดอนเมือง รังสิต อยุธยา รถจะติดมาก คนจะกลับบ้านกันเต็มไปหมดอย่ามาเด็ดขาด


จดหมายคุณสุรวุฒิ แย้มศรี
๕๗/๑๓๔ ซอยอุดมสุข (หลังบริษัทธานันอุตสาหกรรม) หมู่ ๑๕ ถนนสุขุมวิท แขวงบางนา เขตพระโขนง กทม.๑๐๒๖๐
๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๔

เรียนอาจารย์สมจิตต์  ที่นับถือ

พร้อมกันนี้ผมได้ส่งรูปดวงแก้วพระสีวลีแบบนั่งสมาธิ ขนาด 4X5 นิ้ว มาจำนวน ๓,๐๓๕ ใบ มาด้วย (ส่งทางพัสดุไปรษณีย์เป็น ๓ กล่อง) ขอรบกวนอาจารย์ช่วยกรุณาประทับตราวัดโฆสิตาราม และกราบขอความเมตตาหลวงพ่อ หลวงปู่และครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่อาจารย์เห็นว่าเหมาะสมช่วยปลุกเสกด้วยครับ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วกรุณาส่งมาให้ผมสัก ๒๐๐ ใบ เพื่อแจกให้กับผู้นับถือครับ สำหรับรูปที่เหลือขอให้อาจารย์ช่วยประกาศและแจกแก่ผู้ที่ต้องการโดยไม่คิดมูลค่าเป็นเวลา ๑ เดือน หลังจากนั้นถ้ายังมีเหลือก็ขอรบกวนอาจารย์ช่วยถวายอาจารย์สำรวย วัดโฆสิตาราม เพื่อออกให้บูชาในราคาตามแต่ท่านจะเห็นสมควร เพื่อนำเงินเข้ามูลนิธิหลวงพ่อกวย และบำรุงวัดโฆสิตารามต่อไปครับ

รูปและพระคาถานี้ มีความศักดิ์สิทธิ์มากจริง ๆ ครับ ผมขอยืนยัน ขนาดยังไม่ได้ปลุกเสก ตั้งแต่ผมเริ่มพิมพ์รูปพระสีวลี และท่องคาถาทุกเช้าเย็น เวลาละ ๓ จบ เป็นเวลา ๑ เดือนเศษ การงานของผมคล่องตัวขึ้นมาก ที่สำคัญลาภมีมาไม่ขาดจริง ๆ เพียงแค่เดือนเดียวผมได้ลาภลอย ๕๐,๐๐๐ บาท ผมไม่อยากเขียนถึงอภินิหารมากนักเกรงคนอื่นจะหาว่า พูดเกินจริง แต่ผมกล้าท้าได้ว่า ใครก็ตามที่ได้ภาพนี้ไปและหมั่นบูชาด้วยดอกมะลิ และสวดคาถาบูชาทุกวัน จะรู้ผลด้วยตนเองครับ

เมื่ออาจารย์ทำพิธีปลุกเสกเสร็จแล้ว ผมขอความกรุณาอาจารย์ช่วยจดหมายให้ผมทราบด้วยนะครับว่ามีหลวงพ่อ หลวงปู่ และครูบาอาจารย์องค์ใดเมตตาปลุกเสกให้บ้างผมจะได้บันทึกไว้เผื่อมีคนถาม

ด้วยความนับถือ

สุรวุฒิ แย้มศรี


ตอบคุณสุรวุฒิ รูปดวงแก้วของคุณผมนำไปให้ อ.ตี๋ สำนักสงฆ์เขาเขียวปลุกเสกให้ ๕ เดือน จารให้ทุกแผ่น จารเต็ม ท่านบอกดีมาก ได้แบ่งให้วัดจำนวนหนึ่ง วัด อ.ตี๋ จำนวนหนึ่ง คือท่านขอ ท่านบอกว่ารูปดีมาก รูปของคุณนี้ผมไม่กล้าพับ เสียดายของจึงไม่แจกฟรี จะให้เฉพาะคนทำบุญเท่านั้น รูปของคุณนี้ทำได้สวยงามมาก อ.ตี๋ตั้งใจปลุกเสกให้ดีมาก จารให้ทุกใบ ท่านพูดว่าดีมาก ผมขอขอบคุณ คุณสุรวุฒิไว้เป็นอย่างสูง

ขอบคุณ

เฒ่า สุพรรณ

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 31, 2013, 09:32:21 am
ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓๐๖
วันที่ ๑๕ เม.ย. – ๒๕ เม.ย.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


เหรียญรุ่นสุดท้าย

อีกเรื่องหนึ่งลุงชม คนสามเอกติดต่อหนองบอน ได้มาปิดทองฝังลูกนิมิตตอนกลางวัน แดดก็ร้อน ขากลับได้แวะที่หนองแขมเพราะอากาศร้อน ขณะกำลังพักมีคนมาถามว่า เช่าอะไรมาบ้าง ลุงชมก็ตอบว่า เช่าเหรียญทองแดงมา ๑ องค์ เหรียญหนุมานมา ๑ องค์ นายระเบียบก็ถามว่า จะขอลองได้ไหม ลุงชมเลยหยิบให้ลองดูโดยให้ลองเหรียญทองแดง คือกลัวว่าเหรียญหนุมานถ้าออกจะเสียของเพราะเช่ามาแพง เลยให้ลองเหรียญทองแดง นายระเบียบได้ทดลองยิง ๒ นัดไม่ออกเช่นกัน พอตกเย็นคนสามเอก หนองแขม หนองปลาดุก หนองบอน เดินกันมาเช่าของเต็มถนนไปหมด

อีกเรื่องหนึ่ง นายเกลี้ยงได้ไปทำงานที่ตลาดอ่างทองไปกันหลายคน ลุงเกลี้ยงเป็นคนหนองหิน อ.สรรคบุรี นายชาติคนหนองหินคนหนึ่งได้ไปทำงานเช่นกัน เกิดเขม่นกันกับเจ้าถิ่น วันเกิดเหตุเกิดในตลาดเลย เจ้าถิ่นได้ล็อคคอนายชาติแล้วยิง ปัง ปัง ๒ นัด กลางตลาดเลย นายชาติทรุดฮวบลงไป มือปืนหนีตามระเบียบ คนเต็มไปหมด นายเกลี้ยงได้เข้าไปดูตัวนายชาติคิดว่าตายแล้ว ปรากฏว่าเสื้อขาดเฉย ๆ คนขอดูเหรียญกันเต็มตลาดไปหมด นายเกลี้ยงเขาเป็นคนมีอายุมากหน่อย ฉลาดรอบตัว ได้นำเหรียญรุ่นนี้ไปจำหน่ายในราคา ๔๐๐-๕๐๐ บาท ปีนั้นทั้งปีไม่ต้องทำนา จำหน่ายเหรียญรุ่นนี้ได้ไปหลายหมื่นบาท

วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๓๓ นายยอด แซ่อึ้ง คนหัวเด่น ติดกับบ้านแค วัดหลวงพ่อ ได้ขี่จักรยานยนต์ไปกับหลาน ๒ คน จะไปธุระที่ใกล้วัดใหม่ ขากลับมีรถไถนาวิ่งสวนมาฝุ่นเต็มถนน มองอะไรไม่เห็น พอดีรถปิคอัพยี่ห้อมิตซูบิชิวิ่งสวนมาด้วยความเร็วสูง ได้ชนรถจักรยานยนต์ของนายยอด รถกระเด็นเละเลย หลาน ๒ คนตายทันที นายยอดสลบไป ไปฟื้นที่โรงพยาบาลหมอประเจิดสิงห์บุรี หมอบอกสงสัยไม่รอดเพราะช้ำในมาก เนื้อตัวไม่ถลอกเลย แต่พอฟื้นแล้วเมื่อตรวจดูก็ไม่เป็นอะไร กลับบ้านได้ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก นายยอดใช้เหรียญหนุมาน กับ แหวนนิ้ว ๑ วงเท่านั้น เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้ประจำ เขานับถือมาก

อีกเรื่องหนึ่ง คุณสมชาย อภินันทาภรณ์ มีเหรียญหนุมาน ๑ เหรียญ ปลัดปรอท ๑ ตัว ไปกับเพื่อน ๒ คน เพื่อนเป็นจิ๊กโก๋ห้วยขวางสักทั้งตัว เขาว่าหนังเหนียวมาก ไปนั่งกินอาหารที่ห้องอาหารห้วยขวาง เจอวัยรุ่น ๗ คนเกิดไม่พอใจกันขึ้น ได้มีการชกต่อยตีกันขึ้น ๒ ต่อ ๗ เพื่อนคุณสมชายสักทั้งตัวเลือดทั้งตัวเช่นกัน แต่คุณสมชายโดนรุมตีไม่แตก ไม่มีเลือดเลย พอดีตำรวจมาจับได้ ไปตกลงกันที่เขตห้วยขวาง ฝ่ายที่รุมตีคุณสมชายกับเพื่อนได้ชดใช้ค่าทำขวัญให้ ๑๒,๐๐๐ บาท คุณสมชายเลยแบ่งกับเพื่อนคนละครึ่ง เงิน ๕,๐๐๐ บาทเอาไปซื้อสร้อยคล้องเหรียญหนุมาน เงิน ๑,๐๐๐ บาทเอาไปเลี่ยมปลัด
 
อีกเรื่องหนึ่ง นายเทียบ กับนายชาย เป็นคนบ้านหัวเด่น อ.สรรคบุรี ได้ดื่มเหล้าวงเดียวกัน เกิดขัดคอกันกลางวงเหล้า นายเทียบได้ชกนายชายก่อน นายชายเลยกลับบ้านไป อีกสักพักหนึ่งนายเทียบนึกขึ้นได้ว่าทำผิดไป คือชกเพื่อนรุนแรงไปแล้ว เลยตามไปบ้านนายชายเพื่อปรับความเข้าใจกัน คือขอโทษ พอนายเทียบมาบ้านนายชาย นายชายคิดว่านายเทียบจะมาต่อยต่อคงคิดว่ายังไม่หายมัน นายชายคิดว่าจะมากไป เลยหยิบมีดพกมาข้างหลัง พอมาถึงก็ฟันนายเทียบ นายชายได้ฟันนายเทียบหลายแห่ง นายเทียบได้วิ่งหนีไป ผลคือไม่เข้าเลย ในตัวนายเทียบคล้องเหรียญทองแดงหลังยันต์เหรียญเดียว
 
อีกเรื่องหนึ่ง นายมานิตย์ ยิ้มจู บ้านอยู่หนองแขม จ.ชัยนาท อ.สรรคบุรี ไปทำงานที่พระประแดง จ.สมุทรปราการ ครั้งหนึ่งไปทานอาหารเข้าใจว่าเหล้าด้วย ที่พระประแดง มีวัยรุ่นเจ้าถิ่นมาหาเรื่อง เกิดชกต่อยกันขึ้น วัยรุ่นเจ้าถิ่นสู้นายมานิตย์ไม่ได้ถูกต่อยล้มลงไป วัยรุ่นคนนั้นได้ชักปืนมายิงนายมานิตย์ ๑ นัด นายมานิตย์ล้มลงไปวัยรุ่นวิ่งหนี ไทยมุงเต็มไปหมด นายมานิตย์ยืนขึ้นดูที่อกไม่เป็นอะไร เสื้อขาด ๑ รู ไม่เข้า นายมานิตย์คล้องเหรียญหนุมานยกธงรบเพียงเหรียญเดียว

อีกเรื่องหนึ่ง คุณสามารถ หมวกอิ่ม เป็นคนเดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เขาขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า ขนาด ๑๕๐ ซีซี รุ่นเก่าคันใหญ่ ขี่มาที่ตลาดอำเภอหันคา ชัยนาท ด้วยความเร็วสูง ได้วิ่งชนรถอีแต๋น รถอีแต๋นนี่เป็นรถไถนานำมาติดกับลี่ใช้บรรทุกของ รถอีแต๋นก็วิ่งมาด้วยความเร็ว ปรากฏว่ารถอีแต๋นวิ่งตัดหน้า คุณสามารถได้บีบแตรและเบรกแต่เบรกไม่อยู่ เขาระลึกถึงหลวงพ่อกวยให้ช่วย หลวงพ่อก็อยู่ไกลไม่รู้จะช่วยได้อย่างไรท่านไม่ได้เป็นคนขับด้วย ปรากฏว่ารถคุณสามารถวิ่งชนรถอีแต๋นด้วยความแรงมาก แรงขนาดข้อต่อลี่ขาดเลย คุณสามารถกระเด็นไปข้างทางไม่เป็นอะไรเลย แต่รถเละใช้ไม่ได้เลย คุณสามารถศรัทธาหลวงพ่อมาก เขาคล้องเหรียญหนุมานยกธงรบ อันเดียว เขาได้มาบวชให้หลวงพ่อที่วัด ๑ เดือน ผมเคยถ่ายรูปเขาไว้ ถ่ายรูปคู่นายปาน ศิษย์ของหลวงพ่อ

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องเปรียบเทียบ คุณสุทธิวรรณ ปั้นสน บ้านอยู่หนองแขม ใกล้วัดหนองแขม นามสกุลเดียวกับหลวงพ่อ ถ้าจำไม่ผิดอาจจะเป็นน้องสาวท่านอาจารย์สำรวย ได้ไปทัศนศึกษาที่ภาคเหนือ ขณะที่รถวิ่งอยู่บนดอยตุง จ.เชียงราย ความที่คนขับรถทัศนศึกษาไม่ชำนาญทาง ได้ตกลงเหว บนดอยตุง คุณสุทธิวรรณได้ระลึกถึงหลวงพ่อร้องสุดเสียงเลย ปรากฏว่ารถตกลงไปด้านล่างด้วยความแรงมาก คนตายและบาดเจ็บเต็มไปหมด มีเพียงคุณสุทธิวรรณเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ไม่สลบด้วย ในคอเขาคล้องเหรียญทองแดงโล่เพียงอันเดียว ดอยตุงนี้สูงมาก รถที่ตกลงไปด้านล่าง คนโอกาสรอดชีวิตมีน้อยมาก มีไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์

ก็ขอสมมุติยุติจบเรื่องเหรียญรุ่นสุดท้ายไว้เพียงนี้ เหรียญรุ่นนี้หลังงานฝังลูกนิมิตยังมีเหลืออยู่มากทีเดียว ก่อนหลวงพ่อจะมรณภาพ หลวงพ่อได้ปลุกเสกเหรียญรุ่นนี้ไว้ให้ยาวนานเหมือนเป็นการสั่งลา และมอบสิ่งที่ดีให้ศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย ปัจจุบันที่วัดยังมีเหลือตกค้างอยู่ มีทั้งชนิดทองแดงโล่ และอัลปาก้าโล่ ผมรับประกันให้ สำหรับวันนี้อภินิหารมีมากนำมาเล่าไม่หมด เอาเฉพาะอภินิหารที่ชัดแจ้งเท่านั้น

หมายเหตุ เรื่องของหลวงพ่อนี้ มีอภินิหารที่เด็ดขาดและมีมาก มีหลายคนไม่เชื่อ สงสัย บางคนคิดว่าผมเขียนเชียร์ ได้ถามผมมาว่าจริงแค่ไหน ผมได้ตอบเขาไปว่า ถ้าผมตอบว่าจริงคุณก็คงไม่เชื่อ เพราะคุณเป็นคนสงสัย อีกอย่างหนึ่งคุณจะมาเชื่อผมได้อย่างไร ผมเป็นใครมาแต่ไหนคุณก็ไม่รู้ ทำไมคุณไม่มาวัด มาสืบดูล่ะ ว่าเรื่องที่ผมเขียนน่ะจริงแค่ไหน เช่น เรื่องของนายนบ เจียมพลับ ที่ต่อสู้กับคน ๓ คน ปืน ๓ กระบอก ยิงไม่ออกเลยแม้นัดเดียว ไม่ออกเลยสักกระบอก บ้านเขาก็อยู่ไม่ไกลวัด เรื่องคุณลุงเมือง มั่นปาน ที่โดนยิงนับครั้งไม่ถ้วน ไม่เข้าเลยมีรอยลูกปืนเต็มตัวไปหมด บ้านเขาก็อยู่ไม่ไกล เรื่องของกำนันหิ้ง เรื่องของคนตาบอด แขนด้วน ขาด้วน ปืนแตก ฯลฯ มีให้สอบถามรอบ ๆ วัดมากมาย ให้มาถามเขาดูดีกว่าที่จะมาถามผมว่าจริงหรือไม่จริง เรื่องที่ผ่านมาแล้วแต่คนเห็นเหตุการณ์ยังอยู่ หลาย ๆ เรื่องเราก็นำมาพิจารณาดูว่า ควรจะเชื่อได้หรือไม่ได้ บางคนอาจไม่เชื่อเพราะไม่เห็นกับตา ถ้าอย่างนั้นก็เรียนประวัติศาสตร์ไม่ได้ เรียนโบราณคดีไม่ได้ มีบางคนได้มาคุยกับผม คือเขาไม่เชื่อเพราะไม่เห็นกับตา ผมได้ถามเขาไปว่าคุณรู้ได้อย่างไรว่าคุณเป็นลูกแท้ ๆ ของพ่อแม่คุณ ผมสงสัยว่าคุณจะเป็นเด็กวัดสระแก้ว คุณรู้ได้อย่างไรเพราะตอนคุณเกิดคุณก็จำความไม่ได้ เขานั่งอึ้งไป ผมก็ตอบเขาไปว่า เราก็พิจารณาจากเหตุผลหลาย ๆ อย่าง เช่น รูปร่าง ความห่วงใย ข้อมูลหลาย ๆ อย่าง เรื่องนี้ไม่มีอะไร ผมเล่าให้ฟังเปรียบเทียบเฉย ๆ พอดีได้รับจดหมายของท่าน พ.ต.ท.สถาพร  นรินทรสรศักดิ์ สวญ.สภ.อ.พระประแดง เขียนมาเล่ายืนยันถึงเหรียญหนุมาน พร้อมรูปถ่ายคนถูกยิงไม่เข้า มีรูปให้ดู มีคดีอยู่บนโรงพัก ถ้าไม่เชื่ออีกผมก็จนใจ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 31, 2013, 11:14:52 am
ฉบับที่ ๓๐๒ ๓๐๓ ๓๐๔ และ ๓๐๕ ขาดหายไป น่าเสียดายมาก

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ พฤษภาคม 31, 2013, 12:12:08 pm
 :o :o :o :o :o
เข้ามานั่งอ่าน
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤษภาคม 31, 2013, 12:28:52 pm
:o :o :o :o :o
เข้ามานั่งอ่าน


น้องโก แอบมานั่งอ่านพักเที่ยงสินะ เป็นไงบ้างครับ ที่เรียนใหม่ ชอบม๊ะ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: tree_alone ที่ มิถุนายน 01, 2013, 12:19:06 am
มาติดตามผลงานครับ
ขอบคุณที่ลงให้อ่านเลยๆครับ
 ;D ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ มิถุนายน 02, 2013, 09:05:53 am
มารอฟังเรื่องดีๆๆตลอดครับ บารมีหลวงพ่อกวยคุมครองครับพี่weerawat26
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มิถุนายน 03, 2013, 09:13:10 am
มารอฟังเรื่องดีๆๆตลอดครับ บารมีหลวงพ่อกวยคุมครองครับพี่weerawat26

ขอบคุณมากนะครับ งวดนี้ ได้บารมีของหลวงพ่อช่วยแก้จนไปอีกงวดครับ โชคดีถูกเลขท้าย ๓ ตัวใบนึงครับ เดือนนี้คงเอาตัวรอดผ่านไปได้อีกครับได้บารมีของหลวงพ่อแท้ ๆ เลยครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ มิถุนายน 04, 2013, 09:56:11 am
:o :o :o :o :o
เข้ามานั่งอ่าน


น้องโก แอบมานั่งอ่านพักเที่ยงสินะ เป็นไงบ้างครับ ที่เรียนใหม่ ชอบม๊ะ
เหนื่อย 555+
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มิถุนายน 04, 2013, 11:20:32 am
:o :o :o :o :o
เข้ามานั่งอ่าน


น้องโก แอบมานั่งอ่านพักเที่ยงสินะ เป็นไงบ้างครับ ที่เรียนใหม่ ชอบม๊ะ
เหนื่อย 555+


น้องโก้เรียนที่ไหนครับ จุฬาฯ หรือป่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มิถุนายน 06, 2013, 09:07:24 am
มารอฟังเรื่องดีๆๆตลอดครับ บารมีหลวงพ่อกวยคุมครองครับพี่weerawat26

ขอบคุณมากนะครับ งวดนี้ ได้บารมีของหลวงพ่อช่วยแก้จนไปอีกงวดครับ โชคดีถูกเลขท้าย ๓ ตัวใบนึงครับ เดือนนี้คงเอาตัวรอดผ่านไปได้อีกครับได้บารมีของหลวงพ่อแท้ ๆ เลยครับ

ใบเดียว แต่มีคุณค่าทางจิตใจสูงครับ เป็นเพราะหลวงพ่อเมตตา
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มิถุนายน 07, 2013, 12:46:25 pm
ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓๐๗
วันที่ ๒๕ เม.ย. – ๕ พ.ค.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


จดหมายจากท่าน
พ.ต.ท.สถาพร  นรินทรสรศักดิ์
สวญ.สภ.อ.พระประแดง
โทร.๔๖๒๕๐๑๐ ๔๖๒๘๑๔๕


๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๔

เรียน อาจารย์สมจิตต์ เทียนวัน ที่นับถือ

ผมมีเรื่องเกี่ยวกับเกียรติคุณของหลวงพ่อกวย มาเรียนให้ทราบ คือเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๓๔ เวลาประมาณ ๒๐.๓๐ น. เศษ ผมได้เข้าไปตรวจความเรียบร้อยในบริเวณสถานีตำรวจ และได้เข้าไปในห้องของพนักงานสอบสวน ปรากฏว่าพบร้อยเวรกำลังสอบสวนชายคนหนึ่งอยู่ ที่หน้าอกเสื้อซึ่งเป็นเสื้อยืดมีรอยเป็นรูกลม ๆ ๑ รอย ผมจึงเข้าไปสอบถามเรื่อง ก็ทราบจากพนักงานสอบสวนว่าว่าชายคนที่แจ้งชื่อนายกฤษดา นาครทรรพ ถูกเพื่อนใช้ปืนพกยิง ในขณะที่ยิงห่างกันประมาณ ๑ วาเศษ สาเหตุที่เกิดยิงกันก็เนื่องจากว่าเพื่อนของนายกฤษดา ซึ่งมีอาการมึนเมาสุรา ได้ไปขอยืมรถจักรยานยนต์จากบ้านของนายกฤษดา เพื่อจะออกไปนอกสวน แต่ทางบ้านนายกฤษดา เห็นว่ามีอาการเมาสุราจึงไม่ยอมให้ยืมรถ เพื่อนของนายกฤษดาก็เลยรื้อสะพานไม้ทางเดินในสวนออก เมื่อนายกฤษดากลับมาบ้าน ทางบ้านเล่าเรื่องให้ฟัง จึงเดินไปที่บ้านเพื่อนเพื่อจะไปต่อว่าเพื่อนดังกล่าวแล้ว แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร เมื่อนายกฤษดาเดินไปถึงหน้าบ้านเพื่อน ขณะนั้นเวลาประมาณ ๑๗.๓๐ น.เศษ เพื่อนของนายกฤษดาได้ลงมาจากบ้านและใช้ปืนพกขนาด .๒๒ แม๊กนั่ม ยิงถูกหน้าอก ๑ นัด จนนายกฤษดาเซไป และรีบวิ่งหนีไปเนื่องจากกลัวจะโดนยิงซ้ำ คิดดูซิครับ ระยะ ๑ วาเศษ ๆ กระสุนแม๊กนั่มมีอำนาจเท่า ๆ กับขนาด .๓๘ หรืออาจจะออกฤทธิ์แรงกว่าด้วยซ้ำไป นายกฤษดากลับมาถึงบ้านรู้สึกเจ็บจึงเปิดเสื้อดูปรากฏว่า มีรอยแดงช้ำเล็กน้อย ก็เลยเอายาหม่องทา และนำความมาแจ้งต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการกับเพื่อนที่ยิงต่อไป ครั้งแรกร้อยเวรทำท่าจะไม่เชื่อเอาด้วยซ้ำ พอดีผมเข้าไปก็เลยถามว่าแขวนพระอะไรอยู่ เขาก็เปิดเสื้อยืดที่ใส่ให้ดู ยังไม่ทันเห็นองค์พระชัดเจน ผมก็บอกว่า พอแล้วไม่ต้องเปิดอีกแล้วหลวงพ่อกวยแน่ๆ นายกฤษดากับร้อยเวรถามกันทันทีว่าสารวัตรรู้ได้ยังไง ผมก็เลยหัวเราะบอกว่า ผมก็ห้อยคออยู่นี่นา ถ้าผมมีหลวงพ่อองค์กวยคุ้มครองตัวอยู่แล้วไม่รู้จักพระของหลวงพ่อกวย ผมก็แย่เต็มทน ครู่เดียวครับพวกตำรวจก็มาถามกันให้แซ่ดว่าจะหาพระได้จากที่ใด ผมก็เลยแนะนำให้ไปขอบูชาจากวัดโฆสิตารามโดยตรง คิดว่าป่านนี้อาจารย์สำรวยคงจัดส่งให้ไปแล้ว เพราะเห็นพวกตำรวจห้อยคอกันเต็มไปหมด ผมเห็นว่าเป็นเรื่องเผยแพร่เกียรติคุณของหลวงพ่อกวยทางหนึ่งก็เลยเรียนมาให้ทราบ และได้ส่งภาพถ่ายของนายกฤษดาพร้อมเสื้อตัวที่ใส่แล้วถูกยิงและพระซึ่งเป็นเหรียญหนุมานมาให้อาจารย์ดูด้วยครับ

ขอแสดงความนับถือ

เฒ่า สุพรรณ


หมอประสานเวชกรรม
๑๖ ปากซอยวัดไผ่เงิน ถ.จันทร์ สะพาน ๒
แขวงทุ่งวัดดอน ยานนาวา กทม.๑๐๑๒๐ โทร.๒๑๑๗๔๒๕

เรียน อ.สมจิตต์ ทราบ

ผมขอส่งรูปดวงแก้วพระสิวลีมาให้คุณตามสัญญา วันนี้ผมไปรับรูปดวงแก้วส่วนที่เหลือจากการแจกครั้งก่อน ประมาณ ๖๐๐ กว่าใบ ซึ่งผมได้เอาไปเข้าพิธีพุทธาภิเษก ณ วัดบุคโล ฝั่งธนบุรี ซึ่งมีการพุทธาภิเษก ๕ วัน ๕ คืน ผมขอมอบให้คุณไว้แจก ๓๐๐ รูป และยังเหลือที่ผมอีกประมาณ ๓๐๐ กว่ารูป ถ้ามีใครต้องการขอมาทางผมก็ได้ ขอขอบพระคุณที่ลงในนะโม อ้อ ลงนามสกุลผมผิดครับอาจารย์ นามสกุลผม ผังชัยมงคล ไม่ใช่ฝัง ครับ ขออภัยครับ

ด้วยความนับถือ

ประสาน ผังชัยมงคล


ตอบตอบ คุณหมอประสาน ขอขอบพระคุณเรื่องรูปดวงแก้วที่ทำแจกรูปของคุณหมอนี้ ใครต้องการขอมาได้ฟรี ห้ามทำบุญ รูปนี้เล็กจิ๋วขอโทษคุณหมอด้วย เขียนนามสกุลผิด

ขอบคุณครับ

เฒ่า สุพรรณ


สมเด็จหลังรูปพิมพ์ใหญ่
ต่อไปจะขอกล่าวกล่าวถึงสมเด็จหลังรูปพิมพ์ใหญ่อีกสัก ๑ ครั้ง พระเครื่องหรือพระพุทธพิมพ์รูปแบบของสมเด็จของหลวงพ่อนี้ มีมากหลายแบบเช่นกัน บางแบบก็หาข้อยุติไม่ได้ เพราะเป็นสมเด็จหลังเรียบไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมายืนยัน หรือเป็นเอกลักษณ์ หลวงพ่อสร้างพระเครื่องพิมพ์สมเด็จ ครั้งแรกหรือยุคแรก คือสมเด็จพิมพ์แหวกม่านประมาณ พ.ศ.๒๔๙๐ กว่า ๆ เป็นสมเด็จหลังเรียบ แต่มีเอกลักษณ์พิเศษ ต่อมาก็สร้างหลังเรียบพิมพ์ต่าง ๆ อีกหลายสิบพิมพ์ บางส่วนได้นำไปฝังเอาไว้หลายไห ยุคต่อมาจึงสร้างปรกโพธิ์ ๙ ใบ สร้างสมเด็จหลังรูป สมเด็จทรงไกเซอร์หลังยันต์ สมเด็จพิมพ์พระประธานหลังยันต์ ครั้งสุดท้ายหลวงพ่อสร้างสมเด็จหลังรูปพิมพ์ใหญ่ หลังจากนั้นก็ไม่ได้สร้างอีกเลย สมเด็จที่ได้รับความนิยมสูงคือปรกโพธิ์ ๙ ใบ แหวกม่าน หลังรูปพิมพ์เล็ก แต่พิมพ์อื่น ๆ ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน และค่อนข้างจะหายากทุกแบบ หลังจากนั้นหลวงพ่อได้ให้พาช่างไปทำสมเด็จหลังรูปกรอบกระจก สมเด็จขี่สิงห์หลังสิงห์ สมเด็จทรงระฆังเล็ก สมเด็จดำพิมพ์ขาโต๊ะ สมเด็จพิมพ์พระลมูลเนื้อสีแดง ๆ สมเด็จชุดหลังนี้ออกจำหน่ายในงานฝังลูกนิมิต หลวงพ่อไม่ได้ทำเอง ได้แต่ให้ผงไปผสมทำ แต่หลวงพ่อก็ปลุกเสกเอง ราคาจึงไม่แพงนัก

สมเด็จพิมพ์หลังรูปใหญ่นี้หลวงพ่อใช้ผงทำเหมือนกับสมเด็จรุ่นก่อน ๆ แต่อ่อนว่าน คือใช้ผงวิเศษมาก นอกจากว่านที่ผมตำป่นไปถวายแล้ว เข้าใจว่า ไม่ได้ผสมว่านอย่างอื่นอีกเลย อาจเป็นเพราะผงหลวงพ่อเหลือมาก จึงใช้ผงมากและหลวงพ่อคงรู้ว่า คงจะไม่ได้ทำอีกแล้ว จึงใช้ผงผสมทำมาก ปัจจุบันผงของหลวงพ่อยังเหลืออยู่เป็นปี๊บ ๆ เลย มีหลายชนิดหลายสี หลวงพ่อได้ปลุกเสกให้เต็มที่ สมเด็จหลังรูปพิมพ์ใหญ่นี้มีอภินิหารมากกว่าสมเด็จทุกรุ่น คืออาจจะเป็นเพราะมีมากกว่าทุกรุ่นก็เป็นได้ สมเด็จรุ่นนี้เท่าที่พบส่วนใหญ่เป็นเนื้อสีขาว แต่เคยพบเป็นเนื้อผงน้ำมันสีน้ำตาลก็มี แต่น้อยมาก

สมเด็จรุ่นนี้ ตอนนั้นผมนำว่านไปถวายท่านหลายชนิด แต่มีชนิดหนึ่งท่านพอใจมาก หัวว่านคล้ายสีดำเมื่อหลวงพ่อเห็นเข้าท่านพอใจมาก ท่านพูดว่า “มหาเมฆเขาดีถ้าปลุกเสกให้ดีจะกำบังได้” ผมก็คอยฟังข่าวถึงอภินิหารของสมเด็จรุ่นนี้ ฟังมานาน ก็ไม่นาน ได้ยินว่ากำบังได้สักที เคยได้ยินแต่ว่าบูชาแล้วร่ำรวย เหมือนสมเด็จรุ่นอื่น ๆ แต่แคล้วคลาดและเมตตาดีแน่ แต่กำบังเพิ่งจะได้ยินเพียงครั้งเดียว สมควรบันทึกไว้

นายขจรศักดิ์ นาคทอง คนปากน้ำ หมู่ ๕ ต.ปากน้ำ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เป็นลูกชายนายธง คนแจวเรือข้ามฟากท่าวัดปากน้ำ นายธงเคยไปทำบุญที่วัดของหลวงพ่อ ได้สมเด็จหลังรูปพิมพ์ใหญ่มา ๑ องค์ ให้ลูกชายคล้องติดตัว นายขจรศักดิ์เขานับถือหลวงพ่อมาก แม้ไม่เคยได้กราบหลวงพ่อเลย เพราะเป็นเด็กรุ่นหลัง หลายครั้งโดนตำรวจไล่จับเพราะไปสูบกัญชาแต่จับไม่ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้ง ๆ ที่น่าจะจับได้ เพราะนายขจรศักดิ์เขาเป็นโรคอ้วน วิ่งไม่เร็ว ครั้งสำคัญที่ทำให้เขาเคารพหลวงพ่อมากคือ เขาวิ่งหนีตำรวจวิ่งเลาะป่ากล้วย ขณะกำลังวิ่งอยู่ปรากฏว่าตำรวจวิ่งเลยเขาไป เขาหันไปดูไม่เห็นตำรวจ เห็นแต่ตำรวจวิ่งนำหน้าไป เขาเลยหยุด เขาแปลกใจมาก งงที่สุดในชีวิต ที่ตำรวจวิ่งขับแกมาแล้ววิ่งเลยไป ตอนหลังสมเด็จหลังรูปนี้มีราคาแพงมากเข้ามีคนมาให้ราคาแพงเรื่อย ๆ นายธงกลัวจะหาย กลัวลูกชายจะนำไปขายเลยถอดเก็บ เก็บอยู่ได้ไม่นานตำรวจมาบ้าน เห็นนายขจรศักดิ์นอนหลับอยู่เอากัญชายัดใส่มือ จับเอาไปโรงพักเลย แปลกมากโดนจับหลายครั้งจับไม่ได้มาจับได้ขณะนอนหลับ แถมไม่มีกัญชาอีก เรื่องเมตตาก็ดีมากตอนนั้นยังบูชาใช้อยู่ ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปกับนายชู สว่างศรี รถไม่ได้ต่อทะเบียนมา ๕ ปี ตำรวจไม่เคยจับเลย ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืนวันหนึ่งจะกี่เที่ยวตำรวจก็ไม่จับ ขนาดตั้งด่านก็ไม่จับ นายชูมีเหรียญรุ่นเสาร์ห้า ตำรวจได้แต่พูดว่า “ถ้ากูไม่มีผลงานมึงต้องช่วยกูนะ”

เรื่องชาตรีก็ดี ชาตรีคือถูกของแข็งกระทบหนัก ๆ ไม่เจ็บ ไม่ช้ำใน เช่น โดนรถชนไม่เป็นอะไรอย่างนี้ เรียกว่าชาตรี ตอนนั้นนายแทน สุขสวัสดิ์
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มิถุนายน 12, 2013, 02:17:31 pm
มารอฟังเรื่องดีๆๆตลอดครับ บารมีหลวงพ่อกวยคุมครองครับพี่weerawat26

ขอบคุณมากนะครับ งวดนี้ ได้บารมีของหลวงพ่อช่วยแก้จนไปอีกงวดครับ โชคดีถูกเลขท้าย ๓ ตัวใบนึงครับ เดือนนี้คงเอาตัวรอดผ่านไปได้อีกครับได้บารมีของหลวงพ่อแท้ ๆ เลยครับ

ใบเดียว แต่มีคุณค่าทางจิตใจสูงครับ เป็นเพราะหลวงพ่อเมตตา

ก่อนออกจากบ้านวันนั้น ที่ขาดไม่ได้ก็คือขอพรจากพระสมเด็จขาวหลังรูปหลวงพ่อของเรานี่แหละครับ แขวนองค์นี้ประจำตัวครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ มิถุนายน 12, 2013, 06:30:08 pm
สวยครับพี่weerawat26 สมเด็จก็สวยรูปถ่ายปี21ยิ่งเข้มขลังมากครับ2in1เลยครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มิถุนายน 13, 2013, 10:27:33 am
สวยครับพี่weerawat26 สมเด็จก็สวยรูปถ่ายปี21ยิ่งเข้มขลังมากครับ2in1เลยครับ

ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มิถุนายน 14, 2013, 08:56:33 am
ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓๐๘
วันที่ ๕ พ.ค. – ๑๕ พ.ค.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


เรื่องชาตรีก็ดี ชาตรีคือถูกของแข็งกระทบหนัก ๆ ไม่เจ็บ ไม่ช้ำใน เช่น โดนรถชนไม่เป็นอะไรอย่างนี้ เรียกว่าชาตรี ตอนนั้นนายแทน สุขสวัสดิ์ บ้านอยู่หน้าวัดปากน้ำ ต.ปากน้ำ คล้องพระหลังรูปพิมพ์ใหญ่อยู่ เขาเดินมาปรึกษาผม เขาถามว่ารถจักรยานชนกับรถจักรยานยนต์ใครผิด ผมก็ตอบไปโดยตอบสั้น ๆ ว่า ธรรมดารถใหญ่ต้องผิด รู้สึกเขาพอใจในคำตอบ เขาถามต่อว่า ถ้ามอเตอร์ไซค์ได้รับบาดเจ็บ ใครผิด (เขาหมายถึงคนขี่) คงไม่ได้หมายถึงมอเตอร์ไซค์จริง ๆ ผมตอบไปว่าจักรยานคงไม่ผิดอยู่ดี รู้สึกเขาพอใจเดินกลับบ้านไป ผมสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมจักรยานคู่ชีพของแกไปไหน พอวันต่อมามีคนมาเล่าเรื่องให้ผมฟังว่า นายแทนเมาเข้าไปขี่รถตัดหน้ามอเตอร์ไซค์ มอเตอร์ไซค์ซ้อนกันมารวม ๓ คน ชนจักรยานของนายแทนอย่างจัง

ความแรงที่ชนรถจักรยานของแกรถจักรยานบิดพับได้เลย ตัวแกกระเด็นข้ามมอเตอร์ไซค์ มอเตอร์ไซค์เสียหลักคว่ำลงข้างถนน บาดเจ็บอย่างหนัก ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลทั้ง ๓ คน แต่นายแทนคนโดนชนไม่เป็นอะไรเลย ยังไปเยี่ยมคนชนที่โรงพยาบาลรถเสียหายทั้งคู่ ชนิดขี่ไม่ได้เลย เรื่องนี้ก็แปลกมาก แต่เป็นเรื่องจริง



เรื่องอำนาจก็ดีมาก เพราะสมเด็จหลังรูปนี้ หลวงพ่อได้ใส่อักขระให้ไว้ ๔ ตัว ซึ่งไม่มีในวัตถุมงคลชนิดอื่น คาถา ๔ ตัว อ่านได้ว่า“ยา นะ อิ ติ” เป็นคาถาที่หลวงพ่อเคยทดลองจารลงที่ฝาปี๊บแล้วมีคนมาลองยิงปืนถีบโดนหน้าแตกเลย ตอนหลังหลวงพ่อได้เอาอักขระ ๔ ตัวนี้จารไว้ที่ต้นสำโรงคนมาทดลองยิง ยิงไม่ออกเลย แต่ผมไม่รู้ว่าเป็นคาถาอะไร ไม่รู้จริง ๆ จะขอเล่าถึงอภินิหารของสมเด็จหลังรูปต่อ นายนิดเป็นคนอำเภอสรรค์บุรีเป็นมือปืน เป็นนักเลงชื่อสมมุติ เขาเล่าว่าเขามีศัตรูมากมาย หลายครั้งไม่รู้ว่าถึงสิบครั้งหรือเปล่า ลืมถามเขา เขาบอกว่ามีคนจ้างมือปืนมาฆ่าแก แกรู้ตัวทุกที ถ้ารู้ตัวแกจะมองหน้ามือปืน ปรากฏว่าคนที่จะมาฆ่าแกไม่กล้ายิงแก คือถ้าแกมองหน้าจะไม่มีใครกล้ายิงแกเลย แต่ก็เคยโดนยิงแต่ยิงข้างหลัง แกบอกมันมืด ๆ เลยไม่ถูก แกบอกสงสัยมันเกรงอำนาจพระหลวงพ่อ มันเลยไม่กล้ายิงข้างหน้า ผมยังได้แนะนำแกว่าทีหลังก็คล้องซะสององค์หมดเรื่อง ข้างหน้า ๑ องค์ ข้างหลัง ๑ องค์
ว่าจะจบพอดีได้รับจดหมายของหมอเฉลียว เดชมา ได้เล่าเรื่องของสมเด็จหลังรูปพิมพ์ใหญ่ไว้ คำว่าผมต่อไปนี้ หมายถึง หมอเฉลียว เดชมา ในปี พ.ศ.๒๕๑๗ มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ ๔๐ ปีได้ ท่าทางองอาจ พกปืนขนาด ๑๑ มม.มาด้วย ขับรถสิบล้อเข้ามาในวัดมาถามหาหลวงพ่อ ตอนนี้หลวงพ่อกำลังก่อสร้างพระอุโบสถอยู่จำได้ว่าเขามาทำบุญ หลวงพ่อได้หยิบพระสมเด็จให้ไปหลายแบบหลายองค์ ตัวเขาเองผมไม่รู้จักรู้แต่ว่าเป็นคนโคราช จนกระทั่งผมย้ายมาอยู่โคราช และบังเอิญได้พบกับคุณพี่ผู้หญิงคนนี้เข้าพอดี เขาจำผมได้คลับคล้ายคลับคลา แต่ผมจำเขาไม่ได้ เขาเลยถามผมว่าบ้านเดิมอยู่ที่ไหน สำเนียงไม่ใช่คนโคราช ผมเลยตอบไปว่าผมเป็นคนเมืองสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท เท่านั้นเองเขาก็จำผมได้เพราะตอนที่เขามาหาหลวงพ่อบังเอิญผมอยู่ที่นั่นด้วย เขาดีใจมากจำผมได้แม่นยำเขาเลยเล่าความหลังให้ฟัง ผมเลยจำเขาได้ ตอนนั้นเขาขับรถสิบล้อมาจากโคราช พกปืน ๑๑ มม.มาด้วย เขาเป็นคนแปลกกว่าคนอื่นเป็นผู้หญิงด้วย ผมเลยจำเขาได้แม่นยำ เขาพูดคุยถึงคุณวิเศษของพระของหลวงพ่อกวยมากมาย เขาพูดว่า พระหลวงพ่อกวยนี่แน่นอนจริง ๆ ผมก็ยิ้ม ๆ ไม่ได้พูดอะไร และขอโทษเขาที่ผมจำเขาไม่ได้ เขาอายุตก ๖๐ ปีแล้ว แต่คล้องพระเบ้อเริ่มเท่อเลย เลี่ยมทองเสียด้วย ผมเห็นผมก็จำได้ เพราะมีรูปหลวงพ่ออยู่ข้างหลัง เขาเล่าว่า ลูกมันจะเอา แต่เขาไม่ให้ เขาบอกว่าให้เขาตายเสียก่อน แล้วใครจะเอาก็เอาเถอะ องค์นี้มีประสบการณ์มาก ได้ทำมาหากินเลี้ยงลูก เลี้ยงหลานมาก็องค์นี้แหละ ยังให้ใครไม่ได้ เขาเล่าให้ฟังว่า ก่อนจะไปหาหลวงพ่อนั้นเขาก็มีรถยนต์อยู่สามคัน รถร้อยแรง ๒ คัน สิบล้อ ๑ คัน มีแต่เรื่องแต่ราว เดี๋ยวชนกัน เดี๋ยวขึ้นศาลแทบไม่เว้นเลยสักปี บางปีก็หลายครั้ง การค้าก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ มีแต่เสมอตัวกับขาดทุน ฉันกลุ้มเต็มที ได้ข่าวจากคนโคราชว่าหลวงพ่อกวย อำเภอสรรค์บุรีท่านเก่ง ก็เลยชวนลูกกะจะไปหา ตั้งหลายครั้งเขาก็ผัดผ่อนทุกที ฉันก็โมโห เลยขับรถสิบล้อมาคนเดียว จากอำเภอปากช่อง ก็ได้พบหลวงพ่อสมใจ ใครว่าหลวงพ่อดุไม่จริงเลย หลวงพ่อพูดดีจะตายไป ชวนฉันคุยจนเย็น ฉันกลับบ้านไม่ได้ เลยขับรถไปค้างบ้านญาติที่อำเภอหันคา ตอนนั้นฉันยังสาวอยู่ ฉันไม่กลัวใครเลยสร้อยทองก็ใส่ ปืนก็พก ฉันยังเอาปืนออกอวดหลวงพ่อเลย หลวงพ่อท่านชอบใจ ท่านชอบคนเก่งคนกล้า เขาว่าหมาท่านดุ ฉันก็กลัว แต่พอฉันเข้าไป ท่านมองตามันเท่านั้น มันสยบเงียบเลย พอฉันได้ของฉันก็ดีใจ มั่นใจไม่กลัวอะไรเลย หลวงพ่อยังยืนมองฉันที่หน้าต่างเลย ท่านยิ้มหัวร่อหึหึ คงจะเห็นฉันขับรถสิบล้อมา ฉันเห็นพระมามาก ใช้พระมาก็มาก ไม่เคยเจอพระดี ๆ อย่างหลวงพ่อเลย ตั้งแต่นั้นมากิจการฉันดีขึ้นกว่าเดิมมาก รถก็ไม่เฉี่ยวไม่ชนกับใคร ผิดกว่าแต่ก่อนมาก ลูกเต้าฉันก็ใช้สมเด็จของหลวงพ่อทุกคน เลี่ยมทองทุกองค์ นี่ไงปลัดของฉัน บ้านไหนออกลูกไม่ได้ ฉันเอาไปทำน้ำมนต์ แกว่งน้ำให้กินออกง่ายทุกคน ขนาดแฝดยังออกได้ บางคนหัวเราะเยาะฉัน เห็นฉันคาดปลัด หลวงพ่อบอกฉันว่าไม่ให้เรียกว่าไอ้ขิก ให้เรียกคุณปลัดจึงจะขลังหรือเรียกท่านปลัดก็ได้ คาถาทำน้ำมนต์ออกลูกฉันยังจำได้ ท่านว่า“เอตา ปิยะ ปุตตะ” หลวงพ่อบอกว่าเป็นคาถาตอนพระเวสสันดรเรียก ๒ กุมาร ให้ขึ้นมาจากสระ ตอนที่ชูชกมาขอ ผมก็เลยเย้าเขาว่า แล้วสมเด็จในคอจะขอเช่าไม่ได้หรือ เขาตอบว่า ถ้าขอ ขอสร้อยทองในคอจะดีกว่า เพราะสร้อยถ้ามีเงินเดี๋ยวก็ซื้อได้ แต่พระสมเด็จนี้มีเงินก็หาซื้ออีกไม่ได้ หากินคล่องจริง ๆ ไปหาเจ้านายอะไรก็ดี ฉันไปต่อทะเบียนรถ เขาเสียเงินค่าโน่นค่านี่กันเยอะแยะ บางทีนั่งรอกันเป็นวัน ๆ แต่ของฉันแปลก พอพนักงานเห็นเข้าคว้าเอาไปทำให้เลย เดี๋ยวเดียวก็กลับบ้านได้ เงินก็ไม่ถูกไถเหมือนคนอื่น เขายังพูดว่า ถ้าใครได้สมเด็จของหลวงพ่อกวยไว้บูชา ก็นับว่าเป็นบุญอันประเสริฐยิ่ง
ก็ขอสมมุติยุติเรื่องสมเด็จหลังรูปพิมพ์ใหญ่ ไว้เพียงนี้ สมเด็จหลังรูปพิมพ์ใหญ่นี้ปัจจุบันมีปลอม ทำได้เหมือนมาก และปัจจุบันหายากมากเช่นกัน จะเช่าหาขอให้ได้จากคนที่เชื่อใจได้จริง ๆ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มิถุนายน 20, 2013, 11:54:54 am
ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓๐๙
วันที่ ๑๕ พ.ค. – ๒๕ พ.ค.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


จดหมายจากเชียงใหม่
๒๒๗ ถ.ท่าแพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ๕๐๐๐๐

๓๑ พ.ค.๓๔

คุณครูที่นับถือ

คุณครูครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่ขาดการติดต่อไปนานพอสมควร สำหรับเรื่องที่หลวงพ่อไปปลุกเสกพระ ที่เชียงใหม่ผมไปสอบถามทางวัด และคนที่ดูแลพิพิธภัณฑ์ที่วัดดอยสุเทพแล้วครับ ในวันที่ ๙ เม.ย.๑๕ นั้น มีการปลุกเสกพระจริง และหลวงพ่อก็ร่วมในพิธีด้วย(คนที่บอกผมนั้นเค้าจำหลวงพ่อไม่ได้เรียกแต่ว่าพระครูสรรค์) แต่ไม่สามารถที่จะหาเอกสารในการสร้างได้ เพราะทางวัดไม่ได้เก็บรักษาไว้เลย ทราบเพียงแต่ว่า พระร่วงนั้นมีพ่อค้าชาวอินเดียวเป็นคนเอาพระไปให้ที่วัดดอยสุเทพ (ชาวอินเดียวเป็นเจ้าของโรงงานปั๊มพระที่กรุงเทพ) สำหรับการที่จะเช่าหานั้น คงจะเป็นการยากลำบากในการแยกแยะว่าองค์ไหนสร้างในปี ๑๕ จริง เพราะมีของสร้างใหม่ออกมาเรื่อย ๆ เพื่อที่จะให้คนบูชาบนวัดพระธาตุฯ

นับถือ

สมพงษ์  พรหมกา

ปล.สำหรับภาษาที่เขียนอยู่ด้านหลังพระร่วงนั้น เป็นภาษาคำเมืองหรือล้านนา อ่านว่า วัดพระธาตุดอยสุเทพ ๑๙ เมษายน ๒๕ เขาแกะบล็อกผิดพลาดที่จริงคือ ๙ เมษายน ๑๕

ตอบตอบ คุณสมพงษ์ ขอบคุณมากครับที่อุตส่าห์ค้นหาประวัติการสร้างพระร่วงหลังรางปืน วัดพระธาตุดอยสุเทพ เชียงใหม่ ในวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๑๕ ให้ คือในวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๑๕ ทางวัดพระธาตุดอยสุเทพ ได้จัดทำพิธีพุทธาภิเษกพระร่วงรางปืนขึ้น เป็นพิธีใหญ่มาก ผมคิดว่าวัตถุมงคลอาจมีหลงเหลืออยู่ และอยากได้รายชื่อพระคณาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสก แต่เวลานานมากแล้ว วัตถุมงคลชุดนี้ได้หมดไปจากวัดนานแล้ว เอกสารต่าง ๆ ทางวัดก็ไม่มีแล้ว

คือสาเหตุที่ผมอยากให้คุณสืบให้ เพราะคุณอยู่ทางโน้น และอีกอย่างหนึ่งพระร่วงชุดนี้ ทางวัดได้ถวายหลวงพ่อมาจำนวนหนึ่ง หลวงพ่อได้แจกให้ไปเฉพาะศิษย์ที่ไปรับจ้างรบที่สงครามลาว พระชุดนี้มีอภินิหารดีมาก ศิษย์บางคนโดนยิงจนเสื้อขาดไม่เข้าเลย ไม่เจ็บไม่หักด้วย นายทหารให้ราคาสูงมาก แม้ปัจจุบันในสรรคบุรีก็มีราคาแพงมาก

ก็ขอขอบพระคุณคุณสมพงษ์เป็นอย่างสูง ขอบคุณเรื่องที่คุณทำรูปโปสการ์ดให้ด้วย เป็นรูปรุ่นสุดท้ายแต่เอาไปทำใหม่ เดิมเป็นรูปขาวดำแต่ใช้ฟิล์มสีถ่ายเรียกว่ารูปซีเปีย คุณได้นำไปเข้าพิธีที่เชียงใหม่แล้วมีหลวงพ่ออุตตมะ หลวงพ่อลำไยวัดทุ่งลาดหญ้า คุณสถาพร(อ๊อด) ช่างสมบูรณ์ ได้นำมามอบให้ คุณสถาพรเล่าว่าช่างที่ร้านถ่ายรูปพอรับงานนี้ และรูปเดิมได้เข้าร้านปรากฏว่ามีงานเข้าร้านดีมาก เจ้าของร้านได้อัดขยายเป็นรูปใหญ่เพราะศรัทธา เมื่อนำรูปเข้าพิธีได้จุดธูปบอกหลวงพ่อก่อน พระในพิธีเห็นรูปเกิดศรัทธา ได้ยกรูปหลวงพ่อเข้าพิธี ยกรูปหลวงพ่อไว้ที่พระประธานเลย นับว่าแปลกมาก เจ้าของร้านยังได้นำฟิล์มมีรูปหลวงพ่อเข้าพิธีด้วย เจ้าของร้านให้เหตุผลว่าถ้าใครมาอัดขยายอีก จะได้ศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ในฟิล์มเลย

รูปรุ่นนี้ผมได้แจกให้คนที่ทำบุญมูลนิธิ เพราะมีไม่มากท่านอาจารย์สำรวยได้ขอเอาไปครึ่งหนึ่ง

ขอขอบคุณคุณสมพงษ์ ขอบคุณทุก ๆ ท่าน

เฒ่า สุพรรณ


ระลึกถึงก็มา
เรื่องของพลังจิตเป็นเรื่องลึกลับอำนาจจิตและจิตวิญญาณ ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจ เล่ากันว่าพระอภิญญาก็ดี พระอรหันต์ก็ดี หากระลึกถึงแม้จะอยู่ไกลขนาดคนละซีกโลกหรือคนละฟากฟ้า ท่านก็สามารถรับรู้ได้ สามารถช่วยได้ถ้าพระที่เราระลึกถึงนั้นเก่งจริง หรือวิบากกรรมของเราไม่มาตัดรอนจนเกินไป ถ้าท่านช่วยได้ท่านจะมาช่วย

หลวงพ่อกวยท่านเป็นพระองค์หนึ่งที่มีตา จิตมหัศจรรย์ เล่ากันว่าท่านสำเร็จอภิญญา ๖ พูดถึงท่าน ระลึกถึงท่าน ท่านสามารถรับรู้ได้ เล่ากันว่าพระอภิญญา ๖ นี้จิตท่านยังห่วงอยู่ในศิษย์และมนุษย์โลก ดวงจิตของท่านที่สิงสถิตอยู่ที่วัดคอยช่วยเหลือศิษย์นี้ เหมือนกันกับพระผู้เฒ่าองค์หนึ่งแห่งสรรคบุรีในอดีต คือหลวงพ่อเฒ่า แห่งวัดค้างคาว จนมีศิษย์หลายคนตั้งฉายาให้ท่านว่า “ผู้วิเศษเมืองสรรค์” ซึ่งฉายานี้ตรงกับฉายาของหลวงพ่อเฒ่าวัดค้างคาว เมื่อมีศิษย์หลายคนจะเรียกท่านอย่างนี้ ผมเลยบอกกับเขาไปว่า ให้ใช้คำว่าองค์ที่ ๒ ต่อท้ายแล้วกันคือ “ผู้วิเศษเมืองสรรค์องค์ที่ ๒” เพราะหลวงพ่อเฒ่าเป็นรุ่นครู หลวงพ่อเป็นรุ่นศิษย์ใช้ตำราเล่มเดียวกัน มีคุณวิเศษคล้ายกัน คนเคารพนับถือมาก และมีการบนบานศาลกล่าวกันมาก เรียกว่าหัวหมู ผ้าป่าพุ่มเล็กพุ่มน้อย ภาพยนตร์ ลิเกนี่ บนกันเป็นประจำ

ต่อไปจะขอเล่าเรื่องของหลวงพ่อที่รักศิษย์ เมื่อศิษย์บอกเล่าสามารถรับรู้ได้และมาช่วยได้ มีพยานบุคคลยืนยัน มีวันที่เกิดเหตุ แม้หลักฐานที่โรงพยาบาลก็สามารถค้นได้ นายน้อยเป็นคนข้างวัดพระแก้ว อ.สรรคบุรี ได้ไปธุระกับภรรยาที่จังหวัดชัยนาท พอถึงสี่แยกสะพานใหม่ที่จะข้ามไปจังหวัดชัยนาท รถมอเตอร์ไซค์ของนายน้อยได้ถูกรถปิคอัพวิ่งมาด้วยความเร็วสูงมาก รถปิคอัพได้ชนรถมอเตอร์ไซค์ของนายน้อยอย่างจัง ขณะที่รถปิคอัพวิ่งชนรถมอเตอร์ไซค์ของนายน้อย นายน้อยได้สติได้ร้องให้หลวงพ่อกวยช่วย เสียงร้อยหลวงพ่อกวยช่วยด้วยดังลั่น แต่หลวงพ่อก็ช่วยนายน้อยไม่ทัน ปรากฏว่าทั้งนายน้อย ภรรยา และรถมอเตอร์ไซค์ของนายน้อยกระเด็นไปไกลมาก รถปิคอัพเมื่อชนแล้วก็หนีตามระเบียบ จะเป็นด้วยดวงซวยหรือรถคันนี้วิ่งไปชนเอาศิษย์หลวงพ่อกวยเข้าก็ไม่รู้ พอรถวิ่งไปได้สัก ๕๐ เมตรได้ ยางเกิดแตกดังสนั่น ตำรวจไทยมาพอดีจับคนขับรถปิคอัพไว้ได้ เรื่องนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องอุบัติเหตุธรรมดา ๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องธรรมดา ๆ ผมจะไม่เล่าให้ฟังแน่เพราะเขียนเมื่อยมือ

เมื่อตำรวจนำร่างของนายน้อยกับภรรยาไปส่งโรงพยาบาลจังหวัดชัยนาท ผลการตรวจขั้นต้นทั้งตำรวจและนายแพทย์ตกใจไปตาม ๆ กัน เพราะนายน้อยกับภรรยาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย แล้วสลบไปได้อย่างไร ปกติคนสลบโดยมากจะต้องบาดเจ็บ ตำรวจได้ค้นในตัวนายน้อยเจอรูปหล่อกริ่ง ๑ องค์ ที่ภรรยานายน้อยคล้องเหรียญพุ่มข้าวบิณฑ์ ๑ เหรียญ ขณะที่หมอ พยาบาล ตำรวจ กำลังงง ๆ อยู่ในเหตุการณ์กำลังดูเหรียญดูรูปหล่ออยู่ มีแม่ชีอีกคนหนึ่ง เข้าใจว่าเป็นคนมีวิชาพอสมควร ได้พูดว่าหลวงพ่อองค์นี้เก่งนักหนาอยู่วัดไหน นายน้อยซึ่งกำลังสลบอยู่ได้พูดว่า “ข้าอยู่วัดบ้านแค ไอ้น้อยมันเรียกให้ข้าช่วย ข้าเลยช่วยมัน มันนับถือข้ามาก ไอ้คนชนมันจะหนี ข้าเลยทำให้ยางรถมันแตก” แต่เสียงที่พูดนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อย เป็นเสียงของคนแก่ แม่ชีและคนที่อยู่ที่นั้นเลยเข้าใจว่า แท้จริงจิตที่แฝงในร่างของนายน้อยคือหลวงพ่อกวยนั่นเอง เมื่อนายน้อยและภรรยาฟื้นจากสลบปรากฏว่าไม่เป็นอะไรเลย หมอตรวจเช็คแล้วให้กลับบ้านได้ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๓๓ มีคนจากโรงพยาบาลและสถานที่เกิดเหตุเดินทางมาเช่าวัตถุมงคลที่วัดกันหลายคน มากันเป็นคันรถเลย

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการระลึกถึง แล้วหลวงพ่อสามารถรับรู้ได้ คือคุณฉลวย มากพานิช บ้านอยู่โพธิ์งาม ตั้งร้านค้าทางเข้าวัดโพธิ์งามเลย ต.ดอนกำ อ.สรรคบุรี คล้องเหรียญโล่ทองแดง กับรูปพรรษาสุดท้าย ๒ อย่างไปล้างจานที่คลองชลประทาน ปรากฎว่าสร้อยขาดพระหล่นลงน้ำหายไปงมหาเท่าไรก็ไม่เจอคุณฉลวยรู้สึกเสียดายพระมากได้ใช้ตะแกงร่อนหาก็ไม่เจอ นึกขึ้นได้เดินขึ้นบ้านไปจุดธูป ๙ ดอก เทียน ๒ เล่ม บอกเล่าต่อหลวงพ่อต่อหน้ารูปถ่ายโปสการ์ดแล้วลงมางมเจอเลย แปลกมาก คุณฉลวยบอกหลวงพ่อกวยนี้ อำนาจจิตดีจริง ๆ

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องของพลังจิตของหลวงพ่อที่ทำให้รถยางแตก คล้ายเรื่องแรก เรื่องเดียวเดี๋ยวจะว่าฟลุค คือวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๓ มีภาพยนตร์มาฉายกลางแปลง ขายยา ที่วัดหน้ารูปหล่อ จะบริษัทอะไรอันนี้ผมไม่ควรจะพูดเพราะกระเทือนเขา ไม่ดี ทีนี้ขณะขายยาได้โฆษณาสรรพคุณของยาเกินขนาด ยกขวดเดียวรักษาได้สารพัดโรค แถมสาบานต่อหน้ารูปหล่อหลวงพ่อด้วยว่า ถ้ายาของเขาไม่ดีจริง ขอให้คณะของเขาหน่วยรถของเขา ให้มีอันเป็นไปต่าง ๆ นานา คือสาบานส่งเดชไป เพราะเขาไม่ได้นับถืออะไรหลวงพ่อ หลวงพ่อก็เป็นแต่รูปหล่อพูดก็ไม่ได้ ชาวบ้านก็หลงเชื่อเห็นเขากล้าสาบานซื้อกันไปหลายขนาน หนังก็ฉายจบไปด้วยดี หลวงพ่อคงกลัวชาวบ้านอดดูหนังเลยปล่อยให้ดู เมื่อคณะหนังเร่จะกลับก็กลับไปด้วยดี พอขี่รถพ้นวัดไปได้ประมาณ ๕๐ เมตรได้ ยางแตกดังปัง ไปไม่ได้เลย พอเปลี่ยนยางเสร็จจะไป หม้อน้ำรั่วอีก คอยจนสว่างยุงกัดด้วย พอสว่างก็หาจ้างรถมาทำหม้อน้ำ หาช่างก็ไม่ได้อีก โฆษกนึกขึ้นได้เลยพาพวกพ้องมากราบขอขมาหลวงพ่อที่หน้ารูปหล่อใหญ่ คราวนี้กลับไปหาช่างมาทำหม้อน้ำ จึงไปได้ โฆษกบอกผมเข็ดจริง ๆ คราวหน้าผมไม่กล้าล่วงเกินหลวงพ่ออีก

เรื่องนี้ก็ขอจบเพียงเท่านี้ ความจริงตั้งใจจะเล่าถึงเรื่องนายน้อยสลบอยู่แต่สามารถพูดได้เท่านั้น
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: dew ที่ มิถุนายน 20, 2013, 01:18:26 pm
สุดยอดครับหลวงพ่อของเราเก่งจริงๆ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ มิถุนายน 20, 2013, 07:57:56 pm
ขอบคุณครับที่นำเรี่องราวปฎิหารหลวงพ่อกวยมาให้ลูกศิษย์ได้ฟังครับ :D :D :D :D :D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มิถุนายน 27, 2013, 12:14:16 pm
ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓๑๐
วันที่ ๒๕ พ.ค. – ๕ มิ.ย.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


จดหมายคุณธวัช สำลก
๓๓/๔ ม.๒ ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ๒๐๑๑๐


กราบนมัสการท่านอาจารย์สำรวย

ผมจะขอเล่าถึงอภินิหารของหลวงพ่อกวย และสมเด็จหลังรูปคือ วันที่ ๑๖ ก.ค.๒๕๓๔ ผมถูกหวย โดยผมทำแบบนี้ครับ ก่อนหวยออกผมได้ทำน้ำมนต์ใส่แก้วน้ำ จุดธูปเทียนบอกเล่าหลวงพ่อว่า ถ้าผมถูก ๓ ตัวบน ผมจะไปทอดผ้าป่าครับ ถ้าถูก ๒ ตัว ผมจะทำบุญ ๑,๐๐๐ บาทครับ โดยผมทำตัวเลข ๑ – ๐ แล้วผมก็หยิบตัวเลขขึ้นมาทีละ ๑ ตัว ได้เลข ๔๔๖ ครับ ผมเลยซื้อ ๔๔๖ ไป ๒๘๐ บาท ซื้อ ๔๖ ไป ๑๐๐ บาท บอกหลวงพ่อว่าผมเดือดร้อน จะเอาเงินไปใช้หนี้เขา ผลปรากฎว่าโชคผมมีแค่ ๒ ตัว ถูกไป ๑๐๐ บาท ผมจึงส่งเงินมาทำบุญ ๑,๐๐๐ บาทครับ

ถ้าต่อไปผมถูกอีกผมจะมาทอดผ้าป่าครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

ธวัช สำลก

 
จดหมายคุณอาทิตย์ โลหะชาละ
 สวัสดีครับพี่เฒ่า

หวังว่าคงจะจำกันได้นะ ผมว่าจะเขียนมาคุยด้วยหลายครั้งแล้ว ก็ยังไม่ว่างสักที ผมจำได้ว่าอ่านเรื่องของพี่ที่ลงในนะโม จำไม่ได้ว่าเล่มที่เท่าไร แต่จำได้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับวัตถุมงคลวัดต่าง ๆ ที่หลวงพ่อไปร่วมปลุกเสก โดยกล่าวว่าพระที่วัดเทพากรฝั่งธนบุรี หลวงพ่อก็ไปร่วมปลุกเสกด้วย (ไม่ทราบว่าที่หลวงพ่อไปร่วมปลุกเสกนั้นกี่ครั้งครับ เพราะที่วัดเทพากร ออกพระมาหลายรุ่นเหมือนกัน) จำได้ว่ารุ่นแรกนั้นออกปี ๒๕๑๓ เป็นเหรียญ ๒ แบบ แบบแรกเป็นเหรียญกลมด้านหน้าเป็นรูปพระคันธาราษฎร์ด้านหลังเป็นรูปพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรีทั้ง ๙ พระองค์ เรียกว่าเหรียญ ๙ รัชกาลครับ ส่วนอีกแบบด้านหน้าเป็นรูปพระคันธาราษฎร์เหมือนกันแต่ไม่มีขอบวงกลม คือตัดเข้ารูปองค์พระเลย ด้านหลังมีพระคาถา(อะไรผมก็จำไม่ได้แล้ว) และตัวหนังสือว่าที่ระลึกสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม พ.ศ.๒๕๑๓ ส่วนพระเนื้อดิน เนื้อผง จะมีหรือเปล่าผมจำไม่ได้ เพราะตั้ง ๒๐ ปีมาแล้ว ตอนนั้นผมอายุ ๑๒ เอง จำได้ว่าที่วัดมีงานใหญ่มากมีการสวดภาณยักษ์ หุงน้ำมันมนต์ และปลุกเสกพระนี่แหละ รุ่นนี้ดังมากเพราะพอปลุกเสกเสร็จพวกรุ่นพี่ ๆ ที่วัดก็เอาไปลองยิงกันที่หลังโบสถ์เลยครับ เห็นว่ายิงไม่ออกเลยสักนัดไม่ว่าจะปืนกี่กระบอกก็เหมือนกัน เหรียญรุ่นนี้ออกเร็วมากไม่ทันหมดงานก็เกลี้ยงเลยละครับ ที่บ้านผมยังได้ไว้แค่ ๒ – ๓ เหรียญเอง วัตถุมงคลของวัดเทพากรรุ่น ๒ – ๓ หลวงพ่อมาปลุกเสกด้วยหรือเปล่าครับ ถ้ามาร่วมปลุกเสกด้วย วันหลังผมจะได้เขียนรายละเอียดส่งมาให้อีก

นายอาทิตย์ โลหะชาละ

กลุ่มส่งเสริมการออกแบบ กองบริการอุตสาหกรรม ซอยตรีมิตร กล้วยน้ำไท พระโขนง กทม.๑๐๑๑๐


ตอบตอบ คุณอาทิตย์ที่นับถือ คุณนามสกุลเพราะจังเลย ขอบคุณมากครับที่ให้ข้อมูลมา วัตถุมงคลที่วัดเทพากร ในปี ๒๕๑๓ เขาว่ายิงไม่ออกมีคนลอง ผมก็เคยได้ยิน หลวงพ่อไปปลุกเสก พ.ศ.๒๕๑๓ ๒๕๑๕ ๒๕๑๘ รวม ๓ ครั้ง แต่หลักฐานที่ผมมีอยู่ครั้งเดียวคือ พ.ศ.๒๕๑๓ พระที่มาปลุกเสกเป็นพระภาคใต้เกือบทั้งหมดโอกาสหน้าจะนำรายละเอียดการปลุกเสกมาลงให้อ่านพระชุดนี้(พ.ศ.๒๕๑๓)ที่ดังที่สุดคือ ด้านหน้าเป็นพระสีวลีด้านหลังเป็นพระสังกัจจายน์ เขียนว่า วัดเทพากร พ.ศ.๒๕๑๓ จำหน่ายในสมัยนั้นองค์ละ ๑๐ บาท น่าบูชาครับ

ขอบคุณ

เฒ่า สุพรรณ


ต่อไปจะเล่าถึงตะกรุดตำราของหลวงพ่อ
ต่อไปจะเล่าถึงตะกรุดตำราของหลวงพ่อ กรรมวิธีการสร้างพอสังเขป และอภินิหารของตะกรุดซึ่งสมควรบันทึกเอาไว้ ตลอดจนการใช้ชีวิตแบบนักเลงของศิษย์ของหลวงพ่อ ซึ่งไม่ควรนำมาเป็นแบบอย่าง แต่สมควรฟังและเรียนรู้เอาไว้

ตะกรุดเป็นวัตถุมงคลหรือเครื่องรางที่สร้างจริง ๆ ไม่ได้สร้างได้ง่าย ตะกรุดเป็นแผ่นยันต์จารอักขระเลขยันต์ แม้อักขระตัวหนึ่งหลวงพ่อผู้จารต้องเรียกสูตร เรียกอักขระ เรียกอาการ อักขระบางตัวต้องลงไปจารใต้น้ำ ก่อนจารต้องล้างมือให้สะอาด ต้องเสกมือก่อน ต้องดูฤกษ์ยาม ในการสร้างต้องเสกแผ่นยันต์ก่อน ต้องเสกเหล็กจารก่อน หลวงพ่อนิยมสร้างตะกรุด แต่ถ้าจะทำพิเศษจะทำดอกใหญ่ลงยันต์มหากาฬ เรียกว่าตะกรุดมหากาฬ ถ้าทำดอกเล็กหลวงพ่อจะให้เอาไว้ข้างหน้าเรียกว่าตะกรุดแคล้วคลาด บางคนเรียกว่าตะกรุดวิรุฬจำบัง คือแคล้วคลาดเหมือนวิรุฬจำบัง บางครั้งหลวงพ่อทำให้ ๒ ดอก ดอกเล็กไว้หน้าดอกใหญ่ไว้หลัง เรียกว่าตะกรุดแม่ทัพ บางครั้งหลวงพ่อก็ทำชนิด ๕ ดอก ๖ ดอก ๗ ดอก ตะกรุด ๗ ดอกมีเคล็ดคือไม่ตายใน ๗ วัน เรียกว่าฝืนลิขิต แต่หลวงพ่อก็ไม่ค่อยทำบ่อยนัก ส่วนมากจะทำให้ดอกเดียว เรียกว่า ตะกรุดโทน ไม่นิยมจำหน่าย ในเวลามีงาน ชอบให้เป็นราย ๆ ไป

วิธีการใช้ ถ้าสู้ให้เอาตะกรุดไว้ข้างหน้า ถ้าหนีให้เอาตะกรุดไว้ข้างหลัง คาถาหลวงพ่อไม่เคยบอกได้แต่บอกให้ระลึกเอา คือ ให้นึก ๆ เอา ส่วนข้อห้ามคือ ห้ามเอาเดาะหัวคนเล่นจะความจำไม่ดี สติไม่ดี และข้อห้ามในการใช้คือห้ามโวยวาย ร้องท้าด่าแม่ตะกรุดเป็นวัตถุมงคลชนิดหนึ่งที่หลวงพ่อมีความมั่นใจสูงมาก เพราะหลวงพ่อเคยทดลองจารอักขระ ๔ ตัว ให้คนทดลองยิง ให้ปืนถีบก็ได้ ให้ไม่ออกก็ได้ ตะกรุดชุดแรกหลวงพ่อได้จดชื่อศิษย์ที่หลวงพ่อมอบให้ไว้ทั้งหมด ประมาณการสร้างตะกรุด มีด การสัก และเหรียญ แบ่งได้ประมาณ ๓ ยุค หรือ ๓ รุ่น หลวงพ่อเขียนไว้ว่า รุ่นที่ ๑ คุณภาพดี รุ่นที่ ๒ คุณภาพเยี่ยม รุ่นที่ ๓ ครอบจักรวาล ลายมือนี้ผมเคยเจอ อ่านดูแล้วยังขำ ๆ ก็ไม่รู้ว่ารุ่นไหนดีกว่ากัน

การสร้างตะกรุดของหลวงพ่อหลวงพ่อจารเองทุกดอก อันนี้เป็นเรื่องจริง มีดหมอก็เช่นกันหลวงพ่อบรรจุเองทุกเล่ม แต่การทำสายไม่มีหลักฐานแน่นอน การถักหลวงพ่อถักเองบ้าง ให้ศิษย์ถักบ้าง แต่จารเอง มีหลักฐานการถักตะกรุดของหลวงพ่อ คือ วันหนึ่งหลวงพ่อกำลังถักหุ้มตะกรุดอยู่ บังเอิญมีศิษย์มาจากกรุงเทพฯ มาขอถ่ายรูป หลวงพ่อเลยเอาตะกรุดเหน็บไว้ที่เอว เมื่อถ่ายรูปเสร็จและศิษย์กลับไปแล้ว หลวงพ่อได้พูดกับหมอเฉลียว เดชมา ว่า “สงสัยรูปจะถ่ายไม่ติด เพราะเอาตะกรุดเหน็บเอวอยู่” ผลคือถ่ายไม่ติดจริง ๆ

ต่อไปจะขอกล่าวถึงอภินิหารของตะกรุด และนิสัยของศิษย์ของหลวงพ่อเอาพอสังเขปสัก ๒ คน ปีหนึ่งหลวงพ่อยังแข็งแรงดี มีพระบวชใหม่มาอยู่ด้วย ๑ องค์ นิสัยดีมากชื่อ ห้อย ดูแลหลวงพ่อทุกอย่างใจถึง หลวงพ่อได้สักเสือ สักหนุมานให้ไป เมื่อมาลาสิกขาบทคือสึกออกไปเป็นฆราวาส ตอนจะรดน้ำมนต์หลวงพ่อได้ถามว่าเมื่อสึกไปจะไปทำอะไร นายห้อยได้ตอบว่าผมเอาทุกอย่าง หลวงพ่อได้มองหน้านิ่งอึ้ง หลวงพ่อคงจะคิดว่าศิษย์ท่านคนคงชอบกลอยู่ หลวงพ่อได้ทำตะกรุด ๖ ดอกให้ไป นายห้อยได้ไปปล้นเขาก็เคย ลักควายเขาก็เคย ไม่เคยโดนยิงตรง ๆ เลย เคยแต่โดนยิงแต่ไม่ถูก บางครั้งโดนยิงเป็นห่าฝนลูกปืนตกน้ำเป็นฝนตกเลยแต่ไม่ถูกเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งไปลักวัวกับเพื่อน เพื่อนโดนยิงขาเดินไม่ได้แกได้ประคองเพื่อนหนี ผลคือลูกปืนเป็นร้อย ๆ เม็ด ยิงแกไม่โดนเลยสามารถคุ้มครองเพื่อนได้ นับว่าแปลกมาก ปัจจุบันแก่แล้ว เลิกอาชีพนี้แล้ว ยังมีชีวิตอยู่ มีเมีย ๒ คน ขี่รถมอเตอร์ไซค์ขนาดแก่ ๆ รถวิ่งได้เท่าไรบิดหมด แกเล่าว่าตอนสักมาใหม่ ๆ โดนดักตีด้วยไม้หน้า ๓ ตีแกไม่อยู่ อำนาจเสือในตัว อำนาจหนุมานได้ขึ้น เรียกว่าของขึ้น กัดคอคนตี เส้นเลือดขาด ตอนนั้นเสียเงินไปหลายหมื่นกว่าจะปิดคดีได้เรื่องนายห้อยมีเท่านี้ เจ้าของไม่ยอมเล่า
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 01, 2013, 09:37:36 am
ขอบคุณครับที่นำเรี่องราวปฎิหารหลวงพ่อกวยมาให้ลูกศิษย์ได้ฟังครับ :D :D :D :D :D


วันนี้ วันดีครับ ขอให้ลูกศิษย์หลวงพ่อทุกท่านโชคดีมีลาภผลกันทั่วทุกคนเลยนะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 01, 2013, 04:00:50 pm
ขอบคุณครับที่นำเรี่องราวปฎิหารหลวงพ่อกวยมาให้ลูกศิษย์ได้ฟังครับ :D :D :D :D :D


วันนี้ วันดีครับ ขอให้ลูกศิษย์หลวงพ่อทุกท่านโชคดีมีลาภผลกันทั่วทุกคนเลยนะครับ

646905


075 284 903 904

51



ใครถูกหวยบ้างครับ ยกมือขึ้น
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 03, 2013, 10:10:37 am
ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓๑๑
วันที่ ๕ มิ.ย. – ๑๕ มิ.ย.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


อีกคนหนึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิดของหลวงพ่อ คนนี้เป็นนักเลง มือปืน บางคนเรียกว่ามือปืน แต่เขาไม่ได้เป็นมือปืน ต้องเรียกว่านักเลงแต่ไม่ใช้เจ้าพ่อ ไม่อยู่ใต้คำสั่งใคร ชื่อสมัคร ยอดย้อย หรือเสือสมัคร พี่สมัครนี้ เคยได้ยินได้แต่ชื่อ ติดตามภาษาเด็ก ๆ ว่า มือปืนหรือนักเลงต้องดุ ต้องห้าว แบบในหนังไทยหรือไม่ก็แต่งตัวหล่อ ผมได้พบเขา ๑ ครั้งตอนนั้นเขามาบวชแก้บนให้กับหลวงพ่อ รูปร่างใหญ่โตตัวดำหน้าเหี่ยว แสดงว่าผ่านโลกมามาก พูดจาสุภาพ เห็นตัวจริงแล้วคิดผิดไปถนัด พี่สมัครเคยอยู่กับหลวงพ่อแต่เล็ก หลวงพ่อสักให้ ให้คาถาไป ให้ตะกรุดไป ๑ ดอก ชีวิตเด็กหนุ่มอำเภอสรรค์บุรี ชอบเที่ยวชอบพเนจร พี่สมัครไปมันทั่ว เป็นเสือ เป็นโจร เป็นมือปืน แต่ไม่เป็นคอมมิวนิสต์ ชีวิตเคยรุ่งโรจน์เคยเป็นผู้ใหญ่บ้าน อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์

ต่อไปเป็นคำถามที่ผมได้ถามพี่สมัคร วันนั้นได้ถามต่อหน้าอาจารย์สำรวย และมีทหารจากจังหวัดนครนายก อยู่ด้วย ๑ คน ผมได้ถามว่าพี่เคยโดนยิงกี่ครั้ง พี่สมัครตอบว่าหลายสิบครั้ง ครั้งแรกโดนผู้ใหญ่แถม บ้านหนองแขม ยิง ไปลักควายเขา ยิงในป่า ยิงหลายนัดไม่ถูกเลย มีตะกรุดดอกเดียว อีกครั้งหนึ่งโดนยิงขณะลักควายเขามา ขี่หลังควายมากับนายฮวด นายฮวดโดนยิงร่วงจากหลังควายตายเลย แต่ผู้ใหญ่แถมยิงแกไม่ถูก โดนยิงที่หอระฆัง อ.สรรค์บุรี

ผมได้ถามต่อไปว่าแล้วโดนยิงที่ไหนอีก พี่สมัครตอบว่า ตอนนั้นอยู่อำเภอวิเชียร ไปลักควายเขาเอาตัวเล็กต้มกิน ตื่นมากลางคืนเจ้าของตามมาทันพอดี เจ้าของได้ยิงขณะที่คนอื่นกำลังนอนหลับ แกเลยวิ่งสวนปืนออกไป ยิงไม่ถูกอีกเช่นกัน แต่เพื่อน ๆ ตายไป ๒ – ๓ คน

ผมได้ถามว่า ที่นายขี่รถไปคว่ำที่สะพานเดชา จ.นครสวรรค์ ตอนนั้นดังมาก อยากทราบว่าเป็นมาอย่างไร พี่สมัครตอบว่า ตอนนั้นผมไปธุระ ขี่รถผ่านสะพานเดชา จ.นครสวรรค์ มีคนแก่กับเด็กเดินตัดหน้า ผมเบรกอย่างแรงกลัวจะชนคน ผลคือรถผมพลิกคว่ำหงายท้องเลย กระเด็นตกข้างทางไปไกลมาก แต่ไม่ชนคน ตำรวจมาแงะเอาตัวคนออกมา นักข่าวก็มาสัมภาษณ์ ผมก็พูดจาเรื่อยเฉื่อยไม่อยากให้เขารู้จัก ผมเข้าโรงพยาบาล ตัวบวมนอนเต็มเตียงเลย ผู้ว่ามาเยี่ยม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ตอนนั้น ผมได้ถามว่าขนาดผู้ว่ามาเยี่ยมเลยหรือ พี่สมัครพูดว่า จะมาเอาตะกรุดที่ลงหนังสือพิมพ์นะสิ มาแค่นให้ ๑๐,๐๐๐ บาท (เงินเมื่อ ๒๐ ปีกว่าปีมาแล้ว) ผมไม่ให้
 
ผมได้ถามพี่สมัครว่า มั่นใจในตะกรุดหลวงพ่อมากที่สุดตอนไหน พี่สมัครตอบว่า ตอนนั้นผมไปปล้นเขาที่อำเภอสวรรคโลก จ.สุโขทัย ไปกัน ๗ คน เขาคนรวย มีวิธีป้องกันที่ดีมาก พอเข้าปล้นผมโดนล้อมยิง ตายไป ๕ คน เหลืออยู่ ๒ คน ยิงไปยิงมาลูกปืนหมด เลยยอมให้จับตัว เขาก็คนจริง คนอำเภอสวรรคโลกเป็นคนจริง เขาจับได้ไม่ได้ซ้อมเลย ได้แต่มัดมือไพล่หลังเท่านั้น พาขึ้นไปบนบ้านหลังหนึ่ง คนเต็มไปหมด ปืนทั้งนั้น พักใหญ่เขาหาข้าวให้กิน เขาแก้มัดด้วย แต่คนมาก พอกินข้าวได้ ๒ – ๓ คำ พี่สมัครก็พูดกับเพื่อนว่ามึงจะอยู่ให้เขายิงหรือมึงจะหนี เพื่อนบอกว่าหนี พอเพื่อนบอกว่าหนีแกก็วิ่งโจนลงจากบ้านเลย ปืนตก ๓๐ กระบอกยิงขนาดต้นไม้เล็ก ๆ ขาดเป็นทาง ยิงแก ๒ คนไม่ถูกเลย หนีขึ้นไปจังหวัดเชียงใหม่ ผมได้ถามว่าเพื่อนอีกคนหนึ่งก็โดนยิงไม่ถูกแสดงว่าต้องมีของดี เขาเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อหรือเปล่า พี่สมัครตอบว่าเปล่า มันเป็นศิษย์หลวงพ่อโม วัดจันทนาราม(ต.ห้วยกรด อ.สรรค์บุรี) มันมีตะกรุดหลวงพ่อโมดอกเดียว
 
ผมได้ถามว่า พี่เคยโดนยิงแล้วไม่เข้าเคยหรือไม่ พี่สมัครตอบว่าไม่เคยโดนยิงถูกเลย ไม่รู้ด้วยว่าเข้าหรือไม่ เหนียวหรือเปล่าไม่รู้ เพราะไม่เคยโดนยิงจัง ๆ เลย ผมถามว่า หลวงพ่อเคยให้คาถาอะไรไว้บ้างเวลาเข้าป่า พี่สมัครตอบว่า เคยให้คาถาเสือสมิง ภาวนาแล้วจักจั่นก็ไม่ร้อง งูก็ไม่กวน ผีสางนางไม้ก็ไม่กวน แล้วคาถาคงกระพันเคยให้ไหม พี่สมัครตอบว่าเคย ตอนนั้นผมจะไปหาหมอ ผมไม่สบาย ผมแวะหาหลวงพ่อบอกท่านว่าจะไปหาหมอ หลวงพ่อบอกว่า คาถาหาหมอบทนี้ดีจะเอาไหม ผมบอกเอา หลวงพ่อบอกว่า “พุทธังคงเนื้อ ธรรมมังคงหนัง สังฆังคงกระดูก กรีเพชรชะคงคง” ผมก็ภาวนาไปเรื่อย ข้ามทุ่งไป โรงพยาบาลอยู่ไกล พอไปหาหมอ หมอฉีดยาไม่เข้า ผมถึงรู้ว่าหลวงพ่อเย้าเล่นให้คาถาคงกระพันมา พอกลับไปวัดท่านยิ้ม และผมก็หายไข้ แปลกมาก

ผมได้ถามพี่สมัครว่า มีหลักการใช้ชีวิตอย่างไร ถึงเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง พี่สมัครตอบว่า ถ้าผมไปต่างถิ่น ผมจะไม่บอกใครเลยว่าผมชื่อจริง นามสกุลจริงอย่างไร ที่อยู่ผมอยู่ที่ไหน จะไม่บอกจุดอ่อนให้เขารู้อย่างเด็ดขาด ถ้าไปต่างถิ่นเจอผู้หญิงสวยที่สุดในกลุ่ม จะไม่พูดคุยหรือจีบคนสวยที่สุด เพราะคนสวยจะมีคนชอบอยู่แล้ว ทำให้เพิ่มศัตรูโดยไม่รู้ตัวอย่างน้อย ๑ คน เวลาไปอยู่ต่างถิ่นต้องพูดจาสุภาพเขาแกล้งอย่างไรก็ต้องทน แต่ถ้าทนไม่ไหวต้องเอาก่อน

ผมได้ถามถึงสาเหตุที่มาบวชแก้บน พี่สมัครได้ตอบว่า ผมบนกับหลวงพ่อไว้ ตอนนั้น ผมได้ไปขุดเพชร คือดินเขาไปขุดเพชรได้ราคาแพงมาก ขุดได้ที่ยอดเขาเพชรได้มา ๒ เม็ด คนหนึ่งขายได้ ๗ ล้าน อีกคนขายได้ ๔ ล้าน ผมก็อยากรวยมั่งผมได้ข้ามประเทศไปขุดที่เขมรเขตติดต่อ ผมไปทางบ่อไร่ ทางตราด ไปขุดที่ยอดเขาเพชร ยอดเขาเพชรอยู่บนเทือกเขาพนมมาลัยประเทศเขมร ผมเตรียมข้าวสารไปเตรียมอาหารแห้งพอขึ้นไปบนยอดเขาเพชร ปรากฏว่าฝนตก ตกตลอดเวลา ทั้งกลางวันกลางคืน หุงหาอาหารไม่ได้เลย ผมเลยกินน้ำฝนกับอาหารแห้ง อาหารกระป๋อง ขุดอยู่ประมาณ ๕ วัน ไม่ได้อะไร ฝนตกหนักมาก เสื้อผ้าเปียก ข้าวก็ไม่ได้กิน ผมตัดสินใจกลับ อ่อนเพลียแทบขาดใจ กินแต่ข้าวสารดิบกับน้ำฝน นอนก็อยู่ในชุดเปียก ๆ เดินลงจากยอดเขาเพชรหมดแรงเกือบขาดใจ ได้บอกเล่าหลวงพ่อว่า ถ้าไม่ตายเป็นผีเฝ้ายอดเขาเพชรจะบวชให้หลวงพ่อ ผมเดินมาถึงชายแดนไทยได้ พอได้กินอาหารและข้ามมาฝั่งไทย กลับบ้านที่เพชรบูรณ์ปรากฏว่าโดนเขมรปล้นเอาของมีค่าไปหมดเลย เพื่อน ๆ จำโจรเขมรได้ ผมเลยไปตามล่า ตามไปถึงพนมเปญ ผมเลยย้ายครอบครัวมาอยู่อยุธยา เลยมาบวชให้หลวงพ่อ เรื่องของพี่สมัครก็จบเท่านี้ จริง ๆ แล้วยาวกว่านี้มาก ถ้าจะสร้างเป็นภาพยนตร์ ต้องให้ชื่อเรื่องว่า“นักฆ่าตะกรุดโทน” คงต้องติดต่อคุณสรพงษ์ ชาตรี แสดงเป็นพระเอกแทน

ครั้งก่อนผมไปวัดเจอท่านอาจารย์สำรวย ท่านบอกว่าพี่สมัครมารดน้ำมนต์หน้ารูปหล่อ เพราะโดนยิงด้วยปืนกล ลูกปืนตัดเบาะที่พิงในรถกระบะทะลุ ทุกครั้งถ้ามีเรื่องเขาจะมากราบหลวงพ่อเสมอ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แต่ชื่อและนามสกุลคล้ายคลึง แม้รูปถ่ายขณะบวชก็ยังมีอยู่ที่วัด ความจริงเขาก็ไม่ได้หวงห้ามในการนำรูป หรือชื่อและนามสกุลมาลง แต่ผมเห็นว่าไม่เป็นการสมควร จึงไม่ได้นำรูปมาลงให้

ส่วนตำราการทำตะกรุดของหลวงพ่อนี้ หลวงพ่อมีหลายตำราหลายแบบทั้งของหลวงพ่อเดิม หลวงพ่อศรีวัดพระปรางค์ และหลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่า ผมไม่รู้ว่าตะกรุดแบบไหน หลวงพ่อใช้ยันต์แบบไหน อันนี้ไม่รู้จริง ๆ เรื่องตะกรุดเก่งนี้ ในอำเภอสรรค์บุรีมีอาจารย์ที่ทำตะกรุดได้เก่งอีก ๑ องค์คือ หลวงพ่อโม วัดจันทนาราม หลวงพ่อโมนี้ทำมีดยุคเดียวกับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ แต่หลวงพ่อโมมีพรรษาอ่อนกว่า ทำตะกรุดยาว ๑ คืบ ใช้เชือกถักเป็นสาย ครั้งหนึ่งมีคนนำวัตถุมงคลและตะกรุดเอาไปลองกัน ที่บ่อนไก่ นายเกลียว ตลาดท่าช้าง อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี นายเกลียว โตทอง เป็นเจ้าของบ่อน เป็นคนมีเงิน ได้ยิงวัตถุมงคลและตะกรุด แตกเสียหายหลายสิบชนิด พอมาถึงตะกรุดของหลวงพ่อยิงไม่ออกคนฮือฮามาก พอมาถึงตะกรุดหลวงพ่อโมก็ยิงไม่ออกเช่นกัน วันนั้นมีเพียงตะกรุดของหลวงพ่อกับตะกรุดหลวงพ่อโม ๒ ดอกเท่านั้น ที่ยิงไม่ออก

เรื่องนี้เล่าให้ฟังอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องดีนัก แต่เป็นเรื่องที่ยืนยันถึงอำนาจตะกรุดของหลวงพ่อ ปัจจุบันทั้งตะกรุดของหลวงพ่อโมและตะกรุดหลวงพ่อมีปลอมจะเช่าหาให้ระวัง อย่าฟังนิยายให้มากนัก อันคนเรานั้นจะพูดว่ารับมากับมือของหลวงพ่อเลย หรือพูดว่าผมนี่แหละศิษย์ก้นกุฏิเลย การพูดนั้นพูดไม่ยากเพียงแต่กระดกลิ้นก็พูดได้แล้ว ขอสมมุติยุติเรื่องตะกรุดคู่ชีวิตไว้แต่เพียงเท่านี้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ กรกฎาคม 03, 2013, 09:11:40 pm
สุดยอดครับพี่ เรื่องเล่าประสบการณ์หลวงพ่อกวยเข้ามาอ่านทุกๆๆครั้งครับพี่weerawat26 อยากกดlikeให้เลยครับ ;D ;D ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 04, 2013, 09:52:32 am
สุดยอดครับพี่ เรื่องเล่าประสบการณ์หลวงพ่อกวยเข้ามาอ่านทุกๆๆครั้งครับพี่weerawat26 อยากกดlikeให้เลยครับ ;D ;D ;D ;D ;D ;D

ดีใจครับที่มีคนชอบอ่านเยอะ ดูจากจำนวนยอดแล้วมากจริง ๆ ครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 09, 2013, 05:09:25 am
ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓๑๒
วันที่ ๑๕ มิ.ย. – ๒๕ มิ.ย.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


พิธีจักรพรรดิมหาพุทธาภิเษก

ณ วิหารพระพุทธชินราช
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
จังหวัดพิษณุโลก

ต่อไปนี้ผมจะกล่าวถึงพิธีจักรพรรดิมหาพุทธาภิเษก วัตถุมงคลที่วิหารพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาชาติ จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๕ ค่ำ ปีกุน หรือตรงกับวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๑๕ พิธีนี้เป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่มาก วัตถุมงคลที่ผมเคยแนะนำท่านไว้ เช่น ที่วัดท่าทอง วัดเดิมบาง วัดเขาใหญ่ ถ้าพูดถึงความยิ่งใหญ่กันแล้ว พิธีที่จัดขึ้นที่พิษณุโลก ๒๐ มกราคม ๒๕๑๕ นี้ ยิ่งใหญ่ที่สุด ผมขอมอบให้ท่านเป็นน้ำใจเล็กน้อย นึกว่าเป็นน้ำใจที่ผมมอบให้ศิษย์ของหลวงพ่อก็แล้วกัน


พิธีจักรพรรดิมหาพุทธาภิเษกนี้ เป็นพิธีใหญ่ เป็นพิธีหลวง ใช้ปลุกเสกพระ และเครื่องรางของขลัง และเครื่องศาสตราวุธของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ที่ทำกันมาแต่โบราณกาล ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการทำพิธีจักรพรรดิมหาพุทธาภิเษกขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ต้นราชวงศ์จักรี ต่อมาก็ไม่ได้ทำพิธีจักรพรรดิมหาพุทธาภิเษกอีกเลย จวบจนกระทั่ง วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๑๕ ทางพุทธสมาคม จังหวัดพิษณุโลก จึงได้จัดพิธีมหาพุทธาภิเษกขึ้นเป็นครั้งที่ ๒ เพื่อปลุกเสกวัตถุมงคลชุดพิเศษขึ้น เพื่อให้วัตถุมงคลชุดนี้เป็นอมตะและเป็นมรดกต่อลูกหลานไทยตลอดไป วัตถุมงคลชุดพิเศษนี้ มีดังนี้คือ พระกริ่งนเรศวรวังจันทร์ พระชัยวัฒน์ พระสุดฤทธิ์ เหรียญนเรศวรวังจันทร์ พระพุทธชินราชจำลอง เหรียญพระพุทธชินราช พระสังกัจจายน์เนื้อหยก พระยอดขุนพลเมืองพิษณุโลก และอื่น ๆ อีกไม่มากนัก

ก่อนที่จะกล่าวถึงวัตถุมงคลชนิดอื่น ต้องขอกล่าวถึงวัตถุมงคลชุดสุดยอดก่อน คือ พระกริ่งนเรศวรวังจันทร์ ที่ชื่อว่ากริ่งนเรศวรวังจันทร์ เพราะเป็นนามของพระนเรศวรมหาราช ก่อนที่พระองค์จะประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นต่อพม่านั้น พระองค์ได้เคยรวบรวมไพร่พลอยู่ที่จังหวัดพิษณุโลก ประทับที่วังจันทร์ ฉะนั้นพระกริ่งรุ่นนี้จึงมีความผูกพันกับพระนเรศวรมหาราช กับวังจันทร์ และเกี่ยวกับพิธีจักรพรรดิด้วย พระกริ่งนี้ได้เททองหล่อที่พิษณุโลก ในวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๑๔ โดยมีอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร เป็นเจ้าพิธีฝ่ายพราหมณ์ และอาจารย์ผ่อง(จินดา) วัดจักรวรรดิราชาวาส กทม. เป็นเจ้าพิธีฝ่ายสงฆ์ แต่วันนั้นอาจารย์ผ่องป่วยมาไม่ได้ ทางคณะกรรมการพุทธสมาคม ได้ประชุมปรึกษาหารือกันเห็นพ้องต้องกันว่า ให้หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี เป็นเจ้าพิธีฝ่ายสงฆ์ แทน

เวลา ๑๒.๐๐ น. พระคณาจารย์ ๙ รูป ปลุกเสก แผ่นยันต์ชนวนต่าง ๆ พระสงฆ์สวดไชยมงคลคาถา มีการวงสายสิญจน์จากพระพุทธชินราช ข้ามฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาไปวังจันทร์ เข้าสู่พระรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เข้าสู่โรงพิธีหล่อพระกริ่ง

เวลา ๑๘.๓๑ น. เริ่มเข้านาทีฤกษ์ โหรลั่นฆ้องชัย พราหมณ์เคาะบัณเฑาะว์ เป่าสังข์ พะสงฆ์สวดไชยมงคลคาถา ในโบสถ์พระพุทธชินราช พระสงฆ์นับร้อยองค์สวดคาถาพุทธาภิเษก สลับกับการสวดไชยมงคลคาถา

เวลา ๑๘.๓๒ น. ประกอบพิธีเททอง พระชัยวัฒน์นเรศวรวังจันทร์ พระกริ่งนเรศวรวังจันทร์ พระสุดฤทธิ์ พระอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคม ๙ ท่าน นั่งปรก ๘ ทิศ นั่งกลาง ๑ องค์ เททองสิ้นสุดเวลา ๑๘.๕๓ น. เป็นเวลา ๒๑ นาที เป็นเรื่องมหัศจรรย์ คือ พระกริ่ง พระชัยวัฒน์ พระสุดฤทธิ์ ไม่เสียเลย แม้แต่องค์เดียว
 เป็นเรื่องแปลก คือ พระชัยวัฒน์ ได้เทหล่อจากเบ้าเดียวกัน เนื้อจึงเป็นเนื้อนวโลหะล้วน ๆ ส่วนพระกริ่งได้เทหล่อจากหลายเบ้าชนวนมาก ๆ เนื้อที่ได้จึงเป็นเนื้อสัมฤทธิ์ เมื่อเสร็จแล้วได้ตกแต่งที่นั่นเลย ป้องกันการทำเสริม ได้ตอกโค้ตรูปสามเหลี่ยม รูปธรรมจักร ได้พระ ๖,๕๐๐ องค์

พระกริ่งนเรศวรวังจันทร์นี้ เป็นพระกริ่งที่มีขนาดมาตรฐาน พอเหมาะพระพักตร์ไทยแท้ ๆ จึงมองดูไม่ค่อยเด่นนัก ส่วนโลหะที่เหลือได้นำไปเข้าเตาหลอมแล้วรีดเป็นแผ่นปั๊มเหรียญนเรศวรวังจันทร์ เหรียญนี้มีลักษณะกลม ด้านหนึ่งเป็นพระรูปของพระนเรศวรมหาราชประทับนั่ง มีดาบพาดที่พระเพลา พระหัตถ์ขวาทรงหลั่งน้ำสิโนทก เขียนว่า ๒๐ มกราคม ๒๕๑๔ ซึ่งเป็นการแกะพิมพ์ผิด จริง ๆ แล้วคือ พ.ศ.๒๕๑๕

ส่วนวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นชนิดโลหะได้ผสมชนวนพระกริ่งนเรศวรวังจันทร์ทั้งสิ้น ส่วนชนิดผง และชนิดดินก็สร้างจากผงชนิดดี และชนิดดินก็สร้างจากผงชนิดดีและดินชนิดดีทั้งสิ้น วัตถุมงคลมี ๑๔ รายการ
รายการ
 วัตถุมงคลที่จัดสร้าง ในพิธีจักรพรรดิมหาพุทธาภิเษก มีดังนี้
 ประกาศ
 พุทธสมาคมจังหวัดพิษณุโลก

เรื่อง พิธี “จักรพรรดิมหาพุทธาภิเษก”

พุทธสมาคมจังหวัดพิษณุโลกได้ประกอบพิธี “จักรพรรดิ์มหาพุทธาภิเษก” ในวันที่ ๑๙ – ๒๐ มกราคม ๒๕๑๕ ณ วิหารพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก โดยสร้างพระพุทธรูปต่าง ๆ เข้าพิธีดังนี้


๑.พระพุทธชินราชจำลอง เนื้อทองสัมฤทธิ์ลงรักปิดทอง สร้างโดย จ.ส.อ.ทวี บูรณะเขต พิษณุโลก ขนาด ๙ นิ้ว และขนาด ๕.๙ นิ้ว

๒.พระกริ่ง “นเรศวรวังจันทร์” เนื้อนวโลหะ (สูตรของอดีตสมเด็จพระสังฆราชแพ ติสฺสเทโว) สร้างโดยช่างสวน จามรมาน ธนบุรี

๓.พระสังกัจจายน์เนื้อหยก สร้างด้วยหยกจากประเทศจีน ฝีมือช่างชาวฮ่องกง

๔.พระชุด “พระพุทธชินราชน้อยไตรภาคี” ของดีเมืองพิษณุโลกเนื้อนวโลหะ ชนวนพระกริ่งนเรศวรวังจันทร์ หนึ่งชุดมี ๓ องค์คือ พระพุทธชินราช(วันพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก) พระพุทธชินสีห์(วัดบวรนิเวศวรมหาวิหาร กทม.) พระศรีศาสดา(วัดบวรนิเวศวรมหาวิหาร กทม.) ช่างสำเนียง หมัดมอญ กทม. เป็นผู้สร้างแม่พิมพ์เลียนแบบองค์จริง
 
๕.พระชุด “ยอดขุนพลเมืองพิษณุโลก” เนื้อนวโลหะชนวนพระกริ่งนเรศวรวังจันทร์ หนึ่งชุดมี ๓ องค์ พระพิมพ์ท่ามะปรางค์ พระพิมพ์นางพญา พระพิมพ์วัดใหญ่  ช่างสำเนียง หมัดมอญ กทม. เป็นผู้สร้างแม่พิมพ์เลียนแบบองค์จริง

๖. “พระพุทธชินราชใบเสมา”  เนื้อนวโลหะชนวนพระกริ่งนเรศวรวังจันทร์ ช่างสำเนียง หมัดมอญ กทม. เป็นผู้สร้างแม่พิมพ์เลียนแบบของเก่า
 
๗.“พระพุทธชินราชยอดอัฐารส”  เนื้อนวโลหะชนวนพระกริ่งนเรศวรวังจันทร์ ช่างสำเนียง หมัดมอญ กทม. เป็นผู้สร้างแม่พิมพ์เลียนแบบของเก่า

๘.“พระพุทธชินราชใบเสมา”  ผสมผงของเก่าและผงตะไบเนื้อนวโลหะชนวนพระกริ่งนเรศวรวังจันทร์ สร้างโดยพระครูศีลสารสัมบัน วัดสระแก้วปทุมทอง พิษณุโลก เลียนแบบพระเครื่องของเก่า มีสอบแบบคือ เนื้อว่าน และเนื้อดินเผา

๙.“พระพิมพ์นางพญากรุวัดใหญ่”  เนื้อดินเผาผสมผงของเก่า สร้างโดยพระครูศีลสารสัมบัน วัดสระแก้วปทุมทอง พิษณุโลก เลียนแบบพระเครื่องของเก่า

๑๐.“พระพุทธชินราชใบตำแย”  เนื้อชินกรุลั่นทม วัดใหญ่ สร้างโดย บริษัทชโลกุล กทม.

๑๑.“พระพุทธชินราชมหาธาตุ”  เนื้อดินผสมผงโลหะพระเก่าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สร้างโดย จ.ส.อ.ทวี บูรณะเขต พิษณุโลก เลียนแบบองค์จริง

๑๒.เหรียญ “พระพุทธชินราชมหาราชา” สร้างโดยกองกษาปณ์ กรมธนารักษ์ ทองคำใหญ่ ทองคำเล็ก เหรียญเงิน โลหะพิเศษ

๑๓.เหรียญ “มหาจักรพรรดิ” เนื้อนวโลหะชนวนพระกริ่งนเรศวรวังจันทร์ นายละเมียน  อัมพวะสิริ ผู้ออกแบบ

๑๔.เข็มกลัดเน็คไท “พระพุทธชินราช” สร้างโดยช่างร้านทองนำศิลป์ พิษณุโลก ชนิดทองคำ ชนิดเงิน

พุทธสมาคมจังหวัดพิษณุโลก
๒๗ ธันวาคม ๒๕๑๔

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 09, 2013, 11:03:45 am
๒.พระกริ่ง “นเรศวรวังจันทร์” เนื้อนวโลหะ (สูตรของอดีตสมเด็จพระสังฆราชแพ ติสฺสเทโว) สร้างโดยช่างสวน จามรมาน ธนบุรี

http://uauction2.uamulet.com/AuctionDetail.aspx?bid=258&qid=11405 (http://uauction2.uamulet.com/AuctionDetail.aspx?bid=258&qid=11405)

http://uauction2.uamulet.com/AuctionDetail.aspx?bid=258&qid=11385 (http://uauction2.uamulet.com/AuctionDetail.aspx?bid=258&qid=11385)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 10, 2013, 12:55:36 pm
ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓๑๔
วันที่ ๕ ก.ค. – ๑๕ ก.ค.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


สำหรับพระคณาจารย์ที่ปลุกเสกนั้น มีมากกว่า ๑๐๘ องค์ สรุปได้ว่า พระกริ่ง พระชัยวัฒน์ พระสุดฤกษ์ ได้ปลุกเสกจากพระคณาจารย์ ๙ องค์แล้ว ครั้งหนึ่งขณะหล่อและได้นำมาเข้าพิธีจริง ในวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๑๕ อีกครั้งหนึ่ง ท่านอาจารย์ผ่อง (จินดา) วัดจักรวรรดิ์ราชาวาส กทม. ได้หายป่วยแล้ว และได้เป็นเจ้าพิธีสงฆ์ดังเดิม ก่อนพิธีเล็กน้อย อาจารย์ผ่องได้พูดกับเพื่อนคณาจารย์ว่า อาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คือ สมเด็จพระวันรัตน์ วัดป่าแก้ว เป็นชาวมอญ เมื่อเริ่มพิธีท่านอาจารย์ผ่องได้สวดนำด้วยคาถามอญ บรรดาคณาจารย์ที่ร่วมพิธีพากันฮือฮาชอบใจ

พระคณาจารย์ที่ปลุกเสกในพิธีนี้ ที่โด่งดังในขณะนั้น และโด่งดังในเวลาต่อมามีหลายองค์ เช่น หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ หลวงพ่อเกษม สุสานไตรลักษณ์ ท่านหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ หลวงปู่ผาง วัดอุดมคงคาคีรีเขต ขอนแก่น ฯลฯ ที่ผมชอบใจที่สุดคือ พิธีนี้มีหลวงพ่อปลุกเสก มีหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค มีหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่

ต่อไปจะขอเล่าถึงหลวงพ่อกับการปลุกเสกวัตถุมงคลชุดนี้ ทางพุทธสมาคมได้มานิมนต์หลวงพ่อไปปลุกเสก ปกติหลวงพ่อไม่ค่อยรับกิจนิมนต์ แต่งานนี้หลวงพ่อไป หลวงพ่อได้บันทึกเอาไว้ในสมุดเล่มเล็ก เอาไว้ว่า     “๒๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๕ สิ้นวสันตฤดู ย่างเข้าสู่ฤดูเหมันต์ ปลุกเสกใหญ่โตมโหฬารที่เมืองพิษณุโลก” หลวงพ่อได้เขียนบันทึกไว้แสดงว่าหลวงพ่อมีการเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้อย่างดี ตอนที่ไปปลุกเสกก็มี หมอเฉลียว เดชมา อาจารย์ตั้ว วัดทับขี้เหล็ก หลวงพ่อเจ้ย วัดห้วย ติดตามไปด้วย เป็นครั้งแรกที่หลวงพ่อได้มากราบพระพุทธชินราช พิธีปลุกเสกมีเวลากลางคืน เมื่อปลุกเสกเสร็จ หลวงพ่อ หลวงปู่บางองค์ วัดอยู่ไม่ไกลก็กลับ บางองค์ก็ค้างที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ แต่หลวงพ่อไม่กลับและไม่ได้ค้างที่กุฏิที่วัด หลวงพ่อยังคงนั่งเฉยอยู่ เมื่อท่านเจ้าอาวาสมานิมนต์ให้ท่านเข้าไปจำวัดในกุฏิหลวงพ่อก็ไม่ไป อ้างว่าอยากจะนั่งอยู่อีกสักครู่ เมื่อพระที่มาปลุกเสกกลับกันหมดแล้ว เหลืออยู่แต่ศิษย์กับคนดูแลวิหารและวัตถุมงคล หลวงพ่อได้หยิบสายสิญจน์ขึ้นมายกมือขึ้นพนม หลวงพ่อได้นั่งปลุกเสกต่อยาว และนานจากกลางดึกถึงสว่าง เมื่อหลวงพ่อออกจากสมาธิถึงกับเดินออกมาไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ที่ดูแล ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์หลายอย่าง จึงยกกล่องวัตถุมงคลจำนวนมากมาย ยกมาตั้งต่อหน้าหลวงพ่อ เต็มไปหมด คือให้หลวงพ่อปลุกเสกให้ เมื่อหลวงพ่อออกจากสมาธิ ต้องยกกล่องวัตถุมงคลออกหลบจึงจะเดินได้ เมื่อหลวงพ่อออกจากวิหารพระพุทธชินราชแล้ว ตอนนั้นเป็นเวลาเช้ามืด แต่มีคนมากราบหลวงพ่อเต็มไปหมด มีคนพูดจาซุบซิบกันหลายคน พูดกันแล้วก็รีบเข้ามากราบ บ้างก็ขอของดี บ้างก็ให้เป่ากระหม่อมให้ แต่หลวงพ่อก็รีบจากมา โดยไม่สนใจต่อลาภสักการะ เขาพูดกันว่าพระชัยนาทองค์นี้นั่งปลุกเสกพระอยู่แต่เพียงองค์เดียว มีแสงวิ่งแบบแสงหิ่งห้อย วิ่งไปตามสายสิญจน์ บางคนเห็นพระธาตุเสด็จหลายองค์ พระธาตุนี้วิ่งออกมาจากองค์พระพุทธชินราชก็มี ที่วิ่งเข้ามาในพิธีก็มี นับว่าเป็นเรื่องแปลก ขณะปลุกเสกมีเรื่องแปลกหลายอย่าง บางครั้งมีหมอกและควัน บางครั้งมีเสียงฟ้าร้องมาแต่ไกล บางครั้งมีลมพัดกระโชก บางครั้งหนาวเย็น ๆ เขาเลยยกกล่องวัตถุมงคล เอาไปให้หลวงพ่อปลุกเสกใกล้ ๆ มีหลายคนได้เดินทางตามกราบหลวงพ่อถึงวัด

ต่อไปเป็นบันทึก หรือคำบอกเล่าของหลวงพ่อเจ้ย วัดห้วย อันวัดห้วยนี้อยู่ทางบ้านคู อำเภอบางระจัน จ.สิงห์บุรี หลวงพ่อเจ้ย จะได้รับนิมนต์จากพุทธสมาคม หรือเปล่าไม่แน่ชัด คือไม่มีชื่อท่าน แต่หลวงพ่อเจ้ยได้ติดตามหลวงพ่อไปด้วย หลวงพ่อเจ้ยนี้เป็นพระบวชเมื่อแก่เคยเป็นเสือมาก่อน เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเดิมเช่นกัน ไปไหนชอบขี่ม้า และพกมีดหมอหลวงพ่อเดิมประจำ พูดจาเสียงดัง อาคมพอตัว ไม่ดีเลิศ เพราะบวชเมื่อตอนแก่ นับถือหลวงพ่อเป็นชีวิตจิตใจ ทำพระอะไรมาต้องนำมาให้หลวงพ่อปลุกเสก ชอบภาวนาคาถาโองการมหาทหมื่นเป็นประจำ มองดูผิวเผินน่าเกรงขาม น่าศรัทธามาก ร่างกายใหญ่โต เคี้ยวหมาก ชอบอวดตัวหน่อย ๆ เมื่อหลวงพ่อเจ้ย ไปกลับหลวงพ่อ เขาก็นิมนต์หลวงพ่อเจ้ยนั่งปรกปลุกเสก หลวงพ่อเจ้ยท่านไม่ค่อยสำรวม ชอบอวดตัวหน่อย ๆ พระที่มาปลุกเสกเห็นเข้าคงไม่พอใจ เพราะพระที่มานั้นล้วนแต่อาคมดีทั้งสิ้น ได้มีการลองวิชากัน หลวงพ่อเจ้ยสู้ไม่ได้ แทบจะลุกวิ่งออกจากวิหารพระพุทธชินราช ดีแต่ว่าขณะกำลังจวนตัวได้กำหนดจิตขอให้หลวงพ่อกวยช่วย หลวงพ่อเจ้ยพูดว่าถ้าไม่ได้ไปกับหลวงพ่อกวย ข้าตายแน่ หลวงพ่อเจ้ยนี้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ คนก็ศรัทธามั่งไม่ศรัทธามั่ง ตอนประชุมเพลิงมีคนเอาอัฐิท่านมาลองยิง ปรากฏว่ายิงไม่ออก คราวนี้แย่งกันฝุ่นตลบไปหมด

ในพิธีมหาจักรพรรดินี้ ทางพุทธสมาคมได้ทำแหนบมอบให้หลวงพ่อ หลวงปู่ ทุกองค์ที่มาปลุกเสก ปัจจุบันแหนบนี้อยู่ในตู้พิพิธภัณฑ์ของหลวงพ่อ ส่วนวัตถุมงคลชุดกริ่งนเรศวรวังจันทร์ พระชัยวัฒน์ พระสุดฤกษ์ เหรียญนเรศวรวังจันทร์ ปัจจุบันมีราคาแพงมาก เพราะตอนสร้างออกมาใหม่ ๆ ตอนนั้นมีการสร้างทางไปอุ้มฝาง โดยคนงานแขวงการทางพิษณุโลก ตอนนั้นมีผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ หรือ ผกค.อยู่ ปรากฏว่า คนงานสร้างทางแขวงการทางพิษณุโลกโดนโจมตีจาก ผกค.ประจำ ตายไปก็มี แต่คนงานที่มีวัตถุมงคลชุดจักรพรรดิ ๒๐ มกราคม ๒๕๑๕ นี้ ไม่ได้รับอันตราย แคล้วคลาดปลอดภัย บางครั้งทหารกองทัพภาคที่ ๓ ต้องยกกำลังไปช่วย แต่ทหารที่มีวัตถุมงคลชุดนี้ ก็แคล้วคลาดปลอดภัย ที่หนักหน่อยก็โดนยิงเสื้อขาด กางเกงขาด ที่ตายคาวัตถุมงคลชุดนี้ไม่มี ก็ขนาดหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ปลุกเสกแล้วโดนยิงตายละก็ ผมว่าอย่าไปบูชาเลยวัตถุมงคล หนักคอเปล่า ๆ ผมได้อ่านรายชื่อพระคณาจารย์ที่มาปลุกเสกแล้วบอกตรง ๆ ว่าไม่อยากเชื่อ และไม่น่าเป็นไปได้ที่พระเก่ง ๆ ตั้งหลายสิบองค์ได้มาปลุกเสกร่วมกัน อย่างหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ หลวงพ่อผาง หลวงพ่อเกษม ฯลฯ จะได้มาปลุกเสกร่วมกัน ผมทึ่งในคุณงามความดีของพุทธสมาคม บอกตรง ๆ ว่า เขาเก่งจริง ๆ

ส่วนวัตถุมงคลชุดนี้ได้หมดไปจากพุทธสมาคมนานแล้ว ที่มีเหลือตกค้างอยู่ตามศูนย์ต่าง ๆ ก็พอมีราคาไม่แพง เท่าที่พบรายการที่ ๕ ชุด“พระพุทธชินราชน้อยไตรภาคี”รายการที่ ๖“ยอดขุนพลเมืองพิษณุโลก”รายการที่ ๘ ชุด“พระพุทธชินราชใบเสมา”รายการที่ ๑๑ “ชุดพระพุทธชินราชมหาธาตุ” ถ้าท่านต้องการก็ให้ติดต่อหาเช่าเอาเองเพราะตามมารยาท ผมไม่ควรบอกออกไปว่ามีอยู่ที่ไหน แต่ถ้าไม่รู้จริง ๆ ค่อยเขียนมาถามผมแล้วกัน

    ก็ต้องขอจบตอนพิธีจักรพรรดิเอาไว้เพียงเท่านี้

ปล.ผมยังสงสัยว่าทำไมหลวงพ่อจึงปลุกเสกวัตถุมงคลชุดนี้ต่อ เพียงลำพังองค์เดียว หรือท่านจะรู้ว่าวันหน้าศิษย์ท่าน อาจต้องบูชาพระชุดนี้ติดตัว ถ้าหาวัตถุมงคลชุดอื่นไม่ได้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 10, 2013, 12:58:54 pm
313

เสียดายครับที่ขาดไป ๑ ตอน
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 10, 2013, 12:59:47 pm
313

เสียดายครับที่ขาดไป ๑ ตอน
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ กรกฎาคม 10, 2013, 05:40:13 pm
เข้ามาอ่านเรื่องเล่าดีๆๆของหลวงพ่อกวยยิ่งอ่านยิ่งศรัทธาครับขอบคุณครับพี่weerawat26 ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 16, 2013, 04:27:31 pm
ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓๑๕
วันที่ ๑๕ ก.ค. – ๒๕ ก.ค.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านที่ทำบุญมูลนิธิมา ขอให้ท่านทั้งหลายมีความสุขความเจริญ ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ตอนนี้มีผู้ทำบุญ ๔๒๔ คน ได้เงินทำบุญ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ๑๒ เมษายน ๒๕๓๕ ปีใหม่นี้ ผมจะนำไปมอบให้วัดอีก ๑๐๐,๐๐๐ บาท (ปี ๒๕๓๔ มอบให้ ๑๐๐,๐๐๐ บาท) ขอขอบคุณ คุณเจิดศักดา มีจิตร และคุณแม่ไว้เป็นอย่างสูง

จดหมายจากคุณอุดม บุญรอด
๑๐๒ ม.๔ ต.ท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ๘๒๑๒๐

ถึงคุณเฒ่า สุพรรณ

ที่ผมเขียนจดหมายมานี้ ก็เพื่อต้องการเล่าเรื่องเกี่ยวกับอภินิหารพระรอดของหลวงพ่อกวยให้คุณฟัง คือ ผมได้เช่าบูชาพระรอดจากวัดของหลวงพ่อกวยไปหนึ่งองค์ ที่มีเส้นเกศาและวัตถุสีขาว ๆ ผมสงสัยว่า จะเป็นทรายเสกมีตอกโค้ดดอกจันทร์ด้วย ในวันเสาร์ที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๓๕ นี้เอง ผมได้เด็ก ๆ ไปเที่ยวชายทะเล ประมาณบ่าย ๔ โมงเย็นพอดี ผมยืนอยู่ที่ชายหาดมองหาที่ฝั่งตลาดท้ายเหมืองตั้งอยู่เกิดฝนตกและมีรุ้งกินน้ำด้วย ผมเคยอ่านประวัติของหลวงพ่อกวยว่า พระเครื่องของหลวงพ่อตัดรุ้งขาดด้วย และผมได้นำพระรอดติดตัวไปด้วย ผมจึงอยากลองให้ตัดรุ้งให้ขาดดู พอผมหยิบพระรอดออกมาจากกระเป๋าก็ต้องตกใจเพราะพระรอดหักเป็นสองท่อนแล้ว ไม่รู้ว่าไปกระทบอะไรเข้า คือผมไม่ได้ใส่กรอบพระ เมื่อให้ดังนั้นก็คิดว่า เอ้า เอาก็เอาสองท่อนก็สองท่อน แล้วจึงอาราธนาพระรอดตัดรุ้งดู ผมกำพระรอดไว้ในมือแล้วชี้ไปที่รุ้ง สักครู่เดียวรุ้งก็ขาด คือหายไปพักหนึ่งแล้วก็ติดกันเหมือนเดิมอีก ผมเห็นดังนั้นก็เพิ่มความศรัทธาในองค์หลวงพ่อกวยมากยิ่งขึ้น ส่วนพระรอดผมก็เอากาวติดต่อไว้บูชาอีก

ขอแสดงความนับถือ

อุดม บุญรอด


ตอบตอบ คุณอุดม พระรอดของคุณเป็นพระรอดรุ่นใช้ผงของหลวงพ่อกวย หลวงพ่อปู่หล้าปลุกเสกขนาดหัก ๆ ยังตัดรุ้งขาด คุณเล่ามาผมเชื่อเพราะรุ้งกินน้ำที่โดนตัดด้วยอาคม จะขาดแบบที่คุณเล่านี้ ส่วนพระรอดรุ่นนี้ ที่ผมไม่มีเหลือเลยแจกหมด วัตถุสีขาว ๆ คือ พระธาตุครับ ขอบคุณครับที่เล่าให้ฟัง

นับถือ

ฒ.สุพรรณ


พระพิมพ์ปรกโพธิ์ ๙ ใบ

ต่อไปจะขอกล่าวถึงพระพุทธพิมพ์ทรงสี่เหลี่ยมที่เรียกว่า ปรกโพธิ์ ๙ ใบ อีกสัก ๑ ครั้ง พระพิมพ์นี้ค่อนข้างโตกว่าสมเด็จทั่วไป ไม่หนักนัก ด้านหน้าเป็นรูปดวงแก้วพระพุทธเจ้ามีหน้าตา จมูก ชัดเจน ใบหน้าอวบอ้วนยาวแบบศิลปะสุโขทัย แสดงถึงความสมบูรณ์ร่มเย็นและอุดม นั่งอยู่บนฐานด้านบนคล้ายร่มโพธิ์ ประกอบด้วยใบโพธิ์ ๙ ใบ เป็นมงคล ด้านหลังเป็นรูปพระแม่ธรณี เทพผู้รักษาแผ่นดิน บีบมวยผมออกมาเป็นน้ำไหลนอง ชนิดด้านหลังเป็นยันต์เฉพาะตัวท่าน คือ นะโมพุทธายะก็มี ที่เป็นยันต์บอก พ.ศ.๒๕๑๓ ก็มี ก่อนหน้านี้หลวงพ่อก็สร้างมาครั้งหนึ่ง แต่ไม่นิยมกัน ยันต์หลังเป็นยันต์ดวงแก้ว คือแกะแม่พิมพ์ไม่สวยนัก

ความหมายของพระพิมพ์นี้ คือ หมายถึงตอนพระพุทธเจ้าผจญพญามาร คือขณะที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ ได้มีพญามารมาขัดขวาง เพื่อไม่ให้พระองค์ตรัสรู้ ถ้าตรัสรู้แล้วจะอยู่นอกกฎวัฏสงสาร จะไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก พระองค์ได้ต่อสู้กับพญามารโดยระลึกถึงบุญบารมีของพระองค์ที่ได้บำเพ็ญมาถึง ๑๐ ชาติ และได้หลั่งน้ำหรือกรวดน้ำฝากผลบุญไว้กับพระแม่ธรณี เมื่อพระองค์ระลึกถึงผลบุญพระแม่ธรณีได้แทรกแผ่นดินขึ้นมา บีบน้ำในมวยผม น้ำในมวยผมของพระแม่ธรณีได้ไหลบ่าท่วมพญามาร ล้มตายจนหมดสิ้น ซึ่งในตำราพระมนต์ของหลวงพ่อ หลวงพ่อได้เขียนไว้ว่า “เมื่อแรกพระพุดที่เจ้า จึงจะมาประจน ด้วยหมู่มาร ให้ไภแภ้ในครั้งนี้ ส่วนนางพระทอระณี ทั่นจึงจะชำแรกแซกแผ่นดินขึ้นมา ทะหวายวันทาบังคมคัน บิทน้ำในมวยผมออกมาเป็นคงคามะหาสิมุด บ่อหมีรู้สิ้น บ่อหมีรู้สุด บ่อหมีรู้ยุด บ่อหมีรู้ยั้ง ย่อมล้นเหลือเฟือฝั่งพระชลนัดที ด้วยเด็จสะเดชะพระบารมีฯ”

สำหรับพระคาถาที่ผมได้เก็บรักษาเอาไว้ หรือมนต์พระพุทธรักษาเอาไว้ เป็นตำรามนต์เล่มเล็กลายมือของหลวงพ่อ ได้กล่าวถึงมนต์พระแม่ธรณี หรือมนต์พระพุทธเจ้าชนะมารในพระคาถาเล่มเล็กนี้ กล่าวไว้ไม่ตรงกับเล่มใหญ่ แต่ในเล่มใหญ่ตัวพระคาถาตรงกับในตำราพิชัยสงครามทุกอย่าง แสดงว่าหลวงพ่อได้เรียนพระมนต์นี้มา ๒ สำนัก จึงไม่ตรงกันนักแต่คล้ายคลึงกัน ในตำราเล่มเล็กได้กล่าวถึงพระมนต์ที่พระองค์ได้ระลึกถึงบุญบารมีของพระองค์ทั้ง ๑๐ ชาติไว้ด้วย ฉะนั้นมนต์ ๒ บทนี้เหมาะที่จะทำน้ำมนต์ที่สุด สมบูรณ์ที่สุด การทำน้ำมนต์โดยใช้พระประกอบหรือไม่ใช้พระก็ได้ ให้ตักน้ำใส่ภาชนะที่สะอาดถ้าจะทำให้เขาให้เขาตักมา ตั้งไว้หน้าโต๊ะหมู่บูชา หรือหน้ารูปหลวงพ่อมีดอกไม้ธูปเทียน กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย ตั้งนะโม ๓ จบ กล่าวคาถาบูชาชุมนุมเทวดา ถ้าท่องไม่ได้ใช้คาถาเชิญครู แล้วกล่าวคาถาเชิญพระแม่ธรณี คือ“โพ อะ วะ นิ ตะ ละ”แล้วว่าคาถาพระแม่ธรณี ดังนี้ ถ้าไม่มั่นใจให้ภาวนาหลาย ๆ ครั้ง คาถาว่าดังนี้

 ตัดษาเกสิตะโต ทัตตะวา คังคาโสตัง ปะวัดตะติ มาระเสนะ ปะติโสตัง ปะวัดตะติ มาระเสนะ ปะติดถาตุง อะสะโกนโต ปะรายิสุ ปะระมิตตา นุภาเวนะ มาระเสนา ปะราชิตา นิกขันตุ ทะภะวา หิสะกิงดาเก เสหิตาวะเท ทิโสทิสา ปะรายันติ วิทังเสนติ อะเสสะโต โพทารินิกิขิ อุทะกัง เอหิมะมะ

เสร็จแล้วว่า คาถาบารมี ๑๐ ทิศ ระลึกถึงบุญบารมีของเราและบุญบารมีของพระพุทธเจ้า ระลึกถึงบุญบารมีของหลวงพ่อ เชิญหลวงพ่อมาช่วย คาถาว่าดังนี้

อะยันตุโพนโต อิทะถานิ สีลาเนกขัม ปันยา สะหะ วิริยะ ขันตี สัตจะ อะทิดถานะ เมตตา ยุทายะโว ขันหัดถะ อะวุดถานะจะ วะวิจุนนะวิจุนนา โลมังมาเมนะ พุดทิสันติเต อะโหพุดโท คุนโน มัยหัง อัดตราปาปัง วินัดสันติ เอหิสะตัง พระอะระหัง พะคะวา

พระคาถาทั้ง ๒ บทนี้ หลวงพ่อเขียนไว้อย่างไร ผมก็เขียนตามนั้น อาจผิดตรงอักขระพยัญชนะ แต่ความหมายไม่ผิด การเรียนคาถาสมัยก่อนใช้วิธีบอกให้จด การเขียนจึงเป็นเพียงเขียนให้อ่านไม่ผิดสำเนียงเป็นใช้ได้ โดยเฉพาะภาษาไทยในสมัยนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายก การเขียนในสมัยนั้นเขียนให้อ่านได้ความหมายเป็นใช้ได้ เช่น คาถา ๒ บทนี้ หลวงพ่อเขียนไว้อย่างนี้ “คาถานางแม่ทระนีลีดน้ำมวยผม” อีกบทหนึ่งหลวงพ่อเขียนว่า “คาถาพระพุดธิเจ้าเรียกนางแม่ทอระนี มาช่วยประจนมาร”

ฉะนั้นการเรียนคาถาของหลวงพ่อนั้น หลวงพ่อเขียนว่าอย่างไร ท่องตามนั้นไม่สงสัย ไม่รู้มาก ไม่ต้องแปล ถ้าไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องเรียน ถ้าเรียนไม่ต้องสงสัย

พระปรกโพธิ์ ๙ ใบ

พระปรกโพธิ์ ๙ ใบ หรือพระพิมพ์ร่มโพธิ์ หมายถึง ตอนที่พระพุทธเจ้าผจญกับพญามาร เราอาจเห็นภาพวาดตามฝาผนังพระอุโบสถหรือศาลา ที่ศาลาวัดหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค สร้างเอาไว้สวยงามมาก แต่มารที่พระพุทธองค์กำลังผจญอยู่นั้นหนักหนาสาหัสกว่าในรูปภาพมากนัก มารในที่นี้คือ กิเลส ตัณหา โลภ โกรธ หลง ความยึดมั่นถือมั่น มารเหล่านี้ร้อนแรงยิ่งกว่าไฟร้อยเท่าพันเท่าเพราะมารเหล่านี้แหละจะเป็นเครื่องปรุงแต่งให้เราได้เกิดมาอีก ความร้อนของมันข้ามภพข้ามชาติแต่ในรูปภาพเราจะเห็น ขุนมาร เสนามาร ธิดามาร ขี่ช้างมาหมายปองร้ายพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ได้ระลึกถึงพระแม่ธรณี พระแม่ธรณีได้บีบน้ำในมวยผมของนาง ที่พระพุทธองค์ได้หลั่งอุทกวารีฝากไว้ น้ำได้ไหลท่วมขุนมาร และเสนามาร จนหมดสิ้น คืนนั้นเป็นคืนเดือนเพ็ญ เดือนวิสาขะ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภายใต้ร่มโพธิ์ ฉะนั้นพระพิมพ์นี้ จึงหมายถึงตอนที่พระพุทธองค์ ชนะศัตรูและสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ส่วนภาพวาดนั้นวาดไว้ให้ผู้มีปัญญาน้อย หรือวาดไว้เพื่อชักนำให้คนที่ไม่เคยพบเห็นได้เลื่อมใสศรัทธา เขาเรียกบุคคลาธิฐานเป็นภาพสมมุติ ส่วนคัมภีร์ของอินเดียเขาเขียนเป็นภาพพระแม่ธรณีเทน้ำจากหม้อดิน ที่พระพุทธองค์ทรงหลั่งน้ำสิโนทก บำเพ็ญเพียรไว้ถึง ๑๐ ชาติ โดยเฉพาะชาติสุดท้าย ตอนที่ทรงเกิดมาเป็นพระเวสสันดร ทรงทำทานอันยิ่งใหญ่ ยากที่ใครจะทำได้ทั้งอดีตและปัจจุบัน
ส่วนพระคาถาอัญเชิญพระแม่ธรณี นั้น ก็ไม่ปรากฏว่ามีหลวงพ่อ หลวงปู่องค์ใด ได้ให้หรือถ่ายทอดเอาไว้ เป็นภาษาขอม อ่านได้ว่า “โพ อะ วะ นิ ตะ ละ” ท่านเขียนไว้ว่าคาถาเรียกแม่ธรณี ถ้าไม่มาอกแตกตาย ร้อนดั่งเพลิงสุม แสดงว่าหลวงพ่อต้องติดต่อกับพระแม่ธรณีได้ เพื่อเชิญพระแม่ธรณีมาช่วยทำน้ำมนต์ ส่วนคาถาที่ใช้ทำน้ำมนต์เรียกว่าธรณีปริตร ใช้สวดภาวนาชนะศัตรู นอกจากธรณีปริตรแล้ว ยังต้องภาวนาคาถาบารมี ๑๐ ทิศของพระพุทธองค์ และระลึกถึงหลวงพ่อกวยเป็นที่สุด ถ้าจะท่องบ่นธรรมดา ภาวนาเฉพาะธรณีปริตรก็ใช้ได้ แต่ถ้าจะทำน้ำมนต์ ต้องว่าคาถา อัญเชิญครูคาถาชุมนุมเทวดาแล้ว จึงว่าคาถาเชิญพระแม่ธรณี คาถาธรณีปริตร คาถาบารมี ๑๐ ทัศ

คาถาธรณีปริตร ว่าดังนี้

“ตัสสา เกสีสะโต ยะถาคังคา โลตัง ปะวัตตันติ มาระเสนา ประติฐฐาตุง อะสักโกนโต ปะลายิงสุ ปะระมิตา นุภาเวนะ มาระเสนา ปะราชิตา ทิโสทิสัง ปะลายันติ วิทังเสนติ อะเสละโต”
   
คาถานี้ถูกต้องตรงกับในตำราพิชัยสงครามทุกอย่าง ไม่ผิดแม้แต่ตัวเดียว (ยกเว้นคนเรียงพิมพ์ผิด)


มีอุปเท่ห์การใช้ดังนี้
ภาวนาก่อนออกเดินทาง ศัตรูที่หมายปองชีวิตจะทำอะไรเรามิได้ ภาวนาทุกเช้าค่ำศัตรูจะแพ้ภัยตัวเอง
เขียนชื่อศัตรูทำไส้เทียนภาวนาทุกเช้าค่ำศัตรูจะแพ้คดีความ หรือเอาความเรามิได้ จะพูดไม่ออก


ทำน้ำมนต์รดไล่ผีอยู่มิได้

พระคาถาธรณีปริตรนี้ เป็นทั้งมนต์ขาวและมนต์ดำ ที่เขียนอุปเท่ห์การใช้มานี้ก็เริ่มดำนิด ๆ แล้ว ผมไม่อยากให้มีบาปติดตัว ส่วนคาถาหลวงพ่อจะคล้ายกัน แต่ผิดด้วยอักขระและพยัญชนะ ที่นำมาเผยแพร่ก็ด้วยตอนนั้นผมไปลักเรียนมาจากตำราเล่มใหญ่หลวงพ่อเขียนด้วยตัวหนังสือสีแดงว่า ครูแรง สรุปคือถ้าจะทำน้ำมนต์จริง ๆ ต้องเอาคาถาจากตำราคาถารวมเล่ม เพราะในเล่มจะกล่าวถึงคาถาบารมี ๑๐ ทัศเอาไว้ด้วย

ส่วนคนที่มีปรกโพธิ์ ๙ ใบก็ดี ไม่มีก็ดี ใช้คาถาบทนี้ได้เลย ผมจะเขียนให้ไว้ทั้งทั้งคาถาพระแม่ธรณี และคาถาบารมี ๑๐ ทัศ เอาที่เป็นลายมือของหลวงพ่อ ให้เขียนจดหมายสอดซองติดแสตมป์ และผมขอค่าซีล็อกซ์ ๑ บาท ให้ส่งมาเป็นแสตมป์ดีที่สุด (กรุณาอย่าใส่เหรียญมา) ให้สอดซองจ่าหน้าถึงตัวท่านเอง



คาถานางแม่ธรณี

ตัดษาเกสิตะโต ทัตตะวา คังคาโสตัง ปะวัดตะติ มาระเสนา ปะติดถาตุงอะ สะโกณโตปะฮายิสุ ปาระมิตตานุพาเวนะ มาระเสนา ปะราชิตา นิกขันตุ ทะกะวาหิสะกิงคาเกเสหิตาวะ เททิโสทิสา ปะรายันติ วิทังเสนติ อะเสสะโต โพทารินิกิขิ อุทะกัง เอหิมะมะ


คาถาพระบารมี ๑๐ ทัศ

อะยันตุโพนโต อิทะถานิ สิลาเนกขัม ปันยาสะหะวิริยะ ขันติสัตจะ อะทิดถานะ เมตตา ยุทายะโว ขันหัตถะ อะวุดถานะ จะวะวิจุนนะ วิจุนนา โลมังมาเมนะ พุดทิสันติ เตอะโหพุดโท คุนโนมัยหัง อัดตราปาปัง วินัดสันติ เอหิสะตัง พระอะระหัง พะคะวา

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 19, 2013, 09:06:48 am
ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓๑๖
วันที่ ๒๕ ต.ค. – ๕ พ.ย.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



ถ้าไม่ได้ทำน้ำมนต์ก็ใช้คาถาเชิญแม่ธรณีประจำก็พอ แต่ถ้ากำลังมีศัตรูให้ว่าคาถาพระแม่ธรณีประกอบ ใช้บทก่อนสั้นดี ถ้าถูกใส่ร้ายใส่ความให้เร่งภาวนาไว้เถิดทำตามเราไม่ได้เลย

พระพิมพ์ปรกโพธิ์ ๙ ใบนี้ หลวงพ่อได้ปลุกเสกด้วยพระคาถาพระแม่ธรณีไว้ เพราะหลวงพ่อเป็นห่วงศิษย์ที่อยู่ไกล ลำบาก เมื่อหลวงพ่อสิ้นบุญไปแล้ว เกรงว่าศิษย์จะลำบากหลวงพ่อจึงใช้มนต์ชื่อ พระพุทธเจ้าชนะมารหรือมนธรณีนี้ ปลุกเสกพระพิมพ์นี้ไว้ให้ศิษย์ได้นำติดตัวไป ใครที่มีพระพิมพ์นี้ติดตัวหรือบูชาไว้ สามารถทำน้ำมนต์ได้ แม้ดับขันธ์ให้ระลึกถึงบุญกุศลของตัว ให้ระลึกถึงหลวงพ่อ ให้ระลึกถึงบุญบารมีของพระพุทธเจ้าแม้ไม่ถึงคราวตกต่ำหรือตกอับ จะไม่ตกต่ำหรือตกอับเลย แม้ดับขันธ์จวนตายอย่างไรก็ตาม  ให้ตั้งสติให้ดี ระลึกถึงพระมนต์นี้ระลึกถึงหลวงพ่อแม้หนักถึงตกต่ำ ตกอับ หรือออกจากงาน จะรอดมาได้ที่หนักจะเป็นเบาที่เบาจะหายไป ที่หายไปจะดีขึ้น จะมีแต่ความสุขความเจริญ จะขอเล่าอภินิหารของสมเด็จพิมพ์นี้ เอาไว้สัก ๑ เรื่อง

มีศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งเป็นเด็กชื่อแกละ มีฐานะยากจนมาก มีอาชีพเป็นลูกจ้างทำนาอยู่กับเจ้าของนาคืออยู่กับเศรษฐี เป็นคนอำเภอสรรค์บุรี ในฤดูทำนาก็ทำนา ฤดูร้อนก็เลี้ยงควาย มาอยู่กับเศรษฐีหลายปี ยามว่างก็มาช่วยหลวงพ่อทำงาน หลวงพ่อได้รับไว้เป็นศิษย์ได้ให้พระสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ ไป ๑ องค์ ข้างหลังมียันต์ เด็กคนนี้ได้นำไปเลี่ยมติดตัว อยู่บ้านเศรษฐีก็ทำงานด้วยความขยันขันแข็ง คนในบ้านเศรษฐีก็เอ็นดูรักใคร่ อยู่มาหลายปีจนโตเป็นหนุ่ม ได้แอบชอบลูกสาวเศรษฐีเข้า ลูกสาวเศรษฐีก็ไม่รู้ตัว แต่ไม่รังเกียจนายแกละเพราะเป็นคนดี พูดจาดีต่อตนเศรษฐีก็ไม่รังเกียจ แต่ไม่เคยคิดว่าจะมีเขยเช่นนายแกละ เพราะฐานะต่างกันมาแม้แต่ลูกสาวเศรษฐีก็ไม่เคยคิดในแง่ชู้สาวเพราะฐานะต่างกันมากเช่นกัน แม้แต่ข้าวเศรษฐีก็ไม่เคยให้กินรวมเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่นายแกละเกิดชอบลูกสาวเศรษฐีขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับ ในใจนั้นแอบรักเขาตลอดเวลา เขาว่าชายหญิงนั้นเกิดมาคู่กัน ไม่มีแผ่นฟ้าและแผ่นดิน เมื่อความรักมันคับอกมากเข้า นายแกละก็คิดถึงหลวงพ่อ หยิบพระขึ้นมาพนมคิดถึงแต่ความยากจนของตนเองคิดไปก็น้ำตาไหล นายแกละได้สวดมนต์ และระลึกถึงหลวงพ่อหลายวันหลายคืน คิดไปคิดมาถ้าขืนปล่อยให้ความรักหนักอกอยู่อย่างนี้ เห็นทีจะต้องตายแน่ ๆ ถ้ามัวแต่คิดอยู่อย่างนี้ เมื่อไรความคิดจึงจะสมหวัง ดอกฟ้าไหนเลยจะโน้มกิ่งลงมาได้ ถ้าไม้พยายามเอื้อมขึ้นไปเด็ด เลยคิดขึ้นได้ตามประสาคนโกงคือถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ถ้าไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องเอาด้วยคาถา

วันหนึ่งนายแกละได้เตรียมวางแผนไว้เป็นอย่างดี พอดีสบโอกาสเช้าวันนั้นเขาไปไถนาแต่เช้ามืด ตอนสายลูกสาวเศรษฐีได้เอาข้าวไปส่ง พอนายแกละเห็นลูกสาวเศรษฐีมาแต่ไกล ได้หยุดไถนา นั่งพับเพียบเอามือขึ้นพนมหันหน้ามาทางวัดของหลวงพ่อได้ระลึกถึงหลวงพ่อหยิบพระขึ้นมาพนม ได้กล่าวคาถาอัญเชิญพระแม่ธรณี ได้ระลึกถึงบุญกุศลของตน ของหลวงพ่อและของพระพุทธเจ้า ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าแม้ว่าข้าพเจ้าและลูกสาวเศรษฐีมีวาสนาต่อกัน จะได้เป็นเนื้อคู่กันแล้ว ขอให้นางได้รับน้ำในกระบอกนี้ดื่มกินด้วยเทอญ แล้วนายแกละก็นำพระปรกโพธิ์แกว่งลงในน้ำอาราธนาว่าคาถา แล้วเอากระบอกตั้งไว้ เมื่อลูกสาวเศรษฐีมาถึง นายแกละได้ยกน้ำในกระบอกส่งให้นาง ลูกสาวเศรษฐีกำลังเหนื่อย ๆ พอดี ก็รับน้ำในกระบอกไปดื่มกิน ขณะที่นางกำลังดื่มกิน นายแกละก็คิดได้ว่าเห็นทีกุศลผลบุญแต่หนหลังยังมีอยู่ นางคงไม่รังเกียจตน จึงนั่งลงกินข้าวและได้ชวนลูกสาวเศรษฐีกินด้วย ลูกสาวเศรษฐีความจริงกินมาแล้ว แต่จะเป็นด้วยต้องมนต์หรือวาสนาจะมีต่อกันไม่รู้ได้ ได้ร่วมวงกินข้าวกับนายแกละ เมื่อกินข้าวเสร็จนายแกละได้สารภาพรักต่อนาง ด้วยรู้ว่าสกุลนั้นห่างกันมากจึงก้มหน้าไม่มอง ลูกสาวเศรษฐีก็ไม่มองหน้า นายแกละฉวยโอกาสที่นางไม่ต่อว่าอะไร จับมือลูกสาวเศรษฐีแล้วพูดว่า วันนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรจะพานางไปอยู่ด้วย จะขอไปตายเอาดาบหน้า ว่าแล้วก็ดึงมือลูกสาวเศรษฐีลัดเลาะทุ่งนาเดินแกมวิ่งได้พาลูกสาวเศรษฐีไปค้างคืนที่บ้านเพื่อน ๓ คืน ระหว่างที่อยู่ด้วยกันทั้งคู่เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียวเพราะรู้ว่าได้ทำผิดเสียแล้วคิดไม่ตกไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร พอเช้ามืดคืนวันที่ ๓ เศรษฐีก็ตามมา มากันเต็มไปหมด พร้อมปืนลูกซองยาว ล้อมบ้านเอาไว้ เมื่อมาเห็นเข้าก็ฉุดมือลูกสาวเอากลับไปบ้านทันที พร้อมกับพูดว่า เดี๋ยวมึงกับกูจะได้เห็นดีกัน กูจะเอามึงใส่คุกให้ได้ แล้วเศรษฐีได้ให้คนไปแจ้งความกับตำรวจ ให้มาจับนายแกละ พอดีนายอำเภอกับตำรวจมาตรวจท้องที่พอดี กำลังจะมาแวะหาน้ำกินที่บ้านเศรษฐี นายอำเภอได้ให้ตำรวจไปตามตัวนายแกละมา เมื่อนายแกละโดนตำรวจพาตัวมาก็หมดความหวังถึงกับเข่าอ่อนได้แต่อาราธนาพระปรกโพธิ์ของหลวงพ่อและระลึกถึงหลวงพ่อให้ช่วย เมื่อมาถึงพ่อแม่นายแกละก็มาด้วย นายอำเภอได้สอบถามปากคำ ได้สอบถามลูกสาวเศรษฐีว่า เขาฉุดเอ็งไปหรือเอ็งรักเขาไปกับเขาเอง ลองบอกมาตรง ๆ หน่อยซิ พอนายอำเภอถามอย่างนั้นทุกคนนิ่งอึ้งกันไปหมด ลูกสาวเศรษฐีได้ตอบว่า หนูรักเขาหนูจึงไปกับเขา คนก็เต็มบ้าน ฝ่ายเศรษฐีพอได้ยินลูกสาวพูดอย่างนั้น ได้โมโหสุดขีดปืนลูกซองที่ถืออยู่ในมือฟาดพื้นเปรี้ยงเดียวคอหมาปืนหักเลย ความที่โมโหลูกสาวสุดขีด พร้อมกับพูดว่า ถ้ามึงรักเขามึงไปอยู่กับเขาเลยกูไม่เอาเลยสักบาทเดียว นายอำเภอจึงทำหนังสือเอาไว้เป็นหลักฐาน ฝ่ายเศรษฐีเมื่อลูกสาวไปแล้วก็ว้าเหว่เสียใจได้ให้คนมาตามกลับไปอยู่ด้วย เมื่ออยู่กินด้วยกันพ่อตาก็ไม่พอใจนักสร้างความลำบากใจต่อนายแกละมาก นายแกละได้หวนคิดถึงหลวงพ่อว่าเคยช่วยมาก็หลายครั้ง จึงได้อาราธนาพระปรกโพธิ์ในคอ อาราธนาทำน้ำมนต์ให้คนในบ้านรัก ได้เอาพระปรกโพธิ์ไปแกว่งในโอ่งน้ำฝนทำน้ำมนต์ โอ่งน้ำฝนน้ำฝนนี้เป็นน้ำดื่ม เมื่อทุกคนได้ดื่มน้ำในโอ่งก็รักใคร่เอ็นดูปรองดองกัน ไม่รังเกียจนายแกละอีกเลย ปัจจุบันนี้นายแกละเขาสบายแล้ว สมเด็จก็นำมาเลี่ยมทอง ระลึกถึงหลวงพ่อทุกลมหายใจ

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ๆ แต่การจะลงชื่อเศรษฐีและลูกสาวเศรษฐีเป็นการไม่เหมาะสม ทั้งนายแกละเองก็เป็นคนมีหน้ามีตาในอำเภอสรรค์บุรี หมู่บ้านแค อำเภอสรรค์บุรีแต่ก่อนเป็นป่าเป็นดงเศรษฐีแต่ก่อนมีนาเป็นร้อย ๆ ไร่ เฉพาะแม่ย่าของหมอเฉลียว เดชมา มีนาเกือบพันไร่ มีลูกจ้างไถนาเกือบ ๒๐ คน เสือฝ้าย เสือดำ เคยมาปล้นบ้าน เจอแม่ย่าหมอเฉลียวเข้าพูดจาดูนิ่ม เรียกลูกทุกคน หยิบเงินมาแจกคนละถุงเท่านั้น วางปืนนอนคอยกินข้าวเลย สมัยหมอเฉลียวบวชยังเอาช้างแห่

สำหรับคนที่มีสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ ก็ขอให้รักษาให้ดี ปัจจุบันเป็นของหายากมากและแพงเป็นของดีจริง แต่จะเอารวยเลยวันนี้พรุ่งนี้นั้นไม่ได้ ปัจจุบันมีของทำคล้ายคลึงมีมาก จะเช่าหาขอให้ระวังขอให้ดูจากคนที่ไว้ใจได้จริง ๆ ก็ขอสมมุติยุติเรื่องปรกโพธิ์ ๙ ใบ อีกตอนหนึ่ง

ปล.ปัจจุบันปรกโพธิ์นี้แพงและหายากมาก คนที่เงินน้อยควรหาเช่าบูชาปรกโพธิ์เล็กเพราะราคาตอนนี้ยังไม่แพง หลวงพ่อทำเองเช่นกัน
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ กรกฎาคม 19, 2013, 07:46:50 pm
สุดแห่งความเมตตาเลยครับ  ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 22, 2013, 09:16:32 am
สุดแห่งความเมตตาเลยครับ  ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;)

ติดตามไปเรื่อย ๆ นะครับ ยังมีอีกหลายตอน
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 22, 2013, 09:39:12 pm
ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓๑๗
วันที่ ๕ ส.ค. – ๑๕ ส.ค.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


จดหมายจากคุณยุทธนา
จ.พิษณุโลก
๒๘ มกราคม ๒๕๓๔
๑/๔๗ ถ.สนามบิน อ.เมือง จ.พิษณุโลก

ถึงคุณ เฒ่า สุพรรณ

เมื่อปีที่แล้วผมขอยืมมอเตอร์ไซค์ของพี่ชายผมขับไปกราบหลวงพ่อที่วัดโฆสิตาราม ผมไปจากพิษณุโลกแต่เช้า แต่รถไม่ค่อยดีนัก ไปถึงเพื่อน ๔ โมงเย็น ผมได้พบคุณพี่ด้วย พี่เดินมาหาผม และถามว่ามาจากไหน ตอนแรกผมก็งง แต่พอพี่แนะนำตัวว่าพี่คือ เฒ่า สุพรรณ ผมก็ดีใจ ยังสวัสดีพี่ด้วย พี่ยังพูดว่าอุตส่าห์มาไกล มากราบหลวงพ่อยังบอกให้ถึงสี่องค์เล็ก และเหรียญโล่ทั้ง ๒ แบบ พอผมไปถามท่านอาจารย์สำรวย เจ้าอาวาส ท่านยังถามว่าใครบอกให้มาบูชา ผมก็ตอบท่านว่าคุณเฒ่าบอก และชี้มือไปที่คุณพี่ ตอนนั้นพี่ไม่ได้เข้ามาด้วย ผมบอกท่านว่าคนตัวสูง ๆ บอก ท่านเลยหยิบพระสีวลีมาให้ และยังบอกว่าหมดแล้ว ผมยังโชคดีได้มา ๑ องค์ ผมอยากถามพี่ว่า ทำไมพี่ชื่อเฒ่า ผมไม่เห็นจะแก่เลย ยังหนุ่มสูงโปร่งแข็งแรง และที่สำคัญพี่มีความจริงใจให้กับทุกคน

มีอีกเรื่องหนึ่งหลวงพ่อยังไม่ได้เผาใช่ไหม ผมขึ้นไปกราบท่านใกล้ ๆ โลง กะว่าหัวไม่โดน พอกราบเสร็จหัวโขลกโลงดังโป๊กเลย พอถอยออกมาเพื่อนก็ไปกราบบ้าง หัวก็โขลกโลงดังโป๊กเช่นกัน ดังกว่าผมอีก แปลกมาก

ตอนขากลับมืดเลย ไฟรถผมไม่แจ่มขับไปสายเอเชียด้วย มันมืดมาก มีสิบล้อคันหนึ่งขับแซงไป ผมก็เร่งเครื่องให้ตามไปเหมือนสิบล้อจะสงสารผม ไม่ยอมขับหนี พอขับทิ้งห่างก็ชะลอให้ผมตามไปจนถึงพิษณุโลก ตั้งแต่แยกชัยนาทเข้านครสวรรค์ แปลกมากครับ ทำให้ผมศรัทธาในหลวงพ่อมากยิ่งขึ้น

ขอแสดงความนับถือ

ยุทธนา  ศรีระพงษ์


ตอบตอบ คุณยุทธนา ผมจำคุณได้ วันนั้นผมไปวัดพอดี ผมจะกลับ ผมเห็นคุณ ผมคิดว่าคุณคงมาไกล ไม่อยากให้เสียน้ำใจ เลยเข้าไปหาคุณ ปกติผมจะไม่แนะนำตัวเองกับใครเด็ดขาด คุณเป็นคนแรก และคุณก็มาไกลจริง ๆ ขับมอเตอร์ไซค์มาด้วย จากพิษณุโลกไม่ใช่ใกล้ ๆ ผมเห็นพระสีวลีเหลืออยู่ ๑ องค์ คุณควรได้ เลยบอกคุณไป เป็นด้วยบารมีของหลวงพ่อและพระสีวลี ทำให้รถ ๑๐ ล้อ ขับคอยคุณ คงเกิดเมตตา ขอให้รักษาให้ดี

โชคดีครับ

เฒ่า สุพรรณ


สิงหราช
ต่อไปจะกล่าวถึงเครื่องรางรูปสิงห์ของหลวงพ่อ ที่หลวงพ่อสร้างและปลุกเสกเอาไว้ เครื่องรางรูปสิงห์นี้เป็นสัตว์ในเทพนิยายหรือบนสวรรค์ รูปแบบคล้าย ๆ ของเบียร์ไทยตราสิงห์นั่นแหละ คือเป็นสัตว์ชั้นสูง ไม่ใช่สิงโต คือคนเรานี้จะคล้องเครื่องรางอะไรก็ต้องให้มันดูสูงหน่อย เช่น จะคล้องหมูตัวเล็ก ๆ ก็ควรจะเป็นหมูทองแดง จะคล้องรูปควาย ก็ควรจะเป็นควายธนู เป็นต้น เกี่ยวกับวิชาสิงหราชนี้ หลวงพ่อเรียนมาจากหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ หลวงพ่อเคยสร้างผ้ายันต์สิงห์คู่ ตำราหลวงพ่อเดิม และเคยสร้างผ้ายันต์และเสื้อยันต์ เป็นยันต์สิงห์ดอกบัวตำราตรงกับของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก นอกจากนี้หลวงพ่อยังชอบสิงห์เป็นพิเศษ จะเป็นตำรายันต์ท่านก็ดี ใบลานจารึกคาถาก็ดี หลวงพ่อจะตอกยันต์รูปสิงห์ชูคอเอาไว้ คือสิงห์ของหลวงพ่อจะชูคอสง่า หลวงพ่อยังใช้ปั๊มรูปถ่ายชนิดเล็กรุ่นแรกของท่านไว้ด้วย แม้ที่เป็นพระเครื่องก็มี เช่น สมเด็จด้านหลังเป็นรูปสิงห์ลายเส้น นอกจากนั้นยังมีสมเด็จที่หลวงพ่อสั่งทำ เป็นสมเด็จขี่สิงห์ หลังสิงห์ก็ยังมี

รูปแบบสิงห์ของหลวงพ่อมีหลายแบบ ชนิดสั่งทำเป็นตะกั่วกะไหล่ทองก็มี กาหลั่ยทองยกขาตัวเล็กก็มี ชนิดที่มีมากเป็นตะกั่วชูคอ ชนิดนี้เข้าใจว่าสั่งทำเช่นกัน แต่บางคนบอกว่าได้จากกรุ จังหวัดสิงห์บุรี ชนิดที่เป็นงาช้างแกะก็มี ชนิดนี้ดูยาก เพราะช่างพยุหะแกะฝีมือเหมือนกันหมด นอกจากจะแกะเหมือนกันแล้ว ยังหาความงามไม่ได้เลยแต่ก็มีอยู่รุ่นหนึ่งที่แกะได้สวยมากแต่หาดูได้ยากนอกจากนั้นยังมีชนิดตะกั่ว หลวงพ่อหล่อเองรุ่นนี้สวยมาก

ต่อไปเป็นคาถาสิงหราชของหลวงพ่อ มีลายมือของท่าน หลักฐานยังมี คาถานี้คล้ายคลึงกับของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว คาถาว่าดังนี้ใช้คู่กับสิงห์

ตะมัดถัง  ปะกาเส็นโต  ตัวกูผู้ชื่อว่า  ราชชะสิงโห
   สัดถาอาหะ  ไกรสอน  ราชชะสีวิยะ  อิมังคาถะมาหะ
   อิสุจุระ สีหะนาทัง


คาถานี้เขียนตามหลวงพ่อเขียนทุกอย่าง เขียนเป็นคำอ่าน คาถานี้จะใช้คาถาอย่างเดียวก็ได้ แต่ทั้งสิงห์และคาถาถ้าใช้จนขึ้นใจแล้ว ถ้าเป็นคนค้าขายจะขายไม่ดี คนจะเกรงอำนาจ คือขายของไม่ดี ถ้าเป็นข้าราชการจะดี หรือขณะผจญภัยผู้ร้าย หรือศัตรูภาวนาจะดี อำนาจของพระคาถานี้ ถ้าภาวนาจนขึ้นใจ จะมีตบะและอำนาจเหนือคน

ต่อไปจะขอเล่าถึงอภินิหารของสิงห์ และคาถาสิงหราชของหลวงพ่อเอาไว้สัก ๒ – ๓ เรื่อง

เรื่องแรก ช่างป้อม เป็นคนเดิมบาง แกเป็นช่างก่อสร้าง เคยไปสักน้ำมันกับหลวงพ่อ หลวงพ่อให้คาถาสิงห์มา คือแกสักสิงห์ คนสักน้ำมันนี่เวลาฝนตก หรือฤดูหนาวจะหนาวมาก แกใช้คาถาสิงห์ขึ้นมาก เวลาแกเดินภาวนา เดินผ่านบ้านคนหมาไม่เห่า แปลกมาก แกเคยมาทำงานบ้านผม หมาผมปกติต้องเห่าพอเจอแกเงียบ ร้องหงิง ๆ เลย แปลกมาก ผมเลยคุยกับแกถามถึงสาเหตุเพราะผมรู้ว่าแกต้องมีของดี แกเลยเล่าให้ฟังว่าแกใช้คาถานี้

เรื่องที่สอง คุณบุญชู เป็นพนักงานบนอำเภอ แผนกสำมะโนประชากร อยู่จังหวัดชัยนาท แกใช้สิงหราชกับคาถาของหลวงพ่อ แกคอยจะใช้ผิดสถานที่หรือไงนี่แหละ จะเป็นด้วยตบะสิงห์ในตัวหรือคาถาหรือหน้าตาแกไม่แน่ชัด พอแกถามคนที่มาติดต่อบางทีก็ถามดี ๆ นี่แหละ พอถามหนที่สองบางทีคนที่มาติดต่อกำลังยืนอยู่ถึงกับรูดลงมานั่งยอง ๆ ยกมือไหว้เลย แต่มีผลเสียคือเจ้านายเกรงใจ ผลข้างเคียงของความเกรงใจตามมาคือ ไม่เรียกใช้และเกรง ๆ เกลียด ๆ แต่ถ้าเป็นหัวหน้าเขา รู้สึกดีมากลูกน้องรักและเกรงใจ แต่ถ้าไปติดต่อกับเจ้านายก็ดีเหมือนกัน

เรื่องที่สาม ศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่งชื่อสมนึก เป็นคนสรรค์บุรี เป็นพ่อค้าตลาดเช้า ปกติไปขายของมีปลัดของหลวงพ่อติดตัวไปขายของดี วันหนึ่งกิจการขายของดีขึ้นเรื่อย เลยให้ภรรยามาตั้งหาบขายของช่วยอีกทีหนึ่งขายคนละที่ คุณสมนึกเลยถอดปลัดให้ภรรยาไปติดตัวเพราะเคยใช้ได้ผลดี ส่วนตนเองได้ไปหยิบสิงห์ตะกั่วของหลวงพ่อมาอาราธนาติดตัวไปขายของ จะเป็นด้วยตบะในตัวคุณสมนึกที่มีสิงห์ติดตัว หรือคุณสมนึกจะดวงไม่ดีไม่แน่ชัด ปรากฏว่าแกขายของไม่ได้เลย พอมีคนถามแล้วมองหน้าแกเขาไม่ต่อแต่เดินผ่านไปเฉย ๆ จนสายก็ขายของไม่ได้ ส่วนภรรยาแกขายหมดไปแล้ว ใหม่ ๆ แกก็ไม่แน่ใจ ตอนหลังเอาติดตัวไปอีก ไม่มีใครกล้าต่อราคาไม่ถามเฉย ๆ เลย แกเลยให้ข้อยุติว่าสิงห์ของหลวงพ่อขายของไม่ดี คนเกรงใจ คนกลัว
 
เรื่องที่สี่ เรื่องสุดท้ายแล้วกัน ศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งชื่อ สมาน ยอดย้อย  เป็นนักเลงเป็นคนจริง บ้านเดิมเป็นคนใกล้ ๆ วัด ปัจจุบันทราบว่าอยู่ทางประตูน้ำ บางประอิน อยุธยา เป็นคนหนึ่งที่ยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ เคยโดนยิงมานักต่อนักนับครั้งไม่ถ้วน โอกาสหน้าจะนำเรื่องชีวิตของพี่สมาน มาเล่าให้ศิษย์รุ่นหลังได้ฟัง ผมเคยพบพี่สมาน ครั้งที่มาบวชแก้บนให้หลวงพ่อที่วัด พี่สมานเล่าว่าขณะอยู่ในป่าในดง นอนอยู่ใต้ต้นไม้ ในถ้ำ เคยเจอกับเจ้าถ้ำ เคยเจอกับนางไม้ แกใช้คาถาสิงหราชนี้ภาวนา นางไม้ เจ้าถ้ำ เจ้าป่าไม่มายุ่งกับแกเลย เวลาภาวนาแม้จักจั่นก็ไม่ร้อง หนูและแมลงไม่มารบกวนเลยเป็นอัศจรรย์ คาถานั้นหลวงพ่อให้ไปแกใช้ควบกับคาถาเสือสมิง
 
เกี่ยวกับสิงห์ของหลวงพ่อก็คงจบเพียงเท่านี้ อภินิหารไม่มากนักแต่ใช้ติดตัวดี รูปแบบดูยากสักหน่อย เคยเจอของลุงสุรินทร์เป็นกรรมการวัด เนื้องาช้างแกะ หนหนึ่งหายไป ตอนหลังไปเจอในกองไฟ ดับไฟแล้ว เอะใจไปเขี่ย ๆ ดู ปรากฏว่าไม่ไหม้ไฟ พลาสติกก็ไม่ไหม้ นับว่าแปลกมาก ก็ขนาดขวดกระทิงแดงยังละลาย แต่สิงห์ของหลวงพ่อไม่ไหม้ ก็ขอจบเรื่องสิงหราชแต่เพียงนี้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ กรกฎาคม 23, 2013, 10:30:30 am
ติดตามตลอดเลยครับพี่ ;D ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 24, 2013, 11:13:43 am
ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓๑๘
วันที่ ๑๕ ส.ค. – ๒๕ ส.ค.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


ต่อไปจะขอเล่าถึงอภินิหารของสิงห์ และคาถาสิงหราชของหลวงพ่อเอาไว้สัก ๒ – ๓ เรื่อง

เรื่องแรก ช่างป้อม เป็นคนเดิมบาง แกเป็นช่างก่อสร้าง เคยไปสักน้ำมันกับหลวงพ่อ หลวงพ่อให้คาถาสิงห์มา คือแกสักสิงห์ คนสักน้ำมันนี่เวลาฝนตก หรือฤดูหนาวจะหนาวมาก แกใช้คาถาสิงห์ขึ้นมาก เวลาแกภาวนาเดินผ่านบ้านคนหมาไม่เห่าแปลกมาก แกเคยมาทำงานบ้านผม หมาผมปกติต้องเห่าพอเจอแกเงียบ ร้องหงิง ๆ เลย แปลกมาก ผมเลยคุยกับแกถามถึงสาเหตุเพราะผมรู้ว่าแกต้องมีของดี แกเลยเล่าให้ฟังว่าแกใช้คาถานี้

เรื่องที่สอง คุณบุญชู เป็นพนักงานบนอำเภอ แผนกสำมะโนประชากร อยู่จังหวัดชัยนาท แกใช้สิงหราชกับคาถาของหลวงพ่อ แกคอยจะใช้ผิดสถานที่หรือไงนี่แหละ จะเป็นด้วยตบะสิงห์ในตัวหรือคาถาหรือหน้าตาแกไม่แน่ชัด พอแกถามคนที่มาติดต่อบางทีก็ถามดี ๆ นี่แหละ พอถามหนที่สองบางทีคนที่มาติดต่อกำลังยืนอยู่ถึงกับรูดลงมานั่งยอง ๆ ยกมือไหว้เลย แต่มีผลเสียคือเจ้านายเกรงใจ ผลข้างเคียงของความเกรงใจตามมาคือ ไม่เรียกใช้และเกรง ๆ เกลียด ๆ แต่ถ้าเป็นหัวหน้าเขา รู้สึกดีมากลูกน้องรักและเกรงใจ แต่ถ้าไปติดต่อกับเจ้านายก็ดีเหมือนกัน

เรื่องที่สาม ศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่งชื่อสมนึก เป็นคนอำเภอสรรค์บุรี เป็นพ่อค้าตลาดเช้า ปกติไปขายของมีปลัดของหลวงพ่อติดตัวไปขายของดี วันหนึ่งกิจการขายของดีขึ้นเรื่อย ๆ เลยให้ภรรยามาตั้งหาบขายของช่วยอีกทีหนึ่งขายคนละที่ คุณสมนึกเลยถอดปลัดให้ภรรยาไปติดตัวเพราะเคยใช้ได้ผลดี ส่วนตนเองได้ไปหยิบสิงห์ตะกั่วของหลวงพ่อมาอาราธนาติดตัวไปขายของ จะเป็นด้วยตบะในตัวคุณสมนึกที่มีสิงห์ติดตัว หรือคุณสมนึกจะดวงไม่ดีไม่แน่ชัด ปรากฏว่าแกขายของไม่ได้เลย พอมีคนมาถามแล้วมองหน้าแกเขาไม่ต่อแต่เดินผ่านไปเฉย ๆ จนสายก็ขายของไม่ได้ ส่วนภรรยาแกขายหมดไปแล้ว ใหม่ ๆ แกก็ไม่แน่ใจ ตอนหลังเอาติดตัวไปอีก ไม่มีใครกล้าต่อราคาไม่ถามเฉย ๆ เลย แกเลยให้ข้อยุติว่าสิงห์ของหลวงพ่อขายของไม่ดี คนเกรงใจ คนกลัว

เรื่องที่สี่ เรื่องสุดท้ายแล้วกัน ศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งชื่อ สมาน ยอดย้อย  เป็นนักเลงเป็นคนจริง บ้านเดิมเป็นคนใกล้ ๆ วัด ปัจจุบันทราบว่าอยู่ทางประตูน้ำ บางประอิน อยุธยา เป็นคนหนึ่งที่ยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ เคยโดนยิงมานักต่อนักนับครั้งไม่ถ้วน โอกาสหน้าจะนำเรื่องชีวิตของพี่สมาน มาเล่าให้ศิษย์รุ่นหลังได้ฟัง ผมเคยพบพี่สมาน ครั้งที่มาบวชแก้บนให้หลวงพ่อที่วัด พี่สมานเล่าว่าขณะอยู่ในป่าในดง นอนอยู่ใต้ต้นไม้ ในถ้ำ เคยเจอกับเจ้าถ้ำ เคยเจอกับนางไม้ แกใช้คาถาสิงหราชนี้ภาวนา นางไม้ เจ้าถ้ำ เจ้าป่าไม่มายุ่งกับแกเลย เวลาภาวนาแม้จักจั่นก็ไม่ร้อง หนูและแมลงไม่มารบกวนเลยเป็นอัศจรรย์ คาถานั้นหลวงพ่อให้ไป แกใช้ควบกับคาถาเสือสมิง

เกี่ยวกับสิงห์ของหลวงพ่อก็คงจบเพียงเท่านี้ อภินิหารไม่มากนักแต่ใช้ติดตัวดี รูปแบบดูยากสักหน่อย เคยเจอของลุงสุรินทร์เป็นกรรมการวัด เนื้องาช้างแกะ หนหนึ่งหายไป ตอนหลังไปเจอในกองไฟ ดับไฟแล้ว เอะใจไปเขี่ย ๆ ดู ปรากฏว่าไม่ไหม้ไฟ พลาสติกก็ไม่ไหม้ นับว่าแปลกมาก ก็ขนาดขวดกระทิงแดงยังละลาย แต่สิงห์ของหลวงพ่อไม่ไหม้ ก็ขอจบเรื่องสิงหราชแต่เพียงนี้

เฒ่า สุพรรณ


จดหมายจากศิษย์หลวงพ่อ

เรียน คุณลุงเฒ่า ที่เคารพ

ผมขออนุญาตเรียกลุงนะครับ ผมเพิ่งเขียนมาครั้งนี้เป็นครั้งแรก ผมเพิ่งได้รู้จักเกียรติคุณของหลวงพ่อกวย เมื่อได้อ่านหนังสือนะโม ทำให้ผมรู้สึกศรัทธาในหลวงพ่อมาก ผมเคยไปกราบรูปหล่อหลงพ่อที่วัด ไปตามที่อยู่ที่คุณลุงลงไว้ในหนังสือ ผมเองไม่เคยประสบปาฏิหาริย์เหมือนกับคนอื่นที่เขียนมาหรอก หรืออาจจะเจอแล้วแต่ผมไม่รู้ก็ได้ เพราะมีครั้งหนึ่งผมได้ไปนั่งคุยกับเพื่อนและก็ได้คุยเรื่องราวของหลวงพ่อให้เพื่อนฟังว่า คนอื่น ๆ ที่เขาบูชาหลวงพ่อเขาได้โชคลาภกันทั้งนั้นเลย แต่ทำไมผมถึงไม่ได้กับเขาบ้างเลย ยังไม่ทันข้ามวันเลยพอกลับมาถึงบ้านพ่อผมก็ควักเงินให้ ๒๐๐ บาท ผมงงมาก ถามคุณพ่อว่าให้ผมด้วยเรื่องอะไร คุณพ่อบอกว่าให้เป็นค่าแรงที่ซักผ้าให้ ผมยิ่งงงใหญ่เพราะซักตั้งนานแล้วไม่เคยได้สักที อย่างนี้เขาเรียกว่าหลวงพ่อให้โชคหรือเปล่าครับ ผมเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 24, 2013, 11:14:43 am
ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓๑...-ขัดตาทัพ-(ขาดฉบับที่ ๓๑๙)
วันที่ ๑๕ ส.ค. – ๒๕ ส.ค.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา

 
มนต์ขุนแผน (ตอนอภินิหารพระขุนแผน)

เกี่ยวกับพระขุนแผนหลวงพ่อ ความจริงมีหลายเรื่องแต่เอาชนิดเด็ดขาดจริงเอาเรื่องเดียวแล้วกัน นายฉาย บ้านอยู่บางระจัน เขตติดต่ออำเภอเดิมบางนามบวช แถบกุ่มโคก เป็นศิษย์หลวงพ่อสมัยหนุ่มเคยมากราบหลวงพ่อและได้ขอคาถาขุนแผนเอาไว้และยังได้พระขุนแผนหลวงพ่อไว้หนึ่งองค์เป็นพิมพ์ขี่ไก่ เนื้อผงน้ำมัน มีอาชีพทำนา ติดจะมีนิสัยทางนักเลงหน่อยๆแขนด้วนข้างหนึ่งโดนฟันสมัยหนุ่มๆ แกมาชอบสาวๆทางบางระจันทางฝ่ายผู้หญิงเขารังเกียจ เพราะมีนิสัยนักเลง และแขนด้วนด้วย แกเลยเอาพระขุนแผนมาทำน้ำมนต์ล้างหน้าล้างตา ความจริงไม่ได้ล้างเข้าใจว่าอาจนำพระขุนแผนไปแกว่งในโอ่งน้ำบ้านผู้หญิงด้วย ภายหลังฝ่ายหญิงไม่รังเกียจ ตกลงได้ดีมีการสู่ขอ นับว่าอัศจรรย์แต่ถ้าเรื่องจบเท่านี้ผม(เฒ่า สุพรรณ)ไม่มาเล่าให้ฟังหรอกนะ

อยู่ต่อมาภรรยาเกิดท้องแก้จึงได้น้องเมียอีกหนึ่งคนมาเป็นภรรยา ทำเอาแม่ยายพูดไม่ออก พอน้องเมียท้องอีกแกก็ได้น้องเมียคนที่ 3 มาเป็นภรรยา จำไม่ได้ว่าแค่ 3 คนแน่หรือ 4 คน มีลูกรวมกัน 19 คน คือเรื่องนี้ผม (เฒ่า สุพรรณ) เจอเขาเวลาผ่านไปตก 30 ปี แล้วไม่ได้เจออีกเลย ลุงแกบอกว่าครั้งหนึ่งได้ไปเผาป่ามีคนเอาขุนแผนไข่ผ่า เนื้อผงขาวไปซุกไว้ในกอไผ่หอผ้ายันต์เอาไว้เผาเท่าไหร่ก็ไม่ไหม้ ตอนหลังได้รู้ว่าพระขุนแผนหลวงพ่อกวยกันไฟได้ด้วย มีบางคนนำขุนแผนขี่ไก่ไปทำน้ำมนต์ให้น้ำไก่เขาว่าดี จะดีแค่ไหนไม่รู้ไม่เคยเห็นสักที ก็จบเรื่องลุงฉายไว้เท่านี้

จะกล่าวถึงคาถาเสกแป้งผัดหน้า คาถาเสกสีผึ้งทาปาก คาถาขุนแผนและพระเครื่องพิมพ์ขุนแผน เพื่อศิษย์รุ่นหลังจะได้นำไปใช้และเป็นเครื่องระลึกถึงต่อไป คาถาเสกแป้ง คาถาเสกสีผึ้ง และคาถาใช้กับพระพิมพ์ขุนแผนต่างๆนั้นเป็นตัวเดียวกันมีศิษย์หลวงพ่อนำไปใช้แล้วได้ผลอย่างอัศจรรย์ ส่วนขุนแผนในตำนานว่าเป็นทหารเอกขอพระเจ้าอยู่หัวพระพันวษา ในสมัยอยุธยาตอนปลาย ภายหลังมีพระเครื่องแตกกรุที่วัดบ้านกร่าง ในจังหวัดสุพรรณบุรี เรียกกันว่าพระพิมพ์ขุนแผน ซึ่งขุนแผนไม่ใช่ผู้สร้างแน่นอน ภายหลังเกจิต่างๆได้นำไปสร้างเป็นพระพิมพ์ขุนแผนต่างๆขึ้นมาผู้ปลุกเสกจะเน้นหนักไปทางเมตตา เพราะในทางวรรณคดีจะเห็นว่าขุนแผนมีภรรยามากต้องมีดีทางด้านเสน่ห์ แต่ที่จริงขุนแผนยังเป็นพระในทางคงกระพันแคล้วคลาดได้ด้วย


พระขุนแผนมีการสร้างรูปทรงพิมพ์ต่างๆมากมาเช่น ขุนแผนขี่ไก่ ขุนแผนชนไก่ ขุนแผนกุมารทอง ขุนแผนขี่โหงพราย เป็นต้น เรื่องพระขุนแผนพิมพ์แปลกๆบางคนก็ไม่ยอมรับเพราะอาจเห็นว่า อาจารย์ผู้สร้างเพ้อเจ้อเรื่องวรรณคดีมากไปอันนี้น่าเห็นใจ

เท่าที่เห็นหลวงพ่อได้สร้างพระพิมพ์ขุนแผนไว้เหมือนกันหลายพิมพ์แต่สร้างน้อยหลักฐานที่แน่ชัดคือ ขุนแผนบ้านกร่าง พิมพ์ไข่ผ่าซีก พิมพ์ขี่ไก่ พิมพ์ชนไก่ ขุนแผนปลุกโหงพราย ขุนแผนกุมารทอง ขุนแผนพรายคู่


เมื่อพูดถึงขุนแผนก็ต้องกล่าวถึง มนต์ขุนแผน คาถานี้เป็นคาถาที่ได้รับการถ่ายทอดจากหลวงพ่อแน่นอน ยังได้เคยพิมพ์ลงหนังสือชื่อ ตำราแก้วสารพัดนึก คาถานี้ ใช้เสกสีผึ้งทาปากได้ เสกแป้งผัดหน้าได้ เสกน้ำมันจันทร์ได้ และใช้คู่กับพระขุนแผนได้ด้วย คาถานี้แม่จะไม่ยาวแต่ถ้าคนที่นับถือได้ขลังๆจะเป็นเมตตามหานิยมได้ดีมาก ศิษย์หลวงพ่อที่ได้คาถานี้ไปถือได้ขลังมาก คือ นายโว,นายที และหมอเฉลียว เดชมา มีอีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิงสมควรที่จะบันทึกไว้เป็นศิษย์หลวงพ่อเช่นกัน    ชื่อ      บัวตอง เป็นคนบ้านกลับขึ้นอยู่กับ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี


เรื่องของอำนาจมนต์ของหลวงพ่อนี้ หลวงพ่อทำได้จริงแต่ท่านไม่ค่อยทำให้ใคร โดยมากจะเป็นบุญเฉพาะตน เช่นนายวิเชียรคนหัวเด่นเคยมาบวชกับหลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่อลงฟันและลิ้นให้เป็นสาลิกาลิ้นทองภายหลังคนคนนี้มีเมียนับไม่ถ้วนพูดอะไรทั้งสาวๆ สาวแก่แม่หม้ายหลงไปหมดจนถึงขั้นทะเลาะกัน หรือละเมอเลยก็มีบ้านเขาอยู่ติดหลังวัดหัวเด่น

ทีนี้คุณบัวตอง ความจริงเรื่องนี้คนอื่นเขาจะไม่เล่ากันเพราะอาจจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของหลวงพ่อ แต่ถ้าไม่เล่าก็ไม่รู้ (อีกอย่างจะได้รู้ถึงความเก่งของหลวงพ่อด้วย) คุณบัวตองได้มาขอคาถาหลวงพ่ออาจจะขอไปมั่วๆขอ คาถาเมตตา คาถาสาลิกาลิ้นทอง คาถาเสกแป้งผัดหน้า คาถาประสบเนตร คาถาเสกสีผึ้ง ทำนองนี้ หลวงพ่ออาจเห็นว่าศิษย์ท่านเป็นคนเจ้าชู้ ท่านให้คาถาชื่อ มนต์ขุนแผนไป ท่านว่าใช้ได้ทุกอย่างที่ขอมา ถือให้มั่นคาถาว่าดังนี้   “เอหิมะมะ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ” คาถานี้ดูก็ธรรมดาทั่วไปไม่เห็นวิเศษวิโสตรงไหน แต่สำหรับคนเรียนน้อยเขามั่นใจเขาถือได้มั่นมันก็ย่อมขลังและได้ผล

ทีนี้จะเล่าถึงอภินิหารของมนต์ขุนแผนให้ฟัง เมื่อคุณบัวตองได้คาถาไป ปกติเขาก็นับถือหลวงพ่ออยู่แล้วเขาได้ใช้คาถานี้เสกแป้งผัดหน้า เสกสีผึ้งทาปาก เวลาจะมองตาชายหนุ่มก็ว่าคาถานี้ไปด้วย ด้วยอำนาจของคาถาหลวงพ่อหรือความขี้เล่นในดวงตาเธอก็ไม่รู้ ถ้าเธอชอบใครขึ้นมาและได้เข้าไปคุยด้วย แม้ไม่นานชายหนุ่มหรือชายไม่หนุ่มก็ตามจะต้องตามเธอไปด้วยทุกราย เมื่อเบื่อขึ้นมาก็เลิกว่าคาถาผู้ชายคนนั้นก็จะกลับบ้านเอง ขนาดสามีเขาลองได้ชอบขึ้นมาละก็ยังเดินตามมาทิ้งภรรยาและลูก เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแต่คนที่ถือคาถาหลวงพ่อแล้วขลังหาได้น้อยจริงๆ ขนาดฝรั่งมองตาแปลบเดียวยังหลงเลยเรื่องนี้เป็นเรื่องของเธอน่ะ


หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ กรกฎาคม 24, 2013, 09:42:59 pm
ยอดเยี่ยมครับพี่ ;) :) :) :) :)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 25, 2013, 08:55:19 am
ยอดเยี่ยมครับพี่ ;) :) :) :) :)

เหลืออีกประมาณ ๓๒ ตอน หากลงสัปดาห์ละตอน ตกเดือนละ ๔ ตอน ก็คงเหลือเวลาอีกประมาณ ๘ เดือน จึงจะหมดสต๊อกครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ กรกฎาคม 25, 2013, 09:43:23 pm
ติดตามผลงานเรื่องเล่าประสบการณ์หลวงพ่อกวยตลอดครับ ขอบคุณครับพี่วีรวัฒน์ที่นำเรื่องราวเกรียติคุณหลวงพ่อกวยมาเผยแพร่ให้ศิษย์ปัจจุบันให้ได้อ่านครับ ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: nori ที่ กรกฎาคม 25, 2013, 10:00:27 pm
ยอดเยี่ยมครับพี่ ;) :) :) :) :)

เหลืออีกประมาณ ๓๒ ตอน หากลงสัปดาห์ละตอน ตกเดือนละ ๔ ตอน ก็คงเหลือเวลาอีกประมาณ ๘ เดือน จึงจะหมดสต๊อกครับ
จะรออ่านครับ ;D ;D ;D ;D ;D ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 26, 2013, 09:43:21 am
ติดตามผลงานเรื่องเล่าประสบการณ์หลวงพ่อกวยตลอดครับ ขอบคุณครับพี่วีรวัฒน์ที่นำเรื่องราวเกรียติคุณหลวงพ่อกวยมาเผยแพร่ให้ศิษย์ปัจจุบันให้ได้อ่านครับ ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;)

ขอให้ศิษย์ทุกคนที่ติดตามอ่านขอให้รวย อย่าอด อย่าอยาก อย่ายาก อย่าจน อย่าต่ำกว่าคน อย่าจนกว่าเขา สาธุ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 26, 2013, 09:44:00 am
ยอดเยี่ยมครับพี่ ;) :) :) :) :)

เหลืออีกประมาณ ๓๒ ตอน หากลงสัปดาห์ละตอน ตกเดือนละ ๔ ตอน ก็คงเหลือเวลาอีกประมาณ ๘ เดือน จึงจะหมดสต๊อกครับ
จะรออ่านครับ ;D ;D ;D ;D ;D ขอบคุณมากครับ

ด้วยความยินดีครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: anon ที่ กรกฎาคม 26, 2013, 09:11:05 pm
 ขอบพระคุณ คุณ weerawat มากครับ ตามอ่านทุกตอนเลย เอามาลงอีกนะครับ  ;)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 29, 2013, 08:31:28 am
ขอบพระคุณ คุณ weerawat มากครับ ตามอ่านทุกตอนเลย เอามาลงอีกนะครับ  ;)

ยินดีด้วยนะครับที่ติดตามอ่านมาตลอด ระวังติดแล้วเลิกยากนะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กรกฎาคม 31, 2013, 09:38:35 am
ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓๒๐
วันที่ ๕ ก.ย. – ๑๕ ก.ย.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


หุ่นขี้ผึ้งรูปหลวงพ่อ
๑๐ พ.ค.๓๕ ต่อไปนี้ผมขอชี้แจงเรื่องหุ่นขี้ผึ้งรูปหลวงพ่อ และเป็นการขอโทษทุกท่านอย่างสูงสุดเป็นความผิดพลาดของผมเอง ผมขอยอมรับผิดทุกอย่าง

ฉบับก่อนผมได้ชี้แจงเรื่องจะปั้นหุ่นขี้ผึ้งเป็นรูปหลวงพ่อให้ศิษย์รุ่นหลังได้กราบไหว้บูชา ในตอนนั้นผมไม่มีเงินทุนเลย ผมได้ทำหนังสือคาถาแจก ขณะที่ผมยังไม่ได้ไปติดต่อช่างที่จังหวัดนครปฐม ที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง แต่ได้แจ้งให้ท่านอาจารย์สำรวย อคฺคปัญโญ เจ้าอาวาสทราบแล้ว พอดีมีคุณผู้หญิงท่านหนึ่งชื่อคุณอัปสร ลาภทรงสุข ได้เดินทางมากราบรูปหล่อหลวงพ่อที่วัด ได้พูดคุยกับท่านอาจารย์สำรวย ทราบว่าทางวัดจะสร้างหุ่นขี้ผึ้งรูปหลวงพ่อ คุณอัปสรได้ถามจำนวนเงินในการสร้าง อาจารย์สำรวยได้ตอบออกไปว่าประมาณ ๒๕๐,๐๐๐ บาท คุณอัปสรได้ตอบตกลง และยินดีสร้างให้โดยจะนำเช็คมามอบให้ในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ท่านอาจารย์สำรวยก็ดีใจ พอผมรู้ผมก็ดีใจ ผมรีบเดินทางไปติดต่อที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง จังหวัดนครปฐม ผลที่ได้รับคือทางเขาไม่รับทำให้ เขาพูดว่าเขาไม่มีโครงการ เขาจะทำเฉพาะพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นที่ยอมรับของประชาชนเท่านั้น ผมฟังเขาพูดหัวใจแทบแตกสลาย

ผมทำผิดพลาดก่อนบอกบุญท่าน ผมน่าจะไปติดต่อเขาดูก่อนสรุปคือเงินที่ท่านทำบุญหุ่นขี้ผึ้งมา ผมขอนำเข้ามูลนิธิของหลวงพ่อ ผมก็ยังรับบริจาคหรือทำบุญอยู่ ส่วนหนังสือคาถารวมเล่มของหลวงพ่อที่ผมทำไว้ ๑๐๐ เล่ม คงจะไม่พอเพียงแน่ ผมจะหาเงินส่วนหนึ่งส่วนใด หรือเงินที่มีผู้บริจาคจัดสร้างอีกสัก ๒๐๐ เล่ม คงจะเพียงพอ

ท้ายนี้ผมขอโทษท่านอย่างสูงในความผิดพลาดทั้งหมด งานสร้างหุ่นขี้ผึ้ง ผมขอฝากศิษย์รุ่นหลังเอาไว้ด้วย ส่วนรูปต้นแบบ ผมได้ขยายนำไปมอบให้วัดแล้ว ขอขอบพระคุณคุณอัปสร ลาภทรงสุข บ้านอยู่สามโคก จ.ปทุมธานี อย่างสูงสุดที่มีเจตจำนงในการสร้างหุ่นขี้ผึ้งให้หลวงพ่อ เงินบุญของคุณไหน ๆ คุณก็ทำมาแล้ว ผมอยากให้คุณทำซุ้มประตูทางเข้าวัด จะได้จารึกชื่อคุณเอาไว้ ใครผ่านมาผ่านไป เขาจะได้อวยชัยให้พรคุณ ขอให้คุณมีความสุข ความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก ขอขอบคุณด้วยความเคารพในน้ำใจ

รูปถ่ายพรรษาสุดท้าย

รูปถ่ายพรรษาสุดท้ายของหลวงพ่อนี้ หมายถึงรูปถ่ายโปสการ์ดและรูปถ่ายชนิดเล็กที่ออกในงานฝังลูกนิมิต เพราะหลังจากนี้แล้วหลวงพ่อไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้อีกเลย รูปพรรษาสุดท้ายนี้ใบหน้าท่านชราภาพมาก แต่ยังแข็งแรงอยู่ การให้แสงไม่ดีนัก แขนท่านเลยดำ เมื่อถ่ายเสร็จแล้วช่างได้นำกลับไปให้ท่านเขียนยันต์ ๒ ข้าง กระดาษที่ใช้อัดรูปชนิดใหญ่เป็นกระดาษแบบเก่า คือเรียบและเลื่อม ๆ คล้ายดาษเคลือบมัน ส่วนกระดาษรูปขาว-ดำรุ่นใหม่จะขรุขระเป็นมัน กระดาษรุ่นเก่านี้ถ้าเก็บรักษาไม่ดีแมลงสาบชอบแทะ และรูปขาว-ดำนี้เวลาไปใส่กระจก ถ้าจะให้ดีควรใช้แป้งโรยตัวลูบๆที่รูปเล็กน้อย ป้องกันรูปติดกับกระจก ใครที่มีรูปรุ่นนี้ไว้บูชา ขอให้เก็บรักษาให้ดีเถิด ดีและหาค่าไม่ได้ บางคนนำรูปโปสการ์ดไปเคลือบด้วยน้ำยาเคมีทางวิทยาศาสตร์ ผมก็ว่าดีคงทนดี แต่ผมไม่ทำ ผมว่าใส่กรอบธรรมดาก็ดีมากแล้ว นำไปเคลือบคล้าย ๆ ไปปิดกั้นท่านอย่างไรชอบกล ผมคิดเองนะ ผมคิดว่าเครื่องรางของขลังนี้ นำเอาเทคโนโลยีรุ่นใหม่เข้ามาปะปนมาก ๆ ผมว่าไม่ค่อยดี

ต่อไปจะขอเล่าถึงอภินิหารของรูปโปสการ์ดพรรษาสุดท้ายนี้ไว้เพิ่มเติม จะเล่าเฉพาะอภินิหารของรูปชนิดโปสการ์ด ส่วนชนิดเล็กห้อยคอนั้นประสบการณ์มาก จะขอเล่าในวันหน้า

นายเนื่อม ปิ่นทอง บ้านอยู่หนองปลาดุก ห่างจากวัดประมาณ ๒ – ๓ กิโลเมตร ในงานฝังลูกนิมิตได้มาเช่ารูปโปสการ์ดจากวัดไป ๑ รูป สมัยนั้น พ.ศ.๒๕๒๑ วัดออก ๒๐ บาท ถูกมาก นายเนื่อมก็เช่ามาด้วยความเคารพ เพราะบนบ้านไม่มีรูปพระบูชาเลย เรื่องที่ศิษย์ของหลวงพ่อบางคนบูชารูปหลวงพ่อเพียงอย่างเดียวเป็นเรื่องจริง ๆ ผมเคยมาขอเช่ารูปหล่อบูชา ๕ นิ้ว พ.ศ.๒๕๑๘ จากคนบ้านคู อ.บางระจัน เมื่อขึ้นไปดูพระบนบ้านเขาบูชาแต่รูปหล่อของหลวงพ่อเพียงองค์จริง ๆ ไม่มีแม้พระพุทธ วันนั้นวันหนึ่งเจอรูปหล่อ พ.ศ.๒๕๑๘ เกือบ ๑๐ องค์ไม่มีคนออกให้เลยแม้แต่คนเดียว เฉพาะพระเครื่องของหลวงพ่อ เฉพาะที่บ้านคูเอากระสอบปุ๋ยไปใส่ไม่หมด แต่จะหาคนปล่อยให้สัก ๑ องค์ก็ไม่มี เล่าเรื่องลุงเนื่อมต่อ ลุงเนื่อมก็บูชารูปของหลวงพ่อเรื่อยมา เป็นเวลาตกเกือบ ๑๐ ปี ไม่เห็นมีอะไร ก็หลวงพ่อเป็นแค่รูปจะพูดจะคุยได้อย่างไร วันหนึ่งในฤดูทำนา พ.ศ.๒๕๓๑ ลุงเนื่อมไปนาคือไปทำนา ก่อนไปก็ไม่ลืมฝากฝังบ้านกับหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็เฉยไม่พูดว่าอย่างไร ก็เป็นรูปนี่ วันนั้นเกิดไฟไหม้บ้านญาติที่อยู่ติดกันบ้านอยู่ติด ๆ กันเลย อัศจรรย์ลุงเนื่อมก็ไม่อยู่ ไฟน่าจะลามมาไหม้บ้านลุงเนื่อม แต่ก็ไม่ลามทั้ง ๆ ที่บ้านติดกันคนมาช่วยกันดับไฟเต็มไปหมด บางคนก็มาดู ดูแล้วก็ขึ้นไปบนบ้านลุงเนื่อมดูว่าลุงแกมีของดีอะไร ปรากฏว่ามีรูปถ่ายของหลวงพ่อเพียงใบเดียวจริง ๆ

อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ฟังดูแล้วจะรู้สึกว่าเวอร์ หรือโอเวอร์ไปหน่อย คือเกินไป ผู้เขียนเองก็ไม่ยืนยัน ยกภาระให้ผู้เล่ายืนยัน ผู้เล่านี้คือคุณถวัลย์ โรจน์สังวร ทำงานอยู่บริษัทซีวีดี วีดีโอ เรื่องนี้เชื่อหรือไม่เชื่อไม่ว่ากัน น้องชายคุณถวัลย์เคยทำบุญผ้าป่าร่วมกับคุณถวัลย์ คุณถวัลย์เลยให้รูปบูชาโปสการ์ดไปบูชา ๑ รูป พร้อมทั้งคุยสรรพคุณให้ฟังเสียยืดยาว ว่าเก่งอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ น้องคุณถวัลย์ก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร แต่ก็รับเอาไว้บูชาในบ้านเช่า เขาว่าบ้านคือวิมานของเรา น้องคุณถวัลย์เมื่อจะออกจากบ้านไปทำงาน ก็อดห่วงบ้านไม่ได้ เมื่อมีรูปหลวงพ่อบูชาก็อดบอกฝากบ้านกับหลวงพ่อไม่ได้ ใจหนึ่งก็เชื่อว่าเก่ง ใจหนึ่งก็ไม่แน่ใจเท่าไร ไม่รู้ว่าหลวงพ่อจะรับรู้หรือเปล่าเห็นท่านเฉย ๆ เลยอธิษฐานในใจว่าหลวงพ่อ ๆ ถ้าหลวงพ่อรับรู้ในความคิดของผม หลวงพ่อช่วยแสดงอะไรให้ผมรู้สักหน่อยว่าหลวงพ่อน่ะรับรู้ หลวงพ่อท่านเป็นรูปนี่ ท่านก็เฉย เหตุการณ์ผ่านไปจนถึงตอนเย็น น้องชายคุณถวัลย์กลับมาบ้าน คือห้องเช่าของแกมืด ๆ แสงไม่ค่อยมีต้องเปิดไฟถ้าเริ่มมืด พอน้องชายคุณถวัลย์เปิดประตูเข้าบ้าน ปรากฏว่าไฟในบ้านเปิดอยู่ก่อนแล้ว แกก็ไม่แน่ใจว่าลืมปิดหรือเปล่าได้แต่จำได้ว่าปิดแล้ว พออีกวันหนึ่งตอนเช้าก็บอกเล่าต่อรูปหลวงพ่ออีกอธิษฐานแบบเก่าอีก พอตอนเย็นแกกลับมาเห็นบ้านแต่ไกล ตกใจเลย บ้านแกเปิดไฟด้วย แถมประตูบ้านเปิดไว้อีก ใหม่ ๆ แกคิดว่าบ้านแกโดนย่องเบาแน่ สำรวจดูของก็ไม่หาย ถามใครว่าใครเปิดบ้านเปิดไฟก็ไม่มีใครรู้ แกมาเล่าให้คุณถวัลย์ฟัง คุณถวัลย์บอกว่าหลวงพ่อแน่นอน และวันต่อมาน้องชายคุณถวัลย์ก็ไม่บอกเล่าหลวงพ่อแบบเก่าอีกเลย


อีกเรื่องหนึ่งเห็นเป็นเรื่องรูปบูชาเช่นกันเลยเล่าเอาไว้พร้อมกัน รูปบูชานั้นคือรูปบูชาป้องกันภัย ๘ ทิศ มีรูปของหลวงพ่อและยันต์ป้องกันภัย ๘ ทิศ สร้างในปีเสาร์ ๕ จะ พ.ศ.๒๕๑๒ หรือ พ.ศ.๒๕๑๕ ไม่แน่ใจ แต่รูปนี้เหลือตกค้างมาออกจำหน่ายในงานฝังลูกนิมิตอีกรวมเวลาปลุกเสกตก ๑๐ ปี ในงานผ้าป่าปี ๒๕๓๒ รูปนี้มีคนเช่าบูชาเอาไปเกือบหมด เหลืออยู่ ๒ รูป ผมเลยหยิบเอามาทั้งหมด กะเอาไปให้หมด แต่พอหยิบมาแล้ว เป็นรูปที่อยู่ในสภาพดีเพียง ๑ ภาพ อีก ๑ ภาพช้ำมาก ผมเลยแสดงความใจกว้างคืนรูปช้ำเอาไว้ในตู้ คุณถวัลย์ คนเดิมนั่นแหละเห็นเข้าได้ขอเอาไป คือคุณถวัลย์เขาเอาผ้าป่ามา พอดีพี่ชายคุณถวัลย์เขามาจากกรุงเทพฯ มาสมทบเอารถเก๋งมา คุณถวัลย์ไม่มีอะไรจะให้เป็นที่ระลึกเลยให้รูปช้ำ ๆ กับพี่ชาย ๑ รูป พี่ชายคุณถวัลย์เขารีบกลับก่อนเข้าใจว่าเป็นทหาร คนเรานั้นถึงคราวดวงจะเสียเงิน อะไรก็ห้ามไม่ได้ แต่พี่เขามางานหลวงพ่อ มีรูปหลวงพ่อติดรถม้วน ๆ อยู่ เคราะห์หนักก็น่าจะเบาได้ แต่จะเบาแค่ไหนก็ต้องตามไปดู พอพี่เขาขี่รถเข้ากรุงเทพฯ ถึงชานเมืองรถเกิดไปชนคนเข้าพอดี พี่เขาร้องสุดเสียงให้หลวงพ่อช่วย เมื่อลงรถมาดูกะโหลกคนโดนชนยุบไปเลย ขณะกำลังชุลมุนอยู่มีพระแก่ ๆ องค์หนึ่งมาจากไหนไม่รู้มาเป่าหัวให้คนเจ็บแปลบเดียว พี่เขามาดูใหม่กะโหลกที่ยุบไปหายยุบได้ เมื่อพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาลปรากฏว่าคนเจ็บไม่เป็นอะไรมาก งานนี้ตกลงกันได้ขณะที่กำลังยุ่ง ๆ รถติด ไทยมุง ไม่รู้ว่าพระแก่ ๆ องค์นั้นหายไปไหนแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเวลากลางวันไม่ใช่ตาฝาดเห็นคนเดียว คนอื่นก็เห็น
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ กรกฎาคม 31, 2013, 08:38:10 pm
ไม่เฉพาะสมเด็จหลังรูปที่เก่งอย่างเดียวรูปถ่ายหลวงพ่อกวยก็สุดยอดประสบการณ์เช่นกันครับ :D :D :D :D :D :Dโปรดติดตามต่อไปครับ ;D ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: สุดาเนียน เวียงจันทร์ ที่ สิงหาคม 03, 2013, 02:24:43 pm
สุดยอดจริง ๆ หลวงพ่อของเรา
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 03, 2013, 03:31:02 pm
สิงห์งาแกะ
อีกเรื่องหนึ่งคือ หลวงพ่อกวยสร้างสิงห์ด้วยงาแกะไว้เช่นกัน แต่ฝีมือช่างรุ่นหลังนี้ดูไม่ออกเลย ปนกันไปหมด คุณสุรินทร์ ปานน้อย แกมีสิงห์งาแกะหลวงพ่อตัวหนึ่ง แกเป็นคนทางแม่น้ำน้อย ปัจจุบันมาวัดมาช่วยงานวัดบ่อย ๆ วันหนึ่งแกทำสิงห์งาหาย หาเท่าไรหาไม่เจอ ได้จุดธูปบอกหลวงพ่อปรากฎว่าไปเจอในกองไฟ กองไฟกองนั้นไหม้แถบเดียว แกเผาใบไม้แกเลยคุ้ยให้ไหม้ให้หมด ปรากฎว่าเจอสิงห์ของแก ไม่ไหม้ไฟ

จดหมายคุณมา ด่านขุนทด

ต่อไปลอง ๆ อ่านจดหมายคุณมา ด่านขุนทด ดู

๔๔ ซอยอาทิตย์ ถนนวุฒากาศ
บางค้อ บางขุนเทียน กทม.๑๐๑๕๐

เรียนคุณเฒ่า ที่นับถือ

ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่เคารพในองค์หลวงพ่อกวยมาก และไม่เคยเสื่อมความเลื่อมใสลงไปเลย นับวันจะมีมากขึ้น ผมต้องขอขอบคุณคุณเฒ่าด้วยที่เป็นผู้ริเริ่มเขียนเรื่องหลวงพ่อกวย ทำให้ผมมีพระดี ๆ ไว้ใช้ ผมเพิ่งได้พระของหลวงพ่อเมื่อไม่นานมานี้เอง โดยผมบูชามาจากทางวัด ผมมีเรื่องจะเล่าให้คุณฟังดังนี้

ครั้งแรกตามปกติผมจะอยู่และทำงานที่จังหวัดกาญจนบุรีเป็นส่วนมาก พอผมได้พระมาผมก็นำมาเลี่ยมคล้องคอบูชา สวดมนต์ระลึกถึงท่านอยู่เสมอ ผมเองอยากจะมีโชคสักก้อนหนึ่ง เพื่อนำเงินไปทำบุญบูชาวัตถุมงคล และที่เหลือจะได้เก็บไว้เป็นทุน ผมได้อธิษฐานขอโชคลาภจากหลวงพ่อ ผมซื้อหวยใต้ดินไปตกเกือบร้อยบาท เกิดอัศจรรย์คือหวยงวดวันที่ ๑ พ.ย.๓๑ ออก ๓๕๗ ผมเลยถูก ๔๐ บาท ผมได้เงินตก ๒ หมื่นบาท ผมดีใจมาก

ครั้งที่ ๒ ผมทำงานอยู่ดี ๆ ฝนซึ่งไม่มีเค้าว่าจะตกลงมา ดันตกลงมาหนักด้วย ผมยกมือขึ้นจบพนมอธิษฐานในใจว่า ขอให้หลวงพ่อบันดาลให้ฝนหยุดตกด้วยเทอญ สาธุ เพราะผมทำงานไม่ได้ พอผมอธิษฐานเพียงครู่เดียว ฝนหยุดตกอย่างอัศจรรย์

ครั้งที่ ๓ ในเย็นวันหนึ่งผมเลิกงานแล้วก็เข้าพักผ่อนในห้อง ห้องใครห้องมัน ที่บริษัทสร้างให้อยู่ ผมนึกสนุกขึ้นมา และอยากลองพระของหลวงพ่อดูว่าจะยิงออกไหม ผมหยิบปืน ๑๑ มม. ลุกออกจากห้องเดินตรงมาที่ต้นมะขาม ถอดพระออกจากคอเอาห้อยติดกับต้นมะขามไว้ จัดการชักปืนออกมาใส่แม็คเรียบร้อยก็จัดการยิง ผมยิงไป ๑๑ นัด ปรากฎว่าทั้ง ๑๑ นัด ยิงไม่ถูกพระเลย แม้ว่าจะยิงในระยะใกล้ ๆ ก็ตาม

ครั้งที่ ๔ ทำเอาผมตกใจสุดขีด จะว่าผมฝันไปก็ไม่เชิง เห็นกันจะ ๆ เลย ผมยังไม่หลับผมนอนเล่นอยู่ คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไป อยู่ ๆ ก็ปรากฎร่างหลวงพ่อกวยมาอยู่ตรงหน้า หลวงพ่อได้พูดว่า “ไอ้มามึงไม่นับถือกูจริง” พอผมจะพูดกับท่านเหมือนมีอะไรมาอุดปากผมไว้ ไม่ให้พูด แล้วร่างหลวงพ่อก็อันตรธานหายไป คืนนั้นผมนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ พอจะไปทำงานผมมาหาพระหลวงพ่อที่ถอดแขวนตะปูเสาเอาไว้ หาเท่าไรก็หาไม่เจอ หายไปทั้งคอทั้งสายสร้อยเลย ในห้องก็มีผมอยู่คนเดียว ผมมานึก ๆ ดู ผมเอาพระท่านไปลองยิงดูตั้ง ๑๑ นัด ท่านคงจะไม่พอใจ พระเลยหายไป ผมเลยจุดธูปบอกกล่าวขอขมาต่อท่าน ทีหลังผมจะนับถือหลวงพ่อด้วยใจจริงใจบริสุทธิ์ ผมขอให้พระหลวงพ่อกลับมาอยู่กับผมด้วย หรือผมหลงลืมอยู่ที่ไหนขอให้ผมหาเจอ พอจุดธูปบอกเสร็จผมกลับมาหาใหม่ ปรากฎว่าพระยังแขวนอยู่ที่เสาเหมือนเดิม ท่านคงกำบังไม่ให้ผมเห็น ผมดีใจมาก ผมเชื่ออย่างสนิทใจว่า หลวงพ่อกวยท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ไม่ใช่คำเล่าลือ ทุกวันนี้หลวงพ่อช่วยเหลือผมตลอดเวลา ผมมีความรู้สึกว่าอะไร ๆ มันดีขึ้น ทำอะไรก็ทำสำเร็จไปทุกอย่าง เจ้านายก็เมตตาเพื่อนฝูงรักใคร่ ไปไหนมาไหนเสมือนว่ามีท่านไปด้วย

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 03, 2013, 03:32:57 pm
ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓๒๑
วันที่ ๑๕ ก.ย. – ๒๕ ก.ย.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


ขอขอบคุณทุกท่านที่ทำบุญมูลนิธิมา ตอนนี้มียอดผู้ทำบุญ (๔ ต.ค.๓๔) ๔๒๕ คน ได้ยอดเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาทเศษ ขอขอบคุณ คุณนิพนธ์ นันท์สุรกิจ คุณศิริชัย ชีรวณิชย์กุล คุณเด่นเกียรติศิริ ผมจำคุณได้ ครั้งก่อนคุณทำบุญมา ๑ หมื่นบาท ท่าน น.ท.สถิต เลี้ยงถนอม เล่าอภินิหารของหลวงพ่อเอาไว้ ท่านบูชาวัตถุมงคลเอาไว้หลายอยู่ ไว้บนหิ้งบูชาไม่ได้สนใจ วันหนึ่งได้หยิบเอามาดูเจอรูปขาวดำเล็กหรือจีวร เลยบอกเล่าหลวงพ่อขอโชคลาภ จะได้ทำบุญปรากฏว่าถูกจริง ๆ ท่านพูดว่าหลวงพ่อนี้เก่งจริง ๆ จิตดีจริง ๆ ขอขอบคุณทุกท่านที่ทำบุญมาครับ

จดหมาย คุณพล

ถึง อ.เฒ่า สุพรรณ

ผมส่งเงินมาทำบุญจำนวน ๒๐๐ บาท เพื่อเข้ามูลนิธิ ชุตินฺธโร ของหลวงพ่อกวย ถ้าผมมีเงินมากผมจะส่งมาเข้ามูลนิธิของหลวงพ่ออีก ผมขอขอบคุณ อ.เฒ่า มากที่ส่งรูปหลวงพ่อมาให้ คืนวันอาทิตย์ผมฝันว่าได้รับ จ.ม.ของ อ.เฒ่า แล้วเปิดดูในซอง จ.ม.พบรูปพระขนาด ๕ นิ้วของหลวงพ่อ พอเช้าวันจันทร์ไปทำงานก็ขึ้นไปบนออฟฟิศไปดู จ.ม. แล้วเปิดดูก็เจอรูปของหลวงพ่อกวยจริง ๆ หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ นะครับ

สุดท้ายนี้ขอให้ อ.เฒ่า จงมีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป

ด้วยความเคารพ

พล


ใต้ร่มเงาบุญ

หลวงพ่อกวยเป็นพระที่เปี่ยมด้วยเมตตา จิตท่านเปี่ยมล้นไปด้วยทาน ใจท่านเต็มไปด้วยเมตตา ตัวท่านเหมือนไม้ใหญ่ที่เป็นร่มเงาของคนที่ผ่านไปมา เป็นร่มเงาของนกกาเป็นไม้ที่มีผลดก ใครที่ผ่านไปมาก็ได้อาศัยร่มเงาบ้างก็เก็บผลเอาไปรับประทานไม่มีหมดไม่มีสิ้น เพราะหลวงพ่อเคยสร้างทานบารมีมามาก ศิษย์ที่อยู่ใต้ร่มเงาก็ได้อาศัยพักพิงได้อาศัยกินไม่มีหมดไม่มีสิ้น

สมัยหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่การเดินทางสมัยนั้นลำบากมากต้องเดินด้วยเท้าเอา หรือขี่จักรยานเอา อย่างดีก็มอเตอร์ไซค์ หรือถ้าจะไปรถสองแถวก็มีออกมา ๑ เที่ยว เข้า ๑ เที่ยว ลำบากมาก คนสมัยก่อนความเป็นอยู่ไม่ฝืดเคืองมากนัก คนเล่นหวยก็ไม่ค่อยมี แต่มีบางคนอุตส่าห์เดินทางไกล ๆ มาขอหวยกับหลวงพ่อ ถ้าว่างคนหลวงพ่อจะเขียนให้เลยตรง ๆ ๑๙๓ ๖๔ อย่างนี้เป็นต้น คนสมัยก่อนเขาก็แทงกันไม่มาก แทงกัน ๕ บาท ๓ บาท ๑๐ บาท พอถูกแล้วเขาก็ไม่ไปกวนใจหลวงพ่ออีก เขาไม่โลภเหมือนคนสมัยนี้ เรื่องให้หวยนี้หลวงพ่อเคยให้จริง ๆ แต่เขียนให้ตรง ๆ อย่างนี้ จะขอเล่าเอาไว้สัก ๑ เรื่อง ตอนนั้นหลวงพ่อไปกิจนิมนต์ที่จังหวัดจันทบุรีบ้านนายโต คือบ้านเขาอยู่เขตติดต่อจังหวัดตราด ทางอำเภอบ่อไร่ คือนายโตนี้เป็นคนอำเภอสรรคบุรี แต่ไปทำมาหากินอยู่จังหวัดจันทบุรี เขานิมนต์หลวงพ่อไปฉันอาหารบ้านเขา หลวงพ่อก็ไปโดยไปกับนายสมาน หรือช่างสมาน โดยจ้างรถเก๋งนายอี๋ คนกันวุ้ง ทุ่งคลี อ.เดิมบางนางบวชไป เมื่อไปถึงตัวจังหวัดจันทบุรี ช่างสมานได้นิมนต์หลวงพ่อฉันข้าว พอดีในร้านเขามีหวยรัฐบาลขาย ช่างสมานได้แย้ม ๆ ถามหลวงพ่อว่า จะซื้อหวยไม่รู้ว่าเลขอะไรดี ท่านได้ตอบว่า ๘๒ ดี ช่างสมานได้ซื้อมาทั้งหมด ๘ ใบ วันรุ่งขึ้นหวยออกจริง ๆ  ๘๒ เมื่อไปถึงบ่อพลอยที่ตราด บ้านนายโต มีลูกศิษย์มากราบท่านมากมาย ตอนนั้นหมอเฉลียว เดชมา ก็ไปด้วย มีเถ้าแก่คนหนึ่งได้มาด้อม ๆ มอง ๆ เขาลือกันว่าพระองค์นี้มีวิชาดี ลูกศิษย์ท่านที่มาจากอำเภอสรรคบุรีมีของดีของท่าน โดนยิงไม่ออกก็มี ไม่เข้าก็มี เถ้าแก่คนนี้อยากจะได้ของดีไว้ใช้บ้างเขาเป็นญวนหรือแกว หรือคนเวียดนามนั่นแหละ ชื่อเสี่ยวัตร เขาไม่ไหว้พระเขานับถือคริสต์ พอว่างคนเสี่ยวัตรก็เข้าไปหาหลวงพ่อได้พูดกับหลวงพ่อว่า หลวงพ่อมีของดีอะไรผมขอบ้าง หลวงพ่อก็จริงเหมือนกันเขาขอก็ให้ หลวงพ่อได้หยิบมีดหมอให้ไป ๑ เล่ม ตะกรุด ๑ ดอก เสี่ยวัตรก็คนจริงบอกขอก็ขอจริง ๆ ไม่ถวายสตางค์เลยแม้สักบาทเดียว ช่างสมานเห็นเข้านึกเสียดายจับใจ ได้แต่คิดว่าตายห่าละว๊ะ หลวงพ่อให้มีดหมอกับตะกรุดเสี่ยวัตรไป เขาเป็นญวนเขานับถือคริสต์ใครเขาจะเอาไปใช้ น่าเสียดายมีดหมอกับตะกรุด พอวันรุ่งขึ้นเสี่ยวัตรได้มากราบหลวงพ่อได้เอาเงินมาถวายหลวงพ่อ ๑ ห่อ นับได้ ๑๐,๐๐๐.-บาท (เงินสมัยยี่สิบกว่าปีก่อน) พอเสี่ยวัตรไปแล้ว หลวงพ่อได้พูดกับช่างสมานว่า “มันเอาของ ๆ กูไปลองมาแล้ว” ช่างสมานได้สืบดูกับหมอเฉลียว เดชมา ก็เป็นความจริง ทราบว่าเสี่ยวัตรได้นำตะกรุดกับมีดหมอไปทดลองยิงด้วยปืน M.๑๖ ยิงทีละนัด ปรากฏว่ายิงไม่ออกเลย เสี่ยวัตรได้พูดกับหมอเฉลียวว่า ผมเกิดมาไม่เคยนับถือพระเลย ไม่เคยกราบพระองค์ไหนเลย นับถือและกราบแต่หลวงพ่อกวยองค์เดียว ภายหลังเสี่ยวัตรยังได้มากราบหลวงพ่อถึงที่วัด ปัจจุบันเสี่ยวัตรนี่เขาร่ำรวยมาก และใหญ่โตในเมืองจันทบุรีทีเดียว ผมต้องกราบขอโทษท่านด้วยที่นำชื่อท่านมาลงไม่กล้าลงชื่อและนามสกุลเต็ม ๆ เพราะไม่ได้ขออนุญาตท่านก่อน ปีที่หลวงพ่อไปจังหวัดจันทบุรี ไม่ทราบ พ.ศ.แน่ชัด  แต่ปีนั้นหลวงพ่อไปบ้านนายโต พระครูพิมพ์ วัดสนามชัย ศิษย์น้องท่านก็ไปด้วย

ตอนขากลับหลวงพ่อได้แวะฉันข้าวที่ตลาดจันทบุรีเช่นเคย ช่างสมานได้ถามหลวงพ่ออีกว่าเลขอะไรดี คือจะซื้อหวย หลวงพ่อได้บอกว่า ๐๓ ดี ช่างสมานได้หาจนทั่วก็ได้มาเพียงใบเดียวเพราะหวยจะออก นายอี่คนขับรถเขาขอแบ่ง ช่างสมานเลยให้เขาไป เห็นว่ามาด้วยกัน ผลคือวันนั้นหวยออก ๐๓ จริง ๆ เรื่องที่หลวงพ่อเป็นเนื้อนาบุญ เป็นผู้ให้โชคลาภนี้ แม้ก่อนที่หลวงพ่อท่านจะมรณภาพ ท่านได้เขียนตัวเลขใส่มือเอาไว้ คนที่ไปเยี่ยมท่านถ้าท่านเห็นว่าเป็นคนมีโชคลาภ ท่านจะแบมือให้ดูอันนี้เป็นเรื่องจริง ๆ แม้หลวงพ่อจะมรณภาพไปแล้ว แม้แต่วัตถุมงคลของท่าน ใครที่พกพาติดตัวก็มีโชคลาภเนือง ๆ ในปี ๒๕๓๒ มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อว่าเรณู มาแก้บนเลี้ยงพระที่วัด เขาขอโชคลาภจากหลวงพ่อ เขาถูกหวยติดต่อกัน ๑๘ งวด เป็นคนทางวัดค้างคาว ขนาดงวดที่ ๑๘ เขาไม่ซื้อยังถูกหวยออมสิน ก็ขอยุติเรื่องใต้ร่มเงาบุญไว้แต่เพียงเท่านี้ เรื่องนี้เขียนขึ้นเพื่อยืนยันว่าหลวงพ่อนี้เหมือนต้นไม้ใหญ่ มีผลบุญนั้นมากศิษย์จึงได้อาศัยเก็บผลบุญนั้นมายังชีพตามอัตภาพ ปัจจุบันช่างสมานได้บวชเป็นพระชื่อหลวงตาสมาน อยู่วัดสนามชัย

จดหมายคุณพิษณุ ทองดี

นมัสการอาจารย์สำรวย ที่เคารพ

กระผมมีเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ในหลวงพ่อซึ่งเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแก่ตัวเอง คือ เมื่อปลายเดือน พ.ค.ที่ผ่านมากระผมได้เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่แต่ไปต่อรถสองแถวที่นครสวรรค์ ซึ่งรถจะเต็มทุกเที่ยวจวนเที่ยวสุดท้ายกลัวรถจะเต็มอีก จึงอธิษฐานต่อรูปของหลวงพ่อซึ่งกระผมได้ตัดจากหนังสือนะโมไปด้วยว่า ขอให้ลูกได้เดินทางไปในคืนนี้ด้วยเถิด ถ้าไปไม่ทันก็จะไม่ทันรายงานตัวที่มหาลัยฯ เลย แต่คำอธิษฐานก็เป็นผลสำเร็จคือเมื่อรถมาถึงนครสวรรค์ก็มีคนลงจริง ๆ ด้วยความสงสัยเลยไปถามนายท่าก็ทราบว่าผู้โดยสารได้ซื้อตั๋วจากกรุงเทพฯถึงเชียงใหม่ แต่ทำไมต้องลงที่นครสวรรค์ ซึ่งไม่จำเป็นเลยที่จะซื้อตั๋วถึงเชียงใหม่ กระผมนึกถึงหลวงพ่อถึงกับขนลุกขึ้นมาทันที หลวงพ่อคงสงสารผมจึงบันดาลให้เป็นไปแน่ กระผมเคารพนับถือหลวงพ่อจริง ๆ ขอให้ท่านอาจารย์ฯ พิจารณาด้วย กระผมได้ส่งเงินมาบูชาพระสมเด็จหลังรูปครึ่งองค์พร้อม จ.ม.ฉบับนี้แล้ว และขอความกรุณาช่วยส่งพระมาด้วย จะเป็นพระคุณยิ่ง

นมัสการด้วยความเคารพ

พิษณุ ทองดี

๑๘/๑๐ ต.ซับสมอทอด อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ ๖๗๑๖๐


จดหมายคุณวิชัย  เตชธรรมมานนท์

๑๒๙/๑๐ ซ.กิ่งจัน ถ.จันทน์ ต.วัดพระยาไกร อ.ยานนาวา กรุงเทพฯ

กราบนมัสการท่านพระอาจารย์สำรวย ที่เคารพ

กระผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังดังนี้ พอดีช่วงที่สลากกินแบ่งรัฐบาลงวดที่ ๑๖ มิถุนายน นี้ ออกตรงกับเลขที่ผมซื้อไว้ โดยวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ บ้านพี่เขยผมเขาทำบุญบ้าน กระผมก็ไปช่วยงานเขา เกี่ยวกับการจัดการทางด้านพิธีสงฆ์เพราะพอมีความรู้บ้าง พอเสร็จจากพระสวดมนต์ ฉัน และกรวดน้ำ พรมน้ำมนต์เรียบร้อย กระผมก็ได้เดินออกมาข้างนอก ตอนนั้นประมาณบ่ายโมงเศษเห็นจะได้(สลากใกล้จะออกแล้ว) กระผมเดินผ่านแผงสลากกินแบ่งรัฐบาล เลยนึกขึ้นได้ว่าครั้งหนึ่งกระผมเคยบอกหลวงพ่อกวยที่กระผมมีรูปท่านไว้บนโต๊ะหมู่บูชา(กระผมได้จากที่ร่วมทำบุญมาทางวัด และท่านพระอาจารย์ส่งมาให้กระผม ก็ใส่กรอบขึ้นบูชาไว้) ว่า กระผมไม่ใช่นักเล่นหวยแต่อยากจะได้ประจักษ์ในบารมีของหลวงพ่อสักหน จะได้พอเป็นที่มั่นใจได้ว่าจนบัดนี้บารมีของหลวงพ่อก็ยังอยู่คุ้มครองบรรดาศิษย์ทั้งปวงอยู่ นึกได้อย่างนั้นก็ลองซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลดู โดยในใจนึกว่าถ้าถูกได้เงินเท่าไรจะทำบุญบูชาวัตถุมงคลของท่านเอาไว้สักการะ และก็เป็นการนำเงินเข้าวัดด้วยทั้งหมด พอหวยออกเห็นเขาพูดกันว่าออก ๙๑ (เลขท้าย ๒ ตัว) กระผมก็ถูกคู่หนึ่งเป็นจำนวนเงิน ๑,๐๐๐ บาท แม้จะไม่มากมายแต่กระผมก็ประจักษ์และมั่นใจอย่างแน่แท้แล้วว่าบารมีท่านนั้นยิ่งใหญ่ มั่นคงนัก นับว่าผมนั้นบูชาไม่ผิดองค์จริง ๆ เพราะผมไม่มีเลขเด็ดใด ๆ เห็นเลข ๙๑ สวยดี(ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเลขมันสวยอย่างไร) เห็นชอบใจก็ซื้อมาทั้ง ๆ ที่ไม่เคยซื้อ ก็นับว่ากระผมถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นครั้งแรกในชีวิตครับ รู้สึกดีใจทั้งศรัทธาในองค์หลวงพ่อท่านจริง ๆ นับว่าผมบูชาไม่ผิดองค์

เคารพ

วิชัย เตชธรรมมานนท์


อย่างชุ่ย
ต่อไปจะเล่าถึงปฏิปทาของหลวงพ่อบางส่วน ในการสร้างหรือทำวัตถุมงคลตลอดจนการโปรดญาติโยม การสร้างมีดหมอ ยุคแรกหลวงพ่อจะตีเอง ควบคุมการตีเอง แต่การใส่ด้ามบรรจุด้ามหลวงพ่อจะบรรจุเอง บางเล่มจะจารเต็มไปหมด บางเล่มไม่ได้จารเลยก็มี การสร้างสมเด็จเกือบทุกรุ่นหลวงพ่อจะทำเองกับมือ แต่มีบางรุ่นหลวงพ่อให้พวกช่างเอาไปทำก็มี ปลัดบางตัวบางรุ่นหลวงพ่อจะทำเอง จารเอง จารเต็มไปหมด แต่บางตัวไม่จารเลยก็มี ผ้ายันต์บางผืนหลวงพ่อจารเอง อักขระไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ ตัว บางผืนมีนะเพียงตัวเดียวก็มี บางคนจะเป็นจะตายเดือดร้อนสาหัสมาหา บางคนได้มีดได้ตะกรุดไป ได้แหวนแขนไป แต่บางคนท่านหยิบพระเนื้อดินธรรมดา ๆ หาค่าไม่ได้ให้ไปก็มี

แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจว่า แท้จริงแล้วเรื่องวัตถุมงคลก็ดี เรื่องโปรดญาติโยมก็ดี เรื่องที่หลวงพ่อจะทำชุ่ย ๆ นั้น ไม่มี จะทำสวยหรือไม่สวย ทำช้าหรือทำเร็ว แต่ทำส่งเดช หรือทำชุ่ย ๆ ไม่มี

วันหนึ่งหลวงพ่อกำลังพิมพ์พระ ได้มีญาติโยมมากราบท่านเต็มกุฏิ เต็มไปหมด พระก็จะทำ ญาติโยมก็มา เนื้อพระที่ผสมไว้ก็จะแห้ง ฤกษ์พิมพ์พระก็จะหมด ท่านเห็นว่าญาติโยมมาคอยนานแล้ว เป็นคนกรุงเทพด้วย ท่านเลยรีบออกมา ขณะที่กำลังคุยกับญาติโยมถึงปัญหาต่าง ๆ อยู่ ก็พอดีญาติท่านชื่อแผ้ว เป็นคนบ้านแค หรือหนองอีดุกนี่แหละ นายแผ้วเห็นว่าเป็นคนสนิทของหลวงพ่อเป็นญาติกันด้วย ไม่ได้สนใจว่าหลวงพ่อกำลังมีแขก เห็นแต่ธุระของตัวเอง นายแผ้วก็เข้าไปกราบหลวงพ่อ พูดว่าหลวงน้า ๆ ผมเดือดร้อนขึ้นศาลแพ้เขามา ๒ ศาลแล้ว
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 03, 2013, 04:09:27 pm
ยังคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ หลวงพ่อกวย
เมื่อช่างสมกับหลานสาว ไม่ได้ลงรักปิดทองแล้วช่างสมานเลยต้องทำซะเอง ตอนที่ช่างสมานกำลังลงรักปิดทองอยู่นั้น ได้มีผึ้งหลวงรังใหญ่มาก ได้มาเกาะทำรังอยู่ตรงคันทวย หน้าบันพระอุโบสถ อยู่ก่อนแล้ว ช่างสมานก็ลงรักปิดทองไปเรื่อย ๆ พอมาถึงตรงคันทวยไม่สามารถจะลงรักปิดทองได้ เพราะผึ้งหลวงได้เกาะทำรังอยู่ จึงได้ไปบอกกับหลวงพ่อว่าจะทำอย่างไรดี หลวงพ่อกวยพูดว่า “พรุ่งนี้มันก็ไปเองแหละ” ผลปรากฎว่า วันรุ่งขึ้น ผึ้งรังนั้นได้อพยพหนีไปจนหมดสิ้น

ปัจจุบันนี้ผึ้งรังนี้ไม่ทราบว่าเกาะอยู่ที่ไหน แต่ถ้ามีการบวชนาคมีการวนโบสถ์ ๓ รอบ ถ้าคนแห่นาคกินเหล้า แล้วถือขวดเหล้าวนรอบอุโบสถครั้งใดก็ตาม ผึ้งรังนี้จะแห่กันมาต่อยคนวนโบสถ์ชนิดยกกันมาทั้งรัง ต่อยยั้นนาค หลวงตาสมานเล่าว่า คุณยายฉายญาติสนิทของท่านโดนต่อยก่อนคนอื่น ในฐานะที่มีอายุมากแล้วไม่บอกคนอื่นที่มาวนโบสถ์ คุณยายฉายโมโหมากได้ไปถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อไหนเอากันถึงขนาดนี้เลยหรือ” หลวงพ่อกวยไม่ว่าอะไร ท่านหัวร่อ “หึ หึ”

ให้หวยแม่นยำ
หลวงพ่อกวย เป็นพระที่สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้แม้นยำ รวมทั้งการให้หวยด้วย แต่น้อยคนนักที่กล้าขอหวยจากท่าน เพียงแค่ท่านมองหน้าคนที่มาหาก็ก้มหน้ากันเป็นแถว แต่ก็มีบางคนที่กล้าขอหวยท่าน ช่างมนัสเป็นช่างทำหน้าบรรณพระอุโบสถ ได้ทราบกิตติศัพท์ว่าหลวงพ่อกวยให้หวยได้ ได้ให้ช่างสมานพามาหาหลวงพ่อกวย ขณะนั้นมีหมอเฉลียวและอาจารย์ส่งอยู่ด้วย ช่างมนัสได้พูดกับหลวงพ่อกวยว่า ผมขอหวยหลวงพ่อสักงวดนึง ขอให้หลวงพ่อให้ตรง ๆ ซักงวดนึง ถ้าถูกผมจะไม่เอาค่าแรงเลย หลวงพ่อกวยได้พูดว่า “ถึงให้ตรง ถ้าไม่มีโชค ก็ไม่ถูก” ช่างมนัสได้พูดย้ำว่า เอาเหอะหลวงพ่อขอให้ให้ตรง ถ้าผมไม่ถูกให้มันรู้ไป ผมจะไม่เอาค่าแรงเลย การพูดกันในวันนั้นถึงจะไม่รุนแรงแต่ก็คล้าย ๆ เป็นการท้าทายหลวงพ่อได้เดินไปที่กองทราย ห่างจากที่ ๆ ท่านนั่งประมาณสิบก้าว ท่านหยิบชล็อคขึ้นมาเขียนว่า “วัดเก้าทั่ง ๗๒๐” อยู่ต่อมาอีก ๒ วัน ท่านได้ไปเขียนไว้ตรงที่ช่างมนัสทำงานว่า “ทำกระเบื้อง ๗” ตกกลางคืนก่อนที่หวยจะออก ๑ วัน ช่างมนัสได้ฝัน ฝันดีมาก ได้นำเลขในความฝันไปแทงหวย โดยหลงลืมเลขหลวงพ่อ คือ ๗๒๐ และเด่น ๗ พอหวยออกตอนบ่าย สามตัวบนออก ๗๒๐ ตรงตัวเปี๊ยะเลย ช่างมนัสถึงกับคอตก ได้ไปกราบขอโทษหลวงพ่อและได้สร้างพระพุทธรูปปูนปั้น ขนาดเท่าหลวงพ่อเพื่อขอโทษ ถวายให้หลวงพ่อหนึ่งองค์ ปัจจุบันพระปูนปั้นองค์นี้ยังอยู่อาจารย์ใหญ่ รร.วัดโฆสิตาราม ได้ขอเอาไปตั้งไว้หน้าโรงเรียน เพื่อให้เด็กได้กราบไหว้ตามโครงการสร้างพระพุทธรูป ประจำโรงเรียน


ความศักดิ์สิทธิ์ของสมเด็จหลังรูป

ต่อไปจะขอเล่าอภินิหารเพื่อบันทึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสมเด็จหลังรูปบันทึกเอาไว้เพิ่มเติมดังนี้

นายเอียด เขาจะชื่อละเอียด หรือชื่อเอียดเฉย ๆ ผมไม่แน่ใจ ครั้งสุดท้ายเขามาพบผมมาขอสมเด็จหลังรูปขอเฉย ๆ เลย ยังกับว่าผมทำได้เองและเขามาหาว่านไพรดำด้วย เพราะเขาทราบว่าผมมีพระของหลวงพ่อและเคยเล่นว่าน(ปลูกว่าน) ผมได้เตือนสติเขาไปว่าไพรดำไม่มีง่าย ๆ หายาก ให้จำไว้ว่า “เหล็กไหล ไพรดำ สองคำจำไว้ ตายเสียเมื่อไร อาจได้เจอะเจอ” เขามีศักดิ์เป็นญาติกับน้องเขยผม ญาติห่าง ๆ นะ เขาเป็นศิษย์รุ่นอา เคยได้รับตะกรุด แหวนแขน พระพิมพ์ต่าง ๆ แต่ได้สูญหายหมด เหลือติดตัวแต่หลังรูปรุ่น พ.ศ.๒๕๑๓ เขามีเมียหลายคน มีลูกหลายคน ทำงานหนักไม่ค่อยเอา ถ้างานเบาพอทำได้ เรียกว่า “เรื่องกิน เรื่องเล่น กูไม่ย่นย่อ เรื่องพายเรื่องถ่อ กูไม่สู้ใคร” เขาเล่าถึงอภินิหารของสมเด็จหลังรูปไว้ดังนี้ เล่าเรื่องเดียว เขาไปเข้ากับพวกโจร ทางทุ่งนาตาปืน อ.เดิมบางนางบวช บังเอิญหัวหน้าโจร เขามีลูกสาว อยู่ ๑ คน สวยด้วย นายเอียดเลยลักลอบได้เสียกับลูกสาวหัวหน้า แต่หัวหน้าคิดว่าชอบพอกันเฉย ๆ ไม่พอใจ คิดแต่ว่านายเอียด “ชาติคางคก คิดจะชิมเนื้อห่านฟ้า” และคิดอีกว่าคนเรากินบนเรือนแล้วขึ้นไปถ่ายบนหลังคาใช้ไม่ได้ ความจริงหัวหน้าโจรน่าจะถามนายเอียดและลูกสาวให้แน่ชัด และไม่ควรแบ่งชนชั้น คนเราเกิดมาหญิงชายสร้างไว้คู่กัน ไม่มีแผ่นดินและแผ่นฟ้าและนายเอียดนี้ นอกจากฝีมือจะจัดแล้ว หัวใจยังเกินร้อยอีกด้วย หัวหน้าโจรได้เรียกประชุมลูกน้อง ลูกน้องบางคนก็หมายปองลูกสาวหัวหน้าไว้เช่นกัน จึงมีความเห็นว่า “กินบนเรือนแต่ถ่ายรดบนหลังคา” ใช้ไม่ได้ ตอนนั้นนายเอียดเริ่มรู้ตัวและระวังตัวบ้างแล้ว เพราะหันหน้าเรียกประชุมแต่ไม่เรียกตน เมื่อมติออกมาว่าใช้ไม่ได้ ลูกน้องต่างคนก็ไปเอาปืนลูกซองยาว ปืนสั้น มีด ซึ่งเป็นของคู่ตัว แต่กว่านายเอียดจะรู้ตัวก็โดนยิงเสียแล้ว ครั้งแรกโดนยิงด้วยปืนลูกซอง บรรจุลูก ๙ เม็ด ประมาณ ๕ – ๖ กระบอก ปรากฎว่ายิงไม่ถูกเลย ได้แต่ถูกห่อผ้า ๓ รู คราวนี้เองนายเอียดวิ่งสุดชีวิต โจรก็ตามสุดชีวิตเหมือนกัน ปืนตก ๒๐ กว่ากระบอก ยิงเขาไม่ถูก

หนี ๑๐ กว่ากิโลเมตรหมดแรง พอดีเขาไปเจอหุ่นไล่กาของชาวนาอยู่ เขาเลยเอางอบ(หมวก)มาใส่ เอาเสื้อหุ่นไล่กามาใส่ เจอตะค่อง(ที่ใส่ปลา) เก่า ๆ เขาทิ้งไว้ เอาเสื้อผ้าใส่ในตะค่อง เอาดินฝุ่นมาทาหน้าว่าคาถาหายตัว (บทที่ลงท้ายว่าโสหับ) เสกฝุ่นทาหน้าหาไม้มาอันหนึ่ง เอาปืนเหน็บเอว เอาผ้าขาวม้าคาดทับ ปล่อยชายเชื้อลงมา เอาไม้มาทำเป็นแหย่รูปู ทำเป็นหาปูหากบพอดีโจรตามมาทัน ได้ถามแกว่าเห็นคนผ่านมาทางนี้บ้างไหม ตอนนั้นโจรจำไม่ได้ แกเอาไม้สั้น ๆ ยัดปากแล้วตอบว่าเห็น เห็นวิ่งไปทางโน้น ชี้ไปอีกทางหนึ่งที่เขาเอาไม้ยัดปากพูดเพื่อให้โจรจำไม่ได้ พอโจรไปแล้วเขาก็วิ่งต่อ คราวนี้เป็นป่าแฝก โจรเกิดเอะใจคิดว่าคนที่ใส่งอบ(หมวก) เมื่อสักครู่ต้องเป็นนายเอียดแน่ โจรได้ตามมาทันแถมตัดหน้าไว้อีก เขาไม่รู้จะทำอย่างไร เลยว่าคาถากำบัง มุดเข้าป่าแฝกไม่ลืมตาเลย แปลกมาก แฝกฤดูร้อน ต้นไม่หนา แต่หาเขาไม่เจอเดินรอบตัวเขาถึง ๓ รอบก็ไม่เห็น พวกโจรเลยคิดว่านายเอียดต้องข้ามแม่น้ำท่าจีนแน่ โจรเลยไปดักนายเอียดที่ท่าวัดปากน้ำ ส่วนนายเอียดรู้แล้วว่าโจรต้องไปดักคอยตนแน่ เขาวิ่งเป็นทางอ้อมจากป่าแฝกมาวัดปากน้ำตก ๑๐ กว่ากิโลเมตร กะว่ามาให้ไวกว่าโจร แต่ป้องกันการผิดพลาด เขาเข้าไปในป่าช้าตอนนั้นประมาณ ๖ โมงเย็นได้ เขาหาไม้หามผี เป็นไม้ไผ่ทั้งลำ ยาวอันละ ๑ วาเศษ อันนี้เป็นเคล็ดหาได้ ๒ อัน เอาไว้พยุงตัวข้ามแม่น้ำ แล้วว่าคาถาอาราธนาพระระลึกถึงหลวงพ่อ อัญเชิญผีตายโหงให้เข้าช่วย วิธีอาราธนาว่าดังนี้ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน คล้าย ๆ กันได้ “พุทธังอาราธนานัง ธัมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง ข้าพเจ้าขออาราธนาคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดา-มารดา คุณพระพรหม คุณพระฤๅษี คุณพระภูมิเจ้าที่ เทพเทวดา ที่สิงสถิต ณ ที่นี้ ขออัยเชิญเจ้าพ่อป่าช้า เจ้าแม่ป่าช้า จิเจรุนิ เจตะสิ กังรูปัง วิญญานัง ขออัญเชิญผีตายโหง ผีตายบนบก ผีตกน้ำตาย ผีตายในทุ่ง ผีตายในท่า ผีตายในป่า ผีตายในเขา ผีตายท้องกลม ผีชื่อดำ ผีชื่อแดง ชื่อเขียว ชื่อเหลือง ข้าขออัญเชิญฝูงผีทั้งหลายได้ปกปักรักษาข้าด้วย ข้าถึงคราวคับขันถูกขับไล่ล่ามา เมื่อท่านช่วยข้าแล้ว เมื่อไปถึงบ้านข้าจะเลี้ยงสุราอาหารอย่างดี” แล้วเขาก็หยิบดินในกองฟอนมาเสกด้วยคาถากำบัง แล้วทาหน้า ระลึกถึงหลวงพ่อเป็นที่สุด เขาคิดว่าเขาต้องมาก่อนพวกโจรแน่ เพราะเขาวิ่งมา แม้จะเป็นทางอ้อมก็ตาม ทางข้ามแม่น้ำท่าจีน ตอนนั้นเป็นตรอกสำหรับใช้ในการนำวัว-ควายข้าม ข้างทางจึงเป็นป่า พอเขาเดินมาได้กลางตรอกเท่านั้น คาถากำบังก็ไม่ได้ผล ผีตายโหงก็ช่วยไม่ได้ พวกโจรยิงเขาระยะประชิด ประมาณ ๑ วาได้ ปืน ๒๐ กว่ากระบอก ลูกละ ๙ เม็ด เสียงปืนยิงเป็นประทัดเลย เขาวิ่งสุดชีวิต เอาไม้หามผีคีบไว้ใต้แขน เอาปืนสั้นชูไว้ ไม่ให้เปียกน้ำพวกโจรก็ตามมายิง ยิงเป็นร้อย ๆ นัด ยิงยันเขาขึ้นฝั่ง เขาเลยบังต้นไม้ยิงสวนมา ๒-๓ นัด เดินกลับบ้านเหนื่อยแทบขาดใจ กลับไปถึงบ้านยิงปืนขึ้นฟ้า ๓-๔ นัด เพื่อนฝูงมากันเต็ม เล่าให้เพื่อนฟัง หุงข้าวกิน ซื้อเหล้ามา ต้มเปรตปลาไหล(ต้มทั้งตัว ต้มขณะน้ำเดือดแล้วเอาฝาหม้อปิด) แล้วจัดสำรับให้ผีที่หนึ่ง ผมได้ถามเขาว่าจัดให้มันทำไมไม่เห็นกำบังได้เลย เขาตอบว่าจะว่าบังไม่ได้ก็ไม่เชิง คือขณะว่ายข้ามน้ำมีลูกปืนหลายสิบนัด ตกห่างจากตัวเขาตั้ง ๓-๔ วา บางคนยิงเขาด้วยลูกโดดแท้ ๆ ยังตกห่าง ๓-๔ วาเช่นกัน เหมือนพวกโจรจะมองเห็นเขาอยู่หลายตำแหน่ง หรือโจรอาจจะมองเห็นผีเป็นพวกของเขาก็ได้ จึงยิงปืนออกไปแบบนั้น


ผมได้ถามเขาแล้วตอนหลังทำอย่างไร เขาตอบว่าผมไปกับเพื่อนอีก ๓ คน ไปยิงหัวหน้าโจรตายคาวงเหล้าเลย(ว่าที่พ่อตา) ผมจะให้เขาเล่าเรื่องอภินิหารของวัตถุมงคลของหลวงพ่ออีก เขาไม่ยอมเล่า ผมได้ถามว่า แล้วมีดหมอ ตะกรุด แหวนแขนไปไหนหมด เขาบอกถูกตำรวจยึดเอาไปบ้าง ผู้คุมบ้าง ขายไปบ้าง ตอนนี้มาหาไพรดำ และขอพระผมดื้อ ๆ ๑ องค์ นั่งยอง ๆ ยกมือไหว้อีกด้วย ผมถามเขาว่าติดคุกมากี่ครั้งแล้ว เขาตอบ ๖ ครั้งแล้ว ผมเลยตัดใจไปหยิบสมเด็จหลังรูปมาให้ ๑ องค์แล้วสั่งกำชับว่าอย่ามาให้เห็นหน้าอีก เขายกมือไหว้ผม คือผมไม่ชอบโจร แต่โจรมักจะมาขอของ ขอคาถาจากผมประจำ บางคนมาขอคาถาคัดพระ คือจะเอาไปยิงตำรวจ เขาถามผมว่าหลวงพ่อเคยให้ผมไว้ใช่ไหม ผมตอบใช่ เขาขอใหญ่เลย ผมตอบไปว่าให้ไม่ได้ ผมเอาไว้ยิงโจร ความจริงผมไม่เคยได้คาถานี้ไว้แต่ผมขู่มัน แล้วไล่ให้มันไปให้พ้น ๆ


อีกเรื่องหนึ่ง คุณบุญมี แสงเมธา อยู่บ้านเลขที่ ๓๕/๖๒ ม.๒ ต.บางเมือง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ๑๐๒๗๐ โทร ๐๒ ๗๐๒ ๖๘๔๙ คุณบุญมีเขาคล้องสมเด็จหลังรูปเหมือนอยู่ ๑ องค์ วันหนึ่งดวงไม่มีจะเดินอยู่หรือขี่รถมอเตอร์ไซค์ไม่แน่ชัด ปรากฎว่ารถกระบะได้ชนเขาและทับเขาทั้งตัว หัวเขาไปติดอยู่ที่แคสซีรถ พอดีคนขับรถกระบะเบรกได้ทัน แต่เมื่อเขาได้ไปตรวจเช็คที่โรงพยาบาลแล้ว เขาไม่เป็นอะไรเลย ซึ่งแปลกมาก
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: nori ที่ สิงหาคม 03, 2013, 11:14:39 pm
มันส์จริงๆ  ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ สิงหาคม 04, 2013, 08:03:56 pm
สุดยอดประสบการณ์ทางด้านโชคลาภแคล้วคลาดเลยครับ ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 05, 2013, 09:26:46 am
เมื่อครบอายุบวช จึงเข้าอุปสมบท โดยมีพระอุปัชฌาย์ คือ พระชัยนาทมุนี มีหลวงพ่อปา วัดโบสถ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เเละพระอาจารย์หริ่งเป็นอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๕ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ เวลา ๑๕ นาฬิกา๑๗ นาที อายุ ๒๐ ปี ณ วัดโบสถ์ ต.โพธิ์งาม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท มีฉายาว่า ชุตินฺธโร แปลว่า "โลกนี้มีแต่ความวุ่นวายของโลก หนักไปด้วยกิเลส ตัณหาคือ โลภ โกรธ หลง ทั่งสิ้น ถ้าท่านผู้ใดตัดกิเลส ตัณหาได้ก็จะถึงซึ่งฝั่งพระนิพพาน"

ชุตินฺธโร แปลว่า "ผู้ทรงความรุ่งเรือง"

ชุตินฺธโร แปลว่า "ผู้ทรงความรุ่งเรือง" ความหมายนี้ มาจากบทวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เกี่ยวกับกลวิธีการตั้งนามฉายาของพระสงฆ์ไทย
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 05, 2013, 09:37:24 am
เมื่อครบอายุบวช จึงเข้าอุปสมบท โดยมีพระอุปัชฌาย์ คือ พระชัยนาทมุนี มีหลวงพ่อปา วัดโบสถ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เเละพระอาจารย์หริ่งเป็นอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๕ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ เวลา ๑๕ นาฬิกา๑๗ นาที อายุ ๒๐ ปี ณ วัดโบสถ์ ต.โพธิ์งาม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท มีฉายาว่า ชุตินฺธโร แปลว่า "โลกนี้มีแต่ความวุ่นวายของโลก หนักไปด้วยกิเลส ตัณหาคือ โลภ โกรธ หลง ทั่งสิ้น ถ้าท่านผู้ใดตัดกิเลส ตัณหาได้ก็จะถึงซึ่งฝั่งพระนิพพาน"

ชุตินฺธโร แปลว่า "ผู้ทรงความรุ่งเรือง"

ชุตินฺธโร แปลว่า "ผู้ทรงความรุ่งเรือง" ความหมายนี้ มาจากบทวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เกี่ยวกับกลวิธีการตั้งนามฉายาของพระสงฆ์ไทย

เสริม

ลูกศิษย์หลวงพ่อเคยถามหลวงพ่อว่า "วัตถุมงคลชนิดใดของหลวงพ่อที่สุดยอดที่สุด ดีที่สุด"

หลวงพ่อบอกว่า พระของข้าทุกองค์พุทธคุณเท่ากันหมด แต่ถ้าดีและเก่ง   "ต้องหลังรูป
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 05, 2013, 12:39:58 pm
บวช ๕ ก.ค.๒๔๖๗ ไม่น่าจะใช่ น่าจะเป็นปี ๒๔๖๘ มากกว่า
วันที่ ๕ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๘
วันที่ ๕ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ซึ่งตรงกับ วันอาสาฬหบูชา
วันที่ ๖ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ตรงกับวันจันทร์ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ซึ่งตรงกับ วันเข้าพรรษา

2467-04-05
2448-08-02
0018-08-03

2467-07-05
2448-11-02
0018-08-03


2468-04-05
2448-08-02
0019-08-03

2468-07-05
2448-11-02
0019-08-03

จะเห็นได้ว่า หากบวชปี ๒๔๖๗ หลวงพ่อจะมีอายุ ๑๙ ปี ถ้าบวชปี ๒๔๖๘ จะมีอายุ ๒๐ ปี
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 06, 2013, 10:32:45 am
ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓๒๒
วันที่ ๒๕ ก.ย. – ๕ ต.ค.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


หลวงน้าช่วยรดน้ำมนต์ให้ผมที หลวงพ่อก็ตอบว่าเออ แล้วหลวงพ่อก็พูดคุยกับแขกต่อญาติโยมเขามาไกลเขามีธุระ แต่นายแผ้วบ้านอยู่ใกล้ นายแผ้วก็ใจร้อนเห็นหลวงพ่อมัวแต่คุยกับแขกก็รบเร้าให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้ โดยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมไว้เลย หลวงพ่อก็ยุ่งกังวลเรื่องพิมพ์พระกลัวผงที่ผสมไว้จะแห้ง มัวยุ่งกับแขกที่มา บางคนก็ขอแหวน ผ้ายันต์ สมเด็จ ปลัด ฯลฯ ให้ยุ่งไปหมด นายแผ้วก็ไม่รู้กาลเทศะ จะให้รดน้ำมนต์ให้ให้ได้ หลวงพ่อเลยสั่งเด็กวัดให้ไปตักน้ำมา ท่านได้พูดว่ารำคาญจังเลยว่ะ เวลาไหนก็ไม่มายุ่งแท้ๆ เดี๋ยวพัดเคาะหัวด้วยขันเลย เมื่อเด็กวัดตักน้ำมาถึงแทนที่หลวงพ่อจะตักน้ำเอาไปทำน้ำมนต์ในกุฏิแบบเคย คือต้องจุดเทียนจุดธูปทำใช้เวลาเป็นครึ่งชั่วโมง หลวงพ่อกลับตักน้ำในถังน้ำรดให้นายแผ้วเลย รดพรวด ๆ ๓ – ๔ ทีก็หมดถังน้ำ แล้วไปคุยกับญาติโยมต่อ นายแผ้วก็เสียใจกลับไปบ้านเจอใครก็พูดว่า ศาลสุดท้ายนี้เห็นทีจะติดคุกแน่ หลวงน้ากวยรดน้ำมนต์ให้ชุ่ย ๆ ถือว่ามีคนมากราบเยอะ เมื่อไปขึ้นศาลด้วยหัวใจห่อเหี่ยวแต่เมื่อตัดสิน ศาลได้ตัดสินยกฟ้องนับว่าแปลกมาก

เรื่องนี้เป็นเรื่องยืนยันถึงอาคมของหลวงพ่อว่า แม้วัตถุมงคลบางอย่างจะมีจารก็ดี ไม่มีจารก็ดี แม้วัตถุมงคลบางอย่างจะมีจารก็ดี ไม่มีจารก็ดี ทำเองก็ดี ไม่ได้ทำเองก็ดี แต่ถ้าหลวงพ่อปลุกเสกเอง เรื่องชุ่ยไม่มี


ตอบจดหมาย

จดหมายคุณกมล แก้วพิพัฒน์

๑๔๐/๑๐ ถ.สุขุมวิท ๕๔ แขวงบางจาก พระโขนง กทม.

นมัสการอาจารย์สำรวย ที่เคารพ

ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟังแปลกมา คือผมไปคลองเตย มีหมอผีกำลังทำพิธีขับผีอยู่พอดี คนที่ถูกผีเข้าไม่กลัวหมอผี ได้ใช้น้ำมนต์ที่หมอผีทำอยู่ จับรดบนหัวของหมอผี หมดขันเลย พอดีผมเดินผ่านไปพอดี คนที่ผีเข้าพอเห็นผมเข้าแสดงอาการกลัวมาก พูดว่าอย่าเข้ามาผมกลัว ผมก็แปลกใจมากนึกได้ว่าในตัวผมคล้องรูปถ่ายเล็ก หลังจีวรเพียงองค์เดียวแปลกมาก

อีกเรื่องหนึ่ง ผมเดือดร้อนเรื่องเงิน ผมออกปากยืมใครก็ไม่ได้คือต้องการเงินมากด้วย ผมจึงนึกถึงหลวงพ่อกวย ขอบารมีของหลวงพ่อ พอรุ่งเช้า ผมได้ไปขอยืมเงินเขามากด้วย ปรากฏว่าเขาให้ยืม คงเป็นเพราะหลวงพ่อดลใจแท้ ๆ ผมจึงนับถือหลวงพ่อกวยมาก ผมขอทำบุญมูลนิธิ ๑๐๐ บาท

เคารพ

กมล แก้วพิพัฒน์


จดหมายคุณไพฑูรย์

๐๒๗ ตลาดสวี อ.สวี จ.ชุมพร ๘๖๑๓๐

นมัสการอาจารย์สำรวยที่เคารพ

ที่ผมเขียนจดหมายมานี้ คือเมื่อต้นเดือนมิถุนายน ผมได้บนกับหลวงพ่อกวยเอาไว้ ถ้าผมถูกหวยผมจะส่งเงินมาทำบุญกับวัด ปรากฏว่าผมถูกจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ผมได้บนกับท่านก่อนหวยจะออกแค่ ๓ ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้ผมรู้สึกเลื่อมใสท่านมาก ท่านเก่งจริง ๆ

เคารพอย่างสูง

ไพฑูรย์ บุญญภาศ


จดหมายพี่มนู รัตนลีลาวุฒิ

๓๑๑/๓๒ แขวงสีกัน เขตบางเขน กทม.๑๐๒๑๐

อาจารย์สมจิตร์ ทราบ

ผมขอเล่าอภินิหารรูปถ่ายเล็กอัดพลาสติก หลังติดจีวรของหลวงพ่อกวย คือผมเอารูปเล็กนี้ให้หลานสาวคล้องคอประจำ วันหนึ่งหลานสาวผมโดนสุนัขแม่ลูกอ่อนกัด ปรากฏว่าไม่เข้าแค่เขียวเท่านั้น นับว่ารูปรุ่นนี้เก่งสมคำร่ำลือ

นับถือ

มนู รัตนลีลาวุฒิ


จดหมายจากพิษณุโลก

โรงงานพิษณุโลก องค์การทอผ้า จ.พิษณุโลก ๖๕๐๐๐ โทร.๒๕๘๐๑๖

ของที่คุณลุงส่งไปให้ผมอันมีพระรอดนั้นผมได้รับแล้ว ขอขอบพระคุณมากครับที่กรุณา ผมขอยอมรับว่าดีมากครับ ศักดิ์สิทธิ์มาก พอนำเขามาเลี้ยงก็ประสบเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นหลายอย่างด้วยกัน ดังจะเล่ารวม ๆ กันต่อไป ผมปฏิบัติต่อเขาเหมือนลูกชายที่มีตัวตน พูดคุยด้วย เรียกหาเวลาที่ต้องการจะได้กิน ไปเที่ยว ไปทำงาน เรียกว่าพูดเองเออเองตลอดมา และมีความรู้สึกว่าเขามาหาตามที่เรียก เป็นบางครั้งเรียกไม่รู้สึก จนเกิดการโมโหเลยตะโกนในใจดัง ๆ ว่า “กุมารทองปิ่นแก้ว” (ผมตั้งชื่อเอาเอง) ไปเที่ยวไหนพ่อเรียกได้ยินไหม เงียบอีกเลยตะโกนในใจต่ออีกว่า เดี๋ยวเฮ๊าะเรียกทำเป็นไม่ได้ยิน พ่อจะฟ้องหลวงตากวยให้ดุ เท่านั้นแหละครับ ถ้ามีตัวตนคงวิ่งมาชนผมอย่างแรงแน่ พอมีความรู้สึกว่ามาก็ปลอบว่าพ่อรักลูกพ่อไม่ฟ้องหลวงตากวยหรอก ก็เท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้นึกถึงเรียกครั้งเดียวรู้ทันทีเลย การรู้นี่เป็นการรู้เฉพาะตัวที่ไม่สามารถบอกใครได้ มันเป็นปัจจัตตังนะครับ ภรรยาผมเมื่อผมบอกความจริงเขา เขาบอกเขาไม่กลัวครับ พบกับความแปลกที่ไม่น่าจะเป็นหลายคน เดี๋ยวนี้เอาเขาไว้ที่บ้าน แต่บอกเขาให้ไปด้วยเวลานอนให้เขาลงมานอนด้วย บางทีกำลังจะหลับมีอาการเหมือนแมวขึ้นมานอนแทรกกลาง พอคลำดูก็ไม่พบ แต่เป็นไม่บ่อยนักหรอก ครั้งแรกที่แม่เขาพบตัว คืนนั้นผมไปสนุกกับเพื่อนบอกเขาว่าพ่อจะไปข้างนอกอย่าไปกับพ่อนะลูก อยู่กับแม่เขา พอกลับมาแม่เขาบอกเลยว่าลูกชายกุมารมาวิ่งเล่นบนเตียงจนเตียงสั่นเลย เดี๋ยวก็วิ่งออกนอกเดี๋ยวก็วิ่งบนเตียง แม่เขาก็บอกแม่จะนอนอย่าดังก็เงียบไป ครั้งหนึ่งครั้งเดียว เวลาแม่เขาอาบน้ำห้องน้ำเป็นห้องที่ทำข้างล่างไม่มีหลังคาแต่มิดชิด เขาก็เอาน้ำราดแม่เขาก็เคยครับ ครั้งแรกเขาโวยคิดว่าผมแกล้ง บางทีบ้านตรงกันข้ามฟากถนนตอนดึก ๆ บางทีเขาเห็นเหมือนเด็กวิ่งขึ้นวิ่งลง เขาเคยมาบ้านผมกลางวันเวลาไม่มีคนอยู่ เขาบอกเหมือนเด็กลากรถเล่น เวลาเขาไปบนบ้านผมเขาบอกเขามีความรู้สึกเหมือนมีคนคอยมองเขาอยู่ นั่งดูทีวีเพลินยามกลางคืนแมวก็นอนขดอยู่ข้าง ๆ เหมือนกับมีคนมาเล่นกับแมว คืนหนึ่งภรรยาบวชเผือก ผมจะลองว่าหากไม่เรียกจะเป็นอะไรไหม พอดึก ๓ – ๔ ทุ่มกำลังจะเข้านอนเสียงหม้อดังเหมือนคนเปิด ผมก็รู้ว่ากุมารทองจะกิน ก็พูดดังๆ ว่า กินเสียลูกกินให้อิ่ม เสียงก็ไม่ดังอีก เคยมีคนมานอนบ้านมีเด็กมาด้วย ตอนเช้าลูกเขาบอกว่าเมื่อคืนพี่หัวจุกเอารถยนต์มาเล่น ชวนให้เล่นด้วย แม่เขาก็รับว่าจริง เพราะลูกเขาเดี๋ยวลุกเดี๋ยวนั่งบางทีหัวเราะ แต่ไม่เคยทำร้ายใครนะครับ ตามที่เล่ามาเป็นความจริง เห็นเป็นการดีเลยเล่าให้คุณลุงฟัง วันนี้กวนใจคุณลุงมามากขอจบเพียงแค่นี้นะครับ ขอให้เขียนเรื่อง หลวงพ่อกวยไปอีกนานๆ

ขอแสดงความนับถือ

จำนง คล้ายพันปี


คุณเฒ่าสุพรรณ ที่นับถือ

ผมติดตามประวัติและปฏิปทาของหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร มาตลอด คุณเฒ่าน่าจะรวมเป็นเล่มทั้งประวัติและอภินิหาร เพราะเรื่องของหลวงพ่อน่าสนใจมาก ตัวผมเองยังไม่เคยประสบอภินิหารอะไร เพราะเพิ่งจะมีพระเครื่องของหลวงพ่อ ที่เช่าทางไปรษณีย์จากวัดโฆสิตาราม

ด้วยความเคารพ

ศิษย์หลวงพ่อ

ผมอยากทราบว่าหลวงพ่อกวยมรณภาพวันที่เท่าไร พ.ศ.อะไร และอายุเท่าไร และพระสมเด็จพิมพ์คะแนน ของหลวงพ่อสร้างเมื่อไร และหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง เป็นศิษย์รุ่นพี่หรือรุ่นน้องของหลวงพ่อกวย เพราะเห็นว่าทั้งสององค์ เป็นศิษย์ของหลวงปู่ศรี วัดพระปรางค์ สิงห์บุรี



ตอบตอบ เรื่องประวัติและอภินิหารของหลวงพ่อ มีศิษย์หลายคนอยากให้รวบรวมเป็นเล่ม ผมเองคงทำไม่ได้ เขาว่าต้องใช้ต้นทุนสูงมาก ราคาจำหน่ายตกเล่มละ ๕๐๐ บาท ผมว่าลำบากทั้งคนทำ ทั้งคนซื้อเลย แต่ถ้าจะให้รวบรวมเฉพาะคาถาเล่มเล็ก ๆ ผมว่าอาจพอทำได้ หลวงพ่อมรณภาพเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๒ อายุ ๗๔ ปี พรรษา ๕๔ สมเด็จพิมพ์คะแนนหลวงพ่อทำเองก็มี ออกในงานฝังลูกนิมิตก็มี พ.ศ.๒๕๒๑ หลวงพ่อแพ เป็นศิษย์น้องท่านครับ

นับถือ

ฒ.สุพรรณ


วิชาบอน
ต่อไปจะขอเล่าถึงความมหัศจรรย์ในวิชา หรือในตัวของหลวงพ่อ ซึ่งหาได้ยากในหลวงพ่อองค์อื่น บางคนอาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าจะทำนั้นทำได้ยากมาก วิชานี้ไม่รู้จะให้ชื่อว่าอะไร เลยชื่อว่าวิชาบอน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เกิดขึ้น ภายหลังสงครามสงบ ได้เกิดปัญหาข้าวยากหมากแพง
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 06, 2013, 11:21:31 am
ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓๒๓
วันที่ ๕ ต.ค. – ๑๕ ต.ค.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


หลวงพ่อเลยตัดสินใจฉันข้าวเพียงครั้งเดียว เพื่อลดและตัดปัญหา เรื่องอาหารบิณฑบาตแต่ก็ไม่อาจแก้ได้เท่าไร พระลูกวัดที่อยู่ด้วยเกิดปัญหาอาหารขบฉันไม่เพียงพอ หลวงพ่อเลยใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก เช่น รักษาโรค แจกตะกรุด แหวนแขน เป็นต้น ส่วนอาหารไม่พอขบฉัน หลวงพ่อได้ให้พระไปตัดบอนในสระ เอามาต้มกินบ้าง กินดิบ ๆ บ้าง ซึ่งเป็นเรื่องแปลกคือ ถ้าท่านอนุญาตให้ใครไปตัดบอน เอามากินดิบ ๆ กับน้ำพริก บอนนั้นจะไม่คันเลย อยู่มาวันหนึ่งหลวงพ่อไม่อยู่ พระลูกวัดได้ไปตัดบอนเอามาฉัน ปรากฏว่าคันและบวม บวมมาก คันปางตายเลย

ตามต่างจังหวัด เวลามีงานบุญที่วัด สำหรับคนไทยแล้ว นอกจากขนมจีนน้ำยาแล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ แกงบอน นอกจากนั้นก็นิยมแกงในงานบวชพระ แต่งานแต่งงานไม่นิยม ความสำคัญของแกงบอนนี้ ได้รับฉายาว่า “อีเขียว แม่งาน” เขาว่าต้นบอนนี้เป็นไม้ที่ชอบทำบุญ ถ้าตัดเอามาทำงานบุญจะมี เวลาไปตัดคนตัดต้องพูดจาสุภาพเที่ยวพูดจาไม่ดีเขาว่า เวลาแกงจะขื่นคอ หรือคันคอคนกินก็โทษแม่ครัว แม่ครัวก็โทษคนตัด คนตัดก็โทษแม่ครัวเพราะคนตัดเจตนาดีไม่ได้แกล้ง ที่วัดหลวงพ่อก็เช่นกัน เวลามีงานบุญต้องมีแกงบอนประจำ งานมีหลายวัน บางครั้งก็เปลี่ยนแม่ครัวจากหมู่บ้านโน้นบ้างหมู่บ้านนี้บ้างอีกอย่างหนึ่งคือวัดของหลวงพ่อมีเขตติดต่อสิงห์บุรี และสุพรรณ

นายชุ่ม มีรักษ์ ชื่อจริง นามสกุลจริง บ้านอยู่อำเภอบางระจัน ได้พาแม่ครัวจากอำเภอบางระจันมาช่วยงานหลวงพ่อ แล้วนายชุ่มก็ขึ้นไปคุยกับหลวงพ่อ ตอนหนึ่งนายชุ่มได้พูดว่าแม่ครัวจากหมู่บ้านของตน บางคนแกงบอนคอยจะคันคอ หลวงพ่อได้ถามว่าแม่ครัวคนที่แกงบอนแล้วคันคอมีชื่อว่าอะไรให้บอกมา นายชุ่มก็บอกชื่อแม่ครัวให้หลวงพ่อฟัง ๓ – ๔ คน ผลปรากฏว่าแม่ครัว ๓ – ๔ คนนั้น แกงบอนไม่เคยคันคออีกเลย อันนี้แปลกมากมองดูก็ไม่เห็นว่าจะเป็นวิชาที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่ก็ไม่เห็นว่ามีใครทำได้ แม้บางคนปวดหัว ปวดท้องไปบอกท่าน ท่านรับรู้แต่ก็ไม่เห็นท่านทำอะไร แปลกบางคนปวดทรมานเป็นปี ๆ เดือน ๆ พอไปบอกท่านหายปวดเฉย ๆ เลย

จดหมายจากคุณมั่น  โนนสุข

สวัสดีครับ

ผมติดตามหนังสือนะโม มานานพอสมควร แต่ยังไม่เคยเขียนจดหมายมาคุยด้วยเลย ผมติดตามอ่านเรื่องของหลวงพ่อกวยมาตลอด และมีความศรัทธามากแต่ไม่เคยมีวัตถุมงคลหรือพระเครื่องของท่านไว้บูชาเลย อยากจะได้ไว้เป็นสิริมงคลแก่ตัวเองบ้าง ขอความกรุณาอาจารย์แบ่งให้ผมบ้างนะครับ ผมเคยมีประสบการณ์เรื่องหลวงพ่ออยู่ครั้งหนึ่งเร็ว ๆ นี้คือ ตอนนั้นเงินผมขาดมือ ต้องการใช้เงินด่วนไม่รู้จะไปหยิบยืมใคร พอดีนึกถึงหลวงพ่อกวยจากเรื่องในหนังสือนะโม ก็เอาหนังสือมากางแล้วอาราธนากับรูปในหนังสือนะโม ว่ามาทำงานตอนเช้าวันนี้ขอให้หยิบยืมเงินใครได้สักก้อนเถิด แล้วก็จำเอาคาถาของท่านคือ “เอหิมะมะ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ” มาท่อง แล้วไปทำงาน ตอนเช้าเข้าไปหาเจ้านายแล้วท่องคาถานึกถึงหลวงพ่อแล้วเอ่ยปากยืมเงินเจ้านาย แทบไม่น่าเชื่อทั้ง ๆ ที่เจ้านายเป็นคนขี้เหนียว และเกลียดผมด้วย ออกปากให้ขอยืมโดยไม่ถามอะไรเลยอย่างนี้ ถ้าหลวงพ่อไม่ช่วยแล้วจะเรียกว่าอะไรดี

สุดท้ายนี้ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยส่งของจะเป็นอะไร? ก็ได้สักอย่าง ผมอยากจะเก็บไว้บูชา พร้อมกันนี้ผมได้ส่งเงินมาทำบุญกับอาจารย์ให้หลวงพ่อด้วย อาจจะเล็กน้อยไปหน่อย แต่ว่าขณะนี้ผมกำลังแย่มาก ๆ ถ้าดีขึ้นแล้ว รับรองว่าถึงไหนถึงกัน(เพราะผมเป็นคนใจถึงทุกอย่าง)

ด้วยความเคารพ

มั่น  โนนสุข

ปล.นายมั่น โนนสุข ๖๙ หมู่ ๑ บ.พัตราภรณ์ไทยการย้อม ถนนปู่เจ้าสมิงพราย ต.สำโรงใต้ อ.พระประแดง สมุทรปราการ ๑๐๑๓๐


การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

ถึงลุงเฒ่า สุพรรณ

ก่อนอื่นต้องขอโทษคุณลุงก่อนนะครับ ที่ผมได้รับรูปถ่ายซีล็อกของหลวงปู่กวยแล้วไม่ได้เขียนจดหมายมาขอบพระคุณ ผมได้อ่านนะโมว่าคุณลุงจะแจกพระคาถาบูชาพระสิวลี และพระสังกัจจายน์ ก็เลยเขียนจดหมายมาขอคุณลุงเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก ปัจจุบันผมก็ได้ทำงานดีพอสมควรคือที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเขต ๓ ภาค ๓ (นครปฐม) ที่ได้งานทำก็เพราะหลวงปู่กวยช่วย เพราะตอนสอบทำข้อสอบไม่ค่อยได้ แต่ก็บอกให้หลวงปู่กวยช่วยด้วยก็สอบได้สมใจจริง ๆ

สุดท้ายนี้ขอให้ลุงเฒ่า สุพรรณ อยู่เป็นที่พึ่งของลูกศิษย์ หลานศิษย์ของหลวงปู่กวยไปเท่านานแสนนาน

ด้วยความเคารพอย่างสูง

อนุสรณ์  ดรุณประนันธ์

๓๓๙ ถ.พิพิธประสาท ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม ๗๓๐๐๐


รูปหล่อเล็กครั้งที่ ๑
ต่อไปจะขอกล่าวถึงรูปหล่อเล็กชนิดคล้องคอ รุ่น ๑ อีกสักครั้ง รูปหล่อรุ่นนี้ ประมาณ พ.ศ.ที่ออกคือปี พ.ศ.๒๕๑๒ แต่จริง ๆ แล้วหลวงพ่อสร้างก่อนหน้านั้นหลายปี แต่ในปี พ.ศ.๒๕๑๒ ทางวัดมีงาน จึงได้นำออกมาจำหน่าย ในใบงานนั้นมีรูปหลวงพ่ออยู่ ที่เราเรียกกันว่า รูปถ่ายใบปลิว รูปหล่อ รุ่น ๑ นั้น เป็นรูปหล่อปั๊มเล็กกะทัดรัดไม่มีกริ่ง ด้านหลังตอกอักขระตัวจมมีเนื้อเดียวคือเนื้อฝาบาตรคล้ายทองเหลือง ผสมทองแดง รมทองบาง ๆ หรือกะไหล่ไฟ ผิวเนื้อที่เกิดจากการปั๊มด้วยความแรงผิวจะตึงเป็นที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือรูปหล่อนี้ช่างได้แกะประกายตาได้กลมมีชีวิตมีวิญญาณ เขาว่ารูปหล่อนี้มีผลทางแคล้วคลาดสูงมาก จำหน่ายใน พ.ศ.๒๕๑๒ ราคา ๑๐ บาท เป็นรูปหล่อตันไม่มีกริ่ง

ต่อไปเป็นเกร็ดคำพูดของหลวงพ่อที่ได้พูดไว้กับหมอสมพงษ์ ตลาดอำเภอสรรคบุรี หมอสมพงษ์นี้เคยไปทำบุญกับหลวงพ่อบ่อย ๆ มีความสนิทชิดเชื้อกันพอสมควร คือหมอสมพงษ์เป็นคนพอมีสตางค์ได้ไปทำบุญกับหลวงพ่อ หลวงพ่อก็เกรงใจอยากจะให้วัตถุมงคลหมอสมพงษ์ไว้บ้างเป็นการตอบแทน แต่หมอสมพงษ์ไม่อยากได้คือไม่ขอ ส่วนหลวงพ่อนั้นจะให้วัตถุมงคลต่อศิษย์ที่อยากได้ คือขอเท่านั้น จึงให้ คือหลวงพ่อจะให้ไปก็กลัวเขาไม่นับถือจะเห็นว่าเป็นตุ๊กตา หลวงพ่อได้พูดแย้ม ๆ กับหมอสมพงษ์ว่า รูปหล่อเล็กน่ะเอาไว้ใช้มั่งไหมล่ะจะให้ ฝ่ายหมอสมพงษ์ก็เป็นคนตรงได้ตอบว่ารูปหล่อหลวงพ่อผมไม่ชอบทำไม่สวย ผมไม่อยากได้เลย หลวงพ่อได้พูดว่า เออ ไม่เอาก็ไม่เป็นไร แล้ววันหน้าจะมาเสียใจไม่ได้นะ เมื่อหมอสมพงษ์ลากลับไปแล้วท่านได้พูดกับกรรมการวัดว่า หมอสมพงษ์เขาไม่ชอบรูปหล่อกูเขาว่าไม่สวย ก็รูปร่างกูก็อย่างนี้ หัวโล้น ๆ แก่ ๆ จะให้หล่อแบบพระเอกหนังได้อย่างไร ๑๐ ปีผ่านไปผมได้พบกับหมอสมพงษ์เพราะทราบว่า ได้วัตถุมงคลของหลวงพ่อไว้พอสมควร คืออยากจะขอแบ่ง หมอบอกว่าที่มีอยู่เป็นเหรียญรุ่น ๑ ไม่ได้ใช้เลยกับรูปหล่อรุ่น ๑ ไม่ได้ใช้เช่นกัน มีคนมาบุกเอาไปหมดแล้ว เหลือเหรียญรุ่น ๑ เพียงอันเดียว ผมเสียดายไม่หาย ตอนนั้นรูปหล่อรุ่น ๑ ถ้าผมจะขอท่านสักกอบนึงท่านก็ให้ ได้ยินหมอสมพงษ์พูดอย่างนั้น ผมเดินออกมาจากร้านอดนึกถึงเพลง ๆ หนึ่งไม่ได้เพลงนั้น ทำไมถึงทำกับฉันได้

รูปหล่อครั้ง ๑ นี้ ได้ปลุกเสกร่วมกันและติดต่อกับเหรียญรุ่นเสาร์ ๕ หรือรุ่นนะโมตาบอด เขาว่าพุทธคุณคล้ายกัน คือแคล้วคลาด ต่อไปจะขอเล่าเพื่อบันทึกอภินิหารเอาไว้ และเพื่อยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ ตอนนั้นมีบริษัทสร้างทางของเกาหลีได้มาสร้างทางและตั้งที่พักที่เขาใหญ่ อ.เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี ชื่อบริษัทฮุนได พวกสร้างทางนี้คล้ายพวกชลประทาน ร้อยพ่อพันแม่ห่างลูกห่างเมีย ในเวลาว่างจึงจับกลุ่มกินเหล้า บ้างก็เล่นการพนัน เช่น ไพ่ และไฮโล โดยเฉพาะไฮโลนั้นมีประจำ การพนันมีได้มีเสีย มีโกง มีถูกโกง มีเซียน มีหมู มีทั้งขาจรและขาประจำ บางคนหวังรวยคิดรวยทางลัด เรียกว่าไปแสวงโชค ไปเจอเซียนเข้าหมดตัวหน้ามืดเลย ในจำนวนคนหมดตัวนี้มีมือดีอยู่ ๑ คน เป็นนักเลงเมื่อหมดตัวก็กลับไปบ้านแทนที่จะไปเอาสตางค์มาแก้ตัว กลับไปเอาหมวกไอ้โม่งมา ๑ ใบ พร้อมปืนลูกซองสั้นไทยประดิษฐ์ ตราควายเมดอินไทยแลนด์ จังหวัดอุทัยธานี บรรจุลูกเบอร์ยิงนก จำนวน
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 06, 2013, 11:23:36 am
เนื่องจาก เนื้อหา ค่อนข้างน้อย วันนี้เลยนำมาลงพร้อมกันทีเดียว ๒ ตอน

คงจะจุใจ และสร้างความสุขในการอ่านต่อทุกท่าน ไม่มากก็น้อยครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ สิงหาคม 06, 2013, 08:24:17 pm
ขอบคุณครับพี่แค่นี้ก็มีความสุขแล้วครับได้ฟังเรื่องเล่าประสบการณ์ของหลวงพ่อกวยสุดยอดเลยครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 09, 2013, 09:42:01 am
ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓๒๔
วันที่ ๑๕ ต.ค. – ๒๕ ต.ค.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


๑๐๐ เม็ด อำนาจของลูกเบอร์ยิงนกนี้ สามารถยิงนกทั้งฝูงได้สบาย เมื่อนักเลงคนนี้มาถึง ได้จอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ห่างพอสมควร กะระยะให้ลูกปืนบานพอดีแล้วยิงไปที่กลุ่มคนที่เล่นไฮโล อำนาจของลูกเบอร์ ๑๐๐ เม็ด ผลคือคนที่เล่นไฮโลอยู่โดนยิงด้วยลูกเบอร์คนละเม็ดสองเม็ดทุกคน ยกเว้นนายชัยศิษย์ของหลวงพ่อคนอำเภอสรรค์เพียงคนเดียวที่ไม่โดนลูกปืน บางคนโดนปาก ๆ แหว่ง บางคนโดนหู ๆ แหว่ง บางคนโดนตามแขน ขา ลำตัว ต้องไปให้หมอแงะออก ด่าคนยิงให้เพรียกไปหมด คนยิงนี้ทราบภายหลังว่าชื่อ ดิเรก เมื่อผมได้คุยกับเขา เขาบอกว่ามันอยากโกงผม ผมก็บอกเขาไปว่าเล่นกับใครไม่เล่น ๆ กับคนสุพรรณ คุณบุญธรรม พระประโทน เขาก็บอกไว้ว่า “ไปสุพรรณสามวันก็รวย ขาไปขี่ม้า ขากลับมาขี่ม้าก้านกล้วย” ก็ขอจบเรื่องรูปหล่อรุ่น ๑ ไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน ปัจจุบันรูปหล่อรุ่น ๑ นี้มีปลอมโดยการถอดพิมพ์ ใช้วิธีหล่อทำได้ใกล้เคียงมาก แต่ผิวไม่ตึง เพราะของจริงเกิดจากการปั๊ม นอกจากผิวไม่ตึงแล้วบางแห่งจะมีรูอากาศเขาจะใช้เครื่องปัดพระปัดให้สึกเล็กน้อยเพื่ออำพรางรูอากาศ หรืออาจเอาไปรมใหม่เพื่ออำพรางรูอากาศเช่นกัน ใครที่จะเช่าหาขอให้ระวังด้วย สนนราคาตอนนี้พอเช่าได้ แต่ถ้าวันหน้าละก็จับไม่ลงแน่ เพราะรูปหล่อรุ่น ๑ นี้ เป็นหนึ่งในชุดอมตะวัตถุมงคลของหลวงพ่อ วันนั้นนายชัย คล้องรูปหล่อรุ่น ๑ ของหลวงพ่อเพียงองค์เดียว
 
แจกภาพสิวลี ดวงแก้ว

สำนักงานป่าไม้จังหวัดปราจีนบุรี อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ๒๕๐๐๐

เรียน อาจารย์สมจิตร์ ที่เคารพ

สวัสดีครับ ตามที่ผมได้เขียนจดหมายมาบอกอาจารย์ว่าจะทำการซีล็อซ์ภาพพระสีวลีของหลวงพ่อกวย จัดส่งมาให้อาจารย์ประสานงานในการแจกและปลุกเสกให้นั้นผมและเพื่อน (คุณนฤพนธ์ แพร่ศิริรักษ์) ได้ร่วมกันซีล็อกซ์ภาพพระสิวลีเสร็จเรียบร้อยแล้ว และผมได้นำภาพดังกล่าวไปให้พระอาจารย์ซึ่งมีชื่อในท้องถิ่น (จ.ปราจีนบุรี) คือ ท่านพระครูวิมลโพธิเขต วัดไผ่งาม อ.โคกปีบ จ.ปราจีนบุรี ปลุกเสกให้นะครับ ท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอโคกปีบ ชาวบ้านอำเภอโคกปีบ นับถือท่านมากครับ วัตถุมงคลของท่านเท่าที่ผมทราบจากชาวบ้านที่อยู่แถวนั้น บอกว่าดีทางกันเขี้ยวงา สัตว์มีพิษ แคล้วคลาด เมตตา ภาพพระสิวลีนี้ท่านปลุกเสกให้เรียบร้อยแล้วนะครับ ผมจึงส่งภาพมาให้อาจารย์ จำนวนประมาณ ๙๖๐ แผ่น และผมอยากจะขอความกรุณาจากอาจารย์ซักหน่อยนะครับ คือ เมื่ออาจารย์นำภาพไปให้หลวงพ่อต่าง ๆ ปลุกเสกเสร็จแล้ว ช่วยส่งคืนให้ผม ๔๐ แผ่นนะครับ เพราะมีหลายคนที่ทำงานที่เดียวกับผมเห็นภาพแล้วอยากได้ เค้าขอผมไว้

ภาพพระสิวลีนี้ ถ้าอาจารย์นำไปให้หลวงพ่อตี๋ ปลุกเสกให้ผมฝากนมัสการหลวงพ่อตี๋ ด้วยนะครับว่าผมยังระลึกถึงท่านเสมออยากไปกราบท่านอีกแต่ไม่มีเวลา เพราะวันเสาร์ – อาทิตย์ ผมเรียนหนังสือ บอกท่านว่าผมทำงานป่าไม้ คิดว่าท่านคงจำผมได้

พร้อมนี้ ผมส่งเงินมาร่วมทำบุญทอดผ้าป่าหลวงพ่อกวย ๑๕๐ บาท หากอาจารย์ได้รับภาพและเงินทำบุญของผมแล้ว กรุณาตอบให้ผมทราบด้วยนะครับ ท้ายนี้ผมขอให้อาจารย์มีความสุขมาก ๆ ครับ

เคารพและนับถืออย่างสูง

นายรังสรรค์ โค้ววราวรรณ
สำนักงานป่าไม้จังหวัดปราจีนบุรี
และนายนฤพนธ์ แพร่ศิริรักษ์
สำนักงานป่าไม้เขตปราจีนบุรี


ตอบตอบ คุณรังสรรค์ โค้ววราวรรณ รูปดวงแก้วสิวลีที่คุณทำแจกผมได้ให้อาจารย์ตี๋ปลุกเสกให้แล้วหลายเดือน ใครที่ยังไม่มีไว้บูชาจะขอก็ส่งจดหมายมาขอที่ผมได้ฟรี ที่เดิม เฒ่า สุพรรณ วัดท่าทอง ต.ปากน้ำ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ๗๒๑๒๐ ให้สอดซองติดแสตมป์จ่าหน้ามาด้วย ขอขอบคุณคุณรังสรรค์ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

ขอบคุณ

เฒ่า สุพรรณ


จดหมายคุณนิจสิน
๔๐๖/๘๙ หมู่บ้านมหาวงค์

เรียน คุณเฒ่า ที่นับถือ

ผมเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งที่นับถือหลวงพ่อกวยมากและได้วัตถุมงคลที่คุณเฒ่าส่งไปรูปถ่ายสีเล็กหลังจีวรและพระรอดปู่หล้าตาทิพย์ ผงหลวงพ่อกวยมาให้ พระรอดผมชอบมากเพราะได้ทั้งผงแท้ ๆ ของหลวงพ่อและปลุกเสกด้วยปู่หล้า ได้ข่าวว่าท่านเก่งทางเมตตาและมหาลาภมากองค์หนึ่ง ผมได้ส่งเงินมา ๕๐๐ บาท เข้าร่วมมูลนิธิของหลวงพ่อเพราะลูกสาวผมได้สอบเข้า ม.๑ ร.ร.มีชื่อแห่งหนึ่งได้เพราะผมได้บนหลวงพ่อขอให้สอบเข้าได้เพราะด้วยความศักดิ์ของหลวงพ่อ สุดท้ายนี้ขอให้คุณเฒ่าเจริญยิ่งขึ้น

นับถือ

นิจสิน เอกอุษณีย์


 ตอบคุณนิจสิน เงินมูลนิธิ ได้รับแล้วครับ ดีใจด้วยที่ลูกสาวสอบเข้าเรียนต่อครับ หลวงพ่อชอบคนทำกิน ชอบคนเรียนหนังสือครับ ถ้าไม่เหลือกำลังเกินไป หลวงพ่อช่วยได้ต้องช่วยครับ

โชคดีครับ

ฒ.สุพรรณ




ดูถูกเรา
 คนไทยศาสนาพุทธ มีสิ่งหนึ่งที่แยกไม่ออกคือ บุญกับวัด และคนไทยศาสนาพุทธเรียกว่าถ้านับถือศาสนาพุทธก็ต้องนึกถึงบุญ นึกถึงวัด เรื่องของวัดก็มีเรื่องหนึ่งที่วัดต้องทำ และทำไม่เสร็จสิ้น คือ ทำนุบำรุงศาสนามีการสร้างโบสถ์ศาลา วิธีการทำบุญจนเป็นประเพณีหรือฤดูกาล ก็คือมีการทอดผ้าป่า ทอดกฐิน เป็นต้น บางคนก็ตั้งใจทำจริง ๆ เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ ถ้าไม่มีการทอดกฐิน ทอดผ้าป่า วัด ศาลา ก็ทำไม่ได้ ทำไม่เสร็จ เพราะพระไม่มีเงินเดือน แต่ก็มีบ้างบางคนก็อาศัยหากินกับวัดก็มี เรียกว่าวัดครึ่งกรรมการครึ่ง อันนี้ก็ต้องเลือกทำเอา แต่อย่าไปเหมาเอาหมดว่าพวกแจกซองไม่ดีไปทั้งหมด

บางคนไม่เข้าวัด ทั้ง ๆ ที่นับถือศาสนาพุทธ โดยอ้างว่าไม่ศรัทธา ไม่นับถือเจ้าอาวาส อ้างว่าเจ้าอาวาสไม่น่าเลื่อมใส มีสีกามาติดพัน บางคนก็ว่าเจ้าอาวาสรวยมีรถเก๋งขี่ บางคนก็ว่าเจ้าอาวาสเด็กยังเล็ก อายุยังไม่มาก บางคนก็ชอบพระปฏิบัติ จะทำบุญทีนึงต้องไปโน่นวัดที่มีพระปฏิบัติ วัดบ้านเราไม่ศรัทธา แต่พอพ่อตาย แม่ตาย ญาติพี่น้องตาย ก็ต้องเอามาเผาที่วัดใกล้บ้านอยู่ดี

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่วัดของหลวงพ่อ ตอนนั้นหลวงพ่อกำลังเรืองวิชา บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ บางคนก็ไม่ศรัทธาเพราะเห็นว่า หลวงพ่ออายุยังไม่มาก ตอนนั้นทางวัดกำลังจะมีงานประจำปี ทางคณะกรรมการวัดได้เรียกประชุมกรรมการทั้งหมด เพื่อปรึกษาหารือเรื่องงาน งานประจำปีมีการปิดทองพระ กลางวันมีเทศน์ เลี้ยงพระ กลางคืนมีมหรสพสมโภช เป็นประเพณี ทายกและกรรมการได้ปรึกษาหารือกัน แต่งตั้งกรรมการให้ทำหน้าที่ต่าง ๆ เช่น ดูแลเรื่องพระ เรื่องมหรสพ เรื่องแขกบ้านไกล เป็นต้น คือแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เพื่อช่วยเหลือกันคนละไม้คนละมือ แต่มีอยู่คนหนึ่งชื่อโปร่ง เป็นคนบ้านแค ไม่ยอมช่วยเหลืออะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะให้ทำหน้าที่อะไรก็ไม่เอาแถมยังพูดจาทำนองไม่เคารพหลวงพ่อด้วย เมื่อกรรมการเลิกประชุมแล้ว ได้ขึ้นไปกราบหลวงพ่อเล่าเรื่องนายโปร่งให้หลวงพ่อฟัง เมื่อหลวงพ่อได้ฟังหลวงพ่อท่านหัวร่อหึหึ ในลำคอ แล้วพูดว่า “เขาดูถูกเรา” แล้วท่านก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดต่อไปว่า “คนเราถ้าเคารพพ่อแม่ เคารพครูบาอาจารย์ ก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ ถ้าดูถูกพ่อแม่ ดูถูกครูบาอาจารย์ ดูถูกพระพุทธ ดูถูกพระธรรม ดูถูกพระสงฆ์ จะหาความเจริญไม่ได้ จะมีแต่เคราะห์แต่โศก”


อยู่ต่อมาไม่นาน จะเป็นด้วยวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อ หรือเคราะห์กรรมของนายโปร่งตามมาทัน หรืออย่างไรไม่แน่ชัด ภรรยานายโปร่งได้ป่วยไม่สบาย นายโปร่งได้พยายามรักษาจนเต็มกำลัง หมดเงินหมดทองไปมาก แต่ก็ไม่อาจช่วยเหลือภรรยาไว้ได้ ภรรยาแกตายลงไป เมื่อตายก็ต้องเอามาทำพิธีทางสงฆ์ที่วัดคือไม่พ้นวัดนั่นเอง เมื่อภรรยาแกตาย แกเริ่มรู้สึกเสียใจบ้างเหมือนกัน แต่กรรมของแกยังไม่หมดลูกชายของแกมาโดนรถทับตายในเวลาต่อมา แกเสียใจมาก ได้ขึ้นไปกราบหลวงพ่อและขอโทษหลวงพ่อที่ตนเองได้กล่าวล่วงเกิน
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ สิงหาคม 09, 2013, 06:45:56 pm
ขอบคุณครับพี่สำหรับเรื่องเล่าดีๆๆ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 13, 2013, 10:28:08 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๒๕
วันที่ ๒๕ ต.ค. – ๕ พ.ย.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงถ้าท่านมาวัด ให้มาถามคนชื่อโปร่งได้เลย รับรองว่าไม่มีใครรู้จักเพราะไม่ใช่ชื่อจริง ถ้าลงชื่อจริง ๆ ผมก็แย่นะสิ แต่ถามถึงเจ้าของเรื่องกับอาจารย์สำรวยได้ เรื่องวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อนี้ ภายหลังถ้ามีใครนำผ้าป่าหรือกฐินมาทอด กรรมการวัดก็ดี แม่ครัวก็ดีจะมาช่วยกันเต็มไปหมด บางครั้งหลวงพ่อกลัวว่าแม่ครัวจะมาไม่พร้อมเพรียงกัน หลวงพ่อเลยประกาศออกไมค์โดยมากหลวงพ่อจะพูดว่า “อะโหล อะโหล นี่หลวงพ่อกวยพูด พรุ่งนี้จะมีผ้าป่ามาทอด ให้แม่ครัว และกรรมการวัดมาช่วย ๆ กันด้วย” เพียงคำพูดเพียงเท่านี้ ผลปรากฏว่าทั้งแม่ครัวและกรรมการวัด มากันมากกว่าคนทอดผ้าป่าทุกทีไป แม้ปัจจุบันนี้ ถ้ามีงานอะไรก็ตาม แม่ครัวและกรรมการวัดของหลวงพ่อ เขาจะต้อนรับแขกที่มาอย่างเต็มที่ คือเขายังเคารพหลวงพ่ออยู่เสมอ

จดหมายคุณจำนงค์
โรงงานพิษณุโลก องค์การทอผ้า
จ.พิษณุโลก ๖๕๐๐๐

กราบเรียน คุณลุงเฒ่า ที่นับถือ

รูปหลวงพ่อกวยที่คุณลุงกรุณาส่งไปให้นั้น ผมได้รับแล้ว ขอขอบพระคุณมากครับ ผมมีเรื่องที่จะรบกวนคุณลุงให้ช่วยสักครั้ง ตามเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๓๔ ที่ผ่านมานี่แหละ ผมและครอบครัวประสบมรสุมอย่างแรง เป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถจะบรรยายในที่นี้ได้ ผมกับภรรยาพยายามที่จะแก้ไขให้ผ่านไปได้ด้วยดี แต่คู่กรณีก็ทำท่าว่าจะไม่ยินยอมตามที่ผมขอร้องเลย ผมกลุ้มมาก ถ้าหากงานนี้ไม่เรียบร้อยผมจะต้องลำบากมาก คิดหนักเข้าก็หาทางออกไม่ได้ คิดถึงหลวงพ่อกวยได้ ก่อนนอนก็จุดธูปบอกท่านที่รูปถ่ายที่คุณลุงมอบให้ ซึ่งผมทำหิ้งบูชาไว้ที่หัวนอน บอกความทุกข์ให้ท่านรับทราบว่าเป็นอย่างไร ขอให้ท่านช่วยขจัดปัดเป่าให้กลายไปในทางที่ดี ผมบอกกับท่านว่าผมไม่มีเงินมากนัก ที่มีก็พอจะใช้จ่ายในครอบครัว ขอให้ท่านช่วยโดยบอกกับท่านว่าหากเรื่องนี้เรียบร้อยตามต้องการ ผมจะซีล็อครูปท่านจำนวนหนึ่ง แล้วจะขอความกรุณาให้คุณลุงเฒ่าช่วยเป็นภาระนำไปแจกสานุศิษย์ที่มีความต้องการ ผมบอกกับท่าน ๓ – ๕ คืน พออีกวันก็ไปหาเขา พอพบหน้ากัน คุณลุงครับแทบไม่น่าเชื่อเลยเขาพูดกับผมดี ไม่หน้าบึ้งเหมือนก่อนเลย คุยกันไปสักครู่ ต่อรองกันบ้าง เขาก็บอกตกลงตามที่ผมเสนอไป ผมได้ยินเขาพูดแล้วตัวชา หูอื้อ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะพูดอย่างนี้อันเป็นประโยชน์สำหรับผมเลย เพื่อความมั่นใจผมก็พูดย้ำอีก เขาก็พูดอย่างนั้นอีก เขายังพูดว่าไม่น่าเชื่อว่าเขาจะพูดอย่างนี้หรือ ผมไม่คิดอะไรหรอก คิดอย่างเดียวว่าหลวงพ่อกวยท่านช่วยให้ผมรอดจากความทุกข์ในใจในคราวนี้ ผมมีความศรัทธาในองค์ท่านมากขึ้น จึงได้ไปซีล็อครูปตามที่บอกกับท่าน แล้วส่งมาให้คุณลุงช่วยแจกให้ศิษย์ที่ต้องการรูปท่าน เพื่อเป็นการเทิดทูนบูชาในพระคุณท่าน ผมจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นการยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ในองค์หลวงพ่อกวย ให้สานุศิษย์ทราบโดยทั่วกัน หากคุณลุงได้รับรูปที่ผมส่งมานี้แล้ว ขอความกรุณาคุณลุงช่วยจัดการตามที่ผมเล่ามาแต่ต้นด้วย หากจะเอาตราวัดประทับและมีลายเซ็นคุณลุงด้วยก็จะดีมาก และก่อนที่จะส่งมานี้ผมได้เอาวางไว้หน้ารูปท่าน จุดธูปบอกท่านให้ช่วยปลุกเสกให้ก่อนแล้วด้วย คุณลุงอย่าคิดว่าเป็นการรบกวนเลยนะครับ คิดว่าสงสารศิษย์หลวงพ่อผู้ตกยากด้วยเถิด

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

นายจำนงค์ คล้ายพันปี


ตอบตอบ คุณจำนง

รูปซีล็อค รูปหลวงพ่อ ผมให้อาจารย์ตี๋ปลุกเสกให้แล้ว ดีใจด้วยครับที่เรื่องของคุณจบลงด้วยดี รูปรุ่นนี้ผมให้อาจารย์ตี๋ปลุกเสกให้ ๑ พรรษา ใครที่ต้องการขอมาได้ฟรี ส่งมาขอได้ที่เดิม เฒ่า สุพรรณ วัดท่าทอง ต.ปากน้ำ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ๗๒๑๒๐ สอดซองติดแสตมป์จ่าหน้ามาด้วยขอขอบคุณ คุณจำนงค์ ไว้ ณ ที่นี้ครับ

โชคดีครับ

ฒ.สุพรรณ


จดหมายคุณสมชาย ธีรวร
๑๖๖๘/๒๐ ถ.เจริญกรุง ยานนาวา กทม.๑๐๑๒๐

เรียน คุณเฒ่า สุพรรณ

ผมอยากได้รูปของหลวงพ่อกวยที่คุณอุษาจัดสร้าง เพราะผมมีความนับถือท่านมาก จึงฝากเงินมา ๑๐๐ บาท มาร่วมทำบุญ ผมมีเรื่องที่เกี่ยวกับอภินิหารของท่านคือก้างปลาได้ติดคอผม ผมใช้มือล้วงยังไงก็ไม่ออก และรู้สึกปวดมาก ผมก็คิดถึงหลวงพ่อกวย และอยากจะลองว่า ท่านศักดิ์สิทธิ์สมคำร่ำลือหรือไม่? ผมก็ส่งเงินทำบุญที่วัดกับอาจารย์สำรวย และได้เช่าวัตถุมงคลของท่านอยู่เสมอ จึงขอประกาศเกียรติคุณของหลวงพ่อกวยว่า ท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ

ผมจึงขอประกาศเกียรติคุณของหลวงพ่อกวยว่า ท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ

ด้วยความนับถือ

สมชาย ธีระวร


มีดหมอชนิดปากกา

ต่อไปจะขอกล่าวถึงมีดหมอชนิดปากกา มีดหมอชนิดปากกานี้ หมายถึงมีดหมอชนิดเล็ก ด้ามงาฝักงา มีที่เหน็บกระเป๋าได้ ส่วนมีดหมอบางสำนักที่ใช้ปากกาจริง ๆ มาทำ โดยซ่อนตัวมีดไว้ข้างในก็เรียกว่ามีดหมอชนิดปากกาเช่นเดียวกัน แต่ชนิดนี้หลวงพ่อไม่ได้ทำ หลวงพ่อทำแต่ชนิดด้ามงาฝักงา โดยสั่งทำจากช่างพยุหะ จ.นครสวรรค์

หลวงพ่อเรียนวิธีทำมีดหมอมาจากหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ จ.นครสวรรค์ แน่นอน มีหลักฐานหลายอย่าง เช่น มีหลักฐานได้พบรูปหลวงพ่อเดิมในกุฏิหลวงพ่อ แม้ศิษย์หลวงพ่อที่ยังมีชีวิตอยู่ คือลุงลอน ก็เคยไปกราบหลวงพ่อเดิม พร้อมหลวงพ่อ แม้รูปถ่ายของหลวงพ่อเดิมที่บ้านลุงลอนก็มี สมัยนั้นใช้เดินเท้าเอา จากวัดหลวงพ่อเดินไปวัดหลวงพ่อเดิม ประมาณบ่าย ๆ ก็ถึง นอกจากนั้น หลวงพ่อยังเคยนำวัตถุมงคล ประเภทงา นำมาแจกลูกศิษย์  เช่น ปลัดงา มีดหมอปากกาด้ามงาฝักงา พระเครื่องงาแกะ แหวนงา โดยแจกให้ศิษย์ภายหลังคนที่ได้วัตถุมงคลชุดนี้ไปได้มีเซียนเช่าต่อออกไป นำไปจำหน่ายเป็นของหลวงพ่อเดิม แม้มีดหมอยุคแรกของหลวงพ่อชนิดปากกาช่างเขาตอกลายเหมือนของหลวงพ่อเดิม ภายหลังเซียนยังเอาไปจำหน่ายเป็นของหลวงพ่อเดิม เพราะหลวงพ่อสร้างมานาน
อายุการสร้างมีดหมอชนิดปากกานั้น พอจะแบ่งได้ ๓ ยุค คือยุคแรกจะตอกเป็นลายกนกเหมือนกับของหลวงพ่อเดิม มีดยุคนี้คนเอาไปจำหน่ายเป็นของหลวงพ่อเดิม

ยุคต่อมา หลวงพ่อตอกอักขระที่ใบมีดทั้ง ๒ ด้าน และมียันต์ใบพัดทั้ง ๒ ด้านเช่นเดียวกัน ตอกอักขระได้สวย ใบเหล็กขาว

ยุคสุดท้าย หลวงพ่อตอกอักขระที่ใบมีด เหมือนยุคที่สอง แต่ลายมือไม่สวย ใบเหล็กขาว ในยุคที่ ๒ และ ๓ นี้ หลวงพ่อยังได้สร้างชนิดลายกนกข้างแต่เป็นใบเหล็กสีขาวบางครั้งก็ตอกยันต์ประกอบ

ส่วนการจารนั้นไม่แน่นอน หลวงพ่อจะจารเป็นบางเล่ม แต่ใส่ด้ามเอง บรรจุเองทั้งหมด ปัจจุบันมีดหมอชนิดปากกาของหลวงพ่อนี้ มีราคาแพงมาก หายากกว่าของหลวงพ่อเดิมอีก เพราะทำน้อยกว่า สนนราคาแพงเป็นอันดับสองรองจากหลวงพ่อเดิม วัตถุมงคลที่ดีทางกันภูตผีปีศาจ และขับผีกันภูติกันพราย ขับคุณผีคุณคนนี้ต้องเป็นมีดหมอ เพราะอำนาจของมีดหมอมีความคม สามารถตัดคุณตัดความชั่วร้ายได้ เขาว่าคุณผีคุณคนนั้น บางทีก็มาในลักษณะเป็นพังผืด เป็นสายระโยง แบบยักเยื่อยักใย จึงต้องใช้ความคมของมีดหมอตัด ความจริงผ้ายันต์เวสสุวัณก็กันผีได้ แต่ใช้ขับคุณผีคุณคนไม่ดีนัก เพราะไม่มีความคม


ส่วนคาถามีดหมอของหลวงพ่อ นั้น หลวงพ่อได้จดให้ หมอกร้าย อ้นฉ่ำ คนปากน้ำ บ้านเดิมอยู่ทางแม่น้ำน้อย อำเภอสรรค์บุรี อายุตก ๙๔ ปี เป็นศิษย์ของหลวงพ่อ อายุแก่กว่าหลวงพ่อตก ๑๐ ปี ให้คาถาไว้ ค.ศ.๑๙๗๐ คือหลวงพ่อฉีกปฏิทินจดให้มา คาถาขึ้นต้นด้วย เวสสุวรรณนัสสะตุ ซึ่งไม่ตรงกับของหลวงพ่อเดิม บางคนอาจจะสงสัยว่า ถ้าหลวงพ่อเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม คาถา ก็น่าจะใช้บทเดียวกัน อันนี้เป็นความเห็นที่น่าจะเป็นไปได้ จนกระทั่งผมได้มีโอกาสได้อ่านตำราคาถาของหลวงพ่อ ผมจึงได้ทราบว่าคาถาของหลวงพ่อนั้นมีหลายบท ขับผีใช้บทหนึ่ง ขับปอบใช้บทหนึ่ง ขับคุณขับของใช้บทหนึ่ง อันนี้สำหรับหมอไสยศาสตร์ เขาเรียนกันอย่างจริงจัง ส่วนคาถาที่ตรงกับของหลวงพ่อเดิมวัดหนองโพธิ์ ก็มี ชื่อคาถากระบองเพชรและอาวุธ ๔ ประการ คาถาว่าดังนี้

“สัมเพเทวาปีสาเจวะ อาละวะกาทะโย ปิจะคักตัง ตาละปัดตัง ทิดสวา สับเพยักขา ปะรา ยันติ สักกัดสะวะชิราชิราวุทัง เวสสุวัน นัดสะคะทาวุทัง อาระวะ กัดสะทุสาวุทัง ยะมาราจะนัยยะนาวุ ทังอิเมทิดสวา สับเพยักขา ปะรายันติ พุดทังสิดทิ ธัมมังสิดทิ สังฆังสิดทิ คัด ชะอะมุมหิ โอกาเสติ ถาหิ”

คาถานี้เขียนตามหลวงพ่อทุกอย่างอาจจะผิดตรงอักขระ และพยัญชนะ แต่ความหมายไม่ผิด การเรียนคาถาสมัยก่อน เข้าใจว่าเรียนโดยครูบาอาจารย์บอกให้แล้วศิษย์จด การจดเป็นไปเพียง เพื่อให้อ่านออกตามที่อาจารย์บอกเท่านั้น ฉะนั้นถ้าจะเรียนคาถาตำราหลวงพ่อก็ให้เรียนตามนี้ ถ้าเห็นว่าไม่ดี สงสัยก็ไม่ต้องเรียน การเรียนคาถานั้นต้องไม่สงสัย ไม่รู้มากไม่เรื่องมากไม่แปล ถ้าชอบหรือเห็นว่าดีก็เรียนไว้เถิด เขาว่ามีดหมอเป็นของสูง ปลัดเป็นของต่ำ ปืนเป็นของร้อน สีผึ้งเป็นของเย็น การเก็บมีดหมอจึงต้องเก็บไว้ในพานที่สูง การจับต้อง ๆ ระวัง โดยเฉพาะงานั้นจะแพ้เลือด ยิ่งมีดหมอถ้าหญิงมีประจำเดือนจับต้องจะแตกและเสื่อม เขาว่ามีดหมอของหลวงพ่อนั้น เขาว่ากันภูติกันพรายได้ ขับภูติขับพรายขับคุณผีคุณคนได้ กันอาวุธได้และที่สำคัญ คือ ฆ่าตัวจี๊ดได้ คือฆ่าพยาธิตัวจี๊ดได้ ถ้าจะให้แคล้วคลาดเวลาเดินทางหรือเวลาคนยิงสัตว์จะให้แคล้วคลาด ให้ชักมีดออกจากฝักเล็กน้อย จะแคล้วคลาดมีข้อห้ามคือ ห้ามเอาไปแทงคน

ต่อไปจะขอบันทึกอภินิหารของมีดหมอของหลวงพ่อเอาไว้สัก ๑ เรื่อง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้มีดหมอไม่ถูกวิธี คือ บางคนพกมีดหมอปากกาเวลาต้องการของมีคมก็เอามีดหมอไปแงะ เอาไปตัด คือ ใช้มีดหมอเหมือนมีดพกเล่มเล็กเลย จริง ๆ แล้วผิด มีดหมอเป็นเครื่องราง เป็นของสูงไม่ควรนำไปใช้แบบนั้น มีศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งชื่อ ชิต อยู่อำเภอบางระจัน จ.สิงห์บุรี มีมีดหมอปากกาพกติดกระเป๋าเสื้อประจำ วันหนึ่งเสี้ยนตำเล็บเท้า ตำเล็บนิ้วโป้งพอดี แกปวดมาก ความรีบร้อนแกเลยเอามีดหมอของหลวงพ่อ เอามาแงะเสี้ยนไม้ ความรีบร้อน ความปวดและเป็นเวลากลางวันด้วยเลือดเลยออกมาเยอะมาก กว่าเสี้ยนจะออกก็ทำให้นิ้วโป้งแกปวดและบวม  อักเสบ ระบมไปหมด มีดก็เปรอะ ๆ เปื้อน ๆ ไม่ได้บอกเล่าต่อหลวงพ่อก่อนอยู่ต่อมานิ้วยิ่งอักเสบมากยิ่งขึ้น ได้ไปหาหมอรักษามีการเจาะเลือดเอาหนองเอาเลือดเสียออก แต่ก็ไม่หายมีอาการอักเสบและปวดมาถึงโคนขา รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ภายหลังต้องตัดเอานิ้วออกไป ๑ นิ้ว ตัดตรงข้อ คนทั่วไปลงความเห็นว่า เอามีดหมอของหลวงพ่อไปแงะเล็บเท้าทำให้เป็นบาดทะยัก แต่บางคนพูดว่า นายชิตไม่รู้ที่สูงที่ต่ำเอามีดหมอไปแงะเล็บเท้าได้อย่างไร เพราะมีดหมอเป็นของสูง เลยทำให้แผลอักเสบไม่ยอมหาย เลยต้องตัดนิ้วเท้าทิ้ง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ผมลงให้ไว้ได้แต่ชื่อ ผมไม่กล้าลงนามสกุล เขาว่าขนาดแกนิ้วด้วน ๑ นิ้วนี่ เขาว่าเตะคนนับยาวมาแล้ว

มีเกร็ดคำพูดของหลวงพ่อที่ได้พูดเอาไว้ คือ  หลวงพ่อพูดว่า“ถ้าสู้กับผีให้ชักออกมาจากฝัก ถ้าสู้กับปืนไม่ให้ชักออกมา”ก็ขอสมมุติยุติเรื่องมีดหมอ ชนิดปากกา แต่เพียงนี้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 14, 2013, 08:55:07 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๒๖

วันที่ ๕ พ.ย. – ๑๕ พ.ย.๒๕๓๕

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


พระคาถากำบัง

ต่อไปผมจะบอกกล่าวถึงคาถากำบัง หรือคาถาพรางตัวนั่นเอง คาถานี้หลวงพ่อได้ให้ศิษย์เอาไว้แน่นอน คือมีหลักฐานแน่นอนแม้ในตำราแก้วสารพัดนึกของหลวงพ่อ ก็มีคาถานี้ลงไว้ คนที่ได้คาถานี้ไว้ มีนายแดง สว่างศรี เสือผ่าน คาถานี้ใช้ภาวนาเป็นกำบังได้ พรางตัวได้ ถ้าจะให้หายตัวให้เสกใบไม้ทัดหู จะหายตัวได้ ๑ อึดใจ ถ้าภาวนาอยู่คนเห็นจะจำไม่ได้ ถ้าภาวนาอยู่คนเห็นจะจำไม่ได้ ถ้าภาวนาอยู่ถูกลอบยิงจะยิงไม่ถูก จะถูกแต่เงา คนที่ได้คาถานี้ไปสามารถหายตัวได้ ๑ อึดใจ คือ หมอแจ๋ คนหนึ่ง อีกคนหนึ่ง คือเสือผ่าน ทราบว่าปัจจุบันไปอยู่จังหวัดนครราชสีมา เสือผ่านนี้เป็นพี่ชายหมอกร้าย อ้นฉำ ปัจจุบันคงอายุ ๙๐ ปี เขาทำได้จริง      

คาถาว่าดังนี้

“พุทโธ ภะคะวา อิรัตนัง สิโสกัง บังภะคะวา อะระหังติดตาม อะระหังติดตาม สัมมาบังไว้ พุทโธ เป็นกกปรกเกล้า แห่งข้าพเจ้าอันได้น้อมนมัสการ อิติปิโสภะคะวา ติดตั้งบังตน กูโสหับ”

คาถานี้หลวงพ่อเขียนไว้ให้ศิษย์บางคน ตอนรื้อกุฏิ พระชู สว่างศรี ได้เจอต้นฉบับลายมือหลวงพ่อ ตอนหลังนายประยุทธ คนหนองแขมเป็นหลานของหลวงพ่อเป็นหลานอาจารย์สำรวยอีกทีหนึ่ง ได้เก็บรักษาต้นฉบับไว้

คาถานี้หลวงพ่อเคยภาวนาจะให้เห็นตัวก็ได้ จะไม่ให้เห็นตัวก็ได้ จะให้แก่ก็ได้ ทำให้หนุ่มก็ได้ คนเห็นจะจำท่านไม่ได้ ใช้ภาวนาก่อนนอนศัตรูมองไม่เห็น เสกกิ่งไม้ใช้แขวนซุ้มประตูบ้าน ขโมยเข้าบ้านไม่ได้ คือใช้พรางตาได้ เสกกิ่งไม้แขวนซุ้มประตูบ้าน เวลามีคนตายวิญญาณผู้ตายจะหาบ้านไม่เจอ เข้าบ้านไม่ได้ คือป้องกันวิญญาณรบกวนได้

อภินิหารในพระคาถา

ปกติหลวงพ่อไม่ค่อยได้ให้คาถา แต่จะให้เฉพาะศิษย์เรียนวิชาเท่านั้น โดยท่านพูดว่า“ไม่ต้องใช้”ให้นึกถึงท่านก็ใช้ได้ แม้แต่คาถาอาราธนาก็เช่นกัน ให้นึกถึงท่านก็ใช้ได้ แต่ถ้าขอเรียนจริง ๆ ท่านจะให้คาถาโองการมหาทมื่นเป็นการลองใจ โดยท่านจดให้ในส่วนที่เป็นพระคาถา เช่น นะโมพุทธายะฯ ท่านจะเขียนเป็นภาษาขอม ให้ศิษย์ไปถอดเป็นภาษาไทยเอาเอง เมื่อท่องได้แล้วจึงจะเอาบทใหม่ได้ คาถานี้ท่านใช้ปลุกเสกวัตถุมงคล ท่านพูดว่า“วัตถุมงคล เช่น ตะกรุด แหวนแขน พระ ฯลฯ ถ้าจะให้ดีต้องปลุกเสกเป็นหมื่น ๆ จบ”เล่ากันว่า คาถานี้ หลวงปู่เอี่ยมวัดสะพานสูง ท่านก็ใช้ปลุกเสกวัตถุมงคล หลวงพ่อกล่อมวัดมะขามเตี้ย สุราษฎร์ท่านก็ใช้คาถานี้เช่นกัน มีบางคนถามมาว่า คาถานี้ใช้ปลุกเสกวัตถุมงคลอย่างเดียวหรือ ความจริงคาถานี้ใช้ภาวนาเวลาจะผจญศัตรู หรือเจริญมนต์ก่อนนอนก็ดี เวลาจะผจญศัตรูให้ภาวนาพอถึงตอน“กูจะรำลึกถึงครูกูใครก็สู้กูไม่ได้” พอถึงกูจะรำลึกถึงครูกูให้ระลึกถึงหลวงพ่อเดิม หลวงพ่อศรี หลวงพ่อกวย ขนหัวจะลุก ใจจะโตทีเดียว จะเห็นช้างตัวเท่าหมู คาถานี้เป็นคาถาคงกระพันชาตรี คำว่า ชาตรี คือคงทนต่อของแข็งกระดูกจะไม่หักไม่แตก เกจิเมืองสรรคบุรี โดยมากจะรู้คาถาบทนี้แทบทุกองค์ แม้แต่หลวงตาเจ้ย วัดห้วย สมัยมีชีวิตอยู่ไม่ค่อยมีคนนับถือ ท่านใช้คาถานี้เป็นประจำ พระโชนวัดหัวเด่น ยืนยันกับผมเอง เมื่อท่านมรณภาพมีคนเอากระดูกของท่านไปทดลองยิง ปรากฎว่ากระดูกท่านยิงไม่ออก


คาถาโองการมหาทมื่นของหลวงพ่อกวย
โอมนะโมพุทธายะ กูจะกล่าวกำเนิดเกิดพระมหาทะมื่น กูจะโยนตัวกูขึ้นไปเป็นกง ไม้ไร่ก็หักแหลกเป็นผุยผงทั่วทั้งเมืองสกลชมภู กูจะรำลึกถึงครูกู ใครจะสู้กูก็มิได้ ครูกูจึงให้กูเล่าพระคาถา พุทธังสรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ ภควาไชยะมังคะลัง อรหังสุตโต นะโมพุทธายะ วันทะนัง ปาสุอุชา อิสะปะมิ พุทธสังมิ อิสวาสุ นะมะ อะอุ อิกะวิติ วิสุทธิเสฏโฐ อะสังวิสุโล ปุสะพุภะ อรหังสุตโตภควา สังวิธาปุกะยะปะ อาปามะจุปะ ทีมะสังอังขุ ทุสะมะนิ สะธะวิปิปะสะ อุทุสะนะโส จิเจรุนิ ตันนิพุทติง นะมะ นะอะ นอกอ นะกะ กอออนออะ นะอะกะอัง ตัดถุมะถะ อุมะอะยัง จิปิเสติ กิเสปิจิ กันหะเนหะ นิระมะหะสะตัง จะภะกะสะ นะมะพะทะ กะระมะถะ จะอะภะคะ นะมะกะยะ สุสิโมพุทโธภควา สุสิโมธัมโมภควา สุสิโมสังโฆภควา โลกะ นาโถ มะหิทธิโก นาสังสิโม ยะถาพะลัง จังงังเหยหาย เดชะครูบาธิบาย จึงให้เป็นกำแพงเพ็ชรทั้ง 7 ชั้น ต้นตนกู คือพระวิภังค์ พระสังฆนี พระปรมัตถ อัตถาจาริย์เจ้า จึงให้คงแก่ หอกดาบ แหลนหลาว ธนู ธน้า ทั้งหน้าไม้ ปืนไฟ อย่าได้ต้องตัวกู เพชรคง คงแก่หอกเหล็ก หอกหล่อ หอกข้อเงิน หอกข้อทอง หอกสัมฤทธิ์ กริชทองแดง คงแก่แสงฟ้าผ่าวัง คงทั้งข้างซ้าย คงทั้งข้างขวา คงทั้งข้างหน้า คงทั้งข้างหลัง คงทั้งนั่ง คงทั้งยืน คงทั้งหลับ คงทั้งตื่น คงทั้งกลางคืน คงทั้งกลางวัน ตรีเพ็ชร คงคงสวาหะ อมเอิกเกริกไตรภพ ตลบบาดาลเหาะทยานบนอากาศ หมู่อสูรขยาดมืดมัวกลัวกูอยู่ระย่อ ฤาษีเร้นซุกซ่อนนอนหลับอยู่กลางป่า ทั้งขโมดมายาทะยานเหาะมาช่วยกู หนุมานหลานพระวัยบุตร สัปประยุทธด้วยอินทรชิต ประสิทธิสรรพางค์ล้างมาร มัดตนได้เอาไปถวายแก่ราพย์เจ้ากรุงลงกา หมู่อสูรยักษาจะฆ่ากูก็บ่อมิตาย ด้วยเดชะพระนารายณ์ จุติลงมาบังเกิด นะโมพุทธายะ ตรีเพ็ชรคงคง อิติปิโสภควาเกษาผม อยู่ทั่วไปในกายตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง อิติปิโสภควา โลมาขนอยู่ทั่วในกายตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง อิติปิโสภควาตะโจหนังหุ้มห่อตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง อิติปิโสภะคะวา มังสังเนื้ออยู่ทั่วในกายตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง อิติปิโสภควา นหารูเอ็นอยู่ทั่วในกายตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง อิติปิโสภควา อัตถิกระดูกอยู่ทั่วในกายตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง คงด้วยนะโมพุทธายะ  พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา บิดารักษา มารดารักษา พระอินทร์รักษา พระพรหมรักษา ครูบาอาจารย์รักษา อิมังกายาพันธนังอธิฏฐามิ ฯ
คาถาโองการมหาทมื่น : คาถาโองการมหาทมื่น เป็นพระคาถาโบราณ ภาวนาด้วยจิตที่เป็นสมาธิ จะเป็นคงกระพันชาตรียิ่งนัก จะใช้ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง เสกข้าวกิน เสกได้สารพัดแล

เมื่อท่องคาถาโองการมหาทมื่นได้แล้ว จะเรียนอีกท่านจะให้คาถา “มงกุฎพระพุทธเจ้า” โดยท่านเรียกว่าคาถาโองการพระพุทธเจ้า ท่านว่าคาถานี้จะทำการใดก็สำเร็จ เรียนบทนี้บทเดียวใช้ได้สารพัด เล่ากันว่า หลวงปู่เอี่ยมวัดหนังเคยประทานให้พระบาทสมเด็จพระปิยะมหาราช ตอนเสด็จประพาสยุโรป (เข้าใจว่าประเทศฝรั่งเศส) ให้เสกหญ้าให้ม้ากิน ม้าจะเชื่องได้ ภายหลังเมื่อมีการหล่อรูป ยังได้หล่อรูปตอนพระองค์ทรงม้า เล่ากันว่า หลวงพ่อทองเขากบ หลวงปู่ไข่บพิตรพิมุข หลวงปู่ดีวัดเหนือ ก็ใช้คาถาบทนี้เช่นกัน จะขอเล่าอภินิหาร ซัก ๑ เรื่อง ส.ท.ผดุง  ศรีไกร  เป็น ตชด. ได้ลาดตระเวน และถูกข้าศึกซุ่มยิงโจมตี ตชด.ที่ไปด้วย ๑ หมู่ ตายทั้งหมด แกเองก็โดนยิงแต่ไม่เข้า เวลานั้นเป็นเวลากลางคืน ข้าศึกได้มาเคลียร์พื้นที่ มีไฟฉายส่อง ข้าศึกมาเต็มไปหมด แกจะหนีก็หนีไม่ทัน เพราะกำลังเจ็บจุก แกคลานเข้าไปนอนในกอหญ้าแล้วระลึกถึงหลวงพ่อกวย บนบวช ๗ วัน และยึดกอหญ้าภาวนาคาถานี้ ปรากฎว่าข้าศึกได้เดินวนรอบตัวแกเต็มไปหมด แต่ไม่เห็นแก ทั้ง ๆ ที่กอหญ้าเล็กนิดเดียว ขาแกโผล่ออกมาด้วยซ้ำ ภายหลังแกได้มาบวชแก้บนที่วัดหลวงพ่อ ผมเลยได้มีโอกาสพูดคุยกับแก

พระคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า
"อิติปิโสวิเสเสอิ อิเสเสพุทธะนาเมอิ อิเมนาพุทธะตังโสอิ อิโสตังพุทธะปิติอิ"

เมื่อศิษย์ได้คาถาสองบทนี้แล้ว ก็จะเรียนอีกท่านจะสอนวิปัสสนา แต่ถ้าศิษย์คนนั้น ต้องมีความจำเป็นจะต้องเข้าป่าลึก มีผี ปีศาจมาก ท่านจึงจะให้คาถา อาวุธ ๕ อย่าง คือ สักกัสสะฯ

อภินิหารในวัตถุมงคล
ต่อไปนี้จะกล่าวถึงอภินิหาร ในวัตถุมงคลของหลวงพ่อ ผมจะแบ่งออกเป็น ๒ ยุค คือ ยุคแรกได้แก่ เหรียญรุ่น ๑ รูปหล่อรุ่น ๑ ปลัด พระพิมพ์สรรค์ สมเด็จหลังรูปเหมือน แหวนแขน มีดหมอ ยุคหลังคืออภินิหารวัตถุมงคลรุ่นสุดท้ายที่กำลังมีอยู่ และกำลังจะหมดไปได้แก่ เหรียญ กุมารทอง รักยม ผ้ายันต์ค่ายกล นกคุ้ม ฯลฯ วัตถุมงคลชุดสุดท้ายนี้ กุมารทอง รักยม และผ้ายันต์ค่ายกล ได้หมดไปจากวัดแล้ว

๑.เหรียญรุ่นแรก
เป็นเหรียญกลมขนาดใหญ่ จัดสร้างโดยบุตรบุญธรรมของท่านคือ พ.ต.ท.ละออง  สุขนิล  สวป.สภ.อ.สรรคบุรี สร้าง พ.ศ.๒๕๐๖ สร้างทั้งหมด ๕,๐๐๐ เหรียญ ครั้งก่อนผมบอกไว้ ๑,๐๐๐ – ๒,๐๐๐ เหรียญ เป็นการกะโดยประมาณแท้จริงแล้วสร้าง ๕,๐๐๐ เหรียญ เป็นเหรียญที่ได้รับความสูงมากในท้องถิ่น ขนาดประวัติท่านไม่เคยลงในหนังสือพระเครื่องมาก่อน เหรียญท่านสวย ๆ มีคนเช่าหากันถึง ๔ – ๕๐๐๐ง-บาท

จะขอเล่าอภินิหารเพิ่มเติมไว้ ดังนี้

๑.๑ ต้านขวดโซดา

เรื่องนี้เกิดขึ้นกับ นายเจื่อง ทับบุรี เป็นทหารอยู่ รพ.พระมงกุฎเกล้า ส.อ.เจื่อง บ้านเดิมอยู่บ้านเดียวกับผม มีเหรียญหลวงพ่อกวยรุ่นแรก ๑ เหรียญ คล้องคอเป็นประจำ วันหนึ่งไปเที่ยวบาร์เกิดเมาและวิวาทกับเจ้าถิ่น ปรากฎว่าโดนตีด้วยขวดโซดาและแทงด้วย โดนแทงด้วยขวดโซดาแต่ไม่เข้าเลย ไม่ได้โดนครั้งเดียว แกเคยโดนแทงหลายครั้ง และเคยไปรบเวียดนามมาแล้วคนอื่นตาย แต่แกรอดมาได้ ครั้งที่แกไปรบ แกก็ไปหาหลวงพ่อกวยมาเช่นกัน


๑.๒ ต้านลูกปืน

ผมเองไม่ค่อยนับถือใครง่าย ๆ สมัยก่อนชอบลองของเป็นที่สุด ผมเคยนำเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อเอาไปทดลองยิงด้วยปืน ครั้งแรกกลัวปืนแตกได้ใช้จอบ มาบังหน้าเอาไว้ (มานะเหลือเกิน) แต่พอยิงเข้าจริง ๆ ปรากฎว่ายิงออกแต่ไม่ถูก เลยไม่ต้องใช้จอบบัง คราวนี้ยิงใกล้ ๆ เลย ประมาณคืบเดียว เหรียญหลวงพ่อโตกว่าเหรียญห้าบาทซะอีก แต่ยิงไม่โดนเลยซักนัดเดียว (ยิงหกนัด) ปรากฎว่าปากกระบอกปืนบวมเลย ปืนกระบอกนี้ยังอยู่ที่ผม ถ้าใครมาหาผมจะขอดูก็ได้(แต่ต้องดูช่วงภรรยาผมกับบิดาผมไม่อยู่นะ) และภายหลังปืนกระบอกนี้ยิงอะไรก็ไม่ถูก เสียปืนไปเลย





๒. รูปหล่อรุ่นแรก

หลวงพ่อได้สร้างรูปหล่อเล็กเอาไว้ ๒ รุ่น รุ่นแรกไม่มีกริ่ง รุ่นสองมีกริ่ง รูปหล่อบูชา ๕ นิ้ว ก็เช่นกัน รุ่นแรกบอก พ.ศ.๒๕๑๘ รุ่นที่สองไม่มี พ.ศ. บอก หลวงพ่อปลุกเสกทั้งสองรุ่น ส่วนรูปหล่อใหญ่เท่าองค์จริง หลวงพ่อสร้างเองสร้างก่อนมรณภาพ

จะขอกล่าวถึงอภินิหาร รูปหล่อรุ่นแรกเพิ่มเติมดังนี้

๒.๑ นายคิ้ม บุตรชายร้านแสงเจริญ ตลาดท่าช้าง แกยิงปืนสั้นได้แม่นยำมาก แกทราบว่าผมก็ยิงปืนแม่นเช่นกัน แต่แกไม่เชื่อแกถามผมว่า ทราบว่า ผมยิงกระรอก นก โดยใช้ปืนสั้นยิง จริงเท็จแค่ไหน ผมก็บอกว่าจริง แต่ผมไม่ค่อยได้ยิงเท่าไร แกขอท้าผมลองยิง คนก็มาก ผมเลยตัดสินใจรับคำท้า พอรับคำท้าแล้วก็ไม่สบายใจ เสือสองตัวกัดกันต้องมีแพ้ตัวหนึ่งเป็นธรรมดา ผมเลยไปหาแกที่ ๆ แกซ้อมยิงที่เขาใหญ่ ตอนนั้นเขาเปิดอบรม ทส.ปช. ความจริงผมกลัวแพ้แกมากกว่า ผมไปถึงผมบอกให้แกขยับออกไปอีก ห้าเมตร โดยผมเป็นคนจัดการเองพร้อมแผนการทั้งหมด ผมปลดรูปหล่อเล็กรุ่นแรก เอาแขวนติดไม้ แล้วเอาไม้แหย่เข้าไปด้านหลังของเป้า ตรงวงดำ ผมบอกแกให้แกยิงดู ปรากฎว่าแกยิง ๖ นัด ไม่เข้าเป้าวงดำเลย แกงงมาก ผมเลยเกทับแกไปว่า ถ้ายิงแบบนี้ละก็ อย่ามาลองกับผมเลย แล้วผมก็แอบไปปลดรูปหล่อคืน

รูปหล่อรุ่นแรกนี้ ผมเคยนำไปทดลองอีกครั้งหนึ่ง ปรากฎว่ายิงออกเช่นกัน แต่ไม่ถูกพระและไม่ถูกเสา แต่รูปหล่อได้หายไปเฉย ๆ ซึ่งแปลกมาก


๒.๒ กำบัง

เรื่องนี้เกิดขึ้นกับนายเต๋า บ้านอยู่ท่าทอง นายเต๋า ได้ไปขุดพลอยที่จันทบุรี เกิดไปชอบสาวขุดพลอยด้วยกันความรักถึงขั้นสุกงอม แต่พี่ชายของสาวเจ้าไม่เห็นด้วย พยายามขัดขวางทุกวิถีทาง ครั้งสุดท้ายได้ส่งคนมาฆ่าจะฆ่าให้ตาย นายเต๋าไหวทันได้หลบรอดออกมาได้ รุ่งเช้าจึงได้เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า อำลาสาวคนรักและบ่อพลอย นายเต๋าเล่าว่าทางเข้าและทางออกบ่อพลอยมีทางเดียว แกสังหรณ์ในใจว่าแกอาจจะถูกเก็บ คือถูกฆ่าให้ตาย ขณะขึ้นรถออกมาก็ได้แกนึกถึงรูปหล่อรุ่นแรกในคอของหลวงพ่อกวย ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัย ขณะนั่งมาในรถมีมือปืนขึ้นมา ๒ คน ระหว่างทางแกคิดว่าวันนี้แกต้องตายแน่ ๆ มือปืน ๒ คนนั้น มองทุกคน แต่พอมาถึงแกก็มองผ่านไปเหมือนจำไม่ได้ มือปืน ๒ คน ได้มองทุกคน มองถึง ๓ เที่ยว แต่จำแกไม่ได้ มือปืน ๒ คนนั้นเลยลงรถ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก ปัจจุบันที่คอนายเต๋าคล้องรูปหล่อรุ่นนี้เลี่ยมนาค เป็นประจำ



ศิษย์หลวงพ่อ

ต่อไปจะกล่าวถึงศิษย์ของหลวงพ่อ เท่าที่ผมรู้จักเพื่อให้ท่านได้ทราบ และเป็นการเปรียบเทียบวิชา ว่าศิษย์ของท่านยังเก่งขนาดนี้ตัวท่านเองจะขนาดไหน และเป็นที่น่าเสียใจอย่างมากที่หลวงพ่อไร้ศิษย์สืบทอด ศิษย์ที่มีอยู่ล้วนแต่ได้วิชาจากหลวงพ่อคนละเล็กคนละน้อยเท่านั้น จะขอเริ่มแต่ศิษย์คนเล็กไปก่อน

๑. อาจารย์สำรวย  อคฺคปัญโญ เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ชาวบ้านเรียกท่านว่า อ.โม่ มีศักดิ์เป็นหลานหลวงพ่อโดยตรง อุปนิสัยดีมากใจคอกว้างขวาง หลวงพ่อรักมาก และได้ฝากฝังชาวบ้านให้ท่านเป็นเจ้าอาวาสต่อจากหลวงพ่อ บวชเณรตั้งแต่จบ ป.๖ ฝึกวิปัสสนากรรมฐานต่อหน้าศพหลวงพ่อ เกือบสิบปีมาแล้ว ตำรับตำราต่าง ๆ ของหลวงพ่อกวย อ.โม่ เก็บรักษาไว้ทั้งหมด อีกซักยี่สิบปี อ.โม่องค์นี้จะเป็นตัวแทนของหลวงพ่อกวย แม้ปัจจุบันท่านก็ถือของได้ขลังมาก

๒. อาจารย์แสวง วัดหนองอีดุก อ.สรรคบุรี ปัจจุบันอายุ ๖๐ ปีพอดี ลักษณะดีมาก ใหญ่โตเป็นหลานหลวงพ่อกวยอีกเช่นกัน ปัจจุบันท่านสร้างแหวนแขน และตะกรุดตามตำราของหลวงพ่อกวย ถักเองจารเอง ทำเองเช่นกัน

๓. หลวงตาจี๊ด เป็นชาวบ้านแคโดยกำเนิด ถือของได้ขลังมากทีเดียวบวชเมื่อแก่ หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรี บวชให้ จำวัดไม่แน่นอน นึกจะไปไหนก็ไป โดยมากไปกลางคืนเดินไปมืด ๆ ไม่ใส่รองเท้าย่ามใบนึง มีวิชาแก่กล้ามากขนาดนั้น “เสกก้อนหิน (หินลูกรัง) โยนลงน้ำ ลอยน้ำได้” พูดน้อย โดยมากไม่ค่อยพูด หิวเวลาไหนกินเวลานั้น ไม่ว่าจะค่ำมืด ดึกดื่น หิวเป็นกิน ใครถวายส้มกินส้ม ถวายโอเลี้ยงกินโอเลี้ยง เดินปลอกส้ม เดินถือโอเลี้ยงกินหน้าตาเฉย ให้หวยแม่น โดยมากถามไม่พูด ถ้าจะให้บางทีด่าซะก่อน เช่น อีตอแหล ๗๒ ให้ตรง ๆ เลย ถ้ามีคนไปถาม ครั้งหนึ่งหวยใกล้ออก คนที่นับถือท่านได้ชวนท่านให้อยู่ด้วย โดยเอาท่านขังไว้ในเรือ ตัดกุญแจ พอเผลอท่านเป่ากุญแจหลุด ออกมานั่งหน้าตาเฉยเลย หลวงตาจี๊ดองค์นี้เป็นศิษย์หลวงพ่อองค์หนึ่งที่สามารถยืนยันได้ทีเดียว แม้จะเป็นเพียงวิชาบางอย่างเท่านั้น

๔. อาจารย์เตี้ย วัดสามเอก อ.เดิมบาง อุปนิสัยคล้าย ๆ หลวงตาจี๊ดเช่นกัน นึกจะไปไหนไป มืดค่ำดึกดื่นก็ไป ง่วงนอนก็เอาผ้าจีวร คลุมหัว คลุมเท้านอนข้างทาง ลงผ้ายันต์ตำรับหลวงพ่อเฒ่าวัดค้างคาวได้ขลังขนาดทดลองยิงลูกปืนไหลออกจากปากกระบอกปืน เล่ากันว่า ท่านเสกใบมะขามเป็นตัวต่อตัวแตนได้ จะจริงเท็จแค่ไหนผมไม่ยืนยัน เพราะไม่เคยเห็น เวลาจะไปไหนจะติดกุญแจห้อง แล้วเอาลูกกุญแจโยนเข้าไปในห้อง ขากลับต้องสะเดาะกุญแจให้หลุด ถึงจะเข้าห้องได้ ถ้าไม่หลุดไม่ยอมเข้า อุปนิสัยไม่เรียบร้อย พูดไม่หอมหู คนเห็นไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา ไม่ยอมเป็นเจ้าอาวาส แต่เฝ้าวัดให้เฉย ๆ


๕. อาจารย์ตี๋ สำนักสงฆ์เขาเขียวพนาราม ต.เขาพระ อ.เดิมบาง อุปนิสัยใจคอคล้ายอาจารย์เตี้ย ท่านเป็นลูกครึ่งไทย-จีน เตี่ยเลยเรียกท่านว่า ตี๋ ไม่เรียบร้อยเช่นกัน อุปนิสัยสันโดษ ใจร้อน นึกจะไปไหนก็ไปพูดจาโผงผาง วัดท่านยากจนมาก คล้ายบ้านที่ไม่ได้บูรณะมาซัก ๕๐ ปี มองดูไม่เหมือนวัด น่าสงสารมาก สมาธิแก่กล้ามาก สามารถนั่งบนน้ำได้ มีคนยืนยันหลายสิบคน ลมฝนจะตก ชาวบ้านจะนวดข้าว มาบอกท่าน ท่านสูบบุหรี่เป่า ๔ – ๔ ที ฝนไปตกที่อื่นหมดเลย คำนวณแม่นยำมาก ขนาดมวยจะต่อยกันผมเคยถามท่าน ท่านสามารถนับนิ้วแล้วบอกได้เลยว่าใครแพ้ใครชนะ น็อคหรือไม่น็อค ผมเคยไปหาท่านพอลาท่านลงกุฏิฝนเกิดตกจะกลับขึ้นไปใหม่ ท่านไล่ผมให้ไปท่านบอกลาแล้วต้องไป พอผมขี่รถมาหันหลังไปดู เห็นท่านยกมือห้ามฝนหลับตาด้วย ปรากฎว่าฝนตกสองข้างทาง แต่ไม่ตกบนถนนเลย แปลกมาก ผมเคยนำเหรียญท่านมาลองยิง ปรากฎว่าพอจะยิงเหรียญแกว่งได้เอง ผมเอามือจับเหรียญให้หยุด แล้วยิงติด ๆ ห่าง ๒ นิ้วได้ ยิง ๓ นัดไม่ถูกเลย ปัจจุบันท่านทำปลัดขลังมากอีกซัก ๑๐ ปี อ.ตี๋ องค์นี้จะเป็นพระที่เก่งที่สุดในสุพรรณบุรี ฉายาท่านคือทายาท “จี้กง”

ครั้งหนึ่ง ผมเคยพาอาจารย์ตี๋ ไปกราบรูปหล่อ ศพหลวงพ่อกวย โดยขี่มอเตอร์ไซค์ไป ทางได้ผ่านวัดอาจารย์เตี้ย อาจารย์ตี๋อยากจะพบอาจารย์เตี้ยสักครั้งหนึ่ง เพราะไม่เคยเจอกันเลย เคยแต่ได้ยินกิตติศัพท์ซึ่งกันและกัน เมื่อท่านพบกันแล้ว ผมเป็นเด็กผมก็เลยเลี่ยงออกมาข้างนอก ท่านพูดคุยกันพอจะจำได้ดังนี้ เล่าให้ฟังพอสนุก ๆ นะครับ

อาจารย์ตี๋ เขาว่าท่านสะเดาะกุญแจได้หรือ

อาจารย์เตี้ย ฆ้อนน่ะซิสะเดาะด้วยฆ้อน

อาจารย์ตี๋ เขาว่าท่านลงผ้าแดงลองปืนลูกปืนไหลออกปากกระบอกเลยหรือ

อาจารย์เตี้ย ลูกปืนมันเปียกน้ำ แก๊ปมันไม่ดีน่ะซิ

อาจารย์เตี้ย เขาว่าท่านตี๋ นั่งบนน้ำได้หรือ

อาจารย์ตี๋ นั่งเข้าไปได้ยังไงบนน้ำ นั่งบนน้ำได้ก็ไม่ใช่คนน่ะซิ

อาจารย์เตี้ย ไม่ใช่คนแล้วจะเป็นอะไรล่ะ

อาจารย์ตี๋ ไม่ใช่คนก็เป็นพระน่ะซิ

แล้วทั้งอาจารย์เตี้ยและอาจารย์ตี๋ ก็หัวร่อพร้อมกันลั่นกุฏิไปหมด

นอกจากศิษย์ที่เป็นพระแล้ว เขาว่ามีศิษย์ท่านอีกคนหนึ่ง บ้านอยู่ทางแม่น้ำน้อย สามารถใช้พลังจิตบีบถ้วยแบบถ้วยน้ำพริก แบบขามตราไก่ทำด้วยปูนขาวนะครับ ไม่ใช่ทำด้วยอลูมิเนียม ถ้าทำด้วยอลูมิเนียมผมก็บีบได้ อีกคนหนึ่งคือ อาจารย์เหวียน มณีนัย เป็นฆราวาสบวช ๆ สึก ๆ ร้อนวิชา ได้คาถาจากหลวงพ่อกวยมา ๒ ตัว สามารถผ่าไม้รวกได้ด้วยมือ คาถานี้หลวงพ่อก็เคยให้ผม ผมจะลองผ่าทีไรเสียดายเส้นเอ็นทุกทีกลัวหมอจะเย็บให้ไม่ดี ครั้งก่อนได้คาถามาจากนายแดง สว่างศรี หลวงพ่อกวยให้มาเช่นกัน คาถา ๒ ตัวเท่านั้น เอาไว้เป่าแมงป่องเล่น กะจะเอาไว้จับเอามาอวดสาว ๆ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 14, 2013, 08:55:57 am
แดง  ตาไฟ

จะขอเล่าถึงศิษย์ของหลวงพ่อรุ่นปลายแถวให้ฟัง เพื่อยืนยันว่า คาถา อาคม วิชาชาตรีนี้ ถ้าถือได้ขลัง หรือถือจนมั่นใจ แม้คนธรรมดาก็สามารถทำในสิ่งที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติได้

นายแดง นามสกุลสว่างศรี ส่วนคำว่าตาไฟ ผมเขียนไปอย่างนั้นเพื่อให้ดูขึงขัง เป็นน้องชายเสือชู สว่างศรี นายแดงเคยบีบนวดให้หลวงพ่อสมัยเด็ก ๆ และเคยได้คาถามาหลายบทแต่ไม่ยอมบอก ที่แน่นอนคือคาถาหัวใจแมงป่อง “ปอ ยอ” เวลาจะจับแมงป่องต้องกำหนดจิตให้หลวงพ่อมาอยู่ในตัว แล้วเป่าออกไป หางมันจะตก แล้วไม่ต่อย นอกจากนั้น คาถาโองการต่าง ๆ คาถาหัวใจต่าง ๆ เขาได้หมด ท่องได้หมด ทั้งเดินหน้า ทั้งถอยหลัง คาถาหัวใจปลาไหลเผือก คาถาหัวใจจระเข้เขาก็รู้หมด

จะขอเล่าอภินิหารและอาคมเพื่อบันทึกเอาไว้เป็นเรื่อง ๆ เป็นตอน ๆ ดังนี้ ครั้งหนึ่งเขาไปเที่ยวงานวัด ไปเจอคู่อริเข้า เขาคนเดียวคู่อริหลายคน โดนจับมือไพล่หลัง เอามีดเชือดคอเชือด ๓ – ๔ ที ไม่เข้าเลย มีเหรียญโล่ทองแดงอันเดียว

อีกครั้งไปเที่ยวงานวัดเช่นกัน เจอคู่อริ คู่อริได้ชักปืนออกมายิง ยิงไม่ออก เขาเข้าไปปล้ำตีเข่าคู่อริปางตาย ขากลับบ้าน พอขี่รถมาถึงเชิดบุญมา ต.บ้านคู อ.บางระจัน คราวนี้โดนยิงติด ๆ หน้าเลย ด้วยปืนลูกซอง ๙ เม็ด ไม่ถูกเลยแม้เม็ดเดียว ลูกน้องซ้อนมา ๒ คน ก็ไม่ถูก คือคู่อริไปเปลี่ยนปืนใหม่ วันนั้นคาดตะกรุดโทน ตัวเชือกถักเป็นลายกระดูกงูของหลวงพ่อดอกเดียว
อีกครั้งหนึ่ง ไปเที่ยวงานวัดห้วย แม่เขาก็ไปด้วย กินเหล้ามาหน่อย ๆ เขาเป็นคนแปลก ถ้าเมาคอยจะท่องคาถาอยากลองของทำนองนี้ พอเดินผ่านสระน้ำสระก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่ อยู่ ๆ แกกระโดดลงสระ หายไปเลย แม่เขาร้องไห้สุดเสียง เอาไฟฉายส่องดู คนที่มาก็กระโดดลงสระช่วยงม บางคนก็ไปตามคนมาช่วยกันงม คนล้อมสระอยู่เป็นสิบ ๆ คน ที่งมก็งมไม่เจอ แม่ร้องไห้โฮเลย เพราะรู้ว่าลูกจมน้ำตายไปแล้ว งมหาเป็นครึ่ง ๆ ชั่วโมง พอดีคนที่มาจากบ้านหลังหนึ่งถือไฟฉายมาเจอนายแดงคล้าย ๆ ของเข้าสั่นอยู่นอนติดขี้ลีบ (คล้ายแกลบ) แกท่องคาถาหัวใจปลาไหลเผือก แม้ปัจจุบันนี้ถ้าแกเมาขึ้นมา ถ้าเจอน้ำแกจะเล่นน้ำ เป็นครึ่ง ๆ วัน ไม่มีใครกล้าเข้าจับ วันที่แกโผล่จากสระ มาติดแกลบ คือปลาไหลเขาแพ้แกลบเป็นเรื่องแปลก เขาโผล่จากสระไปได้อย่างไรไปติดขี้ลีบห่างตก ๓๐ เมตร

อีกเรื่องหนึ่งเขาขี่รถจักรยานยนต์ ด้วยความเมา ถนนไปทุ่งนาเล็ก ๆ ปรากฎว่าเขาขี่ด้วยความเร็วเพราะประมาท รถคว่ำ หัวไปชนก้อนหิน ก้อนเท่า ๆ หัวคนได้ ก้อนหินฝังอยู่ในดินครึ่งหนึ่ง ฝังมานาน โดนหัวนายแดงชนเปรี้ยงเดียวหินกระเด็นเลย แต่หัวคนไม่เป็นอะไรเลย

อีกเรื่องหนึ่งแถวบ้านผม จะมีการชกต่อยกันเป็นประจำ ถ้าเมาพอได้ที่ ชาวนาตัวโต ๆ ต่อยกันทีนึงถ้าโดนจัง ๆ ถึงขนาดฟันฟางหักเลย แต่ก็มีบางคนไม่ค่อยมั่นใจตัวเองนัก เพราะถ้าเกิดพลาดท่าเสียทีเขา อายเขาไปทั้งบ้าน ไม่มีการใช้ปืน ใช้มีด ต่อยปัง สองปัง ได้ผล หงายท้องเลย เขาทำงานหนัก แบกเครื่องยกเครื่อง มีอยู่ปีถึง ๒ ปี นายแดงไปทำงานก่อสร้างที่พัทยา เกิดคลื่นลูกใหม่ขึ้นมา ชื่อโต แข็งแรงมาก ใหญ่โต เคยต่อยกับคนรุ่นน้า รุ่นพี่ หมัดเดียวเห็นดาวเลย ตระกูลเขาแข็งแรงมาก เขา ๒ คนพี่น้อง สามารถแบกเสาขนาดใหญ่ ขึ้นบ่าได้สบาย ซึ่งไม่ค่อยมีใครทำได้ ขนาดได้ฉายาโพธิ์เงิน โพธิ์ทอง แต่นายโตนี่นิสัยเสียถ้ามีเรื่องกับใครจะร้องท้าด่าแม่ให้เข้ามาสู้กับตน คนอื่นไม่มีใครกล้าเลย วันหนึ่งนายแดงกลับบ้านเป็นงานเทศกาล กินเหล้าทั้งวัน เจอนายโตก็ชวนกินเหล้า พอนายโตกินเหล้าเข้าไป อยากจะพูดมั่ง แต่นายแดงเขาเป็นคนแปลกเมาเข้าไปชอบพูดคนเดียว เสือเจอสิงห์เข้า นายแดงเวลาเมาชอบปลุกของ ชอบอาพัดเหล้า และเคยชกมวยมาก่อน กำลังก็ขนาดแซมซั่น ส.อีสาน นั่นแหละ วันนั้นเกิดชกกันขึ้น ผลผิดความคาดหมาย นายแดงเตะต่อยนายโตกลิ้งเป็นลูกขนุนเลย หน้าตาเละหมด นายแดงยังให้ไปเอามีด เอาปืนมายิงกันอีก ผลคือตั้งแต่นั้นมานายโตเขาสงบเสงี่ยม ไม่ร้องท้าด่าแม่ใครอีกเลย นายแดงไปทำงานก่อสร้างพัทยา โดยมากทำงานรวมกับคนไทยอีสาน คนอีสานนี่เรื่องอดทนและกำลังเป็นหนึ่ง ขนาดมีคำกล่าวว่า “นักมวยเมืองโคราช นักปราชญ์เมืองอุบล” คือโคราชนี่นักมวยรุ่นเก่าเขาแข็งแกร่งจริง ๆ ตั้งแต่ ยัง หาญทะเล เตะจีนฉ่างปางตาย ต่อมาก็ยุคยักษ์ สุขพิมาย รุ่นล่าสุดก็ รัตนพล ส.วรพิน นายแดงไปอยู่ทีหลังทำงานแข็งแกร่งกว่า กินเหล้าเข้าไปเอามีดมาเชือดแขนให้ดู เอามีดมาลากตรงฝ่ามือระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้ง เสียงดังแกรก ๆ ๆ ไม่รู้เขาเล่นวิชาอะไร ถ้าผมพูดผิดไป คราวหน้าไม่ต้องมานับถือกัน ต่อมาเลยได้เป็นหัวหน้าคนงานเลย วันหนึ่งไฟช็อตไฟลุกท่วมตัวกว่าจะสับคัทเอาท์ได้ ผมหงิกเลยไม่เป็นอะไรเลย ตัวแดงเถือกไปหมด คล้องเหรียญโล่อันเดียว คนไทยภาคอีสานคนหนึ่งนั่งลงกราบที่เท้า ๓ ครั้ง ควักเงินให้ ๓๕๐ บาท หมดตัวเลย นายแดงแกสงสารให้ไป เพราะแกกลับมาบ้านทีไรมาไถผมทุกที วันหนึ่งเจออาจารย์เหวียน มณีนัย กำลังร้อนวิชาอยู่พอดี นายแดงเกิดอยากลองของเอามีดมาลากฝ่ามือเล่น แล้วท้าอาจารย์เหวียน อาจารย์เหวียนเขาแก่แล้วคงนึกปอด ๆ แถมท้าท่องคาถาแข่งกัน โองการต่าง ๆ คาถาต่าง ๆ ท่องเสร็จแล้วลองฟันกันดูสักที อาจารยืเหวียนเขาความจำไม่ดีบอกยอมแพ้ เสียงบ่นพึมพำว่า “ไอ้นี่บ้ากว่ากู” ภายหลังบวชเป็นพระคือบวชเรื่อย เจอผมบอกเสียดาย บวชเสียแล้ว ไม่งั้นจะไปออกรายการท้าพิสูจน์ ๒ คนกับไอ้แดง จะให้ผมพาไป ผมได้แต่ส่ายหัว คนหนึ่งฆ่าคนไม่ติดคุก คนหนึ่งเมา

จะขอเล่าตอนที่เขาไปช่วยพี่ชายทำไร่ที่จังหวัดกาญจนบุรี วันหนึ่งเขาไปทำบุญ คือ คนตามต่างจังหวัดนี่ วัยรุ่นชอบลักรองเท้ากัน โดยใส่คู่เก๋ามาแล้วถ้าเจอคู่ใหม่ก็ใส่เอากลับไป บังเอิญวันนั้นนายแดงโดนขโมยรองเท้า ความโมโหของขึ้นเลย เข้าใจว่ากินเหล้าด้วย เขาไปหาเชื่อกมาเส้นหนึ่งมาถึงก็ร้อยรองเท้าคนที่มาทำบุญบนศาลาทั้งหมด แล้วเอาเชือกผูกเอววิ่ง คนบนศาลารู้ว่ารองเท้าถูกขโมยวิ่งไปฝุ่นตลบ พระก็กำลังเทศน์ คนก็วิ่งตาม พอตามมาทัน เขาปีนขึ้นไปบนเสาไฟฟ้าแรงสูง ไปนั่งอยู่ข้างบน มือหนึ่งถือกระบอง มือหนึ่งป้องหน้า เหมือนหนุมานจริง ๆ ส่วนรองเท้าก็ห้อยต่องแต่ง ๆ ผู้ใหญ่บ้านให้คนไปหายางง่ามหรือหนังสติ๊ก ที่ใช้ลูกดินยิง พอดีน้าชายที่เขาไปทำไร่ตามมาทันได้รับปากว่าจะนำรองเท้าไปคืนให้ ขอให้กลับไปก่อน อีกครั้งหนึ่งคนบ้านอยู่ติดกันกินเหล้าอยู่ดี ๆ แต่พูดไม่ได้ แล้วเดินเข้าบ้านไป นายแดงกัดฟันกรอด ๆ บ้านหลังนั้นเขาล้อมรั้วด้วยไม้รวก ข้างฝาทำจากไม้ขัดแตะตีไขว้กัน อยู่ ๆ นายแดงของขึ้น วิ่งเอาหัวชนรั้วไม้รวกทีเดียวทะลุ ชนข้างฝาอีกทีทะลุ วิ่งกัดคนในบ้านแบบลิงเลย คนในบ้านโดดหนีกันคนละทางสองทาง บางคนก็เลือด

ครั้งสำคัญทำไร่เสร็จ พี่ชายพามาส่งที่ท่ารถ ก่อนมา เพื่อน ๆ ก็ซื้อเหล้าเลี้ยงกัน เดินกันมาอยู่ดี ๆ เกิดของขึ้น เขาปีนขึ้นไปบนต้นไม้แดง ไม้แดงนี้สูงใหญ่เปลี่ยว แบบไม้ยาง ปีนขึ้นไปเกือบถึงยอด สูงมาก สูงกว่าต้นตาลอีก ฝนตกพรำ ๆ ด้วย มือเท้าเกิดลื่นร่วงลงมา หน้าอกกระแทกหิน พี่ชายเห็นเข้าร้องไห้เลย เพราะตกลงมาด้วยความแรง ตัวเขายังกระดอนขึ้นจากหิน กระดอนขึ้นสูงตก ๑ วา พอวิ่งไปถึง เขาวิ่งขึ้นต้นไม้แดงใหญ่ ขึ้นไปอยู่ บนยอดไม้อยู่นาน ผมเองฟังแล้วยังไม่อยากเชื่อ ไม่คิดว่าวิชาเหล่านี้จะมีคนทำได้ เช่น เอามีดเฉือนกับฝ่ามือ ดังแกร๊ก ๆ ๆ เหมือนมีอะไรมารับ เรื่องนี้เล่าให้ฟัง เชื่อไม่เชื่อไม่ว่ากัน ชู สว่างศรี พบได้ที่คุกสุพรรณ แดง สว่างศรี พบได้ถ้ามาบ้านผม
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 21, 2013, 01:04:32 pm
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๒๗
วันที่ ๑๕ พ.ย. – ๒๕ พ.ย.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


พระประวัติและพระคาถา

ตำราแก้วสารพัดนึก

คำนำ

ต่อไปจะกล่าวถึงพระประวัติของหลวงพ่อที่หมอเฉลียวเดชมา ได้รวบรวมไว้ และผมได้รวบรวมเอาไว้เพิ่มเติม เพื่อให้สมบูรณ์ เพราะมีศิษย์ของหลวงพ่อหลายคนได้อ่านแต่ภาคอภินิหารและปฏิปทา ไม่ได้อ่านภาคประวัติ คือภาคแรก ได้สอบถามข้อข้องใจกันมามาก ผมจึงขอย้อนรอยถอยหลัง ขอนำพระประวัติของหลวงพ่อตลอดจนคาถาอาคมที่หมอเฉลียว เดชมา ได้รวบรวมเอาไว้ในหนังสือชื่อ แก้วสารพัดนึก หนังสือเล่มนี้ความจริงตั้งใจจะพิมพ์แจกในงานทำบุญอายุหลวงพ่อครบ ๖ รอบ คือ ๗๒ ปี แต่ไม่ได้พิมพ์ แต่ได้ถามพระประวัติของท่านเอาไว้ประกอบกับทางเจ้าคณะจังหวัดเขาต้องการประวัติของหลวงพ่อ เพื่อใช้ประกอบในงานฝังลูกนิมิตด้วย หลวงพ่อจึงให้เอาไว้ หนังสือเล่มนี้ได้นำมาพิมพ์ตอนหลวงพ่อมรณภาพไปแล้วเป็นพระประวัติสั้น ๆ แต่ได้ใจความ ผมได้นำมาเขียนเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์ ส่วนพระคาถานั้น หมอเฉลียว เดชมา ได้รวบรวมเอาไว้ ๑๒ บท และผมได้ให้เอาไว้อีกหลายบทเอาชนิดที่เป็นลายมือของท่าน และเอาชนิดสั้น ๆ และจำเป็น ส่วนคนที่จะเรียนอย่างจริงจัง เอาชนิดเป็นหมอใหญ่ได้เลยคงต้องใช้คาถารวมเล่ม

ที่ต้องนำประวัติท่านมาลงใหม่เพราะมีคนถามถึงวันเดือนปีเกิดของท่านมามาก บางคนบอกว่าจะมากราบท่าน จะมาถวายอาหารท่านด้วย ผมก็งง คือเขาไม่รู้ว่าหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว ผมรู้สึกตัวว่า ผมคงต้องผิดพลาดมาก เลยนำภาคประวัติมาลงให้ใหม่อีกที

คำนำ(ในตำราแก้วสารพัดนึก)

ข้าพเจ้า(หมอเฉลียว เดชมา) ขออภัยท่านผู้อ่านหรือท่านที่รู้ประวัติของหลวงพ่อ ได้ดีกว่าข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้จัดพิมพ์ตำราและประวัติของหลวงพ่อขึ้นมานี้เพื่อการกุศล และจะให้ศิษยานุศิษย์ได้รู้ตามที่หลวงพ่อได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟัง และทำประวัติไว้ตั้งแต่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าก็จะขอเล่าตามที่หลวงพ่อได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังเท่านั้น ข้าพเจ้าหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่าน และเก็บรักษาไว้เพื่อความสุข ความเจริญ ในตำราเล่มนี้ข้าพเจ้าถือว่าคำที่หลวงพ่อกล่าวออกมาแต่ละคำนี้ เป็นมนต์ขลังหรือเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น เช่น เวทมนต์คาถาก็ดี คำสุภาษิตก็ดี เครื่องรางของขลังก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงเก็บไว้เพื่อความสุขความเจริญและเป็นสิริมงคลแก่ตัวของท่าน และครอบครัวของท่าน ข้าพเจ้าขอเชิญคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกตลอดจนบารมีของหลวงพ่อกวยและครูบาอาจารย์ มีองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเบื้องสูง จงดลบันดาลให้ผู้ที่ยึดมั่นในคาถาอาคมทุกบท เครื่องรางของขลังทุกชนิด คำศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อกวยจงประสบความสำเร็จสมความปรารถนาทุกประการ จะท่องบ่นคาถาบทใดขอให้ได้คล่อง ๆ ด้วยอานุภาพสูงส่ง ตลอดจนกระทั่งเครื่องรางของขลังของหลวงพ่อกวย จงมีความศักดิ์สิทธิ์สามารถคุ้มครองอันตรายได้เทอญ

ประวัติวัดโฆสิตาราม

มาจะกล่าวบทไปถึงวัดโฆสิตารามในครั้งก่อน คนเก่าเล่าไว้ไม่แน่นอน จะตัดตอนเสร็จต่อพอเข้าใจ วัดโฆสิตารามเดิมชื่อวัดขวิด เนื่องจากเป็นที่ดอน มีต้นมะขวิดขึ้นอยู่แต่เก่าก่อน แต่คนเก่าแก่เรียกว่าวัดนี้ว่า วัดบ้านแค เนื่องจากเป็นชื่อของหมู่บ้าน บ้านแค คำว่าบ้านแคนี้มาจากคำว่า บ้านของปู่แค ปัจจุบันศาลปู่แคยังมีอยู่ เพิ่งจะมาเปลี่ยนเป็นวัดโฆสิตาราม เมื่อสมัยที่หลวงพ่อกวยมาเป็นเจ้าอาวาส เข้าใจว่ามีมูลเหตุหรือแรงบันดาลใจมาจาก หลวงพ่อได้สร้างพระพุทธพิมพ์รูปแบบเหมือนของสมเด็จโต วัดระฆังโฆสิตาราม และหลวงพ่อได้ใช้ผงของสมเด็จโตผสม เมื่อหลวงพ่อจะเปลี่ยนชื่อวัดให้เป็นมงคล หลวงพ่อระลึกถึงสมเด็จโตแห่งวัดระฆังโฆสิตาราม หลวงพ่อจึงใช้ชื่อว่าวัดโฆสิตารามเหมือนหนึ่งว่าเป็นวัดน้องเล็กคนสุดท้องของวัดระฆังโฆสิตารามคือมีผงของสมเด็จโตผสมอยู่

วัดตั้งอยู่หมู่ที่ ๙ บ้านบ้านแค ต.บางขุด อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท มีเนื้อที่ประมาณ ๓๕ ไร่ ตั้งอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอสรรค์บุรีประมาณ ๑๕ กิโลเมตร สร้างประมาณ ๑๐๐ ปีเศษ เดิมเป็นวัดร้างตั้งอยู่ในป่า มีกุฏิ ๒ หลัง หลังคามุงแฝก หอประชุมปั้นหยาก็มุงแฝกเช่นกัน มีเจ้าอาวาสติดต่อกันมา ๗ รูป หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๖ ได้มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๒ ทางคณะอำเภอพร้อมด้วยเจ้าคณะอำเภอจึงแต่งตั้งให้ พระสำรวย อคฺคปัญโญ (ปั้นสน) เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๗ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๒

วัดนี้ตามประวัติ เจ้าอาวาสทั้ง ๕ องค์ไม่ปรากฏว่ามีองค์หนึ่งองค์ใดที่เรืองอาคม นกจากหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร เจ้าอาวาสองค์ที่ ๖ เท่านั้น ในวัดจึงไม่มีโบราณสถานหรือโบราณวัตถุอื่นใดเลย นอกเสียจากพระปูนปั้น เป็นรูปพระพุทธเจ้าในวิหาร ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่วัด ที่ฐานพระวิหารเขียนไว้ว่า สร้าง พ.ศ.๒๔๗๓ พร้อมชื่อผู้ที่สมทบทุนสร้างพระพุทธเจ้าในวิหารนี้ ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่วัดเช่นกัน ชอบรับบนด้วยประทัด

ด้านทิศใต้ติดกับอุโบสถ มีสระน้ำเก่าแก่อยู่ ๑ สระ เป็นสระน้ำที่ศักดิ์สิทธิ์ น้ำในสระมีคนนิยมตักเอาไปทำน้ำมนต์ ดินในสระนิยมนำเอาไปสร้างพระ โดยเชื่อกันว่าดี ที่สระนี้ถ้าเป็นคนท้องที่จะไม่มีใครกล้าล่วงเกินเลย คือ หลวงพ่อขุดเอาไว้และลงอาถรรพ์เอาไว้

วัดนี้คนในสกุลเดชมา ได้ก่อตั้งและบูรณะเรื่อยมา

พระประวัติของหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร
 
หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร เดิมชื่อเด็กชายกวย ปั้นสน เกิดเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๔๘ ปีมะเส็ง ณ หมู่บ้านบ้านแค หมู่ ๙ ต.บางขุด อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท เป็นบุตรของคุณพ่อตุ้ย ปั้นสน บ้านเดิมอยู่วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง มารดาชื่อคุณแม่ต่วน เดชมา เป็นคนบ้านแค ท่านทั้งสองมีบุตรและธิดาด้วยกัน ๕ คน

คนที่ ๑ ชื่อนายตุ๊ ปั้นสน

คนที่ ๒ ชื่อนายคาด ปั้นสน

คนที่ ๓ ชื่อนายชื้น ปั้นสน

คนที่ ๔ ชื่อนางนาค ปั้นสน

คนที่ ๕ ชื่อหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร


ปัจจุบันพี่น้องของท่านได้ถึงแก่กรรมไปหมดแล้ว

เด็กชายกวย ปั้นสน เป็นบุตรคนสุดท้องของบิดามารดา ถือว่าเป็นบุตรคนเล็ก ก็เป็นที่รักใคร่ของบิดามารดา เมื่อโตขึ้นบิดามารดาจึงได้นำมาฝากไว้กับหลวงปู่ขวด ณ วัดบ้านแค เพื่อเรียนหนังสือ ในสมัยนั้นบ้านเมืองยังเป็นป่าเป็นดง จะหาโรงเรียนเรียนก็ยากเพราะห่างไกลความเจริญ หลวงปู่ขวดได้ไต่ถามถึงวันเดือนปีเกิดของเด็กชายกวย ตลอดจนลักษณะผิวพรรณ การเดินและการพูดจา เด็กชายกวยมีลักษณะของมหาบุรุษ แสดงว่าข้างหน้าจะได้ดีเป็นเจ้าคนนายคน ลักษณะสีผิวขาวเหลืองแบบคนมีปัญญา สีผิวต่างกับบิดามารดา ริมฝีปากเล็ก แสดงว่าเป็นคนพูดน้อย ประกายตากล้าแข็งเด็ดเดี่ยวแสดงว่าเป็นคนเด็ดเดี่ยวเด็ดขาด แต่เจ้าอารมณ์ การเดินก็แคล่วคล่องปราดเปรียว หลวงปู่ขวดได้พอใจและรับไว้เป็นศิษย์ ได้สอนหนังสือ ก.กก สระ ตัวสะกด การันต์ แล้วเรียนบวก ลบ คูณ หาร จนคล่อง เด็กชายกวยยังอ่านหนังสือธรรมบท บทสวดต่าง ๆ ของพระ เด็กชายกวยก็ท่องได้ทั้ง ๆ ที่อายุเพียง ๖ – ๗ ขวบเท่านั้น หลวงปู่ขวดจึงได้ให้เด็กชายกวยเรียนหนังสือขอม เรียนสูตร สน นาม อีกมากมาย เด็กชายกวยก็เรียนได้ จำได้ หลวงปู่ขวดได้ทุ่มเทสติปัญญาในการสอนเด็กชายกวยจนเต็มกำลัง เพราะรู้ในชะตาของเด็กชายกวยว่า วันข้างหน้าอาจจะได้บวชในพระศาสนา จะได้เป็นใหญ่เป็นโตทั้ง ๆ ที่หลวงปู่ขวดชราภาพมากแล้ว ต่อมาหลวงปู่ขวดก็มรณภาพ บิดามารดาจึงได้นำเด็กชายกวยมาเรียนหนังสือขอมต่อกับอาจารย์ดำ วัดหัวเด่น ซึ่งใกล้ ๆ กับวัดบ้านแค เมื่อเรียนหนังสือขอมจนแตกฉานแล้ว บิดามารดาจึงได้พาเด็กชายกวยมาเรียนที่โรงเรียนวัดพร้าว ต.โพธิ์งาม อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท โดยพักที่วัดพร้าว โดยเรียนอยู่ชั้น ป.๑ ที่วัดพร้าวนี้มีเด็กวัดมากมาย อาหารการกินก็ไม่สะดวก เพื่อนเด็กวัดรุ่นพี่ก็รังแก บิดามารดาจึงได้ย้ายโรงเรียนให้มาเรียนที่โรงเรียนวัดโพธิ์งาม ต.ดอนกำ อ.สรรค์บุรี โดยเดินทางไปเรียนเพราะไม่ไกลนักได้สอบไล่ชั้น ป.๑ และเรียนต่อชั้น ป.๒ แต่ไม่ได้สอบเพราะเป็นไข้เสียก่อน ในการเรียนทั้งชั้น ป.๑ และ ป.๒ เด็กชายกวยแทบจะไม่ได้ความรู้อะไรเพิ่มเติมเลย เพราะเด็กชายกวยได้เรียนมากับหลวงปู่ขวดและอาจารย์ดำมาแล้ว แถมยังมีความรู้มากกว่าเด็กรุ่นเดียวกันมากนัก ภาษาขอมก็เขียนได้อ่านได้แตกฉาน เด็กชายกวยจึงเบื่อที่จะเรียนในโรงเรียนอีก จึงได้ช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพทำไร่ไถนา ระหว่างที่นายกวยทำไร่ไถนานี้ นายกวยคิดถึงแต่หลวงปู่ขวด คิดถึงแต่วัด การทำไร่ทำนาหาไปใช้ไปไม่มีแก่นสาร หาประโยชน์อะไรไม่ได้ ช่วงนี้ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ บอกว่านายกวยไม่ได้ประพฤติเป็นคนเกเรเหมือนกับคนสรรค์บุรีสมัยนั้นไม่ จากคำบอกเล่าของหลวงพ่อกวยเอง เมื่อถามถึงชีวิตในวัยหนุ่มท่านเล่าว่าท่านเป็นคนซน คือซุกซน ชอบยิงกระสุน (รูปร่างคล้ายธนู แต่ใช้ลูกดินยิง) คือถ้าบ้านไหนตอนกลางคืนไม่ยอมปิดประตูหน้าต่างให้ดี ท่านจะแกล้งเอาคันกระสุนยิง เพื่อเตือนให้เจ้าของบ้านปิดประตูหน้าต่างให้ดี ในวัยหนุ่มนี้ท่านได้พูดกับบิดามารดาว่าถ้าตัวเองได้บวชเมื่อไรจะบวชไม่สึก ซึ่งท่านเคยเล่าให้คุณย่าฉวน เทียนจัน คนหัวเด่นเป็นพี่ของคุณยายฉายคนที่ดูแลท่านก่อนมรณภาพ อายุย่าฉวนมากกว่าหลวงพ่อ ๒ – ๓ ปี ท่านได้เล่าถึงมูลเหตุของการบวชไม่สึกของท่านไว้ดังนี้คือ

ตอนสมัยท่านหนุ่ม ๆ ท่านมีคนรักอยู่เหมือนกัน ท่านเคยขึ้นหาคนรักของท่านในตอนกลางคืน โดยปีนหน้าต่างเข้าไปหา ท่านไม่ได้พูดไว้ว่าขึ้นหาบ่อยหรือไม่ และไม่ได้บอกว่าคนรักของท่านชื่ออะไร
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 21, 2013, 01:06:21 pm
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๒๘
วันที่ ๒๕ พ.ย. – ๕ ธ.ค.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


คืนวันหนึ่งเดือนหงาย พระจันทร์เต็มดวง ท่านนัดกับคนรักของท่านว่าจะไปหา แต่เมื่อท่านไปแล้วปรากฏว่าไม่กล้าเข้าไปหา เพราะแสงจันทร์สว่างมากกลัวว่าพ่อตาจะเห็น ท่านได้คอยจนกระทั่งเดือนตก คือดึกมากแล้ว ท่านได้ปีนเข้าไปหาคนรักของท่านปรากฎว่าคนรักของท่าน คอยท่านจนหลับไป ท่านได้เข้าไปดูคนรักของท่านนอนหลับอยู่ ผมเผ้ายุ่งเหยิง นอนอ้าปากน้ำลายไหล ผ้าผ่อนเปิดคล้ายคนตาย คล้ายซากศพ หาความงามไม่ได้เลย ท่านได้ถอยหลังออกมาแล้วปีนหน้าต่างกลับ และท่านไม่ได้ไปหาคนรักของท่านอีกเลย และไม่มีคนรักอีก ความตอนนี้คล้ายพระยศะ ในพุทธกาล แสดงว่า หลวงพ่อไม่ยินดีในกามคุณตั้งแต่ก่อนบวช

เมื่อท่านอายุครบบวช บิดามารดาท่านจึงได้จัดการอุปสมบทให้ แต่นายกวยได้พูดกับบิดามารดาว่า ถ้าจะบวชให้ตนก็ขอให้บวชกันที่วัดไม่ให้จัดพิธีใหญ่โต ไม่ต้องมีการแห่แหนให้เปลืองเงินเปลืองทอง โดยท่านให้เหตุผลของครูบาอาจารย์คือหลวงปู่ขวดและอาจารย์ดำว่า “พระเทศน์ก็ต้องรู้จักเวลา ผู้ศรัทธาก็ต้องรู้จักกำลัง” บิดามารดาจึงได้พานายกวยไปหาอุปัชฌาย์คือ พระชัยนาทมุนี จัดการโกนหัวบวชให้ มีหลวงพ่อปาเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์หริ่งเป็นอนุสาวนาจารย์ บวชเมื่อวันที่ ๕ เดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๗ เวลา ๑๕ นาฬิกา ๑๗ นาที อายุ ๒๐ ปี ณ วัดโบสถ์ ต.โพธิ์งาม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท มีฉายาว่า ชุตินฺธโร “แปลว่าโลกนี้มีแต่ความวุ่นวายของโลก หนักไปด้วยกิเลส ตัณหา คือ โลภ โกรธ หลง ทั้งสิ้น ถ้าท่านผู้ใดตัดกิเลส ตัณหาได้ก็จะถึงซึ่งฝั่งพระนิพพาน” เมื่อบรรพชาอุปสมบทแล้วก็กลับมาจำพรรษาอยู่วัดบ้านแค ตอนนั้นหลวงปู่มาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ พระกวย ชุตินฺธโร จึงหัดเทศน์เวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร ทานกัณฑ์ ละก็ในแถบนั้นไม่มีใครสู้ท่านได้เลย ท่านเทศน์แหล่หญิงหม้ายกล่าวถึงพระนางมัทรี และเทศน์แหล่ชายหม้ายกล่าวถึงพระเวสสันดรต้องไปอยู่ป่าหิมพานต์ ถ้าไม่มีพระนางมัทรีตามเสด็จไปด้วยก็จะเป็นชายหม้าย ส่วนพระนางมัทรีก็จะเป็นหญิงหม้าย ท่านเทศน์แหล่ถึงการเป็นหญิงหม้ายชายหม้าย มีแต่คนนินทาว่าร้าย คงจะไม่ดีสามีถึงได้ทิ้ง ครั้นแต่งตัวคนเขาก็ว่าอยากจะมีผัวจนตัวสั่น ครั้นไม่แต่งตัวคนเขาก็ว่ารูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่สามีถึงได้ทิ้ง ส่วนชายหม้ายนั้นก็น่าสงสารมีแต่คนเขาว่าคงจะไม่ดีเมียถึงได้ทิ้ง คงจะเป็นคนเกเรเป็นนักเลงสุราหรือนักเลงการพนัน จะอยู่จะกินก็อด ๆ อยาก ๆ ลูกเต้าหรือก็ขะมุกขะมอม บ้านก็ผุก็พัง เพราะขาดกำลังใจ ท่านแหล่ขนาดหญิงหม้ายชายหม้ายไม่อาจนั่งฟังบนศาลาได้ ต้องหลบไปแอบฟังที่ใต้ต้นไม้ บางคนนั่งหลั่งน้ำตาไหลเป็นทาง บางคนร้องไห้โฮ ชื่อเสียงของท่านในการเทศน์ทานกัณฑ์ นั้น โด่งดังมาก แต่กัณฑ์อื่น ๆ หลวงพ่อก็เทศน์ไม่ดีนัก เพราะการเทศน์เวสสันดรชาดกนั้นพระนักเทศน์ต้องตลกคะนอง แต่หลวงพ่อไม่ชอบตลกคะนอง ปัจจุบันใบลานในการเทศน์ของท่านยังอยู่ที่วัด หลวงพ่อเขียนไว้ว่า พระกวยสร้างถวาย แล้วตอกตรารูปสิงห์ชูคอเอาไว้

อยู่ต่อมาหลวงพ่อได้หยุดเทศน์ โดยหลบหรือแอบไปเรียนวิชาแพทย์แผนโบราณ กับหมอเขียน หมอเขียนคนนี้สามารถรักษาโรคระบาดหรือโรคห่าได้ ตอนนั้นคนเป็นโรคระบาดที่บ้านโคกช้าง ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก หมออื่น ๆ ก็ตาย เหลือหมอเขียนคนเดียว สามารถรักษาโรคห่า โรคไข้ทรพิษได้

ในวันที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๒ พระกวยได้มาเรียนปริยัติธรรม เพื่อให้เจริญในศาสนา ได้มาอยู่วัดวังขรณ์ ๒ พรรษา ต.โพธิ์ไก่ชน อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี ตอนนั้นอาจารย์คำเป็นเจ้าอาวาส ได้เรียนธรรมตรี สอบ ณ วัดโพธิ์ชนไก่ พรรษาต่อมาได้เรียนธรรมโท แต่พอจะสอบได้เป็นไข้ไม่สบายเลยไม่ได้สอบ จึงมาคิดได้ว่าปริยัติธรรมก็เรียนมาพอสมควร จึงอยากจะเรียนวิปัสสนากรรมฐาน และอาคมตลอดจนวิธีทำเครื่องรางของขลัง

จึงได้เดินทางไปเรียนวิชากับหลวงพ่อศรี วิริยะโสภิต แห่งวัดพระปรางค์ จ.สิงห์บุรี หลวงพ่อศรีองค์นี้เชี่ยวชาญในวิปัสสนากรรมฐานมาก เก่งที่สุดในจังหวัดสิงห์บุรีขณะนั้น หลวงพ่อได้เรียนวิชาทำแหวนนิ้ว ซึ่งแหวนนิ้วของหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ ใต้ท้องวงจะตอกตัวขอมอ่านว่า อิติ ของหลวงพ่อก็เช่นกัน และได้เรียนวิชาอีกหลายอย่าง ได้จำพรรษาอยู่วัดหนองตาแก้ว ต.โคกช้าง อ.เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี ที่วัดหนองตาแก้วนี้หลวงพ่อได้ปลูกต้นสมอไว้ ๑ ต้น ปัจจุบันยังอยู่ หลวงตาสมานเคยไปอยู่วัดหนองตาแก้ว ได้นำไก่แจ้เอาไปนอนบนต้นสมอปรากฏว่าไก่ไม่ยอมนอน ไม่ทราบว่าหลวงพ่อได้ลงวิชาอะไรไว้ ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อเพิ่งอายุ ๒๘ ปี พรรษาได้ ๘ พรรษา แสดงว่าหลวงพ่อเป็นผู้มีอาคมขลังตั้งแต่เป็นพระหนุ่ม ได้จำพรรษาที่วัดหนองตาแก้ว ๑ พรรษา ในวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๗ ได้มาจำพรรษาที่วัดหนองแขม ต.ดงคอน อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท อีก ๑ พรรษา ได้เรียนแพทย์แผนโบราณต่อกับโยมป่วน บ้านหนองแขม และเรียนแพทย์โบราณต่อกับหมอใย บ้านบางน้ำพระ ในขณะที่จำพรรษาที่วัดหนองแขม ได้มีเพื่อนภิกษุชื่อ แจ่ม ได้เดินทางท่องเที่ยวไปพบตำราเป็นสมุดข่อยอยู่ในโพรงไม้ แต่เอามาไม่ได้ เพราะตำรานั้นมีอาถรรพณ์แรงมาก คล้ายมีเทพและเทวดารักษา จึงได้มาชักชวนพระกวยให้ไปดู ปรากฏว่ามีตำราอยู่ในโพรงไม้จริง มีรอยคนเอาพวงมาลัย ดอกไม้ ธูป เทียน มาบูชาใต้โคนไม้ พระภิกษุกวยจึงได้จุดธูปบอกเล่าและอธิษฐานว่า “ถ้าจะให้ข้าพเจ้าเอาตำรานี้ไปเก็บรักษาไว้ ขอธูปที่จุดนี้ให้ไหม้ให้หมดดอก” แต่ปรากฎว่าธูปได้ไหม้ไม่หมดพระภิกษุกวยจึงได้เสี่ยงอธิษฐานขึ้นใหม่ว่า “ถ้าหากว่าท่านจะให้ตำรานี้ให้ข้าพเจ้าเอาไปเก็บรักษาไว้ ข้าพเจ้าจะนำเอาตำรานี้ไปทำประโยชน์แก่วัด และช่วยเหลือประชาชนเท่านั้น” แล้วก็จุดธูปขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ปรากฏว่าธูปได้ไหม้หมดทั้ง ๓ ดอก หลวงพ่อจึงได้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของตำรา แล้วอัญเชิญเอาตำรานั้นมาเก็บไว้ ต่อมามีคนร่ำลือกันว่ามีคน ๆ หนึ่งได้นำตำราชุดนี้มาเก็บไว้ในบ้าน ได้เกิดเหตุวิบัติเจ็บไข้ล้มตาย จึงเอาตำราชุดนี้มาทิ้งไว้ดังกล่าว พระภิกษุกวยเมื่อได้ข่าวดังนั้นก็มาเปิดตำราดูปรากฏว่ามีลายลักษณ์อักษรบอกไว้ในตำราว่า “ตำรานี้ห้ามเอาไปไว้ในบ้านใคร ๆ ทั้งสิ้น มิฉะนั้นจะฉิบหาย” พระภิกษุกวยจึงได้ศึกษาตำรายันต์และคาถาจากตำราเล่มนี้ ปัจจุบันตำราเล่มนี้ยังอยู่ที่วัดหน้าปกเขียนว่าครูแรง ด้วยสีแดง ปกติไม่มีใครกล้าหยิบต้อง ผู้เขียนเคยขอร้องให้ท่านอาจารย์สำรวย เจ้าอาวาสหยิบมาให้ดู ๑ ครั้ง ผมได้จุดธูปบอกเล่าหลวงพ่อ และเจ้าของตำราขอสมาลาโทษ ได้ขอสมาต่อหลวงพ่อว่า “ผมไอ้ครู ศิษย์คนเล็กของหลวงพ่อ ตอนหลวงพ่อมีชีวิตอยู่ ผมไม้กล้าที่จะล่วงเกินหลวงพ่อแม้แต่น้อย เคารพหลวงพ่อเหมือนบิดา แต่วันนี้อาจเอื้อมเปิดตำราของหลวงพ่อ เปรียบเสมือนครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อ ขอหลวงพ่อจงอย่าได้ถือโกรธ หากพระมนต์บทใดหลวงพ่อจะให้ ขอให้ผมจำได้เพียงท่องแค่ ๓ ครั้ง” ผมได้เปิดตำราดู ในตำรามีพระมนต์และยันต์ต่าง ๆ มากมายหลายร้อยยันต์เป็นยันต์กันอาวุธ กันกระทำ กันคุณ กันของ คาถาก็มีมากมายหลายบท เป็นภาษาของคนโบราณ แต่มีบทหนึ่งเขียนไว้ว่า พระมนต์พระพุทธเจ้าชนะมาร ใช้เรียกนางแม่ธรณี ใช้ทำ น้ำมนต์

ฆราวาสห้ามเรียน
ละลายความ ได้เขียนไว้ว่า ในพระมนต์นี้ได้เขียนถึงการใช้มนต์ในทางที่ดี และใช้ไปในทางที่ร้าย คือมนต์ดำ ผมเลยตัดสินใจอธิษฐานขอเรียนท่องเพียง ๒ ครั้ง ก็จำได้ แล้วปิดตำรามอบคืนให้ท่านอาจารย์สำรวย

เรื่องตำรายันต์ที่หลวงพ่อคัดลอกและเรียนมานี้ ปัจจุบันอยู่ที่อาจารย์เหวียน มณีนัย คนท่าทอง ต.ปากน้ำ อ.เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี ๑ เล่ม เก็บรักษาอยู่ที่วัดท่าทอง แขวนไว้ในกุฏิไม่มีใครกล้ายุ่ง อยู่ที่อาจารย์ตั้ว ๑ เล่ม อยู่ที่อาจารย์แสวง วัดหนองอีดุก อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท ๑ เล่ม ส่วนที่วัดมีหลายเล่ม มีอยู่เล่มหนึ่งเป็นตำราภาษาไทย มองดูก็ธรรมดา หลวงพ่อห่อปกไว้อย่างดี ใส่พานไว้บูชาหน้าปกเขียนว่า ทางมรรคผล ลายแทงนิพพาน เขียนโดยหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ รับหนังสือไว้ พ.ศ.๒๕๐๒ ปีนั้นหลวงพ่อสดมรณภาพแล้ว ตำรานี้ปัจจุบันยังอยู่ในพาน หน้าโต๊ะหมู่ท่าน กรุณาอย่าไปแตะต้อง บางคนกลับไปบ้านไม่สบาย เพ้อ คลั่ง ปวดหัว ก็มี เข้าใจว่าหลวงพ่อได้ศึกษาตำราเล่มนี้ในบั้นปลายของชีวิต

เมื่อหลวงพ่อออกจากวัดหนองแขมแล้วได้ไปจำพรรษาที่วัดบางตาหงาย อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ ได้มาเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ได้เรียนวิชาทำแหวนแขน ตะกรุด มีดหมอ และอื่น ๆ และได้เรียนวิชารักษาโรคกระดูกหักจากหลวงพ่อเคน วัดดงเศรษฐี ที่ จ.นครสวรรค์ นี้ เข้าใจว่าหลวงพ่อคงจะเรียนวิชากับหลวงพ่อองค์อื่น ๆ อีก เพราะในตำรารักษาไข้ยังได้กล่าวถึงครูของท่านองค์หนึ่งคือ หลวงพ่อพวง วัดหนองกระโดน กับหลวงพ่อกันวัดเขาแก้ว ก็เข้าใจว่าชอบพอกัน เพราะหลวงพ่อเคยทำพระพิมพ์ยอดขุนพล แล้วนำเหรียญหลวงพ่อกัน กดลงไปด้านหลัง ศิษย์ร่วมรุ่นของหลวงพ่อที่ยังมีชีวิตอยู่คือ หลวงปู่พิมพา วัดหนองตางู อ.บรรพตพิสัย คือครั้งหนึ่งพระโชน วัดหัวเด่น ได้ไปกราบหลวงปู่ได้พูดว่า “อยู่สรรค์บุรี ไม่รู้จักท่านกวยหรือ” พระโชนได้พูดว่า “เป็นศิษย์” หลวงปู่หัวร่อชอบใจใหญ่เลยได้พูดว่า “ท่านกวยเขาใจจริง” เรียนวิชามาด้วยกัน เขาใจจริง เขาไม่กลัวอะไร (ปัจจุบันหลวงปู่พิมพา ยังมีชีวิตอยู่ ๙ กันยายน ๒๕๓๔) อายุหลวงปู่กับหลวงพ่อ ถ้าหลวงพ่อไม่มรณภาพอายุจะพอ ๆ กันคือ ๘๔ – ๘๕ ปี จากคำบอกเล่าของพระภิกษุแบน และพระหลวงตาตลอดจนศิษย์รุ่นเก่าได้พูดตรงกันว่า หลวงพ่อกวย ตอนที่อยู่ที่วัด ก็เป็นพระที่มีอาคมเหมือนพระทั่ว ๆ ไป แต่เมื่อท่านกลับมาจากเรียนวิชาจากเมืองเหนือ (หมายถึง จ.นครสวรรค์) เมื่อท่านกลับมาท่านเก็บตัว พูดน้อย มีจิตมหัศจรรย์ วาจาสิทธิ์ เหนือกว่าพระทั่วไป เรื่องที่หลวงพ่อไปเรียนวิชามากับหลวงพ่อเดิมนี้ มีหลักฐานคือมีรูปถ่ายของหลวงพ่อเดิม มีจารด้วยลายมือพบในกุฏิของหลวงพ่อ หลักฐานอีกอย่างหนึ่งคือ ลุงลอน คนสักยันต์แทนหลวงพ่อ เดิมอยู่บนบ้านเขาสมัยนั้นเดินไป หลังสงครามหลวงพ่อจะไปเรียนวิชาทำทอง เล่นแร่แปรธาตุ แต่หลวงพ่อเดิมไม่ยอมสอนให้
ในช่วงนี้ไม่ปรากฏหลักฐานว่าหลวงพ่อกลับวัดบ้านแคเมื่อไร แต่ก่อน พ.ศ.๒๔๘๔ เมื่อหลวงพ่อกลับมาอยู่วัดบ้านแค หลวงพ่อได้ทำการสักให้ศิษย์ มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ขนาดสักกันทั้งกลางวันและกลางคืน ทางเดินสมัยก่อนต้องเดินทางด้วยเท้าเอา ลำบากมาก อย่างดีก็ขี่จักรยาน รถ ๒ แถว มีเข้าวัด ๑ คัน ออก ๑ คัน เท่านั้น มีศิษย์สักมาก ได้จดบัญชีไว้ ๘๘,๐๐๐ คนแล้วหลวงพ่อก็ไม่ได้จดชื่อศิษย์อีกเลย ไม่ถามแม้ชื่อ ศิษย์สักของหลวงพ่อหลายคนยิงไม่ออก เป็นเรื่องแปลกมาก ที่คนธรรมดาจะยิงไม่ออก ต่อมาหลวงพ่อเห็นสมควรแก่เวลาหลวงพ่อได้หยุดสัก หลวงพ่อได้พูดกับศิษย์ว่า ถ้าท่านไม่เลิกสัก หลังคากุฏิท่านสามารถเอาแบงก์ร้อยมามุงหลังคาแทนได้ (สมัยนั้นแบงก์ ๕๐๐ ยังไม่มี) แล้วหลวงพ่อก็ทำแต่เครื่องรางของขลัง เช่น ตะกรุด มีดหมอ แหวนแขน พระพิมพ์ ในสมัยเสือนั้น เมื่อเสือเดินผ่านวัดหลวงพ่อ ต้องยิงปืนถวายทุกคน ทั้งกลางวัน กลางคืน

ในวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ.๒๔๙๑ หลวงพ่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส เข้าใจว่าหลวงพ่อคงจะกลับวัดบ้านแคมาก่อนหน้านี้หลายปี เพราะจากคำบอกเล่าของคนเก่าแก่เล่าไว้ว่า ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๔๘๔ หลวงพ่อได้มาอยู่ที่วัดบ้านแคแล้วได้นำตะกรุดของครูบาอาจารย์มาแจก เป็นของหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ ก็มี เป็นของหลวงพ่อเดิมเป็นงาก็มี ที่หลวงพ่อทำเองก็มี เพราะมีคนมาขอกันมาก ตลอดจนสมัยนั้นมีเสือเข้ามาปล้นบ้านกันมากมาย บ้านเมืองข้าวยากหมากแพง ผู้คนเดือดร้อน บ้างก็เจ็บป่วยไม่มีหมอไม่มียา พระกวยก็ช่วยจนสุดกำลัง คนก็เรียกกันว่า อาจารย์กวยบ้าง หลวงพ่อกวยบ้าง แจกเครื่องรางบ้าง พระบ้าง ตะกรุดบ้าง รักษาโรคบ้าง บ้านเมืองก็เกิดข้าวยากหมากแพง หลวงพ่อจึงตัดสินใจถือธุดงค์วัตรขอฉันอาหารเพียงมื้อเดียวมาตลอด ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๔ เรื่อยมา

วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๙๗ ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระกรรมวาจาจารย์ (คู่สวด) ในปีต่อมาหลวงพ่อได้ล้มเจ็บ โยมเฟื่อง เดชมา ได้นิมนต์ให้ไปจำพรรษาที่วัดหนองปลาดุก ๑ พรรษา เมื่อหายป่วยก็กลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านแคตามเดิม คือโยมเฟื่องต้องการดูแลอย่างใกล้ชิด

ผลงานทางศาสนา หลวงพ่อไม่ชอบการก่อสร้าง ชอบความเป็นอยู่แบบสมถะ แม้กุฏิของหลวงพ่อก็เป็นไม้ทรงไทยโบราณ แต่การก่อสร้างนั้นหลวงพ่อยกหน้าที่ให้กรรมการวัด แม้การก่อสร้างก็ให้กรรมการวัดและชาวบ้านทำ ยกเว้นส่วนที่ยากจึงจ้างช่างทำ ฉะนั้นทางวัดจึงมีแต่กุฏิเก่า ๆ หอประชุมเก่า ๆ ที่สร้างใหม่ก็มีแต่พระอุโบสถ ศาลาทำบุญ กุฏิชุตินฺธโร ที่ศิษย์สร้างถวายเท่านั้น

วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๑ ได้รับพระราชทานประทานสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นประทวน และมรณภาพเมื่อ ๑๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๒ อายุ ๗๔ ปี พรรษา ๕๔ ด้วยอาการสงบ ก่อนหน้านี้ในปี พ.ศ.๒๕๒๑ หลวงพ่อได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท หมอได้วินิจฉัยโรคว่าหลวงพ่อเป็นโรคขาดอาหารมาเป็นเวลา ๓๐ ปี ได้ให้สารอาหารประเภทโปรตีนกับหลวงพ่อ เป็นเวลาถึง ๑ เดือน ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เมื่อกลับวัดหลวงพ่อก็ยังได้ฉันอาหารเพียงวันละ ๑ ครั้งเช่นเดิม โดยไม่เปลี่ยนความตั้งใจหลวงพ่อยังคงคร่ำเคร่งในการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคล ดูเหมือนจะหนักกว่าเก่า สุขภาพหลวงพ่อมองดูภายนอกก็แข็งแรงไม่มีโรคภัยเบียดเบียน ในเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๒๒ หลวงพ่อได้วงปฏิทินวันที่ท่านเริ่มเจ็บเอาไว้ด้วยสีน้ำเงิน และวงปฏิทินวันที่ท่านมรณภาพเอาไว้ด้วยตัวหนังสือสีแดงคือ วันที่ ๑๑ มีนาคม และ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๒ พร้อมทั้งเขียนพระคาถานะโมตาบอด ให้ไว้ เป็นคาถาแคล้วคลาดและกำบัง หลวงพ่อเขียนว่า “อาตมาภาพพระกวย นะตันโต นะโมตันติ ตันติ ตันโต นะโม ตันตัน จะมรณภาพ วันที่ ๑๑ เมษายน เวลา ๗นาฬิกา ๕๕ นาที” พอวันที่ ๑๑ มีนาคม หลวงพ่อก็ล้มป่วย ไม่มีโรคอะไร เพียงแต่ไม่มีกำลัง ฉันอาหารไม่ได้ ไม่ยอมไปโรงพยาบาล มีอาการไข้แทรก ฉันอาหารแทบไม่ได้เลย ไม่มีรสชาติ บางครั้งท่านพ่นข้าวออกจากปาก ไม่ยอมฉันท์แล้วหยิบแผ่นตะกรุดขึ้นมาจาร บางครั้งก็จับสายสิญจน์ปลุกเสกวัตถุมงคล บางคืนถึงสว่าง ร่างกายของท่านปกติก็ผอมมากอยู่แล้วกลับผอมหนักเข้าไปอีก เมื่อมีศิษย์มาเยี่ยมศิษย์เห็นท่านบางคนยังร้องไห้โฮ แทบทุกคนจะร้องไห้ ท่านจะดุศิษย์ว่า “มึงร้องไห้ทำไม กูไปดี เป็นห่วงแต่พวกมึงนั่นแหละ” ช่วงนั้นหวยใกล้จะออก ท่านได้เขียนเลขหวย ๓ ตัวเอาไว้ในฝ่ามือ ใครที่ไปเยี่ยมท่านคนไหนมีโชคลาภ ท่านจะแบมือให้ดู

ในช่วงนั้น (ความจริงตอนนี้ไม่อยากเล่า)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 21, 2013, 01:08:00 pm
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๒๙
วันที่ ๕ ธ.ค. – ๑๕ ธ.ค.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


ผมได้เข้าไปเยี่ยมท่าน เป็นการกราบลาครั้งสุดท้าย นึกขึ้นมาครั้งใดน้ำตาไหลทุกที พอผมขึ้นบันไดกุฏิ ตอนนั้นอาจารย์ตั้วได้มาบอกว่าเข้าไปเยี่ยมท่าน ห้ามไม่ให้ร้องไห้ท่านไม่ชอบ เดี๋ยวท่านดุเอา ผมก็เข้าใจ ช่วงนั้นผมงานยุ่งไม่ได้มาเยี่ยมท่านเสียนาน เมื่อเข้าไปหาท่านได้เข้าไปกราบท่านที่ปลายเท้า ผมไม่แน่ใจว่าท่านจะจำผมได้หรือไม่ เพราะท่านผอมไปมาก ผมได้ถอดตะกรุดแม่ทัพที่ท่านทำให้ท่านดู เผื่อท่านจำผมไม่ได้ท่านอาจจำตะกรุดได้ เมื่อท่านเห็นผมท่านน้ำตาไหล ท่านพูดว่า “ไอ้ครู มึงทำไมพึ่งมา กูคอยมึงตั้งนานแล้ว” พอผมเห็นน้ำตาท่านไหล และท่านพูดว่าท่านคอยผมตั้งนานแล้ว ผมร้องไห้โฮ ไม่เกรงใจใครแล้ว อาจารย์ตั้วได้ดึงผมให้ไปร้องไห้ข้างนอก กลัวท่านจะสะเทือนใจมากไป เมื่อสงบดีแล้วผมได้เข้าไปหาท่านใหม่ ท่านให้เด็กชายที่ไปหยิบห่อพระมาให้ผม ๒ ห่อ ห่อด้วยผ้ายันต์ค่ายกล ห่อหนึ่งเป็นพระพิมพ์สรรค์ อีกห่อหนึ่งเป็นพระสมเด็จหลังรูปเต็มองค์พิมพ์ใหญ่ ท่านพูดว่าหลังรูปเอาไว้แบ่งกันใช้ พระสรรค์ให้เอาเก็บไว้ แล้วท่านก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ท่านหลับตาเข้าสมาธิ
 
วันที่ ๑๐ เมษายน กลางคืนมีศิษย์มาเฝ้าท่านเต็มไปหมด ตอนเช้ายิ่งมาก เพราะทราบว่าท่านจะมรณภาพ แต่ท่านก็ไม่มรณภาพ ท่านผอมมากมีแต่หนังหุ้มกระดูก มีแต่ประกายตาที่สดใสเท่านั้น จนกระทั่งตกกลางคืนท่านก็ไม่มรณภาพ ค่อนสว่างวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๒ ทางกรรมการวัดและศิษย์ใกล้ชิด ได้ประชุมปรึกษากันว่า สงสัยในกุฏิท่านจะลงอาถรรพณ์เอาไว้ ตลอดจนรูปครูบาอาจารย์ คงจะไม่มีใครกล้ามารับท่านแน่ อยากเห็นท่านไปดี จึงปรึกษากัน นำท่านออกมาที่หอสวดมนต์ เมื่อเตรียมที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว อุ้มท่านมาจำวัดที่เตียงที่หอสวดมนต์ ท่านลืมตาขึ้นเป็นการสั่งลาครั้งสุดท้าย แล้วหลับตาพนมมือเกิดอัศจรรย์ระฆังใบใหญ่ที่หอระฆังได้ขาดตกลงมา ดังหง่างๆๆๆๆ ดังยาวนาน ศิษย์ที่อยู่ที่ศาลาเข้าใจว่าท่านมรณภาพแล้ว จึงได้ตีระฆัง คือคิดว่ามีคนตีระฆัง เมื่อจับเวลาดูเป็นเวลา ๗ นาฬิกา ๕๕ นาที (๐๗.๕๕ น.) จับชีพจรท่านดูปรากฏว่าท่านมรณภาพแล้ว ตรงกับวันที่ ๑๒ เมษายน ซึ่งวันที่ ๑๓ เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ของคนไทยโบราณ ศิษย์มากันเต็มไปหมด มืดฟ้ามัวดิน ทางวัดได้จัดสวดอภิธรรม ๑๐๐ วัน กลางคืนได้นำเทปที่ท่านเทศน์นำมาเปิดให้ศิษย์ฟัง ไอ้เจ๊กหมาของท่านร้องโหยหวน มันวิ่งให้ทั่ว มันไม่รู้ว่าหลวงพ่ออยู่ที่ไหน ปัจจุบันในวันที่ ๑๒ เมษายน ของทุกปี เป็นวันทำบุญประจำปีเพื่ออุทิศและระลึกถึงหลวงพ่อ ขอศิษย์ทั้งหลายของหลวงพ่อ ได้จดจำวันนี้ไว้ จะอยู่ใกล้หรือไกล ในวันที่ ๑๒ เมษายนของทุกปี ควรจะทำบุญใส่บาตรหรือมากราบหลวงพ่อที่วัด หรือนำผ้าป่ามาทอดเพื่อระลึกถึงหลวงพ่อ ขอจงปฏิบัติให้ได้ทุกปี ท่านจะมีแต่ความสุขความเจริญ ชีวิตจะไม่ตกต่ำเหมือนกับคำพรของหลวงพ่อ ที่เคยให้ไว้ “ขอศิษย์ทั้งหลาย จงอย่าอด อย่าอยาก อย่ายาก อย่าจน อย่าต่ำกว่าคน อย่าจนกว่าเขา” ก็ขอสมมุติยุติพระประวัติของหลวงพ่อไว้แต่เพียงนี้

หมายเหตุ

จากประวัติของหลวงพ่อ ไม่ปรากฏว่าท่านมาจำพรรษาที่วัดบ้านแคเมื่อใด แต่ต้องก่อนสงครามคือ ๒๔๘๔ แน่นอน ในช่วงนี้หลวงพ่อยังได้เรียนวิชาเพิ่มเติมกับหลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา อ.เดิมบาง ได้เรียนวิชาทำผงจินดามณี เรียนวิชามือยาว ฯลฯ และยังได้เรียนวิชาทำผ้าขอดไปได้กลับได้ และตะกรุดกระดูกงู จากหลวงพ่อแบน วัดเดิมบาง อ.เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี อาจารย์ของท่าน ๒ องค์นี้ มีหลักฐานแน่ชัด แม้ขณะที่พักจำพรรษาที่วัดบางตาหงาย อ.บรรพตพิสัย ยังได้เรียนวิชาเพิ่มเติมกับหลวงพ่อพวง วัดหนองกระโดน ด้วย ในตำรารักษาคนไข้ได้กล่าวถึงเอาไว้ ก่อนมรณภาพตอนที่ท่านล้มเจ็บ ท่านได้พูดกับศิษย์ว่า ถ้าจะให้วัดของท่านรุ่งเรืองทางอาคมเหมือนสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ต้องนิมนต์ศิษย์ของท่านบวชอยู่ที่วัดนี้ถึง ๓ องค์ ทางศิษย์ได้ถามท่านว่ามีใครบ้าง ท่านตอบว่า อาจารย์เม่า (บ้านอยู่ใกล้วัดจั่นเจริญศรี) คนหนึ่ง อีกคนหนึ่งคืออาจารย์จิ๊ต (ชิต) (คนบ้านแค) แล้วท่านก็หยุดพูด เหมือนท่านจะนึกได้ว่าการนำคนที่มีอาคมถึง ๓ คน มาอยู่รวมกันนั้นเป็นไปได้ยาก (อาจารย์เม่า สำเร็จวิชาบังฟัน บีบถ้วยปูนขาวให้ปากถ้วยเข้ามารวมกันได้ หลวงตาจิ๊ต ปัจจุบันบวชอยู่ ไม่ทราบวัด สำเร็จวิชาหินเบา เสกก้อนหินโยนลงน้ำลอยได้)


ครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อ

ต่อไปจะขอกล่าวถึงครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อ เท่าที่มีหลักฐานแน่ชัดตลอดจนมนต์และคาถาที่หลวงพ่อเรียนมา ว่าเรียนมาจากสายไหนหรืออาจารย์องค์ใด ถ้าไม่กล่าวถึงอาจารย์ของท่านพระประวัติของท่านก็ไม่สมบูรณ์ แต่จะขอกล่าวถึงอาจารย์หรือครูบาอาจารย์ที่สอนทางวิปัสสนาและอาคม ตลอดจนเครื่องรางของขลังเท่านั้น แต่เดิมเมื่อหลวงพ่อบวชตั้งแต่พรรษาแรกอายุท่าน ๒๐ ปี พอพรรษาต่อ ๆ มา ท่านก็เรียนเทศน์มหาชาติ และเรียนนักธรรม จนกระทั่งพรรษา ๘ หรืออายุท่าน ๒๘ ปี ท่านจึงเรียนวิปัสสนากรรมฐาน ครูบาอาจารย์ของท่านเท่าที่ทราบมีดังนี้

๑.หลวงพ่อศรี วิริยะโสภิต หรือหลวงพ่อสี อดีตเจ้าอาวาสวัดพระปรางค์ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี หลวงพ่อได้มาเรียนวิปัสสนาจะเรียนอยู่กี่พรรษาไม่แน่ชัด แต่มีหลักฐานแน่ชัดคือ ปีแรกที่เรียนวิปัสสนา ได้พักจำพรรษาที่วัดหนองตาแก้ว อ.เดิมบางนางบวช หลวงพ่อได้ปลูกต้นสมอไว้ ๑ ต้น ขุดสระไว้ ๑ สระ ปัจจุบันศักดิ์สิทธิ์มาก ได้จำพรรษาที่วัดนี้เพียง ๑ พรรษาเท่านั้น แสดงว่าหลวงพ่อได้เรียนวิปัสสนาและอาคม เพียงปีเดียวก็สำเร็จ นอกจากนั้นศิษย์ของหลวงพ่อศรี ที่เป็นพระดีมีวิชาดีหลายองค์ เช่น หลวงพ่อทอง วัดพระปรางค์ หลวงพ่อหร่ำ วัดวังจิก อ.สามชุก สุพรรณ หลวงพ่อเฟื่อง วัดแหลมคาง หลวงพ่อฟุ้ง วัดสะเดา สิงห์บุรี ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มี พระครูพิมพ์ วัดสนามชัย อ.สรรคบุรี หลวงพ่อบัว วัดแสวงหา อ่างทอง หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง ที่โด่งดังทะลุฟ้าก็คือหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง

หลวงพ่อศรีนี้ ปัจจุบันเหรียญท่านรุ่นแรกและรุ่นเดียวของท่านมีราคาแพงมาก แพงอันดับ ๑ ของจังหวัดสิงห์บุรี เมื่อท่านมรณภาพได้ทำฌาปนกิจ ปรากฏว่ามีดาวขึ้นในเวลากลางวัน แม้รูปหล่อท่านกับสถูปที่เก็บอัฐิของท่าน ปัจจุบันศักดิ์สิทธิ์มาก


๒.หลวงพ่อเดิมวัดหนองโพ หลวงพ่อได้เดินทางมาเรียนวิชาเพิ่มเติมกับหลวงพ่อเดิม แต่ไม่ได้พักที่วัดหลวงพ่อเดิม โดยพักที่วัดบางตาหงาย อ.บรรพตพิสัย เฉพาะที่พักจำพรรษาที่วัดบางตาหงาย ท่านอยู่ถึง ๗ พรรษา สมัยนั้นพระครูพิมพ์ยังเป็นเด็กได้เป็นเด็กวัดหิ้วปิ่นโตให้ เมื่อหลวงพ่อกลับมาแล้ว ยังเดินทางไปเรียนวิชาเพิ่มเติมอยู่เสมอ สมัยนั้นเดินด้วยเท้า เคยเดินไปกับลุงลอน ยังมีหลักฐานรูปถ่ายทั้งที่วัดและที่ลุงลอน

หลวงพ่อได้เรียนวิชาทำมีดหมอ ตะกรุด และแหวนแขน เรื่องแหวนแขนนี้ หลวงพ่อเดิมทำเป็นและเก่งด้วย กับหลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว นั้นชอบพอกัน ยังเคยพบเหรียญหลวงพ่อกันกับรูปถ่ายหลวงพ่อกันที่กุฏิหลวงพ่อ ศิษย์ร่วมอาจารย์ที่ยังมีชีวิตอยู่คือ หลวงปู่พิมพา วัดหนองตางู อ.บรรพตพิสัย


๓.ครูบาอาจารย์องค์อื่น ๆ นอกจากหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ แล้ว ยังมีอาจารย์องค์อื่น ๆ อีกหลายองค์ แต่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าหลวงพ่อเรียนมาเมื่อไร ตอนไหน แต่ในตำราคาถาของหลวงพ่อได้เขียนเอาไว้ชัดแจ้งคือ หลวงพ่อแบน วัดเดิมบาง หลวงพ่อได้เขียนผ้ายันต์ และผ้าขอด แบบเดียวกันและได้เขียนชื่อเจ้าของตำราเอาไว้ หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา อ.เดิมบาง หลวงพ่อได้นำพระถอดพิมพ์แบบของหลวงพ่ออิ่ม ทำผ้ายันต์แบบเดียวกันและเขียนชื่อคาถา และชื่อหลวงพ่ออิ่มเอาไว้ หลวงพ่อพวง วัดหนองกระโดน นครสวรรค์ หลวงพ่อเขียนคาถาเอาไว้ และเขียนชื่อเจ้าของเอาไว้คือหลวงพ่อพวง หลวงพ่อเคน วัดดงเศรษฐี อ.บรรพตพิสัย หลวงพ่อเล่าให้หมอเฉลียว เดชมา เอาไว้ว่า เคยมาเรียนแพทย์แผนโบราณ และต่อกระดูก ครูฟุ้ง ครูจำปี เป็นศิษย์ในสายหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อยุธยา ถ่ายทอดวิชาสะเดาะกุมารในท้องให้หลวงพ่อ และวิชาถอนคุณ ถอนของ พอกแป้งให้หลวงพ่อ ครูลุน ครูเพ็ง อาจารย์แหล่ม วัดท่าช้าง เป็นศิษย์ในสายหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ อยุธยา ถ่ายทอดวิชาอาบว่านยา วิชาหินเบา วิชาสัก โดยเฉพาะวิชาสักและอาบว่านยานี้ทำให้หลวงพ่อโด่งดัง เป็นที่ยอมรับของศิษย์มีศิษย์หลายคนที่ได้สักยันต์จากหลวงพ่อไป ยิงไม่ออก นายปาน ถ่ายทอดวิชาลงนะและตัวเฆสะ ของหลวงพ่อโต วัดวิหารทอง นอกจากนั้นหลวงพ่อยังสืบทอดคาถาและยันต์ของหลวงพ่อเฒ่า วัดค้างคาว วัดนี้อยู่ใกล้วัดหลวงพ่อ ยันต์และคาถานี้ตรงกับของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า เพราะหลวงปู่ศุขได้ศึกษาตำราเล่มเดียวกับหลวงพ่อเฒ่า วัดค้างคาว หลวงพ่อเฒ่ามีพรรษาแก่กว่า(ในอำเภอสรรคบุรี หลวงพ่อเฒ่าดังมาก ดังกว่าหลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่าและดังกว่าหลวงพ่อ) หลวงพ่อยังได้ตำราเสกผ้าอาบเป็นกระต่าย ยังได้วิชาจระเข้ และเสือสมิง สามารถทำได้ ปัจจุบันมีศิษย์ที่ทำได้จริง ๑ คน และรู้คาถานี้ปลุกได้ เพียงแต่แปลงร่างไม่ได้อีก ๑ คน
ก็ขอยุติครูบาอาจารย์ของท่านแต่เพียงนี้ เอาเฉพาะที่มีลายมือของท่านเขียนบอกเอาไว้

ปฏิปทา

ต่อไปจะขอกล่าวถึงปฏิปทาของหลวงพ่อ จะบอกกล่าวเพียงสังเขปพอสรุปเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้ คือ

๑.พูดน้อย หลวงพ่อเป็นพระที่พูดน้อย กับคนทั่วไปจะพูดน้อยพูดสุภาพ ระวังตัว ถามคำหนึ่งตอบคำหนึ่ง แต่ถ้าเป็นศิษย์ใกล้ชิด ท่านจะพูดมึงกูใช้ภาษาแบบเก่า ถ้าเป็นหญิงท่านจะพูดว่าอีหนู หนู คุณหนู

๒.ชอบเลี้ยงสัตว์ หลวงพ่อชอบเลี้ยงสัตว์ โดยปล่อยให้อยู่อย่างอิสระยกเว้นลิง ที่ชอบมากคือสุนัขหรือหมา คือหลวงพ่อชอบธรรมชาติจึงชอบปลูกต้นไม้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 21, 2013, 01:08:53 pm
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๓๐
วันที่ ๑๕ ธ.ค. – ๒๕ ธ.ค.๒๕๓๕
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


๓.รักและเมตตาศิษย์ หลวงพ่อจะเมตตาต่อศิษย์ไม่ว่าจะยากดีมีจน ไม่ว่าคนดี หรือคนบ้า ไม่ว่าคนหรือหมา ท่านจะเมตตาเท่าเทียมกันไม่เลือกแม้ดีหรือเลว ติดผง หรือเป็นหญิงหาเงิน ท่านไม่เคยแสดงอาการรังเกียจดูเหมือนจะเมตตา คนบ้า คนจน คนมีปัญหามากกว่า คนปกติด้วยซ้ำ

 ๔.ชอบแจกวัตถุมงคล หลวงพ่อไม่ชอบการจำหน่ายวัตถุมงคล โดยเฉพาะวัตถุมงคลที่ท่านทำขึ้น ท่านชอบให้กับคนมีปัญหา ทุกข์ร้อนทางใจ ใครที่จะมาเช่าบูชาเอาไปมาก ๆ ท่านจะไม่ให้ แม้คนยากคนจน แม้ชอบหรือมีความจำเป็นท่านก็ให้ไม่คำนึงถึงความยากลำบากในการทำ หรือต้นทุนการทำ

๕.ชอบสร้างวัตถุมงคล หลวงพ่อชอบสร้างวัตถุมงคลเป็นที่สุด เช่น มีดหมอ ตะกรุด แหวนแขน พระพิมพ์ หลวงพ่อชอบทำเอง ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการสร้างวัตถุมงคล การพิมพ์พระ และปลุกเสกพระ

๖.ชอบเก็บตัวเร้นลับ หลวงพ่อไม่ชอบรับนิมนต์ ไม่ว่างานอะไรทั้งสิ้น ชอบอยู่แต่ในกุฏิ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ จะไม่รับกิจนิมนต์เลย

๗.ชอบคนจริง หลวงพ่อชอบศิษย์ที่เป็นคนจริงใจถึง ท่านจึงเลี้ยงหมาเอาไว้ เอาไว้ขู่ศิษย์ที่มาหา เพราะท่านจะทำพระ คือถ้าศิษย์จำเป็นจริง ๆ ตั้งใจมาหาท่านจริง ก็จะพยายามต่อสู้กับหมา คือป้องกันคนรบกวนท่านมากเกินไป และหมาท่านนี้ ท่านห้ามไม่ให้ศิษย์ดุหมาให้ใครด้วยยกเว้นท่านจะดูให้เอง แต่ถ้าเป็นผู้หญิงท่านจะดูให้อย่างดี

๘.เป็นผู้คงแก่เรียน หลวงพ่อเป็นพระที่ชอบศึกษาค้นคว้า ชอบเรียนเวทมนต์ คาถา อักขระเลขยันต์ วิชาต่าง ๆ เครื่องรางชนิดต่าง ๆ หลวงพ่อสามารถทำได้ทุกแบบมีตำราเลขยันต์ยาว ๓ – ๔ วา ไม่รู้ว่ากี่เล่มคัดลอก โดยลายมือท่าน ครั้งหนึ่งที่วัดบางตาหงาย อ.บรรพตพิสัย เขานิมนต์พระมาสวดปีละครั้ง แก้อาถรรพณ์ เสนียดจัญไร มีพระระดับหลวงพ่อมาหลายองค์ ทางเจ้าภาพเป็นคนใหญ่คนโต ได้นิมนต์หลวงปู่ หลวงพ่อ แต่ละองค์มาสวดมนต์ พอนิมนต์ถึงหลวงพ่อกวย หลวงพ่อสามารถว่าคาถาได้ ๓ – ๔ ชั่วโมง โดยไม่จบ จนเจ้าภาพต้องนิมนต์ให้จบเพราะเกรงใจท่าน เรื่องนี้ หลวงพ่อเจ้ย วัดห้วย หลวงตาสมาน วัดหัวเด่น ยืนยันได้

๙.ชอบให้ทาน หลวงพ่อชอบให้ทาน คือท่านคงชอบ เคารพ และศรัทธา ในพระมหากัจจายน์ พระสีวลี และพระเวสสันดร ท่านจะอุ้มบาตรพร้อมข้าวตอก ข้าวสาร เกลือ พระพิมพ์ สตางค์เหรียญ ฯลฯ นำเอามาแจกเป็นทาน ในงานประจำปี หรืองานผ้าป่าเป็นประจำ ถ้าเจอคนแก่ท่านจะให้คนแก่เอื้อมไปหยิบของในบาตรท่าน ท่านจะพูดว่าอยากได้อะไรก็หยิบเอา แก่แล้วไปแย่งกับเขาเดี๋ยวเขาจะเหยียบเสียตาย

๑๐.ไม่หวงลาภสักการะ หลวงพ่อเป็นพระที่ไม่สนใจเงินทอง ใครถวายท่านก็รับ แล้ววางไว้ข้างตัว พอศิษย์หรือแขกกลับท่านก็ลุกเข้ากุฏิโดยไม่สนใจเงินทอง ต้องมีกรรมการวัดหรือพระคอยมาเก็บ ถ้ามีใครมานิมนต์พุทธาภิเสก ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ท่านจะบอกปัด หรือท่านจะลองใจคนมานิมนต์ก็ไม่รู้ ท่านจะพูดว่า ไปหาแพซิ(หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง) ไปหาจวน ซิ (หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม) หรือพูดว่าไปหาเชื้อซิ (หลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ) ท่านจะพูดว่านิมนต์เขาไปปลุกเสกซิของจะขายดี คือวัตถุมงคลก็จะจำหน่ายดี โดยท่านจะบอกทางให้เสร็จ โดยท่านจะถ่อมตนว่าเอาท่านไปปลุกเสก คนเขาไม่มีใครรู้จักท่านของก็จะขายไม่ดี คือวัตถุมงคลจะจำหน่ายไม่ค่อยได้ เพราะไม่มีใครรู้จักท่าน

๑๑.ฉันอาหารมื้อเดียว หลวงพ่อถือธุดงค์วัตร ข้อฉันอาหารเพียงเวลาเดียวเป็นเวลาถึง ๓๐ กว่าปี จนกระทั่งมรณภาพ ก่อนมรณภาพ ๑ ปีหลวงพ่อได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท หมอได้วินิจฉัยว่า หลวงพ่อเป็นโรคขาดสารอาหารมา ๓๐ กว่าปี ได้ให้โปรตีนช่วย แม้เมื่อกลับวัดแล้วทางแพทย์ขอให้ท่านฉันอาหาร ๒ เวลา ท่านก็ไม่ยอม

๑๒.ไม่ลงให้ใคร หลวงพ่อเป็นพระที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก ไม่ประจบ หรือลงให้ใคร เข้าใจว่าท่านเคยลงให้ครูบาอาจารย์ท่านมามากแล้ว แม้พระผู้ใหญ่เมื่อไปเจอกันในงานสำคัญ ๆ ท่านก็ไม่เข้าไปกราบ ไม่เข้าไปพูดคุยด้วย แม้ศิษย์และผู้เคารพนับถือท่าน เป็นคนใหญ่คนโตระดับนายอำเภอหรือนายทหารระดับนายพัน นายพล ท่านก็ไม่สนใจ ไม่ต้อนรับพิเศษ ไม่ถามชื่อ ถ้าไม่พอใจ บางทีท่านยังพูดมึง กู คือครั้งหนึ่งนายอำเภอมาหาท่าน เมื่อเจอท่านอยู่ที่วิหารด้านล่างได้ไตร่ถามท่านว่าหลวงตา กุฏิหลวงพ่อกวย อยู่ที่ไหน ท่านได้ชี้ไปที่กุฏิท่าน แล้วนายอำเภอก็ขึ้นกุฏิไปหาท่านปรากฏว่าโดนหมากัด ท่านก็ขึ้นตามไป พอนายอำเภอทราบว่าท่านคือ หลวงพ่อกวย ได้ต่อว่าท่านที่ท่านปล่อยให้หมากัด และได้แนะนำตัวว่าเป็นนายอำเภอ แทนที่ท่านจะพูดดีด้วย ท่านกลับพูดว่า “แล้วใครใช้ให้มึงมาหากู”งานนี้เข้าใจว่านายอำเภอคงจะด่าท่านแหลกลาญ

๑๓.มั่นใจจึงแจก หลวงพ่อได้สร้างวัตถุมงคล พระพิมพ์ เพื่อให้ศิษย์ได้ไว้ป้องกันตัว เพื่อบำบัดทุกข์ทางใจ เพื่อความร่ำรวย เพื่อความสุขความเจริญ

ก่อนที่หลวงพ่อจะมอบวัตถุมงคลให้ใคร หลวงพ่อต้องทดลองดูก่อนว่า จะกันมีด กันปืนได้หรือไม่ เช่น หลวงพ่อจะจารอักขระไว้ที่ต้นไม้ ต้นที่คนชอบเอาปืนยิง แล้วหลวงพ่อจะคอยฟังดูว่า จะยิงออกหรือไม่ออก บางครั้งก็ลองเสกกิ่งไม้ ใบไม้ ให้คนทดลองยิงดู โดยลองดูว่าคาถาบทนี้จะขลังใช้ได้จริงหรือไม่ เมื่อตอนจะสัก ก็ลองสักให้คนที่มีคนหมายปองชีวิต ว่าจะยิงออกหรือไม่ หรือเข้าหรือไม่ แม้พระสมเด็จของท่านเมื่อทำออกมาใหม่ ๆ ท่านจะลองให้คนที่มีหนี้สินจะล้มละลาย หรือคนยาก คนจน เป็นต้น แล้วท่านก็คอยดูว่าเขาจะดีขึ้นหรือไม่ เมื่อเห็นว่าดีจึงจะแจกออกไป

๑๔.อุปนิสัยแปลก หลวงพ่อเป็นพระที่มีอุปนิสัย หรือปฏิปทาแปลกกว่าพระทั่ว ๆ ไป ในบางอย่าง เช่น ไม่ชอบจำหน่ายวัตถุมงคล ชอบแจก ชอบให้ แต่ให้เอาไปใช้เอาไปบูชา มีบางคนได้มาหาท่านมาขอเช่าวัตถุมงคลจากท่าน บางครั้งท่านตอบว่าไม่มีเฉย ๆ ก็เลยเข้าใจว่าไม่ชอบให้เช่า คือท่านไม่ชอบจำหน่ายของรู้สึกว่าท่านละอายใจ แต่ถ้าขอเฉย ๆ โดยไม่นับถือจริง ๆ บางครั้งท่านก็ทำไม่มีเฉย ๆ ก็เคย การเข้าไปขอวัตถุมงคล ถ้าขอโดยไม่เกรงใจ เช่น ท่านจะออกมาพบศิษย์ต่อเมื่อฉันข้าวเช้าแล้วประมาณ ๑๐ โมงเช้า ถ้าศิษย์คนไหนมาหาแบบไม่เกรงใจ คือ เรียกท่านแบบไม่เกรงใจ คือจะขอเช่าของหรือขอของวัตถุมงคลนั่นแหละ แต่ทำแบบไม่เกรงใจ คือเรียกท่านบางครั้งท่านจะยิงด้วยคันกระสุนก็เคยมี นับว่าหลวงพ่อเป็นพระที่แปลกกว่าพระทั่วไป คือเอาคันกระสุนยิงศิษย์ก็เคยมี

ก็ขอยุติปฏิปทาของหลวงพ่อเพียงนี้ เรื่องปฏิปทาของหลวงพ่อนี้มีบางคนไม่ชอบท่าน เช่น ท่านเลี้ยงหมาเอาไว้ขู่ศิษย์ บางครั้งก็กัดจริง ๆ ทำให้ศิษย์บางคนไม่พอใจท่าน อีกข้อหนึ่งที่คนไม่ชอบท่านคือพบยาก คือ เขาว่าหลวงพ่อไม่ต้อนรับแขก เขาเลยไปหาหลวงพ่อองค์อื่น เขาไม่เข้าใจว่าหลวงพ่อกำลังพิมพ์พระอยู่หรือทำตะกรุดอยู่

คุณวิเศษในองค์หลวงพ่อ
ต่อไปจะขอกล่าวถึงคุณวิเศษในองค์หลวงพ่อ พอสังเขปเป็นข้อ ๆ

๑.มีหูทิพย์ ตาทิพย์ รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ รู้อดีตได้ ใครจะมาด้วยเรื่องอะไร ท่านรู้ล่วงหน้าได้ ท่านจะไปสวดมนต์ ไปช้าไปเร็วท่านรู้ หวยจะออกอะไรท่านรู้ ใครฟันหมาท่าน ๆ รู้ แม้ท่านล้มเจ็บจะมรณภาพท่านก็รู้

๒.เป่าแหวนเข้านิ้วผู้อื่นได้ แม้นั่งอยู่ไกล

๔.ทำให้ถ่ายภาพไม่ติดได้

๕.ทำให้คนที่มาหาจำท่านไม่ได้ก็ทำได้

๖.เสกสะเก็ดไม้ให้ปืนยิงไม่ออกก็ได้

๗.ขอดผ้าให้ปืนยิงไม่ออกก็ได้

๘.เรียกมดลงรูได้

๙.เสกข้าวให้ไก่กิน ใครกินไก่ กินไข่ไก่ เป็นขี้กลากก็ได้

๑๐.เอาเชือกผูกหินแล้วตีศิษย์ ศิษย์ไม่เจ็บก็ทำได้

๑๑.คนกำลังยิงปืน บอกให้ยิงไม่ออกก็ได้

๑๒.เอามือบีบหัวแม่มือตัวเองทำให้คนปวดหัวหายปวดได้

๑๓.เอามีดถากไม้ทำให้คนกระดูกหักหายได้

๑๔.ภรรยาปวดท้อง จะคลอดบุตรทำให้ไปปวดที่สามีได้(เจ็บแสบ)

๑๕.ผัวมีเมียน้อย ทำให้กลับบ้านได้

๑๖.รดน้ำมนต์เป็นความแล้วล้มละลายได้

๑๗.ใครมาตามให้พ่นป่วง ให้คนมาตามกินน้ำมนต์ คนเป็นป่วงอยู่ทางบ้านหายได้

๑๘.สึกพระ สามวัน ให้มีเมียเลยก็ได้ แต่เอาดีไม่ได้

๑๙.เสกคนเป็นจระเข้ได้

๒๐.ปลุกเสกวัตถุมงคล ลอยน้ำได้ เสกให้ลอยในอากาศได้

๒๑.พูดกับผึ้งให้ผึ้งไปต่อยคนได้ พูดกับเต่าให้เต่าไปตามคนได้


เกี่ยวกับคุณวิเศษของหลวงพ่อนี้มีหลักฐานผู้ที่ได้วิชาไปดังนี้ นายเฉือน ปั้นสน คนหนองแขม สามารถขอดชายผ้ายิงไม่ออก หมอเฉลียว เดชมา ได้วิชาตีไม่เจ็บ เสือผ่าน อ้นเท่าฉ่ำ หมอแจ๋ ได้วิชาบังไพรหายตัวได้ หลวงตาจิ๊ต สามารถเสกหินลอยน้ำได้ นายยุทธ ยิ้มจู เรียกมดลงรูได้ นายแดง สว่างศรี ได้คาถาหัวใจแมงป่องสามารถจับแมงป่องได้ไม่ต่อย นายชัย คนทางวัดค้างคาว ได้คาถาหัวใจนาคราชสามารถจับงูได้ไม่กัด อาจารย์เหวียน มณีนัย
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 21, 2013, 01:11:47 pm
ลงทีเดียว ๔ ตอนรวด เพื่อความต่อเนื่องในเนื้อหา คงอ่านกันจุใจไปเลย ส่วนใหญ่จะผ่านตากันมาบ้างแล้ว
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: ไพฑูรย์ ที่ สิงหาคม 22, 2013, 08:51:34 am
ขอบคุณมากครับที่นำคุณวิเศษของหลวงพ่อมาเผยแพร่ให้ผู้ที่สนใจทราบ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: anon ที่ สิงหาคม 25, 2013, 10:04:55 am
ขอบคุณครับ รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 26, 2013, 09:12:47 am
อภินิหารในพระคาถา

ปกติหลวงพ่อไม่ค่อยได้ให้คาถา แต่จะให้เฉพาะศิษย์เรียนวิชาเท่านั้น โดยท่านพูดว่า  “ไม่ต้องใช้” ให้นึกถึงท่านก็ใช้ได้ แม้แต่คาถาอาราธนาก็เช่นกัน ให้นึกถึงท่านก็ใช้ได้ แต่ถ้าขอเรียนจริง ๆ ท่านจะให้คาถาโองการมหาทมื่นเป็นการลองใจ โดยท่านจดให้ในส่วนที่เป็นพระคาถา เช่น นะโมพุทธายะฯ ท่านจะเขียนเป็นภาษาขอม ให้ศิษย์ไปถอดเป็นภาษาไทยเอาเอง เมื่อท่องได้แล้วจึงจะเอาบทใหม่ได้ คาถานี้ท่านใช้ปลุกเสกวัตถุมงคล ท่านพูดว่า“วัตถุมงคล เช่น ตะกรุด แหวนแขน พระ ฯลฯ ถ้าจะให้ดีต้องปลุกเสกเป็นหมื่น ๆ จบ”เล่ากันว่า คาถานี้ หลวงปู่เอี่ยมวัดสะพานสูง ท่านก็ใช้ปลุกเสกวัตถุมงคล หลวงพ่อกล่อมวัดมะขามเตี้ย สุราษฎร์ท่านก็ใช้คาถานี้เช่นกัน มีบางคนถามมาว่า คาถานี้ใช้ปลุกเสกวัตถุมงคลอย่างเดียวหรือ ความจริงคาถานี้ใช้ภาวนาเวลาจะผจญศัตรู หรือเจริญมนต์ก่อนนอนก็ดี เวลาจะผจญศัตรูให้ภาวนาพอถึงตอน“กูจะรำลึกถึงครูกูใครก็สู้กูไม่ได้” พอถึงกูจะรำลึกถึงครูกูให้ระลึกถึงหลวงพ่อเดิม หลวงพ่อศรี หลวงพ่อกวย ขนหัวจะลุก ใจจะโตทีเดียว จะเห็นช้างตัวเท่าหมู คาถานี้เป็นคาถาคงกระพันชาตรี คำว่า ชาตรี คือคงทนต่อของแข็งกระดูกจะไม่หักไม่แตก เกจิเมืองสรรคบุรี โดยมากจะรู้คาถาบทนี้แทบทุกองค์ แม้แต่หลวงตาเจ้ย วัดห้วย สมัยมีชีวิตอยู่ไม่ค่อยมีคนนับถือ ท่านใช้คาถานี้เป็นประจำ พระโชนวัดหัวเด่น ยืนยันกับผมเอง เมื่อท่านมรณภาพมีคนเอากระดูกของท่านไปทดลองยิง ปรากฎว่ากระดูกท่านยิงไม่ออก
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ สิงหาคม 26, 2013, 08:23:27 pm
ชอบครับพี่สุดยอดเลยครับบารมีหลวงพ่อกวยคุ้มครองครับ :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 28, 2013, 01:14:28 pm
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๓๑
วันที่ ๒๕ ธ.ค.๒๕๓๕ – ๕ ม.ค.๒๕๓๖
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


คนท่าทองสามารถผ่าไม้รวกได้ด้วยมือ อาจารย์ตี๋สำนักสงฆ์เขาเขียวนั่งบนน้ำได้ อาจารย์เม่าบีบถ้วยแบบสังคโลก ให้ปากถ้วยรวมเข้ามาหากันได้ ฯลฯ

เกี่ยวกับคุณวิเศษของหลวงพ่อนี้พอสรุปเป็นข้อได้ดังนี้ คือ

๑.เป็นผู้มีลาภ หลวงพ่อเป็นพระที่อุดมด้วยลาภท่านได้ปฏิบัติตนเหมือนพระเวสสันดร ปฏิบัติตนเหมือนพระสีวลีเถระ เหมือนพระสังกัจจายน์ ชอบทำทานเป็นที่สุด และยังได้ติดต่อกับพระสีวลีได้แม้ที่กระถางธูปท่าน ท่านก็ทำธงพระสีวลีบูชาอยู่ ท่านสวดคาถาบูชาทุกวันทำให้ท่านเป็นพระที่อุดมลาภ มีคนมาขอหวยท่าน ถ้าท่านเห็นว่าจะพอมีโชคลาภท่านก็จะเขียนให้ตรง ๆ เลย กับคนใกล้ชิดกับท่านถ้าไปไหนด้วยกันถามท่านว่าเลขไหนดี ท่านจะบอกออกไปเลย แม้ก่อนที่ท่านจะมรณภาพท่านยังเขียนเลขไว้ในฝ่ามือ ถ้าใครมีโชคมีลาภมาเยี่ยมท่าน ท่านจะแบมือให้ดู แม้เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว ใครบูชารูปท่านอยู่ขอโชคขอลาภจากท่าน ท่านให้ได้จะให้เลย มีคนถูกหวยเพราะบูชารูปท่าน มีเป็นร้อยคน บางคนได้ส่งเงินมาทำบุญมูลนิธิตก ๑๐,๐๐๐ บาท เพราะถูกหวยจากการขอพรท่าน มีคนถูกหวยกันมาก ชนิดไม่เคยมีปรากฏมาก่อน ผมเคยไปวัด มีคนมาแก้บนชื่อเรณู บ้านอยู่ทางวัดค้างคาว ถูกหวยติดต่อกัน ๑๘ งวด เกี่ยวกับการที่ท่านเป็นผู้อุดมลาภนี้ เมื่อมีคนบูชารูปท่านจะปรากฏว่ามีความสุข ความเจริญ ซื้อง่าย  ขายคล่อง สมกับคำพรของท่านที่เคยให้แก่ศิษย์ไว้คือ “ขอให้อย่าอด อย่าอยาก อย่ายาก อย่าจน อย่าต่ำกว่าคน อย่าจนกว่าเขา”

๒.เป็นผู้คงแก่เรียน หลวงพ่อเป็นพระที่ชอบศึกษาค้นคว้า เรียนมามาก ไม่ว่าตำรายา ตำรายันต์ คาถาอาคม เรียนมาแทบทุกบท แทบทุกยันต์ ปัจจุบันตำรายาของท่านที่ท่านเรียนเอาไว้ จดใส่สมุดเล่มหนา ๆ เอาไว้เกือบ ๑๐๐ เล่ม ตำรายันต์ต่าง ๆ มีเก็บไว้เป็นตู้ จดเองกับมือ คาถายาว ๆ ท่องได้หมด เครื่องรางทำได้เกือบทุกชนิด ทำได้ขลังด้วย ไม่ว่าปลัด แหวนแขน ตะกรุด เชือกคาดเอว ผ้ายันต์ เบี้ยแก้ วัวธนู ควายธนู กุมารทอง รัก-ยม ฯลฯ วัตถุมงคลรุ่นแรก ๆ ท่านทำเองกับมือด้วย เช่น พระหินแกะ กระเบื้องแกะ กุมารทองกระดูกผีแกะ ท่านยังเคยทำตัว พ.พาน ที่ทำด้วยก้านธูปพันด้วยสายสิญจน์มอบให้ศิษย์ใกล้ชิดคือ หมอเฉลียว เดชมา กับนายที ทำให้ไว้คนละตัว เมื่อหมอเฉลียวถามท่านว่า “หลวงพ่อทำเป็น น่าจะทำออกมามาก ๆ ” หลวงพ่อตอบว่า “เอาไว้ให้หลวงตาเย็น เอาไว้สร้างโบสถ์มั่ง ไปทำซะหมดทุกอย่างได้อย่างไร”  หลวงพ่อยังสามารถทำเครื่องรางของขลังได้อัศจรรย์ คือ สามารถเตือนภัยได้ สิ่งนั้นคือ แหวนแขน สามารถเตือนภัยรัดแขนได้ ไม่ปรากฏมีมาก่อน

สรุปได้คือ หลวงพ่อเป็นพระที่ชอบศึกษาทางอาคมมาก ไม่ว่าวิชา ตำรายา ตำรายันต์ อาคมที่ปรากฏชื่อของครูบาอาจารย์เจ้าของยันต์เจ้าของอาคม ที่มีอยู่เป็นหลักฐานยืนยันได้และเป็นที่รู้จักคือ หลวงพ่อโต วัดวิหารทอง หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ หลวงพ่อแบน วัดเดิมบาง หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา หลวงพ่อพวง วัดหนองกระโดน หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติฯ เฉพาะยันต์ที่เป็นยันต์ต่าง ๆ กันภัยกันปืน ค้าขาย เมตตา กันกระทำ หายตัว กันยมทูต กันเพลี้ย กันหนอน ยันต์ปลุกให้ตื่น ฯลฯ เฉพาะที่เป็นยันต์ต่าง ๆ ที่หลวงพ่อเรียนมา มีหลายร้อยยันต์ ท่านได้เขียนผ้ายันต์เอาไว้ยันต์ละ ๑ – ๒ ผืน ได้ผ้ายันต์มาถึงหลายร้อยผืน แม้แต่อาคมแปลก ๆ ท่านก็เรียนเอาไว้ ที่เด่นที่สุด คือ คนปวดหัว ปวดท้อง ถ้าไปบอกท่าน ท่านจะเอามือบีบนิ้วโป้งท่าน ปรากฏว่าคนปวดหัวปวดท้องหาย คนจะออกลูกจะให้สามีปวดแทนท่านก็ทำได้ นับว่าหายาก แม้วิชาขั้นสูงสุด เช่น ผูกหุ่นพยนต์เป็นสัตว์ต่าง ๆ เสกก้านกล้วยเป็นงูเขียว วิชาเสือสมิง วิชาแปลงร่างเป็นจระเข้ หลวงพ่อก็ทำได้


๓.เป็นผู้มีดวงจิตมหัศจรรย์ หลวงพ่อเป็นพระที่มีเมตตาต่อศิษย์ต่อคนทั่วไป เมื่อหลวงพ่อฝึกจิตจนได้หูทิพย์ ตาทิพย์ เมื่อทราบว่าศิษย์หรือผู้เคารพนับถือตกทุกข์ได้ยาก เดือดร้อน ขอโชคขอลาภ เมื่อท่านทราบถ้าช่วยได้ท่านจะช่วยทันที ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เรื่องไกลเรื่องใกล้ หรือเรื่องไม่เป็นเรื่อง ถ้าช่วยได้ท่านจะช่วยเลยไม่ลังเล ถ้าเป็นเรื่องดีเรื่องค้าเรื่องขายยิ่งชอบช่วย จิตของท่านกว้างไกลมากแม้อยู่ต่างประเทศก็ช่วยได้ เคยมีศิษย์ของท่านไปรบที่ลาวถูกล้อมอยู่ ท่านเคยถอดจิตเดินนำหน้าศิษย์ฝ่าวงล้อมออกไปได้ เพียงแค่ร้องขอให้ท่านช่วย บางคนตัดรูปท่านในหนังสือเอาไปบูชารูปไม่ได้ปลุกเสก ขอพรต่อท่านซื้อหวยถูกได้ บางคนได้ขอพรต่อรูปท่านในหนังสือยังถูกหวยได้ บางคนไปสมัครงานเขารับวุฒิ ปวส. แต่ศิษย์ท่านจบวุฒิ ปวช. คือวุฒิต่ำกว่าได้บอกเล่าท่านปรากฏว่าเขารับ ซึ่งแปลกมาก ทั้ง ๆ ที่วุฒิ ปวส. ก็มีตัวให้เลือก เรื่องจิตของท่านที่เมตตาศิษย์และคนทั่วไปนี้ เมื่อท่านสร้างวัตถุมงคลท่านจึงไม่มีข้อห้าม ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะดีหรือบ้า จะประกอบอาชีพอะไรก็บูชาของท่านได้ ไม่ว่าจะเป็นนักร้อง ดารา ผู้หญิงบาร์ หมอนวด หรือโสเภณี ใช้ได้หมด ผู้ชายจะเป็นเสือเป็นโจร หรือเป็นพวกรถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ ก็ใช้ได้ เพราะจะทำให้ผู้นั้นได้ประพฤติปฏิบัติเป็นคนดีขึ้น

สรุปคือ หลวงพ่อเป็นผู้มีลาภ มีวิชาดี มีเครื่องรางดี มีจิตดี


คำสอนของหลวงพ่อ

หลวงพ่อเป็นพระที่พูดน้อย จึงไม่ค่อยได้สอนศิษย์มากนัก หลวงพ่อมักจะทำให้ดู โดยเฉพาะการพูดคุย หรือสอนการนั่งวิปัสสนานั้นหลวงพ่อจะไม่พูดถึงเล่น ๆ เด็ดขาด หลวงพ่อกลัวเขาว่าอวดอุตริ แต่หลวงพ่อก็มีคำสอนเขียนเอาไว้ตรงข้างฝา หรือใต้รูป หลังรูป พอให้ศิษย์ได้อ่านกัน ท่านไม่ได้แต่งเอง ความหมายจึงไม่ตรงมากนัก แต่ก็ให้ความหมายใกล้เคียงพอเข้าใจ เช่น

ท่านเขียนไว้ที่ข้างฝา ว่าดังนี้


“อยู่คนเดียว เปลี่ยวกาย แสนสบายแต่ไม่สนุก อยู่สองคนมีแต่ความทุกข์ แสนสนุกแต่ไม่สบาย”

ท่านเขียนไว้ใต้รูปท่านพรรษาต้น ๆ ว่าดังนี้

“ศีล เป็น อาภรณ์อันประเสริฐ”

ท่านเขียนไว้ใต้รูปท่าน ตอนปลุกเสกแหวนแขน ที่ วัดชิโนรส ว่าดังนี้

“มีวิชา เหมือนมีทรัพย์ อยู่นับแสน จะตกถิ่นฐานใด คงไม่แคลน ถึงคับแค้นก็ยัง ปะทังตน”

ท่านเขียนไว้ด้านหลังหนังสือธรรมเล่มหนึ่ง ท่านเขียนว่า “ภาษิตของพระพุทธเจ้า”

“วีรชน ต้องสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะไว้ ต้องสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตไว้ เมื่อระลึกถึงธรรมต้องกล้าสละทุกอย่าง ทั้งทรัพย์ ทั้งอวัยวะ แม้กระทั่งชีวิต ก็กล้าสละได้”

ท่านเขียนไว้ที่ตำราคาถาว่าดังนี้

“วิชา เหมือนสินค้า อันมีค่าอยู่แดนไกล ต้องยากลำบากไป จึงจะได้สินค้ามา”

อีกบทหนึ่งท่านเขียนว่า
“เมื่อไม่เรียนแล้วไยเล่าเจ้าจะรู้ เมื่อไม่ดูแล้วไยเล่าเจ้าจะเห็น เมื่อไม่ทำแล้วไยเล่าเจ้าจะเป็น จึงยากเข็ญขัดสนจนปัญญา”

คำกลอน ๖ บทนี้ท่านเขียนไว้ในสมุดบัญชีคนทำบุญ

“ปล่อยให้ยุ่งแล้วมันแย่แก้มันยาก ยิ่งยุ่งมากมันยิ่งแย่แก้ไม่ไหว อย่างให้ยุ่งนุงนังนักจะหนักใจ จงแก้ไขอย่างให้ยุ่งนุงนังเอย”

“ห้ามอันใดพอห้ามได้ดูไม่ยาก แต่ห้ามปากยากจิตคิดไฉน ใจมันอยากปากจะกินจนสิ้นใจ เหลืออะไรที่จะห้ามปราบปรามมัน”

“อันวาสนาของมนุษย์สุดคาดหมาย ย่อมกลับกลายไม่แน่นักมักแปรผัน ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหนระคนกัน มีจนนั้นผันแปรไม่แน่นอน”

“มีจะมาก็เพราะหาเข้ามาไว้ มีไม่ได้เพราะนิสัยไม่ขยัน มีมากแล้วใช้หมดก็อดกัน วันหน้านั้นกินอะไรเพราะไม่มี”

“ถึงมีมากใช้มากก็มักหมด พอยามอดก็เสียใจเพราะไส้แห้ง เป็นหนี้สินรุงรังนั่งตาแดง ใครเขาแกล้งเหตุเพราะตัวมัวเมาเอง”

“มีเฟื้องมีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดโดยเป็นของต้องประสงค์ มีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน”



ท่านเขียนไว้ใต้รูปก่อนพรรษาสุดท้ายว่า

“อันความตายชายนารีหนีไม่พ้น จะมีจนก็ไม่พ้นตนเป็นผี ถึงแสนรักก็ต้องร้างห่างทันที ไม่วันนี้ก็วันหน้าจริงหนาเรา”


ท่านเขียนไว้ที่ปฏิทินสมัยที่ท่านสักให้ศิษย์ว่า

“อย่าประมาทขาดสติ ศิษย์มีหลักเหมือนพยัคฆ์มีเขี้ยว ศิษย์มีครูเหมือนงูมีพิษ ปัจจามิตรพินาศสูญ”

คือหลวงพ่อสอนให้ศิษย์ไม่ให้ประมาท ขาดสติ ข้อนี้เป็นข้อยุติ


ของวัตถุมงคลของหลวงพ่อคือห้ามโวยวาย ห้ามร้องท้าด่าแม่ ถ้าโวยวายร้องท้าด่าแม่ ขาดสติเมื่อไร เลือดเมื่อนั้น คือวัตถุมงคลของหลวงพ่อ คาถาทุกบท หลวงพ่อไม่ห้าม แม้ศีลข้อหนึ่งข้อใด แม้อาหารก็ไม่ห้าม แต่ห้ามโวยวาย ห้ามร้องท้าด่าแม่ ห้ามประมาทขาดสติ ข้อความนี้มีหลักฐานลายมือ อีกตอนหนึ่ง หลวงพ่อสอนว่า ถ้าจะให้มีอำนาจตบะ จะเป็นคนเหนือคน อย่ากินของเหลือเดนคนอื่น ข้อความนี้หมายถึงไม่ให้กินอาหารเหลือเดน อาหารเน่าเสีย อย่าเห็นแก่กิน รวมทั้งการแย่งชิงภรรยาคนอื่นมาเป็นของตน ใครถือข้อนี้ได้จะมีอำนาจตบะไปไหนมีคนเกรงใจ จะมีอำนาจในตัว อีกตอนหนึ่งหลวงพ่อสอนว่าถ้าจะเป็นคนจอมคน ให้ใช้ปัญญา ความหมายของคำสอนข้อนี้คือ ถ้าจะเป็นคนเหนือคนต้องใช้ปัญญา
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ สิงหาคม 28, 2013, 06:44:08 pm
อ่านแล้วหลวงพ่อกวยรักลูกศิษย์มากๆๆจริงๆๆครับ สั่งสอนให้ทำความดี ;D ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 29, 2013, 09:32:11 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๓๒
วันที่ ๕ ม.ค. – ๑๕ ม.ค.๒๕๓๖
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


หลวงพ่อพูดว่า คนเราต่างกันที่ปัญญา  จะรวยจะจนอยู่ที่ปัญญา คือทำอะไรให้ใช้สมองไตร่ตรองพิจารณา ข้อความนี้คล้ายเข้าใจ แต่เข้าใจยาก เฉพาะคำสอนนี้ใครตีปริศนาข้อนี้ออก และนำไปใช้ จะเป็นคนเหนือคน

วัตถุมงคลและเครื่องรางของขลัง
 
ต่อไปจะขอกล่าวถึงวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังของหลวงพ่อ ที่หลวงพ่อได้สร้างเอาไว้ ทั้งชนิดทำเองกับมือ และปลุกเสกให้วัดต่าง ๆ

๑.  ประเภทเหรียญรูปท่าน สร้างในนามวัดมี ๓ รุ่น

๑.๑  เหรียญรุ่น ๑ กลมใหญ่ประมาณ ๕,๐๐๐ เหรียญ เนื้อฝาบาตรรมทอง เนื้ออัลปาก้าก็มีแต่น้อยสร้าง พ.ศ.๒๕๐๖ หลังยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้า เต็มองค์

๑.๒  เหรียญรุ่น ๒ กลมขนาดเหรียญฝาบาทรุ่นเก่า ทองแดงรมดำ เป็นเหรียญเต็มองค์ หลังคาถานะโมตาบอด สร้าง พ.ศ.๒๕๑๕ เสาร์ ๕

๑.๓  เหรียญรุ่น ๓ เป็นเหรียญโล่เต็มองค์ ทองแดงรมดำ รมน้ำตาล หลังยันต์ อีกแบบเป็นเนื้ออัลปาก้าหลังหนุมาน ชนิดกะไหล่ทองก็มี อีกแบบเป็นเหรียญรูปพุ่มข้าวบิณฑ์หลังยันต์ ๔ เหลี่ยม ออกงานฝังลูกนิมิต พ.ศ.๒๕๒๑ เหรียญทองแดงสร้าง ๔๐,๐๐๐ เหรียญ เหรียญอัลปาก้า ๒๐,๐๐๐ เหรียญ

๒.  ประเภทเหรียญรูปท่าน สร้างให้วัดอื่น มี ๒ รุ่น

๒.๑  เหรียญเขาใหญ่ สร้างให้วัดเขาใหญ่ เป็นเหรียญทองแดงรมดำ รมน้ำตาล เหรียญครึ่งองค์รูปไข่ ปลุกเสกที่วัดจีน แล้วนำมาออกที่วัดเขาใหญ่ อำเภอเดิมบาง ปลุกเสกพิธีใหญ่ สร้างประมาณ พ.ศ.๒๕๑๗ สร้าง ๕,๐๐๐ เหรียญ

๒.๒  เหรียญโล่ครึ่งองค์ ออกวัดเดิมบาง สร้างประมาณ พ.ศ.๒๕๑๕ ปลุกเสก ๒ ปี แล้วนำมาเข้าพิธีที่วัดอีกครั้งหนึ่ง สร้าง ๒๐,๐๐๐ เหรียญ รมดำกับรมนาค

๓.  ประเภทเครื่องราง หลวงพ่อทำเองกับมือ

๓.๑  แหวนแขน ทำด้วยผ้าขาว ผ้าจีวร ถักเป็นมงคลสวมแขน ลงรักก็มี ไม่ลงรักก็มี ชนิดลงรักแพงมาก

๓.๒  ผ้าขอด ทำด้วยผ้าขาว ผ้าแดง ผ้าจีวร ตรงขอดจะกลม มี ๕ ขอด ๗ ขอด ขอดเดียว ชนิดขอดพิเศษจะเอาปลายผ้ามาผูกกัน เรียกว่าขอดไปได้กลับได้ หายาก ทำเฉพาะคน

๓.๓  หนังเก้งลงยันต์ ใช้หนังเก้งมาลงอักขระ ยันต์ ให้เฉพาะคน หนังเสือก็มี

๓.๔  ตัว พ.พาน ตัว พ.พาน หักจากไม้ก้านธูป ผูกด้วยด้ายสายสิญจน์ทำให้เฉพาะคน

๓.๕  ดีสัตว์ เป็นดีสัตว์ชนิดต่าง ๆ ที่ตายเอง หลวงพ่อจะนำมาปลุกเสก ใช้เคล็ดคำว่าดี และยังนำมาป่นผสมทำพระสมเด็จ

๓.๖  ปลัด ชนิดทำจากไม้ก็มี มีฝีมือหนึ่งที่ดูง่าย เป็นของช่างทางบ้านแหลมหว้า อ.เดิมบาง ชนิดตะกั่วก็มี ตะกั่วผสมเงินก็มี สั่งทำก็มี หล่อเองก็มี ชนิดตะกั่วและตะกั่วผสมเงิน นิยมมาก มีประมาณ ๔ – ๕ รุ่น ปลัดงาแกะก็มี

๓.๗  มีดหมอ สร้างตามตำราโบราณ ผสมตำราของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ รุ่นแรกทำด้วยไม้ ด้ามไม้ ฝักไม้ มัดตีเอง ตีกับช่างอุ้ย คนบ้านคู รุ่นต่อมาสั่งทำจากช่างพยุหะ มีทั้งด้ามไม้ฝักไม้ ด้ามงาฝักงา ด้ามงาฝักไม้ ชนิดปากกาก็มี ชนิดปากกาเล่นหากันแพงมาก แพงเป็นอันดับ ๒ รองจากของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ

๓.๘  ตะกรุด หลวงพ่อทำเองกับมือทุกดอก บางดอกถักหุ้มเอง ทำสายเอง แต่ต้องจารเองและม้วนเอง สามารถจารเองและม้วนเองได้ จนวาระสุดท้ายคือก่อนมรณภาพ แม้ตอนกลางคืนมืด ๆ ก็จารได้ มีทั้งตะกรุดโทน ตะกรุดแม่ทัพ ๒ ดอก ตะกรุด ๓ ดอก ๕ ดอก ๗ ดอก ๖ ดอก ตะกรุดคลอดลูก ตะกรุดเมตตาค้าขาย ตะกรุดแคล้วคลาด มีทั้งทองแดง ทองเหลือง อลูมิเนียม มีทั้งชนิดถักหุ้ม และไม่ถักหุ้ม มีทั้งมีสาย และไม่มีสาย ชนิดมีสายครบดูง่าย ลายถักครบ ดอกใหญ่สมบูรณ์เล่นหากันแพงมาก ครั้งสุดท้ายมีคนเช่ากันถึงดอกละ ๔๐,๐๐๐ บาท ตะกรุดเมตตาค้าขาย กับตะกรุดแคล้วคลาดออก พ.ศ.๒๕๑๕ เมื่อหลวงพ่อมรณภาพ มีเหลือตกค้างกับศิษย์ใกล้ชิดจำนวนหนึ่ง  นอกนั้นยังมีตะกรุดทำด้วยไม้รวกยอดด้วน ตะกรุดกระดูกนกสาลิกา นกการะเวก นกแร้ง ฯลฯ

หมายเหตุ ตะกรุด ๑๐๘ ดอกสั่งทำ หลวงพ่อเคยหล่อตะกรุดลงถม ๒ ดอก ไม่มีจาร หล่อพร้อมพระร่วงยืน พระร่วงก็ใช้ตะกรุดลงถมหล่อเช่นกัน หล่อ ๑ องค์เท่านั้น

๓.๙  หนุมาน เนื้อทองเหลือง นั่งสมาธิ สั่งหล่อ

๓.๑๐  สิงห์คอยาว สร้างด้วยเนื้อตะกั่ว มีทั้งชนิดสั่งทำ และหล่อเอง เนื้อตะกั่วกะไหล่ทองก็มี สั่งทำเช่นกัน

๓.๑๑  รัก-ยม กุมารทอง รัก-ยม กุมารทอง รุ่นเก่า พ.ศ.๒๕๑๒ ๒๕๑๕ หลวงพ่อแกะเอง รัก-ยมจะตัวโตดูง่าย กุมารทองของเก่าแกะจากกระดูกผี หลวงพ่อแกะเอง กุมารทองชนิดงาสั่งทำ ชนิดตะกั่วสั่งทำก็มี หล่อเองก็มี ในงานฝังลูกนิมิต พ.ศ.๒๕๒๑ สั่งทำ ชนิดแกะเองตัวโตหายาก แพงมาก

๓.๑๒  นามบัตรของท่าน นามบัตรของหลวงพ่อ มีคนพิมพ์ถวายให้ท่าน พิมพ์ด้วยตัวทองอย่างดี ท่านไม่กล้าแจกใคร แต่ปลุกเสกเอาไว้ เคยแจกคนเขาพกติดตัวแล้วไปติดต่อการงานดี คล้าย ๆ เกรงใจ คล้ายใบผ่านด่าน

๓.๑๓  ผ้ายันต์หรือผ้าประเจียด หลวงพ่อทำเองกับมือทุกผืน ยกเว้นชนิดพิมพ์ทำแจกเฉพาะคน มีเป็นร้อยผืน ถ้ายันต์แบบไหนยังไม่เห็นผลจะทำเพียงผืนเดียว ถ้าแบบไหนเห็นผลดีจะทำไว้มากหน่อย เขียนได้แทบทุกยันต์ ยุคแรกใช้หมึกจุ่ม ยุค ๒ ใช้ปากกาหมึกแห้ง ยุค ๓ ใช้สีเมจิค หยุดสร้าง พ.ศ.๒๕๑๕ หลังจากนั้น พ.ศ.๒๕๒๑ ใช้วิธีพิมพ์เอา ผ้ายันต์ที่พบมียันต์กันโรคระบาดสัตว์ กล่าวถึงการขอชีวิตต่อยมบาล ยันต์กันเพลี้ย กันหนอน กินข้าว ยันต์ปลุกให้ตื่นเวลามีภัย ผ้ายันต์หายตัว ใช้คลุมหัวหายตัวได้ ยันต์มหากาฬ ยันต์กันอาถรรพณ์ ยันต์กันภูติพราย ยันต์กันอาวุธ กันปืน กันภัย ยันต์พระพุทธเจ้าชนะมาร ยันต์สิวลีบูชาแล้วโชคลาภดี ยันต์เรียกคน ลงมนต์จินดามณี ยันต์ค่ายกล ยันต์อิทธิเจ ยันต์หงษ์คู่ ยันต์สิงห์คู่ เสื้อยันต์ก็เคยทำ มีทั้งชนิดเขียนเองและพิมพ์ ผ้ายันต์เสริมดวงชะตา ฯลฯ ผ้ายันต์ที่หลวงพ่อเขียนเองนี้ดีมาก หายากมาก ถ้าเป็นยุค ๑ ยุค ๒ ยิ่งหายากมาก บางยันต์แม้ตลอดชีวิตก็หาคนปล่อยไม่ได้ หาไม่ได้

๓.๑๔ ลูกปืนลงอาคม หลวงพ่อทำเองเช่นกัน โดยทำให้ศิษย์ที่มาขอให้ทำ ใช้ลูกปืนที่ด้านมาลงอักขระหรือถอดหัวลูกปืนออก แล้วบรรจุผงหรือทราย ลูกที่แกะหัวออก บรรจุผงหรือทรายอาจไม่มีจาร ที่ไม่ได้บรรจุอะไรเลยก็มี แต่มีจาร ส่วนลูกไรเฟิล ลูกเล็กยาวจะบรรจุตะกรุดมหาอุด ๑ ดอก มีแทบทุกขนาด เช่น ลูกกรด .๒๒ .๓๘ ลูกไรเฟิล ลูกเล็กยาว เอ็ม ๑๖ อาร์ก้า (ลูกยิงเครื่องบินก็มี แต่หลวงพ่อไม่เอาลูกด้าน) ปัจจุบันหายากเช่นกัน ชนิดลูกกรดหัวทองแดงสวยแพงมาก ชนิดบรรจุตะกรุดก็แพงเช่นกัน

๓.๑๕ สีผึ้ง สีผึ้งเป็นของเย็นอนุโลมให้อยู่ในประเภทเครื่องรางพอได้ สีผึ้งเก่าหลวงพ่อจะหุงเองสีขาว ไม่ปรากฏว่าศิษย์คนใดนำสีผึ้งเก่ามาจำหน่าย เขาจะหวงมาก ดีมาก ในงานฝังลูกนิมิต พ.ศ.๒๕๒๑ มีสีผึ้งเป็นตลับจำหน่าย เป็นของสั่งทำ มีตะกรุด ๒ ดอก ปลาตะเพียน พระนางกวัก ๑ องค์ เครื่องอีกประเภทหนึ่งที่ดีมาก คือผ้าสังฆาฏิผืนของหมอเฉลียวเดชมา หลวงพ่อปลุกเสกตั้งแต่เรียนวิชายั้น พ.ศ.๒๕๒๑

๔.  ประเภทพระเนื้อผง หลวงพ่อสร้างพระเนื้อผงด้วยมือหลายพิมพ์ ได้รับความนิยมสูงมาก ทำเองกับมือใช้พิมพ์มือกดใช้มือบีบ มีส่วนผสมของผงวัดระฆังโฆษิตารามของสมเด็จโต ขนนกการะเวก ไม้คันทรงตีระฆัง ผงของท่านเองลบเอง เกศาของท่าน เกศาครูบาอาจารย์ เกศาผู้มีบุญญาธิการสูง ผงอิทธิเจที่ทาตัวแล้วจะหายตัวได้ ผงจินดามณี บางรุ่นผสมผงผี จะเรียงอันดับความนิยมมากน้อยสัก ๓ อันดับ ในข้อ ๔ นี้ หลวงพ่อทำเองทั้งหมด

๔.๑ สมเด็จพิมพ์แหวกม่าน บางคนเรียกพิมพ์เผยม่าน พิมพ์นิยมจะอกใหญ่ รองนิยมจะมีเม็ดไข่ปลา แต่สร้างพร้อมกัน ใช้ผงล้วน ๆ ต่อมาสร้างพิมพ์ใหญ่ไม่สวยนัก อีกรุ่นหนึ่งทำพร้อมปรกโพธิ์มีขนาดเท่ารุ่นแรก ชนิดเนื้อดินก็มีไม่แพงนัก พระพิมพ์นี้ใครมีไว้ครอบครองจะรวยทุกคน คนมีบุญเท่านั้น ที่จะได้ไว้ครอบครอง สร้างก่อน พ.ศ.๒๕๐๐

๔.๒ สมเด็จพิมพ์ปรกโพธิ์ ๙ ใบ มีขนาดใหญ่กว่าสมเด็จธรรมดาอีกเท่าตัว มีใบโพธิ์ ๙ ใบ ด้านหลังมี พ.ศ.๒๕๑๓ ก็มี มีอักขระยันต์นูนก็มี ยันต์จมก็มี ด้านหลังเป็นรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผมก็มี พระ พ.ศ.๒๕๑๓ นี้จะมีเกศาของผู้มีบุญญาธิการสูง ใครมีไว้ครอบครองจะรวยทุกคน ผู้มีบุญเท่านั้นที่จะได้ไว้ครอบครอง ก่อนหน้านี้ได้สร้างออกมา ๒ รุ่น เป็นโพธิ์ ๙ ใบเช่นกัน แต่ไม่นิยมนัก รุ่นแรกมีอักขระ ๔ ตัวด้านหลัง รุ่น ๒ เป็นยันต์ดวงแก้วด้านหลัง รุ่น ๓ เป็นรุ่นนิยม พ.ศ.๒๕๑๕ ได้สร้างปรกโพธิ์เล็ก มีใบโพธิ์หลายใบราคาไม่แพงนัก มีอักขระ ๔ ตัว
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 29, 2013, 09:35:24 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๓๓
วันที่ ๑๕ ม.ค. – ๒๕ ม.ค.๒๕๓๖
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


๔.๓  สมเด็จด้านหลังมีรูปเหมือนท่าน เรียกว่าสมเด็จหลังรูป สมเด็จหลังรูปจะผสมทรายเงินจากอินเดีย รุ่นอื่นไม่ปรากฏว่าผสม มีขนาดเท่าสมเด็จทั่ว ๆ ไป ด้านหลังมีรูปท่านรูปเป็นเนื้อสมเด็จ ไม่ใช่ถ่ายรูปถ่ายเอามาแปะไว้หายากมาก ออกประมาณ พ.ศ.๒๕๑๒ ในปี พ.ศ.๒๕๑๕ – ๒๕๑๗ ได้สร้างสมเด็จหลังรูปรุ่น ๒ เป็นการสร้างครั้งสุดท้าย ใช้ผงผสมมาก ใช้ผงผีผสมด้วย อีกรุ่นหนึ่งเป็นสมเด็จด้านหลังมีรูปครึ่งองค์ เรียกว่า สมเด็จกรอบกระจก สมเด็จรุ่นนี้สั่งทำ สมเด็จที่มีแต่รูปท่านก็มีหลังเรียบ

๔.๔  สมเด็จหลังเรียบ สมเด็จหลังเรียบนี้หลวงพ่อทำไว้หลายพิมพ์ชนิดที่ดูง่าย และมีเกศาจะแพงมากเช่นกัน รุ่นเก่าสร้างก่อน พ.ศ.๒๕๐๐ เท่าที่พบมีเกือบ ๑๐ พิมพ์ ความแพงขึ้นอยู่กับความดูง่าย กับเนื้อหนักแน่น บางพิมพ์หลวงพ่อก็จารคาถา จารยันต์ก็มี สมเด็จพิมพ์จิ๋วก็มี

๔.๕  สมเด็จพิมพ์ทรงเจดีย์หลังยันต์ รูปแบบคล้ายเจดีย์ คือมีเงาขององค์พระเป็นรูปเจดีย์ มีรัศมี มียันต์ด้านหลัง คล้ายยันต์ปรกโพธิ์ สมเด็จหลังยันต์แบบปรกโพธิ์เท่าที่พบมี ๓ พิมพ์ คือ พิมพ์อกร่อง พิมพ์ทรงไกเซอร์ กับพิมพ์นิยมมียันต์แบบเดียวกัน

๔.๖ สมเด็จพิมพ์ประทานพร คล้ายพระพุทธเจ้าประทานพร หรือพระพุทธกวัก สร้างประมาณ ๓ ครั้ง คือก่อน พ.ศ.๒๕๑๒ ๒๕๑๒ ๒๕๑๕

๔.๗ สมเด็จพิมพ์พระประธาน ด้านหลังเป็นยันต์อมโลก เขียนว่าวัดบ้านแค

๔.๘ สมเด็จปรกโพธิ์เล็กมีใบโพธิ์หลายใบ มีอักขระด้านหลัง ๔ ตัว

๔.๙ สมเด็จหลังรูปใหญ่ หรือหลังรูปรุ่น ๒

๔.๑๐ สมเด็จด้านหลังมะอะอุ คือมีคาถา มะอะอุ ๓ ตัว ทำ ๓ ครั้ง

๔.๑๑ สมเด็จพิมพ์อู่ทอง เป็นรูปคล้ายพระพุทธพิมพ์อู่ทอง ด้านหลังมีอักขระ

๔.๑๒ สมเด็จพิมพ์ไกเซอร์หลังยันต์ มียันต์แบบปรกโพธิ์ พ.ศ.๒๕๑๒

๔.๑๓ สมเด็จพิมพ์นิยมหลังยันต์ มียันต์แบบปรกโพธิ์ พ.ศ.๒๕๑๕

๔.๑๔ สมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ หลังยันต์ดวงแก้ว สร้างประมาณ พ.ศ.๒๕๑๒

๔.๑๕ สมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ หลังอักขระ ๔ ตัว สร้างประมาณ พ.ศ.๒๕๑๐

๔.๑๖ พระสีวลี เท่าที่พบเนื้อผงจะเป็นพิมพ์ใหญ่ สีดำ ขาว

๔.๑๗ พระรอด เท่าที่พบเนื้อผงจะเป็นพิมพ์เล็ก กับพิมพ์ใหญ่

๔.๑๘ นางกวัก เท่าที่พบ มี ๒ – ๓ พิมพ์ แต่มีขนาดเดียว

๔.๑๙ สมเด็จด้านหลังมีสิงห์องค์ขนาดเล็กพอดี ด้านหลังปั๊มสิงห์เป็นตัวนูน องค์พระมีขนาดเท่าแหวกม่านหายาก

๔.๒๐ สมเด็จซุ้มระฆัง เป็นรูปสมเด็จอยู่ในซุ้มระฆัง หลวงพ่อสร้างเพื่อระลึกถึงสมเด็จโต เจ้าของผงนิยมพอสมควร

๔.๒๑ ขุนแผนขี่ไก่ เป็นพระพิมพ์ใหญ่ ทรงสามเหลี่ยม มีไก่อยู่ใต้ล่าง ๑ ตัว นิยมพอสมควร

๔.๒๒ ขุนแผนขี่โหงพราย หลวงพ่อสั่งแกะพิมพ์ พิมพ์ได้ชัดเจน เนื้อผงน้ำมัน รูปพระขี่โหงพราย หน้าเป็นผี ชนิดดินก็มี

๔.๒๓ ขุนแผนทรงพล เป็นรูปขุนแผน หรือพระวัดบ้านกร่าง เนื้อผงขาว ผงดำ

๔.๒๔ ขุนแผนปลุกกุมาร เป็นรูปพระพุทธ มีกุมารทองอยู่ด้านล่างนอนอยู่

๔.๒๕ กุมารทอง เป็นรูป แต่ไม่มีพระ มีแต่กุมารทองเฉย ๆ ทรง ๕ เหลี่ยม นั่งเต็มองค์

๔.๒๖ พระพิมพ์ยอดขุนพล เป็นพระพิมพ์โมคคัลลา สารีบุตร มีทั้งเนื้อผงขาว และเนื้อใบลาน

๔.๒๗ พระลำพูนดำ เป็นพระถอดพิมพ์จาก พระลำพูนดำ ของหลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา อาจารย์ท่าน แต่ของหลวงพ่อไม่ได้ฝังตะกรุด สร้างน้อย

๔.๒๘ พระนางพญา เป็นพระทรงสามเหลี่ยม สร้างไม่มาก ซุ้มคู่ สร้างรุ่นเดียวกับแหวกม่านเก่าสวยมาก ประณีต นิยมมาก

๔.๒๙ ปรกโพธิ์ใหญ่  สร้างก่อน พ.ศ.๒๕๑๐ มีใบโพธิ์ ๒๐ ใบ เนื้อผงขาวพิกุล ทรงสี่เหลี่ยมแบบสมเด็จ

๔.๓๐ สมเด็จพิมพ์อกร่อง หลังยันต์แบบปรกโพธิ์ เท่าที่พบเนื้อพิกุล ประมาณ พ.ศ.๒๕๑๐ นิยมมาก

๔.๓๑ สมเด็จหลังเรียบผสมเกศา สมเด็จบางพิมพ์จะมีเกศาผสมมากทุกองค์ มี ๒ พิมพ์คือ พิมพ์นิยม กับ พิมพ์อกร่องเนื้อผงน้ำมัน นิยมมากสีหินอ่อน

๔.๓๒ พระรอดเนื้อเดียวกับปรกโพธิ์ แกะพิมพ์สวย สร้าง พ.ศ.๒๕๑๓ แพง และหายากมาก ดีมาก ชนิดที่สร้างเนื้อเดียวกับสีวลีก็มี

๔.๓๓ พระสมเด็จพิมพ์แหวกม่าน เนื้อเดียวกับปรกโพธิ์ มีขนาดเท่ารุ่นแรก แต่ราคาเป็นรอง สร้าง พ.ศ.๒๕๑๓

๔.๓๔ พระสรรค์นั่งเนื้อผง มีขนาดเดียวกับเนื้อดิน


๕. ชุดเนื้อดิน หลวงพ่อสร้างพระด้วยดิน หลายพิมพ์ ทำเองกับมือ ที่ดังสุดคือชุดพิมพ์สรรค์ หรือพระพิมพ์ของเมืองสรรคบุรี สร้างมากในข้อ ๕ นี้ จะกล่าวเฉพาะที่หลวงพ่อทำเองกับมือ
 
๕.๑ พิมพ์พระพุทธเจ้าในวิหาร เป็นพระเนื้อดินที่ทำครั้งแรก มีแร่มากที่สุด หลังจากนั้นก็ผสมแร่น้อยลง เพราะพระเผายาก แตกง่ายพระพิมพ์นี้หายากมาก แพง

๕.๒ พระสิวลี เท่าที่พบมีทั้งพิมพ์จัมโบ้ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง และพิมพ์เล็ก พิมพ์จัมโบ้หายาก และแพง พิมพ์ใหญ่กางร่มก็มี

๕.๓ พระพิมพ์ขุนแผน เท่าที่พบมีพิมพ์ทรงพล พิมพ์ทรงพลด้านหลังกุมารทอง พิมพ์ขี่โหงพราย

๕.๔ พระพิมพ์สรรค์ มีทั้งสรรค์นั่ง ยืน นั่งไหล่เอียง พิมพ์เม็ดไข่ปลาใหญ่ กลาง เล็ก ลีลาหย่อง ลีลาหนังตะลุง ลีลาเสด็จจากดาวดึงส์

๕.๕ พระร่วงนั่งหน้าโหนก ถอดพิมพ์ของสุโขทัย ชุดเล็กจิ๋ว
 
๕.๖ พระเม็ดมะลื่น เป็นพระชุดเล็กจิ๋ว เนื้อผงดำก็มี

๕.๗ พระซุ้มกอ มีทั้งพิมพ์ใหญ่และเล็ก มีทั้งเผาและไม่เผา

๕.๘ พระนางพญา เท่าที่พบมี ๓ พิมพ์ คือพระทรงสามเหลี่ยม

๕.๙ พระพิมพ์ยอดขุนพล มีทั้งหลังเรียบ และด้านหลังปั๊มเหรียญ หลวงพ่อทองวัดพระปรางค์ ปั๊มเหรียญหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม พ.ศ.๒๕๐๐ ปั๊มเหรียญหลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว พระชุดนี้โต

๕.๑๐ พระโคนสมอ เท่าที่พบเป็นพิมพ์ใหญ่มีทั้งนั่งและยืน รุ่นเก่าจารอักขระ “ที มะ ขัง อัง ขุ” ส่วนพิมพ์จิ๋วท่านเอาของกรุวัดค้างคาวสรรคบุรี มาแจก

๕.๑๑ พระรอด เท่าที่พบ เป็นพิมพ์เล็ก พระคงก็มีแต่น้อย พระลือก็มีน้อยเช่นกัน

๕.๑๒ พระงบน้ำอ้อย ใช้พิมพ์เก่าโบราณทำใหญ่มาก

๕.๑๓ พระพุทธเจ้าในวิหาร พิมพ์เล็ก สร้างพร้อม พระสรรค์

๕.๑๔ พระกันผี รูปแบบใหญ่ ศิลปะเชียงแสน พิมพ์เล็กก็มี ดีทางกันภูติพราย

๔.๑๕ พระร่วงยืน เป็นพระเนื้อดินหยาบ ๆ ดินแบบเดียวกับ ซุ้มกอใหญ่

๕.๑๖ พระพิมพ์หลวงพ่อโต บางกระทิง เป็นพระเนื้อดิน เท่าที่พบจะลงรักเคลือบพระใหญ่

๕.๑๗ สมเด็จจิ๋ว เป็นชนิดหลังเรียบ พิมพ์ชินราชก็มี และยังมีอีก ฯลฯ


หมายเหตุ พระสมเด็จเนื้อดินนี้ พิมพ์จิ๋ว หลังตัวมิ ท่านเอาของหลวงพ่อทอง วัดพระปรางค์ มาแจก พระโคนสมอจิ๋วหลังจารอุ ท่านเอาของกรุวัดค้างคาว สมัยอยุธยา มาแจก

๖.ประเภทตะกั่วหล่อ วัตถุมงคลที่เป็นตะกั่วที่หลวงพ่อหล่อเองมีน้อยมาก เท่าที่พบมีกุมารทอง พระร่วงหล่อจากตะกรุดลงถม ๑ องค์ พระลีลา สิงห์ ปลัด ตะกรุดลงถมหล่อพบ ๒ ดอก ไม่มีจาร ลูกสะกดลงถมก็มีแต่ใหญ่มาก

๗.ปลุกเสกให้วัดอื่น หลวงพ่อเคยปลุกเสกให้วัดต่าง ๆ หลายสิบวัดแต่วัตถุมงคลเหล่านั้นจำหน่ายออกจากวัดนานแล้ว จะกล่าวถึงเฉพาะที่ยังพอมีอยู่ หรือที่พบเห็นทั่วไป

๗.๑ พิธีจักรพรรดิ พระพุทธชินราช พิษณุโลก ปี พ.ศ.๒๕๑๕ วัตถุมงคลที่พบมี กริ่งนเรศวรวังจันทร์ เหรียญนเรศวรวังจันทร์ พระสังกัจจายน์หยก พระชุดยอดขุนพลนวะ ชุดไตรภาคีนวะ ชินราชดิน ชินราชเสมา ฯลฯ พิธีนี้ปลุกเสกร่วมกับหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ ฯลฯ รวม ๑๐๙ องค์

๗.๒ พิธีวัดท่าทอง พิธีนี้ปลุกเสกร่วมกับหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี มีสมเด็จนางพญา พระปิดตา พระผงสุพรรณ ประมาณ พ.ศ.๒๕๑๔ พระยังมีอยู่ วัดอยู่อำเภอเดิมบาง สุพรรณ

๗.๓ พิธีปลุกเสกพระร่วง วัดพระธาตุดอยสุเทพ เชียงใหม่ พ.ศ.๒๕๑๕ เป็นพิธีใหญ่

๗.๔ เหรียญพระพุทธ เหรียญพระพุทธที่ท่านร่วมปลุกเสกคือ เหรียญปัจเจกพระพุทธเจ้า หลวงพ่อหร่ำ วัดเขาดิน อ.เดิมบาง พ.ศ.๒๕๑๙ เหรียญพระพุทธหลวงพ่อติ่ง วัดหอระฆัง อ.สรรคบุรี
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ สิงหาคม 29, 2013, 09:38:20 am
ตอนที่ ๓๓๔ ขาดหายไป ๑ ตอน
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 04, 2013, 04:43:12 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๓๔

วันที่ ๒๕ ม.ค. – ๕ ก.พ.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


นบ  เจียมพลับ

ครั้งก่อนผมได้เขียนเอาไว้ว่า ศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่งเป็นคนโบราณ ชื่อนายนบ บ้านล่องใหญ่ โดนยิงด้วยปืน ๓ กระบอกไม่ออกเลยแม้แต่นัดเดียว เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่นึกจะเขียนก็เขียนส่งเดช เพราะยิงไม่ออกนี่ไม่ใช่มีเกิดขึ้นบ่อย พระเกจิอาจารย์ที่ปลุกเสกของแล้วลูกศิษย์นำไปใช้แล้วยิงไม่ออก ไม่ใช่ธรรมดาแน่ ผมเองบ้านอยู่ห่างวัดราว ๔๐ กม. ถนนมาวัดเป็นถนนลูกรัง ต้องขี่รถอ้อมเข้าน้อยเขาใหญ่ ผ่านดงเสือ ดงนักเลงชนิดที่เรียกว่าถ้าขี่รถมอเตอร์ไซค์กลางคืนละก็มีสิทธิ์เดินตัวเปล่า เขาบอกว่าบ้านล่องใหญ่ ผมก็ล่องใหญ่ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนไกลแค่ไหน เพิ่งรู้ว่าบ้านล่องใหญ่ ผมก็ขี่รถผ่าน ผมเลยแวะไปคุยกับแกครั้งก่อนที่เขียนว่าแกมีพระหลวงพ่อคล้องเต็มคอแล้วยิงไม่ออก ผมให้ข้อมูลผิด ขอโทษอย่างสูง ผมฟังเขาเล่ามาอย่างนั้นจะขอเล่าถึงศิษย์หลวงพ่อชื่อนายนบ เจียมพลับ ไว้ดังนี้

ลุงนบ บ้านเดิมแกอยู่ห้วยกรด อ.สรรคบุรี ดินแดนคนจริง เมื่อแกมาได้ภรรยาอยู่ใกล้วัดหลวงพ่อกวย แกนับถือหลวงพ่อกวยมากความยากจนอย่างหนึ่ง ความที่แกเป็นคนไม่ทันโลกทันเหตุการณ์อย่างหนึ่ง ซื่อมากอย่างหนึ่ง ทำให้แกทำมาหากินไม่รอดตัวหลวงพ่อเอ็นดูแกพอสมควร เพราะแกรักหลวงพ่อมาก พูดถึงหลวงพ่อทุกคำยกมือไหว้น้ำตาซึมทุกครั้ง ปัจจุบันแกอายุ ๖๗ ปี รูปร่างใหญ่โต อ้วนดำ พุงเขียวอื๋อเลย แกเป็นคนมีน้ำใจ วันหนึ่งหลวงพ่อได้พูดว่า“ไอ้นบ วันหลังกูจะไปเที่ยวบ้านมึง”นายนบเห็นว่าหลวงพ่อจะมาเที่ยวบ้านแกดีใจมาก ได้ซื้อชาอย่างดีเตรียมไว้จะชงให้หลวงพ่อฉันแต่หลวงพ่อก็ไม่ว่างไป นายนบได้มากราบหลวงพ่ออีกครั้ง ได้พูดว่า“หลวงพ่อครับ ไหนหลวงพ่อว่าจะไปบ้านผมไงล่ะ ผมอุตส่าห์ซื้อชาอย่างดี เตรียมไว้จะเอาไว้ชงถวายหลวงพ่อ”หลวงพ่อคงจะเห็นว่านายนบเป็นคนมีน้ำใจต่อท่าน ท่านได้เข้าไปในกุฏิแล้วหยิบรูปถ่ายขนาด ๑๒ นิ้ว ใส่กรอบไว้แล้ว ได้แกะกรอบออกมาลงยันต์คาถาให้ และเขียนเป็นภาษาไทยว่า“ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข”ปัจจุบันรูปนี้ยังอยู่ที่นายนบแกรักของแกมาก มีคนมาให้ราคาแกหลายครั้งแกไม่ให้ แม้แกจะยากจนมากก็ตาม ภายหลังหลวงพ่อได้ให้มีดหมอมา ๑ เล่ม ตะกรุดชนิดที่ทำด้วยตะกั่ว ๑ ดอก ปลัดขิกรุ่นคอหยัก หรือรุ่นนิยม ๑ ตัว

วันที่เกิดเหตุแกมีปัญหาเรื่องที่ดินจับจอง บุกรุกที่สาธารณะ ที่นั้นคือที่ดงพญายาง นายนบจับจองอยู่มาก่อนภายหลังคนใหญ่คนโตไม่เคยอยู่แต่มีหนังสือการจับจอง เรียกว่าต้องขับคนเล็ก ๆ ออกจากที่ดินว่างั้นเถอะ ตรงกับปัญหาพอดีคือ“แย่งข้าวกันกิน แย่งถิ่นกันอยู่ แย่งคู่กันสังวาส แย่งอำนาจกันเป็นใหญ่”นายนบแกถูกบีบก็ไม่ไป วันเกิดเหตุจริงวันนั้นแกคาดตะกรุดโทนหลวงพ่อกวย ๑ ดอก ปลัดรุ่นคอหยัก ๑ ตัว เนื้อตะกั่วปรอท และมีดหมอ ๑ เล่ม ผู้ใหญ่บ้านวัดหอระฆังได้มากับลูกน้อง ๒ คน ปืน ๓ กระบอก ผู้ใหญ่บ้านได้เรียกนายนบมาพูดให้ออกไปจากที่ นายนบแกถือว่าแกอยู่มาก่อนแกเลยไม่ยอม ผู้ใหญ่บ้านได้ชักปืนออกมายิงเป็นปืนเห่าไฟ ลูกน้องก็ชักปืนออกมายิงเช่นกัน ปืน ๓ กระบอกยิงนายนบไม่ออกแม้แต่นัดเดียว เมื่อเห็นว่ายิงไม่ออก คน ๓ คนได้รุมทุบตี มีอยู่คนหนึ่งได้เอาดินปลวกก้อนใหญ่ทุ่มหัวนายนบ นายนบถึงกับหน้ามืดเลือดออกปากเลย แกเห็นว่าถ้าขืนสู้อย่างนี้ตายลูกเดียว แกเลยชักมีดหมอหลวงพ่อกวยออกมา กะแทงสั่งสอนไม่เอาถึงตาย คน ๓ คน ก็ใช้ด้ามปืนตีแกตบแก แกเลยเอามีดหลวงพ่อแทงผู้ใหญ่บ้านแทงทั้งหมด ๙ แผล แต่แทงเพื่อแย่งปืน ไม่คิดแทงให้ตาย แกแย่งปืนผู้ใหญ่บ้านมาได้ ๑ กระบอก อีกกระบอกหนึ่งเป็นปืนดาวกระจาย เป็นของลูกน้องผู้ใหญ่บ้าน เมื่อแกได้ปืนมา แกจะยิงเขาแกยิงไม่เป็นต่างคนต่างเจ็บเลยเลิกราต่อกัน

แกได้นำปืน ๒ กระบอกเอาไปให้หลวงพ่อกวยดู และเล่าเรื่องให้ฟัง หลวงพ่อได้เป่ากระหัวให้และให้ไปมอบตัวแกได้เข้ามอบตัวต่อกำนัน วัดค้างคาว ทางตำรวจได้นำตัวแกไปสอบสวน มีผู้หมวด และจ่าคนหัวเด่น สภ.อ.สรรคบุรี ได้มาสอบสวนและได้ปล่อยตัวนายนบออกมา เพราะเป็นการต่อสู้ป้องกันตัว หลวงพ่อกวยท่านก็ไม่ได้ตำหนิอะไรที่เอามีดหมอท่านเข้าต่อสู้ ท่านรู้ว่าเหตุสุดวิสัย ท่านได้แต่พูดว่า “ไอ้นบมึงไม่น่าเอามีดหมอไปแทงผู้ใหญ่มันเลย แล้วหมอที่ไหนมันจะรักษาแผลได้เล่าคราวนี้” อยู่ต่อมาผู้ใหญ่รักษาแผลหาย ดูภายนอกก็หายดี แต่คนทั่วไปรู้ว่าใครก็ตามถ้าโดนมีดหมอหลวงพ่อกวยแทงในลักษณะนี้ละก็ตายทุกคน ผู้ใหญ่แกก็ตายจริง ๆ หลังจากโดนแทงไม่ถึงเดือน

อยู่ต่อมามีมือปืนรับจ้างมาแอบยิงนายนบอีกหลายครั้ง ไม่ออกแม้แต่ครั้งเดียว มือปืนคนนี้เป็นคนหนองตาแก้ว ปัจจุบันบวชอยู่ในพระศาสนา เป็นเจ้าอาวาสด้วย จึงไม่ขอเอ่ยชื่อ ได้ไปขอของหลวงพ่อกวยหลายครั้ง หลวงพ่อกวยท่านรู้ท่านไม่เคยให้ไปสักครั้ง เรื่องที่มีคนมาแอบยิงนายนบไม่ออก ถ้าไม่เชื่อผมให้ไปถามนายสงวน สุ่มงาม คนหัวเด่นได้ ถามนายกรอย คนหนองอีดุกได้ ถามนายแช่ม ลูกตาเทิ้ม-ยายเวียน วัดใหม่สามัคคีธรรมดูได้

ปัจจุบันนายนบ บ้านแกอยู่ข้างวัดใหม่สามัคคีธรรม หรือวัดไฟไหม้ที่กุฏิพระทุกหลังไหม้หมด ยกเว้นกุฏิที่มีตะกรุดของหลวงพ่อกวยแขวนอยู่เพียงดอกเดียว

เรื่องตะกรุดนี่ยังมีอีกคดีหนึ่งแต่คดีจบสิ้นไปแล้ว คือนายแนะได้มายิงตาคลายในกรณีเรื่องที่ดินเช่นกันปรากฎว่ายิงไม่ออก ตาคลายมีตะกรุดโทนเนื้อฝาบาตรหลวงพ่อกวยเพียงดอกเดียว

วันนั้นก่อนจะจากกับลุงนบ แกยังคุยว่าปลัดขิกของแกยิงไม่ออกเช่นกัน เพราะเคยโดนยิงขณะไม่มีตะกรุด แกบอกแกเคยตัดรุ้งกินน้ำขาด ๒ ท่อนเลย เรื่องรุ้งกินน้ำนี่นายเหลี่ยง คนปากน้ำ แกเคยบอกกับผมว่า แหวนแขนหลวงพ่อกวยก็ตัดขาด

ผมเห็นว่าลุงแกอายุมากแล้ว จนก็จนมาก ความจนกับของรักนี่อยู่ด้วยกันไม่ค่อยได้ เมื่อผมขอดูมีดแกน้ำตาไหลซึมทีเดียว แกบอกว่าให้เขาไปแล้ว เขาเอาข้าวสารมาให้ ๒ ลูกเงินอีก ๕๐๐ บาท ผมเลยควักสตางค์ให้แกไปเล็กน้อย เห็นว่าศิษย์หลวงพ่อเดียวกัน แกน้ำตาซึมให้ศีลให้พรยังดึงผมไปใกล้ ๆ บอกคาถาเสกข้าวกินทุกวันหนังจะเหนียว คาถาว่าดังนี้ ผมขอให้ไว้เป็นทาน

“พุทธ ชักหนัง ชักบังหุ้มตัว พระพุทธเจ้าอยู่หัว นะโมพุทธายะ” ให้ระลึกถึงหลวงพ่อแล้วกินลงไปแล้วว่าคาถาทับอีกที ดังนี้ “พุทธตันโต นะโมตันติ”
เรื่องคาถานี้โดยมากคนโบราณถือขึ้นใช้ได้ดีได้ผล เขารู้น้อยไม่ลังเล คนรุ่นใหม่คาถานี้หากรู้มาก เรื่องเลยมาก ถืออะไรจึงไม่ค่อยขลัง คอยจะลังเล เขาว่าความโอ้เอ้ลังเลใจเป็นบ่อเกิดแห่งความไม่แน่นอน เป็นบ่อเกิดแห่งความหัวแบะ

ปัจจุบันลุงนบมีปลัดคอหยักเหลือเพียงตัวเดียวติดตัว จึงขอร้องว่าถ้าแวะคุยกับแกละก็แวะได้ แต่ขอร้องว่าอย่าไปบุกปลัดแกเลย แกมีของหลวงพ่อติดตัวเพียงอย่างเดียว เป็นสมบัติชิ้นสุดท้าย ก็ขอจบเรื่องของลุงนบ เรื่องของลุงนบนี้เป็นตำนานเล่าขานกันยาวนาน เพราะเป็นเรื่องที่ดังมากในสมัยนั้น ดังขนาดเรื่องถึงกองปราบปรามสามยอดเลยทีเดียว

ไม่รู้ไม่ผิด

หลวงพ่อกวยท่านเป็นพระที่สมถะ มักน้อย สันโดษ ชอบเก็บตัวไม่โอ้อวด ไม่ถามไม่พูด ไม่คุยไม่แสดงตัว ไม่ยอมให้หนังสือพระเครื่องนำประวัติอภินิหารมาลง การที่หลวงพ่อไม่โอ้อวด ไม่แสดงตัวนั้นก็เป็นการถูกต้องตามวิสัยของสมณะที่ดี แต่ข้อเสียก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน คือคนไม่รู้จัก เมื่อไม่รู้จักมาก่อนก็ไม่ศรัทธา แทบทุกครั้งที่หลวงพ่อไปกิจนิมนต์พุทธาภิเษก หลวงพ่อจะนั่งพับเพียบเรียบร้อยสงบเสงี่ยม คล้ายพระหลวงตาธรรมดา หลวงพ่อ หลวงปู่องค์อื่นที่ไปงานพุทธาภิเษกเขานั่งรถเก๋งไป มีศิษย์ติดตาม เมื่อไปถึงก็มีศิษย์ที่รู้จักเข้าไปกราบเข้าไปบีบ เข้าไปนวด บ้างก็ขอชานหมาก บ้างก็ขอเหรียญให้ชุลมุนวุ่นวายไปหมด แต่กับหลวงพ่อกวยแล้ว ไม่มีใครเข้าไปขอเหรียญ ขอชานหมาก ไม่มีใครตะบันหมากถวาย ปัจจัยก็ไม่มีใครเขาถวาย ดู ๆ แล้วก็นึกสะเทือนใจ แต่หลวงพ่อก็คือหลวงพ่อ ท่านก็วางเฉย ไม่สนใจใยดี

จะขอเล่าเรื่องที่คนเขาไม่รู้จักหลวงพ่อเอาไว้สักเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้เป็นคำบอกเล่าของหมอเฉลียว เดชมา คือ หมอเฉลียวเขามีมอเตอร์ไซค์ สมัยก่อนใครมีรถมอเตอร์ไซค์ ก็ถือว่าดีมากแล้ว เพราะแถวหัวเด่นและบ้านแค สมัยก่อนยังนิยมเดินเท้า และขี่จักรยานอยู่ เวลาหลวงพ่อจะไปธุระก็อาศัยรถมอเตอร์ไซค์ของหมอเฉลียวนี่แหละ วันนั้นหลวงพ่อไปธุระที่จังหวัดสิงห์บุรีกับหมอเฉลียว ขณะที่หลวงพ่อเดินซื้อของอยู่ที่ตลาดพอดีไปเจอกับเถ้าแก่ฮะ ซึ่งเป็นศิษย์อยู่อำเภอสรรคบุรี เมื่อเถ้าแก่ฮะเห็นหลวงพ่อก็ยกมือไหว้แล้วนิมนต์หลวงพ่อนั่งพักที่ร้านยานวัฒนา สิงห์บุรี และได้แนะนำให้เจ้าของร้านได้รู้จักหลวงพ่อ เจ้าของร้านก็คุยกับหลวงพ่อสักครึ่งชั่วโมงได้ หลวงพ่อก็ลากลับ พอหลวงพ่อจะกลับเจ้าของร้านได้พูดกับหลวงพ่อว่า “แล้ววันหน้าดิฉันจะไปเที่ยวที่วัด ตอนนี้ฉันยังไม่ทำบุญกับหลวงพ่อหรอก เพราะฉันเคยทำบุญพระอื่น ๆ มามากแล้วไม่ได้บุญ พอทำบุญไปพอมืดได้ข่าวว่าพระไปนั่งเล่นไพ่ อยู่บนโรงแรม นั่นแน่ ฉันจะขอไปดูที่วัดก่อน” หลวงพ่อพอได้ยินเจ้าของร้านพูดอย่างนั้นก็หน้าเสีย เลยพูดกับหมอเฉลียวว่า “ทำไมเขาจึงพูดอย่างนี้กับเรา เราก็ไม่ได้มาบอกบุญ หรือเรี่ยไร” แล้วท่านก็พูดว่า สงสัยร้านนี้คงจะเคยถูกพระหลอกมาบ้างแล้ว พระสมัยนี้หากินก็เยอะเหมือนกัน แต่เราก็ไม่ถือสาเขาหรอก เพราะเขาไม่รู้จักเรา เขาไม่รู้ถือว่าไม่ผิด แต่ก็คงไม่กี่วันยายคนนี้คงจะไปที่วัดจริง ๆ

อยู่ต่อมาไม่นานเจ้าของร้านยานวัฒนาก็มาที่วัดของหลวงพ่อจริง ๆ เมื่อมาถึงก็มาเดินรอบ ๆ วัด ซึ่งหลวงพ่อกำลังก่อสร้างอุโบสถอยู่ เจ้าของร้านได้เล่าเรื่องให้หลวงพ่อฟังว่า ตอนนี้ได้มาเห็นวัดแล้วรู้สึกศรัทธาอยากจะทำบุญ แต่ติดขัดตรงที่ตอนนี้ที่บ้านกำลังเดือดร้อน รถบัสไม่ได้วิ่ง เขาหาว่าไปชนเขา คนขับรถกับกระเป๋ารถก็ติดคุกอยู่ที่อำเภอตาคลี จ.นครสวรรค์ เรื่องก็ยังไม่เสร็จ ๒ ปีแล้ว หมดเงินไปหลายหมื่นเต็มทน ทนายก็มาขอเงินเรื่อย คนขับรถกับกระเป๋าก็ต้องจ่ายเงินเดือนให้ทุกเดือนสงสารลูกเมียเขา หลวงพ่อได้ถามว่าทำไมต้องจ่ายเงินเดือนด้วย เจ้าของร้านก็ตอบว่า สงสารลูกเมียเขา และพูดว่าคนขับรถของเขานั้นไม่ผิดเป็นคนดี วันเกิดเหตุมีรถของคนอื่นชนกันอยู่ก่อน ใหม่ ๆ พอดีมีรถบัสของดิฉันมาพอดี ก็จะแซงเพื่อขึ้นหน้าไป เกิดแซงไม่พ้น รถเกิดตกถนนเลยไปไม่ได้ ตำรวจมาพอดีเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวหาว่าคนขับรถของดิฉันขับรถชนท้ายรถคันข้างหน้า ทำให้รถชนกัน จะพูดอย่างไรเจ้าหน้าที่ก็ไม่ฟัง เลยต้องขึ้นศาลตอนนี้เป็นความกันอยู่ ๒ ปีแล้ว หลวงพ่อพอจะมีทางช่วยเหลืออะไรได้บ้างหรือเปล่า

หลวงพ่อได้แนะนำว่าให้ไปขอประกันตัวคนขับรถกับกระเป๋ามาได้หรือไม่ ให้มาที่วัดนี่สักหน่อย เจ้าของร้านยานวัฒนาจึงกลับไปขอประกันตัวคนขับรถกับกระเป๋ารถ ๒ คน มากราบหลวงพ่อ ให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้ เล่ากันว่าน้ำมนต์ของหลวงพ่อกวยนั้น ถ้าใครได้รดหากมีเรื่องเดือดร้อนถึงตายจะไม่ตาย ถ้าเป็นความอยู่ แม้ใครได้ระลึกถึงได้มากราบ ได้รดน้ำมนต์จากท่านละก็จะสำเร็จตามที่ขอจากท่านทุกคน เพราะน้ำมนต์ของหลวงพ่อ หลวงพ่อได้อ้างถึงบารมี ๑๐ ของพระพุทธเจ้า จากพระแม่ธรณี แม้ในใบพระคาถาของหลวงพ่อที่ผมผู้เขียนได้เก็บรักษาไว้ หลวงพ่อเขียนไว้ว่า พระมนต์นี้ใช้เรียกนางแม่ธรณี ถ้าไม่มาอกแตกตาย โอกาสหน้าผู้เขียนจะเขียนพระมนต์นี้ให้เรียนไว้ทั่วกัน

เมื่อคนขับรถและกระเป๋ารถ เจ้าของร้านยานวัฒนากลับไปแล้ว อยู่ต่อมาอีกไม่กี่วันเจ้าของร้านยานวัฒนาก็พาพี่น้อง พ่อแม่ มากันเยอะเลย พร้อมทั้งเอาเงินมาทำบุญสร้างแท่นพระประธานในอุโบสถ เป็นจำนวนเงิน ๑๔,๐๐๐.-บาท (หนึ่งหมื่นสี่พันบาท) เงินเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว ปัจจุบันก็ตกแสนกว่าบาท นับว่าใจถึงมากจริง ๆ และบอกกับหลวงพ่อว่า ลูกน้อง ๒ คนตัดสินยกฟ้องแล้ว และกราบขอโทษหลวงพ่อด้วยที่ไปที่ร้านแล้วไม่รู้จักหลวงพ่อ ในวันนั้นเจ้าของร้านได้เช่าวัตถุมงคลของหลวงพ่อเอาไปทุกอย่าง เรียกว่ามีอะไรเช่าทุกแบบ เช่าไปทั้งหมดหมื่นกว่าบาท และได้นำเทียนจำพรรษามาถวายวัดหลวงพ่อทุกปี แม้ว่าหลวงพ่อจะมรณภาพไปแล้ว เขาก็ยังเคารพอยู่ ยังนำเทียนจำพรรษามาถวายให้วัดทุกปีเช่นกัน นับว่ามีความกตัญญูต่อหลวงพ่ออย่างสูง

กระผมชื่อพระกวย

หลวงพ่อเป็นพระโบราณ ท่านมักจะพูดจาแบบคำไทยแท้ ๆ แต่คำไทยแท้ ๆ เขาว่าไม่สุภาพ เช่น มึง กู อี ไอ้ ตีน ฯลฯ ต้องพูดว่า คุณ กระผม ถึงจะสุภาพ แต่หลวงพ่อสามารถพูดได้ทั้ง ๒ แบบ แต่น้อยครั้งที่จะมีคนกรุงเทพฯ หรือคนรวยไปกราบท่าน ท่านถึงจะพูดสุภาพ โดยมากท่านจะพูดสุภาพกับคนแก่ ผู้หญิง พระภิกษุ เท่าที่จำได้ท่านสุภาพ คำว่า กระผม ๒ ครั้ง คือ ครั้งที่ท่านไปรับตราตั้งพัดยศจากสมเด็จพระสังฆราชปุ่น วัดโพธิ์ท่าเตียน อีกครั้งหนึ่งท่านพูดกับหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี แม้การไปพุทธาภิเษกวัตถุมงคล ท่านก็ไม่เข้าไปหาหลวงพ่อองค์ไหน ในสมัยนั้นท่านเป็นพระครูชั้นประทวน แต่ท่านมีศิษย์เป็นเจ้าคณะอำเภอ ๑ องค์คือ พระครูพิมพ์ วัดสนามชัย และมีศิษย์เป็นเจ้าคณะจังหวัดชัยนาท อีก ๑ องค์คือ พระครูร้อย เดชมา วัดท่ากฤษณา อ.หันคา จ.ชัยนาท

จะขอกล่าวถึง หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ สักเล็กน้อย หลวงพ่อมุ่ยมีพรรษาแก่กว่าหลวงพ่อประมาณ ๑๐ ปี เป็นศิษย์ที่เรียนวิปัสสนากับหลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา อ.เดิมบาง เป็นศิษย์น้องของหลวงพ่อแขก วัดหัวเขา แต่หลวงพ่อมุ่ยเก่งกว่า ดังกว่า ภายหลังหลวงพ่อมาเรียนวิธีทำผงจินดามณีจากหลวงพ่ออิ่ม แต่ไม่พบหลวงพ่อมุ่ย คือหลวงพ่อมุ่ยมาอยู่วัดดอนไร่แล้ว หลวงพ่อเคยพบหลวงพ่อมุ่ยในงานพุทธาภิเษก ๓-๔ ครั้ง แต่ไม่ได้เข้าไปหาเพียงแต่รู้จักกันในนาม หรือน้ำมนต์ละลายความก็ทำได้ ปั้นก้อนข้าวเอาไปให้หมากิน เป็นความกันเลิกแล้วต่อกันได้ ปัจจุบันมีศิษย์สืบทอดอยู่ ๑ องค์ รดน้ำมนต์ได้เด็ดขาด ชื่อหลวงพ่อพยุง วักบัลลังก์ อ.สามชุก รับแขกจนพูดไม่มีเสียง

ก่อนที่หลวงพ่อมุ่ยจะมรณภาพไม่นาน ทางวัดท่าเตียน พระครูละม้ายเป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ อยู่อำเภอเดิมบางนางบวช พระครูละม้ายได้สร้างวัตถุมงคลในนามของหลวงพ่อ มีพระสมเด็จ แหนบ แหวนนิ้ว และอื่น ๆ ทางวัดได้นิมนต์พระมาหลายองค์ ทำการปลุกเสกที่ศาลา แต่ต้อนรับพระที่มาปลุกเสกบนกุฏิ พระครูละม้ายพอจวนจะได้เวลาปลุกเสกพระเกจิอาจารย์องค์อื่นก็ทยอยกันลงไปที่ศาลาจนหมดเหลือแต่หลวงพ่อมุ่ยเพียงองค์เดียว วันนั้นหลวงพ่อมุ่ยเป็นประธานจุดเทียนชัย ยังไม่ลงไป พอดีมีรถสองแถวกลางเก่ากลางพังวิ่งเข้ามาหน้ากุฏิพอดี พระครูละม้ายได้พูดว่า หลวงพ่อกวยมา หลวงพ่อมุ่ยพอได้ยินว่าหลวงพ่อกวยมา เหมือนหนึ่งท่านกำลังคอยอยู่ ท่านได้พูดกับพระครูละม้ายว่าให้นิมนต์หลวงพ่อกวยมาบนนี้ก่อน เมื่อหลวงพ่อกวยขึ้นมาบนกุฏิ หลวงพ่อมุ่ยได้พูดว่าอาจารย์กวยนิมนต์ทางนี้ก่อน หลวงพ่อกวยพอเห็นหลวงพ่อมุ่ยมีอาวุโสกว่าก็เข้าไปกราบ ขณะกราบมือทั้งสองยังไม่ถึงพื้น หลวงพ่อมุ่ยได้เอามือมารับเอาไว้ แล้วพูดว่า “ท่านนี้หรือชื่อหลวงพ่อกวย”หลวงพ่อได้ตอบว่า “กระผมชื่อพระกวยครับ”หลวงพ่อมุ่ยได้พูดว่า   “เคยได้ยินกิตติศัพท์มานาน เขาว่าเก่งนักหนา เพิ่งจะได้เห็นตัวจริงใกล้ ๆ วันนี้”

ขณะที่พูดกันอยู่ปรากฎว่าลมพายุได้พัดอื้ออึง พัดแรงขนาดสังกะสีกุฏิยวบยาบๆ หลวงพ่อมุ่ยได้พูดว่า ทำอย่างไรดีล่ะท่านกวย ทำอย่างไรจึงจะจุดเทียนชัยได้ หลวงพ่อได้ตอบว่า “กระผมจะปล่อยให้หลวงพี่จุดเทียนชัยไม่ได้ ได้อย่างไร นิมนต์เถิด จวนจะได้ฤกษ์แล้ว” หลวงพ่อกวยเดินนำหน้า ส่วนหลวงพ่อมุ่ยลูกศิษย์ได้อุ้มประคองลงไป พอหลวงพ่อกวยขึ้นไปบนศาลา ได้กราบพระประธาน ขณะนั้นลมยังพัดอื้ออึงอยู่ แล้วหลวงพ่อก็เข้าที่ปลุกเสกทำสมาธิทันที ลมพายุที่พัดอื้ออึงได้หยุดพัดลงทันที หลวงพ่อมุ่ยจุดเทียนชัยได้ฤกษ์พอดี โฆษกในพิธียกไมค์มาประกาศ โฆษณาทันทีว่า ลมพายุพัดอื้ออึง เพียงแค่หลวงพ่อมุ่ย เดินมาจุดเทียนชัย ลมพายุหยุดพัดทันที เกิดอัศจรรย์ขึ้นแล้ว แสดงว่า วัตถุมงคลชุดนี้จะต้องดีแน่นอน ดังแน่นอน

จนกระทั่งดับเทียนชัย หลวงพ่อมุ่ยได้ให้ศิษย์อุ้มท่านมาหาหลวงพ่อกวย ท่านได้ยื่นมือมาจับมือหลวงพ่อกวยแล้วพูดว่า “เก่ง เก่งจริง ๆ ท่านกวย เก่งสมคำร่ำลือ” แล้วหลวงพ่อมุ่ยก็ล้วงย่ามหยิบรูปหล่อเล็ก ส่งให้หลวงพ่อกวย ๑ องค์ วันนั้นแทบจะไม่มีใครรู้เลยว่า เกิดอะไรขึ้น นอกจากศิษย์โข่งของหลวงพ่อ กับศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อมุ่ย ๒-๓ คน พระครูละม้าย วันนั้นหลวงพ่อได้ยกมือไหว้ลาหลวงพ่อมุ่ย หลวงพ่อมุ่ยก็ยกมือไหว้ลาแล้วพูดสั่งลาเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ท่านกวยเราคงจะไม่ได้พบกันอีกแล้วนะ”

เรื่องคาถาห้ามลมห้ามฝน ปัดลม ปัดฝนนี้ หลวงพ่อเคยให้ไว้ เด็ดขาด และแน่นอน คาถาว่าดังนี้ “นะ หัน ตะวา แต สัง อุปัด ตะเว” ให้ระลึกถึงหลวงพ่อใช้ผ้ายันต์พัดโบกประกอบ

ปล.ศิษย์โข่ง ที่ได้รูปหล่อหลวงพ่อมุ่ยเอาไว้ คือ หมอเฉลียว เดชมา

 หมายเหตุแทนตอนที่ ๓๓๔
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 05, 2013, 11:25:30 am
กำหนดการงานกฐิน

ทราบมาว่า กำหนดการงานกฐินที่วัดโฆสิตารม ปีนี้ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 17 พ.ย.56 เปิดให้จองกองกฐินกองละ 2,556 บาท โดยทางวัดยังมีพระรูปหล่อหลวงพ่อขนาด 3 นิ้วพร้อมกรอบกระจกให้เป็นที่ละลึกอีกกองละ 1 ชุด จึงแจ้งมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน เผื่อใครอยากจองกองกฐินกับทางวัด ซองเล็กก็มี โดยซองเล็กมีรูปถ่ายเต็มองค์ย้อนยุคหลวงพ่อกวยไว้ให้ซองละ 1 องค์ด้วยครับ

http://sitluangporguay.com/forum/index.php?topic=20914.0 (http://sitluangporguay.com/forum/index.php?topic=20914.0)

ขอบคุณสำหรับข้อมูล
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 06, 2013, 09:33:56 am
กำหนดงานกฐิน วัดโฆสิตาราม ในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 เวลา 11:00 น. จ.ชัยนาท
ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ปีมะเส็ง จ.ศ.1375 ค.ศ.2013 


ตรงกับวันลอยกระทงพอดี
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 09, 2013, 09:31:43 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๓๕

วันที่ ๕ ก.พ. – ๑๕ ก.พ.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


ส่วนพระสีวลี องค์ขนาดฝ่ามือก็มีเนื้อดิน องค์ขนาดกำแพงศอกก็มี เนื้อปูนซิเมนต์ผสมผง ไม่ได้บอกชื่อหลวงพ่อหรือชื่อวัด แต่มีข้อสังเกตบางอย่างให้รู้

นอกจากนั้นเป็นพระสั่งทำ คือวัดเดิมบาง นำพระสังกัจจายน์สั่งทำมาให้ท่านปลุกเสกให้ ที่ท่านสั่งทำก็มีเป็นพระพุทธเนื้อปูนขาว หน้าตักประมาณ ๗ นิ้ว เป็นพระสีวลีสั่งทำหลังมียันต์มีนกคุ้มก็มีอาจารย์ป่วน วัดโพธิ์งาม สั่งทำแล้วนำมาเข้าพิธีกับหลวงพ่อ

วัตถุมงคลของหลวงพ่อ พอจะประเมินได้คร่าว ๆ ว่ามีประมาณ ๑๒ รายการ วัตถุมงคลชนิดที่หลวงพ่อทำเองกับมือ ถือว่าเป็นของสูงสุด วันข้างหน้าจะแพง และหาได้ยาก ในประเภทเหรียญ เหรียญรุ่น ๑ จะหายากและแพงมาก โดยเฉพาะรูปหล่อบูชา

ในประเภทเครื่องราง มีดหมอ ตะกรุด ลูกปืน ปลัด ผ้าขอด แหวนแขน ผ้ายันต์รุ่นเก่า จะแพงและหาคนปล่อยยาก

ในประเภทพระเนื้อผงพิมพ์แหวกม่าน พิมพ์ปรกโพธิ์ ๙ ใบ พิมพ์หลังรูป ขุนแผน พระรอด สมเด็จรุ่นเก่า ๆ จะแพงและหายาก

ในประเภทพระเนื้อดิน พระพิมพ์สีวลี พระพุทธเจ้าในวิหาร พระกันผี ขุนแผน พระสรรค์ วันข้างหน้าจะหายาก ที่จะแพงมากคือพิมพ์สีวลี กับพิมพ์พระพุทธเจ้าในวิหาร

ในประเภทพระแกะ จะแพงทุกรูปแบบ

ในประเภทรูป รูปถ่ายหลังสิงห์ รูปขาวดำ พระผงรุ่นสุดท้ายจะแพง รูปหลังสิงห์จะแพงและหายาก

ในประเภทพระบูชาพระสังกัจจายน์เนื้อปูนกับพระสีวลีเนื้อปูนจะแพงและหายากมาก

   ขอจบเรื่องวัตถุมงคลและเครื่องรางของหลวงพ่อแต่เพียงเท่านี้

ปล.วัตถุมงคลของหลวงพ่อนั้น แทบทุกประเภทจะสร้างไว้ ๓ ยุคเสมอ หรือ ๓ รุ่น หลวงพ่อเคยเขียนเอาไว้ในสมุดวัตถุมงคล สมัยสร้างเหรียญรุ่น ๒ ท่านได้เขียนว่า “รุ่น ๑ คุณภาพดี รุ่น ๒ คุณภาพเยี่ยม รุ่น ๓ ครอบจักรวาล” ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารุ่นไหนดีกว่ากัน ในปี พ.ศ.๒๕๓๕ ทางวัดได้สร้างเหรียญกลมแบบเหรียญรุ่น ๑ เรียกว่ารุ่น ๔ สร้างหลังจากหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว ๑๓ ปี เหรียญรุ่นนี้เข้าใจว่าจะเป็นเหรียญที่แจกให้ศิษย์ที่ได้มากราบรูปหล่อท่าน

คือใคร ๆ ก็อยากได้แต่เหรียญรุ่น ๑ คือเป็นเหรียญที่ระลึกที่ได้มาเยือน คือในสมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ เหรียญรุ่น ๑ ดังมาก ใคร ๆ ก็อยากได้ ได้ขอร้องท่านให้สร้างใหม่แบบรุ่น ๑ ท่านได้พูดว่าไว้ให้ท่านมรณภาพเสียก่อน(ไว้ให้กูตายก่อนแล้วมึงค่อยสร้าง)

หมายเหตุ วัตถุมงคลที่เป็นงาแกะก็มี สิงห์แกะดูยาก แต่สมเด็จแกะมีจารลายมือจะดูได้ไม่ยาก

การสร้างและการปลุกเสกวัตถุมงคล

หลวงพ่อเป็นพระที่ชอบทำวัตถุมงคลเอง เช่น ทำพระเนื้อดินเอง ทำพระเนื้อผงเอง มีความตั้งใจทำสูงมาก แม่พิมพ์พระสมเด็จเป็นแม่พิมพ์ที่ใช้มือบีบเอง ทำทีละ ๑ องค์ ส่วนแม่พิมพ์พระเนื้อดินใช้แม่พิมพ์ดิน โดยมากใช้วิธีถอดพิมพ์จากของเก่า เคยมีศิษย์ได้พระกรุองค์ต้นแบบที่ใช้ถอดพิมพ์ เช่น พิมพ์สรรค์ ส่วนแม่พิมพ์ชนิดดิน เมื่อพิมพ์ไม่ชัดเจนท่านก็เก็บรวม ๆ ไว้กับพระชนิดชัดเจนท่านจะโยนลงสระน้ำ แม่พิมพ์พระสมเด็จก็เช่นกันมีแม่พิมพ์สมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบด้านหน้าท่านตัดใจทิ้งไม่ได้ ได้ให้อาจารย์ตั้วเก็บรักษาเอาไว้ ปัจจุบันอาจารย์ตั้วก็ทำพระออกจำหน่ายพิมพ์ปรกโพธิ์ ๙ ใบ แต่เปลี่ยนยันต์ข้างหลังคือแกะพิมพ์ใหม่ ส่วนแม่พิมพ์เนื้อดินที่ไม่สวยมีหลายพิมพ์ หมอเฉลียว เดชมา เก็บรักษาไว้

ตะกรุดท่านจะจารเองทุกดอก ม้วนเองทุกดอก ทำลายเอง บางดอกท่านจะถักหุ้มเอง ส่วนมีดยุคแรกท่านตีเองกับพ่อท่านอุ้ยกับลูกเขย คือ ลุงคลี่ ยิ้มจันทร์ คนบ้านคู ยุคต่อมาเป็นช่างพยุหะ คือพ่อแก่อุ้ยตาย มีดนี้ท่านใส่ด้ามเองทุกเล่ม

แหวนแขน ท่านทำเอง ลงรักเอง ทำเองทุกวง ปลัดยุคแรกเป็นชนิดไม้ท่านเหลาเอง จารเอง ยุคต่อมาเป็นตะกั่วนม ผสมเงิน ท่านสั่งทำบ้าง หล่อเองบ้าง จารบ้างไม่จารบ้าง

วัตถุมงคล เช่น เหรียญรุ่น ๑ ๒ ๓ รูปหล่อบูชารุ่น ๑ ๒ รูปหล่อเล็กรุ่น ๑ ๒ ท่านดำเนินการเองทุกอย่าง ติดต่อช่างสั่งทำออกแบบ ยกเว้นเหรียญรุ่น ๓ ท่านให้ศิษย์ออกแบบ คือ ศิษย์เขาชอบโล่ฝรั่ง ส่วนรูปหล่อรุ่น ๒ ชนิดเล็กศิษย์ก็ดำเนินการเองเขาชอบรูปหล่อฉีดเขาว่าสวยดี

ส่วนผสมของพระเนื้อดิน จะผสมแร่วิเศษและผงวิเศษของท่าน แต่พระเนื้อผงก็ผสมแร่วิเศษและผงวิเศษเช่นกัน บางพิมพ์มีเกศาของท่าน ของครูบาอาจารย์ของท่านพระพิมพ์ปรกโพธิ์ ๙ ใบ มีเกศาผู้มีบุญสูงมากผสมอยู่ ส่วนแร่วิเศษนั้นท่านมาเอาที่ดอนเจดีย์ ๑ แห่งท่านมาเอง ท่านมาเอาที่เขาสารพัดดี อ.หันคา จ.ชัยนาท ๑ แห่งท่านมาเอง ท่านมาเอาดินใจกลางเมืองสุโขทัย ๑ แห่งท่านมาเอาเอง แต่ให้ศิษย์เป็นคนลงไปงมให้ ได้ที่เมืองเก่าสุโขทัย ท่านมาเอาแร่ที่เหมืองแม่เมาะ จ.ลำปาง ๑ แห่ง ขณะมาเหมืองปิดแล้ว ท่านได้ไปพูดกับคนเฝ้าประตูเขาให้เข้าไป ปัจจุบันแร่นี้ยังมีอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ๒ ครั้งหลังท่านมากับหมอเฉลียว เดชมา ส่วนผงวิเศษนั้นท่านทำเองโดยใช้ดินสอพองผสมกับเครื่องยาที่ท่านปลูกเอง ปลุกเสกเอง รดน้ำด้วยอาคม แต่บางอย่างก็หาเอามา เครื่องยาที่ใช้ทำดินสอสำหรับทำผงปถมัง มีดอกเสน่ห์จันทร์ทั้ง ๕ ฝักราชพฤกษ์ เมล็ดมะกล่ำขาว ท่านปลูกเอง ดีทั้ง ๕ มีดีงู ดีไก่ ดีเต่า ดีนี้ท่านปลุกเสกเอาไว้ ถ้าบ้านไหนเกิดอาเพศหนัก ๆ ท่านจะให้ไปเอาไปแขวนไว้ในบ้านจะแก้ได้ ไม้คันทรงท่านเอามาตีระฆังก่อนแล้วค่อยป่นผสมทำผงดินสอผสมกับเครื่องยาอีกหลายอย่าง ผู้เขียนดูไม่ออก ปัจจุบันเครื่องยาและแร่ ผมเก็บรักษาไว้จำนวนหนึ่ง ผสมกับดินสอพอง ซื้อจากสาวพรหมจารี หลวงพ่อทำผงปถมัง ผงมหาราช ผงอิทธิเจ ผง ๑๐๘ ท่านทำเองเป็นหมด นอกจากผงของท่านยังมีผงของครูบาอาจารย์ของท่านก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ พี่ชายหมอเฉลียว เดชมา มาเรียนหนังสือที่กรุงเทพ ได้พักที่วัดระฆังโฆสิตาราม ได้พบผงของสมเด็จโตประมาณ ๑ บาตร พระสมเด็จเกือบ ๑๐ องค์ ได้นำผงมาถวายหลวงพ่อพร้อมพระสมเด็จ ๑ องค์ หลวงพ่อได้นำผงของสมเด็จโตผสมกับผงของท่านทำพระสมเด็จ เวลาทำท่านชุมนุมเทวดาเชิญพระอรหันต์ด้วยชินบัญชร ปรากฏว่าคนมากันเต็มไปหมดพระก็จะทำ คนก็มา ยุ่งไปหมด ท่านได้พูดว่า “ผงสมเด็จโตนี่ก็สำคัญเหมือนกันผสมทำพระไม่ได้เลย คนคอยจะมา แต่กูซิชักจะรำคาญแล้ว ไม่เป็นอันทำอะไรได้เลย เมื่อท่านเผลอหนูก็จะคอยมาแทะกินผงท่าน แม้พระท่านหนูก็แทะกิน ค้างคาวก็มารุมกิน แม้เป็นสมเด็จแล้วมันก็แทะ ผมมีสมเด็จที่หนูและค้างคาวแทะเอาไว้ ๒ – ๓ องค์ สรุปคือ พระของท่านกันหนูและกันค้างคาวไม่ได้ เมื่อหนูกินผงของท่านเด็กวัดเคยเอาเหล็กหมาด(เหล็กแหลม) แทงติดพื้นกระดานเลย แต่แทงไม่เข้า นายทีเป็นคนแทง

การปลุกเสกพระผง ท่านจะปลุกเสกด้วยคาถาหลักคือ ปริตรมนต์ ปริตรนี้เป็นมนต์ของพระพุทธเจ้าโดยตรงแก้โรคระบาดได้แคล้วคลาดปลอดภัยกันผีปีศาจได้ แก้อาเพศอาถรรพณ์ได้ นอกนั้นก็ปลุกด้วยมนต์จินดามณี และอื่น ๆ เช่นมนต์แม่ธรณี

มีพระพิมพ์หนึ่ง คือ สมเด็จหลังรูปท่าน ทั้ง ๒ รุ่น ท่านผสมผงผีไว้ด้วยพระ ๒ รุ่นนี้ กำบังดี แต่บางครั้งอาจกวนเด็ก ๆ ได้

พระเนื้อดิน ท่านผสมทรายเสกทุกรุ่น ทรายนี้ท่านปลุกเสกเอาไว้ กันผีกันวิญญาณได้ แคล้วคลาด พรางตาได้ เป็นกำแพงแก้วได้ ปัจจุบันทรายเสกยังมีอยู่ในตู้พิพิธภัณฑ์

มีดหมอ ท่านบรรจุด้ามด้วยผ้าแดงของอาราฬวกยักษ์ แร่อุกาบาตร แผ่นยันต์ เกศา ก้นบุหรี่ ผง ฯลฯ ท่านปลุกเสกด้วยอาวุธ ๕ อย่าง มงกุฎพระพุทธเจ้า

แหวนแขน ท่านลงด้วยอิติปิโส ๘ ทิศ ลงคาถาฆะเตสิปลุกเสก สามารถรัดแขนเตือนภัยได้

ตะกรุด ท่านลงไว้หลายยันต์ ผ้าประเจียดก็เช่นกันท่านเคยพูดว่า ปลุกด้วยคาถาโองการมหาทหมื่น

เหรียญ และรูปหล่อ  ปลุกเสกด้วยมงกุฎพระพุทธเจ้า นะโมตาบอด และอื่น ๆ

พระเครื่องก็ดี วัตถุมงคลก็ดี ท่านปลุกเสกเองทั้งหมด ไม่เคยทำพิธีแบบนิมนต์หลวงพ่อ หลวงปู่องค์อื่นมาร่วมปลุกเสก มีมนต์บทหนึ่งท่านต้องปลุกเสกลงไปทุกครั้ง คือ มนต์พระกาฬ มนต์นี้ใครทำไม่ดี คิดไม่ดีต่อผู้มีวัตถุมงคลของท่าน จะแพ้ภัยตัวเอง ท่านจะสั่งศิษย์ใกล้วัดของท่านไว้เสมอว่า อย่าเอาวัตถุมงคลของท่านไปทดลองเดี๋ยวจะเข้าตัว เพราะท่านลงมนต์พระกาฬเอาไว้ ท่านสั่งไว้อย่างหนัก เอาเป็นว่าใครเรียนมนต์นี้ จะพูดสิ่งไม่ดีไม่ได้เลย จะถึงกับวิบัติ พลัดพราก ฉิบหาย ตายโหง ทันตา
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 09, 2013, 10:25:56 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๓๖

วันที่ ๑๕ ก.พ. – ๒๕ ก.พ.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



ขอชีวิตกับหลวงพ่อ

ศาสนาพุทธของเรานั้น ถ้าเกี่ยวกับวิชาอาคมต่าง ๆ โดยมากเอามาจากพราหมณ์ แต่ผ่านมาทางขอมหรือเขมร คือไม่ได้รับมาโดยตรง มีวิชาต่าง ๆ มากมายตลอดจนยันต์ต่าง ๆ มีวิชาหนึ่งที่น่าศึกษา และเคยเห็นว่าพระในศาสนาพุทธเราทำได้ ที่ผมเคยเห็นคือการขอฝนโดยนิมนต์พระมาสวด เป็นพระธรรมดา ๆ นี่แหละ พอสวดจบตอนเช้าตอนเย็นฝนตกได้ อีกวิชาหนึ่งคือ ต่ออายุ จะนิมนต์พระมาสวดให้คนแก่กำลังเจ็บใกล้ตาย ผมเคยเห็นหลายครั้งปรากฎว่ารอดได้ ไม่ตาย หายวัน หายคืน พระที่นิมนต์มาก็พระธรรมดาเช่นกัน

ในสมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ คนที่มารดน้ำมนต์กับท่านถือว่าเป็นโชควาสนา เพราะน้ำมนต์ของท่านสามารถต่อชะตาได้ สะเดาะเคราะห์ได้ ขับคุณผีคุณไสยได้ ขับลมเพลมพัดได้ โดยที่ท่านไม่ต้อง ใช้มีดหมอขับแบบอาจารย์องค์อื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่ท่านเรียนวิชาขับคุณของ คุณไสย จากครูฟุ้งและครูจำปี ซึ่งเป็นศิษย์ในสายหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค แต่เมื่อรดน้ำมนต์แล้ว ต้องคล้องพระท่านไว้ป้องกันโดยมากท่านจะให้พระพิมพ์สรรค์

แต่หลวงพ่อมีความพิเศษกว่าอาจารย์องค์อื่นเล็กน้อยคือ คนป่วยอยู่ทางบ้าน ไปบอกชื่อกับท่าน ท่านทำน้ำมนต์ให้กินก็หาย คนมีเคราะห์ ต่อชะตา ดวงตกอับ ปลูกบ้านใหม่ เปิดร้านค้าใหม่ ไปบอกท่านท่านทำน้ำมนต์มาให้พรมเอง อาบกินเองก็หาย แม้วัตถุมงคลของท่านยังสามารถทำน้ำมนต์แทนตัวท่านได้ เพียงแต่จุดธูปบอกเล่าให้ถูกต้อง พระเครื่องของท่าน แม้ยมทูตยังเกรงใจ เคยมีพยาบาลท่านหนึ่ง คล้องพิมพ์สรรค์เฝ้าคนไข้ที่จะขาดใจ แต่ไม่ยอมขาดใจ คือไม่ตายสักที เฝ้าอยู่นาน เขาอยากจะทดลองพระ พอเขาเดินออกมาไม่ไกล คนไข้ขาดใจตายทันที พยาบาลท่านนี้อยู่โคราช อีกคนหนึ่งทำงานเกี่ยวกับเลี้ยงและดูแลพันธุ์สัตว์ป่า มีลูกสัตว์ตัวหนึ่งป่วยใกล้จะตาย เขาอยากจะทดลองทำตามพยาบาลท่านนั้น เขานำรูปหล่อรุ่น ๑ ไปวางข้าง ๆ ลูกสัตว์ตัวนั้นกินข้าวกินน้ำไม่ได้ แต่ก็ไม่ตาย เป็นวันเป็นคืน เขาเลยนำรูปหล่อรุ่น ๑ ออก พอเอารูปหล่อ ลูกสัตว์นั้นก็ตาย แทบจะทันที คน ๆ นั้นบ้านจริงอยู่ท่าช้าง อ.เดิมบาง แต่ไปทำงานอยู่ภาคอีสาน

จะขอเล่าถึงบุญบารมีของหลวงพ่อที่สามารถต่อชีวิตคนที่หมดอายุขัย เพราะกล่าวนามถึงท่านและเคารพท่านอย่างสุดหัวใจ มีความจริงใจต่อท่านอย่างแท้จริง ชนิดจิตต่อจิต คุณชูชาติ  จันทรมานะ บ้านอยู่หลังอู่เรือราชพิธี ทำงานเป็นสมุห์บัญชีการปิโตรเลียม มีพี่ชายชื่อชูศักดิ์  จันทรมานะ ทำงานอยู่การปิโตรเลียมเหมือนกัน วันหนึ่งเข้าใจว่าปี ๒๕๓๖ นี้ คุณชูศักดิ์ ได้ไปเป็นวิทยากรเกี่ยวกับน้ำมันปิโตรเลียม ที่ชลบุรี ขณะกำลังบรรยายอยู่เกิดหัวใจวายตายเฉย ๆ ได้นำส่งโรงพยาบาลชลบุรี ทำการปั๊มหัวใจกว่าจะส่งโรงพยาบาลได้ก็กินเวลามาก ปั๊มหัวใจเท่าไรหัวใจก็ไม่เต้นคือไม่ทำงาน ทางแพทย์และพยาบาลได้ค้นในตัว พบนามบัตรและเบอร์โทรศัพท์ของคุณชูชาติ ทางโรงพยาบาลได้โทรศัพท์มาบอกว่า คุณชูศักดิ์ตายแล้ว เป็นโรคหัวใจวาย ปั๊มหัวใจอย่างไรก็ไม่หายใจ ขอให้ทางญาติมาติดต่อด้วย พอคุณชูชาติได้ยินอย่างนั้นแทบร้องไห้ให้สุดเสียง เขาบอกว่าลูกพี่ชายยังเล็กมาก เขานึกถึงหลวงพ่อวิ่งเข้าห้องพระจุดธูป ๙ ดอก รีบบอกกล่าวกับหลวงพ่อร้องขอชีวิตพี่ชายด้วย ลูกเขาเล็กมากจะถวายขนมจีน ๑ หาบ โล่ เขน กระบี่กระบอง ดาบคู่ ดาบเดี่ยว ง้าว ทวน ฯลฯ ๑ ชุดใหญ่ แล้วรีบนำธูปไปปักกลางแจ้ง โทรศัพท์ไปที่โรงพยาบาลชลบุรี ให้ปั๊มหัวใจพี่ชายให้เขาใหม่ ถ้าไม่ปั๊มให้จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ทางโรงพยาบาลก็ดีมากได้ปั๊มหัวใจให้ใหม่ ปั๊มเพียง ๒-๓ ครั้ง ปรากฎว่า คุณชูศักดิ์หายใจได้ ฟื้นเป็นปกติทุกอย่าง แพทย์และพยาบาลงงไป ๓ วัน ๓ คืน

ยมทูต ๔ ตน

วัตถุมงคลของหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อสร้างขึ้นมา สามารถปกป้องชีวิตและทรัพย์สินตลอดจนตัดกรรม(พระผง) ส่วนชุดโลหะจะดีทางคุ้มครองสูงมาก ยิ่งรูปของท่านภูตผียิ่งเกรงกลัว ไม่กล้ามารบกวนนับว่าแปลกทีเดียว วัตถุมงคลจำพวกดินท่านจะใส่ทรายเสก เพื่อป้องกันภูติพราย ส่วนพระผงท่านกลับใส่ทรายเสกแร่ต่าง ๆ นอกจากจะดีทางความเจริญก้าวหน้าแล้ว ยังกันภูติพรายได้อีก ส่วนรูปรุ่นสุดท้ายท่านเอาจีวรติด จีวรนี้เขาว่าผีกลัว จะขอเล่าเพื่อบันทึกถึงความขลังของรูปหลังจีวรไว้ดังนี้

คุณแม่ของคุณสุทธิพร มาลาทัย บ้านอยู่กรุงเทพฯ คุณแม่ของเขาไม่สบาย ต้องเข้ามารับการรักษาจากโรงพยาบาล อีกอย่างหนึ่งคุณแม่คุณสุทธิพร ได้ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ คุณสุทธิพรได้เป็นห่วงคุณแม่มาก ได้นำรูปถ่ายหลังจีวร เอาไปแขวนไว้ที่หัวเตียงคุณแม่ คือกลัวว่าผีจะมารบกวนคุณแม่ เพราะไม่ทราบว่าเตียงที่นอนนั้น มีคนเคยตายมาบ้างหรือเปล่า อยู่ต่อมาคืนหนึ่ง ขณะที่คุณแม่คุณสุทธิพรกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่พอดี ได้ฝันเห็นยมทูต ๔ ตน มายืนล้อมตัวของนางโพกผ้าสีแดง ไม่ใส่เสื้อ นุ่งผ้าคล้ายโจงกระเบน แต่เหนือเข่า แต่งกายรัดกุม ผ้าโจงกระเบนก็สีแดง ยมทูตได้พูดคุยกันแต่พอได้ยินว่า “เกรงใจหลวงพ่อองค์นี้ ให้อยู่อีกหน่อย” เมื่อลูกชายกลับมา นางได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณสุทธิพรฟัง คุณสุทธิพรเลยนำรูปหลังจีวรคล้องคอให้คุณแม่เลย ปัจจุบันเข้าใจว่ายังมีชีวิตอยู่

เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วคือ มีพยาบาลท่านหนึ่งได้มายืนเฝ้าคนจะขาดใจตาย แต่ไม่ตาย คุณพยาบาลคิดขึ้นมาได้ว่ายมทูตคงจะเกรงใจ พระพิมพ์สรรค์ที่เขาคล้องอยู่ เลยเดินห่างออกมา พอเดินห่างออกมาคนไข้ก็ขาดใจตายจริง ๆ

อีกครั้งหนึ่งเขาเป็นคนดูแลสัตว์ป่าอยู่ทางภาคอีสาน เป็นน้องชายนายเป๋ ตลาดท่าช้าง เดิมบางสุพรรณ ครั้งหนึ่งเขาเจอลูกสัตว์ป่ากำลังจะตาย เขาเลยเอามาดูแลเลี้ยงดูและได้นำรูปหล่อรุ่น ๑ มาใส่ไว้ที่ที่นอนลูกสัตว์นั้น ผลคือลูกสัตว์นั้นป่วยอย่างมากอาการไม่ดีขึ้น แต่อยู่มาได้ ๒-๓ วัน เขาอยากจะทดลองดูว่า ยมทูตจะเกรงใจรูปหล่อของหลวงพ่อจริงหรือเปล่า เขาได้นำรูปหล่อออก ผลคือลูกสัตว์ป่านั้นตายแทบจะทันที เรื่องนี้ เห็นว่าคล้ายกัน จึงเล่าให้ฟัง


ทิพยจักษุ

อภิญญาข้อที่ ๕ คือ ทิพยจักษุคือตาทิพย์ เรื่องหลวงพ่อมีตาทิพย์ โดยไม่ต้องเข้าที่ทำสมาธิ มีเรื่องยืนยันหลายเรื่อง

เรื่องแรก เจ้าของขอสงวนนาม แต่ผมเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เสียหายอะไร ทั้งพยานบุคคลยังมีอยู่ คือตอนนั้นคุณกมล พลพิพักษ์กุล ตลาดท่าช้าง อำเภอเดิมบาง ได้ออกรถสิบล้อเพื่อบรรทุกอ้อย คุณกมลแกเพิ่งจะหัดขับรถใหม่ ๆ ยังขับรถไม่แข็ง และรถก็ยังไม่ได้เจิมด้วย จึงตัดสินใจขับรถสิบล้อเอามาให้หลวงพ่อเจิม เพื่อเป็นสิริมงคล แกคิดว่า ถ้าขับรถเปล่ามาก็ไม่เกิดประโยชน์ แกจึงบรรทุกลูกรังจากเขาน้อย เอามาถมถวายวัดให้หลวงพ่อจะดีกว่า

วันนั้น ท่านฉันข้าวตอนสายประมาณ ๑๐.๐๐ น. คือท่านฉันมื้อเดียว พอท่านฉันข้าวเสร็จ ท่านได้ลุกขึ้นไปบอกช่างสมาน ให้ไปหาคนเอาไว้ซัก ๑๐ กว่าคน เดี๋ยวลูกรังจะมา คือมีคนนำมาถวาย พอรถมาถึงจะได้เอาลูกรังลงได้เลย ช่างสมานได้ไปบอกหมอเฉลียว คุณสมนึกหาคนมาได้ ๑๐ กว่าคนคอยอยู่ที่วัด คือคิดว่าคนที่จะเอาลูกรังมาถวายเขาคงจะนัดหลวงพ่อเอาไว้ จากเวลาที่หลวงพ่อบอกให้ไปตามคน กินเวลาประมาณ ๔๕ นาที ผลคือมีคนเอาลูกรังมาส่งที่วัดจริง ๆ เมื่อถามกันไปถามกันมา คุณกมลก็สงสัย ว่าทำไมจึงรู้ว่าตนจะเอาลูกรังมา ช่างสมานก็สงสัยว่าหลวงพ่อรู้ได้อย่างไร คือต่างคนต่างก็ไม่รู้มาก่อน แล้วหลวงพ่อรู้ได้อย่างไรว่าคุณกมล กำลังขับรถลูกรังมาวัด ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าถามผม ๆ ก็ตอบว่า ท่านมีตาทิพย์น่ะ ก็ขนาดเงินในซองจดหมาย เจ้าภาพเขานิมนต์ไปสวดท่านยังไม่ได้ไปด้วยซ้ำ ท่านยังบอกช่างสมาน บอกหมอเฉลียว บอกอาจารย์สำรวยได้เลยว่า ไปสวดครั้งนี้จะได้ปัจจัยเท่าไร เรื่องนี้ถ้าสงสัยให้ถามช่างสมานได้ ปัจจุบันบวชเป็นพระอยู่ที่วัดหลวงพ่อ คุณสมนึกบ้านอยู่ปากทางเข้าวัดเลย

เรื่องที่ ๒ ที่ยืนยันว่าท่านมีตาทิพย์ คือ ท่านได้รับกิจนิมนต์ให้ไปทำบุญที่จังหวัดจันทบุรี ไปที่บ่อพลอย คือ ศิษย์ท่านมาขุดพลอยที่จังหวัดจันทบุรีมีมาก ท่านมากับช่างสมาน หมอเฉลียว ท่านเดินผ่านที่เขาขุดบ่อพลอย แล้วท่านก็หยุดเฉย ๆ ช่างสมาน กับหมอเฉลียวนึกว่า ท่านเมื่อยขาจึงหยุดเดิน พอไปถึงบ้านพักท่านได้พูดกับช่างสมาน กับหมอเฉลียวว่า “มึงไม่เห็นพลอยเม็ดโตหรือ ในบ่อน่ะ” ช่างสมานกับหมอเฉลียวบอก “ไม่เห็น” แล้วทั้งช่างสมานกับหมอเฉลียวก็ต่อว่าท่าน ท่านบอกว่า “ท่านพูดไม่ได้ มันอาบัติ” คือผิดวินัยสงฆ์ เรื่องนี้ยังไม่ชัด เอาใหม่ เอาให้ชัด ๆ เลย

ท่านเล่าเอาไว้ คือว่าที่วัดร้างตรงทางเข้าวัดท่าน เดิมเป็นป่าช้าฝังศพ คือสมัยก่อนบางคนเขาไม่นิยมเผา วัดนี้ปัจจุบันหลวงตาเย็น เจ้าของตัว พ. เป็นเจ้าอาวาสรักษาการอยู่ ชื่อปัจจุบันชื่อวัดการเปรียญ ชื่อเก่าที่เรียกกันเพี้ยน ๆ ไปชื่อวัด สระปุเรียน คงมาจากคำว่าวัดศาลาการเปรียญ หรือวัดสระการเปรียญนี่แหละ วัดนี้เป็นวัดร้างสมัยกรุงศรีอยุธยา ท่านเล่าว่าวัดนี้สร้างขึ้นโดยภรรยาของเศรษฐี ๒ คน คือภรรยาน้อย กับ ภรรยาหลวง ได้ขุดสระไว้ ๒ สระ คือสมัยก่อนหาน้ำกินน้ำใช้ไม่ค่อยได้ ภายหลังเกิดสงคราม เศรษฐีได้นำเอาสมบัติใส่เรือฝังเอาไว้ โซ่เรือผูกอยู่ที่ต้นข่อย ฝังไว้น่ะครับ ไม่ได้ใส่ในเรือแล้วจมเรือ คือฝังเอาไว้ระหว่างสระ ๒ สระ

หลวงพ่อเคยมาขออัฐิขนาดใหญ่ แผ่นยาวประมาณ ๑ ศอกได้ หลวงพ่อได้มาจุดธูปขอ นำเอาไปสร้างโบสถ์ที่วัดท่าน และได้นำเงินเหรียญจำนวน ๑ บาตร นำมาแลกเปลี่ยน ฝังเอาไว้ให้ และยังได้นำพระพิมพ์สรรค์มาบรรจุเอาไว้หลายบาตร ท่านนำมาฝังกับบุตรบุญธรรมของท่าน และได้ขุดถ้วยชามและพระเครื่องเก่า ๆ จากวัดนี้เอาไปหลายอย่าง นอกจากวัดนี้แล้วท่านก็เคยไปขุดเอามาจากวัดวิหารร้าง หรือวัดใน

เรื่องที่ท่านขุดพระเครื่องเก่า ๆ และของเก่าได้ แสดงว่า ท่านต้องมีตาทิพย์ สามารถมองเห็นของที่อยู่ใต้ดินได้ เรื่องนี้หลักฐานพอมีคือ ยังอยู่ในตู้พิพิธภัณฑ์ เห็นว่าสมควรบันทึกเอาไว้จึงเล่าให้ฟัง

วันหนึ่งท่านไปธุระที่วัดแจ้ง วัดแจ้งนี่อยู่ด้านใต้ของวัดหลวงพ่อ ท่านได้ไปนั่งเล่นที่วิหารของวัดแจ้ง ปกติหลวงพ่อจะชอบนั่งยอง ๆ คือนั่งชันเข่า ยกเว้นเวลาถ่ายรูป ท่านจะนั่งเรียบร้อย คืออธิษฐานตัวก่อนถ่ายรูปทุกครั้ง วันนั้นท่านนั่งชันเข่า ในมือท่านถือไม้ไผ่อันหนึ่ง ท่านเอาไม้แทงดินเล่น แทงคุ้ย ๆ เหมือนเด็ก ๆ เล่นดิน แล้วท่านเอาไม้เขี่ยหินก้อนกลม ๆ ก้อนหนึ่งขึ้นมา เขี่ยไปเขี่ยมา พอดีนายแพ ลูกศิษย์ที่มาด้วยได้มาเห็นเข้า ได้หยิบขึ้นมาดูคือคิดว่าเป็นพลอยหรือหยก และได้ขอท่าน ปรากฎว่าเมื่อนำมาล้างน้ำแล้วนำไปให้ช่างทองดู จึงได้รู้ว่าเป็นเพชร ปัจจุบันทราบว่ายังอยู่ เจ้าของหวงมากพ่อนายแพรชื่อโต เป็นคนบ้านใกล้ ๆ วัดหัวเด่น

อีกเรื่องหนึ่งท่านได้ไปขุดพระที่วัดร้าง ได้พระหูยาน ลพบุรี มาองค์หนึ่งได้ให้ลูกศิษย์ไป ปัจจุบันพระองค์นี้ยังอยู่มีคนไปให้ราคาตกหมื่นบาท ถ้าอยากดูให้ไปหาหมอแจ๋ ศิษย์ท่านอยู่ซอย ๓ ซอยเดียวกับศาลนายดอก

ที่กุฏิท่านมีพระบูชาทองคำองค์ใหญ่องค์หนึ่ง หน้าตักประมาณ ๕ – ๗ นิ้วได้ ท่านขุดมาได้ ใครก็อยากจะได้ขนาดเถ้าแก่ในตลาดท่าช้าง มาขอท่านแล้วจะสร้างโบสถ์ให้ท่าน ท่านให้ไม่ได้ ท่านบอกว่าไม่ใช่ของ ๆ ท่าน ภายหลังท่านเลยเอาไปฝังไว้ ไม่รู้ว่าที่ไหน และไม่มีใครกล้าถาม ท่านได้แต่พูดว่าทองเป็นสิ่งไม่ดี โทษมีมากกว่าประโยชน์ เรื่องทรัพย์แผ่นดินนี้เป็นเรื่องยืนยันไม่ได้ แต่สมควรบันทึกเอาไว้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 10, 2013, 10:02:33 am
สมเด็จหลังรูป รุ่น ๒ เป็นพระที่ผมเองอยากได้มานาน แต่ก็ต้องรอมาเป็นเวลานานมาก สำหรับองค์นี้หากมองเผิน ๆ แล้วด้านหน้าองค์พระนับว่าสวยงามมากทีเดียว เนื้อหาส่องแล้ววางไม่ลง แต่ด้านหลังสภาพพระหักซ่อมมองเห็นได้ชัดเจน พระสภาพนี้ได้มาก็นับว่าดีมากแล้วสำหรับผมครับ ให้สมกับที่รอคอยท่านมานานเลยเลี่ยมทองให้สมศักดิ์ศรีหลังรูปเก่งดีพระของหลวงพ่อครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 10, 2013, 10:05:33 am
นอกจากสมเด็จหลังรูปมาโปรดผมแล้ว หลวงพ่อยังเมตตาให้นางพญาซุ้มคู่มาด้วย ครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 10, 2013, 10:15:08 am
สิงห์ ของหลวงพ่อก็เป็นอีกชิ้นหนึ่งที่ผมชอบและอยากได้มานาน เพิ่งจะได้มาครับ สมกับที่รอคอย
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 10, 2013, 10:28:27 am
นอกจากสมเด็จหลังรูปมาโปรดผมแล้ว หลวงพ่อยังเมตตาให้นางพญาซุ้มคู่มาด้วย ครับ

ทั้งหลังรูป และนางพญา ผ่านมาแล้วหลายมือ สุดท้าย มาอยู่ที่ผมจนได้ แค่นี้ผมก็บรรยายความรู้สึกไม่ถูกเลยครับ ดีใจสุด ๆ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: nori ที่ กันยายน 10, 2013, 12:38:57 pm
พระสวยสุดยอด โดยเฉพาะนางพญาองค์นี้เป็นที่จดจำของหลายๆคน  ;D ;D ;D หลวงพ่อท่านมอบให้คุณ weerawat26  ;D ;D ;D ยินดีด้วยครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 10, 2013, 12:43:06 pm
พระสวยสุดยอด โดยเฉพาะนางพญาองค์นี้เป็นที่จดจำของหลายๆคน  ;D ;D ;D หลวงพ่อท่านมอบให้คุณ weerawat26  ;D ;D ;D ยินดีด้วยครับ


ขอบคุณมากครับ ที่เข้ามาเยี่ยมชม ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 11, 2013, 11:17:58 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๓๗
วันที่ ๒๕ ก.พ. – ๕ มี.ค.๒๕๓๖
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


คนลิขิตไม่เท่าฟ้าลิขิต

มีคำกล่าวคำหนึ่งโดยมากใช้กับภาพยนตร์จีน คือคำว่า คนลิขิตไม่เท่าฟ้าลิขิต วันนี้ผมขอยืมเอามาใช้สักหน่อย คำ ๆ นี้ใช้ในความหมายคือ การฆ่าหรือสั่งฆ่า ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย เพราะฟ้าหรือพระพรหมท่านได้ลิขิตเอาไว้ ไม่ให้ตายโหงนั่นเอง

มีศิษย์หลวงพ่ออยู่คนหนึ่งชื่อเมือง มั่นปาน ชื่อและนามสกุลจริงเป็นคนบ้านแคโดยกำเนิด แต่เดิมบ้านแค หัวเด่น สามเอก บ้านคูฯ ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอสรรคบุรีนี่ เป็นดินแดนของเสือปล้น คนจริง นักเลง เพราะอำเภอสรรคบุรีชื่อเดิมคือ เมืองแพรกศรีราชา เป็นเมืองหน้าด่าน หน้าด่านนะครับไม้เอกไม่ใช่ไม้โท ลุงเมืองแกเป็นศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่ง เดิมฐานะยากจนมาก ติดฝิ่นด้วย สุขภาพก็ไม่ค่อยดี ทำกินก็ไม่ค่อยไหว คนอื่นเขายังไปลักวัว ลักควาย ทำไร่ทำนาได้ ลุงเมืองแกทำกินก็ไม่ไหว ประกอบกับหัวเด่นบ้านแค แต่ก่อนต้องทำนาน้ำฝน ไม่มีคลองชลประทาน การทำนาทำไร่ลำบากมาก ลุงเมืองแกรักและเคารพหลวงพ่อมาก มาหาก็มาด้วยความเคารพ บางครั้งก็หาของมาถวายหลวงพ่อ หลวงพ่อจะดุด่าตักเตือนอย่างไรแกก็ก้มหน้าฟังนิ่ง หลวงพ่อก็อดเอ็นดูไม่ได้ ได้สักหนุมานให้ตัวหนึ่ง ตัวเดียวจริง ๆ ลุงเมืองแกติดฝิ่น เวลาหิวฝิ่นขึ้นมาไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาซื้อ แกก็ลักของชาวบ้าน ของที่แกชอบลักเขามากก็คือตุ้มดักปลา ตุ้มเป็นเครื่องมือดักปลาดุก ใหญ่มาก เล็กกว่าถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตรนิดหน่อย เจ้าของเอาตุ้มไปดักเอาไว้ แล้วเอาเหยื่อไปล่อทุกวัน บางทีได้ปลาดุกตก ๕๐ – ๑๐๐ กิโลเลย ปลาดุกเกือบทั้งหมดลุงเมืองแกลักเอาไป แล้วเอาปลาไปขาย ซื้อฝิ่นสูบ เจ้าของตุ้มโกรธมาก ได้แอบดักยิงด้วยปืนลูกซองยาว ยิงขณะที่หัวก้มอยู่ ความแรงของลูกปืน ทำให้แกหงายท้องลงไปเลย บางทีก็โดนตามตัว บางทีแกก็ดำน้ำหนี เจ้าของตุ้มนึกว่าแกตาย มีข่าวลือมาเข้าหูหลวงพ่อว่า ลุงเมืองโดนยิงตาย หลวงพ่อกวยท่านพูดว่า “ไอ้เมืองมันไม่ตายโหง แค่ลูกปืนหรอกวะ” คนอื่นเขาบอกว่าลุงเมืองตายแล้ว แต่หลวงพ่อกวยบอกว่าไม่ตาย ไม่ว่าใครจะมาเล่าอย่างไร ท่านก็บอกว่ามันไม่ตาย ก็จริงอย่างที่หลวงพ่อท่านพูดลุงเมืองหายไป ๒ – ๓ วัน ก็มาใหม่  มีบางคนได้ไปแจ้งความกับตำรวจ ตำรวจสมัยก่อนเขาชอบจับตาย ได้ส่งตำรวจมือปราบมาแอบฆ่าให้ตาย ได้แอบยิงแกด้วยปืนเล็กยาวหัวทองเหลือง ยิงขนาดขาลากเดินไม่ได้ แกคลานหนีเอา ไม่ตายอีกแหละ

ปัจจุบันลุงเมืองแกเลิกลักขโมยแล้ว เลิกสูบฝิ่นแล้ว เป็นทายกวัดหนองตาแก้ว เลื่อยไม้ให้วัดโดยไม่คิดค่าแรงทุกวัน ถ้าจะขอดูรอยลูกปืนละก็ ขอดูได้ทุกเวลา มีแทบทุกชนิดทั้งปืนแก๊ป ลูกโดด ลูกซอง ๙ เม็ด ลูกเล็ก-ยาว หัวทองเหลือง ลูกโม่ ไม่มีอยู่แต่ลูกอาร์ก้ากับเอ็ม ๑๖ อ้อเดิม ๗๙ ก็ไม่มี ถ้าถามลุงแกตรง ๆ ว่าจะขอยิงซักทีจะได้หรือไม่ แกบอกได้ แต่ต้องยิงระยะไกลหน่อย เพราะยิงใกล้มันเจ็บ และเวลาแกเจ็บขึ้นมาถ้ามีมีดอยู่ใกล้ ๆ แกอาจหยิบขึ้นมาฟันเอาก็ได้ นับว่าใจถึงมาก ส่วนลุงคลี่คนที่ช่วยหลวงพ่อตีมีด ปัจจุบันแกบวชอยู่วัดหนองตาแก้วเช่นกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องของคนจริง ถ้าอยากพบตัวแก ถ้ามาที่วัดให้ถามถึงลุงเนียม ลุงเนียมแกเป็นเพื่อนเขยกัน ลุงเนียมบ้านอยู่หน้าวัดเลย

ส่วนนายปาน น้องนายชัย ที่สติไม่ค่อยดี นายชัยตายแล้วเหลือแต่นายปาน ปัจจุบันอายุมากแล้วตก ๖๐ กว่าผมหงอกหมดหัวแล้ว นายปาน นายชัย หลวงพ่อเมตตา เพราะเคยบีบนวดให้ท่าน หลวงพ่อได้ลงกระหม่อมให้ชนิดพิเศษ นายปานเคยโดนรถปิคอัพชนกระเด็นตกคลอง ยังลุกขึ้นมาเดินได้หน้าตาเฉย และคนชอบลองยิงแกมาก ยิงไม่ติด แต่ผมขอร้องเขาเป็นคนไม่ควรลองกันด้วยลูกปืน ชีวิตคนไม่ใช่ของเล่น ไม่นับถือหลวงพ่อก็ไม่ว่ากัน แต่ไม่ควรจะลองกันขนาดนั้น ถ้าจะลองกันจริง ๆ ให้ไปลองยิงต้นกร่างที่หลวงพ่อบรรจุพระเอาไว้ ถ้าอยากลองกันขนาดหนักก็รูปหล่อใหญ่หลวงพ่อนั่นเลย

อภินิหารสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ

ด้านหลังมียันต์เฉพาะตัวของท่านคือ นะโมพุทธายะ มีทั้งยันต์จมและยันต์นูน และมีอีกแบบหนึ่งคือเป็นรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม ทั้ง ๓ แบบ มีทั้งบอก พ.ศ.ที่สร้าง คือ พ.ศ.๒๕๑๓ และไม่บอก พ.ศ. หลวงพ่อใช้เวลาทำถึง ๒ ปี ทำครั้งแรก ๆ จะบรรจุผงตะไบของสังฆราชแพ บรรจุแร่อุกาบาตร เพชรหน้าทั่ง เกศาผู้มีบุญญาธิการสูง เกศาครูบาอาจารย์ท่าน เกศาท่าน และอื่น ๆ อีกมากโดยยัดใส่ไว้ภายใน ต่อเมื่อทำไปเรื่อย ๆ ของวิเศษเริ่มน้อยลงหลวงพ่อเลยใช้ผงล้วน ๆ สีขาวทำ

เฉพาะสีขาวและสีดำท่านได้แจกให้ลูกศิษย์ออกไปจนหมด สีดำนั้นท่านใช้ผงใบลานทำ อีกเนื้อหนึ่งที่ท่านทำแจกออกไปจนหมดคือ เนื้อที่ผสมผงตะไบพระกริ่งของสังฆราชแพ(ได้มาจากพระครูลมูล คราวไปปลุกเสกพระให้พระครูลมูลวัดสุทัศน์) เมื่อท่านแจกออกไปท่านจะพูดว่ามีเกศาของ...ผสมอยู่ให้รักษาให้ดี ถ้าท่านพูดกับศิษย์ใกล้ชิดท่านจะพูดว่า “ปรกโพธิ์เขาดี อยู่ที่ไหนก็ร่มเย็น ไม่มีใครรังเกียจ”

ส่วนสีนั้น มีสีดำ สีขาว สีน้ำตาล สีชมพู สีพิกุล สีเขียวหินอ่อน สีว่าน(ใช้ว่านผสมทำเห็นได้ชัดเจน) สีที่พบมากคือสีพิกุล คือมีเกสรดอกไม้เป็นส่วนผสม พระชุดนี้มีน้ำมันตังอิ้วเป็นส่วนผสมจึงไม่ค่อยเก่า ถ้าใช้โดนเหงื่อเล็กน้อย จะเป็นมันหนึกแน่น 

พระที่สร้างจำนวนมากนี้ท่านไม่ค่อยแจกให้ใคร จะแจกเพื่อทดลองสรรพคุณเท่านั้น ที่แจกออกไปมากสุดคือพิมพ์ปรกโพธิ์ ๙ ใบ แจกมากถึงประมาณ ๓๐๐ – ๔๐๐ องค์ หลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้แจกใครอีกเลย ท่านได้พูดว่า “ผู้มีบุญในยุคของท่านมีเท่านี้ ต่อไปในวันข้างหน้า เจ้าของเขาจะมาเอาไปเอง” ท่านได้พูดกับศิษย์ใกล้ชิดเอาไว้ ท่านได้บรรจุใส่กล่องไว้มัดอย่างดี ปีต่อมาท่านจึงได้ทำสมเด็จหลังรูปรุ่นสุดท้ายแจก

ส่วนวัตถุมงคลที่เป็นตะกรุด ปลัดปรอท ท่านได้บรรจุไว้ ๑ ลังใหญ่ มัดแน่นหนาและเขียนว่าใครเปิดตาแตก แต่เมื่อท่านมรณภาพก็มีการเปิดจนได้ ปลัดตัวละ ๒๐ บาท ตะกรุดสายละ ๑๐๐ บาท ตะกรุดจำหน่ายหมดเลย ส่วนปลัดหมดในเวลาต่อมาเพียง ๒ ปี วัตถุมงคลชุดนั้นถ้านำมาเปิดตอนนี้ (พ.ศ.๒๕๓๘) จะมีมูลค่าประมาณ ๕๐ ล้านบาท หรือมากกว่านั้น

ต่อไปจะขอบันทึกอภินิหารเพิ่มเติม ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ เอาไว้

นายเอ๊บ เป็นศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งอายุรุ่นอา เดิมเป็นคนบ้านเดียวกับผม ตอนหลังเมียขับเพราะแกมีเมียหลายคน เลยไม่รู้บ้านแน่นอน มีลูกอายุแก่กว่าผมก็มี กำลังเป็นสาวก็มี มีนิสัยไปทางนักเลง หัวโต กินเหล้า ๓ วันยังไม่ทรุด ตัวโตพอ ๆ เสือเอียด เสือสมาน แต่งตัวสะอาดพูดจาปากหวาน ครั้งหนึ่งเขาชวนไปลักควายเขามีพระปรกโพธิ์หลังยันต์ ๑ องค์ เพื่อนชวนไปจะไม่ไปเดี๋ยวจะหาว่าไม่รักกันจริง เขาเลยไป เพื่อนไปคนไปจับควายในคอก อีกคนคอยดูเจ้าของบ้านที่หัวบันได ส่วนนายเอ๊บเป็นคนเปิดคอกควาย เจ้าของบ้านก็ชาติเสือเหมือนกัน พอรู้ตัวว่ามีคนจะมาลักควาย เขาย่องเงียบในมือถือปืนลูกซองยาว บรรจุลูกโดดลูกเดียว เห็นคนกำลังเปิดคอกอยู่พอดี เดือนหงาย เขาเลยตัดสินใจยิงคนร้ายที่กำลังเปิดคอกอยู่ ปรากฎว่าถูกและล้มลงไป คงจะไม่ใช่ตำแหน่งสำคัญ คนร้ายจึงลุกขึ้นวิ่ง หนีไปได้ นายเอ๊บโดนยิงได้ลุกขึ้นวิ่งหนีเพราะโดนตรงขา เมื่อคลำดูไม่มีเลือด เจ้าทรัพย์ได้เรียกพวกพ้องโดยยิงปืนขึ้นฟ้า ๓ นัด ชาวบ้านเกือบ ๓๐ คน ได้ตามหาคนร้ายเพราะเจ้าทรัพย์บอกว่ายิงโดนแน่ ๆ ส่วนนายเอ๊บเมื่อวิ่งหนีมาได้ประมาณครึ่งกิโลก็วิ่งไม่ไหว เพราะความแรงของลูกปืนและตัวแกโตด้วย เพื่อนจะเอาไปด้วยก็เอาไปไม่ไหว เลยตัดสินใจให้นายเอ๊บแอบอยู่ที่ป่าแฝก แล้วเพื่อนโจร ๒ คน จะหาคนมารับ นายเอ๊บได้ระลึกถึงพระแม่ธรณีอัญเชิญให้มาช่วย แล้วว่าคาถาพระแม่ธรณี พร้อมทั้งถอดรองเท้าปาทิ้งไป เพื่อให้เท้าสัมผัสกับพื้นดิน เจ้าของควายตามมาหวิด ๆ ได้เอาไฟฉายส่องดู ป่าแฝกบาง ๆ แท้ ๆ แต่ด้วยอำนาจมนต์ หรือพระของหลวงพ่อไม่แน่ชัด ปรากฎว่า เจ้าทรัพย์และเพื่อนบ้านตก ๒๐ กว่าคน หาไม่พบ เดินวนรอบตัวแก ๓ รอบก็ไม่พบ ดันทะลึ่งไปเจอรองเท้าเข้า เมื่อเจ้าทรัพย์หาไม่เจอก็กลับเพราะควายก็ไม่ได้มีโจรเอาไป ได้แต่พูดว่า “กูว่ากูยิงมันถูกแน่นอนเพราะมันหงายหลังล้มลงไป” แต่แปลกมากไม่พบรอยเลือด ประมาณตี ๒ เพื่อนของนายเอ๊บก็พาเพื่อน ๆ มาอีก ๓ คน มาช่วยกันหามตัวแกหนักมาก เพื่อนทำแคร่หามถึง ๔ คนหามมาไกลซัก ๓ กิโลได้ก็หยุดพัก เพื่อนโจรด้วยกันคนหนึ่งเหนื่อยจัด ได้ชักปืนออกมากะยิงทิ้งให้ตาย นายเอ๊บก็ใจเย็นระลึกถึงพระแม่ธรณี พระปรกโพธิ์ ๙ ใบ และหลวงพ่อเป็นที่สุด ผลคือเพื่อนโจรได้หามแกไปต่อ นั่งเรือโปง(ทำจากต้นตาล) เอาไปส่งให้หมอรวยที่ตลาดปากน้ำ เพราะขาแกขัดมากเดินแทบไม่ได้ บวมขนาดคับกางเกง หมอรวยก็ฉีดยาให้ เพื่อนโจรก็หนีไป สั่งว่าถ้าโดนจับห้ามไม่ให้ซัดทอดเด็ดขาด นายเอ๊บเกิดง่วงขึ้นมา คิดว่าค่อนสว่างก็จะรีบหนีไป เกิดหลับยันสว่างเลย เจ้าทรัพย์ได้มาตาม ตามร้านหมอทุกที่ทั้งส่งสายไป และมาตามเอง นายเอ๊บตื่นขึ้นมาสว่างพอดี ตกใจเอามือตบพระว่าคาถาพระแม่ธรณี พอดีเจ้าทรัพย์มาพอดี เจ้าทรัพย์พอเจอนายเอ๊บได้ถามว่า “มึงมาหาหมอทำไม” นายเอ๊บก็ตอบว่า “ก็มึงน่ะซิ ยิงกูเมื่อคืน เกือบตาย” นายเอ๊บก็พูดดี บอกว่า “เพื่อนมันชวนไม่รู้ว่าเป็นบ้านมึง” พูดกันไป พูดกันมา เพื่อน(เจ้าทรัพย์) ร้องให้ไปซื้อเหล้ามากินกัน นับว่าเป็นเรื่องแปลกมาก นายเอ๊บนี่ปากดีผมไม่เชื่อว่าเขาจะไม่รู้ว่าเป็นบ้านเพื่อน แต่เพื่อนเขาเมื่อรู้แล้วผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะคิดเก็บนายเอ๊บทีหลังหรือเปล่า

อีกครั้งหนึ่งนายเอ๊บถูกสั่งจับตายจากตำรวจ หรือจากโจรผมก็ไม่รู้เขาขี่รถคันใหญ่รถญี่ปุ่น ขี่มาด้วยความเร็วเขาโดนยิงชุดใหญ่ ๑ ชุด ความแรงของลูกปืนทำให้รถตกคลองลงไป ตัวเขากระเด็นข้ามคลองลงไปหัวพาดกับดินริมคลอง ตัวและขาแช่อยู่ในน้ำ ซี่โครง แขน โดนยิง เป็น ๑๐ เม็ด ยังตุ่ยอยู่ตามลำตัว ปัจจุบันยังเป็นไตแข็ง ๆ อยู่

อีกครั้งหนึ่ง เกิดขึ้นตอนที่เขาชักจะมีอายุมากแล้วเขาเมาเหล้าหน่อย ๆ ขี่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่คงจะขี่ซ่าหน่อย ๆ รถ ๑๐ ล้อขี่ตามมาเกิดหมั่นไส้หมั่นตับขึ้นมา ได้ขี่เอาท้ายปัดรถเขาเขาเพราะเขาทะลึ่งขี่กลางถนนกินเลนขวาอีกด้วย พอรถเขาถูกรถ ๑๐ ล้อปัดเอา รถก็เสียหลักแต่ไม่ล้ม พอดีรถกระบะวิ่งตามมาพอดีเฉี่ยวถาก ๆ ตัวเขาลอยข้ามรถกระบะร่วงลงดิน รถไม่เสียหายมากแต่คนน่าจะมีอาการหนัก เช่น ซี่โครงหรือคอ แต่ปรากฎว่าเขาไม่เป็นอะไรเลย เพียงแต่ปวดเมื่อยอยู่เดือนเศษ(อายุ ๖๐ กว่า) ปัจจุบันไม่ทราบที่อยู่ เพราะเขาก็ไม่อยากให้ใครรู้ ถ้าเขาผ่านบ้านผมถ้าเจอผมเขาจะแวะมาคุยเสมอ เขาพกปืนเสมอทั้ง ๆ ที่ไม่มีใบอนุญาต เขาชอบเอาพระมาแลกเปลี่ยนกับผม ชอบคุยเสียงดังข่มขวัญ เขาพูดว่าเขาเส้นมือขาดยิงใครออกทุกคน ผมก็คุยมั่งว่าหลวงพ่อให้คาถาคัดพระเอาไว้ ใครโดนผมยิงตายทุกคน แต่เป็นเรื่องแปลกมากเขามีเมียหลายคน จะเป็นด้วยพระปรกโพธิ์ ๙ ใบ หรือเปล่าไม่รู้ และฐานะเขาก็ค่อนข้างดีด้วยเคยมีเงินเป็นล้าน ๆ บาท ปัจจุบันมีที่เป็นร้อย ๆ ไร่
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: anon ที่ กันยายน 12, 2013, 08:28:10 pm
พระสวยสุดยอด โดยเฉพาะนางพญาองค์นี้เป็นที่จดจำของหลายๆคน  ;D ;D ;D หลวงพ่อท่านมอบให้คุณ weerawat26  ;D ;D ;D ยินดีด้วยครับ

    คิดเห็นเช่นเดียวกันกับพี่ โนริ ครับ ยินดีด้วยครับ  :D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 13, 2013, 10:12:13 am
พระสวยสุดยอด โดยเฉพาะนางพญาองค์นี้เป็นที่จดจำของหลายๆคน  ;D ;D ;D หลวงพ่อท่านมอบให้คุณ weerawat26  ;D ;D ;D ยินดีด้วยครับ

    คิดเห็นเช่นเดียวกันกับพี่ โนริ ครับ ยินดีด้วยครับ  :D

ขอบคุณมากครับคุณอานนท์
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 13, 2013, 10:55:51 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๓๘

วันที่ ๕ มี.ค. – ๑๕ มี.ค.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



ยังคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ หลวงพ่อกวย

เมื่อช่างสมกับหลานสาว ไม่ได้ลงรักปิดทองแล้วช่างสมานเลยต้องทำซะเอง ตอนที่ช่างสมานกำลังลงรักปิดทองอยู่นั้น ได้มีผึ้งหลวงรังใหญ่มาก ได้มาเกาะทำรังอยู่ตรงคันทวย หน้าบันพระอุโบสถ อยู่ก่อนแล้ว ช่างสมานก็ลงรักปิดทองไปเรื่อย ๆ พอมาถึงตรงคันทวยไม่สามารถจะลงรักปิดทองได้ เพราะผึ้งหลวงได้เกาะทำรังอยู่ จึงได้ไปบอกกับหลวงพ่อว่าจะทำอย่างไรดี หลวงพ่อกวยพูดว่า “พรุ่งนี้มันก็ไปเองแหละ” ผลปรากฎว่า วันรุ่งขึ้น ผึ้งรังนั้นได้อพยพหนีไปจนหมดสิ้น

ปัจจุบันนี้ผึ้งรังนี้ไม่ทราบว่าเกาะอยู่ที่ไหน แต่ถ้ามีการบวชนาคมีการวนโบสถ์ ๓ รอบ ถ้าคนแห่นาคกินเหล้า แล้วถือขวดเหล้าวนรอบอุโบสถครั้งใดก็ตาม ผึ้งรังนี้จะแห่กันมาต่อยคนวนโบสถ์ชนิดยกกันมาทั้งรัง ต่อยยั้นนาค หลวงตาสมานเล่าว่า คุณยายฉายญาติสนิทของท่านโดนต่อยก่อนคนอื่น ในฐานะที่มีอายุมากแล้วไม่บอกคนอื่นที่มาวนโบสถ์ คุณยายฉายโมโหมากได้ไปถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อไหนเอากันถึงขนาดนี้เลยหรือ” หลวงพ่อกวยไม่ว่าอะไร ท่านหัวร่อ “หึ หึ”

ให้หวยแม่นยำ
 
หลวงพ่อกวย เป็นพระที่สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้แม้นยำ รวมทั้งการให้หวยด้วย แต่น้อยคนนักที่กล้าขอหวยจากท่าน เพียงแค่ท่านมองหน้าคนที่มาหาก็ก้มหน้ากันเป็นแถว แต่ก็มีบางคนที่กล้าขอหวยท่าน ช่างมนัสเป็นช่างทำหน้าบรรณพระอุโบสถ ได้ทราบกิตติศัพท์ว่าหลวงพ่อกวยให้หวยได้ ได้ให้ช่างสมานพามาหาหลวงพ่อกวย ขณะนั้นมีหมอเฉลียวและอาจารย์ส่งอยู่ด้วย ช่างมนัสได้พูดกับหลวงพ่อกวยว่า ผมขอหวยหลวงพ่อสักงวดนึง ขอให้หลวงพ่อให้ตรง ๆ ซักงวดนึง ถ้าถูกผมจะไม่เอาค่าแรงเลย หลวงพ่อกวยได้พูดว่า “ถึงให้ตรง ถ้าไม่มีโชค ก็ไม่ถูก” ช่างมนัสได้พูดย้ำว่า เอาเหอะหลวงพ่อขอให้ให้ตรง ถ้าผมไม่ถูกให้มันรู้ไป ผมจะไม่เอาค่าแรงเลย การพูดกันในวันนั้นถึงจะไม่รุนแรงแต่ก็คล้าย ๆ เป็นการท้าทายหลวงพ่อได้เดินไปที่กองทราย ห่างจากที่ ๆ ท่านนั่งประมาณสิบก้าว ท่านหยิบชล็อคขึ้นมาเขียนว่า “วัดเก้าทั่ง ๗๒๐” อยู่ต่อมาอีก ๒ วัน ท่านได้ไปเขียนไว้ตรงที่ช่างมนัสทำงานว่า “ทำกระเบื้อง ๗” ตกกลางคืนก่อนที่หวยจะออก ๑ วัน ช่างมนัสได้ฝัน ฝันดีมาก ได้นำเลขในความฝันไปแทงหวย โดยหลงลืมเลขหลวงพ่อ คือ ๗๒๐ และเด่น ๗ พอหวยออกตอนบ่าย สามตัวบนออก ๗๒๐ ตรงตัวเปี๊ยะเลย ช่างมนัสถึงกับคอตก ได้ไปกราบขอโทษหลวงพ่อและได้สร้างพระพุทธรูปปูนปั้น ขนาดเท่าหลวงพ่อเพื่อขอโทษ ถวายให้หลวงพ่อหนึ่งองค์ ปัจจุบันพระปูนปั้นองค์นี้ยังอยู่อาจารย์ใหญ่ รร.วัดโฆสิตาราม ได้ขอเอาไปตั้งไว้หน้าโรงเรียน เพื่อให้เด็กได้กราบไหว้ตามโครงการสร้างพระพุทธรูป ประจำโรงเรียน

จดหมายคุณวิชัย  มาลา
หอพัก
๑๘ พ.ย.๒๕๓๔
สวัสดีครับอาจารย์เฒ่าที่เคารพ

ผมจะขอเล่าความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อกวย ที่เกิดขึ้นกับผม เมื่อ ๒-๓ วันก่อน อาจารย์คงจำผมได้ เมื่อเดือนที่แล้วผมส่งเงินมาทำบุญมูลนิธิกับหลวงพ่อ ๒๐๐ บาท ผมได้ขอรูปดวงแก้วสิวลี จากอาจารย์อย่างเดียว แต่อาจารย์ได้ส่งรูปดวงแก้ว รูปหลวงพ่อ รูปหลวงพ่อกับกับหลวงพ่อเดิม เหรียญหลวงพ่อกวย เหรียญหลวงพ่อบุญเย็น เหรียญขวัญถุงหลวงปู่หล้า ผมขอขอบคุณมาก ๆ ครับ เมื่อผมได้รับ ผมก็เอาใส่ซองไว้ตามเดิม แต่ไว้บนหิ้งพระ พอตอนกลางคืน ผมก็สวดมนต์ แล้วพูดกับหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อมาอยู่กับลูกขอให้ลูกมีโชคมีลาภบ้าง” ผมก็สวดมนต์ขอพรเป็นประจำ ทำได้ ๒-๓ คืน คืนหนึ่งผมฝันเห็นผี ผมกลัวได้วิ่งไปหาหลวงพ่อกวย ผมบอกท่านว่า ผมมาไกล ช่วยผมด้วย หลวงพ่อได้เป่าหัวผม ๑ ที หัวผมเย็นมากเย็นแว๊บเลย เย็นจนตื่นเลยผมก็หลับต่อ ในความรู้สึกของผมคือ รู้ว่าถ้าท่านเป่าหัวให้จะมีโชค แล้วฝันต่อเห็นท่านหยิบหม้อดินขึ้นมา แล้วเขียนเลข ๐๘ แล้วผมก็สะดุ้งตื่นเพราะเย็นหัว เย็นมากเย็นแว๊บเลย ผมตื่นตี ๔ ครึ่ง แล้วเล่าเรื่องให้ภรรยาฟัง ต่อมาผมซื้อหวย ๔ คู่ เลข ๐๘ ภรรยาซื้อใต้ดิน ๑๐ บาท พอวันที่ ๑๖ พ.ย.๓๔ หวยออก ๐๘ ผมดีใจมาก ผมได้ถ่ายซีลอกซ์สลากแบ่งมาให้ดู เพื่อยืนยันและส่งเงินมาเข้ามูลนิธิอีก ๕๐๐ บาท ผมมาคิดดู ถ้าศิษย์ของหลวงพ่อมีความจริงใจ ตั้งใจจริงจะทำบุญกับท่าน ท่านให้โชคได้โชคเราพอมี ท่านต้องให้แน่นอนเพราะหลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ บอกเลขได้ในฝัน บอกตรง ๆ เลย อย่างนี้จะไม่ให้นับถือได้อย่างไร

ด้วยความเคารพ
วิชัย  วิมาลา
บรัทขนมสากลจำกัดประตูน้ำพระอินทร์
อ.บางประอินทร์ จ.อยุธยา ๑๓๑๘๐


ตอบคุณวิชัย เงินมูลนิธิคุณ ๒ ครั้งได้รับแล้วครับ ลงชื่อคล้ายคลึงให้ คุณไม่อยากให้ลงชื่อจริง เรื่องเหรียญหลวงพ่อเย็น หลวงพ่อม่นฯ มีคนมอบให้ผมไว้แจกมูลนิธิครับ ตอนนี้หมดแล้วครับ ดีใจด้วยครับที่หลวงพ่อเมตตาคุณครับ


๔๔ ซอยอาทิตย์ ถนนวุฒากาศ
บางค้อ บางขุนเทียน กทม.๑๐๑๕๐


เรียนคุณเฒ่า ที่นับถือ

ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่เคารพในองค์หลวงพ่อกวยมาก และไม่เคยเสื่อมความเลื่อมใสลงไปเลย นับวันจะมีมากขึ้น ผมต้องขอขอบคุณคุณเฒ่าด้วยที่เป็นผู้ริเริ่มเขียนเรื่องหลวงพ่อกวย ทำให้ผมมีพระดี ๆ ไว้ใช้ ผมเพิ่งได้พระของหลวงพ่อเมื่อไม่นานมานี้เอง โดยผมบูชามาจากทางวัด ผมมีเรื่องจะเล่าให้คุณฟังดังนี้


ครั้งแรกตามปกติผมจะอยู่และทำงานที่จังหวัดกาญจนบุรีเป็นส่วนมาก พอผมได้พระมาผมก็นำมาเลี่ยมคล้องคอบูชา สวดมนต์ระลึกถึงท่านอยู่เสมอ ผมเองอยากจะมีโชคสักก้อนหนึ่ง เพื่อนำเงินไปทำบุญบูชาวัตถุมงคล และที่เหลือจะได้เก็บไว้เป็นทุน ผมได้อธิษฐานขอโชคลาภจากหลวงพ่อ ผมซื้อหวยใต้ดินไปตกเกือบร้อยบาท เกิดอัศจรรย์คือหวยงวดวันที่ ๑ พ.ย.๓๑ ออก ๓๕๗ ผมเลยถูก ๔๐ บาท ผมได้เงินตก ๒ หมื่นบาท ผมดีใจมาก



ครั้งที่ ๒ ผมทำงานอยู่ดี ๆ ฝนซึ่งไม่มีเค้าว่าจะตกลงมา ดันตกลงมาหนักด้วย ผมยกมือขึ้นจบพนมอธิษฐานในใจว่า ขอให้หลวงพ่อบันดาลให้ฝนหยุดตกด้วยเทอญ สาธุ เพราะผมทำงานไม่ได้ พอผมอธิษฐานเพียงครู่เดียว ฝนหยุดตกอย่างอัศจรรย์

ครั้งที่ ๓ ในเย็นวันหนึ่งผมเลิกงานแล้วก็เข้าพักผ่อนในห้อง ห้องใครห้องมัน ที่บริษัทสร้างให้อยู่ ผมนึกสนุกขึ้นมา และอยากลองพระของหลวงพ่อดูว่าจะยิงออกไหม ผมหยิบปืน ๑๑ มม. ลุกออกจากห้องเดินตรงมาที่ต้นมะขาม ถอดพระออกจากคอเอาห้อยติดกับต้นมะขามไว้ จัดการชักปืนออกมาใส่แม็คเรียบร้อยก็จัดการยิง ผมยิงไป ๑๑ นัด ปรากฎว่าทั้ง ๑๑ นัด ยิงไม่ถูกพระเลย แม้ว่าจะยิงในระยะใกล้ ๆ ก็ตาม

ครั้งที่ ๔ ทำเอาผมตกใจสุดขีด จะว่าผมฝันไปก็ไม่เชิง เห็นกันจะ ๆ เลย ผมยังไม่หลับผมนอนเล่นอยู่ คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไป อยู่ ๆ ก็ปรากฎร่างหลวงพ่อกวยมาอยู่ตรงหน้า หลวงพ่อได้พูดว่า “ไอ้มามึงไม่นับถือกูจริง” พอผมจะพูดกับท่านเหมือนมีอะไรมาอุดปากผมไว้ ไม่ให้พูด แล้วร่างหลวงพ่อก็อันตรธานหายไป คืนนั้นผมนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ พอจะไปทำงานผมมาหาพระหลวงพ่อที่ถอดแขวนตะปูเสาเอาไว้ หาเท่าไรก็หาไม่เจอ หายไปทั้งคอทั้งสายสร้อยเลย ในห้องก็มีผมอยู่คนเดียว ผมมานึก ๆ ดู ผมเอาพระท่านไปลองยิงดูตั้ง ๑๑ นัด ท่านคงจะไม่พอใจ พระเลยหายไป ผมเลยจุดธูปบอกกล่าวขอขมาต่อท่าน ทีหลังผมจะนับถือหลวงพ่อด้วยใจจริงใจบริสุทธิ์ ผมขอให้พระหลวงพ่อกลับมาอยู่กับผมด้วย หรือผมหลงลืมอยู่ที่ไหนขอให้ผมหาเจอ พอจุดธูปบอกเสร็จผมกลับมาหาใหม่ ปรากฎว่าพระยังแขวนอยู่ที่เสาเหมือนเดิม ท่านคงกำบังไม่ให้ผมเห็น ผมดีใจมาก ผมเชื่ออย่างสนิทใจว่า หลวงพ่อกวยท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ไม่ใช่คำเล่าลือ ทุกวันนี้หลวงพ่อช่วยเหลือผมตลอดเวลา ผมมีความรู้สึกว่าอะไร ๆ มันดีขึ้น ทำอะไรก็ทำสำเร็จไปทุกอย่าง เจ้านายก็เมตตาเพื่อนฝูงรักใคร่ ไปไหนมาไหนเสมือนว่ามีท่านไปด้วย
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ กันยายน 13, 2013, 05:58:16 pm
ช่วงนี้หลวงพ่อกวยมาโปรดเยอะเลยครับพี่weerawat26 เป็นเพราะเผยแพร่เกรียติคุณหลวงพ่อกวยให้ลูกศิษย์รุ่นๆๆหลังๆๆได้ฟังด้วยมั้งครับ ;D ;D ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 16, 2013, 08:30:34 am
ช่วงนี้หลวงพ่อกวยมาโปรดเยอะเลยครับพี่weerawat26 เป็นเพราะเผยแพร่เกรียติคุณหลวงพ่อกวยให้ลูกศิษย์รุ่นๆๆหลังๆๆได้ฟังด้วยมั้งครับ ;D ;D ;D ;D ;D ;D

ขอบคุณครับ ผมก็เชื่อเช่นนั้นเหมือนกันครับ ก็คิดว่า จะเผยแพร่ทั้งหมดที่มีอยู่ครับ แต่เรื่องราวทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับเกียรติคุณของหลวงพ่อล้วน ๆ ข้อมูลทั้งหมดจึงไม่ได้ทำให้ดูพระเป็นและเก่งแต่อย่างใด ไม่เหมือนข้อมูลใหม่ของเวปศิษย์ และเวปวัดที่สอนให้ดูพระเป็น คุณcarpenter43 สงสัยจะเป็นตำรวจสายสืบมั้งครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: carpenter43 ที่ กันยายน 16, 2013, 08:54:22 pm
ช่วงนี้หลวงพ่อกวยมาโปรดเยอะเลยครับพี่weerawat26 เป็นเพราะเผยแพร่เกรียติคุณหลวงพ่อกวยให้ลูกศิษย์รุ่นๆๆหลังๆๆได้ฟังด้วยมั้งครับ ;D ;D ;D ;D ;D ;D

ขอบคุณครับ ผมก็เชื่อเช่นนั้นเหมือนกันครับ ก็คิดว่า จะเผยแพร่ทั้งหมดที่มีอยู่ครับ แต่เรื่องราวทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับเกียรติคุณของหลวงพ่อล้วน ๆ ข้อมูลทั้งหมดจึงไม่ได้ทำให้ดูพระเป็นและเก่งแต่อย่างใด ไม่เหมือนข้อมูลใหม่ของเวปศิษย์ และเวปวัดที่สอนให้ดูพระเป็น คุณcarpenter43 สงสัยจะเป็นตำรวจสายสืบมั้งครับ
ไม่ได้เป็นตำรวจครับพี่แค่รักและศรัทธาหลวงพ่อกวยเหมือนกับศิษย์หลวงพ่อกวยทุกๆๆท่านครับ :D :D :D :D :D :D :D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 17, 2013, 02:32:24 pm
ช่วงนี้หลวงพ่อกวยมาโปรดเยอะเลยครับพี่weerawat26 เป็นเพราะเผยแพร่เกรียติคุณหลวงพ่อกวยให้ลูกศิษย์รุ่นๆๆหลังๆๆได้ฟังด้วยมั้งครับ ;D ;D ;D ;D ;D ;D

ขอบคุณครับ ผมก็เชื่อเช่นนั้นเหมือนกันครับ ก็คิดว่า จะเผยแพร่ทั้งหมดที่มีอยู่ครับ แต่เรื่องราวทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับเกียรติคุณของหลวงพ่อล้วน ๆ ข้อมูลทั้งหมดจึงไม่ได้ทำให้ดูพระเป็นและเก่งแต่อย่างใด ไม่เหมือนข้อมูลใหม่ของเวปศิษย์ และเวปวัดที่สอนให้ดูพระเป็น คุณcarpenter43 สงสัยจะเป็นตำรวจสายสืบมั้งครับ
ไม่ได้เป็นตำรวจครับพี่แค่รักและศรัทธาหลวงพ่อกวยเหมือนกับศิษย์หลวงพ่อกวยทุกๆๆท่านครับ :D :D :D :D :D :D :D

แหม นึกว่าเป็นพวกสายสืบน่ะครับ สงสัยคุณcarpenter43 คงจะเก็บสะสมพระของหลวงพ่อไว้เยอะนะครับ ส่วนผมก็ค่อย ๆ เก็บไปเรื่อย ๆ แล้ว ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 17, 2013, 02:34:43 pm
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๓๙

วันที่ ๑๕ มี.ค. – ๒๕ มี.ค.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



ความศักดิ์สิทธิ์ของสมเด็จหลังรูป

ต่อไปจะขอเล่าอภินิหารเพื่อบันทึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสมเด็จหลังรูปบันทึกเอาไว้เพิ่มเติมดังนี้

นายเอียด เขาจะชื่อละเอียด หรือชื่อเอียดเฉย ๆ ผมไม่แน่ใจ ครั้งสุดท้ายเขามาพบผมมาขอสมเด็จหลังรูปขอเฉย ๆ เลย ยังกับว่าผมทำได้เองและเขามาหาว่านไพรดำด้วย เพราะเขาทราบว่าผมมีพระของหลวงพ่อและเคยเล่นว่าน(ปลูกว่าน) ผมได้เตือนสติเขาไปว่าไพรดำไม่มีง่าย ๆ หายาก ให้จำไว้ว่า “เหล็กไหล ไพรดำ สองคำจำไว้ ตายเสียเมื่อไร อาจได้เจอะเจอ” เขามีศักดิ์เป็นญาติกับน้องเขยผม ญาติห่าง ๆ นะ เขาเป็นศิษย์รุ่นอา เคยได้รับตะกรุด แหวนแขน พระพิมพ์ต่าง ๆ แต่ได้สูญหายหมด เหลือติดตัวแต่หลังรูปรุ่น พ.ศ.๒๕๑๓ เขามีเมียหลายคน มีลูกหลายคน ทำงานหนักไม่ค่อยเอา ถ้างานเบาพอทำได้ เรียกว่า “เรื่องกิน เรื่องเล่น กูไม่ย่นย่อ เรื่องพายเรื่องถ่อ กูไม่สู้ใคร” เขาเล่าถึงอภินิหารของสมเด็จหลังรูปไว้ดังนี้ เล่าเรื่องเดียว เขาไปเข้ากับพวกโจร ทางทุ่งนาตาปืน อ.เดิมบางนางบวช บังเอิญหัวหน้าโจร เขามีลูกสาว อยู่ ๑ คน สวยด้วย นายเอียดเลยลักลอบได้เสียกับลูกสาวหัวหน้า แต่หัวหน้าคิดว่าชอบพอกันเฉย ๆ ไม่พอใจ คิดแต่ว่านายเอียด “ชาติคางคก คิดจะชิมเนื้อห่านฟ้า” และคิดอีกว่าคนเรากินบนเรือนแล้วขึ้นไปถ่ายบนหลังคาใช้ไม่ได้ ความจริงหัวหน้าโจรน่าจะถามนายเอียดและลูกสาวให้แน่ชัด และไม่ควรแบ่งชนชั้น คนเราเกิดมาหญิงชายสร้างไว้คู่กัน ไม่มีแผ่นดินและแผ่นฟ้าและนายเอียดนี้ นอกจากฝีมือจะจัดแล้ว หัวใจยังเกินร้อยอีกด้วย หัวหน้าโจรได้เรียกประชุมลูกน้อง ลูกน้องบางคนก็หมายปองลูกสาวหัวหน้าไว้เช่นกัน จึงมีความเห็นว่า “กินบนเรือนแต่ถ่ายรดบนหลังคา” ใช้ไม่ได้ ตอนนั้นนายเอียดเริ่มรู้ตัวและระวังตัวบ้างแล้ว เพราะหันหน้าเรียกประชุมแต่ไม่เรียกตน เมื่อมติออกมาว่าใช้ไม่ได้ ลูกน้องต่างคนก็ไปเอาปืนลูกซองยาว ปืนสั้น มีด ซึ่งเป็นของคู่ตัว แต่กว่านายเอียดจะรู้ตัวก็โดนยิงเสียแล้ว ครั้งแรกโดนยิงด้วยปืนลูกซอง บรรจุลูก ๙ เม็ด ประมาณ ๕ – ๖ กระบอก ปรากฎว่ายิงไม่ถูกเลย ได้แต่ถูกห่อผ้า ๓ รู คราวนี้เองนายเอียดวิ่งสุดชีวิต โจรก็ตามสุดชีวิตเหมือนกัน ปืนตก ๒๐ กว่ากระบอก ยิงเขาไม่ถูก

หนี ๑๐ กว่ากิโลเมตรหมดแรง พอดีเขาไปเจอหุ่นไล่กาของชาวนาอยู่ เขาเลยเอางอบ(หมวก)มาใส่ เอาเสื้อหุ่นไล่กามาใส่ เจอตะค่อง(ที่ใส่ปลา) เก่า ๆ เขาทิ้งไว้ เอาเสื้อผ้าใส่ในตะค่อง เอาดินฝุ่นมาทาหน้าว่าคาถาหายตัว (บทที่ลงท้ายว่าโสหับ)

คาถาว่าดังนี้

“พุทโธ ภะคะวา อิรัตนัง สิโสกัง บังภะคะวา อะระหังติดตาม อะระหังติดตาม สัมมาบังไว้ พุทโธ เป็นกกปรกเกล้า แห่งข้าพเจ้าอันได้น้อมนมัสการ อิติปิโสภะคะวา ติดตั้งบังตน กูโสหับ”

เสกฝุ่นทาหน้าหาไม้มาอันหนึ่ง เอาปืนเหน็บเอว เอาผ้าขาวม้าคาดทับ ปล่อยชายเชื้อลงมา เอาไม้มาทำเป็นแหย่รูปู ทำเป็นหาปูหากบพอดีโจรตามมาทัน ได้ถามแกว่าเห็นคนผ่านมาทางนี้บ้างไหม ตอนนั้นโจรจำไม่ได้ แกเอาไม้สั้น ๆ ยัดปากแล้วตอบว่าเห็น เห็นวิ่งไปทางโน้น ชี้ไปอีกทางหนึ่งที่เขาเอาไม้ยัดปากพูดเพื่อให้โจรจำไม่ได้ พอโจรไปแล้วเขาก็วิ่งต่อ คราวนี้เป็นป่าแฝก โจรเกิดเอะใจคิดว่าคนที่ใส่งอบ(หมวก) เมื่อสักครู่ต้องเป็นนายเอียดแน่ โจรได้ตามมาทันแถมตัดหน้าไว้อีก เขาไม่รู้จะทำอย่างไร เลยว่าคาถากำบัง มุดเข้าป่าแฝกไม่ลืมตาเลย แปลกมาก แฝกฤดูร้อน ต้นไม่หนา แต่หาเขาไม่เจอเดินรอบตัวเขาถึง ๓ รอบก็ไม่เห็น พวกโจรเลยคิดว่านายเอียดต้องข้ามแม่น้ำท่าจีนแน่ โจรเลยไปดักนายเอียดที่ท่าวัดปากน้ำ ส่วนนายเอียดรู้แล้วว่าโจรต้องไปดักคอยตนแน่ เขาวิ่งเป็นทางอ้อมจากป่าแฝกมาวัดปากน้ำตก ๑๐ กว่ากิโลเมตร กะว่ามาให้ไวกว่าโจร แต่ป้องกันการผิดพลาด เขาเข้าไปในป่าช้าตอนนั้นประมาณ ๖ โมงเย็นได้ เขาหาไม้หามผี เป็นไม้ไผ่ทั้งลำ ยาวอันละ ๑ วาเศษ อันนี้เป็นเคล็ดหาได้ ๒ อัน เอาไว้พยุงตัวข้ามแม่น้ำ แล้วว่าคาถาอาราธนาพระระลึกถึงหลวงพ่อ อัญเชิญผีตายโหงให้เข้าช่วย

วิธีอาราธนาว่าดังนี้ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน คล้าย ๆ กันได้


“พุทธังอาราธนานัง ธัมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง ข้าพเจ้าขออาราธนาคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดา-มารดา คุณพระพรหม คุณพระฤๅษี คุณพระภูมิเจ้าที่ เทพเทวดา ที่สิงสถิต ณ ที่นี้ ขออัญเชิญเจ้าพ่อป่าช้า เจ้าแม่ป่าช้า จิเจรุนิ เจตะสิ กังรูปัง วิญญานัง ขออัญเชิญผีตายโหง ผีตายบนบก ผีตกน้ำตาย ผีตายในทุ่ง ผีตายในท่า ผีตายในป่า ผีตายในเขา ผีตายท้องกลม ผีชื่อดำ ผีชื่อแดง ชื่อเขียว ชื่อเหลือง ข้าขออัญเชิญฝูงผีทั้งหลายได้ปกปักรักษาข้าด้วย ข้าถึงคราวคับขันถูกขับไล่ล่ามา เมื่อท่านช่วยข้าแล้ว เมื่อไปถึงบ้านข้าจะเลี้ยงสุราอาหารอย่างดี”

แล้วเขาก็หยิบดินในกองฟอนมาเสกด้วยคาถากำบัง แล้วทาหน้า ระลึกถึงหลวงพ่อเป็นที่สุด เขาคิดว่าเขาต้องมาก่อนพวกโจรแน่ เพราะเขาวิ่งมา แม้จะเป็นทางอ้อมก็ตาม ทางข้ามแม่น้ำท่าจีน ตอนนั้นเป็นตรอกสำหรับใช้ในการนำวัว-ควายข้าม ข้างทางจึงเป็นป่า พอเขาเดินมาได้กลางตรอกเท่านั้น คาถากำบังก็ไม่ได้ผล ผีตายโหงก็ช่วยไม่ได้ พวกโจรยิงเขาระยะประชิด ประมาณ ๑ วาได้ ปืน ๒๐ กว่ากระบอก ลูกละ ๙ เม็ด เสียงปืนยิงเป็นประทัดเลย เขาวิ่งสุดชีวิต เอาไม้หามผีคีบไว้ใต้แขน เอาปืนสั้นชูไว้ ไม่ให้เปียกน้ำพวกโจรก็ตามมายิง ยิงเป็นร้อย ๆ นัด ยิงยันเขาขึ้นฝั่ง เขาเลยบังต้นไม้ยิงสวนมา ๒-๓ นัด เดินกลับบ้านเหนื่อยแทบขาดใจ กลับไปถึงบ้านยิงปืนขึ้นฟ้า ๓-๔ นัด เพื่อนฝูงมากันเต็ม เล่าให้เพื่อนฟัง หุงข้าวกิน ซื้อเหล้ามา ต้มเปรตปลาไหล(ต้มทั้งตัว ต้มขณะน้ำเดือดแล้วเอาฝาหม้อปิด) แล้วจัดสำรับให้ผีที่หนึ่ง ผมได้ถามเขาว่าจัดให้มันทำไมไม่เห็นกำบังได้เลย เขาตอบว่าจะว่าบังไม่ได้ก็ไม่เชิง คือขณะว่ายข้ามน้ำมีลูกปืนหลายสิบนัด ตกห่างจากตัวเขาตั้ง ๓-๔ วา บางคนยิงเขาด้วยลูกโดดแท้ ๆ ยังตกห่าง ๓-๔ วาเช่นกัน เหมือนพวกโจรจะมองเห็นเขาอยู่หลายตำแหน่ง หรือโจรอาจจะมองเห็นผีเป็นพวกของเขาก็ได้ จึงยิงปืนออกไปแบบนั้น

ผมได้ถามเขาแล้วตอนหลังทำอย่างไร เขาตอบว่าผมไปกับเพื่อนอีก ๓ คน ไปยิงหัวหน้าโจรตายคาวงเหล้าเลย(ว่าที่พ่อตา) ผมจะให้เขาเล่าเรื่องอภินิหารของวัตถุมงคลของหลวงพ่ออีก เขาไม่ยอมเล่า ผมได้ถามว่า แล้วมีดหมอ ตะกรุด แหวนแขนไปไหนหมด เขาบอกถูกตำรวจยึดเอาไปบ้าง ผู้คุมบ้าง ขายไปบ้าง ตอนนี้มาหาไพรดำ และขอพระผมดื้อ ๆ ๑ องค์ นั่งยอง ๆ ยกมือไหว้อีกด้วย ผมถามเขาว่าติดคุกมากี่ครั้งแล้ว เขาตอบ ๖ ครั้งแล้ว ผมเลยตัดใจไปหยิบสมเด็จหลังรูปมาให้ ๑ องค์แล้วสั่งกำชับว่าอย่ามาให้เห็นหน้าอีก เขายกมือไหว้ผม คือผมไม่ชอบโจร แต่โจรมักจะมาขอของ ขอคาถาจากผมประจำ บางคนมาขอคาถาคัดพระ คือจะเอาไปยิงตำรวจ เขาถามผมว่าหลวงพ่อเคยให้ผมไว้ใช่ไหม ผมตอบใช่ เขาขอใหญ่เลย ผมตอบไปว่าให้ไม่ได้ ผมเอาไว้ยิงโจร ความจริงผมไม่เคยได้คาถานี้ไว้แต่ผมขู่มัน แล้วไล่ให้มันไปให้พ้น ๆ

อีกเรื่องหนึ่ง คุณบุญมี แสงเมธา อยู่บ้านเลขที่ ๓๕/๖๒ ม.๒ ต.บางเมือง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ๑๐๒๗๐ โทร ๐๒ ๗๐๒ ๖๘๔๙ คุณบุญมีเขาคล้องสมเด็จหลังรูปเหมือนอยู่ ๑ องค์ วันหนึ่งดวงไม่มีจะเดินอยู่หรือขี่รถมอเตอร์ไซค์ไม่แน่ชัด ปรากฎว่ารถกระบะได้ชนเขาและทับเขาทั้งตัว หัวเขาไปติดอยู่ที่แคสซีรถ พอดีคนขับรถกระบะเบรกได้ทัน แต่เมื่อเขาได้ไปตรวจเช็คที่โรงพยาบาลแล้ว เขาไม่เป็นอะไรเลย ซึ่งแปลกมาก


เหรียญหนุมานยกธงรบ

ในงานฝังลูกนิมิต ทางวัดคือกรรมการวัดได้ขออนุญาตหลวงพ่อสร้างเหรียญขึ้นมา ๑ รุ่น ถ้าเทียบรุ่น รุ่นนี้ถือว่าเป็นรุ่น ๓ หรือรุ่นสุดท้าย ส่วนรุ่นที่ ๑ และ ๒ เป็นเหรียญกลม หรือรูปโล่ไทย หลวงพ่อดำเนินการเอง ส่วนรุ่นที่ ๓ นี้ กรรมการวัดได้ขออนุญาตสร้าง ท่านได้เขียนยันต์ให้แบบหนึ่ง เรียกว่ายันต์มหากาฬเป็นรูปโล่ฝรั่ง ส่วนอีกแบบหนึ่งเป็นเหรียญรูปหยดน้ำ ด้านหลังเป็นยันต์กันกระทำ ส่วนแบบเหรียญรูปโล่นี้มีทั้งชนิดหลังยันต์ซึ่งเป็นเนื้อทองแดง และด้านหลังเป็นรูปหนุมานยกธงรบ เป็นเนื้ออัลปาก้า เหรียญรูปโล่ทั้งสองแบบ ยังมีชนิดกะไหล่ทองด้วย เหรียญกะไหล่ทองนี้แจกเฉพาะกรรมการที่บริจาคข้าวสารเข้าโรงครัวในงาน ๑ กระสอบ

ส่วนเหรียญอัลปาก้าหลังหนุมานนี้ แต่เดิมกรรมการวัดให้จองเหรียญละ ๑๐๐ บาท เมื่อหลวงพ่อท่านรู้ท่านก็บอกให้ปั๊มเพิ่ม ท่านบอกจะเอาไว้แจกทหาร เหรียญ ๒ แบบนี้ใช้แม่พิมพ์ที่ด้านหน้าแบบเดียวกัน การแกะแม่พิมพ์ไม่ค่อยเรียบร้อย มีเม็ดมีตุ่ม และเมื่อปั๊มมาก ๆ เข้า จมูกท่านเกิดบี้ยิ่งปั๊มยิ่งบี้ กรรมการวัดเลยพอ สำหรับเหรียญอัลปาก้านี่ จะเป็นด้วยสร้างน้อยกว่าชนิดทองแดง ซึ่งจำหน่ายตอนนั้น ๒๐ บาท

สำหรับคาถาเหรียญรุ่นนี้ ให้ใช้คาถาสักหนุมานดังนี้ อันนี้เป็นคาถาของหลวงพ่อ “โอม ผง เผ่า เถ้าธุลี คงกระพันชาตรี สะหว๋าหะ คลุกคลีตีมะอะ” ใช้เสกฝุ่น เสกแป้งทาตัว เขาว่าดี จะขอเล่าอภินิหารไว้ดังนี้

จ.ส.ต.เปล่ง พรหมขลิบนิล ปัจจุบันทำงานเป็นตำรวจอยู่ สภ.อ.สรรพยา ชื่อนี้ชื่อจริงนามสกุลจริงเลย เป็นศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งเคารพหลวงพ่อมาก คล้องเหรียญอัลปาก้าหลังหนุมานยกธงรบเหรียญเดียว ครั้งหนึ่งได้ไปล้อมจับคนร้าย คนร้ายเกิดไม่ยอมให้จับ ได้ยิงต่อสู้ในระยะประชิดเลย คนร้ายได้ยิง จ.ส.ต.เปล่ง คือยิงก่อนเลย ๒ นัด ยิงไม่ออกเลยทั้งสองนัด ยิงไม่ออกนะครับ ไม่ใช่เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นง่าย ๆ ถ้าสงสัยให้สอบถาม จ.ส.ต.เปล่ง ดู เข้าใจว่ายังอยู่ สภ.อ.สรรพยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท คุณจ่าท่านนี้ยังเคยขับรถชนกับรถ ๑๐ ล้อมาแล้ว ไม่เป็นไร คือสิบล้อตัดหน้าน่ะ ไม่ใช่ชนกันจัง ๆ

พูดถึงเรื่องตำรวจ เรื่องรถ ๑๐ ล้อ นึกขึ้นมาได้เลยเล่าอีกเรื่องหนึ่ง จ.ส.ต.แทน ประจำอยู่ สภ.อ.สรรคบุรี ได้ขับรถไปกับเพื่อนชื่อประเทือง ข้องหลิม ไปธุระต่างจังหวัด พอถึงถนนสายเอเชีย ได้ขับรถเร็วขึ้น รถเกิดเสียหลักเฉย ๆ ไม่ได้ชนสิบล้อด้วยซ้ำ รถหล่นข้างทางพลิกคว่ำผลปรากฎว่า นายประเทือง ข้องหลิม ศิษย์หลวงพ่อมีเหรียญหนุมานคล้องคออยู่ไม่เป็นอะไรเลย ส่วน จ.ส.ต.แทน ตายคาที่ เรื่องนี้ก็เล่าให้ฟังวินิจฉัยเอาเอง

เรื่องสุดท้ายก็แล้วกันเดี๋ยวจะเบื่อเอาหลายเรื่องจัดไป เป็นประสบการของเหรียญหนุมานยกธงรบ ปกติชาวบ้านจะไม่ใคร่ได้เช่าไว้เพราะมีราคาแพง หลวงพ่อได้ใช้วิชาสักหนุมานปลุกเสกให้มีตัวเหมือนการสักทุกอย่าง เหรียญรุ่นนี้พิเศษกว่าเนื้อทองแดงทั้ง ๒ พิมพ์ นายเถิ่ง ชื่อแกชอบกล เป็นคนทางหนองตาแก้ว ตัวใหญ่โตแบบคนโบราณไปขุดพลอยที่จันทบุรี โดนพวกหักหลังตีด้วยไม้หน้าสาม ตีบริเวณคอกะให้คอหักตาย ปรากฎว่าหมดสติไป คนตีกลัวว่าจะไม่ตาย ได้ตีซ้ำ ด้วยเดชเดชะในอำนาจมนต์ ของหลวงพ่อกวยที่ปลุกเสกไว้ในเหรียญหนุมาน พอคนตีตีซ้ำ ปรากฎว่านายเถิ่งคืน สติทะลึ่งพรวดติดไม้ขึ้นมาบีบคอคนตีตาเหลือกไม้หลุดมือ ดีที่มีคนมาพบได้ห้ามแยกออกจากกัน ไม่เช่นนั้นคนตีต้องโดนแกบีบคอตายคามือไปแล้ว แกเห็นท่าไม่ดี แกเลยเก็บเสื้อผ้ากลับบ้าน ขณะที่นั่งรถสองแถวออกจากบ่อพลอย แกไม่เคยนึกว่าจะมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น มีคนขึ้นมาบนรถกลางทางมานั่งตรงข้ามกับแก คนร้ายได้ชักปืนลูกซองสั้น ออกมายิงแกโดนตรงหน้าอก ถนัด แต่แทนที่แกจะฟุบจมกองเลือด พอสิ้นเสียงปืนแกทะลึ่งพรวดบีบคอคนยิงกว่ารถจะหยุด กว่าจะมีคนมาห้าม มือปืนเกือบตาย คนร้ายโดนตำรวจจับได้ พอแกเล่าจบแกกลัวว่าผมจะไม่เชื่อ แกเปิดเสื้อให้ผมดูรอยลูกปืน ๕ เม็ด ตรงราวนม ๔ เม็ด อีก ๑ เม็ด ตรงบริเวณกระดูกหน้าอก แกเล่าว่ามีลูกปืนหลงออกมาลูกนึงโดนใบหูคนนั่งข้าง ๆ หูทะลุเลย

เรื่องวิชาหนุมานนี้แต่ก่อนหลวงพ่อ เคยสักมาก่อน ภายหลังท่านสุขภาพไม่แข็งแรง อายุมาก ท่านเลยเลิกสัก ได้มอบวิชาสักให้ อ.ส่ง และ อ.ส่ง ได้ไปสักอยู่วัดแหลมคาง ดังมาก ภายหลังได้สึกออกมาเพราะร้อนวิชา น่าเสียดายมาก เล่ากันว่า อ.ส่ง สามารถปลุกเสกหนุมานให้มีตัวได้ รัก-ยม กุมารทอง ก็สามารถปลุกเสกให้มีตัวตนได้ วิชาหนุมานของหลวงพ่อ หลวงพ่อจะสักให้ตรงสีข้าง ด้านหลังจะเป็นยันต์องค์พระ ตรงอกบริเวณกระดูกหน้าอกก็เป็นยันต์พระพรหม ๔ หน้า ใครที่โชคดีจะได้สักเสือหมอบ หรือเสือสุภาพ สวยงามมาก เหมือนเสือจำศีล สุภาพมาก ยันต์หนุมานยกธงรบนี้ ถ้าดูรูปถ่ายด้านบนของมณฑป ที่รูปหล่อใหญ่ จะสังเกตเห็นได้ชัดเจน คนที่สักหนุมานกับหลวงพ่อ ถ้าโดนตีจะสวนขึ้นมาเลย แม้โดนยิงก็ตามจะสวนทางปืนทันที คนที่ลอบยิงศิษย์หลวงพ่อจะรู้ดี ถ้ายิงผิดหรือยิงไม่ตายจะถูกหรือไม่ถูกต้องหนีไว้ก่อน มีเรื่องยืนยันคือ อ.เหวียน มณีนัย แกเคยโดนลอบยิง พอสิ้นเสียงปืนแกจะวิ่งสวนไปทันที ภายหลังผมถามแกว่า วิ่งไปมือเปล่า ๆ จะทำอะไรเขาได้ แกบอกว่า จะกัดกระเดือกมันให้ขาดคาฟันเลย พูดถึงเรื่องสักคนที่โชคดีที่สุดคือ นายเชน เทียมจัน เมื่อนายเชน ทำแหวนแขนขาด คือขาดเองตอนจะไปรบสงครามลาว แกไปขอหลวงพ่อใหม่อีก ๑ วง หลวงพ่อท่านทำเฉย ภายหลังแกได้ความคิดใหม่ ได้โกนหัวไปหาหลวงพ่อ บอกหลวงพ่อว่า เอาอย่างนี้ดีกว่าหลวงพ่อ ไม่ให้แหวนแขนไม่เป็นไร สักแหวนแขนเตือนภัยให้ผมเลย สักบนหัวนี่แหละ ตกลงหลวงพ่อได้สักให้แต่ไม่ได้เป็นแหวนแขน เป็นยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นยันต์ที่ท่านใช้ลงยันต์ในแหวนแขนนั่นเอง นับว่า นายเชนโชคดีที่สุด รู้สึกว่าจะได้ไปคนเดียวด้วยซ้ำ ภายหลังเวลาแกจะมีเรื่อง ยันต์นี้สามารถรัดหัวแกได้ รัดแล้วขนหัวจะลุก ปัจจุบันแกไม่เคยคล้องพระเลย หนังดีมาก

อีกเรื่องหนึ่ง คือ นายทวี ขาวจันทร์ โดนยิงด้วยปืนลูกซอง ระยะประชิด ที่ตรอกโรงหมู ตลาดท่าช้าง ปรากฎว่ายิงออก เสียงดังสนั่นเลย แต่ลูกปืนตกห่างปากกระบอกประมาณ ๒ ศอกได้ นายทวีไม่ได้คล้องพระอะไรเลย ได้แต่มีลายสักหลวงพ่อกวยอย่างเดียว

สำหรับวิชาหนุมานนี้ ท่านเคยสร้างเป็นรูปหล่อหนุมานลอยองค์มีอานุภาพมาก หายากมากเลย จะหาถ่ายรูปยังหาไม่ได้


กำลังภายใน

เรื่องของกำลังภายในนี่คล้าย ๆ เป็นการรวบรวมพลังจิต ให้เป็นหนึ่งเดียวบางทีก็ทำไม่ไหว นึกถึงให้หลวงพ่อองค์นั้นหลวงพ่อองค์นี้ช่วย บางทีก็ทำให้มีกำลังใจสามารถทำได้ มีศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่งชื่อฉลอง บ้านอยู่ใกล้ ๆ วัดดาวเรือง คลองสาม อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี เคยมาสักหนุมานกับหลวงพ่อ เวลาแกปลุกหนุมานขึ้น แกจะมีกำลังมากกว่าคนธรรมดาหลายเท่า ตีไม่แตก ตีไม่อยู่ จับไม่อยู่ แม้เมื่อไม่ได้ปลุกหนุมานเวลาระลึกถึงหลวงพ่อแกจะมีพลังแอบแฝงอยู่ในตัวอย่างประหลาด วันหนึ่ง ด.ต.วิรัตน์ สมถะ สภ.อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี ไปเที่ยวบ้านคุณฉลอง คุณฉลองแกบอกจะยก ด.ต.วิรัตน์ให้ดู แล้วแกก็ระลึกถึงหลวงพ่อกวย ให้ ด.ต.วิรัตน์เหยียบหรือยืนบนฝ่ามือ แล้วแกก็รวบรวมสมาธิ สามารถยก ด.ต.วิรัตน์ขึ้นมาได้ ทั้ง ๆ ที่ ด.ต.วิรัตน์ตัวโตกว่ามาก คุณฉลองตัวเล็กนิดเดียว เรื่องของการยกของหนัก ๆ นี่ต้องใช้สมาธิสูง แม้พวกยกน้ำหนักก็ต้องรวมสมาธิ เคยเห็นพวกแขกยกน้ำหนัก ก่อนยกเขาจะระลึกถึงพระอัลเลาะห์ก่อน เรื่องของคุณฉลองนี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลหรือเกินไป เพราะปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ทั้ง ด.ต.วิรัตน์ก็ยังอยู่ สภ.อ.บางระจัน     

จดหมายคุณพิศิษฐ์ พ่วงเรือ

๗๑/๑๕๗ อ.เมือง จ.นนทบุรี

เรียน อาจารย์เฒ่า สุพรรณ ที่นับถือ

ผมนายพิศิษฐ์  พ่วงเรือ ได้อธิษฐานขอบารมีหลวงพ่อกวย ดลบันดาลให้ถูกลอตเตอรี่ อยู่ต่อมาหลวงพ่อกวยได้ไปเข้าฝันผม ผมได้ไปซื้อลอตเตอรี่งวด ๑ กันยายน ๒๕๓๒ ปรากฎผลว่าผมถูกจริง ๆ ทำให้ผมนับถือหลวงพ่อกวยมาก หลวงพ่อกวยนี้ศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ผมขอนับถือตลอดชีวิต ผมส่งเงินไปทำบุญที่วัดพอสมควร

นับถือ

พิศิษฐ์  พ่วงเรือ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 19, 2013, 12:04:03 pm
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๔๐

วันที่ ๒๕ มี.ค. – ๕ เม.ย.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



ระลึกถึงก็มา

เรื่องของพลังจิตเป็นเรื่องลึกลับ อำนาจจิตและจิตวิญญาณ ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจเล่ากันว่า พระอภิญญาก็ดี พระอรหันต์ก็ดี หากระลึกถึงแม้จะอยู่ไกลขนาดคนละซีกโลกหรือคนละฟากฟ้า ท่านก็สามารถรับรู้ได้ สามารถช่วยได้ถ้าพระที่เราระลึกถึง นั้น เก่งจริง หรือวิบากกรรมของเราไม่มาตัดรอนจนเกินไป ถ้าท่านช่วยได้ท่านจะมาช่วย

หลวงพ่อกวย ท่านเป็นพระองค์หนึ่งที่มีตา จิตมหัศจรรย์ เล่ากันว่าพระอภิญญา ๖ นี้ จิตท่านยังห่วงอยู่ในศิษย์และมนุษย์โลก ดวงจิตของท่านยังสิงสถิตอยู่ที่วัด คอยช่วยเหลือศิษย์นี้เหมือนกันกับพระผู้เฒ่าองค์หนึ่งแห่งสวรรคบุรีในอดีต คือหลวงพ่อเฒ่า แห่งวัดค้างคาว จนมีศิษย์หลายคนตั้งฉายาให้ท่าน “ผู้วิเศษเมืองสรรค์” ซึ่งฉายานี้ตรงกับฉายาของหลวงพ่อเฒ่าวัดค้างคาว เมื่อมีศิษย์หลายคนจะเรียกท่านอย่างนี้ ผมเลยบอกกับเขาไปว่า ให้ใช้คำว่า องค์ที่ ๒ ต่อท้ายแล้วกัน คือ “ผู้วิเศษเมืองสรรค์องค์ที่ ๒” เพราะหลวงพ่อเฒ่าเป็นรุ่นครู หลวงพ่อเป็นรุ่นศิษย์ ใช้ตำราเล่มเดียวกัน มีคุณวิเศษคล้ายกัน คนเคารพนับถือมาก และมีการบนบานศาลกล่าวกันมาก เรียกว่าหัวหมู ผ้าป่าพุ่มเล็กพุ่มน้อย ภาพยนตร์ ลิเกนี่ บนกันเป็นประจำ

ต่อไปจะขอเล่าเรื่องของหลวงพ่อที่รักศิษย์บอกเล่าสามารถรับรู้ได้ และมาช่วยได้ มีพยานบุคคลยืนยัน มีวันที่เกิดเหตุ แม้หลักฐานที่โรงพยาบาลก็สามารถค้นได้ นายน้อยเป็นคนข้างวัดพระแก้ว อ.สรรคบุรี ได้ไปธุระกับภรรยาที่จังหวัดชัยนาท พอถึงสี่แยกสะพานใหม่ที่จะข้ามไปจังหวัดชัยนาท รถมอเตอร์ไซค์ของนายน้อยได้ถูกรถปิกอัพวิ่งมาด้วยความเร็วสูงมาก รถปิกอัพได้วิ่งชนรถมอเตอร์ไซค์ของนายน้อยอย่างจัง ขณะที่รถปิกอัพวิ่งชนรถมอเตอร์ไซค์ของนายน้อย นายน้อยได้สติได้ร้องให้หลวงพ่อกวยช่วย เสียงร้องหลวงพ่อกวยช่วยด้วย ดังลั่นแต่หลวงพ่อก็ช่วยนายน้อยไม่ทัน ปรากฎว่าทั้งนายน้อย ภรรยา และรถมอเตอร์ไซค์ของนายน้อยกระเด็นไปไกลมาก รถปิกอัพเมื่อชนแล้วก็หนีตามระเบียบจะเป็นด้วยดวงซวยหรือรถคันนี้วิ่งไปชนเอาศิษย์หลวงพ่อกวยเข้าก็ไม่รู้ พอรถวิ่งไปได้สัก ๕๐ เมตรได้ ยางเกิดแตกดังสนั่น ตำรวจไทยมาพอดีจับคนขับรถปิกอัพเอาไว้ได้ เรื่องนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องอุบัติเหตุธรรมดา ๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องธรรมดา ๆ ผมจะไม่เล่าให้ฟังแน่ เพราะผมเขียนเมื่อยมือ

เมื่อตำรวจนำร่างนายน้อยกับภรรยาไปส่งโรงพยาบาล จังหวัดชัยนาท ผลการตรวจขั้นต้น ทั้งตำรวจและนายแพทย์ตกใจไปตาม ๆ กัน เพราะนายน้อยกับภรรยาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย แล้วสลบไปได้อย่างไร ปกติคนสลบโดยมากต้องบาดเจ็บ ตำรวจได้ค้นในตัวนายน้อยเจอรูปหล่อกริ่ง ๑ องค์ ที่ภรรยานายน้อยคล้องเหรียญพุ่มข้าวบิณฑ์ ๑ เหรียญ ขณะที่หมอ พยาบาล ตำรวจกำลังงงๆ อยู่ในเหตุการณ์ กำลังดูเหรียญดูรูปหล่ออยู่ มีแม่ชีอีกคนหนึ่งเข้าใจว่าเป็นคนมีวิชาพอสมควร ได้พูดว่าหลวงพ่อองค์นี้เก่งนักหนา อยู่วัดไหน นายน้อยซึ่งกำลังสลบอยู่ได้พูดว่า “ข้าอยู่วัดบ้านแค ไอ้น้อยมันเรียกให้ข้าช่วย ข้าเลยช่วยมัน มันนับถือข้ามาก ไอ้คนมันจะหนี ข้าเลยทำให้ยางรถมันแตก” แต่เสียงที่พูดนั้นไม่ใช่เสียงนายน้อย เป็นเสียงของคนแก่ แม่ชีและคนที่อยู่ที่นั้นเลยเข้าใจกันว่า แท้จริงจิตที่แฝงในร่างของนายน้อยคือหลวงพ่อกวยนั่นเอง เมื่อนายน้อยและภรรยาฟื้นจากสลบปรากฎว่าไม่เป็นอะไรเลย หมอตรวจเช็คแล้วให้กลับบ้านได้ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๓๓ มีคนจากโรงพยาบาลและสถานที่เกิดเหตุเดินทางมาเช่าวัตถุมงคลที่วัดกันหลายคน มากันเป็นคันรถเลย

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการระลึกถึง แล้วหลวงพ่อสามารถรับรู้ได้ คือคุณฉลวย มากพานิช บ้านอยู่โพธิงาม ตั้งร้านค้าตรงทางเข้าวัดโพธิงามเลยละ ต.ดอนกำ อ.สรรคบุรี คล้องเหรียญโล่ทองแดงกับรูปพรรษาสุดท้าย ๒ อย่าง ไปล้างจานที่คลองชลประทาน ปรากฎว่าสร้อยขาดพระหล่นลงน้ำหายไป งมหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ คุณฉลวยรู้สึกเสียดายมาก ได้ใช้ตะแกรงร่อนหาก็ไม่เจอ นึกขึ้นมาได้เดินขึ้นบ้านจุดธูป ๙ ดอก เทียน ๒ เล่ม บอกเล่าต่อหลวงพ่อต่อหน้ารูปถ่ายโปสการ์ด แล้วลงมางมเจอเลย แปลกมาก คุณฉลวยบอกว่าหลวงพ่อกวยนี้ อำนาจจิตดีจริง ๆ

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องของพลังจิตของหลวงพ่อที่ทำให้รถยางแตกคล้ายเรื่องแรกเรื่องเดียวเดี๋ยวจะหาว่าฟลุค คืนวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๓ มีภาพยนตร์มาฉายกลางแปลง ขายยา ที่วัดหน้ารูปหล่อ จะบริษัทอะไรอันนี้ผมไม่ควรพูดเพราะกระเทือนเขาไม่ดี ทีนี้ขณะขายยาได้โฆษณาสรรพคุณของยาเกินขนาด ยกขวดเดียวรักษาได้สารพัดโรค แถมสาบานต่อหน้ารูปหล่อหลวงพ่อด้วยว่า ถ้ายาของเขาไม่ดีจริง ขอให้คณะของเขาหน่วยรถของเขา ให้มีอันเป็นไปต่าง ๆ นานา คือสาบานส่งเดชไป เพราะเขาไม่ได้นับถืออะไรหลวงพ่อ หลวงพ่อก็เป็นแต่รูปหล่อ พูดก็ไม่ได้ชาวบ้านก็หลงเชื่อ เห็นเขากล้าสาบานซื้อกันไปหลายขนาน หนังก็ฉายจบไปด้วยดี หลวงพ่อคงกลัวชาวบ้านอดดูหนังเลยปล่อยให้ดู เมื่อคณะหนังเร่จะกลับก็กลับไปด้วยดี พอขี่รถพ้นวัดไปได้ประมาณ ๕๐ เมตรเห็นจะได้ เกิดยางแตกดังปัง ไปไม่ได้เลย พอเปลี่ยนยางเสร็จจะไป หม้อน้ำรั่วอีก คอยจนสว่างก็หาจ้างรถมาทำหม้อน้ำ หาช่างก็ไม่ได้อีก โฆษกนึกขึ้นมาได้เลยพาพวกพ้องมากราบขอขมาหลวงพ่อที่หน้ารูปหล่อใหญ่ คราวนี้กลับไปหาช่างมาทำหม้อน้ำ จึงไปได้ โฆษกบอกผมเข็ดจริง ๆ คราวหน้าผมไม่กล้าล่วงเกินหลวงพ่ออีกแล้ว

เรื่องนี้ก็ขอจบเพียงเท่านี้ ความจริงตั้งใจจะเล่าถึงเรื่องนายน้อยสลบอยู่แต่สามารถพูดได้เท่านั้น


ไม่ช้าก็ขายแกลบกิน

ที่กุฏิหลวงพ่อ หลวงพ่อจะปลูกว่านเอาไว้ ปลูกไว้ด้านล่างเต็มไปหมดเป็นป่าสมุนไพร มีว่านมากมายหลายชนิด เช่น ว่านสบู่เลือด ไพรดำ ว่านดอกทอง แม้แต่ว่านที่กินสัตว์กินคน ท่านก็เคยปลูกเอาไว้ ตอนหลังว่ากินสัตว์กินคนนี่ ท่านเห็นท่าไม่ดี ท่านเลยปล่อยให้ตาย ว่านนี้ผมเคยเห็นมันมือเป็นระโยงระยางมีพิษ ศิษย์ท่านเป็นพราน นำมาจากป่าดงดิบ มาถวายท่าน นอกจากว่านแล้ว ท่านยังปลูกต้นมะละกอเอาไว้ ๒ - ๓ ต้น ลูกใหญ่ เวลาสุกจะสีเหลืองสวยงามท่านหวงมาก ไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งในดงว่านท่าน มะละกอท่านก็ปลูกเอาไว้ในดงว่าน แล้วมีไม้ไผ่ล้อมเป็นรั้วเอาไว้ เป็นเรื่องแปลกคือท่านจะไม่ให้ใครเอามะละกอไปกินคือท่านหวง แต่ไม่มีใครเข้าใจสาเหตุ น้อยคนนักที่จะเข้าใจ

ตอนที่ท่านยังแข็งแรงท่านได้เดินธุดงค์เข้าไปในป่าเมืองกาญจน์แล้วเข้าพม่าเข้าหงสาวดี ตอนที่ท่านพักที่ป่าเมืองกาญจนบุรี ท่านได้เรียนวิชาคุณไสย์เอาไว้แก้และกัน ท่านได้ต่อสู้กับชาวกระเหรี่ยงที่มีวิชา และได้เรียนวิชาแก้และกันคุณเอาไว้ วิชานี้เมื่อเรียนเอาไว้แล้วก็ต้องหมั่นฝึกฝน หมั่นทดลอง หมั่นทำ ต้องมีอาคมพอ ๆ กัน จึงจะแก้คุณของคนอื่นของคนอื่นได้ ที่กุฏิเก่าท่าน ๆ ได้ลงอาคมกันเอาไว้ ตอกติดเสาเอาไว้มากมาย ท่านจึงนิยมทำวัตถุมงคลในกุฏิของท่านเพราะสงบและปลอดภัย มีหลายคนที่เคยเข้าไปในกุฏิท่านเล่าเอาไว้ตรงกันว่า ในกุฏิท่านไม่มียุง คือยุงเข้าไปไม่ได้นั่นเอง เพราะท่านลงอาถรรพ์เอาไว้ขนาดยุงเข้าไม่ได้ ทีนี้เมื่อท่านเรียนวิชากันและแก้คุณเอาไว้ท่านต้องฝึกฝนโดยมากท่านนิยมทำวันพระ หรือวันพระจันทร์แดง ท่านจะตัดหนังควายออกเป็นท่อน ๆ เรื่องหนังควายนี่ถ้าคนที่เคยเข้าไปในกุฏิท่านจะเคยเห็นทุกคน ทีนี้ท่านจะตัดหนังควายมาภาวนาจนเล็ก แล้วขับออกไปหรือปล่อยออกไป ท่านจะปล่อยให้เข้าไปในลูกมะละกอ ลูกมะละกอท่านจึงเป็นสีเหลือง คล้ายแก่คล้ายสุกก่อนกำหนด ทีนี้อาจารย์องค์อื่นที่ทำคุณได้ เขาจะปล่อยออกไปในอากาศ เรียกว่าลมเพลมพัดไปเข้าคนเข้าสัตว์ ถือว่าดวงซวยแต่ท่านไม่ทำอย่างนั้น ท่านปล่อยเข้าไปในลูกมะละกอ ท่านจึงหวงมะละกอไม่ให้ใครกิน ใครขอท่านก็ไม่ให้ และท่านก็ไม่ชี้แจงเหตุผลด้วยคือท่านไม่รู้จะพูดอย่างไร

วันหนึ่งท่านไม่อยู่ มีเถ้าแก่โรงสีเริ่มจะตกยากคนหนึ่งมาหาท่าน เห็นมะละกอท่านพอดีลูกโตสีเหลือง เถ้าแก่คนนี้ชื่อกลึง เป็นคนบ้านแคเลยทีเดียว พอเห็นมะละกอ แกได้ถือวิสาสะสอยมะละกอ แม้ว่าพระจะเตือนอย่างไรแกก็ไม่ฟัง พระได้บอกว่ามะละกอของหลวงพ่อท่านหวง แกก็สอยเอาไปจนได้ เมื่อหลวงพ่อกลับมาท่านเห็นมะละกอท่านหายไป ท่านได้ถามพระดูว่าใครเอาไปพระก็กลัวความผิดได้พูดกับท่านว่า บอกนายกลึงเขาแล้ว หลวงพ่อท่านได้พูดว่า

“ปล่อยมันไปเถอะมันจะขายแกลบกินอยู่แล้ว”

   เล่ากันว่าวิถีชีวิตคนเราไม่แน่นอน คนลิขิต ไม่เท่าฟ้าลิขิต อยู่ต่อมาประมาณ ๕ วันได้ โรงสีนายกลึงถูกเถ้าแก่ในจังหวัดมายึดเอาไป เพราะไปกู้เงินเขาเอามาใช้ แล้วไม่ยอมเอาไปใช้หนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า นายกลึงแกต้องขายแกลบกินหรือเปล่า เรื่องนี้ถ้าท่านมาบ้านแค ท่านสามารถสอบถามคนบ้านแคได้ว่า เดิมบ้านแคมีโรงสีอยู่จริง ๆ ปัจจุบันร้างไปแล้ว

ส่วนเรื่องคุณไสย์นั้น พอหลวงพ่อเริ่มเข้าสู่วัยชรา ท่านได้สลัดวิชาเหล่านั้นทิ้งไปจนหมด แม้แต่วิชาควายธนู ที่ท่านชอบซุกซนปั้นควายเอาไปขวิดกับควายของคนอื่นเขา
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 19, 2013, 03:41:39 pm
พระสวยสุดยอด โดยเฉพาะนางพญาองค์นี้เป็นที่จดจำของหลายๆคน  ;D ;D ;D หลวงพ่อท่านมอบให้คุณ weerawat26  ;D ;D ;D ยินดีด้วยครับ

เลี่ยมลงยาสีแดง สวยถูกโฉลกจริงๆ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 20, 2013, 10:04:10 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๔๑

วันที่ ๕ เม.ย. – ๑๕ เม.ย.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



สรงน้ำไม่ได้

ประเพณีสรงน้ำผู้ใหญ่ เป็นประเพณีอันดีงามเก่าแก่ของคนไทย คนไทยนิยมสรงน้ำผู้ใหญ่ในวันสงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่ของไทยคือ วันที่ ๑๓ เมษายน ภาคเหนือเราเรียกประเพณีนี้ว่า รดน้ำดำหัว เรียกซะน่ากลัวเลย ตามต่างจังหวัดวันสงกรานต์เขานิยมเล่นน้ำและอาบน้ำผู้ใหญ่ รวมทั้งสรงน้ำพระพุทธรูป และพระสงฆ์ด้วย เขาว่าปีใหม่จะได้ร่มเย็น แต่เดิมประเพณีนี้จัดกันยิ่งใหญ่มาก มีการละเล่นกันประมาณ ๑ สัปดาห์ เช่น มีการเล่นลูกข่าง มีการเล่นทอยสตางค์ แข่งเรือ จบลงด้วยการรดน้ำหรืออาบน้ำผู้ใหญ่ เพื่อแสดงมุทิตาจิตและกตัญญูกตเวที

ที่วัดหลวงพ่อกวย ก็มีประเพณีนี้สืบทอดกันมา มีการนิมนต์พระสงฆ์ลงมาสรงน้ำ แต่พวกเขารู้ว่าหลวงพ่อกวยท่านยุ่งในกุฏิ เขาจะไม่กล้ารบกวนนิมนต์ท่าน สมัยท่านมีชีวิตอยู่ไม่เคยมีงานบุญสรงน้ำ หรือทำบุญแซยิด คือท่านไม่ชอบพิธีการ สรุปคือไม่ค่อยมีใครได้สรงน้ำท่าน จนเมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว จึงได้คิดจัดงานสรงน้ำให้ท่าน ประกอบกับวันที่ ๑๒ เมษายน เป็นวันครบรอบวันมรณภาพท่านด้วย และมีศิษย์ท่านนำผ้าป่าจากที่ไกล ๆ มาทอดให้ท่าน ทางวัดจึงได้กำหนดเอาวันที่ ๑๒ เมษายน เป็นวันสรงน้ำให้ท่านด้วย พระในวัดด้วย กลางคืนมีการสวดพระอภิธรรม สวดเสร็จมีลิเก ภาพยนตร์ ให้ดูฟรี คือศิษย์ท่านโดยมากจะแก้บนในวันนั้น

ปีแรกที่มีการสรงน้ำรูปหล่อ กลางคืนมีงาน ผลคือฝนตกทั้งคืน ปีที่ ๒ มีงานสรงน้ำรูปหล่อ ตกกลางคืนฝนตกอีก ผลคือชาวบ้านอดดูภาพยนตร์ ลิเกก็อดดู ปีที่ ๓ และปีที่ ๔ ก็เป็นเช่นนั้นอีก ชาวบ้านกรรมการวัด และอาจารย์สำรวยเลยคิดได้ว่า ถ้าขืนสรงน้ำในวันที่ ๑๒ เมษายน ละก็ ชาวบ้านอดดูภาพยนตร์ อดดูลิเกแน่ ตกลงวันที่ ๑๒ เมษายน จึงสรงน้ำรูปหล่อท่านไม่ได้ เพราะถ้าสรงน้ำเมื่อไรฝนตกเมื่อนั้น แม้ปัจจุบันนี้ถ้าฝนฟ้าไม่ตกชาวบ้านจะมาสรงน้ำรูปหล่อท่านเสมอ และเป็นเรื่องจริงด้วยถ้าสรงน้ำท่านเมื่อไรฝนเป็นต้องตกเมื่อนั้น ในวันที่ ๑๒ เมษายน คนไกล ๆ ที่มาทอดผ้าป่าชอบมาสรงน้ำท่าน ชาวบ้านอยากดูภาพยนตร์ ลิเก ต้องมายืนบอกว่าขอร้องอย่าเพิ่งสรงน้ำท่าน เรื่องนี้แปลกดีจึงเล่าให้ฟัง หรือท่านชอบน้ำหรืออย่างไรไม่รู้

จดหมายคุณพรชัย วุฒิไชย

เรียน อาจารย์เฒ่า สุพรรณ ที่นับถือ

ผมเคยอ่านแต่เรื่องราวของคนอื่นที่เกี่ยวกับหลวงพ่อกวย ที่เขียนมาเล่าให้คุณฟังใน “นะโม” มาตลอด แต่ไม่เคยประสบกับตนเองมาก่อนเลยสักครั้งในคราวนี้ผมจะขอเล่าเรื่องเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ทางด้านโชคลาภของหลวงพ่อให้คุณรับทราบคือ  ในวันก่อนลอตเตอรี่ออก ประมาณ ๕ วัน ผมได้ซื้อล๊อตเตอรี่ไว้ใบหนึ่ง ก่อนจะซื้อผมก็บอกกับหลวงพ่อ(ในใจ) ว่า “จะซื้อเลขอะไรดี หลวงพ่อช่วยลูกเลือกหน่อยเถอะ” แล้วก็ยืนดูคือไม่ได้คิดอะไรมากน่ะ ก็บอกให้คนขายหยิบมาให้ใบหนึ่งเลขท้าย ๐๖๒ ทีนี้พอควักเงินออกมาจะจ่าย อ้าวนึกขึ้นมาได้ว่า ๖๒ มันเพิ่งออกไปเมื่องวดที่แล้วนี่เอง ก็จะบอกให้คนขายเปลี่ยนเป็น ๒๒๖ ก็เหมือนมีอะไรมาบอกในใจไม่ให้เปลี่ยนไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ผมก็เลยไม่เปลี่ยนกลับมาบ้านก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหวยจะออกซ้ำเลขเดิม คือที่ผมจะเปลี่ยนนี่มันมีเหตุนะคุณเฒ่า คือตอนนั้นผมได้รับรูปถ่ายเล็กหลังจีวรพร้อมกับรูปซีลอกซ์ใหม่ ผมก็อยากจะลองดูก็เลยไปซื้อลอตเตอรี่ ก่อนจะซื้อผมก็บอกกับหลวงพ่อกวย คือในความรู้สึกแว่บแรกที่ผมดูตู้ลอตเตอรี่ ผมสะดุดใจกับเลข ๒๒๖ ก่อนเลย แต่งวดนั้นไม่ซื้อ พอวันหวยออกปรากฎว่า ๒๒๖ มีด้วย พอมางวดนี้ผมคิดว่า ๖๒ ออกแล้วเลยจะเปลี่ยนเป็น ๒๒๖ ดูก็เหมือนที่ผมเล่าให้ฟังตอนต้นน่ะแหละ ยังคิดเลยว่าหลวงพ่อไม่ให้โชคซะละมั้งพอตกตอนเย็นได้ยินคนพูดเรื่องหวย ได้ยินเค้าบอกว่า ๒ ตัวล่างออก ๖๒ โอ้โฮคุณเฒ่า ผมดีใจใหญ่เลย ก็เกิดมาผมเพิ่งจะเคยถูกหวยเป็นครั้งแรกในชีวิตเลย ทำให้ผมมีความศรัทธาหลวงพ่อขึ้นอีกเป็นล้นพ้นเลย ทั้งที่ในตอนแรกยังคิดน้อยใจว่าหลวงพ่อให้โชคแต่คนอื่น ถึงแม้ว่ารางวัลจะไม่มากเพียงพันบาทเท่านั้น แต่ผมก็เชื่ออย่างที่สุดว่าหลวงพ่อมีความศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ

นับถือ

พรชัย  วุฒิไชย

สถานีอนามัยตำบล อ.ทุ่งช้าง
จ.น่าน ๕๕๑๓๐


กำลังภายใน

เรื่องของกำลังภายในนี่คล้าย ๆ เป็นการรวบรวมพลังจิต ให้เป็นหนึ่งเดียวบางทีก็ทำไม่ไหว นึกถึงให้หลวงพ่อองค์นั้นหลวงพ่อองค์นี้ช่วย บางทีก็ทำให้มีกำลังใจสามารถทำได้ มีศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่งชื่อฉลอง บ้านอยู่ใกล้ ๆ วัดดาวเรือง คลองสาม อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี เคยมาสักหนุมานกับหลวงพ่อ เวลาแกปลุกหนุมานขึ้น แกจะมีกำลังมากกว่าคนธรรมดาหลายเท่า ตีไม่แตก ตีไม่อยู่ จับไม่อยู่ แม้เมื่อไม่ได้ปลุกหนุมานเวลาระลึกถึงหลวงพ่อแกจะมีพลังแอบแฝงอยู่ในตัวอย่างประหลาด วันหนึ่ง ด.ต.วิรัตน์ สมถะ สภ.อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี ไปเที่ยวบ้านคุณฉลอง คุณฉลองแกบอกจะยก ด.ต.วิรัตน์ให้ดู แล้วแกก็ระลึกถึงหลวงพ่อกวย ให้ ด.ต.วิรัตน์เหยียบหรือยืนบนฝ่ามือ แล้วแกก็รวบรวมสมาธิ สามารถยก ด.ต.วิรัตน์ขึ้นมาได้ ทั้ง ๆ ที่ ด.ต.วิรัตน์ตัวโตกว่ามาก คุณฉลองตัวเล็กนิดเดียว เรื่องของการยกของหนัก ๆ นี่ต้องใช้สมาธิสูง แม้พวกยกน้ำหนักก็ต้องรวมสมาธิ เคยเห็นพวกแขกยกน้ำหนัก ก่อนยกเขาจะระลึกถึงพระอัลเลาะห์ก่อน เรื่องของคุณฉลองนี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลหรือเกินไป เพราะปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ทั้ง ด.ต.วิรัตน์ก็ยังอยู่ สภ.อ.บางระจัน     


จดหมายคุณพิศิษฐ์ พ่วงเรือ

๗๑/๑๕๗ อ.เมือง จ.นนทบุรี

เรียน อาจารย์เฒ่า สุพรรณ ที่นับถือ

ผมนายพิศิษฐ์  พ่วงเรือ ได้อธิษฐานขอบารมีหลวงพ่อกวย ดลบันดาลให้ถูกลอตเตอรี่ อยู่ต่อมาหลวงพ่อกวยได้ไปเข้าฝันผม ผมได้ไปซื้อลอตเตอรี่งวด ๑ กันยายน ๒๕๓๒ ปรากฎผลว่าผมถูกจริง ๆ ทำให้ผมนับถือหลวงพ่อกวยมาก หลวงพ่อกวยนี้ศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ผมขอนับถือตลอดชีวิต ผมส่งเงินไปทำบุญที่วัดพอสมควร

นับถือ

พิศิษฐ์  พ่วงเรือ



ต่อไปผมจะบอกกล่าวถึงคาถากำบัง หรือคาถาพรางตัวนั่นเอง คาถานี้หลวงพ่อได้ให้ศิษย์เอาไว้แน่นอน คือมีหลักฐานแน่นอนแม้ในตำราแก้วสารพัดนึกของหลวงพ่อ ก็มีคาถานี้ลงไว้ คนที่ได้คาถานี้ไว้ มีนายแดง สว่างศรี เสือผ่าน คาถานี้ใช้ภาวนาเป็นกำบังได้ พรางตัวได้ ถ้าจะให้หายตัวให้เสกใบไม้ทัดหู จะหายตัวได้ ๑ อึดใจ ถ้าภาวนาอยู่คนเห็นจะจำไม่ได้ ถ้าภาวนาอยู่คนเห็นจะจำไม่ได้ ถ้าภาวนาอยู่ถูกลอบยิงจะยิงไม่ถูก จะถูกแต่เงา คนที่ได้คาถานี้ไปสามารถหายตัวได้ ๑ อึดใจ คือ หมอแจ๋ คนหนึ่ง อีกคนหนึ่ง คือเสือผ่าน ทราบว่าปัจจุบันไปอยู่จังหวัดนครราชสีมา เสือผ่านนี้เป็นพี่ชายหมอกร้าย อ้นฉำ ปัจจุบันคงอายุ ๙๐ ปี เขาทำได้จริง     

คาถาว่าดังนี้


“พุทโธ ภะคะวา อิรัตนัง สิโสกัง บังภะคะวา อะระหังติดตาม อะระหังติดตาม สัมมาบังไว้ พุทโธ เป็นกกปรกเกล้า แห่งข้าพเจ้าอันได้น้อมนมัสการ อิติปิโสภะคะวา ติดตั้งบังตน กูโสหับ”

คาถานี้หลวงพ่อเขียนไว้ให้ศิษย์บางคน ตอนรื้อกุฏิ พระชู สว่างศรี ได้เจอต้นฉบับลายมือหลวงพ่อ ตอนหลังนายประยุทธ คนหนองแขมเป็นหลานของหลวงพ่อเป็นหลานอาจารย์สำรวยอีกทีหนึ่ง ได้เก็บรักษาต้นฉบับไว้

คาถานี้หลวงพ่อเคยภาวนาจะให้เห็นตัวก็ได้ จะไม่ให้เห็นตัวก็ได้ จะให้แก่ก็ได้ ทำให้หนุ่มก็ได้ คนเห็นจะจำท่านไม่ได้ ใช้ภาวนาก่อนนอนศัตรูมองไม่เห็น เสกกิ่งไม้ใช้แขวนซุ้มประตูบ้าน ขโมยเข้าบ้านไม่ได้ คือใช้พรางตาได้ เสกกิ่งไม้แขวนซุ้มประตูบ้าน เวลามีคนตายวิญญาณผู้ตายจะหาบ้านไม่เจอ เข้าบ้านไม่ได้ คือป้องกันวิญญาณรบกวนได้


จดหมายคุณมา ด่านขุนทด

ต่อไปลอง ๆ อ่านจดหมายคุณมา ด่านขุนทด ดู

๔๔ ซอยอาทิตย์ ถนนวุฒากาศ
บางค้อ บางขุนเทียน กทม.๑๐๑๕๐

เรียนคุณเฒ่า ที่นับถือ

ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่เคารพในองค์หลวงพ่อกวยมาก และไม่เคยเสื่อมความเลื่อมใสลงไปเลย นับวันจะมีมากขึ้น ผมต้องขอขอบคุณคุณเฒ่าด้วยที่เป็นผู้ริเริ่มเขียนเรื่องหลวงพ่อกวย ทำให้ผมมีพระดี ๆ ไว้ใช้ ผมเพิ่งได้พระของหลวงพ่อเมื่อไม่นานมานี้เอง โดยผมบูชามาจากทางวัด ผมมีเรื่องจะเล่าให้คุณฟังดังนี้

ครั้งแรกตามปกติผมจะอยู่และทำงานที่จังหวัดกาญจนบุรีเป็นส่วนมาก พอผมได้พระมาผมก็นำมาเลี่ยมคล้องคอบูชา สวดมนต์ระลึกถึงท่านอยู่เสมอ ผมเองอยากจะมีโชคสักก้อนหนึ่ง เพื่อนำเงินไปทำบุญบูชาวัตถุมงคล และที่เหลือจะได้เก็บไว้เป็นทุน ผมได้อธิษฐานขอโชคลาภจากหลวงพ่อ ผมซื้อหวยใต้ดินไปตกเกือบร้อยบาท เกิดอัศจรรย์คือหวยงวดวันที่ ๑ พ.ย.๓๑ ออก ๓๕๗ ผมเลยถูก ๔๐ บาท ผมได้เงินตก ๒ หมื่นบาท ผมดีใจมาก

ครั้งที่ ๒ ผมทำงานอยู่ดี ๆ ฝนซึ่งไม่มีเค้าว่าจะตกลงมา ดันตกลงมาหนักด้วย ผมยกมือขึ้นจบพนมอธิษฐานในใจว่า ขอให้หลวงพ่อบันดาลให้ฝนหยุดตกด้วยเทอญ สาธุ เพราะผมทำงานไม่ได้ พอผมอธิษฐานเพียงครู่เดียว ฝนหยุดตกอย่างอัศจรรย์

ครั้งที่ ๓ ในเย็นวันหนึ่งผมเลิกงานแล้วก็เข้าพักผ่อนในห้อง ห้องใครห้องมัน ที่บริษัทสร้างให้อยู่ ผมนึกสนุกขึ้นมา และอยากลองพระของหลวงพ่อดูว่าจะยิงออกไหม ผมหยิบปืน ๑๑ มม. ลุกออกจากห้องเดินตรงมาที่ต้นมะขาม ถอดพระออกจากคอเอาห้อยติดกับต้นมะขามไว้ จัดการชักปืนออกมาใส่แม็คเรียบร้อยก็จัดการยิง ผมยิงไป ๑๑ นัด ปรากฎว่าทั้ง ๑๑ นัด ยิงไม่ถูกพระเลย แม้ว่าจะยิงในระยะใกล้ ๆ ก็ตาม

ครั้งที่ ๔ ทำเอาผมตกใจสุดขีด จะว่าผมฝันไปก็ไม่เชิง เห็นกันจะ ๆ เลย ผมยังไม่หลับผมนอนเล่นอยู่ คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไป อยู่ ๆ ก็ปรากฎร่างหลวงพ่อกวยมาอยู่ตรงหน้า หลวงพ่อได้พูดว่า “ไอ้มามึงไม่นับถือกูจริง” พอผมจะพูดกับท่านเหมือนมีอะไรมาอุดปากผมไว้ ไม่ให้พูด แล้วร่างหลวงพ่อก็อันตรธานหายไป คืนนั้นผมนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ พอจะไปทำงานผมมาหาพระหลวงพ่อที่ถอดแขวนตะปูเสาเอาไว้ หาเท่าไรก็หาไม่เจอ หายไปทั้งคอทั้งสายสร้อยเลย ในห้องก็มีผมอยู่คนเดียว ผมมานึก ๆ ดู ผมเอาพระท่านไปลองยิงดูตั้ง ๑๑ นัด ท่านคงจะไม่พอใจ พระเลยหายไป ผมเลยจุดธูปบอกกล่าวขอขมาต่อท่าน ทีหลังผมจะนับถือหลวงพ่อด้วยใจจริงใจบริสุทธิ์ ผมขอให้พระหลวงพ่อกลับมาอยู่กับผมด้วย หรือผมหลงลืมอยู่ที่ไหนขอให้ผมหาเจอ พอจุดธูปบอกเสร็จผมกลับมาหาใหม่ ปรากฎว่าพระยังแขวนอยู่ที่เสาเหมือนเดิม ท่านคงกำบังไม่ให้ผมเห็น ผมดีใจมาก ผมเชื่ออย่างสนิทใจว่า หลวงพ่อกวยท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ไม่ใช่คำเล่าลือ ทุกวันนี้หลวงพ่อช่วยเหลือผมตลอดเวลา ผมมีความรู้สึกว่าอะไร ๆ มันดีขึ้น ทำอะไรก็ทำสำเร็จไปทุกอย่าง เจ้านายก็เมตตาเพื่อนฝูงรักใคร่ ไปไหนมาไหนเสมือนว่ามีท่านไปด้วย

เรื่องที่ผมเขียนเล่าให้คุณเฒ่าฟังนี้ เป็นเรื่องจริงถ้าใครไม่เชื่อให้เขียนจดหมายมาถามผมได้เลย ปัจจุบันผมใช้วัตถุมงคลของหลวงพ่อดังนี้ คือ พระสรรค์นั่ง พระสรรค์ยืน เหรียญหนุมาน สมเด็จสีขาวหลังเรียบ แหวนนิ้ว ผมมีประสบการณ์หลายครั้งแล้วท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ

ท้ายนี้ขอให้คุณเฒ่า จงประสบแต่ความสุขความเจริญ ยิ่ง ๆ ขึ้นเทอญ

ขอแสดงความนับถือ

มา ด่านขุนทด


ตอบจดหมายคุณมา ด่านขุนทด จดหมายคุณก็สมบูรณ์ดีแล้ว คุณโชคดีมากถูกหวยตกสองหมื่นบาท มีพระท่านใช้ตั้งหลายองค์ ล้วนแต่ดี ๆ ทั้งนั้น ท่านก็ช่วยคุณมาก คุณยังเอาท่านไปยิงทิ้งหรือยิงเป้าอีก อันนี้คุณทำไม่ถูก ยิงเข้าไปตั้ง ๑๑ นัด ถ้าเป็นนักฆ่า ก็ต้องเรียกว่า “นักฆ่าไร้น้ำใจ” ทีหลังอย่าทำอีกนะ คนลองพระนอกจากจะลบหลู่กันแล้ว สิ่งที่ตามมาคืออาภัพหรือไร้วาสนา ทำนองนี้ ให้เร่งทำบุญซะ คงไม่โกรธผมนะที่ตำหนิ

ขอบคุณในคำพร มีเรื่องอะไรก็เขียนมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังอีกขอบคุณมาก

ให้ถูกหวยอีกนะ

เฒ่า สุพรรณ


รอยเท้ามหัศจรรย์

เล่ากันว่า พระพุทธองค์ พระอรหันต์ พระผู้ทรงอภิญญา จะมีเส้นลายมือ และเส้นรอยเท้า ที่เหนือกว่าบุคคลธรรมดา ไม่ว่าท่านจะย่างเหยียบไปที่ใด สถานที่ ๆ นั้นจะกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

คนโบราณมักนิยมนำรอยเท้าของครูอาจารย์ โดยให้ท่านเหยียบลงบนผ้า โดยใช้ครามหรือหมึกทาที่ฝ่าเท้าแล้วให้ท่านเหยียบให้ บางคนก็บูชารอยเท้าของพ่อแม่ เป็นที่น่าสังเกตว่าบุคคลเหล่านั้นมักจะมั่งคั่งร่ำรวย ทำมาค้าขึ้น

ในอดีตเรื่องผ้ารอยเท้านี้ ไม่มีผ้ารอยเท้าของหลวงพ่อองค์ใดที่มีความศักดิ์สิทธิ์และมีการเช่าหากันในราคาแพงเท่าของคุณพ่อเดิม แห่งวัดหนองโพธิ์ ไปได้

หลวงพ่อกวยเป็นศิษย์องค์หนึ่งที่ยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ ของรอยเท้าของคุณพ่อเดิมผู้เป็นอาจารย์ ท่านเคยเล่าให้ศิษย์ฟังว่า อาจารย์ของท่านนั้นถ้าได้เหยียบรอยเท้าลงบนตัวใครก็แล้วแต่ คน ๆ นั้น จะมั่งคั่งร่ำรวย ทำมาค้าขึ้น ท่านเคยพูดแย้ม ๆ กับศิษย์ท่านคนหนึ่งชื่อกมล บ้านอยู่ตลาดท่าช้าง ท่านพูดว่า อาจารย์ท่านได้เหยียบรอยเท้าลงบนหน้าผากใครก็แล้วแต่ คน ๆ นั้น จะมั่งคั่งร่ำรวย แต่คุณกมลก็ไม่เอะใจว่าถ้าขอให้ท่านทำ ท่านก็จะทำให้ แต่ท่านก็ไม่พูดตรง ๆ เพราะการเอาเท้าเหยียบตรงหน้าผากนี่ถ้าไม่นับถือกันจริง ๆ คงไม่มีใครยอม

มีศิษย์ท่านคนหนึ่งชื่อชาติ เป็นคนทางโพธิ์งาม หรือแม่น้ำน้อยนี่แหละ ทำงานอยู่ท่าเรือบางจากเซโล บางจาก อาชีพขนของ หรือจับกัง มีความเคารพในตัวหลวงพ่อกวยมาก จะเป็นด้วยบุญหรือความฉลาดของแกนั่นแหละ วันหนึ่งแกมากราบหลวงพ่อ พอหลวงพ่อเข้าไปหยิบของในกุฏิชั้นใน แกไปนอนหงายขวางประตูกุฏิ โดยนอนหงายให้ลำตัวเหยียดยาวชนิดที่หลวงพ่อออกจากกุฏิไม่ได้ พอหลวงพ่อจะออกจากกุฏิก็ออกไม่ได้ แกพูดว่า “ขอให้หลวงพ่อเหยียบรอยเท้าที่หน้าผากผมที ผมเองเป็นคนยากจนเข็ญใจ เป็นจับกังแบกของ มีแต่คนเขาดูหมิ่นเหยียดหยาม ขอให้ผมได้ร่ำรวยกับเขาบ้าง” หลวงพ่อก็จะไม่เหยียบให้ แกก็ไม่ยอม หลวงพ่อท่านเลยเหยียบให้ ท่านคงจะลงมนต์ให้ด้วย เมื่อนายชาติลากลับไปแล้ว ท่านได้พูดกับศิษย์ที่เป็นกรรมการวัดว่า “ไอ้นี่มันใจถึง มันจะได้อย่างที่มันหวัง” เหตุการณ์ล่วงเลยมาสิบกว่าปี นายชาติจากจับกังธรรมดา ปัจจุบันมีเรือบรรทุกส่งของเป็นของตัวเอง มั่งคั่งร่ำรวย มีแต่คนเรียกเถ้าแก่ชาติ เฮียชาติ

เรื่องผ้ารอยเท้านี้ สมัยที่หลวงพ่อกวยท่านมีชีวิตอยู่ ผมเคยนำผ้าไปให้ท่านเหยียบเอาไว้ ๒ ผืน ๔ รอย จะเป็นเพราะอะไรผมก็ไม่แน่ใจ ผมเอาผงขมิ้นผสมน้ำ แล้วเอาไปทาฝ่าเท้าท่าน แล้วให้ท่านเหยียบลงไปทีเดียว ๒ ผืน ซ้อนกันเลย เมื่อท่านยกเท้าขึ้นมา ไม่ปรากฎเป็นรอยเท้า มีแต่รอยขมิ้นเหลือง ๆ เฉย ๆ แม้ว่าจะนำขมิ้นทาเท้าท่านใหม่ พอเหยียบใหม่ก็ไม่ปรากฏรอยเท้า คือขมิ้นซึมหายลงไปในผ้าหมด เหยียบอยู่ ๓ ครั้งก็ไม่ปรากฏรอยเท้า ผมเกรงใจท่านเลยพอ ท่านพูดว่า “มึงจะดูรอยเท้ากูต้องเอากล้องส่อง” และผมก็ไม่ได้สนใจผ้ารอยเท้านั้น เพราะเจตนาจะใส่กรอบบูชา แต่ผิดหวังกลับไม่เป็นรูปเท้า

อยู่มาในวันแต่งงานผม คือส่งตัว ภรรยาผมเขาอยากทำหมอนให้แม่กับเตี่ยเขาซัก ๒ ใบเป็นที่ระลึก จะไปหาซื้อผ้าทำไส้หมอน ผมเลยเอาผ้ารอยเท้าหลวงพ่อกวยให้เขาทำ และเอาไปให้พ่อตาแม่ยายเป็นที่ระลึก พร้อมรูปหล่อบูชารุ่น ๒ หนึ่งองค์ ตอนหลังเมื่อกลับไปเยี่ยมท่าน ท่านถามว่า “พวกมึงเอาอะไรใส่ไว้ในหมอน” ผมก็ถามท่านงงๆว่า “ทำไมหรือ” ทั้งเตี่ยและแม่ชิงพูดพร้อมกันว่า “เอามาหนุนหัวทีไร หลับทีไร เห็นแต่พระแก่ ๆ องค์หนึ่งมายืนดูที่หัวนอน” ทั้งเตี่ยและแม่เลยไม่ยอมเอามาหนุนหัวนอนคงนึกว่าผมเอาอะไรใส่ไว้ข้างใน ผมเลยนึกขึ้นมาได้ว่าเอาผ้ารอยเท้าหลวงพ่อกวยมาทำไส้ในหมอน จะขอคืนก็ใช่ที่จึงปล่อยเลยตามเลย

เมื่อท่านมรณภาพทางศิษย์ได้นำขมิ้นมาทาฝ่าเท้า แล้วเอาผ้าประทับ ก็ไม่ปรากฏเป็นรอยเท้าชัดเจนเช่นกัน เมื่อเล่าถึงเรื่องฝ่าเท้าของท่านแล้ว เลยขอเล่าเรื่องฝ่ามือของท่านต่อด้วย มีหมอดูคนหนึ่งได้มาดูลายมือ และดูดวงให้พระในวัด หลวงพ่อกวยท่านอยู่ด้วยท่านก็ปล่อยเพราะหลวงพ่อท่านเคยเรียนวิชาดูดวงชะตาคนมาก่อน แต่ท่านไม่ชอบยุ่งยากคือท่านไม่มีเวลา ท่านจึงไม่ดูให้ใคร เมื่อมีหมอมาดูดวงในวัด ดูให้พระท่านก็เลยปล่อย เพราะท่านไม่ได้สงเคราะห์ใครแล้ว เมื่อดูกันจนหมดแล้ว เลยเรียกหมอไปใกล้ ๆ คือหมอดูคนนี้เป็นคนที่อื่น ไม่รู้จักหลวงพ่อ แล้วท่านก็ยื่นมือให้หมอดู หมอดูคนนี้ถึงกับตกใจหน้าซีด หมอดูได้พูดว่า “ลายมือหลวงตาไม่มีในตำราหมอดู ดูไม่ได้ มีแต่ดอกพิกุลขึ้นเต็มฝ่ามือ” ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ดอกพิกุลขึ้นเต็มฝ่ามือนี่หมายความว่าอย่างไร

อีกครั้งหนึ่งหมอดูพเนจรได้เข้ามาดูดวงในวัดให้พระเช่นกัน เมื่อพระดูดวงกันหมดแล้ว หลวงพ่อกวยท่านนึกสนุกขึ้นมาอยากให้หมอดู ดูลายมือให้ท่านบ้าง เมื่อหมอดูคนนี้เห็นลายมือหลวงพ่อได้พูดว่า “หลวงตา ๆ นี่ เป็นคนมีลูกเยอะ” คือความหมายของหมอดู คงหมายความว่า หลวงพ่อนี่เคยมีลูกมีเมียมาก่อนลูกดกมากแล้วจึงค่อยมาบวชเป็นพระหลวงตา พอหมอดูพูดอย่างนั้นท่านก็ยิ้ม ๆ พอหมอดูไปแล้ว ท่านพูดว่า “ก็จริงของมัน กูมันลูกเยอะจริง ๆ” คือท่านหมายถึงลูกศิษย์ พระเณร หมา ฯลฯ คือท่านเป็นพระที่รักลูกศิษย์นั่นเอง



ขอศิษย์ทั้งหลาย...จงอย่าอด อย่าอยาก อย่ายาก ย่าจน อย่าต่ำกว่าคน อย่าจนกว่าเขา
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 23, 2013, 12:20:59 pm
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๔๒

วันที่ ๑๕ เม.ย. – ๒๕ เม.ย.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


อยู่ต่อมาไม่นาน คุณโสภณหรือพระโสภณได้มากราบหลวงพ่ออีก ตอนนั้นหลวงพ่อท่านนั่งอยู่ด้านหลังวิหารพระพุทธเจ้า โดยนั่งหันหลังให้วิหาร ท่านมักจะมานั่งพักผ่อนในตอนเย็น ๆ ว่างจากแขก พอดีคุณโสภณมากราบ พระโสภณได้มาเล่าให้ท่านฟังว่า มีคนที่วัดหอระฆังโดนต่อต่อย ต่อยขนาดผมหงอกเลย คือต่อยโดนหัว ได้หนีลงน้ำ เอากระป๋องครอบหัวต่อยังตามไปต่อย ความแรงที่ต่อยดังป๊องๆๆๆ เลยหลวงพ่อก็พูดว่าต่อมันตัวใหญ่ มันดุ อย่าไปยุ่งกับมัน พระโสภณได้ถามว่าใหญ่แค่ไหน ผมไม่เคยเห็นสักที เขาว่าต่อยโดนกระป๋องดังป๊องๆ เลย พระโสภณได้พูดคุยอยากเห็นตัวอยากเห็นรังของมันโดยไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่น หลวงพ่อท่านถามว่าท่านอยากเห็นต่อมากนักหรือ พระโสภณตอบว่าอยาก หลวงพ่อได้ลุกขึ้นไปรูดใบแจง(ใบเขียวสด ใหญ่และยาว ขนาดปลายนิ้วก้อย ใบแจงนี้เป็นยาขึ้นอยู่ตามเขา ตามที่เด่นที่ดอน ที่วัดหลวงพ่อมีหลายต้น) ท่านหยิบเอามากำมือหนึ่ง ท่านหันหลังว่าคาถาเป่าเข้าไปในรูที่ท่านกำมือ แล้วท่านหันหลังโยนขึ้นไปบนอากาศอัศจรรย์เกิดเป็นตัวต่อประมาณ ๑๐ ตัว บินรอบพระโสภณเต็มไปหมด พระโสภณถึงกับตกใจไม่กล้าหยุกหยิก มองดูหลวงพ่อเห็นท่านหัวร่อหึหึ พอท่านหันมามองที่ตัวต่อ มันตกลงพื้นพื้นกลายเป็นใบแจงเหมือนเดิม พระโสภณปัจจุบันสึกแล้ว บ้านอยู่ใกล้ ๆ วัดหอระฆัง อายุ ๖๐ ปีเศษ แต่อาจารย์ปลูก เข้าใจว่ามรณภาพไปแล้ว เรื่องที่หลวงพ่อเสกต่อแตนได้ศิษย์เก่า ๆ เคยเห็นกันหลายคน เขาว่าศิษย์ท่านองค์หนึ่งชื่ออาจารย์เตี้ย(ฝุ่น)วัดสามเอกทำได้ แต่ผมไม่เชื่อว่าทำได้เพราะไม่เคยเห็น เรื่องวิชาหุ่นพยนต์นี้หลวงพ่อทำได้แทบทุกอย่าง เท่าที่ศิษย์เคยเห็นคือเสกเป็นต่อ เสกเป็นปลากัด เสกกะลาเป็นเต่า เสกผ้าอาบเป็นกระต่าย(ต้องผูกเป็นรูปร่างก่อน) เสกก้านกล้วยเป็นงูเขียว เสกคนเป็นจระเข้ ศิษย์ที่ยืนยันได้ คือ ลุงทอด ลุงลอน หมอเฉลียว เดชมา นายยุทธ ยิ้มจู หมอแจ๋ ฯลฯ ที่ทำได้และยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ได้คือ หลวงตาจิ๊ด เสกหินลอยน้ำได้ อาจารย์เม่าบีบถ้วยให้ปากชิดกัน อาจารย์ตี๋นั่งบนน้ำได้ นายแดง สว่างศรี ได้วิชาเห้งเจีย ได้คาถาปลาไหล ได้คาถาจระเข้ โดดลงน้ำให้หายไปเลยก็ได้ เล่นน้ำครึ่งวันก็ได้ เอามีดเฉือนฝ่ามือ ดังเหมือนเอามีดมาถูหินดังแกร๊กๆๆๆ ดังอย่างนั้นจริง ๆ แต่เขาไม่ถ่ายทอดให้ใคร

จดหมายคุณเธียร  อู่ฑิฆัมพร

๒๑ มกราคม ๒๕๓๕

๓๔๕/๑๓ ถนนพระราม ๓ เขต/แขวงบางคอแหลม กทม.๑๐๑๓๐

จดหมายฉบับนี้ผมเขียนมาหาคุณเฒ่า เพื่อเทิดพระคุณหลวงพ่อกวยว่าท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ คือ หลังจากที่ผมได้รับพระสมเด็จแล้วก็อธิษฐานกับพระสมเด็จว่าขอให้ถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล(เพราะผมไม่เคยมีโชคทางด้านนี้เลย) หากถูกจะส่งเงินมาทำบุญกับหลวงพ่อและจะมากราบหลวงพ่อที่วัดปรากฏว่าสลากงวดวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๓๕ นี้ ผมถูกรางวัลเลขท้ายซึ่งน่าอัศจรรย์มาก นอกจากด้านโคลาภแล้วในด้านการงานการค้าก็เจริญดีขึ้นเป็นลำดับ (ก่อนมีสมเด็จ ผมแขวนรูปถ่ายทอดำหลังจีวรของหลวงพ่อ) ลูกค้ามาหาเอางานมาให้ ทำจนล้นมือ ในด้านเสน่ห์เมตตาก็ไม่เป็นรองใครนะครับ ไปไหนมาไหนมีแต่คนยิ้มให้ อีกข้อที่อยากจะเล่าให้คุณเฒ่าฟังคือเรื่องให้หลวงพ่อหาที่จอดรถให้ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าในกรุงเทพมหานครหาที่จอดรถยากมากไปติดต่อธุระก็ต้องวนหาที่จอดรถหลายรอบกว่าจะหาได้ บางครั้งต้องไปจอดไกลจากสถานที่ ๆ ไปติดต่อ ตั้งแต่ผมนำหลวงพ่อแขวนคอก่อนออกจากบ้านไปติดต่องานก็จะอธิษฐานขอให้หลวงพ่อหาที่จอดรถให้ซึ่งก็มีที่จอดรถทุกครั้งบางครั้งไปถึงไม่มีที่จอดก็บอกหลวงพ่ออีกทีวนรถอีกรอบ ก็จะมีรถที่จอดอยู่ออกรถไป มีที่ว่างให้รถผมจอดพอดีทุกครั้งเลยครับ ผมคิดว่าต้องเป็นบารมีของหลวงพ่อกวยแน่นอน(อีกองค์หนึ่งซึ่งผมอธิษฐานขอที่จอดรถซึ่งผมอยากจะนำมาเล่าคือ หลวงพ่อจงวัดหน้าต่างนอก ผมใช้ตะกรุดมหาอำนาจ ก่อนที่ผมจะใช้วัตถุมงคลของหลวงพ่อกวย ผมก็เคยอธิษฐานเช่นเดียวกันก็ใช้ได้ครับมีที่จอดรถทุกครั้ง หากไม่มีวนรถสักรอบก็มีรถออกทุกครั้งเลยครับ) ตอนนี้ที่ใช้อยู่ติดตัว คือตะกรุดมหาอำนาจ รูปถ่ายหลวงพ่อกวยและล่าสุด พระสมเด็จหลังรูปเหมือนเต็มองค์

ขอแสดงความนับถือ

เธียร  อู่ฑิฆัมพร


จดหมายจากอยุธยา
เทศบาลเมืองนครศรีอยุธยา
อำเภอพระนครศรีอยุธยา
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑๓๐๐๐

๑๘ พฤษภาคม ๒๕๓๕

เรียน อาจารย์สำรวย และคุณเฒ่า สุพรรณ

ผมหวังว่าท่านยังคงจำผมได้ เพราะผมเคยนำเงินไปทำบุญทอดผ้าป่าที่วัดเมื่อตอนที่ผมเป็นปลัดเทศบาล วัดสิงห์ ชัยนาท ตอนนี้ผมได้ย้ายมาอยู่อยุธยาได้นานแล้ว คิดถึงหลวงพ่อกวยและท่านมาก จึงเขียนจดหมายมาคุยด้วย ๒ ปีนี้ผมไม่เคยถูกหวยเลย เล่นเสียไป ๔ – ๕ แสนบาท เผอิญเมื่อกลางเดือนเมษายน ผมถูกหมากัด และต่อมาถูกชะนีกัดทั้ง ๆ ที่ผมแขวนพระเต็มคอก็ยังเป็นแผลได้ ผมจึงเอาพระเครื่องที่แขวนออก แล้วแขวนรูปถ่ายขาวดำเล็กปิดจักรหลวงพ่อกวยด้านหลัง เอามาแขวนคอ ๑ รูป ปรากฏว่าแขวนได้ ๒ อาทิตย์ ผมถูกหวยใต้ดิน ๙,๐๐๐ บาท ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยถูกมาก่อนเลยเป็นเวลา ๒ ปีแล้ว ผมรู้สึกอัศจรรย์ใจมากและคิดถึงหลวงพ่อกวย หลวงพ่อคงช่วยผมแล้วแน่ ผมอยากจะทำบุญกับหลวงพ่อกวย จะเป็นผ้าป่าหรือกฐินก็ได้ ถ้าทางวัดมีงาน ขอให้บอกให้ผมทราบด้วย

เคารพ

สุททิน  ชัยผดุง

รองปลัดเทศบาลเมืองอยุธยา
ระดับ ๗


ตอบคุณพี่ปลัด ถ้าจะทำบุญทอดผ้าป่า ๑๒ เมษายน ของทุกปี ติดต่อมาได้ครับ


หูทิพย์
 ศิษย์หลวงพ่อที่เป็นพระหลายองค์พูดว่าหลวงพ่อกวยท่านสำเร็จอภิญญา ๖ ต้องสำเร็จฌาน ๔ อาจารย์ตั้วท่านเคยไปกราบหลวงปู่น้อย วัดภูกำพร้า ที่ว่าอายุ ๒๐๐ กว่าปี ได้เล่าให้หลวงปู่ฟังถึงเรื่องของหลวงพ่อกวย หลวงปู่น้อยท่านพูดว่า “หลวงพ่อเป็นพระอภิญญา จุดธูป ๙ ดอก ปักกลางแจ้ง บอกเล่าสามารถรับรู้ได้”

อภิญญา ๖

ข้อที่ ๑ คืออิทธิวิธี คือสามารถแสดงฤทธิ์ได้ เช่น หายตัวได้ ห้ามลูกปืนได้ ห้ามลม ห้ามฝนได้

ข้อที่ ๒ ทิพยโสต คือหูทิพย์ สามารถได้ยินเสียงในที่ไกล ๆ ได้ ถ้ากำหนดจิตหรือจิตจดจ่ออยู่ เรื่องที่หลวงพ่อมีหูทิพย์นี้ศิษย์ใกล้ชิดจะไม่มีใครกล้าพูดกล่าวล่วงเกินท่านเลย แม้ลับหลังท่าน เพราะพอเจอท่าน ท่านสามารถรับรู้ได้หมด มีเรื่องยืนยันชนิดแน่ชัดเรื่องหนึ่งคือ ท่านไปธุระที่ตลาดชัณสูตร ไปธุระเรื่องวัสดุก่อสร้าง ท่านไปกับหมอเฉลียว คือหมอเฉลียวเขามีรถส่วนตัว เวลาไปไหนมาไหนจึงมักไปด้วยกัน และบ้านหมอเฉลียวอยู่ใกล้วัดด้วย ขณะที่ท่านเดินอยู่ในตลาดชัณสูตร ท่านได้พูดบ่นกับหมอเฉลียวว่า “พระที่วัดรุ่นนี้ซนจังเลย เอาแผ่นเสียงมาเปิดเล่นกัน” สมัยก่อนเครื่องไฟเครื่องขยายเสียงมีราคาแพงมาก พระหนุ่ม ๆ เห็นหลวงพ่อไม่อยู่อยากฟังเพลงกัน ได้เอามาเปิดเล่น

พอเดินไปได้สักพักหนึ่งท่านพูดว่า “เดี๋ยวได้เสียกันมั่ง ถ้าเปิดเล่นกันแบบนั้น นั่นไง ๆ เสียจริง ๆ” หมอเฉลียวก็ไม่ได้สนใจ คิดว่าหลวงพ่อวิตกกังวลไปเอง พอขึ้นรถกลับท่านพูดบ่นว่า “พระพวกนี้อยู่วัดหมาก็คุ้มไม่ได้” พอกลับถึงวัดหมอเฉลียวได้ถามพระเรื่องแผ่นเสียง ปรากฎว่าพระเอาเครื่องเล่นแผ่นเสียงมาเปิดกัน แล้วเสียจริง ๆ กำลังกลัวหลวงพ่อบ่นอยู่ทีเดียว พอหลวงพ่อนั่งหายเหนื่อยดีแล้ว ท่านก็เรียกพระเข้าไปหา ให้ไปตามลูกหมาท่านที คือลูกหมาของท่านเกิดตามชาวบ้านไป ท่านบอกด้วยว่าตอนนี้อยู่บ้านใคร ให้ไปตามเอามา

เรื่องนี้นอกจากจะยืนยันว่าท่านมีหูทิพย์แล้ว ยังยืนยันว่าท่านมีตาทิพย์ด้วย

อภิญญาข้อที่ ๓ คือ เจโตปริยญาณกำหนดจิตผู้อื่นได้ รู้ว่าต้องการอะไร อยากได้อะไร มาดีหรือมาร้าย อภิญญาข้อนี้หลวงพ่อไม่ค่อยแสดงให้ใครทราบ แต่ถ้าไปหาท่านและต้องการอะไร ท่านมีอยู่ท่านจะเตรียมเอาไว้เลย

สมเด็จพิมพ์เผยม่าน

พระพิมพ์สมเด็จ คือ พระพิมพ์ทรงสี่เหลี่ยม เดิมหมายถึงพระพิมพ์ของสมเด็จโต การสร้างพระสมเด็จนั้นนิยมสร้างด้วยเนื้อผงสีขาว หลวงพ่อกวยท่านสร้างพระพิมพ์สมเด็จไว้หลายแบบ โดยมากหลวงพ่อจะทำเอง พระพิมพ์สมเด็จนี้จริง ๆ แล้วทำได้ยากมากเพราะต้องใช้ผงวิเศษ ซึ่งลบและเขียนขึ้น พระพิมพ์สมเด็จของหลวงพ่อที่ได้รับความนิยมมาก นอกจากพิมพ์ปรกโพธิ์ ๙ ใบ ก็มีพิมพ์หลังรูปและมีอีกพิมพ์หนึ่งซึ่งหาดูได้ยากมากเช่นกัน ชาวบ้านเรียกว่าพิมพ์เผยม่าน หรือพิมพ์แหวกม่าน หลวงพ่อสร้างเอง รูปแบบของพระพิมพ์นี้คล้าย ๆ กับพระสมเด็จทั่ว ๆ ไป ด้านข้างองค์พระคล้าย ๆ เป็นม่านที่แหวกอยู่ ด้านหลังเรียบ องค์เล็กกว่าสมเด็จทั่วไป มีขนาด ๒ ใน ๓ ส่วน มีเนื้อสีขาวอมเทา กับเนื้อเกือบดำ ผสมใบลาน คือ หลวงพ่อนิยมสร้างพระพร้อมกัน ๒ เนื้อ คือขาวกับดำเสมอ พระสมเด็จพิมพ์นี้เช่าหากันแพงเป็นพัน ๆ บาท ปัจจุบันมีของปลอมแล้ว

ต่อไปจะเล่าถึงอภินิหาร และกรรมวิธีการสร้างพระสมเด็จของหลวงพ่อ เป็นคำบอกเล่าของหมอเฉลียว ฉะนั้นคำว่าผมต่อไปนี้หมายถึง หมอเฉลียวซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิด

การสร้างพระผงของหลวงพ่อนั้น หลวงพ่อใช้ผงมหาราช ผงอิทธิเจ ผงปถมัง ผงเกสร ๑๐๘ และผงอย่างอื่นอีกมาก เมื่อหลวงพ่อได้ผงมาแล้ว หลวงพ่อใส่ถาด ใส่กะละมังไว้ ยังไม่ทำเป็นองค์เลย ปรากฎว่ามีหนู มีแมลงมารุมกินกันเป็นแถว พอหลวงพ่อเริ่มตำผงคลุกเคล้า แขกก็จะมากันใหญ่ คือหลวงพ่อท่านว่าคาถาไปด้วย คนก็มาพระก็จะทำ เพราะหลวงพ่อว่าคาถาเมตตามหานิยม คาถามนต์จินดา พระผงที่ดังมาก คือพระสมเด็จปรกโพธิ์ รองลงมาก็พิมพ์เผยม่าน เดี๋ยวนี้เช่าหากันเป็นหมื่นแล้ว

ต่อไปผมจะเล่าอภินิหาร ซึ่งแสดงถึงบุญบารมีและความเป็นเมตตามหานิยมของผู้ที่มีพระพิมพ์นี้ไว้บูชาติดตัว แต่ผมไม่อาจเอ่ยชื่อออกไปได้ คือเขาอาจไม่ต้องการให้ใครรู้จัก ตอนนั้นผมไปบอกบุญกับทายกวัด ๒ คน ที่จังหวัดอยุธยา บ้านนี้เขารวยมาก เดิมเป็นนายอำเภอเก่าปลดเกษียณ เขานับถือหลวงพ่อมาก เขาบอกว่าถ้าวัดมีงานบุญอะไรให้ไปบอกเขาทุกครั้ง ผมจึงไปกับเพื่อนมีหลานชายเป็นนายทหารยศนายร้อยอยู่ด้วย และมีคนดูแลหรือรับใช้คุณปู่ คือ นายอำเภออีก ๑ คน เป็นเด็กผู้หญิงผิวขาว เป็นคนจีน นิสัยดีมากหน้าตาดีหมดจด ขยันขันแข็ง ทำงานทุกอย่างตั้งแต่หุงหาอาหาร ซักผ้า ถูบ้าน เก็บกวาดบ้าน เมื่อผมไปถึงเขานำเสื้อผ้าของผมและเพื่อนไปซักตอนตี ๓ เขานำเสื้อผ้าผมและเพื่อนไปรีดให้ และนำรองเท้าผมไปขัดให้ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้จักผมว่าเป็นใคร ผมเห็นแล้วก็อดตื้นตันใจไม่ได้ผมจึงเรียกเขามาคุย ถามถึงความเป็นอยู่ตอนนั้นเจ้าของบ้านหลับกันหมด ผมถามว่าบ้านอยู่ที่ไหน ทำไมมาอยู่ที่นี่ เด็กผู้หญิงคนนั้นตอบว่า คุณปู่นายอำเภอมีบุญคุณต่อครอบครัวหนูมาก เตี่ยเป็นคนจน คุณปู่เคยช่วยเหลือเงินทองมาตลอด เมื่อคุณปู่ไม่สบายเตี่ยจึงให้หนูมารับใช้ เพื่อตอบแทนบุญคุณตอนนี้หนูเรียนพาณิชย์ปีสุดท้ายกลัวว่าจะไม่จบ เพราะอดนอน และไปสายประจำ ส่วนหลานคุณปู่ที่เป็นนายร้อยเขาเป็นคนเจ้าระเบียบ ตอนเช้าต้องส่งทำให้ต้องส่งหมวกให้ ส่งให้อย่างหนึ่งก็ต้องยกมือไหว้ครั้งหนึ่ง แต่เขาคงจะอยู่อีกไม่นาน เขาจะแต่งงานแล้วไปอยู่กรุงเทพฯ มีคู่หมั้นแล้วเป็นคนรวยหมั้นด้วยแหวนเพชร ๑ วง เข็มขัดทอง ๑ เส้น เงินอีก ๑ แสนบาท (เงินเมื่อ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว)

ผมเห็นเด็กเล่าให้ฟังก็รู้ว่าเป็นคนดี ลำบากมากเพราะมารับใช้เขา และต้องเรียนหนังสือด้วย ผมไม่มีอะไรจะให้เขาเป็นการตอบแทนที่เขาเป็นคนดีอุตส่าห์ซักเสื้อผ้า และขัดรองเท้าให้ ผมเลยถอดพระในคอเป็นพระสมเด็จพิมพ์แหวกม่านให้ไป ๑ องค์ บอกเขาว่าให้บูชาติดตัวไว้เถิดดี พระนี้หาค่าไม่ได้ เป็นของหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม หลวงพ่อทำเองกับมือ ให้ทีละคนไป ตอนสายผมรับเงินทำบุญจากนายอำเภอแล้ว ผมก็จากมา

อยู่ต่อมาอีก ๑ ปี ผมกลับไปบอกบุญกับนายอำเภอเก่าอีก ผมได้พบกับเด็กรับใช้คนเดิม เขามีสง่าราศีดีมาก แต่งตัวภูมิฐานเป็นคนละคน มีทองใส่ มีเด็กรับใช้ เขาดีใจมากที่พบผม ผมก็งงไปหมด ภายหลังได้คุยกันได้ความว่า หลานนายอำเภอคนนั้นได้เลิกกับคู่หมั้น และมาแต่งงานกับตน นายอำเภอดีใจมากได้ยกทรัพย์สมบัติให้ทั้งหมด คุณพ่อของหลานนายอำเภอก็ชอบใจยกสมบัติให้ และแฟนคือ สามีตอนนี้ก็ได้เป็นนายพันแล้ว

นี่แหละครับ เป็นอภินิหารของสมเด็จพิมพ์แหวกม่านของหลวงพ่อ ภายหลังมีคนนำไปใช้ได้ผลมาก มีคนมาหาให้ราคาเป็นหมื่น ๆ บาทก็มี เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงทุกอย่าง แต่ผมบอกชื่อไม่ได้

จดหมายคุณลำไย ศรีจันทร์แดง

ถึงคุณเฒ่า สุพรรณ

เมื่อก่อนที่ข้าพเจ้าจะมีวัตถุมงคลของหลวงพ่อ ข้าพเจ้ารู้จักจากหนังสือนะโม โดยการเขียนของคุณเฒ่า สุพรรณ ข้าพเจ้าเป็นช่างสีทำงานมาหลายปีลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาตลอด ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย รู้สึกท้อแท้ใจมาก เงินก็ไม่เคยขึ้น ทีคนอื่น ๆ เข้าทีหลังค่าแรงขึ้นเรื่อย ๆ จะว่าเขาทำงานเก่งก็ไม่ใช่ จะว่าเขาขยันก็ไม่เชิง เอ๊ะ แล้วเราละทำไมไม่ขึ้น เราก็ขยันกว่าเขาอีก ต่อมาหลังจากปี ๓๒ แล้ว และเราก็มีเหรียญรูปโล่ ปลัดขิกของหลวงพ่อกวย ขอหวยขอโชคขอลาภดีมาก ถูกมาหลายงวดและที่พิเศษสุดก็คือ ค่าแรง ภายในเวลาไม่กี่เดือน เขาขึ้นให้แล้ว ๔ หน จนเราพอใจและภูมิใจมาก หากไม่ใช่อภินิหารหลวงพ่อกวยแล้วจะว่าอะไรล่ะ ทีแรกก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็เป็นไปแล้ว เดี๋ยวนี้ผมห้อยรูปถ่ายหลังจีวรเพียงอย่างเดียว และเปลี่ยนจากสายร่มมาเป็นทองเลย ผมได้ส่งรูปมาเพื่อยืนยันว่าเป็นความจริง

ลำไย  ศรีจันทร์แดง
๑๐๔๐/๓ ซอยวัดประดู่ในทรงธรรม
ถนนเพชรเกษม บางกอกใหญ่
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 24, 2013, 10:55:26 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๔๓
วันที่ ๒๕ เม.ย. – ๕ พ.ค.๒๕๓๖
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



เหรียญรุ่น ๑

ต่อไปจะขอกล่าวถึง วัตถุมลคลชุดสุดยอดของหลวงพ่อ คือ เหรียญรุ่น ๑ อีกสักครั้ง เหรียญรุ่น ๑ หรือที่บางคนเรียกว่าเหรียญกลมฝาบาตร ออกประมาณ พ.ศ.๒๕๐๖ สร้างประมาณ ๕,๐๐๐ เหรียญ เป็นเหรียญกลมเนื้อฝาบาตร คือ เนื้อทองเหลืองผสมทองแดง แต่ออกสีทองเหลืองมากหลวงพ่อสร้างเอง ไปทำเหรียญกับบุตรบุญธรรม ท่านออกแบบเอง เน้นเหรียญกลมและเต็มองค์ มีเนื้ออัลปาก้าประมาณ ๑๐ องค์ ด้านหลังเหรียญเป็นยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้าชนิดเต็มยันต์ เป็นคาถามงกุฎพระพุทธเจ้าคาถานี้ใช้กำบังได้ เมตตาได้ จังงังได้ เสริมดวงชะตาได้ กันคุณกันของกันกระทำได้ภาวนาในป่าเขาในถ้ำ กำหนดเขตบริเวณสามารถกันภูติพราย เจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าถ้ำได้ หลวงพ่อเรียกคาถานี้ว่าโองการพระพุทธเจ้า เหรียญรุ่นนี้รมทองบาง ๆ

เหรียญรุ่น ๑ ของหลวงพ่อนี้ มีอานุภาพสูงมาก ดีมาก ในอนาคตเหรียญรุ่น ๑ นี้ จะเป็นอมตะที่หาค่าไม่ได้ จะเป็นที่ถามถึงของแขกผู้มาเยือน เมืองสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท มีคนเคยนำเหรียญรุ่น ๑ นี้นำไปทดลองยิงด้วยปืนซุปเปอร์ ๓ นัดไม่ออกเลย มีคนเคยโดนยิงด้วยปืนหลายครั้งหลายหนไม่ออกเช่นกัน มีคนนำเหรียญรุ่น ๑ นี้ไปใส่ไว้ในพลุปรากฏว่าจุดไม่ติดติดเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแล้วก็ดับ แต่วัตถุมงคลของหลวงพ่อนี้ทุกชนิดถ้านำไปใช้ในทางที่ไม่ดี อานุภาพจะลดลงเหลือ ๑ ใน ๓ ส่วน คือ คือจากที่ไม่ออก ไม่ถูก จะออกและถูกทั้งหมดเพียงแต่ไม่เข้า เขาว่ากันอย่างนั้น

จะขอเล่าเพื่อบันทึกในคุณวิเศษและอภินิหารของเหรียญรุ่นนี้เอาไว้สัก ๓ – ๔ เรื่อง
 
เรื่องแรก นายกั๊ก  คนโพธิ์งาม ทำงานอยู่ท่าเรือบางจากเซโล บางจาก มีเหรียญรุ่น ๑ คล้องคออยู่ประจำ วันหนึ่งไปพูดจาไม่เข้าหูนายสุบิน แกติดฝิ่นอารมณ์หงุดหงิดอยู่พอดีได้ชักปืนยิงนายกั๊ก ๓ นัดไม่ออกเลย ระยะนั้นเหรียญรุ่น ๑ หลวงพ่อดังมาก เหรียญนี้เช่นกันภายหลังได้มีการทดลองยิงด้วยปืนซุปเปอร์ปรากฏว่ายิง ๓ นัดไม่ออกเช่นกัน

เรื่องที่สอง หลวงตาฟื้นอดีตเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านกร่าง อ.บางระจัน ชอบทำพลุ ทำตะไล จำหน่ายเป็นงานอดิเรก เคยไปติดตั้งพลุ ตะไล ตามวัดที่เขาสั่งทำทั่วไป มีวิธีการทดลองพระที่โหดแต่แน่นอน ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน เมื่อแกไปติดตั้งพลุ ตะไล ตามวัดไหน ถ้ามีเกจิอาจารย์เขาให้พระ ให้เหรียญมา แกจะนำเหรียญเอาไว้บนพลุ แล้วจุด แกเล่าว่า ไม่เคยมีเหรียญของหลวงพ่อองค์ไหนต้านพลุได้เลย ปังเดียว ขึ้นฟ้าไปเลย วันหนึ่งหลวงตาฟื้นมาติดตั้งพลุ ตะไล ที่วัดของหลวงพ่อ หลวงพ่อได้เมตตาให้เหรียญรุ่น ๑ มา ๑ องค์ หลวงตาฟื้นได้นำไปทดลองแบบเก่า ปรากฏว่าชนวนจุดไม่ติด จุดแล้วดับ จุดแล้วดับเป็นอัศจรรย์ ภายหลังได้ขอขมาแล้วหยิบเหรียญออก ปรากฏว่าจุดติด แต่ดังไม่ดีภายหลังก็ทำพลุ ทำตะไลอีก ก็จุดไม่ดีดังไม่ดี เขาว่าเหรียญรุ่น ๑ ของหลวงพ่อนี้ หลวงพ่อใช้ปลุกด้วยธาตุน้ำ หลวงตาฟื้นจึงไม่นำมาติดตัวอีก ปัจจุบันหลวงตาฟื้นลาสิกขาบทแล้วเคารพหลวงพ่อมากเลิกทำพลุ ตะไลแล้ว

[color=blue เรื่องที่สาม นายหเว ชื่อเขียนยากจังเลย ทีแรกผมเขียนเป็นเหว ทีนึงแล้ว บ้านอยู่โพธิ์งาม มีเหรียญรุ่น ๑ อยู่ติดตัว ๑ องค์ มีอาชีพพิเศษคือย่องเบา ได้ไปย่องเบาที่บ้านกลุ่มโคก อ.เดิมบาง คืนนั้นเดือนมืดแกขึ้นไปบนบ้านเจ้าทรัพย์ กำลังค้นหาของมีค่าอยู่พอดี วันนั้นถ้านายหเว มีตาพิเศษแบบนกเค้าแมวแกก็จะมองเห็นมัจจุราชสีดำกำลังเล็งมาที่แกแต่นายหเวไม่เห็น ปืนลูกซองยาวบรรจุลูกโดดดังปังสนั่นยิงในระยะประชิดประมาณวาเศษ ความแรงทำให้นายหเวถึงกับหัวทิ่ม พอได้สตินายหเวโดดออกทางหน้าต่างวิ่งเต็มแรง เมื่อเอามือคลำรอยลูกปืนเสื้อขาดรูโต หมอนกาบมะพร้าวที่เจ้าทรัพย์ทำลูกปืนเองยังติดอยู่ นายหเวแกเจ็บก็เจ็บเคืองก็เคือง น้ำตาไหลด่ามารดาคนยิงซะหลายคำ แกเล่าว่าดีที่หลวงพ่อเมตตาไม่งั้นเป็นศพไม่มีญาติ อายเขาตายเลย เมื่อสอบถามถึงเจ้าทรัพย์ว่าชื่ออะไร แกบอกว่าชื่อนายยุทธนี่เป็นเจ้าของบ้านปืนโหดคนหนึ่งทีเดียว[/color]


เรื่องที่สี่ ศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งชื่อ จอม สุขโข มีเหรียญรุ่น ๑ คล้องคออยู่ ๑ องค์ เป็นคนหนองหิน อ.สรรค์บุรี มีอาชีพพิเศษคือ ลักวัว ลักควาย วันหนึ่งได้ไปลักควายออกจากคอก พอดีเจ้าทรัพย์ตื่นมาเสียก่อน ได้ยิงนายจอมด้วยปืนลูกซองยาว ๙ เม็ด ยิงระยะพอดีความแรงของปืนทำให้นายจอมถึงกับหัวทิ่มพอลุกขึ้นได้ก็วิ่งสุดชีวิต ปัจจุบันนายจอมยังมีชีวิตอยู่ด้านหลังมีรอยลูกปืนอยู่ ๙ รอยเป็นไตแข็ง พอสังเกตได้ ใครเจอแกขอดูได้เลย

เรื่องสุดท้าย เรื่องนี้เป็นเรื่องหมิ่นเหม่พอสมควร ท่านจะเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้ แต่ผู้เล่าเป็นพระภิกษุอยู่ในเหตุการณ์นั้น ศิษย์ของหลวงพ่อที่อยู่โคราชเป็นคนฉลาด ใจจริงเป็นเมืองใหญ่มีศิษย์ของหลวงพ่ออยู่ที่โคราชหลายคน เป็นเรื่องแปลกเขารู้จักหลวงพ่อได้อย่างไรอยู่ไกลกันมาก ศิษย์ของหลวงพ่อมีหลายสิบคนที่หลวงพ่อจดชื่อไว้ในบัญชีสักเล่มสุดท้าย เท่าที่จำได้มีนายเอียง แซ่จึง นายแอ๊ด พยัคฆเดช นายสมร ขอเหนียวกลาง ฯลฯ แต่ก่อนโคราชได้มีฐานทัพของทหารอเมริกันตั้งอยู่ ทหารอเมริกันมีเงินเดือนสูงเมื่อเทียบกับคนไทยแล้ว ถือว่ารายได้สูงมาก ทำให้โคราชคึกคักด้วยคน มีบาร์ มีคาเฟ่เกิดขึ้นมากมาย ตอนกลางคืนเหมือนเมืองฟ้า เมืองสวรรค์ มีผู้หญิงไปหากินกันมากมาย ผู้ชายที่มีนิสัยทางนักเลงก็รับจ้างคุมซ่อง คุมบาร์ คุมคาเฟ่ บางคนก็มีอาชีพตีชิงวิ่งราว บางคนก็งัดแงะ ย่องเบา เพราะว่า ผู้ชายไม่มีอะไรจะขายเหมือนผู้หญิงเขา มีศิษย์ของหลวงพ่ออยู่คนหนึ่งชื่อแพง จั่นกรด มีเหรียญหลวงพ่อรุ่น ๑ คล้องคออยู่ประจำ มีอาชีพพิเศษคืองัดแงะทั่วไป ได้ไปงัดแงะในค่ายทหารอเมริกัน คืนนั้นมีทหารอเมริกันนิโกรเป็นยามรักษาการณ์อยู่ งัดแงะเข้าไปด้านใน จีไอนิโกรได้ยินเสียงพอดี ได้เดินมาและเห็นพอดี ทีแรกจีไอนิโกรนั้นตั้งใจจะยิงนายแพง แต่เห็นว่านายแพงไม่มีปืน เขาพูดให้ยอมจับให้ยกมือขึ้นแต่นายแพงไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่ยิงตั้งใจจับเป็น นายแพงได้ชักมีดสั้นออกมาต่อสู้ จีไอนิโกรก็ดีใจหายใจถึงไม่ยิง การต่อสู้จึงเริ่มขึ้น นายแพงนักสู้แห่งที่ราบสูงมีมีดสั้น จีไอนิโกรมีปืนยาวผลการต่อสู้ นายแพงยังไม่ทันจะเงื้อมีดด้วยซ้ำไปด้วยด้ามปืนยาวสลบไปเลย แล้วแกก็เรียกเพื่อนทหารด้วยกัน ลากนายแพงไปหลังโกดังเก็บของแล้วเอาเชือกมาผูกคอนายแพงแขวน เพื่อนที่ไปด้วยเห็นเหตุการณ์ตลอดแต่ช่วยไม่ได้ จนกระทั่งจีไอนิโกรกับเพื่อนไปแล้ว ได้เข้าไปปลดเอาเชือกออก แล้วแบกศพออกมา พอพ้นเขตทหารแล้วหยุดพักปรากฏว่านายแพงยังไม่ตาย ยังหายใจอยู่เป็นเรื่องแปลกมาก เมื่อสอบถามนายแพงเล่าว่าขณะโดนตีด้วยด้ามปืนยังมีสติอยู่แต่น้อยมาก ตอนถูกลากไปผูกคอก็รู้ ได้ภาวนาว่าหลวงพ่อกวยช่วยด้วย หลวงพ่อกวยช่วยด้วยๆ เรื่องนี้ท่านจะเชื่อหรือไม่ ไม่ว่ากัน พระโชนวัดหัวเด่น เป็นผู้เล่า

เหรียญรุ่น ๑ นี้ ปัจจุบันมีปลอมโดยการถอดพิมพ์ ใช้หล่อเอาโดยใช้เหรียญสึก ๆ หล่อทำพิมพ์ อีกฝีมือหนึ่งใช้เหรียญสวยทำพิมพ์ คนที่ทำปลอมนี้เป็นคนทางวัดฝาง ชัยนาท ภายหลังประสบอุบัติเหตุเสียตาไป ๑ ข้าง อีกคนหนึ่งได้สอบเข้าทำงานในตำแหน่งที่ดี แต่ปลอมเหรียญปรากฎว่าจิตใจไม่ดีได้ออกจากงานเหรียญที่หล่อนี้ บางทีสระอิจะติดกัน บางทีที่หูเหรียญจะไม่มีรู มีทั้งเนื้ออัลปาก้า และเนื้อทองฝาบาตร ปัจจุบันทางวัดได้สร้างเหรียญรุ่น ๔ ขึ้นล้อพิมพ์รุ่น ๑ แต่แกะพิมพ์ตรงศีรษะต่างกันศีรษะหลวงพ่อที่ตัวท่านและในเหรียญศีรษะจะเป็นลอนแบบศีรษะช้าง แต่เหรียญรุ่น ๔ แกะศีรษะเต็ม ใครจะเช่าหาขอให้ระวัง และสังเกตให้ดี เหรียญรุ่น ๑ นี้เป็นของดีจริง ๆ ปัจจุบันปลอมได้ใกล้เคียงมาก


จดหมายคุณวิชัย  มาลา
หอพัก
๑๘ พ.ย.๒๕๓๔
สวัสดี อาจารย์เฒ่า ที่เคารพ
ผมจะขอเล่าความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อกวย ที่เกิดขึ้นกับผม เมื่อ ๒ – ๓ วันก่อน อาจารย์คงจำผมได้ เมื่อเดือนที่แล้ว ผมส่งเงินมาทำบุญมูลนิธิกับหลวงพ่อ ๒๐๐ บาท ผมได้ขอรูปดวงแก้ว สีวลี จากอาจารย์อย่างเดียว แต่อาจารย์ได้ส่งรูปดวงแก้ว รูปหลวงพ่อ รูปหลวงพ่อกับหลวงพ่อเดิม เหรียญหลวงพ่อกวย เหรียญหลวงพ่อบุญเย็น เหรียญขวัญถุงหลวงปู่หล้า ผมขอขอบคุณมาก ๆ ครับ เมื่อผมได้รับผมก็เอาใส่ซองไว้ตามเดิม แต่ไว้บนหิ้งพระ พอตอนกลางคืนผมก็สวดมนต์ แล้วพูดกับหลวงพ่อว่า หลวงพ่อมาอยู่กับลูกขอให้ลูกมีโชคมีลาภบ้าง ผมสวดมนต์ขอพรเป็นประจำทำได้ ๒ – ๓ คือ คืนหนึ่งผมฝันเห็นผี ผมกลัวได้วิ่งไปหาหลวงพ่อกวย ผมบอกท่านว่าผมมาไกลช่วยผมด้วย หลวงพ่อได้เป่าหัวผม ๑ ที หัวผมเย็นมากเย็นแว๊บเลย เย็นจนตื่นเลย แล้วผมก็หลับต่อ ในความรู้สึกของผมคือ รู้ว่าถ้าท่านเป่าหัวให้จะมีโชค แล้วฝันต่อเห็นท่านหยิบหม้อดินขึ้นมา แล้วเขียนเลข ๐๘ แล้วผมก็สะดุ้งตื่นเพราะเย็นหัว เย็นมาก เย็นแว๊บเลย ผมตื่นตี ๔ ครึ่ง แล้วเล่าเรื่องให้ภรรยาฟัง ต่อมาผมซื้อหวย ๔ คู่ เลข ๐๘ ภรรยาซื้อใต้ดิน ๑๐ บาท พอวันที่ ๑๖ พ.ย.๒๕๓๔ หวยออก ๐๘ ผมดีใจมากผมได้ถ่ายซีล็อกซ์สลากกินแบ่งมาให้ดู เพื่อยืนยันและส่งเงินมาเข้ามูลนิธิอีก ๕๐๐ บาท ผมมาคิดดู ถ้าศิษย์ของหลวงพ่อมีความจริงใจ ตั้งใจจริงจะทำบุญกับท่าน ท่านให้โชคได้ โชคเราพอมีท่านต้องให้แน่นอน เพราะหลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ บอกเลขได้ในฝัน บอกตรง ๆ เลย อย่างนี้จะไม่ให้นับถือได้อย่างไร
ด้วยความเคารพ
วิชัย  มาลา
บริษัทขนมสากลจำกัด ประตูน้ำพระอินทร์
อ.บางประอินทร์ จ.อยุธยา ๑๓๑๘๐

 
ตอบคุณวิชัย เงินมูลนิธิคุณ ๒ ครั้ง ได้รับแล้วครับ ลงชื่อคล้ายคลึงให้ คุณไม่อยากให้ลงชื่อจริง เรื่องเหรียญหลวงพ่อเย็น หลวงพ่อม่น มีคนมอบให้ผมไว้แจกมูลนิธิครับ ตอนนี้หมดแล้วครับ ดีใจด้วยครับที่หลวงพ่อเมตตาคุณครับ



ปริศนาคาถา

ต่อไปจะขอกล่าวถึงพระมนต์หรือพระคาถาที่ใช้พ่นรักษาโรคในตำราของหลวงพ่อ จะขอกล่าวเพียงเล็กน้อย พอสังเขป

ในสมัยที่หลวงพ่อเป็นพระหนุ่ม หลวงพ่อสนใจในพระมนต์และคาถา ตลอดจนตำรายา ตำรายันต์ เรียนแทบจะทุกมนต์ ตำรายาเรียนมาแทบจะทุกอย่าง เรียนตั้งแต่เด็กอยู่ในท้องได้ ๑ เดือน ๒ เดือน ถึงออกมา ลูกจะเป็นโรคอะไรแม่จะเป็นโรคอะไรในตำรายาของหลวงพ่อมีถึง ๖๐ กว่าเล่ม เล่มใหญ่กว่าไดอารี ตำรายันต์ก็เรียนมามากเป็นร้อย ๆ ยันต์ อาจารย์ไหนเขาว่าดีก็ไปขอเรียน ใครมีคาถาดียาดีก็ไปขอเรียนมา เรียนมาเพื่อช่วยเหลือคนโดยเฉพาะคาถาพ่นไม่ต้องใช้ยาประกอบเรียนพ่นรักษาแทบทุกอย่าง เช่น พ่นไข้เจ็บ พ่นตะขาบกัด พ่นแมงป่องต่อย พ่นผึ้งต่อยแตนต่อย พ่นปราบ พ่นหลังสะดุ้ง พ่นฝี ฯลฯ แทบจะพูดได้ว่า ไม่มีคาถาบทใดที่หลวงพ่อจะไม่รู้ แต่หลวงพ่อก็พยายามเรียนคาถาและยารักษาโรคมีมากถึง ๖๐ กว่าเล่ม ไม่นับเล่มใหญ่ ที่เขียนลงในสมุดข่อย ยาวถึง ๓ – ๔ วา อีกหลายเล่ม
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 30, 2013, 02:23:16 pm
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๔๔
วันที่ ๕ พ.ค. – ๑๕ พ.ค.๒๕๓๖
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



เรื่องของคาถานี้ เป็นเรื่องของจิต หรืออำนาจจิต โดยเฉพาะคาถารักษาโรคเป็นคาถาที่เป็นไปด้วยจิต คือ ปรารถนาให้หายทั้งสิ้น ตัวคาถาแทบจะไม่มีอะไรเลย แต่คนไข้หายได้ เข้าใจว่าหายด้วยจิตใจของครูบาอาจารย์ จะขอยกตัวอย่างของคาถาของหลวงพ่อ เช่น คาถาพ่นป่วงโรคป่วงคือโรคท้องเดิน ปวดท้อง เวลามีคนมาหาให้รักษา ให้คน ๆ นั้นตักน้ำมา ๑ ขัน ทำน้ำมนต์ให้คนที่มาหากิน คนไข้อยู่ทางบ้านจะหาย คาถานี้ให้ชุมนุมเทวดาก่อน แล้วว่าคาถานี้

“อม มะ ป่อง อม มะ พ่วง สวาหาย”น้ำมนต์ต้องให้คนที่มาหากินให้หมด

คาถาพ่นบุ้ง“อมตุกตุ่ย ครุกครุ่ย สวาหะ”

ใช้มือหยิบ เวลาหยิบ ว่าคาถานี้“โยนิ กะ ระ หิ มา เอหิ มะ มะ”

เรื่องคาถาพ่นต่าง ๆ นี้ มีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้าไม่ลาด้วย สวาหะ ก็จะลงด้วย สวาหาย หรืออาจลงท้ายด้วยสวาหะ สวาหาย อ่านว่า สว๋า แม้ภายหลังหลวงพ่อได้ทำตะกรุดคลอดบุตรทำด้วยผ้ายันต์หรือผ้าประเจียด กันผี กันคน กันกระทำ กันอาถรรพณ์ หลวงพ่อยังนิยมปลุกเสกด้วยคาถารักษาด้วย คือเพื่อว่าศิษย์จะนำพาเอาไปทำน้ำมนต์รักษาโรค รักษาไข้เจ็บต่าง ๆ ปลุกเสกยั้นคาถามหาเถรตำแย คาถาถอนโบสถ์ ถอนเสมา และคาถาปัดรังควาน ฯลฯ

วันหนึ่งศิษย์ของหลวงพ่อเป็นทหารอยู่ลพบุรี ได้ไปพบชีปะขาวคนหนึ่งที่ลพบุรีได้พูดคุยกันและได้นำผ้ายันต์กันผีกันกระทำ กันอาถรรพณ์ ให้ชีปะขาวดู ชีปะขาวคนนี้ เป็นคนดีมีวิชา ได้เห็นผ้ายันต์แล้วชอบใจ เพราะผ้ายันต์มีอาคมรุนแรงมาก ชีปะขาวได้นั่งทางในตรวจสอบดู ได้พูดว่าพระองค์นี้มีอาคมแก้กล้ามีวิชาดี แต่ยังไม่หยุดศึกษาหาวิชาความรู้ได้พูดกับทหารคนหนึ่งว่า “ถ้าเอ็งไปหาอาจารย์ของเอ็งเมื่อไรให้ถามปริศนาธรรมกับเขาสัก ๑ ข้อ ปริศนาธรรมว่าดังนี้” “สระ(สะ) อะไรเอ่ย มี ๒ สระ (สะ) แต่มีทางลงทางเดียว” ให้ถามปริศนาธรรมกับเขาถ้าเขาตอบได้เขาจะพ่นจะรักษาโรคได้แทบทุกโรค เมื่อทหารคนนั้นมากราบหลวงพ่อ ตอนนั้นหลวงพ่อมีกิจนิมนต์ที่วัดหนองอีดุก ทหารได้เข้าไปกราบหลวงพ่อ และเล่าเรื่องให้ฟัง แล้วถามปริศนาธรรมกับหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อกลับมาวัด ได้กลับมาตีความปริศนาคาถานี้ อยู่ ๑ วัน ๑ คืน ได้ตีปริศนาออกและไม่ได้เรียนคาถาเพิ่มเติมอีกเลย ปริศนาคาถานี้ได้ตีบอกกับหมอเฉลียว เดชมา เอาไว้ นับแต่นั้นเป็นต้นมาหลวงพ่อสามารถใช้คาถาพ่นรักษารักษาโรคได้เกือบทุกชนิด

ปล.เฉลย คือ สว๋าหะ สว๋าหาย มี ๒ สระ มีทางลงทางเดียว คือ หาย คือให้หายจากโรคภัยนั่นเอง คาถาบางบทก็ลงท้ายด้วยสวาหะ สวาหาย เช่นคาถาพ่นแมงป่อง “อม แมงงอน มะแมงงอน มึงอยู่ใต้ขอน ถึงนอนใต้ไม้ เดชะคุณครู บันทิญาย ให้กูมาหยิบพิษมึง สวาหะ สวาหาย”

จดหมายคุณณรงค์ เพชรกำบังภัย

กราบนมัสการครับอาจารย์สำรวย

ผมได้ติดตามอ่านหนังสือนะโมและลงประวัติหลวงพ่อกวย ผมมีความเคารพนับถือในตัวหลวงพ่อกวย ผมไม่เคยเขียนจดหมายเลย แต่ผมต้องเขียนเพราะผมมีประสบการณ์แคล้วคลาดจากรถเมล์ชนประสานงาอย่างจังกับรถเมล์ด้วยกัน มีคนตายหลายคน เพื่อเป็นการเผยแพร่เกียรติคุณหลวงพ่อกวย ผมเริ่มเรื่องเลยครับ

เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ผมได้ตื่นแต่เช้า เพื่อไปวัดโฆสิตาราม หรือวัดบ้านแค ก่อนออกจากบ้านข้าพเจ้าได้จุดธูปบอกหลวงพ่อกวยช่วยคุ้มครองลูกด้วย ให้ลูกเดินทางไปกลับด้วยความปลอดภัย ผมขึ้นรถสายกรุงเทพฯ – สุพรรณบุรี สายเก่าลงที่ท่ารถเมล์ประจำจังหวัดสุพรรณบุรี ผมได้ต่อรถเมล์สาย สุพรรณ – นครสวรรค์ ผมจำได้เป็นรถเมล์เบอร์ ๘ ผมนั่งอยู่หลังคนขับพอดีพอรถออกจากสุพรรณ ผมได้คุยกับคนขับมาตลอดทาง ผมถามว่าจะมาวัดบ้านแคไปลงที่ไหนดี คนขับบอกให้ผมลงที่ อ.สรรค์บุรี รถได้วิ่งมาถึงตลาดท่าช้าง เพื่อรับส่งผู้โดยสารขณะที่รถออกจากตลาดท่าช้างนั้น ผมรู้สึกปวดหัวอย่างแรงจนทนแทบไม่ไหว รถวิ่งมาถึงหน้าโรงพยาบาลเดิมบางได้มีผู้โดยสารไม่ทันได้ขึ้น ผมได้ลงจากรถทันที คนขับบอกว่ายังไม่ถึงสรรค์บุรีเลย ผมบอกว่าไม่ไปสรรค์บุรีเพราะปวดหัวทนไม่ไหว ตั้งใจจะเข้าโรงพยาบาล เพื่อซื้อยากิน คิดไว้ว่าถ้าไม่หายก็จะกลับบ้านที่นครปฐมทันที ผมนั่งอยู่ประมาณ ๑๐ นาที เมื่อไม่ปวดหัวแล้วก็จ้างรถเมล์เครื่องไปวัดโฆสิตาราม ไปกลับราคา ๑๒๐ บาท ผมได้เช่าวัตถุมงคลหลายอย่างเมื่อเสร็จธุระก็นั่งรถเครื่องกลับมาที่เดิมคือหน้าโรงพยาบาลเดิมบาง รถเครื่องที่จอดหาเงินอยู่หน้าโรงพยาบาลบอกว่า มีรถเมล์สายสุพรรณ – นครสวรรค์ ชนประสานงากับรถเมล์ด้วยกัน มีคนตายหลายคน และคนขับก็ตายด้วย ผมได้ถามว่ารถเมล์อะไร เขาบอกว่ารถเบอร์ ๘ ผมถามว่าชนที่ไหน เขาบอกว่าเลยท่าช้างไปหน่อยเดียว ผมใจหายวูบมันก็คือรถเมล์คันเดียวกันกับที่ผมนั่งมาจากตลาดสุพรรณจะไปลงที่ อ.สรรค์บุรี

นี่หลวงพ่อกวยช่วยผมต้องมีอันปวดหัวอย่างแรงจนต้องลงท่าช้าง ถ้าหลวงพ่อไม่ช่วยผมป่านนี้คงตายพร้อมกับคนขับรถเมล์แล้ว เพราะผมนั่งตรงหลังคนขับพอดีทราบว่าคนขับขาขาดและเสียชีวิตในเวลาต่อมา เมื่อกลับมาถึงบ้านที่นครปฐมแล้ว ผมมาทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่นอน ต้องเป็นปาฏิหาริย์หลวงพ่อกวยแน่นอน ที่ช่วยให้ผมแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุ ถ้าท่านไม่เชื่อขอให้ท่านไปสืบถามดูที่ท่ารถเมล์สุพรรณก็ได้ว่าเมื่อวันที่ ๒๔ พ.ค.๒๕๓๕ เวลาประมาณเที่ยงมีรถเมล์สายสุพรรณ – นครสวรรค์ เบอร์ ๘ ได้ชนประสานงากับรถเมล์ด้วยกันจริงหรือเปล่า เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมนับถือและเคารพหลวงพ่อกวยมากขึ้น และประกาศเกียรติคุณมาไว้ ณ ที่นี้ด้วย วันเกิดเหตุข้าพเจ้ามีตะกรุดแม่ทัพและคุณปลัดเพียง ๒ อย่าง ของหลวงพ่อกวยทั้ง ๒ อย่างเลย

จากณรงค์ เพชรกำบังภัย
ธนาคารออมสิน สาขานครปฐม
ถนนทหารบก อ.เมือง จ.นครปฐม


ตอบ คุณณรงค์ เรื่องของคุณเกิดขึ้นไม่ไกลจากบ้านผมนัก เป็นเรื่องจริงครับ เคยมีคนเดินทางมากราบท่าน ขอพรท่านก่อนมาวัด มีอยู่คนหนึ่งเสียดายสตางค์เพราะเก็บค่ารถแพง ปรากฏว่ากระเป๋าได้เดินผ่านเขาไปไม่เก็บสตางค์ อีกคนหนึ่งขอพรท่านก่อนกลับจากวัด ขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน จ.พิษณุโลก รถไฟไม่แจ่มปรากฏว่ามีรถสิบล้อขับตามหลัง ไปส่งถึง จ.พิษณุโลก เรื่องแบบนี้มีประจำ ถ้าบอกท่านก่อน จุดธูปบอกหรือส่งจิตถึงท่าน

ขอบคุณครับ ที่อุตส่าห์เขียนเรื่องมาเล่าให้ฟัง นามสกุลคุณแคล้วคลาดดีครับ

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ตุลาคม 03, 2013, 12:50:44 pm
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๔๕
วันที่ ๑๕ พ.ค. – ๒๕ พ.ค.๒๕๓๖
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



จดหมายคุณสุธรรม ทันประเสริฐ
๗/๔๗ ถ.พัฒนาการ สวนหลวง พระโขนง กทม.๑๐๒๕๐
เรียน คุณเฒ่า ที่นับถือ

ผมมีความประสงค์ต้องการทราบว่าพระรุ่นเดียวกับหลวงพ่อกวยที่ทำมีดหมอได้และสายของหลวงพ่อเดิมที่ยังมีชีวิตอยู่และทำมีดหมอเชื่อถือได้นั้นยังมีหรือเปล่า วัดอะไร ไปอย่างไร จังหวัดอะไร ช่วยตอบในนะโมด้วยนะครับ แล้วก็หลวงพ่อพิมพา วัดหนองตางู สร้างมีดหมอหรือเปล่า และที่คุณเฒ่าเขียนลงในนะโมว่า ที่ จังหวัดอุทัยธานี ยังทำอยู่เชื่อได้หรือไม่

นับถือ

สุธรรม  ทันประเสริฐ


ตอบตอบ คุณสุธรรม ผมเก็บจดหมายคุณไว้นาน ไม่ได้ตอบสักที ที่ถามว่าพระรุ่นเดียวกับหลวงพ่อที่ทำมีดได้สายหลวงพ่อเดิมเท่าที่ทราบก็มีหลวงพ่อพิมพา วัดหนองตางู อยู่จังหวัดนครสวรรค์ หลวงพ่อพิมพายังจำหลวงพ่อได้ เรื่องเชื่อถือได้หรือไม่นั้น ผมคิดว่าถ้าท่านใส่ด้ามเอง ประจุเอง ผมว่าใช้ได้ เชื่อได้แน่ ส่วนหลวงพ่อคำ วัดสุวรรณ จ.อุทัย ปัจจุบันทราบว่ามรณภาพไปแล้ว พระที่ทำมีดหมอได้ และเข้าใจว่าดีมีอีกองค์หนึ่ง ชื่อหลวงพ่อฉาบ วัดคลองจันทร์ อ.หันคา จ.ชัยนาท อายุมาก ตก ๙๐ ปีแล้ว เป็นศิษย์หลวงปู่อินทร์ วัดเกาะหงส์ จ.นครสวรรค์ ใครจะเอามีดไปให้ท่านประจุให้ก็ได้ มีดดาบ ขวาน มีดพก มีดโต้ ได้ทั้งหมด แต่ต้องเป็นเนื้อเหล็ก แล้วเอาสีน้ำมันเขียนลวดลาย หรือเขียนอักขระขอม ไปให้ท่าน ท่านจะนำมีดแช่น้ำมนต์ น้ำว่าน อักขระที่เขียน จะขึ้นมาเป็นตัวนูน บนเหล็กอีกทีแปลกมาก วิชานี้ถ้าสิ้นท่านอาจเสื่อมสูญได้ ท่านลงให้ทั้งหมด ยกเว้นปืน ยังแข็งแรงดี ผมเคยพบ ๑ – ๒ ครั้ง เคยเห็นพรมน้ำมนต์ไกลมาก ไกลถึงพระประธานเลย

ขอโทษทีที่ตอบช้า

เฒ่า สุพรรณ


เหรียญออกวัดเขาใหญ่


ต่อไปจะกล่าวถึงเหรียญของหลวงพ่อที่ออกที่วัดเขาใหญ่สัก ๑ ครั้ง เหรียญรุ่นนี้เป็นเหรียญรูปไข่ครึ่งองค์ เนื้อทองแดงรมดำ บางเหรียญออกน้ำตาลไหม้ เหรียญรุ่นนี้ชื่อว่ารุ่นจตุรพิธพรชัยสร้างโดยพัศดีเรียน  นุ่มดี คือพัศดีเรียน นุ่มดี นี้เป็นคนท่าเตียนอยู่ใกล้ ๆ กับวัดเขาใหญ่ ได้ทำบุญที่วัดเขาใหญ่ เคยเป็นพัศดีเรือนจำจังหวัดนครศรีอยุธยา เคยเป็นพัศดีจังหวัดนครสวรรค์ ท่านได้เล็งเห็นว่าวัดเขาใหญ่ อ.เดิมบางนางบวช นี้ ตั้งอยู่บนเชิงเขา ขาดแคลนน้ำดื่ม จึงได้หาเงินมาบูรณะวัด และสร้างที่เก็บน้ำฝน ท่านได้ขออนุญาตหลวงพ่อต่าง ๆ ถึง ๙ องค์ ขออนุญาตสร้างเหรียญเป็นเหรียญรูปไข่ครึ่งองค์ทั้งหมด ยันต์ด้านหลังเหรียญเป็นยันต์ประจำตัวของแต่ละหลวงพ่อ มีดังนี้ ๑.หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุญนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ๒.หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง จ.อยุธยา ๓.หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ จ.อยุธยา ๔.หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์ ลพบุรี ๕.หลวงพ่อออด วัดบ้านช้าง จ.อยุธยา ๖.หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี ๗.หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรี ๘.หลวงพ่อโกย วัดพนัญเชิง จ.อยุธยา ๙.หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท เหรียญทั้ง ๙ หลวงพ่อนี้ ได้แกะเป็นตัวเลขไทยเลข ๙ ตรงสังฆาฏิ นอกจากเหรียญ ๙ อาจารย์แล้ว ยังมีสมเด็จหลังยันต์ สมเด็จ ๓ สมัย สมเด็จหลังสมเด็จโต ใช้ผงของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ปิดจาใหญ่ พระปางประทานพรทรงสี่เหลี่ยม ฯลฯ

เหรียญ ๙ อาจารย์นี้ เมื่อปั๊มเสร็จก่อนงาน ได้นำไปให้หลวงพ่อ หลวงปู่เจ้าของเหรียญปลุกเสกเป็นเวลาเดือนเศษ ส่วนพระผงได้นำไปให้หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ปลุกเสก หลังจากนั้นได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษก ที่ วัดหอรัตนชัย หรือวัดจีน จ.อยุธยา และจำหน่ายที่นั่น ที่เหลือได้นำมาจำหน่ายที่ วัดเขาใหญ่ หลวงพ่อทั้ง ๙ องค์ ได้รับนิมนต์เข้าพิธีพุทธาภิเษกทุกองค์ แต่หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุญนาค ไม่ได้มาอาจจะเป็นเพราะอายุมาก คือร้อยกว่าปี ในงานยังได้นิมนต์หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลีปลุกเสกด้วย

มีอภินิหารสำหรับเหรียญหลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุญนาค คือ พัศดีเรียนได้นำเหรียญไปให้หลวงปู่สีปลุกเสก วันหนึ่งเกิดไฟไหม้กุฏิหลวงปู่สี ขณะที่หลวงปู่สีไม่อยู่ ไฟไหม้ของในกุฏิหมดของบางอย่างละลาย แต่เหรียญหลวงปู่สียังอยู่ในสภาพดี เหรียญทั้ง ๙ อาจารย์นี้เหรียญหลวงปู่สีแกะแม่พิมพ์ได้สวยที่สุด แต่เหรียญที่อยู่สภาพดีเยี่ยมกลับเป็นเหรียญหลวงพ่อกวย เหรียญบางเหรียญสวยมากอยู่ในสภาพเยี่ยม เหมือนมีเทวดารักษา แต่จากการสังเกต เข้าใจว่า ในพิธีนั้นเมื่อเสร็จพิธี เขานิมนต์หลวงพ่อกวย เป็นพระประพรมน้ำมนต์ หลวงพ่อพรมน้ำมนต์เหรียญทั้ง ๘ อาจารย์ แต่เหรียญของหลวงพ่อเอง หลวงพ่อไม่ได้พรมน้ำมนต์ เมื่อกาลเวลาผ่านมาเหรียญที่โดนน้ำมนต์เกิดคราบเปื้อน รมดำหลุด เหรียญที่โดนน้ำมนต์จึงไม่สวย เมื่อปลุกเสกเสร็จท่านพัศดีเรียนได้นำเหรียญส่วนหนึ่ง ประมาณ ๕๐๐ เหรียญ ถวายหลวงพ่อแต่ละองค์กลับมา (เหรียญสร้างหลวงพ่อละ ๕,๕๙๙ เหรียญ) เหรียญที่เหลือแจก หลวงพ่อได้ฝังไว้ที่กุฏิ ตึกชุตินฺธโร

ก่อนที่จะทำพิธีปลุกเสกใหญ่ ที่ วัดหอรัตนชัย พัศดีเรียนได้นำเหรียญไปให้หลวงพ่อแต่ละองค์ปลุกเสด ประมาณ ๑ เดือนเศษ หลังจากนั้นได้รวบรวมเหรียญ นำไปให้หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ปลุกเสก หลวงปู่ดู่องค์นี้ เป็นพระชอบกลเขาว่าล่องหนหายตัวได้ พูดจาคล้าย ๆ จะอวดตัว ไม่เป็นเจ้าอาวาส สูงใหญ่ พูดมึงกู ท่านพัศดีเรียนเคารพท่านมาก จะขอสร้างเหรียญท่านไม่อนุญาต แต่ทำผงให้ ปลุกเสกให้ มูลเหตุที่ท่านเคารพหลวงปู่ดู่คือ วันหนึ่งพัศดีเรียนได้นำเหรียญอาจารย์สนิทอดีตเจ้าอาวาส วัดเขาใหญ่ ซึ่งเหรียญรุ่นนั้น หลวงพ่อกวย ได้มาร่วมปลุกเสก (รุ่น ๑) ท่านได้นำเหรียญอาจารย์สนิทไปให้หลวงปู่ดู่จับพลังท่านหลวงปู่ดู่ได้หลับตาจับพลัง พอลืมตาท่านพูดว่า เหรียญนี้ดี องค์หลวงพ่อที่ปลุกเสกดี เก่งมาก แต่เจ้าของเหรียญอายุน้อย พัศดีเรียนก็ไม่เชื่อเท่าไร แต่อาจารย์สนิทอายุน้อยจริง ๆ มรณภาพอายุประมาณ ๕๐ ปี หรือ ๖๐ นี่แหละ วันหนึ่งพัศดีเรียนได้ทำสมเด็จขึ้นมา ๒ องค์เพื่อนำมาใช้เอง โดยใส่กระดูกบิดาท่านลงไปด้วย เมื่อแห้งดี ได้นำไปใส่ตลับ ตั้งใจจะนำไปให้หลวงปู่ปลุกเสก แต่อยากรู้ว่าหลวงปู่ดู่จะจับพลังได้จริงหรือไม่ จึงนำพระ ๒ องค์ส่งให้หลวงปู่ดู่จับพลัง หลวงปู่ดู่ได้หลับตาท่านพูดว่า พระ ๒ องค์นี้จับพลังไม่ติด(ไม่มีพลัง) แต่มีคุณผีปนอยู่ พอท่านพูดอย่างนั้น พัสดีเรียนถึงกับนิ่งอึ้ง ได้กราบขอขมาและขอให้หลวงปู่ดู่ปลุกเสกสมเด็จ ๒ องค์ให้ เหรียญเขาใหญ่นี้ ได้ปลุกเสก ๓ ครั้ง ครั้งแรกเจ้าของเหรียญปลุกเสก ครั้งที่ ๒ หลวงปู่ดู่ปลุกเสก ครั้งที่ ๓ ปลุกเสกพิธีหอรัตนะชัย

อภินิหารของเหรียญรุ่นนี้ เคยได้ยินว่า ตัดรุ้งขาด รักษาโรคได้ ที่ดังที่สุดคือ ผมเคยนำเหรียญรุ่นนี้แจกในงานผ้าป่าให้ไปบ้าง เหรียญรุ่นนี้คุณสมพงษ์ พรหมถา อยู่ถนนท่าแพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ได้ไป ๒ – ๓ เหรียญ ได้นำซองผ้าป่าพร้อมเหรียญ นำไปแจกเพื่อนรุ่นพี่ ๒ คน เป็นคนศาสนาคริสต์แต่ไม่ค่อยเคร่งศาสนาเท่าไร ๒ คนนี้ คนหนึ่งเป็นชายได้นำไปทดลองยิงปรากฏว่ายิงไม่ออก ดังมากในเชียงใหม่ อีกคนหนึ่งเป็นหญิง ภายหลังได้พกพาเหรียญนี้ติดตัว ได้ศรัทธาในหลวงพ่อได้บนกับหลวงพ่อภายหลังได้บวชชีเป็นเรื่องแปลกมาก ที่คนนอกหันมาศรัทธาศาสนาของเราเพียงเพราะศรัทธาหลวงพ่อ ซึ่งเป็นเพียงเหรียญ เหรียญรุ่นนี้ที่วัดเขาใหญ่ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ยังมีอยู่ อาจารย์ม้วน เป็นเจ้าอาวาส ไม่รับติดต่อทางไปรษณีย์

มีเรื่องที่สมควรบันทึกเอาไว้ คือ หลวงปู่สี อายุมากแล้วมาไม่ได้ ท่านได้สั่งพัศดีเรียน ให้จัดที่นั่ง ที่วัดหอรัตนชัย เผื่อท่าน ๑ ที่ ท่านจะถอดจิตไปช่วยปลุกเสก เหรียญรุ่นนี้ราคาไม่แพง ผมเช่าเก็บไว้หลายครั้ง จนอาจารย์ม้วนไม่อยากให้ผมขึ้นเขาแล้ว
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ตุลาคม 03, 2013, 01:35:04 pm
เหรียญนี้ ปัจจุบัน อยู่ในความครอบครองของผม ได้มาคราวเดียวกันกับ หลังรูปเก่งดี นางพญาซุ้มคู่ และสิงห์งาแกะ ครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ตุลาคม 21, 2013, 09:57:11 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๔๖
วันที่ ๒๕ พ.ค. – ๕ มิ.ย.๒๕๓๖
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


เชียงใหม่
๒๖ มกราคม ๒๕๓๕

เรียน คุณครู ที่นับถือ

คุณครูครับ สำหรับจดหมายฉบับนี้ ผมจะเล่าถึงประสบการณ์และความศักดิ์สิทธิ์ของเหรียญหลวงพ่อกวย ที่ออกวัดเขาใหญ่นะครับ

เมื่อประมาณกลางปีที่แล้ว คุณครูได้ส่งเหรียญของหลวงพ่อกวยที่ออกวัดเขาใหญ่ จำนวน ๓ เหรียญไปให้ผม และในวันที่ผมได้รับพระจากคุณครู นั้น ก็พอดีกับเพื่อนรุ่นพี่ของผมคนหนึ่งและเพื่อนของเขา (ซึ่งเขานับถือศาสนาคริสต์)ได้ไปเยี่ยมผมที่ที่ทำงาน และได้ถามผมเกี่ยวกับเหรียญหลวงพ่อกวย ผมก็เลยให้เขาไปคนละเหรียญ และผมก็บอกเขาทั้งสองคนว่าถึงแม้เราจะนับถือกันคนละศาสนา แต่ถ้าเรามีความศรัทธาบ้าง แม้เพียงเล็กน้อยท่านก็ต้องคุ้มครอง

สำหรับเพื่อนของเพื่อน (ซึ่งเป็นผู้ชาย) รุ่นพี่ของผมซึ่งผมก็ไม่ได้สนิทสนมมากนัก เค้าได้นำเหรียญของหลวงพ่อกวยไปทดลองยิงที่ค่ายตำรวจแห่งหนึ่งในเมืองเชียงใหม่ ผลปรากฏว่ายิงไปทั้งหมด ๓ กระบอก ๙ นัด แต่ปรากฏว่าไม่ออกทั้งสามกระบอก และในวันที่ทดลองยิงนั้นเพื่อนของเพื่อนรุ่นพี่คนนั้นเค้าก็ให้คนที่ทดลองยิงบูชาไป ๑๐,๐๐๐ บาท แล้วเค้าก็กลับไปขอบูชาพระหลวงพ่อกับผม แต่ผมก็ไม่ให้เค้าไปเพราะผมบอกเค้าว่า พระของหลวงพ่อมีไว้เพื่อบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองไม่ใช่มีไว้เพื่อทดลองยิง และหลังจากวันนั้นจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ผมก็ไม่พูดคุยหรือคบหาสมาคมกับเขาอีกต่อไป

และสำหรับเพื่อนที่เป็นผู้หญิงรุ่นพี่ของผมนั้น หลังจากเค้าได้ไปก็ทำให้กิจการงานของเขาดีขึ้นเป็นลำดับ และเดี๋ยวนี้คุณครูรู้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น เค้าบวชชีไปแล้ว และเขาบอกผมว่า บวชสักระยะหนึ่งเพราะได้บนหลวงพ่อเอาไว้ แต่เค้าก็ไม่ได้บอกว่าบนด้วยเรื่องอะไร  คิดไปแล้วก็แปลกดีนะครับที่หลวงพ่อสามารทำให้คนศาสนาอื่นมาบวชในพุทธศาสนาได้


อาจารย์ของหลวงพ่ออีกองค์หนึ่ง
หลวงพ่อแบน วัดเดิมบาง



วัดเดิมบางตั้งอยู่ที่อำเภอเดิมบางนางบวช วัดอยู่ใกล้ ๆ วัดเขาใหญ่ มีแม่น้ำท่าจีนไหลผ่านหน้าวัด ในอดีตเคยมีเจ้าอาวาสสืบต่อกันมาหลายองค์ มีอยู่ ๒ องค์ที่เรืองอาคม คือเชี่ยวชาญในวิปัสสนากรรมฐานองค์แรกคือหลวงพ่อแจ่ม ที่สองคือหลวงพ่อแบน หลวงพ่อแจ่มเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อแบน เขาว่าเก่งมาก แต่นานมากแล้ว ทั้งประวัติและอภินิหารจึงลางเลือน ส่วนหลวงพ่อแบนนั้นคนเก่า ๆ ยังจำได้ ท่านเป็นพระร่วมสมัยกับหลวงพ่อโต วัดวิหารทอง คือมรณภาพประมาณ พ.ศ.๒๔๙๐ กว่า ๆ คือ สมัยเดียวกับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ หลวงพ่อแบนนี้เป็นพระสมถะมักน้อย สันโดษ ผิวขาวเหลือง รูปร่างบาง ค่อนข้างเล็ก เป็นพระที่มีบุญบารมีสูง และเป็นพระปฏิบัติที่นิสัยดีมาก ดีขนาดหลวงพ่อโต วัดวิหารทอง ซึ่งไม่เคยลงให้ใคร ไม่นิมนต์ใคร แต่ทุกครั้งที่มีงานฝังลูกนิมิต หลวงพ่อโต วัดวิหารทอง ยังต้องนิมนต์หลวงพ่อแบนไปทุกครั้ง คนเก่าเล่าว่า เวลาหลวงพ่อแบนกับหลวงพ่อโต ไปสวดชยันโตลูกนิมิตทุกครั้ง ถ้าสวดจบ ลูกนิมิตจะกลิ้งลงหลุมเอง เขาเล่ากันหลายสิบคน

วัตถุมงคลของหลวงพ่อแบน ก็มีตะกรุด ผ้าขอด ๕ ขอด ๗ ขอด ขอดด้วยผ้าสีแดง เชือกคาดเอวหัวเป็นลูกตะกร้อ ๙ สมัยสงครามหลวงพ่อทำผ้าขอดสีแดงออกแจกทหารไปรบเกาหลี ดังมาก การขอดผ้าของหลวงพ่อแบนจะขอดเป็นเงื่อนพิรอด ใช้คาดเอวก็มี ใช้ผูกแขนก็มี ผ้าขอดของหลวงพ่อแบนนี้อัศจรรย์มาก ถ้าคน ๆ นั้นดวงถึงฆาตจริง ๆ คือถึงคราวตายจริง ๆ ถ้าต้องไปรบหรือไปหาท่าน ท่านจะขอดผ้าให้ แล้วชายผ้า ๒ ด้านท่านจะนำมาผูกรวมกันขอดพิรอดเรียกว่าขอดไป การที่เอาชายผ้ามาผูกรวมกันเรียกว่าขอดกลับ รับรองว่าคน ๆ นั้นได้กลับบ้านแน่นอน ถ้าใช้ผ้าท่านอยู่ก็รอด ถ้าเลิกใช้ก็ตาย ซึ่งวิชาขอดผ้าขอดไปขอดกลับนี้ และวิชาทำเชือกคาดเอวนี้ เมื่อสิ้นหลวงพ่อคล้ายว่าวิชานี้ได้เสื่อมสูญไปแต่ยังไม่เสื่อมสูญมีผู้สืบต่อ

ครั้งหนึ่งหลวงพ่อแบนได้เขียนผ้ายันต์ขึ้น เพื่อจะใช้พิมพ์พระเพราะตัวยันต์อักขระมีมากเขียนไม่ไหว ได้ให้อาจารย์หล่อ ทองคำ นำไปปั๊มลงผ้าขาวแต่โรงพิมพ์สมัยก่อนไม่ค่อยมี อาจารย์หล่อได้เดินทางไปพิมพ์หรือปั๊มที่กรุงเทพฯ ใกล้ ๆ กับโรงไฟฟ้าวัดเลียบ เพื่อพิมพ์เสร็จเจ้าของเกิดชอบใจในผ้ายันต์ผืนนั้น เพราะตั้งแต่ผ้ายันต์นั้นเข้ามาในร้านทางร้านมีแต่งาน มีคนมาว่าจ้างมากมาย ผิดกับแต่ก่อน

เมื่ออาจารย์หล่อไปรับผ้ายันต์ เจ้าของร้านไม่คิดสตางค์ แต่ได้ขอผ้ายันต์นั้นไว้ ผ้านั้นเป็นรูปหงษ์เดี่ยว คือหงษ์ตัวเดียว เมื่อโรงไฟฟ้าวัดเลียบเกิดไฟไหม้ โรงพิมพ์นี้ซึ่งอยู่ในละแวกเดียวไม่ไหม้ ซึ่งดูจากสภาพน่าจะไหม้แต่ไม่ไหม้ ภายหลังผ้ายันต์หงส์นี้หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ ได้มาขอเรียน และทำได้ขลังกันไฟไหม้ได้เช่นกัน ค้าขายก็ดี โบกปัดลมปัดฝนก็ดี

หลวงพ่อกวยได้เดินทางมาเรียนวิชาขอดผ้า ขอดไปขอดกลับ จากหลวงพ่อแบน และเรียนวิชาทำเชือกคาดเอวเอาไว้ แต่เชือกคาดเอวของหลวงพ่อกวยนั้น หลวงพ่อได้ใส่ตะกรุดโทนไว้ตรงกลาง ๑ ดอก แถมตรงปมหัวเชือกหลวงพ่อยังได้ใส่ผ้ายันต์แดง ๘ ทิศไว้อีก ๑ ผืน นับว่าเป็นการประยุกต์ทำที่ดีมาก ส่วนผ้าขอดไปได้กลับได้ของหลวงพ่อแบนนั้นจะขอดแบบพิรอด ปมจะโต ๕ ปมก็ ๕ ขอด แต่หลวงพ่อกวยได้ประยุกต์ขอดโดยขอดเป็นเงื่อนตายสอดเข้า ๒ ครั้ง ปมจะเล็กกะทัดรัดและกลม สวยงามมาก ขอดชนิด ๑ ขอดก็มี ๗ ขอดก็มี ชนิด ๗ ขอดก็ขอดได้กะทัดรัดปมขอดจะติดกัน ส่วนหัวท้ายนำมาผูกติดกัน เรียกว่าขอดกลับ ผ้าขอดไปได้กลับได้ของหลวงพ่อนี้ปัจจุบันหายาก และคนไม่ยอมปล่อย หวงมาก

เล่าเรื่องหลวงพ่อแบนต่ออีกหน่อย หลวงพ่อเคยมาสร้างพระนอนบนเขาใหญ่ เขาใหญ่นี้อยู่อำเภอเดิมบาง ไม่ใช่เขาใหญ่ปากช่องที่โดนบุกรุก ปัจจุบันอาจารย์ม้วน เป็นเจ้าอาวาส อาจารย์ม้วนนี้มีเหรียญพ่อกวยและเหรียญ ๙ อาจารย์ที่ปลุกเสกที่วัดจีน หรือวัดหอรัตนชัย อยุธยานั่นแหละ ตอนที่สมโภชพระนอน ในตอนกลางวัน มีคนบ้านป่าแต่งตัวแปลก ๆ มาปิดทองพระ มากราบหลวงพ่อแบนหลายสิบคน มองดูแล้วไม่คล้ายคนบ้านเรา แต่งตัวด้วยผ้าทอแบบคนอีสาน แต่ในมือถือกิ่งไม้หรือใบไม้ บางคนก็เอาใบไม้ทัดหู ผู้หญิงบางคนถือดอกไม้มาด้วยแต่พูดจากับหลวงพ่อแบนคล้ายคนภาคกลาง ศิษย์วัดคนหนึ่งมีความสงสัย เพราะหลวงพ่อแบนเคยไปบิณฑบาตได้อาหารแปลก ๆ มาเสมอเขาว่าเป็นคนลับแล เด็กวัดคนนี้อยากรู้ว่าคนลับแลนั้นบ้านอยู่ไหน สงสัยว่าคนเหล่านี้อาจเป็นคนลับแลก็ได้ เมื่อคนเหล่านั้นเดินทางกลับเขาจึงสะกดรอยตามไปห่าง ๆ พอสมควร ทางที่ไปนั้นก็ราบเรียบสวยงามแต่วกวน เด็กคนนี้เกิดกลัวหลงทางขึ้นมาได้หันไปดูข้างหลังให้แน่ใจ พอหันมาอีกทีไม่เจอคนลับแลแล้ว ทางก็หายไป ปรากฏว่าเขาอยู่บนยอดเขาใหญ่นั่นเอง เรื่องนี้แสดงถึงความแก่กล้าและความเป็นผู้ปฏิบัติดีของหลวงพ่อแบน แม้อาหารก็สามารถไปบิณฑบาตกับคนลับแลได้ แม้สร้างพระนอน คนลับแลยังมาในงานสมโภชยังมาทำบุญ ก็เข้าใจว่าบนยอดเขาใหญ่คงมีเมืองลับแล แต่ผมไม่ยืนยัน เพราะสมัยเด็ก ๆ ก็เคยมาหาหน่อไม้บนยอดเขา ไม่เคยเจอสักที ส่วนคนเล่าให้ฟังปัจจุบันเป็นอาจารย์ใหญ่ ขอร้องไม่ให้ออกชื่อ และนามสกุล

เล่าเรื่องผ้าหงษ์หลวงพ่อแบนต่ออีกสักหน่อย ครูป๊อด บ้านอยู่ตลาดท่าช้าง เคยเป็นครูสอนหนังสือนักเรียน ร.ร.วัดท่าทอง ครูป๊อดคนนี้มีลูกสาวมาก เป็นสิบ ๆ คน ลูกเขยมีเป็นร้อย ๆ คน ตอนเป็นครูมีผ้ายันต์หงษ์หลวงพ่อแบนอยู่ ๑ ผืน บางครั้งพกมาโรงเรียน เกิดกลัวหายเลยเอาไปซ่อนไว้ใต้ฐานพระพุทธบนศาลา โรงเรียนก็คือศาลาวัด อยู่ต่อมาก็ลืมพอนึกได้ไปดูปลวกขึ้นใต้ฐานพระเต็มไปหมด เมื่อแงะดูปลวกไม่ได้กินกินผ้ายันต์เลย แปลกมาก อีกเรื่องหนึ่งอาจารย์สำราญ บุญรวม เคยเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนวัดท่าทอง มีผ้ายันต์หงษ์หนึ่งผืน วันหนึ่งไปบ้านสาว ๆ คือเคยเป็นพ่อหม้ายบังเอิญผีเข้า แกเลยเอาผ้ายันต์มาทำน้ำมนต์เอาผ้าคลุมขันน้ำมนต์ระลึกถึงหลวงพ่อแบน แล้วเอาน้ำมนต์รดคนถูกผีเข้าผีร้องสุดสียง ออกเลย

สมัยสงครามหลวงพ่อได้ขอดผ้าแจก ทำตะกรุดแจก บางคนท่านรักจริง ๆ ท่านทำผ้ายันต์ให้เป็นผ้ายันต์พระพุทธเจ้าเข้านิโรธสมาบัติ กว้าง ๒ ศอก ยาว ๔ ศอก คือยาว ๑ วาได้ นับว่าอุตสาหะอย่างสูง ผ้านี้คนหนองอีดุกได้ไป ๑ ผืน มีอานุภาพสูงมาก ขนาดมดและแมลงไม่มารบกวน ถ้าอาราธนาใช้หนุนศีรษะ ขนาดเข้าไปนอนในถ้ำเจ้าที่เจ้าถ้ำยังไม่มารบกวน คือแกเคยไปตัดเหล็กไหล ตัดไม่ได้ แต่เจ้าถ้ำไม่กล้าทำอะไรแก กลางคืนมาเดินรอบตัว แต่ทำอะไรไม่ได้เลย นับว่าหลวงพ่อแบนนี้ทำของได้เก่งมาก แทนตัวได้ทีเดียว

อีกเรื่องหนึ่งเป็นผีนางไม้ต้นมะขาม คือผีนางไม้ตนนี้ชอบเข้าและชอบสิงสู่คน ชอบทักคน คือทักทายเขาว่าคนทักดีผีทักร้าย ทำให้เจ็บป่วยได้ นางไม้นี้มีบุญ และมีอาคม มีจิตกล้าแข็งพอสมควร วันหนึ่งนางไม้นี้ไปเข้าคน คนได้นิมนต์ให้หลวงพ่อแบนไปขับออก แต่พอหลวงพ่อไม่อยู่ อยู่แต่พระแดง พระแดงนี้มีอาคมเช่นกัน ชอบเล่นวิชา เขาเลยนิมนต์พระแดงไป พระแดงได้ขับออก นางไม้ได้หนีมาอยู่ที่ต้นมะขามตามเดิม พระแดงตามมาวัด ได้เอาปูนเสกคาดต้นมะขามไม่ให้นางไม้ออกมา ออกก็ออกไม่ได้ ลงก็ลงไม่ได้ แล้วพระแดงก็จำวัตร(นอน) ขณะกำลังจำวัตรนางไม้ได้ปีนขึ้นไปบนยอดต้นมะขาม และโดดลงบนหลังคากุฏิไปเข้าพระแดง ๆ ดิ้นพล่าน ทุรนทุรายเกือบตาย พอดีหลวงพ่อแบนกลับมาจากกิจนิมนต์ได้เข้ามาพูดคุยด้วยดี ด้วยเมตตาจิต นางไม้ตนนี้ได้หายสาบสูญจากวัดเดิมบางไป ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน และไม่รู้ว่าหลวงพ่อทำอย่างไรด้วย ที่เล่าให้ฟังซะยาวนี้ เพื่อยืนยันความศักดิ์สิทธิ์ของพระระดับครูอาจารย์ของหลวงพ่อกวย พอดีผมได้มีโอกาสเรียนตำรายันต์และคาถาของหลวงพ่อกวย คาถาบทนี้หลวงพ่อเขียนไว้ว่า ถ้าใครจะทำหรือเรียนคาถานี้ให้ระลึกถึงหลวงพ่อแบน วัดเดิมบาง

ผมให้ผู้มีบุญไว้ คาถานี้ชื่อองคุลีมารปริตรคือในครั้งพุทธกาลขณะที่พระอหิงสกะ หรือองคุลีมาร ได้ออกบิณฑบาตได้พบผู้หญิงผู้หนึ่งกำลังปวดท้องจะคลอดลูก พระอหิงสกะได้ตรัสพระคาถานี้ ทำให้ผู้หญิงผู้นั้นคลอดลูกออกมาโดยง่าย พระคาถานี้โบราณจารย์นิยมลงลูกมะตูม แล้วเสกด้วยคาถานี้ หรือเสกเฉย ๆ ก็ได้ ทำน้ำมนต์คลอดลูกก็ได้ พระคาถาว่าดังนี้
ยะโตหัง ภะคินี อะริยายะชาติยา ชาโต
นาภิ ชานามิ สัญจิต จะปาปานัง ชีวิตา โวโรเปตา
เตนะ สัตเจนะ โสตถี เตโหตุ โสตถิคัพ ภัสสะ
พระคาถานี้เป็นของเก่า ของโบราณกาล เป็นของดี แม้ท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร แห่งจังหวัดสกลนคร ก็ใช้คาถานี้เช่นกัน
หมายเหตุ คาถานี้ใช้เสกดอกบัว แล้วเอาไปต้มกินก็ได้ เสกกล้วยก็ได้ จะทำให้คลอดลูกได้โดยง่าย


จดหมายคุณพงษ์ศักดิ์ จุลวรรณา
๑๓๙/๔ ตลาดสด ถ.มนตรี ๑ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
๑๓ มีนาคม ๒๕๓๕

เรียน พี่เฒ่า ที่เคารพยิ่ง

ผมส่งเงินมาร่วมทำบุญด้วย ๓๐๐ บาท ในงานผ้าป่าปีนี้ ผมมีเรื่องอภินิหารมาเล่าให้ฟัง คือ พี่เจียมคนในตลาดสด เดิมทีสามีแกเป็นคนชอบสุรา และตอนหลังได้ทิ้งแกไป โดยมอบสมบัติให้คือ ลูก ๒ คน แกก็ขายกล้วยไข่และผักสด พออยู่กินไปวัน ๆ อยู่ต่อมาแกมาขอคำแนะนำปรึกษาจากผม คือแกพอมีฝีมือในการขนมเปียขายแต่ไม่มั่นใจว่าจะขายได้ ผมได้แนะนำว่าถ้าทำได้ก็ต้องขายได้ เกิดเป็นคนต้องสู้ชีวิต กลัวอะไร ผมเลยนำพระพิมพ์สรรค์กับจีวรของหลวงพ่อมอบให้ไป ให้นำไปเลี่ยมแขวนคอ(เจาะรู) โดยบอกไปว่าพระนี้เอาไปเลี่ยมติดตัวจะค้าขายดี (คือผมเคยอ่านเจอและจำได้ คนโคราชเอาไปใช้ค้าขายก็ขายดี)

พี่เจียมกลับไปพร้อมความมั่นใจ ได้ทำบุญตักบาตรอุทิศให้หลวงพ่อเสมอ การค้าดีขึ้นเห็นทันตา ประมาณปีเศษพี่เจียมต้องจ้างคนมาทำเพิ่ม คือช่วยทำถึง ๒ คน จ้างคนมาช่วยขายขนม ๓ คน ส่วนผมกินฟรี ถ้าพี่เฒ่ามา ผมรับรองเรื่องขนมเปียกินฟรี แถมพกพากลับบ้านอีกด้วย ผมรับรอง เรื่องพระของหลวงพ่อนี้ เก่งมาก ๆ ครับ

เคารพนับถือ

พงษ์ศักดิ์ จุลวรรณา


ตอบตอบ คุณพงษ์ศักดิ์ ผมได้อ่านประสบการณ์เรื่องพระพิมพ์สรรค์ มีคนเอาไปใช้แล้วค้าขายดี ๒ คนแล้ว ผมยังงงอยู่เลย เพราะตามความเข้าใจของผม พระดินของหลวงพ่อน่าจะดีทางแคล้วคลาด กันภูติพราย ไม่รู้เลยว่าเอาไปค้าขายก็ดี ขอบคุณมากครับที่เล่าให้ฟัง ผมจำคุณได้คุณคงสบายดี

ฒ.สุพรรณ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ตุลาคม 21, 2013, 02:16:13 pm
หลังรูปเก่งดี เลี่ยมเสร็จ ๙ ก.ย.๕๖ ค่าเลี่ยม ๑๒,๐๐๐.-บาท

๑ ต.ค.๕๖ ถูกใต้ดิน ๘๒ ได้กำไร ๑๑,๐๐๐.-บาท คิดว่าหลวงพ่อท่านเมตตาให้ค่าเลี่ยมคืนให้ผม

ถัดมา อีก ๓ วันคือ ๔ ต.ค.๕๖ เหตุเกิด ณ ที่ทำงาน ผมเข้าเวร มีลูกเวรอีก ๒ คน วันนั้น สาย ๆ คนทำอาหารเขาถูกลงโทษ กักบริเวณ ๕ วัน เกิดอาการคุ้มคลั่ง คือ ดื่มเหล้าย้อมใจ พร้อมกับถือมีดดาบขนาดยาวร่วม ๒ ศอก เดินแกว่งไปแกว่งมาเพื่อข่มขู่คนอื่น โดยเฉพาะคนที่ไปสั่งกักบริเวณเขา ขณะนั้นเป็นเวลาที่เขาจะต้องมาลงชื่อเพื่อยืนยันตัวตนตามระยะเวลาที่กำหนด มาถึงโตีะที่ลูกเวรและผมนั่ง ลูกเวรสองคนถึงกับตกใจโดดหนีไปดื้อ ๆ ทิ้งผมไว้เพียงคนเดียว เขาก็ปรี่มาที่โต๊ะผม แต่แล้วก็วางมีดดาบไว้ที่โต๊ะแต่โดยดี พร้อมพูดว่า ไม่ต้องกลัวเขาหรอก ไม่ทำอะไรหรอก จะมาลงชื่อเท่านั้น อืม...เหตุการณ์นี้ไม่ชัดเจนสักเท่าไรนัก จู่ ๆ เขาก็มาอ่อนน้อมที่ตรงหน้าผมเสียอย่างนั้นแหละ

วันรุ่งขึ้น เป็นวันเสาร์ ตกบ่ายแก่ ๆ คือเกือบเย็นแล้ว ขับรถมอเตอร์ไซด์พร้อมกับแฟนซ้อนท้ายไปด้วยคือจะไปหาซื้อของเข้าบ้าน ระหว่างทางปรากฎว่า แตน ตัวใหญ่บินมาจากไหนก็ไม่รู้มาเกาะที่ไหล่ผมพร้อมกับกัดติดเสื้อพยายามโก่งตัวพยายามจะต่อย ๆ ผม แฟนผมเขาเห็นจะจะ เอาเป็นว่า แตนมันต่อยผมไม่เข้า ว่างั้นเถอะ

สามเรื่องแบบเบา ๆ ครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ตุลาคม 21, 2013, 02:29:34 pm
มันเป็นเรื่องแปลกของ....พระเครื่อง
บางรุ่นเด่นในด้านพุทธคุณอย่างเดียว.....ไม่ค่อยไปในทางพุทธพาณิชย์
บางรุ่นเด่นในเรื่องพุทธพาณิชย์........ด้านพุทธคุณกลับไม่ค่อยมีประสบการณ์.
มันเป็นเรื่องดีซะอีกคนที่นิยมด้านพุทธคุณอย่างเดียว...ก็มีเยอะเค้าจะได้พระดีในราคาไม่แพงมาใช้...
มันเป็นสัจธรรม...เราตอบไม่ได้ว่าทำไม บางคนชอบสีน้ำเงิน....บางกลุ่มชอบสีฟ้า...
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ตุลาคม 24, 2013, 04:01:33 pm
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๔๗
วันที่ ๕ มิ.ย. – ๑๕ มิ.ย.๒๕๓๖
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


รูปถ่ายหลังจีวร

หลวงพ่อเคยสร้างรูปถ่ายชนิดเล็กสำหรับคล้องคอไว้ ๓-๔ ครั้ง ครั้งแรกเป็นรูปถ่ายสมัยท่านยังหนุ่มแข็งแรงเป็นรูปอัดกระจก ด้านหลังมีจารคาถาพระเจ้า ๕ พระองค์ ด้วยปากกาบิ๊ค ด้านหลังรูปคล้ายม่าน หรือรูปภาพฝาผนังอุโบสถ ผมได้เทียบอายุดูตอนนั้น ท่านคงจะอายุประมาณ ๓๐ ปีเศษ แต่คุณหมอเฉลียว เดชมา ได้บอกว่าเป็นรูปพรรษาต้น ผมตั้งชื่อรูปรุ่นนี้ว่า รุ่นก่อนรุ่นแรก หายากพบน้อย คงชำรุดไปเสียส่วนมาก

อยู่ต่อมาใน พ.ศ.๒๕๐๐ หลวงพ่อได้สร้างรูปอัดกระจกหลังสิงห์ กับชนิดเลี่ยมพลาสติกจากวัดมาเลย รูปรุ่นนี้ได้ใช้ดวงไฟส่องตรงศีรษะด้านหลังท่าน มองดูเหมือนรูปปาฏิหาริย์รูปรุ่นนี้มีทั้งขนาดโปสการ์ดและขนาดคล้องคอ ช่างได้ขยับกล้องถ่าย ๒ ครั้ง ท่านได้ม้วนชายจีวร เป็นมหาอุด ๑ ครั้ง และคลายผ้าจีวร เป็นแคล้วคลาด ๑ ครั้ง รูปรุ่นนี้ด้านหลังจะตีตราเป็นรูปสิงห์ เรียกว่ารูปถ่ายหลังสิงห์ หรือรูปถ่ายรุ่นแรก รูปรุ่นนี้ภายหลังได้นำไปทำเป็นต้นแบบเหรียญรุ่น ๑ ในเวลาต่อมาประมาณ พ.ศ.๒๕๑๒ หรือ ๒๕๑๕ หลวงพ่อได้ทำรูปพิมพ์สีรูปเล็ก ๆ ด้านหลังมีตะกรุด ๓ ดอก สั่งทำมาเสร็จ ทั้งตะกรุด รูปและเลี่ยม รูปรุ่นนี้มีทั้งชนิดเต็มองค์และครึ่งองค์ใบหน้าคล้าย ๆ รูปรุ่นที่สุนทรสร้างถวาย คือไม่ใช่รูปชราภาพ และไม่ใช่รูปหน้าชราพรรษาสุดท้าย หายากเหมือนกัน นาน ๆ จะเจอสักครั้ง ราคาไม่แพง

ในปี พ.ศ.๒๕๒๑ ในงานฝังลูกนิมิต หลวงพ่อได้ถ่ายรูปเพื่อจำหน่ายในงานมีทั้งชนิดโปสการ์ดและรูปเล็กคล้องคอทำไว้มาก สั่งทำ ๒ ครั้ง หรือสั่ง ๑ ครั้งแต่ช่างได้นำกระดาษ ๒ แบบมาทำให้ แบบแรกเป็นกระดาษเรียบ กระดาษชนิดนี้จะกินตัวหรือแมลงกินผมไม่แน่ใจ อีกแบบเป็นกระดาษมันขรุขระ กระดาษไม่กินตัว แต่รูปโปสการ์ดเป็นรูปกระดาษเรียบทั้งหมด รูปรุ่นนี้หลวงพ่อตั้งใจจะให้สิ่งที่ดีเลิศต่อศิษย์ไว้เป็นครั้งสุดท้าย หลวงพ่อได้ให้สังฆาฏิที่ท่านเสกไว้ป้องกันตัว ตั้งแต่ท่านเรียนวิปัสสนากรรมฐานสำเร็จปีแรก คือ อายุ ๒๘ ปี พรรษา ๘ จนถึงอายุ ๗๓ ปี แต่จะเป็นด้วยของวิเศษนี้จะได้ไว้เฉพาะคนหรืออย่างไรไม่แน่ชัด ทางศิษย์ได้ไปขอผ้าจีวรท่านใหม่ ให้ท่านเสกให้ใหม่ โดยอ้างว่าผ้าสังฆาฏิผืนเดียวไม่พอ ท่านเลยเสกผ้าจีวรให้ใหม่ ๑ ผืน ทางศิษย์ได้นำจีวรมาตัดติดกาวติดกับหลังรูป ปั๊มอักษรขอม ๘ ตัว อ่านแถวล่างได้ว่า นะชาลิติ ในจำนวนรูปทั้งหมด รูปที่แพงที่สุด ประสบการณ์เด็ดขาดเทียบเท่าเหรียญรุ่น ๑ คือ รูปถ่ายหลังสิงห์รุ่นแรก

ส่วนรูปที่มีประสบการณ์มากที่สุด คือ รูปถ่ายหลังจีวร หลวงพ่อจำหน่ายถูกมาก ๒๐ บาท หลังงานฝังลูกนิมิตรูปที่เหลือไม่ได้เลี่ยม ยังมีเหลือเป็นพันรูป รูปโปสการ์ดก็เหลือแต่ไม่มากนัก ต่อไปจะขอเล่าถึง อภินิหารของรูปถ่ายหลังจีวรเอาไว้เพื่อบันทึกเอาไว้เพิ่มเติม ดังนี้

เรื่องแรกเจ้ามือไฮโลว์ หนองหิน อ.สรรคบุรี เรื่องการพนันนี้ต้องมีการโกงกันเป็นธรรมดา และที่มักจะเกิดขึ้นตามมาคือ คนเล่นถ้าเป็นคนต่างถิ่นดีไม่ดีออกไม่ได้ สรุปคือทั้งเจ้ามือและคนเล่น ล้วนแต่เสือ สิงห์ ลิง แมว ทั้งนั้น คือแสบ ๆ ทั้งนั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว คนเล่น มือปืนและเจ้ามือ ผมรู้จักดี แต่ไม่ขอเอ่ยนาม วันหนึ่งเจ้ามือเสียท่าคนเล่น ถึงหมดตัวเลยเพราะคนเล่นจับทางถูก เจ้ามือเลยส่งสัญญาณลับ ให้ลูกน้องคือมือปืน ไปดักเอาเงินคืนกลางทาง บังเอิญคนเล่นเป็นศิษย์ของหลวงพ่อ คล้องรูปถ่ายหลังจีวรเพียงรูปเดียว พอขี่รถมาถึงทางเปลี่ยวกลางทาง เขารู้สึกสังหรณ์ใจชอบกล ได้ระลึกถึงหลวงพ่อว่าคาถาเรื่อยเฉื่อย ขี่รถจักรยานยนต์มาเรื่อยๆ อยู่ ๆ เขาได้ยินเสียงปืนในระยะประชิด ๑ วาได้ เสียงดังปังดังมากและแรงมากขนาดเขม่าดินปืนจับหน้าเลย เขาตกใจเครื่องรถดับเลยเขาควักปืนยิงสวนออกมาตรงลูกไฟที่เห็น ผลคือมีเสียงโอ๊ยตามมา คนร้ายมีประมาณ ๒ คน ได้วิ่งกลิ้งไปกลิ้งมาป่าราบไปเลย เพราะเขายิงด้วยปืนลูกซองไทยประดิษฐ์ เมดอินไทยแลนด์บรรจุลูก ๙ เม็ด ตอนหลังสืบได้ว่าโดนยิง (คนร้าย) ทั้ง ๒ คนเลย

อีกครั้งหนึ่งคนเล่น ผมก็รู้จักเช่นกัน ได้ไปเล่นและได้เงินกลับมาได้มาหลายพัน(เงินเมื่อ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว) เจ้ามือนึกเสียดายได้พยักหน้าให้ลูกน้องไปดักเอาเงินคืน บังเอิญคน ๆ นี้เป็นศิษย์หลวงพ่อเช่นกัน มีรูปถ่ายหลังจีวรอยู่ พอขี่รถมาถึงทางเปลี่ยวเขาก็นึกถึงหลวงพ่อขึ้นมาเฉย ๆ ขนลุกขนชันเขาเลยว่าคาถาเท่าที่รู้มา แล้วเขาก็ขี่รถด้วยความเร็ว ปรากฎว่าพอเร่งเครื่องได้ไม่นาน เขาโดนยิงโจ้ง ๆ กลางถนนเลย ผลคือลูกปืนได้ยิงโดนยางหน้าแตกระเบิดรถคว่ำเลย ชาติเสือชาตินักเลงต้องรวดเร็ว พอรถคว่ำเขาเจ็บเพราะความแรงที่รถล้มเขาควักปืนออกมายิงสวนไป ๑ นัด ปืนไทยประดิษฐ์เช่นกัน มือปืน ๒ คนร้องโอยวิ่งเข้าป่าหายไปเลย งานนี้หนักหน่อยเขาต้องจูงรถกลับมืด ๆ ด้วย ยางรถก็รั่วมารู้ตอนหลังว่ามือปืนโดนเข้าไปคนละ ๒ เม็ด ไม่ถูกที่สำคัญ ภายหลังเจ้ามือคนนี้จะสั่งเก็บใครจะให้ลูกน้องแอบไปดูที่คอของคน ๆ นั้นเสียก่อนว่ามีวัตถุมงคลของหลวงพ่อหรือเปล่า ถ้ามีเขาจะพูดว่าปล่อยมันไป วัยรุ่นสมัยที่มีงานฝังลูกนิมิตใหม่ ๆ เขานิยมคล้องรูปถ่ายถ่ายหลังจีวรของหลวงพ่อมาก เรียกว่ามีแทบทุกบ้าน ตั้งแต่สิงห์บุรี สุพรรณบุรี เขตติดต่อนี่มีมาก ปัจจุบันเหลือน้อยมาก เพราะนำไปจำหน่ายต่อเสียมาก เรื่องนี้เล่าให้ฟังไม่มีชื่อแซ่ เอาชนิดชัดแจ้งเลยดีกว่า

คุณสมพร กับ คุณสมพล นามสกุล มงคลสิริฤกษ์ บ้านอยู่ยานนาวา กรุงเทพ มีอาชีพเป็นเจ้าของโรงงานทำธูปหอม คุณสมพรและคุณสมพล นับถือหลวงพ่อมากครั้งหนึ่งคุณสมพลมีพระสมเด็จหลังรูปกรอบกระจกอยู่ แต่คุณสมพรบอกว่าปลอมเพราะไม่เหมือนในรูป ขณะเถียงกันเอาพระใส่ตลับใส่ดี ๆ แท้ ๆ พระแตกป่นเลย ซึ่งเรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับผมมาแล้วเขาจำได้ อยู่ต่อมาเขาได้ไปคุยกับเถ้าแก่คนหนึ่งชื่อเฮียอ้วน เขาเล่าถึงความเก่งของหลวงพ่อให้เฮียอ้วนฟัง เฮียอ้วนเขาเป็นคนโตกว่าผ่านโลกมามากเขาไม่เชื่อว่า จะมีพระที่เก่งแบบหลวงพ่อ แบบนี้อยู่ในโลก เขาถามถึงสนนราคาของวัตถุมงคล บางอย่างก็ยังไม่แพง เขาเลยพูดว่าถ้าเก่งจริงอย่างที่ว่าช่วยหาให้สักองค์หนึ่งเขาฝากสตางค์มาให้ ๑ พันบาท จะขอลองดูว่าจะเก่งอย่างที่คุณสมพรกับคุณสมพลคุยไว้หรือเปล่า ตกลงคุณสมพรและคุณสมพลได้มาหาเช่าบูชารูปถ่ายหลังจีวรเอาไปให้ การพูดกันวันนั้นไม่ได้ท้าทายแต่ก็เหมือนท้าทาย เมื่อเฮียอ้วนได้รับพระไปแล้วก็นำไปขึ้นคอหน้าตาเฉยเลย ก็หุ่นเขาหุ่นอาเสี่ยแต่มาคล้องพระรูปถ่ายเลี่ยมพลาสติก เขาขอหลวงพ่อขอให้ถูกหวย ถ้าถูกจะมาหาเช่าบูชาพระหลวงพ่อเอาไปบูชา ปรากฎว่าเฮียอ้วนถูกหวยจริง ๆ เป็นเงิน ๕ หมื่นบาท เขาได้เดินทางมาหาเช่า สมเด็จพิมพ์แหวกม่านเอาไปบูชา และยังแวะเยี่ยมมาคุยกับผมอีก เข้าใจว่าทำบุญมูลนิธิด้วย แต่ผมจำชื่อจริง ๆ ไม่ได้เสียแล้ว คุณสมพรและคุณสมพลนี้ นามสกุล มงคลสิริฤกษ์ บ้านอยู่บ้านเลขที่ ๑๑๐๒/๗ ต.บางโคล่ อ.ยานนาวา ถ.วัดไผ่เงิน กทม.๑๐๑๒๐ เดี๋ยวจะหาว่า เฒ่า สุพรรณ อ้างฟ้าอ้างดิน

อีกเรื่องหนึ่งเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อ ๓ เดือนมานี้ (๑๘ ก.ค.๓๘) น้องเขยผมชื่อนายเวที หอมยามเย็น เดิมเป็นศิษย์ของหลวงพ่อตอนไปลาสิกขาบทหรือสึก ได้ไปกับเพื่อนพระ ๓ องค์ เดินกันไปเมื่อหลวงพ่อสิกหรือสึกให้แล้ว หลวงพ่อได้ให้พระสมเด็จหลังรูปรุ่นสุดท้ายกับพระที่มาด้วย คนละ ๑ องค์ แต่นายเวทีได้มา ๒ องค์ แถมเป็นสมเด็จหลังรูปรุ่นแรกเสียอีก เป็นพิมพ์เล็กด้วย ความจริงเขาเรียนชั้น ป.๔ รุ่นเดียวกับผมแต่ทะลึ่งมาชอบน้องสาวผม เขาเลยเอาสมเด็จหลังรูปมาเป็นเครื่องบรรณาการผม ๑ องค์(อีก ๑ องค์น้องชายลักเอาไปเป็น ตชด.เป็นเสือ เป็นโจรโดนยิงมานับครั้งไม่ถ้วน ตอนหลังพระหายไปปัจจุบันตายโหงไปแล้ว) ความจริงเขาก็เคารพหลวงพ่ออยู่ แต่เขาไม่ชอบคล้องพระเขามีเหรียญรุ่น ๑ เลี่ยมทองรุ่น ๒ บล็อกแรก น้องสาวผมใช้อยู่ และสมเด็จปรกโพธิ์ปี ๑๓ เลี่ยมทอง วันเกิดเหตุเขาขี่จักรยานยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ไปที่ปั๊มดาว ตลาดท่าช้าง องเดิมบางนางบวช พอขี่รถออกมาจากปั๊มดาวเข้าใจว่าไปเติมน้ำมัน และหน้าปั๊มเขาเอาดอกไม้มาตกแต่งซะมองรถที่สวนมาระยะประชิดไม่เห็น ผลคือระกระบะได้ชนรถของนายเวที น้องสาวผมกระเด็นไปไกลมาก ไม่กล้าพูดว่าไกลแค่ไหนคืออาจไม่เชื่อ เขาคล้องเหรียญรุ่น ๒ ส่วนนายเวทีพอโดนชนตัวได้ติดอยู่กับรถ ส่วนหลานผมได้กระเด็นกลิ้งไปอยู่ใต้ท้องรถเขายังอยู่ชั้นอนุบาล ๓ น้องสาวผมพอลุกขึ้นได้ ได้มาดึงลูกออกจากใต้ท้องรถ ส่วนนายเวทีเดินไม่ได้เหงื่อออกเต็มหน้าเลยปวดมาก ผลออกมานายเวทีกระดูกข้อเท้าหัก น้องสาวผมไม่เป็นอะไรเลย หลานชายผมคล้องรูปเล็กหลังจีวรเพียงรูปเดียว ทั้งน้องสาวและหลานชายผมไม่เป็นอะไรเลย ไม่เจ็บหรือขัดยอกแม้แต่นิดเดียว ส่วนนายเวทีได้ทำประกันชีวิตเอาไว้ ทางบริษัทประกันได้จ่ายเงินชดเชยให้ ๒ เดือนครึ่ง ตอนนี้ ๓ เดือนแล้ว กระดูกยังไม่ติดกันเลย เฝือกก็ถอดออกไม่ได้ คนชนก็เสียเงินให้ตำรวจนิดหน่อย ไม่ได้จ่ายให้คนโดนชนเลย ผมว่าประเทศไทยก็แปลกดี บริษัทประกันภัยต่างประเทศที่ว่าแน่ก็ไม่เท่าไร

ยมทูต ๔ ตน ยังเกรงใจ

วัตถุมงคลของหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อสร้างขึ้นมา สามารถปกป้องชีวิตและทรัพย์สินตลอดจนตัดกรรม(พระผง) ส่วนชุดโลหะจะดีทางคุ้มครองสูงมาก ยิ่งรูปของท่านภูตผียิ่งเกรงกลัว ไม่กล้ามารบกวนนับว่าแปลกทีเดียว วัตถุมงคลจำพวกดินท่านจะใส่ทรายเสก เพื่อป้องกันภูติพราย ส่วนพระผงท่านกลับใส่ทรายเสกแร่ต่าง ๆ นอกจากจะดีทางความเจริญก้าวหน้าแล้ว ยังกันภูติพรายได้อีก ส่วนรูปรุ่นสุดท้ายท่านเอาจีวรติด จีวรนี้เขาว่าผีกลัว จะขอเล่าเพื่อบันทึกถึงความขลังของรูปหลังจีวรไว้ดังนี้

คุณแม่ของคุณสุทธิพร มาลาทัย บ้านอยู่กรุงเทพฯ คุณแม่ของเขาไม่สบาย ต้องเข้ามารับการรักษาจากโรงพยาบาล อีกอย่างหนึ่งคุณแม่คุณสุทธิพร ได้ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ คุณสุทธิพรได้เป็นห่วงคุณแม่มาก ได้นำรูปถ่ายหลังจีวร เอาไปแขวนไว้ที่หัวเตียงคุณแม่ คือกลัวว่าผีจะมารบกวนคุณแม่ เพราะไม่ทราบว่าเตียงที่นอนนั้น มีคนเคยตายมาบ้างหรือเปล่า อยู่ต่อมาคืนหนึ่ง ขณะที่คุณแม่คุณสุทธิพรกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่พอดี ได้ฝันเห็นยมทูต ๔ ตน มายืนล้อมตัวของนางโพกผ้าสีแดง ไม่ใส่เสื้อ นุ่งผ้าคล้ายโจงกระเบน แต่เหนือเข่า แต่งกายรัดกุม ผ้าโจงกระเบนก็สีแดง ยมทูตได้พูดคุยกันแต่พอได้ยินว่า “เกรงใจหลวงพ่อองค์นี้ ให้อยู่อีกหน่อย” เมื่อลูกชายกลับมา นางได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณสุทธิพรฟัง คุณสุทธิพรเลยนำรูปหลังจีวรคล้องคอให้คุณแม่เลย ปัจจุบันเข้าใจว่ายังมีชีวิตอยู่

เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วคือ มีพยาบาลท่านหนึ่งได้มายืนเฝ้าคนจะขาดใจตาย แต่ไม่ตาย คุณพยาบาลคิดขึ้นมาได้ว่ายมทูตคงจะเกรงใจ พระพิมพ์สรรค์ที่เขาคล้องอยู่ เลยเดินห่างออกมา พอเดินห่างออกมาคนไข้ก็ขาดใจตายจริง ๆ

อีกครั้งหนึ่งเขาเป็นคนดูแลสัตว์ป่าอยู่ทางภาคอีสาน เป็นน้องชายนายเป๋ ตลาดท่าช้าง เดิมบางสุพรรณ ครั้งหนึ่งเขาเจอลูกสัตว์ป่ากำลังจะตาย เขาเลยเอามาดูแลเลี้ยงดูและได้นำรูปหล่อรุ่น ๑ มาใส่ไว้ที่ที่นอนลูกสัตว์นั้น ผลคือลูกสัตว์นั้นป่วยอย่างมากอาการไม่ดีขึ้น แต่อยู่มาได้ ๒-๓ วัน เขาอยากจะทดลองดูว่า ยมทูตจะเกรงใจรูปหล่อของหลวงพ่อจริงหรือเปล่า เขาได้นำรูปหล่อออก ผลคือลูกสัตว์ป่านั้นตายแทบจะทันที เรื่องนี้ เห็นว่าคล้ายกัน จึงเล่าให้ฟัง


แหวนแขน

๑๕๔ ถ.ศรีธานี โนนสูง

เรียน คุณครู ที่เคารพ

ผมทราบจากหนังสือนะโมเล่มที่ ๒๑๓ ว่าคุณครูยังแจกรูปหลวงพ่ออยู่ก็เลยจดหมายมารบกวนคุณครูขอรูปหลวงพ่อด้วย ผมศรัทธาหลวงพ่อมานานแต่ไม่เคยมีวัตถุมงคลของหลวงพ่อเลย คุณครูอาจแปลกใจทำไมผมจึงไม่มี โปรดกรุณาอ่านไปเรื่อย ๆ นะครับ แล้วคุณครูคงจะทราบ

ขณะนี้ผมอายุ ๔๘ ปี เคยทำงานอยู่ที่ บ.ข.ส. นครราชสีมา งานของผมก็คือหาคนขึ้นรถ สมัยเมื่อ ๒๐ ปีล่วงมาแล้ว มีเพื่อนเป็นคนสรรคบุรี ทำงานด้วยกันหลายคน เขาเคยชวนผมมาหาหลวงพ่อแทบทุกปี แต่ผมก็ผลัดวันวันอยู่เรื่อย ทั้ง ๆ ที่เพื่อนเขาก็นำวัตถุมงคลของหลวงพ่อเท่าที่ผมเคยเห็นก็มีแหวนแขนรักสีดำ แล้วก็แหวนนิ้ว จวบจนหลวงพ่อมรณภาพ จนแล้วจนรอดผมก็ไม่มีโอกาสไปกราบเท้าหลวงพ่อ เพื่อน ๆ เคยทำงานด้วยกันก็ล้มหายตายจาก หันไปยึดอาชีพอื่นบ้าง ขณะที่ผมยึดอาชีพรับจ้างเลี้ยงวัวให้น้องชาย ฐานะของผมก็ยากจนเหมือนเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา อยากจะเช่าวัตถุมงคลของหลวงพ่อไปบูชาบ้างก็ขาดปัจจัย เท่าที่ผมทราบว่าวัตถุมงคลของหลวงพ่อยังมีอยู่ที่วัดก็จากข้อเขียนของคุณครูนี่แหละครับ เพราะคนข้างบ้านเขาซื้อนะโมอ่านประจำ ผมขอยืมเขามาอ่าน ความศักดิ์สิทธิ์ของแหวนแขนหลวงพ่อเท่าที่ผมเห็นประจักษ์ตาสมัยผมหนุ่ม ๆ นั้น เพื่อนที่สวมแหวนแขนหลวงพ่อล้วงเอาน้ำแข็งในกระติกน้ำแข็ง ไม่ทราบเพราะเหตุใดกระติกน้ำแข็งระเบิด มือของเพื่อนผมไม่เป็นอะไรเลย น่าแปลกมาก แต่ตอนหลังเพื่อนผมคนนี้ก็ต้องเสียชีวิตเพราะโดนยิง วันถูกยิงเพื่อนผมไม่ได้สวมแหวนแขน แหวนแขนวงนั้นคงจะอยู่กับลูกเมียของเขา ผมเองอยากได้แต่ไม่กล้าเข้าไปถามเมียเพื่อน เนื่องจากฐานะเขารวย ผมจน คงพุดกับเขายาก ที่เล่าให้คุณครูฟังนั้นเพราะผมทราบว่าคุณครูเป็นศิษย์ ก้นกุฏิหลวงพ่อ และเพื่อนผมหลายคนก็เป็นศิษย์หลวงพ่อ มีผมเพียงคนเดียววาสนาน้อยไม่มีโอกาสกราบเท้าหลวงพ่อ ทุกวันนี้ผมยังนึกเสียใจอยู่เลย ทราบว่าคุณครูแจกรูปหลวงพ่อผมอยากจะได้เอาไปไว้บูชาหากผมมีบุญวาสนาบ้าง มีโชคลาภจากบารมีของหลวงพ่อก็จะได้ใส่ปัจจัยไปทำบุญกับวัด หรืออาจจะชวนเพื่อนอีกคนของผมซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่อเช่นกัน เพื่อนคนนี้ใส่แหวนนิ้วไม่เคยถอด ขณะนี้ขายอาหารอยู่ใน บ.ข.ส. โคราช ขึ้นไปกราบรูปหล่อของหลวงพ่อที่วัด

คุณครูครับ ผมขออภัยต่อคุณครูเป็นอย่างสูง ผมหวังในความกรุณาของคุณครู ถ้าคุณครูมีพระเครื่องของหลวงพ่อ ผมขอไปสักการะสักองค์ด้วยครับ อย่าว่าผมเป็นคนโลภมากเลย ขอรูปหลวงพ่อแล้วยังขอพระอีก ผมขอยุติเท่านี้นะครับ ผมขออภัยอีกครั้งตัวหนังสือคงอ่านยากเพราะการศึกษาน้อยของผม ขอบารมีหลวงพ่อจงปกป้องคุ้มครองให้คุณครูและครอบครัวมีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ตุลาคม 25, 2013, 08:40:01 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๔๘
วันที่ ๑๕ มิ.ย. – ๒๕ มิ.ย.๒๕๓๖
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



ให้พรให้ท่านรวย

ในสมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ มีอยู่สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อมักจะทำให้ศิษย์เสมอถ้าศิษย์ขอร้องหรือนิมนต์ให้ทำ คือการเจิมรถ การเจิมนี้คือการเขียนอักขระเลขยันต์ หรือบางอาจารย์อาจใช้แป้งเจิมจุด ๆ เอา ๓ จุด ๕ จุด คือ คงระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือระลึกถึงพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ ยันต์ที่นิยมโดยมาก คือ ยันต์พระเจ้า ๕ พระองค์ แต่ก็มีบางองค์อาจมียันต์เฉพาะองค์ ในสมัยนั้นมีศิษย์ของหลวงพ่อหลายคนถ้าออกรถใหม่ ต้องมาให้หลวงพ่อเจิมให้ พรมน้ำมนต์ให้โดยเชื่อว่า จะโชคดี แคล้วคลาด ปลอดภัย ถ้าเป็นรถใหญ่ จะนิมนต์ให้หลวงพ่อตั้งชื่อให้ โดยมากจะร่ำรวย แคล้วคลาด ปลอดภัยแทบทุกคน

ยันต์ที่หลวงพ่อใช้เจิมรถ คือ ยันต์พระเจ้าอมโลกหรือพระเจ้า ๕ พระองค์ ใต้ยันต์หลวงพ่อจะหนุนด้วยคาถาหัวใจสิวลี หลวงพ่อจะพูดว่าพระสิวลีเขาดี ไปไหนไม่อดอยาก คาถานี้ลงไว้ให้จะร่ำรวย ซื้อง่าย ขายคล่อง วันหนึ่งมีงานคนเยอะ หลวงพ่อก็ยุ่ง ตอนนั้นหมอเฉลียว เดชมา ก็อยู่ มีคนเอารถมาให้หลวงพ่อเจิมหลายคัน หลวงพ่อได้พูดเปรย ๆ ว่า คือท่านชี้มือไปที่เณรองค์หนึ่งแล้วพูดว่า “ให้ท่านรวยเจิมซิดี ชื่อเขาเป็นมงคลดี” แต่ไม่มีใครสนใจเลย ก็จะให้สนใจได้ยังไง ซื้อรถมาคันหนึ่งแพงเป็นหมื่น ๆ จะให้เณรตัวเล็ก ๆ เจิมได้ยังไง เมื่อหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว คนที่ออกรถมาใหม่ ต้องไปหาหลวงพ่อองค์อื่นให้เจิมให้ เพิ่งจะนำรถมาที่วัดเพื่อเจิม ในระยะหลัง ๆ มานี้ คือคนเก่า ๆ ยังจำได้ว่าหลวงพ่อเคยพูดเอาไว้ว่า “ให้ท่านรวยเจิมซิดี ชื่อเขาเป็นมงคลดี” เณรรวยองค์ที่หลวงพ่อพูดว่าชื่อเป็นมงคลดี คือท่านอาจารย์สำรวย อคฺคปัญโญ เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันนั่นเอง เขาว่าท่านเจิมรถแล้วโชคดี ถ้าจะเอาไปค้าขายจะดี เมื่อผมเจอท่านผมได้คุยเรื่องนี้กับท่าน ท่านพูดว่า แป้งและน้ำมันจันทน์ที่ใช้เจิม เป็นของเก่าของหลวงพ่อ ผมได้ถามท่านว่าอาจารย์ใช้ยันต์ตัวไหนเจิม ท่านบอกว่าหลวงพ่อเขียนเอาไว้ให้ เป็นยันต์พระเจ้าอมโลก หนุนด้วย หัวใจพระสิวลี ท่านยังหยิบลายมือหลวงพ่อเอามาให้ดูเลย เขียนไว้ในกระดาษสา ผมแหย่ท่านต่อ แล้วอาจารย์เรียกสูตรเป็นหรือ ท่านพูดว่าก็เขียนตามที่หลวงพ่อเขียนให้ไว้ นึก ๆ เอา ขณะเขียนก็นึกถึงหลวงพ่อเพราะเวลาเจิมต้องเจิมหน้ารูปหล่อใหญ่ สรุปแล้วคือให้หลวงพ่อทำให้ เขียนเสร็จก็ให้หลวงพ่อปลุกเสกให้นั่นเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง คนเก่าเขายืนยันได้ ปัจจุบันมีคนนำรถมาให้ท่านเจิมให้ประจำ ชาวบ้านจะเรียกท่านว่า อาจารย์รวยหรือท่านรวย รู้สึกโภคทรัพย์ท่านดี เรื่องนี้ก็เล่าให้ฟังอย่างนี้

จดหมายจากคุณเสน่ห์ สินธุชัย

นมัสการอาจารย์สำรวยที่เคารพ

ประสบการณ์ของผมที่มีวัตถุมงคลของหลวงพ่อครับ ท่านอาจารย์ครับผมเคยบูชาวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวย เมื่อเดือน ก.ค.๒๕๓๒ ก็มีเหรียญหลังหนุมาน พระสรรค์นั่ง ซึ่งมีประสบการณ์หลายครั้งในด้านคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด และเมตตา ผมจะขอเล่าสัก ๓ เรื่องครับ กลางปี ๒๕๓๒ ผมโดนหมาแม่ลูกอ่อนกัดที่ข้อเท้า กางเกงขาดเป็นรูเลย แต่ไม่เข้า เพียงแต่เป็นรอยแดง ๆ ต่อมาต้นปี ๒๕๓๓ ผมขึ้นไปตัดต้นไม้ไผ่ ไม้ไผ่ที่ผมตัดนั้นเป็นไม้ไผ่ที่มีหนามมาก บ้านผมเขาเรียกไม้ไผ่ป่า หรือไม้ไผ่ข้าวหลาม พอตัดขาดจากลำต้นไม้ไผ่มันดีดผมตกลงมากลางกอเลย ทั้งหลังและขาของผมไปกระแทกกับตอไม้ไผ่ที่เคยตัดแล้ว แหลมเป็นปากฉลาม แล้วยังมีหนามมากด้วย ร่างกายของผมไม่ได้รับอันตรายอะไรเลย แม้เลือดสักหยดก็ไม่มี เป็นแค่รอยแดง ๆ เท่านั้น ต่อมาในปีเดียวกัน ผมขึ้นไปตัดแต่งแขนงทุเรียน หัวของผมไปกระแทกกับรังผึ้งรังใหญ่ ซึ่งขณะนั้นมองไม่เห็นเพราะใบทุเรียนหนาปกคลุมอยู่ ผึ้งทั้งรังก็ไม่ได้แตกรังมาทำอะไรผมเลย

วัตถุมงคลของหลวงพ่อที่ผมบูชาติดตัวอยู่ยังมีประสบการณ์อีกมาก และทำให้ผมรอดพ้นจากอันตรายต่าง ๆ ได้

จริงอยู่ครับ ถ้าหากมีเคราะห์ก็หลีกไม่พ้น นั่นก็ต่อเมื่อไม่มีวัตถุมงคลของหลวงพ่อติดตัว แต่ถ้ามีวัตถุมงคลของหลวงพ่อติดตัวแล้วก็จะพ้นอันตรายแน่นอน ผมเชื่ออย่างนั้น เรื่องที่ผมเล่ามานี้ ไม่ใช่เรื่องแต่งขึ้น เป็นเรื่องจริงครับ ผมขอเล่าแต่เพียงสั้น ๆ

เคารพและนับถือ

เสน่ห์ สินธุชัย

๑๗ ม.๑ ต.พลอยแหวน อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ๒๒๑๒๐
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ตุลาคม 25, 2013, 02:07:53 pm
สิงห์ งาแกะ สำหรับชิ้นนี้มีค่าต่อจิตใจของผมเป็นอันมาก
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ตุลาคม 28, 2013, 02:26:31 pm
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๔๙
วันที่ ๒๕ มิ.ย. – ๕ ก.ค.๒๕๓๖
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



ไปกับหลวงตาสมาน

เรื่องที่จะเล่าให้ฟังนี้เป็นเรื่องแปลก สมควรบันทึกเอาไว้ ในสมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ ศิษย์ใกล้ชิด ที่เป็นคนในละแวกวัด ก็มีนายสมาน นายเนียม ลุงลอนคนที่สักยันต์แทนหลวงพ่อ  หมอเฉลียว เดชมา ลุงทอดคนที่สักยันต์แทนหลวงพ่อ อาจารย์ทรง คือคนที่กล่าวนามมานี้ เป็นทั้งศิษย์ใกล้ชิดและกรรมการวัด บางคนเป็นช่างก่อสร้างด้วย เคยไปไหนมาไหนกับหลวงพ่ออยู่เสมอปัจจุบันก็ยังมีความผูกพันกับวัด กับหลวงพ่ออยู่มาก
ในปี ๒๕๓๓ มีคนมาที่วัด ๒ – ๓ คน มาถามถึงศิษย์ของหลวงพ่อ มาถามถึงคนใกล้ชิดกับหลวงพ่อว่ามีใครบวชเป็นพระบ้างหรือเปล่า คนถามก็ถามไม่ได้ร่องได้รอย คนตอบก็ตอบงง ๆ คือเขามาถามลุงทอด พอดีลุงทอดนึกขึ้นได้ว่าหลวงตาสมานได้บวชเป็นพระ ใหม่ ๆ ก็อยู่วัดหลวงพ่อ ตอนหลังไปอยู่วัดพระครูพิมพ์ อยู่ต่อมาพระครูพิมพ์ให้ไปดูแลวัดหนองตาแก้ว ลุงทอดเลยบอกว่าให้ไปดูที่วัดหนองตาแก้วดูซิ ชื่อหลวงตาสมาน เขาเคยอยู่กับหลวงพ่อ

คน ๒-๓ คน นั้นก็ไปหาหลวงตาสมานที่วัดหนองตาแก้ว เมื่อไปถึงก็ดีใจ เอาอาหารคาวหวานมาถวาย หลวงตาสมานก็ไม่ได้สนใจ จนกระทั่งปีใหม่ คน ๒-๓ คนนี้ก็มาอีก เอาของมาถวายอีก เมื่อหลวงตาสมานฉันเสร็จ คน ๒-๓ คนนั้นมีคนหนึ่งได้เข้ามากราบใกล้ ๆ แล้วขอร้องให้หลวงตาสมานเป่าหัวให้โดยพูดว่าหลวงตานี่ต้องมีดีแน่เลย ผมเห็นไปกับหลวงพ่อ หลวงตาสมานก็พูดว่า ๑๐๐ มึงนี่ก็จำแม่น ข้าเคยไปกับหลวงพ่อตั้ง ๑๐ กว่าปีมาแล้ว เอ็งยังจำได้ คน ๆ นั้นตอบว่า ไม่ใช่ ๑๐ กว่าปี ผมเห็นหลวงตาไปกับหลวงพ่อกวย เมื่อ ๒-๓ เดือนมานี้ หลวงตาสมานก็คิดในใจว่า ไอ้หมอนี่ถ้าจะสติไม่ดี ก็หลวงพ่อท่านมรณภาพตั้ง ๑๐ กว่าปีมาแล้ว แต่มันก็เห็นเราไปกับหลวงพ่อเมื่อ ๒-๓ เดือนมานี้ คน ๆ นั้นคงกลัวว่าหลวงตาสมานจะว่าบ้า เลยพูดว่าผมเห็นจริง ๆ แต่เห็นในฝันน่ะ จำได้แม่นยำ ไปหาเขา ๒ องค์พร้อมทั้งเอาบัตรประจำตัวข้าราชการให้ดู เขาเป็นทหารยศนายสิบอยู่ที่ค่ายทหารบก ลพบุรี หลวงตาสมานเลยเป่าหัวให้งง ๆ เช่นกัน ท่านว่าสงสัยหลวงพ่อมาชวนเขาไปตอนหลับ ๆ ปัจจุบันหลวงตาสมานกลับไปอยู่วัดสนามชัยเหมือนเดิมแล้ว เรื่องนี้ก็เล่าให้ฟังเห็นว่าแปลกดี

ปล.ปัจจุบันหลวงตาสมาน ได้ถูกเจ้าคณะอำเภอคือพระครูพิมพ์ ให้ไปสร้างโบสถ์ให้วัดหัวเด่น เป็นวัดใกล้กันกับวัดหลวงพ่อ ผมรับทำบุญกับท่าน ๑๐,๐๐๐ บาท แต่ยังไม่มีเงินเลย

จดหมายคุณคชาชิน สินชวะรัตน์

ร้านสุขวัฒนาพานิช ๑๙๗๑-๑๙๗๓ ถ.รามคำแหง ต.หัวหมาก บางกะปิ กทม.๑๐๒๔๐

วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๓๔

กราบนมัสการท่านอาจารย์สำรวย

กระผมได้ส่งเงินมากับจดหมายนี้เพื่อทำบุญกับมูลนิธิชุตินฺธโร ๕๐๐ บาท เนื่องจากกระผมได้ลาภจากท่านหลวงพ่อกวย งวดวันที่ ๑ มิ.ย.๓๔ ที่ผ่านมาดังรายการต่อไปนี้
๑.นายคชาชิน สินชวะรัตน์(กระผมเอง) ๓๐๐ บาท
๒.นางกิรดี วชิรพงศาวนิช(ภรรยา) ๒๐๐ บาท
เคารพ
คชาชิน สินชวะรัตน์


จดหมายจากวัดโฆสิตาราม ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท
 
เจริญพร โยมเฒ่า

เมื่อวันที่ ๒๙ มิ.ย.๓๔ สจ.วิสิทธิ์ ได้บนกับหลวงพ่อกวย บนกับรูปถ่ายติดจีวร ว่า ขอให้ถูกหวย ถ้าถูกส่งเงินมาทำบุญกับวัด ปรากฏว่าวันที่ ๑ ก.ค.๓๔ ส.จ.วิสิทธิ์ ได้ถูกหวย ๑๔,๐๐๐ บาท ได้ทำบุญมูลนิธิ ๒,๐๐ บาท คุณแม่ ส.จ.วิสิทธิ์คือคุณแม่ประยงค์ เจริญอิทธิกุล ได้ทำบุญอีก ๕๐๐ บาท

อีกเรื่องหนึ่งคือ คุณวิสิทธิ์ ได้ไปธุระที่ตัว อ.กระสังข์ ได้ขับมอเตอร์ไซค์ไป ปรากฏว่าระหว่างทางจะถึงอำเภอ มีรถยนต์วิ่งตัดหน้า ทำให้ ส.จ.วิสิทธิ์ล้มลงอย่างแรง เจ็บมาก แต่ไม่มีบาดแผล ในวันนั้น ส.จ.วิสิทธิ์ มีสรรค์นั่ง หลวงพ่อกวย เพียงองค์เดียว เมื่อวันที่ ๓ ก.ค.๓๔ ส.จ.วิสิทธิ์ และคุณปัญติยา ได้เดินทางมากราบหลวงพ่อที่วัดเพื่อขอพร

เจริญพร     

พระสำรวย อคฺคปัญโญ



นายเดช หมัดสั่ง

ต่อไปจะกล่าวถึงความเด็ดขาดในอาคมของหลวงพ่อ ในเรื่องคาถาอาคมนี้หลวงพ่อเรียนมามาก ทำได้จริง และเด็ดขาด แต่หลวงพ่อทำให้คนทั่วไปไม่ได้ เพราะคนทั่วไปไม่มีวาสนา ไม่มีบุญบารมีเพียงพอ เปรียบเทียบให้เห็นง่าย ๆ คือ ถ้าหลวงพ่อทุกองค์ปลุกเสกวัตถุมงคลแล้วยิงไม่ออกชนิดทดลองได้ โลกต้องวุ่นวาย เพราะถ้าทำแบบนั้น ฝรั่งจะขอซื้ออันหนึ่งไม้รู้กี่ล้านบาท แล้วคนทั่ว ๆ ไปจะมีวาสนาบารมีต่อเงินเป็น ๑๐๐ ล้านบาทได้อย่างไร

มีหลักฐานว่าหลวงพ่อทำของได้เด็ดขาดหลายเรื่อง เช่น หลวงพ่อจารฝาปี๊บไว้ที่วัดใหม่แล้ว คนลองยิงยิงแล้วปืนถีบถึงหัวแตก หลวงพ่อก็ทำได้ หลวงพ่อเคยเสกเปลือกไม้ให้คนยิงถึงกับปืนเสีย หลวงพ่อก็ทำได้ หลวงพ่อเคยเอารูปของลูกศิษย์ท่านมาลงยันต์เสริมดวงชะตา ทำให้เจริญรุ่งเรือง จากตำรวจยศนายสิบ เป็นนายพัน หลวงพ่อก็ทำได้ หลวงพ่อเคยเหยียบรอยเท้าที่หน้าผากศิษย์ท่านจากจับกังธรรมดาเป็นเสี่ยในเวลาต่อมา หลวงพ่อก็ทำได้ หลวงพ่อเคยเสกกระหม่อมให้ศิษย์ท่านที่สติไม่ค่อยดีคือ นายชัย นายปาน นายชัยเคยโดนรถปิกอัพชนกระเด็นตกคลองลุกขึ้นมาเดินได้หน้าตาเฉย คน ๒ คนนี้เคยโดนยิง ยิงไม่ออกเลย หลวงพ่อเคยลงฟันให้ศิษย์ท่านชื่อ วิเชียร เป็นคนหัวเด่น มีเมียเป็นร้อยคน หลวงพ่อเคยเอาเหล็กจารไปจารที่ต้นสำโรง ลงอักขระแค่ ๔ ตัว ไม่มีใครยิงออกเลย ที่นี้ถ้าหลวงพ่อทำวัตถุมงคลชนิดเต็มที่ คนที่ได้ไปก็จะอยู่เหนือกฎแห่งกรรม เหนือโลก เหนือคน ซึ่งคนธรรมดาไม่น่าจะมี ไม่น่าจะได้ เช่นถ้าหลวงพ่อทำการลงลิ้นลงฟันให้ศิษย์ทั่วไป โลกก็คงจะวุ่นวายไม่จบสิ้น ถือว่ามีวิชาดี มีของดี เที่ยวได้หลอกลวงคน หลวงพ่อจึงทำให้เฉพาะผู้มีบุญเฉพาะตัวเท่านั้น


ต่อไปจะกล่าวถึงศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่ง ที่หลวงพ่อลงยันต์คาถาให้ที่มือ ๒ ข้าง และเท้าอีก ๒ ข้าง เรียกว่าธนูมือ ส่วนที่เท้าเรียกว่าอะไรไม่รู้ เท่าที่รู้มีศิษย์ของหลวงพ่อเพียง ๒ คนเท่านั้นที่หลวงพ่อลงธนูมือให้ คนแรกเป็นนักมวย อีกคนหนึ่งคือ นายเดช ฉายาหมัดสั่ง คือนายเดชนี้บ้านอยู่ใกล้วัดรูปร่างขาวใหญ่ เคยเป็นเด็กวัดอยู่กับหลวงพ่อ เป็นคนจริง หลวงพ่อเมตตาอย่างไรไม่รู้ ได้ลงธนูมือให้ ๒ ข้าง ลงหลังเท้าให้อีก ๒ ข้าง เขาว่าธนูมือและที่เท้า ๒ ข้างนี้ ถ้าต่อยใครเขาว่าอย่างต่ำคือสลบ อย่างหนักคือสติไม่ดี หรือตาย เท้าเหมือนกัน ถ้าเตะใครจะถึงสลบหรือตายเช่นกัน

อันหนึ่งจะถึงคราวเคราะห์หรือกรรมไม่แน่ชัด หมาของหลวงพ่อชื่อไอ้มอม เกิดไม่พอใจนายเดชขึ้นมา เพราะต่างคนก็เป็นศิษย์เช่นกัน ไอ้มอมเห็นหลวงพ่อไม่อยู่ก็จะกัดนายเดช นายเดชก็หมั่นไส้ไอ้มอม มาหลายหนแล้ว วันนั้นเจอกันพอดีบนศาลา ต่างคนต่างไม่ยอมชิดซ้าย นายเดชเลยเตะไอ้มอมเปรี้ยงเข้าให้ ไอ้มอมโดนเตะชักปัด ๆ ตายเลย

เมื่อหลวงพ่อกลับมารู้เรื่องเข้า ได้เรียกตัวนายเดชเข้าพบ ได้ถามว่า ถนัดมือไหน ตีนไหน หลวงพ่อได้เรียกอาคมจากมือและเท้าที่ถนัดเอาไปไว้ข้างที่ไม่ถนัด ครั้งหนึ่งนายเดชมาอยู่กรุงเทพฯ มามีเรื่องกับจิ๊กโก๋ที่แยกมหานาค ต่อยจิ๊กโก๋เปรี้ยงเดียวสลบเลย ปัจจุบันนี้นายเดชยังอยู่ บ้านอยู่ติด ๆ วัด ถ้าเจอเขาและยังสงสัยว่า เฒ่า สุพรรณพูดจริงหรือเปล่า จะให้เขาลองให้ดูก็เอา รู้สึกว่าเขาไม่คิดสตางค์

ปล.เรื่องการให้วัตถุมงคลต่อศิษย์นี้ หลวงพ่อจะดูวาสนาบารมีของศิษย์ด้วย เช่น นายชัย นายปาน พี่น้องกัน ท่านสงสาร ท่านจึงลงกระหม่อมให้เป็นพิเศษ เคยโดนยิงหลายครั้งไม่ออก หมอเฉลียว เดชมา ท่านทำผ้ายันต์ค้าขายให้ ทำหมวกหายตัวได้ นายกรวยได้วิชาจระเข้ ได้คาถาหัวใจต่อ แตน นายแดง สว่างศรี ได้วิชาจระเข้ คาถาหัวใจปลาไหลเผือก ถ้าเมา คือเสกเหล้ากิน ถ้าลงน้ำได้ครึ่งวันถึงขึ้น นายเฉือน ปั้นสน โยมบิดาอาจารย์สำรวย ขอดผ้ายิงไม่ออก นายยุทธ ยิ้มจู ได้คาถาเรียกมดลงรูได้ หมอเฉลียวได้วิชาตีไม่แตก จับไม่อยู่ ตีไม่เจ็บ นายเชน เทียนจัน หลวงพ่อสักมงกุฎพระเจ้าบนศีรษะ เตือนภัยได้ อาจารย์ตั้วได้ตำราไป ๑ เล่ม อาจารย์สำรวย เจ้าอาวาสได้วิชาเจิมรถ อาจารย์เม่าสามารถบีบถ้วยที่ทำจากปูนขาวให้ปากมารวมกันได้ อาจารย์ตี๋ วัดเขาเขียว นั่งบนน้ำได้ หลวงตาจิ๊ด สำเร็จวิชาหินเบา เสกก้อนกรวดให้ลอยน้ำได้ และยังมีอีกหลายคนที่ได้วิชาเอาไว้ แต่ไม่ยอมบอก

จดหมายคุณวิจิตร เทียนแสงสุวรรณ

๑๔ ซ.สุรินทร์ ถ.มนตรี อ.เมือง จงภูเก็ต

นมัสการอาจารย์สำรวยที่เคารพ

ผมมีโชคจากการบูชาปลัดขิกโดยผมขอโชคจากปลัดขิกของหลวงพ่อ ผมได้โชคงวดวันที่ ๑ ส.ค.๓๔ โดยผมบอกหลวงพ่อกับปลัดขิกว่า ถ้าผมถูกหวยผมจะมาทำบุญมูลนิธิ และจะมากราบรูปหล่อที่วัดด้วย ปรากฏว่าหลวงพ่อให้โชคทันใจจริง ๆ บอกปั๊บ ถูกปุ๊บ เลย อัศจรรย์จริง ๆ ผมมากราบรูปหล่อวันที่ ๒๕ ส.ค.๓๔ ผมทำบุญมูลนิธิ ๑๐๐ บาท

เคารพอย่างสูง

วิจิตร เทียนแสงสุวรรณ



จดหมายจากวัดโฆสิตาราม

เจริญพรโยมเฒ่า

เมื่อวันที่ ๒๘ ก.ค.๓๔ ส.จ.วิสิทธิ์ เจริญอิทธิกุลได้เดินทางไปธุระที่ จ.บุรีรัมย์ ได้นึกถึงหลวงพ่อกวยว่า ถ้ามีโชคมีลาภจะส่งเงินมาทำบุญมูลนิธิ กับหลวงพ่อเลยซื้อรถเตอรี่มา ๑ คู่ ปรากฏว่างวดวันที่ ๑ ส.ค.๓๔ ได้ถูกหวย ๒ ตัวล่าง จึงส่งปัจจัยมาทำบุญมูลนิธิ ๕๐๐ บาท ปัจจุบัน ส.จ.วิสิทธิ์ เป็น ส.จ.อยู่อำเภอกระสังข์ จ.บุรีรัมย์

เจริญพร

พระสำรวย อัคฺคปัญโญ


ตอบตอบท่านสำรวย เงินมูลนิธิ ส.จ.วิสิทธิ์ ๒ ครั้ง ได้รับแล้ว ลงบัญชีแล้ว ครั้งก่อนทำบุญมา ๒,๕๐๐ บาท เพราะขอพรหลวงพ่อถูกหวย ๑๔,๐๐๐ บาท ขอขอบพระคุณ ส.จ.วิสิทธิ์ เป็นอย่างสูง ขอให้ถูกหวยเรื่อย ๆ จะได้ทำบุญมาอีก

เคารพ

เฒ่า สุพรรณ


ลิขิตกรรม

ต่อไปจะขอกล่าวถึงเรื่องอำนาจกรรมซึ่งเกี่ยวพันกับหลวงพ่อ ซึ่งแสดงถึงญาณของหลวงพ่อ ซึ่งหลวงพ่อสามารถเห็นและรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ คำว่ากรรมนี้ แปลว่าการกระทำ ในพระพุทธศาสนาของเราเน้นเรื่องกรรมมาก กล่าวไว้ว่ากรรมนั้นจำแนก เผ่าพันธุ์มนุษย์และสัตว์ ทำกรรมแบบไหนก็จะได้แบบนั้น กรรมนั้นหรือการกระทำนั้นสามารถลิขิตอนาคตของคนเราได้เช่นในวันนี้ เราเป็นคนเจ้าชู้มีเมียมากมีลูกมาก พอถึงวันพรุ่งนี้ ทุกอย่างก็จะกลายเป็นอดีตไป เมื่ออดีตทำไว้ไม่ดี ปัจจุบันเมียน้อยก็ทะเลาะกับเมียหลวง ลูกก็แย่งสมบัติกัน อนาคตก็ไม่ดี เพราะกรรมอดีตไม่ดี กรรมปัจจุบันไม่ดี ท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร จ.สกลนคร ท่านสอนไว้ว่า ให้ทำกรรมปัจจุบันให้ดี อนาคตจะดีเอง เช่นปัจจุบันเราไม่ฆ่าใคร ไม่ยิงใคร อนาคตเราก็ไม่มีใครมาฆ่าเรา หรือปัจจุบันเราเก็บเงินเก็บทองอนาคตเราก็จะเป็นคนมีเงินมีทองเป็นต้น

ในสมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ หลวงพ่อชอบเลี้ยงสัตว์ และชอบต้นไม้ เป็นที่สุด สัตว์ที่ท่านชอบเลี้ยงมากที่สุด หมอเฉลียว เดชมา ได้พูดเอาไว้ว่าหลวงพ่อชอบเลี้ยง ลิง หมา สาเหตุที่หลวงพ่อชอบเลี้ยงลิง เพราะลิงเป็นสัตว์ที่ฉลาด แสนรู้ มีบางอย่างคล้ายคน เช่นกะโหลกศีรษะ แต่คนไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากลิง นอกจากนักวิทยาศาสตร์บางคน ตอนนั้น หลวงพ่อเลี้ยงลิงชื่อ ไอ้ชุ่ม เข้าใจว่าเป็นลิงกัง ฉลาดมาก รู้แทบทุกอย่าง วันหนึ่งมีคนมาข้างวัดชื่อ แช่ม ได้มาเล่นกับมัน ได้ใช้ไม้ตีไอ้ชุ่มอย่างแรง กะตีให้ตาย ลิงไอ้ชุ่มขาหัก ๒ ขา พระได้ไปบอกหลวงพ่อว่าไอ้ชุ่ม โดนนายแช่มตีขาหัก หลวงพ่อท่านมาดูได้รักษาด้วยน้ำมนต์ให้ ท่านพูดเบา ๆ พอได้ยินว่า “ไอ้คนตีนี่มันใจร้ายเหลือเกิน มิน่าเล่า เขาถึงสินตีนมันเสียสองข้างเลย” คำว่าสินคือตัดนั่นเอง อยู่ต่อมาหลายปี นายแช่มป่วยเป็นโรคเบาหวาน ได้เป็นแผลที่เท้าทั้งสองข้าง หมอได้ตัดขาออก ๒ ข้าง ปัจจุบันเขายังมีชีวิตอยู่ ถ้ามาวัดถามท่านอาจารย์สำรวยดูได้

เรื่องของกรรมนี้เป็นเรื่องจริง กรรมบางอย่างส่งผลรุนแรง สามารถตามมาทันใดในชาตินี้ ที่คนเราเกิดมาสวย เกิดมารวย เกิดมาพิการ ตาบอดหูหนวก เป็นใบ้นี้ เพราะอำนาจกรรมทั้งสิ้น บางคนฟังแล้วอาจตกใจ เพราะเคยฆ่าไก่ ฆ่าปลา มามาก อันนี้ก็อย่างที่บอกไว้ กรรมบางอย่างส่งผลช้ายังตามมาไม่ทัน ถ้าเราทำกรรมดี แผ่เมตตาขออโหสิกรรม ทำกรรมดีให้มาก กรรมไม่ดีก็ไม่อาจตามมาทันได้ ก็ขอจบเรื่องลิขิตกรรมแต่เพียงนี้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ ตุลาคม 29, 2013, 08:03:06 pm
:o :o :o :o :o
เข้ามานั่งอ่าน


น้องโก แอบมานั่งอ่านพักเที่ยงสินะ เป็นไงบ้างครับ ที่เรียนใหม่ ชอบม๊ะ
เหนื่อย 555+


น้องโก้เรียนที่ไหนครับ จุฬาฯ หรือป่ะ อิอิ
ต้องนั่งไล่อ่าน เรียน เทคโนพระจอมเกล้าลาดกระบัง ครับผม
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ ตุลาคม 29, 2013, 08:17:26 pm
หลายเดือนที่ผ่าน งาน แทบไม่ได้ลืมหูลืมตาจริงๆ แต่ก็ผ่านพ้นไปได้ ก่อนไปเรียนต้องขอบารมีครู อาจารย พระประจำคอคงไม่พ้นหลวงพ่อกวยไปแน่ นอน ที่ว่าแย่ก็ผ่านมาได้ครับ

ขอบารมีหลวงพ่อกวยจงอยุ่กับลูกตลอดไป ขอจงคุ้มครองศิษย์พี่ ศิษย์น้องทุกท่านด้วยครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 01, 2013, 12:54:43 pm
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๕๐
วันที่ ๕ ก.ค. – ๑๕ ก.ค.๒๕๓๖
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



วาจาสิทธิ์


เรื่อง ๒ เรื่องนี้ เป็นเรื่องของวาจาสิทธิ์ของท่าน ที่ไม่มีละเว้นไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ปัจจุบันนี้แม้ไข่วัด ไก่วัด ปลาวัด ไม่มีใครกล้าแตะต้อง แม้ว่าท่านจะมรณภาพตก ๑๐ ปีแล้วก็ตาม

มีเรื่องที่ควรบันทึกเอาไว้อีกเรื่องหนึ่งคือ ที่วัดท่าน ๆ จะปลูกไม้ไผ่เลี้ยงเอาไว้ ไม้ไผ่เลี้ยงนี้ลำต้นกำลังพอเหมาะสำหรับทำคันเบ็ดหยกปลา การหยกปลาไม่เหมือนการตกปลา หยกปลาจะได้ปลาตัวโต ใช้คันเบ็ดยาวมากใช้เหยื่อ เช่น เขียด หรือลูกปลา จะยกเบ็ดขึ้น คือยกขึ้นยกลง หลอกปลาว่าเป็นเหยื่อเป็น ทีนี้บางคนไม่มีไม้เลี้ยงได้ไปลักตัดไม้เลี้ยงท่านเอามาทำเป็นคันเบ็ด พอท่านรู้เข้าท่านพูดว่า “ไม่เข้าท่า ไอ้พวกนี้ ทำอะไรไม่เข้าท่า” อยู่ต่อมาพวกที่มาลักไม้เลี้ยงของท่านมาทำคันเบ็ด พอปลาติดเบ็ด ได้วัดขึ้นคือเอาปลาขึ้น ปลาติดมั่งไม่ติดมั่ง หลายคนถูกเบ็ดเกี่ยวตาถึงบอดไปเลย เรื่องนี้ถ้าสงสัยให้ถามคุณสำอาง หมวกอิ่ม คนบ้านแคดูได้

แต่ถ้านำไม้เลี้ยงท่านเอาไปทำไม้เท้ารู้สึกท่านจะไม่หวง บางทีท่านไปนั่งเล่นใต้ต้นกอไผ่ ท่านเอาเหล็กจารไปจารไว้ตามต้นกอไผ่ ต้นที่มีลำต้นสวยงาม ลูกศิษย์เห็นเข้าก็ขุดกันเอาไปทำไม้เท้า รู้สึกว่าดีมาก ถ้าเป็นพระเมื่อมาวัดหลวงพ่อจะขอขุดไม้เลี้ยงของหลวงพ่อเอาไปทำไม้เท้าก็คงจะพอขอได้ ให้บอกท่านอาจารย์สำรวยก่อน


จดหมายคุณพิพัฒน์  แซ่ตัน
๓๘ ถ.สามัคคี อ.เมือง จ.ยะลา


สวัสดีคุณอาเฒ่า สุพรรณ

เนื่องจากผมเป็นคนที่ติดตามการเขียนของคุณอามาตลอด ผมเป็นเด็กนักเรียน กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ อยู่ ผมศรัทธาหลวงพ่อกวยมาตลอด ผมติดตามการเขียนของคุณอามาตอนกลางของงานเขียนของคุณอา ผมเคยเช่าวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวย คือ สมเด็จ ปรากฎอภินิหารดังนี้ วันที่ ๑๓ ก.ย. ปีก่อน มีการกินเลี้ยงโต๊ะจีน ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง ซึ่งในงานมีการจับฉลากแจกรางวัล รางวัลที่ ๑ คือ ทีวีสี ปรากฎว่า ผมโชคดีที่ได้รางวัลที่ ๑ เพราะผมอธิษฐานขอกับหลวงพ่อกวย ครั้งที่ ๒ ผมอยากมีโชคลาภ ผมจึงนำโต๊ะเล็ก ๆ ไปตั้งไว้ที่หลังบ้าน แล้วตัดรูปหลวงพ่อกวยจากหนังสือนะโมติดกับกล่องสบู่แล้วจุดเทียนไว้ ๒ ข้างรูปจุดธูป ๙ ดอก (ตั้งโต๊ะกลางแจ้ง) ผลปรากฎว่าผมถูกลอตเตอรี่รางวัลเลขท้าย ๓ ตัว ได้เงิน ๑,๐๐๐ บาท ผมเลยนำเงินซื้อของให้เด็กกำพร้าที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็กชายภาคใต้ของยะลา

ผมอยากขอทรายเสก รูปของหลวงพ่อที่คุณอาแจก และผมขอคาถาโองการมหาทมื่นและคาถาพ่นตาแดงด้วย (ถ้าทรายเสกไม่มีขอตะปู)

สุดท้ายนี้ขอให้คุณอาจงมีแต่ความสุข
พิพัฒน์


ตอบตอบ คุณพิพัฒน์ คุณทำดีแล้ว นำเงินส่วนหนึ่งไปเลี้ยงอาหารเด็ก ถ้าคนไทยทุกคนรู้จักช่วยเหลือเจือจานกัน วันที่ลูกหลานเราต้องล่อเรือคงไม่มี

สำหรับคนอยากได้ใบคาถาอาวุธ ๕ เป็นลายมือหลวงพ่อ ใครอยากได้ให้เขียนจดหมายมาขอสอดซองแสตมป์จ่าหน้ามา ผมจะซีล๊อกซ์ส่งไปให้

ฒ.สุพรรณ


หลวงพ่อเเช่ม เจอบารมีรูปภาพหลวงพ่อกวย

จดหมายคุณประยูร  ซอยชินเขต

๒๕/๘๓-๘๔ ซอยชินเขต เขตดอนเมือง
กทม. ๑๐๒๑๐

เรียนคุณเฒ่า สุพรรณ

จดหมายคุณพิพัฒน์  แซ่ตัน
๓๘ ถ.สามัคคี อ.เมือง จ.ยะลา

สวัสดีคุณอาเฒ่า สุพรรณ
เรื่อง รูปภาพหลวงพ่อกวย

ผมได้จัดทำภาพของหลวงพ่อกวยขึ้นจำนวนหนึ่ง จะแจกให้กับผู้ที่สนใจอยากจะได้ไว้จึงขอรบกวนคุณเฒ่า ขอให้ช่วยจัดการให้ด้วยรูปทั้งหมดได้นำไปให้หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม เมตตาปลุกเสกให้แล้ว และยังได้นำไปเข้าพิธีพุทธาภิเษกที่วัดดวงแขด้วย โดยมีหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง เป็นประธานและมีพระคณาจารย์ร่วมพิธีอีก ๒๐ กว่ารูป หรือคุณเฒ่าจะนำไปให้หลวงพ่อที่คุณนับถือปลุกเสกเพิ่มเติมก็จะเป็นการดีมากเลยครับ

ก่อนที่ผมจะนำภาพชุดนี้ไปให้หลวงพ่อแช่มช่วยปลุกเสก ก็ได้นำภาพทั้งหมดนี้ใส่พานไว้หน้ารูปถ่ายหลวงพ่อ(รูปใบปลิวผมใส่กรอบเอาไว้) จุดธูปบอกหลวงพ่อขอให้ช่วยปลุกเสกให้ผมด้วย ผมจะนำไปแจกให้กับคนที่นับถือศรัทธาในตัวหลวงพ่อ แล้วจึงนำไปให้หลวงพ่อแช่มช่วยเมตตาปลุกเสกให้ ไปถึงวัดก็ไปกราบท่านแจ้งความประสงค์ให้ท่านทราบ พอดีวันนั้นคนน้อยมากสักพักก็ได้ปลุกเสกให้และพรมน้ำมนต์ แล้วผมก็รับห่อรูปกลับมา แล้วท่านถามผมว่า ในห่อน่ะรูปใคร เก่งนะหลวงพ่อองค์นี้ อยู่ที่ไหน ผมก็บอกว่าเป็นรูปภาพของหลวงพ่อกวย อยู่ที่ชัยนาท มรณภาพไปนานหลายปีแล้ว ท่านก็บอกว่า บารมีท่านมากจริง ๆ เมตตากับคนทั่วไป ยังอยู่คอยคุ้มครองศิษย์ของท่านที่ระลึกถึงท่าน เมตตาบารมีท่านแรงจริง ๆ และท่านยังบอกผมว่า ว่าง ๆ ก็ให้ผมไปกราบท่านที่วัดซะ เพราะท่านยังอยู่ในที่ที่ท่านเคยอยู่นั่นแหละ ก่อนกลับหลวงพ่อแช่มก็ยังเอาห่อรูปไปปลุกเสกให้อีกรอบและพูดว่า ก๋งไปอยู่กับลูกหลานนะก๋งนะ ไปคุ้มครองป้องกันภัยให้ลูกหลานเจริญรุ่งเรืองนะก๋งนะ นี่คือคำพูดของหลวงพ่อแช่มก่อนที่ผมจะลาท่านกลับ (ปัจจุบันหลวงพ่อแช่มมรณภาพแล้วประมาณ ๓ เดือนแล้ว)




แตกทั้งหมด


พระท่านว่า สังขารของคนเรานั้นมีความมั่นคงในเบื้องต้น มีความแปรปรวนในบั้นกลาง และดับสลายในบั้นปลาย แม้แต่สรรพสิ่ง หรือสิ่งของนั้น บางอย่างกว่าจะแตกสลายต้องใช้เวลานาน บางครั้งก็ใช้เวลาสั้น แต่ต้องดับสลาย หรือสูญสิ้น กลับเป็นธาตุเดิมทั้งหมด

เมื่อสิบกว่าปีก่อน ถ้าท่านอยู่ตามต่างจังหวัด ท่านอาจจะได้พบกับพ่อค้าเร่ขายของชนิดหนึ่ง จานใสคล้าย ๆ แก้ว แต่ตกไม่แตกจะขว้างจะปาอย่างไรก็ไม่แตก โดยคนขายจะทดลองให้ดูถ้าพอใจในคุณภาพ เขาจะขายเป็นชุด ชุดละประมาณ ๑๕๐ บาท เงินในสมัยก่อนนั้นก็มากโขอยู่

จะถึงคราวหน้าแตกของพ่อค้าเร่หรืออย่างไรไม่รู้ พ่อค้าคนนี้ได้นำจานชนิดตกไม่แตกปาไม่แตก มาเร่ขายที่วัดของหลวงพ่อ เขาได้ทดลองขว้างและปาให้พระ เณร และกรรมการวัดดู แถมให้พระและเณรทดลองปาดูด้วย เมื่อพระ เณร และกรรมการวัดเห็นว่าจานนี้เป็นของใหม่ ของดีควรซื้อเอาไว้ แต่ติดใจตรงที่ราคาแพงต้องซื้อเป็นชุด ๆ เลยขึ้นกุฏิไปกราบหลวงพ่อเพื่อปรึกษาอย่างไรจะได้ให้หลวงพ่อซื้อไว้เป็นสมบัติของวัด ปีนั้นพระจิตบวชอยู่กับหลวงพ่อ(ภายหลังได้เป็นเจ้าอาวาสวัดหัวเด่น) เมื่อขึ้นมากราบหลวงพ่อ และเล่าเรื่องให้หลวงพ่อฟังแล้ว หลวงพ่อได้พูดเป็นปริศนาว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ไม่แตก ฝ่ายพระเณร และชาวบ้านเห็นว่าหลวงพ่อต้องไม่เชื่อเหมือนกับพวกตนที่ไม่เชื่อมาแต่แรก จึงได้ยืนยันกับหลวงพ่ออีกครั้ง พร้อมทั้งให้เด็กวัดมาตามพ่อค้าเร่ขายจานให้มาพบหลวงพ่อ เมื่อพ่อค้าเร่ขึ้นมาบนกุฏิของหลวงพ่อ เขาก็คุยถึงสรรพคุณของจานของเขาทันที พร้อมทั้งแกให้หลวงพ่อดู โดยแกลงมาด้านล่างอย่างแรง ผลคือไม่แตก ก็จะแตกได้อย่างไรในเมื่อจานของเขาบริษัทรับประกันคุณภาพ เจ้าของโฆษณาว่าเมดอินเจแปน หลวงพ่อท่านคงชอบใจคนขายหรือชอบใจจานไม่รู้ได้ ท่านหัวร่อ หึ หึ สองคำ แล้วขอทดลองโยนจานจากพ่อค้าเร่ พ่อค้าก็ใจถึง พูดว่านิมนต์เลยหลวงตา ถ้าแตกไม่เอาสตางค์ไม่ต้องซื้อ พร้อมทั้งพูดทิ้งท้ายว่า “อย่าว่าแต่คนเลยครับเทวดาก็โยนจานของผมไม่แตก” หลวงพ่อหยิบจานมาพิจารณาดู แล้วลองโยนในระยะใกล้ ๆ ประมาณ ๒ - ๓ ศอกได้ ผลคือแตกอ้างเพล้ง พ่อค้าเร่ถึงกับหน้าถอดสี แต่ก็ไม่มั่นใจเท่าไร ส่งจานใหม่ให้หลวงพ่อโยนอีก ผลคือแตก พ่อค้าเร่คนนั้นก้มกราบหลวงพ่อ ลงจากกุฏิไป ท่าทางของเขาหงอยและเซื่องซึม เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

ในวันนั้นถ้าเขารู้สักนิดว่า พระหลวงตาองค์นั้น คือ หลวงพ่อกวย เขาคงจะไม่เสียใจเท่าไร เขาได้พูดว่า อย่าว่าแต่คนอื่นเลย เทวดาก็โยนจานของเขาไม่แตก เขาคิดไม่ออกว่าหลวงตาองค์นั้นเป็นใคร ทำไมจึงโยนจานของเขาแตก ถ้าเขารู้ว่าหลวงตาองค์นั้น คือ หลวงพ่อกวย ที่อย่าว่าแต่โยนเลยมองด้วยตาก็แตก เอานี้ชี้ก็แตก เขาคงไม่เสียใจขนาดนั้น
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 04, 2013, 03:15:17 pm
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๕๑
วันที่ ๑๕ ก.ค. – ๒๕ ก.ค.๒๕๓๖
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๔

กราบนมัสการพระอาจารย์สำรวย

กระผมมีเรื่องอภินิหาร ที่กระผมได้ประสบมาเอง คือเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ที่ผ่านมา กระผมได้เลิกจากการทำงานเวลา ๒๓.๐๐ น. และได้ไปรับภรรยาที่ร้านอาหารจ่าศูนย์ ซึ่งกระผมได้นัดกับภรรยาไว้ว่าเลิกจากงานแล้วจะไปรับและทานอาหารด้วย ขากลับ ขับรถยามาฮ่า มากับภรรยา เกิดอุบัติเหตุตรงทางเลี้ยวใกล้ใต้ถุนสะพานแก้วนิมิตรังสิต รถปิ๊กอัพขับรถมาชนกับรถของกระผม เพราะต่างคนต่างก็เลี้ยว กระผมมองเห็นรถของเขา แต่เขามองไม่เห็นรถของกระผม เพราะเขามองทางขวามือ เขาจะเลี้ยวออกถนนใหญ่ เขากินเลนมาทางขวามือมากไปหน่อย และเขากำลังเมาด้วย ส่วนกระผมและภรรยาเมื่อโดนชนแล้ว ภรรยาหล่นลงมากระแทกกับพื้นถนนแต่ไม่มีบาดแผลเลย ส่วนกระผมกระเด็นไปไกลหลายวา กลิ้งไปกับพื้นถนน โดยที่หัวกระผมไม่กระทบกับพื้นเลย เพียงแต่ข้อศอกซ้ายมือถลอกเหมือนหนามข่วน และก็เจ็บหน้าอกที่ด้านขวาหน่อยเดียว เมื่อรู้สึกตัวภรรยาผมนึกว่ากระผมเรียบร้อยไปแล้ว ที่ไหนได้ภรรยากลับเจ็บหนักกว่าผมเสียอีก
 
ขณะนั้นกระผมแขวนพระสมเด็จหลังรูปเหมือนของหลวงพ่อกวย และรูปเหมือนกริ่งหลวงพ่อกวยกระผมจึงเลื่อมใสและศรัทธามาก

รักเคารพอย่างสูง

สาย วิมล

บ.กู๊ดเยียร์(ประเทศไทย) จำกัด
๕๐/๙ ถ.พหลโยธิน ต.คลองหนึ่ง อ.เมือง จ.ปทุมธานี ๑๒๓๑๐


รูปถ่ายหลังสิงห์รุ่นแรก


ต่อไปจะกล่าวถึงรูปถ่ายชนิดเล็กคล้องคอของหลวงพ่อครั้งแรก หรือรุ่นหลังสิงห์ รูปถ่ายรุ่นนี้หลวงพ่อนั่งบนพรหมขนาดใหญ่เล็กน้อย ด้านหลังตรงศีรษะเป็นแสงไฟ เมื่อถ่ายออกมาแล้วมองดูเป็นรัศมีสวยมาก เป็นรูปขาวดำ รูปรุ่นนี้สร้างประมาณ พ.ศ.๒๕๐๐ เข้าใจว่ามีรูปชนิดบูชาโปสการ์ดออกมาพร้อมกันด้วย แต่รูปโปสการ์ดไม่เคยเจอ เคยเจอแต่ของทำมาใหม่ รูปถ่ายหลังสิงห์นี้ หลวงพ่อได้ปั๊มตราเป็นรูปสิงห์เอาไว้ ล้อมด้วยคาถาและหัวใจต่าง ๆ รูปรุ่นนี้มีทั้งชนิดอัดกระจก ๒ ด้าน กับชนิดเลี่ยมพลาสติกเดิม ออกมาจากในวัดเลย คือเลี่ยมมาเรียบร้อยแล้วรูปรุ่นนี้เป็นต้นแบบ ของเหรียญรุ่น ๑ ปี พ.ศ.๒๕๐๖ มีพุทธคุณเทียบเท่าเหรียญรุ่น ๑ คาถาอาราธนา ว่าดังนี้“พุทธัง อาราธนานัง ธรรมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง สิงหะคะคะ”ก่อนหน้านี้ หลวงพ่อเคยทำรูปออกมาเช่นกันเป็นรูปถ่ายอัดกระจก รูปรุ่นนี้หลวงพ่อยังหนุ่มอยู่ ด้านหลังรูปคล้าย ๆ เป็นภาพวาดผนังโบสถ์ เป็นรูปยืน แต่หายาก เคยเจอ ๒ อัน เก่ามากแล้ว ถ้าถามว่าก็รูปรุ่นนี้จะเรียกเป็นรุ่นอะไรดี ผมเลยตั้งชื่อให้ว่า รูปถ่ายอัดกระจกรุ่นก่อนรุ่นแรก รูปรุ่นนี้เป็นยันต์ นะโมพุทธายะ เป็นยันต์ที่เขียนด้วยปากกา

ต่อไปจะขอจดบันทึกอภินิหารของรูปถ่ายหลังสิงห์เอาไว้ นายอุดม  อ่อนสะอาด บ้านอยู่ปากน้ำ ต.ปากน้ำ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ปัจจุบันทำงานอยู่ชลประทานอยู่ที่สามชุก เมื่อสิบกว่าปีก่อนมีอาชีพแจวเรือจ้างข้ามฟาก แม่น้ำท่าจีน ตรงตลาดปากน้ำ สมัยก่อนการคมนาคมยังไม่ดีพอ ต้องอาศัยเดินทางโดยทางน้ำ ความจริงการเดินทางโดยทางน้ำหรือทางเรือนี่ก็ดี รัฐบาลไม่ต้องเสียงบประมาณในการทำถนน ทางน้ำไม่มีหลุมไม่มีบ่อด้วย กว้างดีได้หลายเลนด้วย ตอนนั้นนายอุดมได้หยุดแจวเรือกำลังวิดน้ำออกจากเรือ ช่วงที่แกแจวเรือนั้นเป็นช่วงของแม่น้ำท่าจีนกับคลองถ้ำเข้ ไหลมาชนกัน น้ำจึงไหลเชี่ยวบริเวณ ๒ ฝั่ง สมัยนั้นมีคนมาใช้กันมาก มีอาบน้ำ ซักผ้า ขึ้นเรือ ส่งของ ขณะที่นายอุดมกำลังวิดน้ำออกจากเรือ เขาเห็นวัตถุสิ่งหนึ่งกำลังลอยสวนน้ำขึ้นมา ทีแรกเข้าใจว่าปลา แต่เมื่อลอยมาใกล้ ๆ ขนาดเอามือเอื้อมถึง เขาจึงรู้ว่า เป็นพระเลี่ยมพลาสติก เมื่อหยิบขึ้นมาเขาถึงกับขนลุก เพราะรูปพระเลี่ยมพลาสติกนั้นเป็นรูปถ่ายหลังสิงห์รุ่นแรก ของหลวงพ่อกวย แล้วลอยสวนน้ำขึ้นมาได้อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก ตอนหลังเขาเลยศรัทธาหลวงพ่อกวยมาก เขาหาวัตถุมงคลของหลวงพ่อไว้อีกหลายแบบ

อีกเรื่องหนึ่ง นายแป๊ะ บ้านเดิมเป็นคนแม่น้ำน้อย อำเภอบุรี จังหวัดชัยนาท เขาเดินทางมาพบผม เขาบอกเขาต้องการรูปถ่ายหลังสิงห์ ของหลวงพ่อเอาไว้บูชา ผมก็สงสัยได้ถามเขา ทีแรกเขาก็ไม่ยอมเล่า คือผมขู่เขาว่า ถ้าไม่เล่าให้ฟังจะไม่หาให้ เขาเลยเล่าให้ฟัง เขาบอกว่า บิดาเขาได้สั่งเสียก่อนตายว่าให้หารูปถ่ายหลังสิงห์ของหลวงพ่อกวยมาติดตัวเอาไว้ให้ได้ คือบิดาเขาเดิมเป็นเสือ เป็นนักเลง เป็นศิษย์ของหลวงพ่อ หลวงพ่อได้ให้รูปถ่ายหลังสิงห์ไป ๑ องค์ ติดตัว ครั้งหนึ่งไปลักควายเขาเจ้าของควายรู้ตัวได้ยิงด้วยปืนลูกซองบรรจุลูกโดด เม็ดเดียว ยิงระยะประชิดแบบเผาขนถึงกับกระเด็นหงายท้อง บริเวณที่โดนยิงคือท้องน้อย ตรงที่ใช้คาดผ้าขาวม้าพอดีลูกโตมาก ความแรงของลูกปืนถึงขนาดลูกตะกั่วบี้เลย เมื่อพ่อนายแป๊ะหายจากตกใจและหายเจ็บ ก็หนีมาได้ เพื่อนที่ไปด้วยกันโดนยิงตายคาที่ อีกครั้งหนึ่งโดนลักยิงขณะกินข้าวโดนบริเวณรูหูพอดี ถึงกับคว่ำลงไปต่อหน้าลูกเมีย แต่ไม่เข้า เป็นลูกโดดเช่นกัน รูปถ่ายหลังสิงห์อันนั้นภายหลังโดนน้ำเข้าสีจางซีดเขาว่าเสื่อม

เกี่ยวกับวัตถุมงคลของหลวงพ่อ รุ่นเก่า เช่น เหรียญรุ่นแรก และรูปถ่ายหลังสิงห์นี้ ถ้าปกติจะยิงไม่ออกหรือออกแต่ไม่ถูก แต่ถ้านำติดตัวไปในทางไม่ดี เช่น จี้ ปล้น หรือลักทรัพย์ พุทธคุณจะเหลือครึ่งหนึ่ง (อันนี้ผมเข้าใจเอาเอง) จะออกและถูก แต่ไม่เข้า ปัจจุบันรูปถ่ายหลังสิงห์ชนิดอัดกระจกมีปลอม ส่วนชนิดเลี่ยมพลาสติกยังไม่มีปลอม (๑๑ มิ.ย.๓๔) ถ้าจะเช่าหาขอให้ระวังชนิดอัดกระจกด้วย

อีกเรื่องหนึ่งนายเชื้อ คนสรรค์บุรี ได้ไปทำป่าไม้ คือตัดต้นไม้ส่งโรงเรื่อย โดนคู่แข่งยิงด้วยปืนลูกซองยาวบรรจุ ๙ เม็ดยิง ได้ไปหาหมอเช็คร่างกาย โดนไป ๕ เม็ด มีอยู่เม็ดหนึ่งเข้าไปในรูหู พยาบาลและหมอจะแงะเอาออก นายเชื้อไม่ยอม ได้ขับรถมาจากกำแพงเพชรมากราบหลวงพ่อ เอาลูกปืนมาให้หลวงพ่อดู
หลวงพ่อไม่พูดสักคำ ได้แต่หัวร่อ หึ หึ...

จดหมายของคุณระนอง

๑๖๒ ม.๖ ต.หนองผึ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

ผมทำบุญ ๑๐๐ บาท เนื่องจากผมได้ตัดรูปของหลวงพ่อ เอาไว้บูชาบนหิ้งบูชา แล้วขอโชคลาภจากท่าน ปรากฏว่าผมถูกหวยนิดหน่อยเลยส่งเงินมาทำบุญ

นมัสการด้วยความเคารพ

ระนอง  เอี่ยมราดิน


จดหมายจากคุณวรรณรักษ์

๔๕/๖ สงขลา – นาทวี อ.เมือง จ.สงขลา ๙๐๐๐๐

นมัสการอาจารย์สำรวย

ผมมีเรื่องจะเล่าให้อาจารย์ฟังคือ ผมได้ตัดรูปของหลวงพ่อในหนังสือเอาไปบูชาวันหนึ่งผมได้บนกับหลวงพ่อ คือบนกับรูปภาพ ผมบนว่าขอให้คนในบ้านของผมถูกเลขท้าย ๓ ตัว แล้วผมจะส่งเงินมาทำบุญที่วัด แต่เมื่อหวยออกแล้ว คนในบ้านไม่มีใครถูกเลย สาเหตุเพราะไม่มีใครซื้อเลย ผมก็ไม่ได้ซื้อ อยู่ต่อมาวันที่ ๒๑ กันยายน ผมก็ถูกสลากออมสิน

ผมจึงส่งเงินมาทำบุญ ๑๐๐ บาท

เคารพ
วรรณรักษ์  รุ่งรัศมี


ตอบตอบ คุณวรรณรักษ์ ผมนำจดหมายคุณตีพิมพ์ เพราะเห็นเป็นเรื่องแปลกดี คุณบนกับหลวงพ่อให้ถูกหวย แต่ไม่มีใครซื้อ จึงไม่มีใครถูก แต่หลวงพ่อก็ให้โชคคุณถูกสลากออมสิน ผมมาพิจารณาดูหลวงพ่อนี้ก็ชอบกลเหมือนกัน ขนาดคุณไม่ได้ซื้อยังทำให้คุณถูกได้ ขณะเขียนต้นฉบับ ตอนเช้าผมได้พบกับนายออต ลูกคุณโสภี ทำงานอยู่กรุงเทพฯ เคยพบผมได้ขอรูปซีรอคซ์คู่กับหลวงพ่อเดิม ได้บอกเล่าขอพร ขอโชคถูก ๕๐๔ ตรง ๆ ๑๐ บาท เขาบนจะถวายขนมจีนกับพระ

วาจาสิทธิ์

หลวงพ่อเป็นพระที่พูดน้อย ถ้าพูดกับศิษย์ใกล้ชิด จะพูดแบบกันเองคือ มึง กู ถ้าพูดกับศิษย์ผู้หญิงจะพูดสุภาพขึ้น มีคำว่า หนู อีหนู แต่ถ้าพูดกับพระด้วยกันจะพูดสุภาพพูดกระผม และจะพูดน้อยกับคนนอก ที่ไม่สนิทคุ้นเคย จะนั่งเฉย พูดแต่น้อย แต่ก็ชวนคุยบ้าง เป็นบางโอกาส หลวงพ่อเป็นผู้คงแก่เรียน รู้คาถาแทบทุกบท ทำได้ขลัง แต่ไม่พูดไม่แสดง ถ้าจะทำน้ำมนต์ จะปลุกเสกของก็จะทำในห้องของท่าน จะไม่แสดงตัวว่าช่วยใคร ทั้ง ๆ ที่ช่วยสุดกำลัง มีศิษย์ไปหาท่านมีทุกข์ร้อนท่านจะรดน้ำมนต์ให้ เป่ากระหม่อมให้ แล้วถ้าไม่ถามก็จะไม่พูด ถ้าถามว่าผมจะติดคุกไหม จึงจะพูดว่าไม่ติด ถามว่าจะเป็นอย่างไร ท่านจะพูดว่าดี ถ้าไม่ถามก็จะไม่พูด นั่งเฉย บางคนก็แจกพระไป แจกตะกรุดไป ถ้าจะหมดเคราะห์ เขาเอาไปใช้ก็จะดี เรื่องความแก่กล้า ทางอาคมของท่านนี้ บางครั้งเหมือนท่านไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่คน ๆ นั้นกลับหายเป็นปกติ คือท่านว่าคาถาให้ในใจในจิตทาน เช่น มีคนปวดหัว มาบอกท่าน ท่านจะนั่งเอามือบีบนิ้วท่านคล้าย ๆ บีบเล่น ๆ เพราะปวดเมื่อย แต่คน ๆ นั้นกลับหายเป็นปวดหัวได้ ทั้ง ๆ ที่เป็นมานานแล้ว ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ งานฝังลูกนิมิตมีคนหมู่บ้านใกล้ ๆ นำแม่ครัวมาช่วยท่านเขาแกงบอนแล้วคันคอ คนที่นำแม่ครัวมาช่วยไปบอกท่าน ท่านให้จดชื่อเอาไปให้ท่าน ปรากฎว่าแม่ครัวเหล่านั้น แกงบอนได้อร่อยไม่คันคอ มีบางคนตกงาน มีปัญหามากมายมาหาท่าน บอกท่านเฉย ๆ ไม่เห็นท่านทำอะไร เขาเหล่านั้นเมื่อกลับไปบ้านเหตุการณ์กลับดีขึ้น ไม่รู้ว่าท่านว่าคาถาบทไหน หรือทำอย่างไร สมัยก่อนนั้น มีบางคนมาหาท่าน คือผู้หญิงท้องกลัวออกลูกยาก ก็ออกง่าย บางคนกลัวปวดกลัวเจ็บ ท่านยังสามารถทำให้ไม่ปวดที่สามีได้ วิชานี้ผมว่าเจ็บแสบน่าดู แต่เป็นเรื่องแปลก คือคนเขาไม่ค่อยมารบกวนท่าน มี ๒ กรณีคือ ๑. คนบ้านแคและใกล้เคียง เคารพท่านมาก เกรงใจท่าน ทราบว่าท่านทำวัตถุมงคล จึงไม่ไปรบกวนท่าน จะรบกวนท่านเฉพาะที่จำเป็นจริง ๆ ๒. คนถิ่นอื่นมาหาท่าน เห็นท่านนั่งเฉย ๆ คิดเอาว่าท่านไม่เห็นไม่ทำอะไร จะรดน้ำมนต์ จะสะเดาะเคราะห์ จะถามวันเดือนปีเกิด หรือแนะนำอะไรก็ไม่เห็นทำ แบบอาจารย์บางองค์ต้องปล่อยนกปล่อยปลา ปล่อยเต่า เท่าอายุ สะเดาะเคราะห์ ทำสังฆทาน สร้างพระพุทธ แต่ไม่เห็นท่านทำหรือแนะนำที่หมดเคราะห์หมดโศกเข้าใจว่าฟลุคหรือเป็นเพราะอาจารย์องค์อื่นมากกว่า แถมเลี้ยงหมาดุอีกด้วย ไม่ไปดีกว่า

มีเรื่องที่คนบ้านแค และใกล้เคียงเล่าเอาไว้ เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นว่าทำไมคนเขาจึงเกรงกลัว และเคารพท่าน แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องหมิ่นเหม่ต่อชื่อเสียงของท่าน ผมเกรงว่าจะถ่ายทอดคำพูดคำบอกเล่าเอามาไม่เหมือนกันนัก เกรงว่าจะมองท่านในแง่ไม่ดี นายจำนงค์ แก้วโคราช เป็นคนจร ได้มาขออาศัยที่ทำกินอยู่กับนายเฉือน  ปั้นสน  คนหนองแขม อ.สรรค์บุรี นายเฉือนเป็นศิษย์ของหลวงพ่อได้เมตตาให้นายจำนงค์ อาศัยอยู่ โดยปลูกกระท่อมอยู่ใกล้ ๆ กัน และได้ให้ที่ทำกิน ๑ ไร่ คือเอาไว้ปลูกผักเอาไว้กิน โดยบอกให้ปากเปล่า หมายความว่าให้อาศัยอยู่เฉย ๆ จะซื้อขายไม่ได้ แต่นายจำนงค์เป็นคนไม่ดีจริง อยู่ต่อมาได้ไปกู้เงินนายฉาย คนตลาดท่าช้าง  อ.เดิมบางนางบวช นายฉายนี้เป็นคนออกเงินให้คนอื่นกู้ เป็นคนเค็ม ได้ขอหลักฐานจากนายจำนงค์ นายจำนงค์ได้บอกว่ามีที่อยู่ ๑ ไร่ แต่ไม่มีหนังสือหรือใบสำคัญอะไร เขาให้อาศัยอยู่ ถ้าจะเอาต้องหาทางทำหนังสือสำคัญเอาเอง นายฉายเป็นคนกว้างขวางประกอบกับมีหลานทำงานที่ดินอยู่ด้วย ได้เดินทางมาหานายจำนงค์แล้วขอวัดที่ตรงที่นายจำนงค์อาศัยอยู่โดยบอกกับนายเฉือนเจ้าของที่ดินว่าวัดเอาไปทำหนังสือค้ำประกันเงินกู้เฉย ๆ ไม่มีอะไร นายจำนงก็รับรองอย่างเหนียวแน่น นายเฉือนไม่ทันเขาได้เซ็นต์หนังสือให้เขาไป เมื่อนายจำนงค์ได้เงินแล้วก็ไม่ยอมไปไถ่ที่ เอาเงินไปใช้อย่างสบายใจ อยู่ต่อมา เจ้าของเงินคือนายฉายก็จะมายึดที่ นายเฉือนเจ้าของที่จึงได้รู้ว่าถูกเขาหลอกเสียแล้ว เขามี น.ส.๓ ด้วย เขาพูดว่าถ้าไม่ไถ่คืนจะยึดที่ เงินค่าไถ่ทั้งหมดทั้งต้นทั้งดอกเป็นเงิน ๖,๐๐๐ บาท เงินในปี พ.ศ.๒๕๑๔ นายเฉือนเจ้าของที่ก็กลุ้มใจ เสียใจ ที่ต้องหาเงินมาไถ่ที่ของตัวเองแท้ ๆ นายเฉือนได้เดินทางมาหาหลวงพ่อเล่าให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อฟังก็เฉย ๆ และได้พูดว่า“กูช่วยอะไรมึงไม่ได้ มึงอยากเซ่อซ่าเอง ไม่ทันเขา ถ้าจะเอาที่เอาไว้ ก็ต้องไปไถ่คืนเอามา”แล้วท่านก็บ่นพึมพำว่า“ไอ้พวกนี้ ก็ร้ายจังเลย อายุมันถึงได้สั้นจัง”แล้วนายเฉือนก็ได้ลากลับไปรู้สึกเสียใจ ที่หลวงพ่อช่วยอะไรไม่ได้ จึงได้ไปไถ่ที่คืนเป็นเงิน ๖,๐๐๐ บาท ไม่ลดเลย อยู่ต่อมานายฉายเจ้าของเงินป่วยไม่ทราบสาเหตุ ไปตายที่โรงพยาบาล นางฉาบภรรยาเสียใจมากได้ป่วยตายเช่นกัน หลานนายฉายที่ทำงานที่ดินเป็นคนมาวัดที่รังวัด ได้ถูกรถชนตาย นายจำนงค์คนนำความเดือดร้อนมาให้ได้ไปกินเหล้ากับเพื่อนที่หนองแขมโดนเพื่อนยิงตาย เรื่องนี้เป็นเรื่องของวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อ หรือท่านจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ก็ไม่รู้ แต่รู้สึกเด็ดขาดและรุนแรง ในสมัยนั้นคนจึงเกรงคำพูดของท่านมาก แม้เมื่อท่านมรณภาพไปแล้วคนที่ยังเชื่อท่าน เชื่อในอาคมท่าน เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของท่านแม้มีเรื่องเดือดร้อนเขาจะไปบอกต่อท่าน พูดกับรูปหล่อของท่าน คับแค้นใจก็ร้องไห้ เมื่อกลับไปไม่นาน เหตุการณ์เลวร้ายกลับดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีบางคนข่มเหงน้ำใจศิษย์ของท่าน ได้มาบอกเล่าต่อท่านที่รูปหล่อ ร้องไห้ไปเล่าไป เมื่อกลับไปไม่นานคนที่ทำกับศิษย์ท่าน บางคนถึงกับทรุดอย่างเห็นได้ชัด อาจจะเป็นเพราะว่า ท่านชอบเจริญมนต์พระพุทธเจ้าชนะมารก็ได้ ในมนต์นี้ยังกล่าวถึงบุญบารมีของพระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญมาถึง ๑๐ ชาติ

ส่วนคนชื่อเฉือน ปั้นสน นี้ ได้วิชาขอดชายผ้า จากหลวงพ่อไป เขาขอดได้ขลังมาก ขอดได้ชนิดยิงไม่ออก รู้สึกจะได้ไปเพียงคนเดียว เคยมีการทดลองวิชากัน หมอเฉลียว เดชมา ยังกล่าวชมว่า ไม่รู้ว่าเขามาแอบเรียนไปตอนไหน แต่เขาจะไม่ทำให้ใครดูง่าย ๆ และไม่อวดตัว นายเฉือนนี้เคยได้คาถา จินดามณี  เข้าใจว่าได้เพียง ๒ คน อีกคนหนึ่งคือลุงทอด ลุงทอดเขาถือว่าหลวงพ่อไม่ได้สั่งให้ถ่ายทอดให้ใคร เขาเลยไม่ยอมบอก แต่เขาบอกว่าคาถานี้ มีอีก ๑ คนคือ นายเฉือน เป็นคนหนองแขม บ้านเดียวกับอาจารย์สำรวย ผลเลยให้อาจารย์สำรวยจัดการ อาจารย์สำรวยได้ขอคาถาเขาไม่ให้ บังเอิญเขาชอบกินเหล้า อาจารย์สำรวยเลยมอบเหล้าไป ๓ ขวด จึงยอมบอกคาถา ส่วนคนที่สงสัยว่านายเฉือนนี้มีตัวตนจริงหรือเปล่า ให้ลอง ๆ ถามอาจารย์สำรวยดู ค่อย ๆ ถาม เดี๋ยวอาจารย์สำรวยท่านจะเตะเอาเพราะนายเฉือนนี้ เป็นโยมบิดาของท่านอาจารย์สำรวย เอง...

ปล.เรื่องที่มีศิษย์ที่เคารพในองค์หลวงพ่อ เมื่อมีเรื่องเดือดร้อน เขาได้บอกเล่าต่อหลวงพ่อ โดยเฉพาะขอโชคลาภนั้นมีมากเป็นร้อย ๆ ราย ลอง ๆ อ่านจดหมายของคุณสมกฤกษณ์ หิรัญอมรกุล คุณศิริชัย สุขใจ คุณนิพัทน์  ปันจะสุจริต ลอง ๆ อ่านดู แม้เรื่องอื่นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ถ้าท่านช่วยได้ท่านก็จะช่วย ไม่จำเป็นต้องบน เพียงบอกขอให้ช่วย ถ้ารู้และพอช่วยได้ จะช่วยทันที คาถาขอดชายผ้าเป็นมหาอุด ปืนยิงไม่ออก ผมได้พบตำราขอดผ้าของหลวงพ่อ

หลวงพ่อเขียนว่า “ขอดผ้าปืนยิงไม่ออก” คาถาว่าดังนี้

“ปิด ปัด ยัด อุด
อุด อัด ยัด ปิด
ปิด ยัด อัด อุด
อุด ยัด ปัด ปิด
ประสิทธิเม”

คาถาบทนี้เท่าที่ทราบหลวงพ่อไม่ได้ถ่ายทอดให้ใคร นอกจาก นายเฉือน  ปั้นสน
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ พฤศจิกายน 04, 2013, 10:15:38 pm
 ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 05, 2013, 11:30:15 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๕๒

วันที่ ๒๕ ก.ค. – ๕ ส.ค.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



เหรียญรุ่น 1


ต่อไปจะขอกล่าวถึง วัตถุมงคลชุดสุดยอดของหลวงพ่อ คือเหรียญรุ่น ๑ อีกสักครั้ง เหรียญรุ่น ๑ หรือที่บางคนเรียกว่าเหรียญกลมฝาบาตร ออกประมาณ พ.ศ.๒๕๐๖ สร้างประมาณ ๕,๐๐๐ เหรียญ เป็นเหรียญกลมเนื้อฝาบาตร คือเนื้อทองเหลืองผสมทองแดง แต่ออกสีทองเหลืองมาก หลวงพ่อสร้างเอง ไปทำเหรียญกับบุตรบุญธรรม ท่านออกแบบเอง เน้นเหรียญกลมและเต็มองค์ มีเนื้ออัลปาก้าประมาณ ๑๐ องค์ ด้านหลังเหรียญเป็นยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้าชนิดเต็มยันต์ เป็นคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า คาถานี้ใช้กำบังได้ เมตตาได้ จังงังได้ เสริมดวงชะตาได้ กันคุณกันของกันกระทำได้ภาวนาในป่าในเขาในถ้ำ กำหนดเขตบริเวณสามารถกันภูติพราย เจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าถ้ำได้ หลวงพ่อเรียกคาถานี้ว่า โองการพระพุทธเจ้า เหรียญรุ่นนี้รมทองบาง ๆ

เหรียญรุ่น ๑ ของหลวงพ่อนี้ มีอานุภาพสูงมาก ดีมาก ในอนาคตเหรียญรุ่น ๑ นี้ จะเป็นอมตะที่หาค่าไม่ได้ จะเป็นที่ถามถึงของแขกผู้มาเยือน เมืองสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท มีคนเคยนำเหรียญรุ่น ๑ นี้นำไปทดลองยิงด้วยปืนซุปเปอร์ ๓ นัดไม่ออกเลย มีคนเคยโดนยิงด้วยปืนหลายครั้งหลายหนไม่ออกเช่นกัน มีคนนำเหรียญรุ่น ๑ นี้ไปใส่ไว้ในพลุปรากฏว่าจุดไม่ติดติดเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแล้วก็ดับ แต่วัตถุมงคลของหลวงพ่อนี้ทุกชนิดถ้านำไปใช้ในทางที่ไม่ดี อานุภาพจะลดลงเหลือ ๑ ใน ๓ ส่วน คือ คือจากที่ไม่ออก ไม่ถูก จะออกและถูกทั้งหมดเพียงแต่ไม่เข้า เขาว่ากันอย่างนั้น

จะขอเล่าเพื่อบันทึกในคุณวิเศษและอภินิหารของเหรียญรุ่นนี้เอาไว้สัก ๓ – ๔ เรื่อง


เรื่องแรก นายกั๊ก  คนโพธิ์งาม ทำงานอยู่ท่าเรือบางจากเซโล บางจาก มีเหรียญรุ่น ๑ คล้องคออยู่ประจำ วันหนึ่งไปพูดจาไม่เข้าหูนายสุบิน แกติดฝิ่นอารมณ์หงุดหงิดอยู่พอดีได้ชักปืนยิงนายกั๊ก ๓ นัดไม่ออกเลย ระยะนั้นเหรียญรุ่น ๑ หลวงพ่อดังมาก เหรียญนี้เช่นกันภายหลังได้มีการทดลองยิงด้วยปืนซุปเปอร์ปรากฏว่ายิง ๓ นัดไม่ออกเช่นกัน

เรื่องที่สอง หลวงตาฟื้นอดีตเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านกร่าง อ.บางระจัน ชอบทำพลุ ทำตะไล จำหน่ายเป็นงานอดิเรก เคยไปติดตั้งพลุ ตะไล ตามวัดที่เขาสั่งทำทั่วไป มีวิธีการทดลองพระที่โหดแต่แน่นอน ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน เมื่อแกไปติดตั้งพลุ ตะไล ตามวัดไหน ถ้ามีเกจิอาจารย์เขาให้พระ ให้เหรียญมา แกจะนำเหรียญเอาไว้บนพลุ แล้วจุด แกเล่าว่า ไม่เคยมีเหรียญของหลวงพ่อองค์ไหนต้านพลุได้เลย ปังเดียว ขึ้นฟ้าไปเลย วันหนึ่งหลวงตาฟื้นมาติดตั้งพลุ ตะไล ที่วัดของหลวงพ่อ หลวงพ่อได้เมตตาให้เหรียญรุ่น ๑ มา ๑ องค์ หลวงตาฟื้นได้นำไปทดลองแบบเก่า ปรากฏว่าชนวนจุดไม่ติด จุดแล้วดับ จุดแล้วดับเป็นอัศจรรย์ ภายหลังได้ขอขมาแล้วหยิบเหรียญออก ปรากฏว่าจุดติด แต่ดังไม่ดีภายหลังก็ทำพลุ ทำตะไลอีก ก็จุดไม่ดีดังไม่ดี เขาว่าเหรียญรุ่น ๑ ของหลวงพ่อนี้ หลวงพ่อใช้ปลุกด้วยธาตุน้ำ หลวงตาฟื้นจึงไม่นำมาติดตัวอีก ปัจจุบันหลวงตาฟื้นลาสิกขาบทแล้วเคารพหลวงพ่อมากเลิกทำพลุ ตะไลแล้ว

เรื่องที่สาม นายหเว ชื่อเขียนยากจังเลย ทีแรกผมเขียนเป็นเหว ทีนึงแล้ว บ้านอยู่โพธิ์งาม มีเหรียญรุ่น ๑ อยู่ติดตัว ๑ องค์ มีอาชีพพิเศษคือย่องเบา ได้ไปย่องเบาที่บ้านกลุ่มโคก อ.เดิมบาง คืนนั้นเดือนมืดแกขึ้นไปบนบ้านเจ้าทรัพย์ กำลังค้นหาของมีค่าอยู่พอดี วันนั้นถ้านายหเว มีตาพิเศษแบบนกเค้าแมวแกก็จะมองเห็นมัจจุราชสีดำกำลังเล็งมาที่แกแต่นายหเวไม่เห็น ปืนลูกซองยาวบรรจุลูกโดดดังปังสนั่นยิงในระยะประชิดประมาณวาเศษ ความแรงทำให้นายหเวถึงกับหัวทิ่ม พอได้สตินายหเวโดดออกทางหน้าต่างวิ่งเต็มแรง เมื่อเอามือคลำรอยลูกปืนเสื้อขาดรูโต หมอนกาบมะพร้าวที่เจ้าทรัพย์ทำลูกปืนเองยังติดอยู่ นายหเวแกเจ็บก็เจ็บเคืองก็เคือง น้ำตาไหลด่ามารดาคนยิงซะหลายคำ แกเล่าว่าดีที่หลวงพ่อเมตตาไม่งั้นเป็นศพไม่มีญาติ อายเขาตายเลย เมื่อสอบถามถึงเจ้าทรัพย์ว่าชื่ออะไร แกบอกว่าชื่อนายยุทธนี่เป็นเจ้าของบ้านปืนโหดคนหนึ่งทีเดียว

เรื่องที่สี่ ศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งชื่อ จอม สุขโข มีเหรียญรุ่น ๑ คล้องคออยู่ ๑ องค์ เป็นคนหนองหิน อ.สรรค์บุรี มีอาชีพพิเศษคือ ลักวัว ลักควาย วันหนึ่งได้ไปลักควายออกจากคอก พอดีเจ้าทรัพย์ตื่นมาเสียก่อน ได้ยิงนายจอมด้วยปืนลูกซองยาว ๙ เม็ด ยิงระยะพอดีความแรงของปืนทำให้นายจอมถึงกับหัวทิ่มพอลุกขึ้นได้ก็วิ่งสุดชีวิต ปัจจุบันนายจอมยังมีชีวิตอยู่ด้านหลังมีรอยลูกปืนอยู่ ๙ รอยเป็นไตแข็ง พอสังเกตได้ ใครเจอแกขอดูได้เลย

เรื่องสุดท้าย เรื่องนี้เป็นเรื่องหมิ่นเหม่พอสมควร ท่านจะเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้ แต่ผู้เล่าเป็นพระภิกษุอยู่ในเหตุการณ์นั้น ศิษย์ของหลวงพ่อที่อยู่โคราชเป็นคนฉลาด ใจจริงเป็นเมืองใหญ่มีศิษย์ของหลวงพ่ออยู่ที่โคราชหลายคน เป็นเรื่องแปลกเขารู้จักหลวงพ่อได้อย่างไรอยู่ไกลกันมาก ศิษย์ของหลวงพ่อมีหลายสิบคนที่หลวงพ่อจดชื่อไว้ในบัญชีสักเล่มสุดท้าย เท่าที่จำได้มีนายเอียง แซ่จึง นายแอ๊ด พยัคฆเดช นายสมร ขอเหนียวกลาง ฯลฯ แต่ก่อนโคราชได้มีฐานทัพของทหารอเมริกันตั้งอยู่ ทหารอเมริกันมีเงินเดือนสูงเมื่อเทียบกับคนไทยแล้ว ถือว่ารายได้สูงมาก ทำให้โคราชคึกคักด้วยคน มีบาร์ มีคาเฟ่เกิดขึ้นมากมาย ตอนกลางคืนเหมือนเมืองฟ้า เมืองสวรรค์ มีผู้หญิงไปหากินกันมากมาย ผู้ชายที่มีนิสัยทางนักเลงก็รับจ้างคุมซ่อง คุมบาร์ คุมคาเฟ่ บางคนก็มีอาชีพตีชิงวิ่งราว บางคนก็งัดแงะ ย่องเบา เพราะว่า ผู้ชายไม่มีอะไรจะขายเหมือนผู้หญิงเขา มีศิษย์ของหลวงพ่ออยู่คนหนึ่งชื่อแพง จั่นกรด มีเหรียญหลวงพ่อรุ่น ๑ คล้องคออยู่ประจำ มีอาชีพพิเศษคืองัดแงะทั่วไป ได้ไปงัดแงะในค่ายทหารอเมริกัน คืนนั้นมีทหารอเมริกันนิโกรเป็นยามรักษาการณ์อยู่ งัดแงะเข้าไปด้านใน จีไอนิโกรได้ยินเสียงพอดี ได้เดินมาและเห็นพอดี ทีแรกจีไอนิโกรนั้นตั้งใจจะยิงนายแพง แต่เห็นว่านายแพงไม่มีปืน เขาพูดให้ยอมจับให้ยกมือขึ้นแต่นายแพงไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่ยิงตั้งใจจับเป็น นายแพงได้ชักมีดสั้นออกมาต่อสู้ จีไอนิโกรก็ดีใจหายใจถึงไม่ยิง การต่อสู้จึงเริ่มขึ้น นายแพงนักสู้แห่งที่ราบสูงมีมีดสั้น จีไอนิโกรมีปืนยาวผลการต่อสู้ นายแพงยังไม่ทันจะเงื้อมีดด้วยซ้ำไปด้วยด้ามปืนยาวสลบไปเลย แล้วแกก็เรียกเพื่อนทหารด้วยกัน ลากนายแพงไปหลังโกดังเก็บของแล้วเอาเชือกมาผูกคอนายแพงแขวน เพื่อนที่ไปด้วยเห็นเหตุการณ์ตลอดแต่ช่วยไม่ได้ จนกระทั่งจีไอนิโกรกับเพื่อนไปแล้ว ได้เข้าไปปลดเอาเชือกออก แล้วแบกศพออกมา พอพ้นเขตทหารแล้วหยุดพักปรากฏว่านายแพงยังไม่ตาย ยังหายใจอยู่เป็นเรื่องแปลกมาก เมื่อสอบถามนายแพงเล่าว่าขณะโดนตีด้วยด้ามปืนยังมีสติอยู่แต่น้อยมาก ตอนถูกลากไปผูกคอก็รู้ ได้ภาวนาว่าหลวงพ่อกวยช่วยด้วย หลวงพ่อกวยช่วยด้วยๆ เรื่องนี้ท่านจะเชื่อหรือไม่ ไม่ว่ากัน พระโชนวัดหัวเด่น เป็นผู้เล่า

เหรียญรุ่น ๑ นี้ ปัจจุบันมีปลอมโดยการถอดพิมพ์ ใช้หล่อเอาโดยใช้เหรียญสึก ๆ หล่อทำพิมพ์ อีกฝีมือหนึ่งใช้เหรียญสวยทำพิมพ์ คนที่ทำปลอมนี้เป็นคนทางวัดฝาง ชัยนาท ภายหลังประสบอุบัติเหตุเสียตาไป ๑ ข้าง อีกคนหนึ่งได้สอบเข้าทำงานในตำแหน่งที่ดี แต่ปลอมเหรียญปรากฎว่าจิตใจไม่ดีได้ออกจากงานเหรียญที่หล่อนี้ บางทีสระอิจะติดกัน บางทีที่หูเหรียญจะไม่มีรู มีทั้งเนื้ออัลปาก้า และเนื้อทองฝาบาตร ปัจจุบันทางวัดได้สร้างเหรียญรุ่น ๔ ขึ้นล้อพิมพ์รุ่น ๑ แต่แกะพิมพ์ตรงศีรษะต่างกันศีรษะหลวงพ่อที่ตัวท่านและในเหรียญศีรษะจะเป็นลอนแบบศีรษะช้าง แต่เหรียญรุ่น ๔ แกะศีรษะเต็ม ใครจะเช่าหาขอให้ระวัง และสังเกตให้ดี เหรียญรุ่น ๑ นี้เป็นของดีจริง ๆ ปัจจุบันปลอมได้ใกล้เคียงมาก

เหรียญอัลปาก้าหลังหนุมานกันฟ้าผ่า

เรื่องที่ ๒๘ คุณบรรพต  แจ้งสมบูรณ์ บ้านอยู่อำเภอนครบุรี จ.นครราชสีมา คล้องเหรียญหนุมาน ๑ เหรียญ กำลังซักผ้าอยู่ดีๆ ไม่รู้ว่าไปสาบานกับใครไว้ที่ไหน ฝนตกพรำ ๆ ซักผ้าอยู่ใต้ถุนบ้าน ฟ้าเกิดผ่าเปรี้ยงลงมา ไฟฟ้าได้วิ่งจากขาขึ้นบน มาหยุดตรงเหรียญหนุมาน ปรากฎว่าพลาสติกที่เลี่ยมร้าวเล็กน้อย ด้วยความศรัทธา ได้เดินทางมากราบหลวงพ่ออีกหลายครั้ง
 
ครั้งหนึ่งเขาขับรถกระบะ ก่อนขึ้นก็บอกกับปรกโพธิ์ ๙ ใบ บอกกับพระแม่ธรณี ขอให้ปกปักรักษา ขณะขับไปตอนดึกปรากฎว่าหลับใน ขับรถไปเป็นระยะทาง ๓ กิโลเมตร จนกระทั่งสวนกับรถ ๑๐ ล้อ ลมจากรถ ๑๐ ล้อ ได้พัดเข้ามาทำให้หายจากหลับใน มาดูเข็มวัดระยะทางปรากฎว่าหลับไป ๓ กิโลเมตร

เรื่องที่ ๒๙ คุณสมควร  ทิพย์เนตร บ้านอยู่จังหวัดสมุทรสาคร ยังอยู่ในวัยหนุ่มอยู่ ๓๐ ยังแจ๋ว (ภรรยา ๔ ลูก ๑) วันหนึ่งเมาเข้าไป เกิดอยากทดสอบพระพุทธคุณของพระเครื่อง ที่เขาเองและเพื่อน ๆ มีอยู่ จึงได้ไปซื้อปลาช่อนตัวโต ๆ มาหลายกิโล ปรากฎว่าพอเอาพระใส่ในปากปลาแล้ววางไว้บนเขียง(สุดโหด) แล้วเอามีดฟัน มีดโต้ผมว่าโหดมาก ถ้าให้ผมเอามือกำพระแล้วเอามีดโต้ฟันแขนผมบนเขียงละก็ ๓ วันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ปรากฎว่าพระเก่า ๆ หลายองค์ที่นำมาทดลอง โดนมีด(ฟันปลา) ฟันขาด ๒ ท่อนเลย มีเพียงวัตถุมงคลเพียง ๔ อย่างที่ต้านมีดโต้ได้ เนื้อช้ำแต่หนังไม่ขาดเลย พระ ๔ องค์นี้ มี ๑.พระหูยานลพบุรี ๒.พระท่ากระดาน ๓.ลูกอมหลวงพ่อร้าย วัดเขายี่สาร ๔.มีพระใหม่โนเนมแถมท้ายอีก ๑ เหรียญคือเหรียญทองแดงโล่ หลังยันต์ หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม   

เรื่องการทดลองพระนี้ ผมขอร้องอย่าเอารูปพ่อเราไปให้เขายิงเขาฟัน ไม่ดีเลย มันต่างกรรมต่างวาระ สมัยหนุ่มผมเคยลองพระหาเครื่องรางของขลังที่ยิงไม่ออก ๓ นัด ขายให้ฝรั่งราคาสมัยนั้น ๕๐ ล้าน เจอแต่แคล้วคลาด แต่เจ้าของเคยใช้ติดตัวเคยโดนยิงไม่ออกมาหลายสิบครั้ง พอทดลองก็แคล้วคลาด กับแตกเสียหาย หมดทั้งเวลา ลูกปืน เงิน ฯลฯ เพราะความอยากรวย วิบากกรรมที่ตามมาผมเป็นคนอาภัพตก ๑๐ ปี ยากจน มีแต่เรื่องแต่ราว และมีข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งหนึ่ง วันหนึ่งผมเคยทดลองพระ ตอนนั้นยังเป็นเด็กวัด(รุ่นเดอะ) ได้ซื้อปลาดุกมา ๑ ตัว ได้เอาพระหินแกะ แกะง่าย ๆ ไม่สวยแบน ๆ เป็นพระของหลวงพ่อใส่ในปากปลาดุกแล้วฟัน ฟันเท่าไรก็ไม่เข้า(มีดสปาต้า ชนิดฟันหัวตะปูขาด ซื้อจากสนามหลวง) นึกโมโห ได้ฟันใหม่คราวนี้โดนหัวพอดี ปรากฎว่าหัวแตกปลาดุกหัวไม่เหมือนสัตว์อื่น ผมได้ไปขอขมาท่าน และขอคาถาป้องกันตัวกลัวเป็นแบบเดียวกัน ท่านไม่ให้ท่านได้เป่าหัวให้และให้ผมไปหาเรียนคาถามหาทมื่นบทสั้น ของหลวงพ่อเฒ่าองค์ปรมาจารย์ของท่าน ความจริงท่านพิมพ์แจกแต่ไม่ให้เฉย ๆ และขอพระคืนด้วย ท่านให้เสกข้าวกินทุกวัน คาถานี้ขึ้นต้นด้วย“อมกึกกัก ดึกดัก...”ต่อมาเมื่อผมไปกราบอาจารย์องค์ใด โดยมากไปงานพุทธาภิเษก จะให้ท่านเป่าหัวให้และบอกกับท่านว่า“เอาให้หัวแข็งเป็นหินเลยนะครับ”เคยโดนรุมตี เพราะสั่งเพื่อนให้หนีไปก่อนโดนด้วยแป๊บน้ำ ๕ – ๖ คนได้ ที่ปากน้ำ สมุทรปราการ เมื่อ ๒๐ กว่าปีมาแล้ว สลบไปกะโหลกไม่แตก แต่เลือดออกปาก จมูก รูหู ตอนนั้นคล้องพิมพ์สรรค์องค์หนึ่ง เดชะบุญมีคนเมตตานำไปส่งโรงพยาบาลปากน้ำ ชีพจรขาดสะบั้น ภายใน ๑ ชั่วยาม ถ้ามาไม่ทันต้องตายแน่นอน ภายหลังไม่ไปไหนกับเพื่อน หรือลูกน้องเด็ดขาด
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 11, 2013, 03:40:13 pm
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๕๓

วันที่ ๕ ส.ค. – ๑๕ ส.ค.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


รูปถ่ายพรรษาสุดท้าย

รูปถ่ายพรรษาสุดท้ายของหลวงพ่อนี้ หมายถึงรูปถ่ายโปสการ์ดและรูปถ่ายชนิดเล็กที่ออกในงานฝังลูกนิมิต เพราะหลังจากนี้แล้วหลวงพ่อไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้อีกเลย รูปพรรษาสุดท้ายนี้ใบหน้าท่านชราภาพมาก แต่ยังแข็งแรงอยู่ การให้แสงไม่ดีนัก แขนท่านเลยดำ เมื่อถ่ายเสร็จแล้วช่างได้นำกลับไปให้ท่านเขียนยันต์ ๒ ข้าง กระดาษที่ใช้อัดรูปชนิดใหญ่เป็นกระดาษแบบเก่า คือเรียบและเลื่อม ๆ คล้ายดาษเคลือบมัน ส่วนกระดาษรูปขาว-ดำรุ่นใหม่จะขรุขระเป็นมัน กระดาษรุ่นเก่านี้ถ้าเก็บรักษาไม่ดีแมลงสาบชอบแทะ และรูปขาว-ดำนี้เวลาไปใส่กระจก ถ้าจะให้ดีควรใช้แป้งโรยตัวลูบๆที่รูปเล็กน้อย ป้องกันรูปติดกับกระจก ใครที่มีรูปรุ่นนี้ไว้บูชา ขอให้เก็บรักษาให้ดีเถิด ดีและหาค่าไม่ได้ บางคนนำรูปโปสการ์ดไปเคลือบด้วยน้ำยาเคมีทางวิทยาศาสตร์ ผมก็ว่าดีคงทนดี แต่ผมไม่ทำ ผมว่าใส่กรอบธรรมดาก็ดีมากแล้ว นำไปเคลือบคล้าย ๆ ไปปิดกั้นท่านอย่างไรชอบกล ผมคิดเองนะ ผมคิดว่าเครื่องรางของขลังนี้ นำเอาเทคโนโลยีรุ่นใหม่เข้ามาปะปนมาก ๆ ผมว่าไม่ค่อยดี

ต่อไปจะขอเล่าถึงอภินิหารของรูปโปสการ์ดพรรษาสุดท้ายนี้ไว้เพิ่มเติม จะเล่าเฉพาะอภินิหารของรูปชนิดโปสการ์ด ส่วนชนิดเล็กห้อยคอนั้นประสบการณ์มาก จะขอเล่าในวันหน้า

นายเนื่อม ปิ่นทอง บ้านอยู่หนองปลาดุก ห่างจากวัดประมาณ ๒ – ๓ กิโลเมตร ในงานฝังลูกนิมิตได้มาเช่ารูปโปสการ์ดจากวัดไป ๑ รูป สมัยนั้น พ.ศ.๒๕๒๑ วัดออก ๒๐ บาท ถูกมาก นายเนื่อมก็เช่ามาด้วยความเคารพ เพราะบนบ้านไม่มีรูปพระบูชาเลย เรื่องที่ศิษย์ของหลวงพ่อบางคนบูชารูปหลวงพ่อเพียงอย่างเดียวเป็นเรื่องจริง ๆ ผมเคยมาขอเช่ารูปหล่อบูชา ๕ นิ้ว พ.ศ.๒๕๑๘ จากคนบ้านคู อ.บางระจัน เมื่อขึ้นไปดูพระบนบ้านเขาบูชาแต่รูปหล่อของหลวงพ่อเพียงองค์จริง ๆ ไม่มีแม้พระพุทธ วันนั้นวันหนึ่งเจอรูปหล่อ พ.ศ.๒๕๑๘ เกือบ ๑๐ องค์ไม่มีคนออกให้เลยแม้แต่คนเดียว เฉพาะพระเครื่องของหลวงพ่อ เฉพาะที่บ้านคูเอากระสอบปุ๋ยไปใส่ไม่หมด แต่จะหาคนปล่อยให้สัก ๑ องค์ก็ไม่มี เล่าเรื่องลุงเนื่อมต่อ ลุงเนื่อมก็บูชารูปของหลวงพ่อเรื่อยมา เป็นเวลาตกเกือบ ๑๐ ปี ไม่เห็นมีอะไร ก็หลวงพ่อเป็นแค่รูปจะพูดจะคุยได้อย่างไร วันหนึ่งในฤดูทำนา พ.ศ.๒๕๓๑ ลุงเนื่อมไปนาคือไปทำนา ก่อนไปก็ไม่ลืมฝากฝังบ้านกับหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็เฉยไม่พูดว่าอย่างไร ก็เป็นรูปนี่ วันนั้นเกิดไฟไหม้บ้านญาติที่อยู่ติดกันบ้านอยู่ติด ๆ กันเลย อัศจรรย์ลุงเนื่อมก็ไม่อยู่ ไฟน่าจะลามมาไหม้บ้านลุงเนื่อม แต่ก็ไม่ลามทั้ง ๆ ที่บ้านติดกันคนมาช่วยกันดับไฟเต็มไปหมด บางคนก็มาดู ดูแล้วก็ขึ้นไปบนบ้านลุงเนื่อมดูว่าลุงแกมีของดีอะไร ปรากฏว่ามีรูปถ่ายของหลวงพ่อเพียงใบเดียวจริง ๆ

อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ฟังดูแล้วจะรู้สึกว่าเวอร์ หรือโอเวอร์ไปหน่อย คือเกินไป ผู้เขียนเองก็ไม่ยืนยัน ยกภาระให้ผู้เล่ายืนยัน ผู้เล่านี้คือคุณถวัลย์ โรจน์สังวร ทำงานอยู่บริษัทซีวีดี วีดีโอ เรื่องนี้เชื่อหรือไม่เชื่อไม่ว่ากัน น้องชายคุณถวัลย์เคยทำบุญผ้าป่าร่วมกับคุณถวัลย์ คุณถวัลย์เลยให้รูปบูชาโปสการ์ดไปบูชา ๑ รูป พร้อมทั้งคุยสรรพคุณให้ฟังเสียยืดยาว ว่าเก่งอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ น้องคุณถวัลย์ก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร แต่ก็รับเอาไว้บูชาในบ้านเช่า เขาว่าบ้านคือวิมานของเรา น้องคุณถวัลย์เมื่อจะออกจากบ้านไปทำงาน ก็อดห่วงบ้านไม่ได้ เมื่อมีรูปหลวงพ่อบูชาก็อดบอกฝากบ้านกับหลวงพ่อไม่ได้ ใจหนึ่งก็เชื่อว่าเก่ง ใจหนึ่งก็ไม่แน่ใจเท่าไร ไม่รู้ว่าหลวงพ่อจะรับรู้หรือเปล่าเห็นท่านเฉย ๆ เลยอธิษฐานในใจว่าหลวงพ่อ ๆ ถ้าหลวงพ่อรับรู้ในความคิดของผม หลวงพ่อช่วยแสดงอะไรให้ผมรู้สักหน่อยว่าหลวงพ่อน่ะรับรู้ หลวงพ่อท่านเป็นรูปนี่ ท่านก็เฉย เหตุการณ์ผ่านไปจนถึงตอนเย็น น้องชายคุณถวัลย์กลับมาบ้าน คือห้องเช่าของแกมืด ๆ แสงไม่ค่อยมีต้องเปิดไฟถ้าเริ่มมืด พอน้องชายคุณถวัลย์เปิดประตูเข้าบ้าน ปรากฏว่าไฟในบ้านเปิดอยู่ก่อนแล้ว แกก็ไม่แน่ใจว่าลืมปิดหรือเปล่าได้แต่จำได้ว่าปิดแล้ว พออีกวันหนึ่งตอนเช้าก็บอกเล่าต่อรูปหลวงพ่ออีกอธิษฐานแบบเก่าอีก พอตอนเย็นแกกลับมาเห็นบ้านแต่ไกล ตกใจเลย บ้านแกเปิดไฟด้วย แถมประตูบ้านเปิดไว้อีก ใหม่ ๆ แกคิดว่าบ้านแกโดนย่องเบาแน่ สำรวจดูของก็ไม่หาย ถามใครว่าใครเปิดบ้านเปิดไฟก็ไม่มีใครรู้ แกมาเล่าให้คุณถวัลย์ฟัง คุณถวัลย์บอกว่าหลวงพ่อแน่นอน และวันต่อมาน้องชายคุณถวัลย์ก็ไม่บอกเล่าหลวงพ่อแบบเก่าอีกเลย

อีกเรื่องหนึ่งเห็นเป็นเรื่องรูปบูชาเช่นกันเลยเล่าเอาไว้พร้อมกัน รูปบูชานั้นคือรูปบูชาป้องกันภัย ๘ ทิศ มีรูปของหลวงพ่อและยันต์ป้องกันภัย ๘ ทิศ สร้างในปีเสาร์ ๕ จะ พ.ศ.๒๕๑๒ หรือ พ.ศ.๒๕๑๕ ไม่แน่ใจ แต่รูปนี้เหลือตกค้างมาออกจำหน่ายในงานฝังลูกนิมิตอีกรวมเวลาปลุกเสกตก ๑๐ ปี ในงานผ้าป่าปี ๒๕๓๒ รูปนี้มีคนเช่าบูชาเอาไปเกือบหมด เหลืออยู่ ๒ รูป ผมเลยหยิบเอามาทั้งหมด กะเอาไปให้หมด แต่พอหยิบมาแล้ว เป็นรูปที่อยู่ในสภาพดีเพียง ๑ ภาพ อีก ๑ ภาพช้ำมาก ผมเลยแสดงความใจกว้างคืนรูปช้ำเอาไว้ในตู้ คุณถวัลย์ คนเดิมนั่นแหละเห็นเข้าได้ขอเอาไป คือคุณถวัลย์เขาเอาผ้าป่ามา พอดีพี่ชายคุณถวัลย์เขามาจากกรุงเทพฯ มาสมทบเอารถเก๋งมา คุณถวัลย์ไม่มีอะไรจะให้เป็นที่ระลึกเลยให้รูปช้ำ ๆ กับพี่ชาย ๑ รูป พี่ชายคุณถวัลย์เขารีบกลับก่อนเข้าใจว่าเป็นทหาร คนเรานั้นถึงคราวดวงจะเสียเงิน อะไรก็ห้ามไม่ได้ แต่พี่เขามางานหลวงพ่อ มีรูปหลวงพ่อติดรถม้วน ๆ อยู่ เคราะห์หนักก็น่าจะเบาได้ แต่จะเบาแค่ไหนก็ต้องตามไปดู พอพี่เขาขี่รถเข้ากรุงเทพฯ ถึงชานเมืองรถเกิดไปชนคนเข้าพอดี พี่เขาร้องสุดเสียงให้หลวงพ่อช่วย เมื่อลงรถมาดูกะโหลกคนโดนชนยุบไปเลย ขณะกำลังชุลมุนอยู่มีพระแก่ ๆ องค์หนึ่งมาจากไหนไม่รู้มาเป่าหัวให้คนเจ็บแปลบเดียว พี่เขามาดูใหม่กะโหลกที่ยุบไปหายยุบได้ เมื่อพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาลปรากฏว่าคนเจ็บไม่เป็นอะไรมาก งานนี้ตกลงกันได้ขณะที่กำลังยุ่ง ๆ รถติด ไทยมุง ไม่รู้ว่าพระแก่ ๆ องค์นั้นหายไปไหนแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเวลากลางวันไม่ใช่ตาฝาดเห็นคนเดียว คนอื่นก็เห็น   

เหรียญโล่หลังหนุมานช่วยกำบัง
เรื่องที่ ๒๐ นายออด ลูกชายคุณโสภี น้ำเพชร เป็นคนปากน้ำ อ.เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี เขาเคารพหลวงพ่อกวยมากคล้องเหรียญหนุมานเหรียญเดียว ไปเล่นไพ่ที่บ้านท่าโป่ง มีนายชัย สว่างศรี ไปเล่นด้วย นายชัยคล้องเหรียญหนุมานเช่นกัน ตำรวจได้นำรถกระบะมาจับ ๑ คันรถ โดยล้อมจับ ตำรวจได้จับนายชัย เพื่อติดกุญแจ ตำรวจ ๓ คน โดยจับกดกับดินนายชัยได้ร้องเรียกให้หลวงพ่อช่วยได้ว่าคาถาหนุมาน ตำรวจ ๓ คนจับไม่อยู่แกโดดลงแม่น้ำท่าจีนไป และสักพักใหญ่มีคนมาตามได้พูดว่าตำรวจไปแล้ว ให้ขึ้นมาเถอะ นายชัยก็ขึ้นมาแต่คนมาตามได้ฉายไฟจี้แต่หน้า นายชัยเกิดเอะใจ ได้เอามือป้องหน้าดูเห็นเป็นตำรวจ เลยโดดน้ำต่อ ได้ไปขึ้นที่อื่น ส่วนนายออดหนีตำรวจมาได้ เดินมาจากที่เกิดเหตุประมาณ ๕๐ เมตร เห็นตำรวจยืนอยู่ข้างรถกระบะ ๒ คน จะถอยหลังก็เจอตำรวจ จะเดินหน้าก็เจอตำรวจ แกได้ระลึกถึงหลวงพ่อเอามือจับเหรียญหนุมานไว้ ขอให้หลวงพ่อช่วย แต่ในใจปลงตกแล้วว่า วันนี้ไม่รอดแน่แกแข็งใจเดินผ่านตำรวจ ๒ คน ตำรวจไม่จับเฉย ๆ เหมือนไม่เห็น

นายออดคนนี้ เคยไปอยู่กับแม่ ที่ กรุงเทพฯ มีแฟนสวย มีลูกชาย ๑ คน กำลังน่ารัก ตอนหลังแฟนทิ้ง อุ้มลูกกลับบ้าน กลับมาในลักษณะขวัญเสีย เสียใจกินเหล้าเมายา ครั้งหนึ่งมากินเหล้ากับคนข้าง ๆ บ้าน เขาเอ่ยปากขอรูปซีลอกซ์รูปหลวงพ่อกับผมไป ๑ ใบ เขาจะเอาไปบูชา เขาได้บนกับหลวงพ่อขอให้มีโชคมีลาภบ้าง จะเอาเงินไปตามแฟนกลับ เขาถูกหวยได้เงินมาหลายพันบาท ตามหาเมียจนหมดเงิน ขวัยเสีย ร้องไห้ จะไปแก้บนก็ไม่มีเงิน ครั้งหนึ่งเขาพอมีเงิน เขาถามผมว่าจะแก้บนโดยเอาขนมจีนน้ำยาถวายพระจะได้หรือไม่ ผมคิดว่าพอได้ เลยบอกเขาไปคือไม่ต้องไปที่วัด บางครั้งเขาเมาเดินร้องไห้มาหาผม ผมก็ปลอบใจเขาไปตามเรื่อง


พุทธคุณ เหรียญหลังหนุมาน

เรื่องที่ ๒๔ ด.ต.เกษม  รุ่งเรือง รับราชการอยู่ สภ.อ.สามชุก คล้องเหรียญอัลปาก้าหลังหนุมาน ๑ เหรียญ ครั้งหนึ่งได้ต่อสู้กับคนร้ายคดีชิงทรัพย์สร้อยคอทองคำ ด.ต.เกษม กับลูกน้องได้ตามไปทัน คนร้ายไม่ยอมให้จับ ด.ต.เกษม วิ่งนำหน้า คนร้ายได้ยิง ด.ต.เกษม ๒ นัดไม่ออก นัดที่ ๓ ออก แต่ไม่ถูกเลย ยิงด้วยลูกเบอร์ ๑๒ มีตะกั่ว ๙ เม็ด ด.ต.เกษม ได้ยิงสวนออกไป ปรากฎว่าคนร้ายได้ถูกยิงบาดเจ็บแต่ยังให้ปากคำได้ และได้ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ระยะที่ยิงนั้น ๓ – ๔ วาเท่านั้น แสดงว่าเหรียญหลังหนุมานของหลวงพ่อนี้เก่งจริง แคล้วคลาดสูง

เรื่องที่ ๒๕ ปลัดสุททิน ชัยผดุง รองปลัดเทศบาลเมืองอยุธยา กรุงเก่าแขวนพระเก่า ๆ เต็มคอ ถูกหมากัด กัดเข้าด้วย ต่อมาถูกชะนีกัด กัดเข้าด้วย เล่นหวยไปหมดเงินไป ๒ ปี ๔ – ๕ แสนบาท โมโหเอาพระเก่าออก คล้องรูปหลังจีวรของหลวงพ่อ ของใหม่ ๆ ไม่อายใครแล้ว คล้องคออยู่ ๒ อาทิตย์ ถูกหวยใต้ดิน ๙,๐๐๐.-บาท รู้สึกอัศจรรย์ใจมาก

เรื่องที่ ๒๖ คุณสมควร ลูกเขยหมอเฉลียว เดชมา ได้พาลูกและหลาน ๕ – ๖ คนขี่รถจากโคราช มาสรรคบุรี กำลังจะมืดพอดีได้ขี่ชนรถ ๑๐ ล้อ ซึ่งจอดขวางถนนอยู่ คงจะกำลังหักเลี้ยวความแรงทำให้ตอนหน้าของรถเละหมด เด็ก ๆ ที่อยู่ตอนหลังหัวชนกระจก กระจกแตกทะลุมาอยู่ตอนหน้ากันหมด หลานอีกคนกระเด็นตกรถไปไกล ต้องไปจ้างรถมาดึงออกจากรถ ๑๐ ล้อเข้าอู่ซ่อมไปหลายหมื่น แต่เด็ก ๆ ไม่เป็นอะไรเลย เพียงเพราะคุณสมควรสวมแหวนนิ้วกันภัยวงเดียว เป็นรุ่นล่าสุด ตอกคาถาอิติใต้ท้องวง ยันต์เป็นยันต์กันภัย ๘ ทิศ เรื่องนี้แปลกมาก แหวนวงเดียวคุ้มกันได้หมดทั้งคันรถ

เรื่องที่ ๒๗ คุณเบญจพล จันทรมานะ เป็นนักเรียนช่างกลมีชื่อแห่งหนึ่ง ทางเพื่อนโรงเรียนเดียวกันไปมีเรื่องกับเด็กนักเรียนช่างกลอีกโรงเรียนหนึ่ง วันหนึ่งถึงคราวเคราะห์ร้ายไปเจอนักเรียนโรงเรียนคู่อริเข้า โดนตีที่ศีรษะด้วยเหล็กฟุต หัวทิ่มไปตามแรง คนตกใจร้องลั่นเลย แต่คุณเบญจพลกลับไม่แตกไม่โนเลย เพียงแต่มีอาการเจ็บเล็กน้อยเขาคล้องเหรียญหนุมานเพียงเหรียญเดียว

อีกครั้งหนึ่ง คุณเบญจพล ไปมีเรื่องกับคู่อริ โดนตีด้วยแป๊บน้ำห่อกระดาษ โดนตรงคอกะให้คอหักไปเลย แต่คุณเบญจพลเพียงแต่หัวทิ่มไปตามแรงตีเท่านั้น มีอาการขัด ๆ เล็กน้อย ทายาหม่องแล้วก็หาย ทั้ง ๆ ที่คู่อริกะตีให้คอหักตาย คุณเบญจพลนี้บ้านเขาอยู่หลังอู่เรือราชพิธี

จดหมายของ ด.ต.เกษม  รุ่งเรือง
ก็อ่านกันเอาเองนะ ลอง ๆ อ่านดู

นมัสการอาจารย์สำรวย ที่เคารพ

ผม ด.ต.เกษม รุ่งเรือง รับราชการตำรวจอยู่ สภ.อ.สามชุก ผมมีอภินิหารเหรียญอัลปาก้า หรือเหรียญหนุมานยกธงรบ ดังนี้

ครั้งที่ ๑ ผมได้ต่อสู้กับคนร้าย คดีชิงทรัพย์สร้อยคอทองคำได้ร่วมกับลูกน้อง ตามไปทันคนร้าย คนร้ายไม่ยอมให้จับแต่โดยดี คนร้ายได้ใช้ปืนลูกซองสั้นยิงมาที่ผม ในระยะประชิด แต่ด้วยอภินิหาร และบุญบารมีของหลวงพ่อกวย ที่ผมใช้คล้องคอติดตัวไปปรากฎว่า คนร้ายยิงผมไม่ออก ๒ นัด นัดที่ ๓ ยิงออกแต่ไม่ถูก ขนาดยิงด้วยปืนลูกซองลูกเบอร์ ๑๒ ซึ่งมีลูกตะกั่วบรรจุอยู่ถึง ๙ เม็ด แคล้วคลาดไม่ถูกเลยแม้แต่เม็ดเดียว ผมจึงยิงสวนออกไปปรากฎว่า คนร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัสให้ปากคำได้และได้ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ระยะที่ยิงต่อสู้กันประมาณ ๓ -๔ วาเท่านั้น สำหรับชื่อและนามสกุลคนร้าย ผมจะไม่ขอเอ่ยถึง เกรงจะไม่เป็นที่พอใจของทางญาติ ๆ

ครั้งที่ ๒ ผมขี่รถจักรยานยนต์ หลังจากกลับจากตรวจ ได้ขี่มาด้วยความเร็วพอสมควร ได้ประสบอุบัติเหตุตกลงไปในคูน้ำซึ่งมีก้อนหินใหญ่เต็มไปหมดตัวผมตกลงไปในคูน้ำ เป็นที่อัศจรรย์หลวงพ่อช่วยไว้ ไม่มีบาดแผลแม้แต่เพียงเล็กน้อย ได้แต่เปียกน้ำเท่านั้น

ครั้งที่ ๓ ขณะขับขี่รถจักรยานยนต์จะกลับบ้านพัก ระหว่างทางเกิดไปเฉี่ยวกับรถเข็นเข้า ตัวของผมเองกระเด็นหลุดจากรถกลิ้งลงไปอยู่กลางถนนลาดยาง ซึ่งขณะนั้นรถยนต์ทุกชนิดกำลังใช้เส้นทางอยู่ เนื่องจากเป็นเวลา ๑๐.๐๐ น.เศษ เป็นที่น่าอัศจรรย์หลวงพ่อช่วยไว้ไม่มีรถวิ่งมาทับผม และหลวงพ่อช่วยดลบันดาลให้มีคนมาช่วยเหลือผมอุ้มมาไว้ริมถนน ปรากฎว่าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ทั้งที่น่าจะมีการน็อคพื้นเพราะจุกไปหมด

ครั้งที่ ๔ เป็นอภินิหารด้านเมตตา ตบะและอำนาจ โดยผมอาราธนาเหรียญหลวงพ่อกวย ขณะไปติดต่อกับอัยการให้ช่วยเหลือคลี่คลายคดีระหว่างครอบครัว ญาติพี่น้อง ปรากฎว่าประสบความสำเร็จ ท่านอัยการและผมมีเมตตาธรรมต่อกัน สามารถช่วยเหลือปรองดองให้ญาติพี่น้องคืนดีต่อกัน ไม่เป็นศัตรูต่อกันตราบเท่าทุกวันนี้

นมัสการด้วยความเคารพ
ด.ต.เกษม รุ่งเรือง
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 12, 2013, 10:04:40 pm
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๕๔

วันที่ ๑๕ ส.ค. – ๒๕ ส.ค.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



ตกคันนาตาย

หลวงพ่อเป็นพระที่รักลูกศิษย์มาก ถ้าหากมีภัยละก็ถ้าไปหาท่าน ท่านจะช่วยจนถึงที่สุด ไม่คำนึงถึงเงินทองหรืออะไรทั้งสิ้น เช่น ศิษย์ท่านจะเข้าป่าเข้าดง เมื่อมาหาท่าน ท่านมองเห็นความจำเป็น ท่านจะหยิบมีดหมอส่งให้ไม่คำนึงว่าศิษย์จะทำบุญหรือไม่ทำบุญ จะไปรบหรือโดนเขาตามล่า(ฆ่า) ถ้าไปหาท่าน ท่านจะพิจารณามอบวัตถุมงคลให้ โดยไม่คำนึงถึงต้นทุนการทำวัตถุมงคลให้ โดยไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยากในการทำ

อย่าว่าแต่ศิษย์ที่เป็นคนเลย แม้แต่ศิษย์ที่เป็นหมา ท่านก็รักหมาที่ท่านเลี้ยงไว้ ท่านก็ให้กินเหมือนท่านทุกอย่าง แม้ตายแล้วท่านก็ยังนิมนต์พระชักบังสุกุลให้ แต่หมาท่านก็มีสองพวก คือท่านเลี้ยงไว้เองพวกหนึ่งอยู่บนกุฏิท่านก็ท่านแก่แล้ว จะให้ท่านคลุกข้าวให้หมากินทั้งวัด คงจะไม่ไหวส่วนหมาอีกพวกหนึ่ง เป็นหมาวัดธรรมดาพระเณรเลี้ยงเอาไว้

หมานี่เขามีมงคลประจำตัว ๑๐ ประการ หลวงปู่ตื้อศิษย์คุณพ่อมั่นท่านเคยเทศน์ให้ศิษย์ฟัง เช่น มันมีหูดี ตาดีในเวลากลางคืน วิ่งเร็ว วิ่งหนามไม่ตำเท้า นอนไม่ต้องห่มผ้า ไม่ต้องนุ่งผ้า เวลาจะร่วมเพศไม่ต้องอายใคร แต่มันมีข้อเสียที่เห็นได้ชัดเจนข้อหนึ่งคือมันมีต่อมลูกหมากอยู่ด้านนอก เวลาร่วมเพศ ต่อมลูกหมากมันเกิดโต เรียกว่าติดเต้ง หรืออะไรนี่แหละ พอถึงตอนนี้ดูแย่น่าดู ดีชะบุญคนไม่เป็น

มีอยู่คนหนึ่งชื่อวอน แย้มหลง ฟังชื่อก็อ้อนอยู่แล้ว บ้านอยู่ใกล้ ๆ วัด วันหนึ่งหมาวัดเป็นหมาที่พระเณรเลี้ยงไว้ เกิดไปเป็นสัตว์ หรือไปติดตัวเมียที่บ้านนายวอน นายวอนแกคงจะไม่พอใจที่หมาตัวผู้เป็นหมาวัด เป็นหมาไม่มีระดับ หรือยังไงไม่แน่ใจ ขณะที่หมากำลังติดเต้งกันอยู่ แกชักมีดเหน็บหรือมีดปาดตาล ที่คนตามบ้านนอกนิยมใช้พกติดตัว แกเข้ามาใกล้หมา แกเอามีดตัดของตัวผู้ขาดเลย ทีนี้หมามันร้องวิ่งเข้ามาในวัด พอดีหลวงพ่อท่านอยู่ในวัดพอดี นายวอนแกเดินเข้ามาในวัดด้วย คนเขาเห็นกันหลายคนว่านายวอนตัดไอ้นั่นของหมา หลวงพ่อท่านเห็นเข้าท่านโมโหหน้าตาท่านแดงกล่ำไปหมด ท่านพูดว่า “ไอ้วอนเอ๊ย มึงทำอย่างนี้ มึงตีหัวไอ้กวยดีกว่า” ท่านแก่แล้วท่านไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้จะไปสู้รบตบมืออย่างไร แล้วท่านก็พูดออกมาคำหนึ่งว่า “มึงเนี่ยไม่ช้าตกหัวคันนาตาย” ตอนนั้นลุงเนียมแกอยู่ที่นั่นด้วย แกสงสารหลวงพ่อมากที่หลวงพ่อไม่รู้จะไปทำอะไรเขา พอหลวงพ่อพูดว่า ไม่ช้าตกหัวคันนาตาย แกเกือบหัวร่อก๊ากออกมา ดีว่าเอามือปิดปากทัน แกต้องเบือนหน้าหนีกลัวหลวงพ่อเห็น ก็นายวอนแกอายุ ๓๐ ปีได้ แกจะไปตกหัวคันนาตายได้อย่างไรเรื่องนี้ความจริงก็น่าจะจบลงได้แล้ว แต่ยังไม่จบ

อยู่ต่อมาประมาณสิบกว่าวันได้นายวอนแกเมาเหล้าเข้าไปได้เดินไต่หัวคันนาที่เขาทำนา เกิดเดินพลาดหัวคันนา เพราะความเมาหน้าอกเกิดไปกระแทกกับหัวคันนา ช้ำในตาย ซึ่งไม่น่าเชื่อคนหนุ่มอายุ ๓๐ แท้ ๆ เรื่องนี้สอบถามคนหน้าวัดได้


ชอบคนจริง

หลวงพ่อเป็นพระที่ค่อนข้างดุ แต่ส่วนลึกแล้วท่านใจดี รักศิษย์มาก ถ้าศิษย์ท่านเดือดร้อน มีคดีความ หรือถูกปองร้าย ท่านจะคอยแอบฟัง แอบช่วยเหลือ คอยถามไถ่คนอื่นอยู่เสมอ นิสัยท่านอีกส่วนหนึ่งคือท่านชอบคนจริง คือคนใจถึงนั่นเอง ท่านจึงเลี้ยงหมาเอาไว้ด้วยหลายสาเหตุคือ ๑.ท่านรักหมา ๒.ป้องกันคนรบกวนท่านโดยไม่จำเป็น ๓.ทดสอบศิษย์

เวลามีคนมาหาท่าน ท่านจึงสั่งห้ามไม่ให้พระ เณร ดูหมาให้คือปล่อยให้เข้ามาหาเอง นิสัยอีกอย่างหนึ่งของท่านคือ ท่านไม่ลงให้ใครไม่ว่าคน ๆ นั้นจะใหญ่โตขนาดไหน แม้วัตถุมงคลของท่านถ้าไม่ขอจะไม่ให้ นอกจากท่านจะเมตตาเป็นพิเศษ

ครั้งหนึ่งมีนายอำเภอมาหาท่านนานมาแล้ว ตก ๓๐ ปีมาแล้ว คือนายอำเภอท่านไม่รู้จักหลวงพ่อ พอมาถึงวัดเห็นหลวงพ่อนั่งอยู่ที่วิหารด้านล่าง นายอำเภอคนนั้นได้ถามท่านว่า หลวงตา ๆ กุฏิหลวงพ่อกวยอยู่ที่ไหน หลวงพ่อเลยชี้ไปที่กุฏิท่าน นายอำเภอเลยขึ้นกุฏิไป ผลคือโดนหมาท่านกัด กัดกางเกงขาดเลย แล้วหลวงพ่อก็เดินตามขึ้นไป นายอำเภอโมโหมากที่โดนหมากัด ได้ถามท่านว่าหลวงตาแล้วหลวงพ่ออยู่ไหน ท่านได้ตอบว่า กูเอง นายอำเภอคนนั้นเห็นว่าหลวงพ่อพูดจาไม่สุภาพ ได้แนะนำตัวเองว่าท่านเป็นนายอำเภอพร้อมทั้งต่อว่าท่านว่าไม่น่าปล่อยให้หมากัดท่าน หลวงพ่อกวยท่านไม่สนใจท่านได้พูดว่า“แล้วใครใช้ให้มึงมาหากูล่ะ”

เรื่องนี้แสดงว่าท่านไม่สนใจเรื่องยศศักดิ์ในทางโลกจริง ๆ ท่านจะไม่ถามชื่อศิษย์ ท่านห้ามไม่ให้กรรมการวัดขึ้นมายุ่งตอนมีแขกมาหา ห้ามไม่ให้ไปขอผ้าป่าหรือกฐิน

เรื่องที่ท่านชอบคนจริงนี้ มีเรื่องเล่ามากมาย ศิษย์ท่านที่ใจจริงหรือใจถึงมาก ๆ โดยมากสติไม่ค่อยจะดี แต่ท่านกลับไม่โกรธ จะมาหาท่านตี ๑ ตี ๒ จะมาเรียกท่านว่าท่านท่านก็ไม่ถือ ไม่เคยแช่งหรือดุด่าว่ากล่าวแต่ต้องมีความจริงใจให้กับท่าน คือรักท่านคิดถึงท่าน มีศิษย์ท่านคนหนึ่งชื่อ นายหงุ่น อายุพอ ๆ กับท่าน เคารพท่านมาก มีวิชาดีรู้สึกท่านจะยอมให้นายหงุ่นพอสมควร เวลานายหงุ่นหรือลุงหงุ่นมาหาท่าน จะเรียกท่านตั้งแต่ปากทางเข้าวัดเลย เสียงดังมาก จะเรียกหลวงพ่อกวย ๆ หมาเห่ากันเกรียวหมด หลวงพ่อจะทำอะไรอยู่ต้องละคือหยุดทำ แล้วรีบออกมาเปิดประตูให้ คุยกันจะนานแค่ไหนหลวงพ่อไม่มีการส่งแขก ตอนนั้นหมาหลวงพ่อมีอยู่ตัวหนึ่งชื่ออีปอบ คือพุงป้อง พุงใหญ่ เหมือนกินอะไรเข้าไป หมาตัวอื่นจะไม่กัดลุงหงุ่น เพราะมันกัดแกไม่เข้า มีแต่อีปอบตัวเดียวที่ยังชอบลองของ อีปอบไม่อยากเชื่อว่าลุงหงุ่นจะกัดไม่เข้า มันพยายามกัดหลายครั้งจนลุงหงุ่นรู้ แกเลยเรียกมันมาใกล้ ๆ แล้วยกแขนให้มันกัด แกบอกอีปอบมึงอยากกัด ๆ เลย กัดให้หายข้องใจ อีปอบกัดอีก ๔ – ๕ ครั้งได้ พอเห็นไม่เข้าแน่มันเลยเลิกกัด หลวงพ่อกวยท่านหัวร่อ หึ หึ

 
ครั้งหนึ่งหลวงพ่อปลูกว่านดอกทองเอาไว้ ลุงแกเห็นเข้ากำลังออกดอกพอดี แกตำหนิหลวงพ่อว่า “นี่แกเอาว่านอะไรมาปลูกไว้นี่ เดี๋ยวได้ตอแหลกันทั้งบ้าน ขุดเอาออกซะน่า” คือลุงหงุ่นแกพูดกับหลวงพ่อว่า แก – ข้า แต่เรียกหลวงพ่อกวยว่าหลวงพ่อ หลวงพ่อถึงกับต้องขุดว่านออก ครั้งสุดท้ายลุงหงุ่นแกจะไปอยู่ภาคเหนือได้มาลาท่าน คงจะอายุมากแล้ว และคงไปอยู่กับลูกหลาน ได้ควักเงินทำบุญ ๒๐ บาท หลวงพ่อท่านรับเอาไว้ แล้ววางไว้ คือ ท่านไม่สนใจเงิน ลุงหงุ่นแกเห็นหลวงพ่อเฉย ๆ แกได้พูดว่า    “ทำไมล่ะ ทำไมถึงวางไว้อย่างนั้น หรือแบงก์มันเก่าไป เอ้า เอาแบงก์ใหม่เปลี่ยนให้ก็ได้”แกหยิบแบงก์เปลี่ยนแล้วส่งให้หลวงพ่อใหม่

เรื่องที่ท่านเมตตาต่อคนยากไร้และคนใจถึงนี้ แม้แต่คนบ้ายังเดินทางมาฝากตัวเป็นศิษย์ท่าน ครั้งหนึ่งหน้าร้อนเดือนเมษายน หลวงพ่อนั่งคุยอยู่กับคุณย่าฉวน คนหัวเด่น คนบ้าเดินผ่าฝูงหมาท่านมา ในมือถือถุงโอเลี้ยงมาด้วย มาถึงก็นั่งยอง ๆ ยกมือไหว้ เอาถุงโอเลี้ยงถวายท่าน หลวงพ่อได้ถามคนบ้าว่ามายังไง คนบ้าได้ตอบท่านว่า“เขาว่ามึงมีของดีกูจะมาขอแหวนมึงซักวงหนึ่ง”หลวงพ่อก็หยิบส่งให้แล้วท่านก็คุยด้วย คุยไปคุยมาคนบ้าเห็นท่านไม่ยอมฉันโอเลี้ยง คนบ้าได้พูดกับท่านว่า“ไอ้กวย มึงกินวะล่ะโอเลี้ยงน่ะ กูอุตส่าห์ซื้อมาฝาก”    เมื่อคนบ้าไปแล้วรู้สึกท่านตื้นตันใจมาก ท่านได้พูดว่า“ถึงมันจะบ้าแต่มันก็มีน้ำใจ ดีกว่าคนบางคนเสียอีก”


สมเด็จหลังรูป สุดยอด
นายไกร  คำแผง

นายไกร คำแผง ปัจจุบันบ้านอยู่บ้านแหลมข่อย เป็นน้องชายลุงโอน คำแผง อายุตอนนี้ตก ๕๐ กว่า (๒๕๔๐) ผมได้พบเขาในงานกินเลี้ยงเขาเข้ามายกมือไหว้ผม ผมจำได้ว่าเขาเคยขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ทั้งพี่น้อง ๒ คน แม้ว่าจะมีฐานะดีมีเงินเป็นล้านแล้วก็ตาม (บ้านแหลมข่อย อยู่อำเภอเดิมบาง) ความเดิมตอนที่แล้ว นายไกร เขามีเมียสวยแต่ด้วยความยากจน ทำให้เขาต้องทำงานก่อสร้าง ไปเช้ากลับค่ำ หรือไป ๕ – ๑๐ วันค่อยกลับ อยู่ต่อมาเมื่อแกกลับมาบ้าน แกได้ยินข่าวไม่สู้ดี เขาว่าเมียพี่มีชู้ แบบเพลงของชาย เมืองสิงห์ ความจริงเพลงนี้ผมไม่ชอบเลย เมียมีชู้ก็ดีจะได้ยกให้มันไป ไปออกใหม่เอาอายุ ๑๗ – ๑๘ ปี หาแม่พันธุ์ใหม่แบบหนูทัดทรวงเลย 

แต่นายไกร เขาไม่คิดอย่างผม เขาคิดว่า ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ ลูกผู้หญิงกินได้จ่ายไม่เป็น เขาเลยวางแผนฆ่าชู้ โดยบอกกับเมียว่าไปครั้งนี้จะไปหลายวัน แบบเพลงของชาย เมืองสิงห์อีกแหละ ก่อนไปเขาได้ลับมีดปาดตาล หรือมีดเหน็บ ที่นิยมใช้ในต่างจังหวัดใช้ได้สารพัดประโยชน์ ชายชู้ชื่อนายแก้ว เป็นคนจรมาจากโคราช พอตกค่ำ นายแก้วก็มาหาเมียของแกจริง ๆ แกพังประตูเข้าไปจับได้คาหนังคาเขา นายไกรเลยชักมีดฟันคอนายแก้ว ชั้วเดียว คอขาดเลยแล้วแกก็หนีไป ลุงโอนซึ่งเป็นพี่ชายได้พาไปกราบหลวงพ่อกวยเพื่อรดน้ำมนต์ปกติน้ำมนต์หลวงพ่อนี่เด็ดขาดและแน่นอน แต่จะเป็นด้วยเพราะอะไรไม่ทราบ ท่านได้พูดว่ามึงยังไม่หมดเคราะห์ อย่าเพิ่งไปมอบตัวกับตำรวจ ให้หนีไปก่อน ให้ไปอยู่ที่จันทบุรีโน่น เขาขุดเพชรขุดพลอยกัน คนก็อยู่ที่นั่น เสี่ยวัตรก็อยู่ที่นั่น (เสี่ยวัตรคนนี้ ผมต้องกราบขอโทษท่านด้วยที่นำชื่อจริง ๆ มาลง เพราะมีคนถามมามาก ท่านชื่อ ธวัชชัย อนัมพงษ์ เป็น ส.ส.จันทบุรี เรียกว่า ในจังหวัดจันทบุรีท่านดังคับที่ก็แล้วกัน) เขาเป็นคนญวน แต่อพยพ เป็นคนไทยนานแล้วนับถือคริสต์ไม่ไหว้พระ ในชีวิตไม่เคยกราบใคร นอกจากหลวงพ่อกวยเพียงองค์เดียว

เมื่อนายไกร มาขุดพลอยที่จันทบุรี วันหนึ่งเขาได้ยินเสียงผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลือ ตอนนั้นเย็นมากแล้ว เลิกจากขุดพลอย เขามากับเพื่อน ๒ คน เขาได้วิ่งไปที่ต้นเสียง ปรากฎว่าเจอผู้หญิงจะถูกข่มขืนจากคนร้าย ๕ คน นายไกรกับเพื่อนก็เข้าไปช่วยเหลือคนร้าย ๕ คนสู้ไม่ได้ ได้หนีไป (ผมเคยดูหนังไทย คนร้ายจะสู้พระเอกไม่ได้)

เขาได้พาผู้หญิงไปส่งที่บ้าน อยู่ต่อมาไม่นานเขามีความจำเป็นต้องไปธุระข้างนอก เขาอดระลึกถึงหลวงพ่อกวยไม่ได้ ว่าตัวเองยังไม่หมดเคราะห์ แล้วไปมีเรื่องขึ้นอีก เขาอาราธนาสมเด็จหลังรูปของหลวงพ่อคล้องคอไปเพียงองค์เดียว เขาไปกับเพื่อนเพียง ๒ คน ความจริงตอนนั้นยังไม่มืด ประมาณ ๒ ทุ่ม คืนนี้สบโอกาสอยู่พอดี เขาใช้โซ่ติดลูกตุ้มเหวี่ยงเป็นวงกลม พันรอบขาล้มลงทั้ง ๒ คนเลย พอล้มลงเขาได้ใช้ขวานพกฟันหัว (นักเลงต่างจังหวัดบางคนนิยมพกขวานพก คือมีขนาด อานุภาพในการทำลายมีมาก เรียกกันแบบลูกทุ่งว่า อีเป็ด คือแบนเหมือนเป็ดปากเป็ด หลังจากนั้นต่อมาทั้งนายไกรและเพื่อนโดนฟันไม่นับ ผลปรากฎว่ากะโหลกศีรษะของเพื่อนนายไกรแตกสมองไหลกระเด็นตายคาที่เลย (เพื่อนนายไกร คนนี้ได้รับการสักเสือ จากเกจิอาจารย์ ภาคตะวันออก ถึง ๕ ตัว) ส่วนนายไกร โดนฟันหัวแบบไม่นับ คนร้ายคิดว่าตายแน่นอน ด้วยอำนาจมนต์จากพระสมเด็จหลังรูป พอน้ำค้างตก นายไกรก็ฟื้นขึ้นมาได้คลำดูตามตัวไม่มีเลือดก็ใจชื้น แต่ปวดหัวมากได้คลำหัวดู ปรากฎว่าผมของตัวเองขาดเหมือนโดนกล้อน และกะโหลกศีรษะบางส่วนยุบลงไป พอไปดูเพื่อนปรากฎว่าเพื่อนตายแล้ว นายไกรเลยลากเพื่อนหลบเอาไว้ข้างทาง กันรถทับ

นายไกรได้กลับที่พัก และให้เพื่อนหารถกระบะพาไปส่งโรงพยาบาลจันทบุรี รุ่งเช้าพอคนร้ายรู้ว่านายไกรยังไม่ตาย เขาได้ขับรถจักรยานยนต์มากัน ๔ – ๕ คน หวังจะมาฆ่าซ้ำให้ตาย ขณะนายไกรกำลังหลับอยู่ หลวงพ่อได้ส่งจิตไปปลุกให้นายไกรตื่น นายไกรยังเห็นหลวงพ่อยืนภาวนามนต์อยู่ที่หัวเตียง พอนายไกรตื่นขึ้นมาภาพหลวงพ่อก็หายไป นายไกรได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์มาจอด ได้แอบดูจำได้ว่าเป็นคู่อริ จึงได้วิ่งไปบอกยามให้สกัดไว้ ตัวเขาเองได้ และยามได้โวยวายด้วยคนร้ายเลยหลบหนีไป นายไกรเลยจ้างรถพยาบาลจากจันทบุรีมาส่งที่โรงพยาบาลสุพรรณบุรี แพทย์ได้ตรวจเช็คสมองแล้วทำเรื่องส่งตัวมาที่โรงพยาบาลรามา กรุงเทพฯ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 21, 2013, 03:12:49 pm
ยอดกฐิน วัดโฆสิตาราม
เมื่อวันที่ ๑๗ พ.ย.๕๖
๒,๕๗๒,๕๗๐.-บาท
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 21, 2013, 03:24:57 pm
ยอดกฐิน วัดโฆสิตาราม
เมื่อวันที่ ๑๗ พ.ย.๕๖
๒,๕๗๒,๕๗๐.-บาท

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 21, 2013, 03:29:23 pm
ยอดกฐิน วัดโฆสิตาราม
เมื่อวันที่ ๑๗ พ.ย.๕๖
๒,๕๗๒,๕๗๐.-บาท

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 24, 2013, 01:00:34 pm
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๕๕

วันที่ ๒๕ ส.ค. – ๕ ก.ย.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



สมเด็จหลังรูป


หลวงพ่อสร้างพระพิมพ์สมเด็จไว้หลายแบบ ได้รับความนิยมจากศิษย์ทุกแบบ เพราะหลวงพ่อทำเอง เล่ากันว่า สมเด็จรุ่นแรก คือรุ่นแหวกม่าน และใน พ.ศ.๒๕๑๓ หลวงพ่อสร้างปรกโพธิ์ ๙ ใบ ส่วนสมเด็จหลังรูปรุ่น ๑ นั้น ไม่ทราบว่าสร้างตอนไหน แต่ประมาณ พ.ศ.๒๕๑๕ ส่วนรุ่น ๒ ประมาณ พ.ศ.๒๕๑๗ ชนิดที่เป็นรูปท่านไม่มีสมเด็จก็สร้างประมาณ พ.ศ.๒๕๑๗ นี้ นอกจากนั้นก็เป็นสมเด็จหลังเรียบพิมพ์ฐานผ้าทิพย์ พิมพ์พุทธกวัก สมเด็จหลังเรียบนี้มีหลายแบบ บางแบบก็ยืนยันไม่ได้ สมเด็จที่มีความนิยมสูงสุดนั้นคือปรกโพธิ์ ๙ ใบ รองลงมาก็สมเด็จหลังรูปรุ่น ๑  ส่วนสมเด็จหลังรูปรุ่น ๒ นั่น ยังไม่ค่อยนิยมนัก เพราะรูปแบบโต และขาดความสวยงาม คือช่วงนั้นเป็นช่วงปลายอายุของหลวงพ่อแล้ว มือท่านไม่ค่อยมีกำลังในการตำผง ผสมผง และกดพิมพ์

ในปีที่ท่านสร้างสมเด็จหลังรูปรุ่น ๒ นั้น ผมได้นำว่านหลายชนิดที่ปลูกเองรดด้วยอาคม เช่น ว่านหนังแห้ง กระชายดำ ไพรดำ หอกหัก สบู่เลือด มหาเมฆ นำเอาไปถวายท่านเพื่อทำพระ ว่านเป็นลังใหญ่ ๆ บางส่วนผมได้ตำเป็นผงล่อนเสร็จแล้ว เอาไปถวายท่าน คือ สมัยนั้นผมเป็นคนยากจน คนเราจนแล้วให้จนแต่ตัวอย่าจนน้ำใจ ผมคิดอย่างนั้น เมื่อท่านเห็นว่านเข้าท่านดีใจยกเข้ากุฏิเลย ท่านบอกว่าว่านมหาเมฆนี้ดี ถ้าปลุกเสกให้ดีจะกำบังได้ ภายหลังผมยังเก็บมะขามป้อมไปถวายท่าน เห็นท่านดองถวายพระผมก็ดีใจ เก็บไปถวายประจำ รู้สึกท่านตื้นตันใจกว่าการถวายเงินมาก คือ เคยถวายเงินท่านเห็นท่านเฉย ๆ

สมเด็จรุ่น ๒ ที่ว่าไม่สวยนี้ ปัจจุบันขนาดไม่ค่อยนิยมเท่าไร แต่ราคาเช่าหาเดี๋ยวนี้แพงมากเลย เพราะคนที่นำไปใช้มีโชคลาภดี ทำกินร่ำรวย เมตตา กำบังดี แคล้วคลาดดี จะเป็นเพราะว่านมหาเมฆหรือเปล่าไม่แน่ชัด เพราะปีนั้นผมเห็นท่านเอาช้อนมาขูดกระดูกผีโบราณเอาไปผสมพระ แต่จะเป็นรุ่นนี้หรือเปล่าไม่แน่ชัด เพราะหลังจากนั้นหลวงพ่อก็ไม่ได้พิมพ์พระอีกเลย เพราะมือท่านไม่มีกำลัง เรื่องผงผีนี้ผมไม่ยืนยันว่าท่านจะใช้ผสมหรือเปล่า คือผมไม่กล้าถามท่าน ท่านได้แต่พูดว่าใช้ว่านผสมทำ แต่ผมไม่เคยเห็นตอนที่ท่านทำเลย

สำหรับอภินิหารสมเด็จหลังรูปรุ่น ๒ นี้มีอภินิหารเล่าขานมากมาย ไม่แพ้รุ่นอื่น ๆ เช่นกัน จะขอบันทึกเอาไว้เล่าให้ฟังดังนี้

มีศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งชื่อบุญยัง บ้านอยู่สิงห์บุรี เคยมากราบหลวงพ่อตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม ๆ เคยได้พระของหลวงพ่อไปหลายแบบ เมื่อมีภรรยาก็ไปประกอบอาชีพบ้านภรรยา ที่จังหวัดนครสวรรค์ อาชีพค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นครอบครัวที่ยากจน ประกอบอาชีพมาหลายปีมีแต่พอกับไม่พอเลี้ยงครอบครัวเท่านั้น ภายหลังอดอยากแล้งแค้น มีหนี้สินรุงรัง กลุ้มอกกลุ้มใจไม่รู้จะทำอย่างไร เที่ยวได้ไปหาหลวงพ่อองค์นั้นองค์นี้รดน้ำมนต์ก็ไม่มีผลอะไร อยู่มาวันหนึ่งได้ระลึกถึงหลวงพ่อกวยได้ แต่หลวงพ่อก็มามรณภาพเสียแล้ว จำได้ว่าเคยมีวัตถุมงคลของหลวงพ่อหลายอย่างจะลอง ๆ เอามาทำน้ำมนต์และอาราธนาติดตัว แต่เมื่อค้นดูปรากฏว่าไม่มีเลย ได้เอาให้พวกหมู่ไปจนหมดเพราะไม่ได้สนใจมานาน เมื่อไม่มีอะไร ก็เลยจุดธูปขอพรต่อท่าน พอวันรุ่งขึ้นภรรยาได้เจอพระสมเด็จองค์หนึ่ง ด้านหลังมีรูปเขียนว่าหลวงพ่อกวย จึงถามสามีว่าใช่พระองค์นี้หรือไม่ นายบุญยังพอเห็นเข้าก็ดีใจจนน้ำตาไหล นึกไม่ถึงว่าพระนี้มาอยู่ได้อย่างไร ชะรอยหลวงพ่อคงจะไม่ทอดทิ้งตนเป็นแน่ พอตกกลางคืน ก็เอาพระสมเด็จหลังรูปใส่พานหาดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา สวดมนต์ขอพรต่อหลวงพ่อทุกคืน ลูกเมียก็หัดให้กราบพระสวดมนต์ทุกคืน ได้อธิษฐานว่า“ขอให้หลวงพ่อช่วยดลจิตดลใจให้ข้าพเจ้านี้เกิดปัญญา ทำมาค้าขายให้ร่ำรวย ใช้หนี้ใช้สินให้หมดด้วย สาธุ”     ประมาณเดือนเศษการค้าการขายเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ พอมีเงินติดตัวเล็กน้อย พอดีเพื่อนฝูงมาชวนไปทัศนาจรที่พัทยา นายบุญยังกับภรรยา ปกติก็ไม่อยากไป แต่มานึกดูอีกทีอยากจะหาทำเลค้าขายใหม่ จึงได้ตกลงไปดู เมื่อไปก็มองหาแต่ช่องทางทำมาหากินอย่างเดียว เมื่อไปกินก๋วยเตี๋ยวที่พัทยา ได้พูดคุยกับเจ้าของร้านซึ่งขายก๋วยเตี๋ยวร้านไม่โตนัก ได้คุยถึงทำเลว่าขายดีไหม ที่ต้องเช่าเขาหรือเปล่า เหมือนหนึ่งว่าหลวงพ่อจะดลใจ แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวได้พูดคุยด้วยดี ได้พูดคุยว่า ที่ไม่ได้เช่าเขาเป็นที่ของตัวเอง เป็นป่าชายเลนซื้อเหมาเขาไว้ ของก็ขายดี คุณบุญยังได้พูดคุยว่าอยากจะมาค้าขายอยู่ด้วย แต่จะไม่ขายก๋วยเตี๋ยวหรอก เดี๋ยวจะหาว่าเป็นการแย่งลูกค้ากัน แต่จะขายลูกชิ้นปิ้ง ไส้กรอก จะมาขายอยู่ด้วยได้ไหม แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวก็ดีใจหาย บอกว่าให้มาอยู่เถอะจะได้เป็นเพื่อนกัน เมื่อกลับจากพัทยา คุณบุญยังกับภรรยาได้จุดธูปบูชาหลวงพ่อกวยกับสมเด็จหลังรูป ได้บอกเล่าต่อหลวงพ่อว่าจะไปอยู่พัทยาจะดีหรือไม่ คืนนั้นหลับไป ค่อนสว่างได้ฝันเห็นหลวงพ่อมาที่บ้าน หลวงพ่อได้พูดว่า“ไปเถอะดี ทางใต้น่ะจะร่ำรวย หรืออาจจะถูกรางวัลที่ ๑ ก็ได้”พอตอนเช้าสองสามีภรรยาจึงได้ตัดสินใจขายของที่มีอยู่พร้อมกระท่อมหลังน้อย คงเหลือแต่หม้อข้าวกับเครื่องนุ่งห่ม เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าจากบ้านที่เคยอยู่อาศัย ด้วยเชื่อมั่นในหลวงพ่อ จากมาด้วยน้ำตา มีเงินติดตัว ๒,๐๐๐ บาท เมีย ๑ ลูก ๑ ขอไปตายเอาดาบหน้า ถ้าหลวงพ่อไม่ช่วย นั่งรถโดยสารมุ่งสู่พัทยาไม่บอกให้ใครรู้ เมื่อไปถึงก็อาศัยนอนกับเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว รุ่งเช้าก็ก่อเพิงปลูกร้านอาศัยใบจาก แล้วเปิดร้านขายลูกชิ้นปิ้ง ไส้กรอก ปรากฏว่ามีคนที่มาเที่ยวกันมากทำให้ขายดี ส่วนนายบุญยังก็ขายล็อตเตอรี่ให้กับนักท่องเที่ยว การค้าขายดีขึ้นมาก ต่อมามีเงินเก็บเป็นหมื่นบาท ร้านขายก๋วยเตี๋ยวก็ขายดีจนรวย จึงอยากจะไปอยู่ในเมือง จึงขายร้านให้นายบุญยังพร้อมที่ดินที่เป็นป่าชายเลน มีแต่น้ำแฉะ เนื้อที่ ๕๐๐ ตารางวาได้ มีแต่ใบครอบครอง ใบซื้อขาย ๆ ให้เป็นเงิน ๑ หมื่นบาท อยู่ต่อมาประเทศไทยถูกชาวต่างชาติซื้อที่ดินดี ๆ เอาไปซะมาก เศรษฐีที่ดินกลัวจะไม่ที่อยู่ ก็ไปซื้อที่ตามต่างจังหวัด เศรษฐีขายที่ต่างจังหวัดก็ซื้อที่ตามป่ากันซื้อกันดะไปหมด เรียกว่าป่าชายเลนทะเลเกาะภูเขา เหมาแหลก เขาว่าสาเหตุมาจากเกาะฮ่องกงจะถูกเวนคืนให้จีนแผ่นดินใหญ่ เศรษฐีฮ่องกงที่รวยมากไม่อยากอยู่ภายใต้การปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่ กลัวยิงแบบที่จตุรัสเทียนอันเหมิน เลยมาหาที่อยู่ใหม่ เช่น มาเลย์ อินโด ฟิลิปปินส์ รวมทั้งไทยด้วย

ทีนี้พูดถึงคุณบุญยังต่อ ในปี ๒๕๓๒ มีคนมาขอซื้อที่แก ๔๐๐ ตารางวา เขาให้ราคา ๑๒ ล้านบาท วิ่งเต้นให้เสร็จที่ ๆ เหลืออีก ๑๐๐ ตารางวา เขาทำ น.ส.๓ ให้อีกด้วย แกเลยปลูกบ้านไป ๒ ล้าน สมเด็จก็นำไปเลี่ยมทอง ทุกวันนี้นับถือหลวงพ่อทุกลมหายใจ แต่จะให้ผมลงชื่อพร้อมนามสกุล ที่อยู่ เขาคงไม่สะดวกเขารวยเป็นเศรษฐีไปแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงถ้าไม่เชื่อให้ไปถาม หมอเฉลียว เดชมา ได้ หรือจะให้เขาพาไปพบก็ได้

ปล.ครั้งก่อนผมได้ตอบคำถามคุณธนมิตร ฟุ้งกิตติกุล จากซิดนี่ย์ ออสเตรเลีย คุณธนมิตรได้ถามว่า สมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ แหวกม่าน และหลังรูป อย่างไหนจะดีกว่ากัน ผมได้ตอบว่าดีทั้ง ๓ แบบ ผมได้ตอบว่า สมเด็จหลังรูปดีเก่ง คือหลวงพ่อพูดอย่างนี้ แต่ตอนที่ตอบไปครั้งก่อนเขาพิมพ์ผิด เขาพิมพ์ลงไปว่าหลังรูปดีกว่า อันนี้ผมต้องขอโทษอย่างสูงด้วย ที่มีการผิดพลาดเกิดขึ้น


รอดตายเพราะรูปหลังจีวร

อีกเรื่องหนึ่ง นายอุทัย ทับจำปา เป็นคนทางโคกช้าง อ.เดิมบางนางบวช เขตติดต่อชัยนาทวัดหลวงพ่อ เขาได้บูชารูปถ่ายหลังจีวรติดตัวบูชาอยู่เสมอ สมัยสิบกว่าปีมาแล้ว ตอนนั้นวีดีโอยังเป็นของแพง เป็นของหาดูได้ยาก การคมนาคมยังไม่ดีพอคุณอุทัยได้เช่าวีดีโอและทีวี พร้อมรถกระบะเอาไปฉายตามร้านค้าที่ห่างไกลความเจริญ โดยเตรียมวีดีโอไปหลาย ๆ ม้วน ใครอยากดูเรื่องอะไรก็เรี่ยไรเงินกันพอได้สัก ๒๐๐ บาทก็ดูได้ ๑ เรื่อง คืนหนึ่ง ๆ เขาเร่ฉายไปได้คืนละ ๓ เรื่อง บางทีดึก ๆ อาจมีหนังเอ็กซ์ให้ดู คืนหนึ่ง ๆ จะได้เงินหักแล้วถึง ๔ – ๕ ร้อยบาท เงินเมื่อสิบกว่าปีก่อนก็นับว่ามากพอสมควร ตามต่างจังหวัดนั้นในสมัยก่อนหน้านั้น ยังมีการจี้ปล้นรถกันอยู่เสมอ แต่รถกระบะคนไม่ค่อยกล้าจี้ชิง แต่อะไรมันก็ไม่เป็นที่แน่นอน การจี้รถกระบะบนถนนที่ไม่ดีค่อย ๆ วิ่งทำได้ง่ายมาก โดยโดดขึ้นมาบนรถขณะที่รถกำลังวิ่งแบบคลานเพราะถนนเป็นทางลูกรัง เป็นหลุมเป็นบ่อ คุณอุทัยกำลังขับรถมาดี ๆ อยู่ ๆ มีโจรได้โดดขึ้นบนรถขณะที่รถกำลังวิ่งแบบคลาน โดดขึ้นมา ๓ คน ลูกน้องคุณอุทัยได้ปล้ำต่อสู้จนสุดความสามารถ หัวหน้าโจรได้ชักปืนมายิงคุณอุทัย เพื่อชิงรถ คุณอุทัยก็ตกใจระลึกถึงหลวงพ่อเรียกให้ช่วย หัวหน้าโจรทุบกระจกหลังเอาปืนจ่อยิงหัวคุณอุทัย คุณอุทัยก็ขับรถเบรกไปเบรกมาขับเร็ว ๆ แล้วเบรก คนท้ายรถที่สู้กันล้มลุกคลุกคลาน หัวหน้าโจรก็ยิงคุณอุทัยไม่ถนัด ยิงออก ๓ นัดไม่ถูก ยิงจ่อ ๆ ๓ นัดไม่ถูก คุณอุทัยแย่งปืนได้ ได้หยุดรถ ต่อสู้กับคนร้าย ๓ ต่อ ๓ คนร้ายใจเสีย ประกอบกับหัวหน้าโจรโดนคุณอุทัยเอาด้ามปืนตีที่ดั้งจมูกเข้าใจว่าหัก เลือดเต็มปากเต็มจมูก โจรเลยล่าถอยออกไป คุณอุทัยเล่าว่าตอนนั้นไม่คิดกลัวตายเลย พอบอกเล่าหลวงพ่อเสร็จ รู้ว่าจะโดนปล้นแน่ คิดแต่เสียดายรถกระบะ ทีวีและวีดีโอ ออกมาใหม่หมดทุกอย่าง แถมกู้เงินเขามาด้วย เขาเล่าว่า หลวงพ่อนี้ แค่รูปติดจีวรก็เก่งมากแล้ว ถ้าเป็นพระสมเด็จหรือมีดหมอ ที่ท่านทำเองกับมือละก็แก้และกันได้สารพัด โดยเฉพาะสมเด็จรุ่นเก่า ๆ นี่ใครบูชาประจำอยู่ ระลึกถึงท่านอยู่เสมอจะมีแต่โชคแต่ลาภ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ชัณสูตร สิงห์บุรี ทางสมัยก่อนนั้นย่ำแย่มาก

ปล. คนที่บูชารูปถ่ายหลังจีวร แล้วถูกหวย ๓ ล้าน โปรดแจ้งชื่อที่อยู่ด้วยมีคนเขาอยากรู้จัก

อีกคนหนึ่ง ทำงานอยู่ที่ศาลแรงงาน บ้านอยู่ลพบุรี บูชารูปหลังจีวรแล้วถูกหวยคุณถูกติดต่อกัน ๕ งวดแฟนถูกติดต่อกัน ๖ งวด คุณเคยทำบุญมูลนิธิมา แต่ผมลืมชื่อคุณเสียแล้ว มีคนอยากรู้จัก

อีกเรื่องหนึ่งว่าจะจบ ขอต่ออีกหน่อย คุณครูสุนทร  แต้มจันทร์ ก่อนสอบบรรจุก็ขอให้สอบบรรจุได้ โดยขอกับรูปถ่ายหลังจีวรเมื่อสอบบรรจุได้แล้ว ยังได้บอกกับรูปถ่ายหลังจีวรให้สอบต่อปริญญาโทให้ได้เขาก็สอบได้ ปัจจุบันเขาสอนอยู่โรงเรียนวาปีปทุม จ.มหาสารคาม

อีกคนหนึ่งอยากรู้จัก บ้านอยู่สัตหีบ เคยแข่งรถได้แต่ที่ ๓ พอได้รูปถ่ายหลังจีวรไปบูชาติดตัว ปรากฎว่าแข่งได้ที่ ๑ ถึง ๓ ครั้ง อยากรู้จัก

จดหมายจากวัดโฆสิตาราม

ต่อไปเป็นจดหมายจากอาจารย์สำรวย เขียนเล่ามาดังนี้


จดหมายจากวัดโฆสิตาราม  ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท

โยมเฒ่า

เป็นเรื่องอภินิหารเหรียญโล่น่ะ เหรียญทองแดง คือวันที่ ๒๓ พ.ย.๓๑ นายพเยา นายสำเนา และนายทอง เป็นคนบ้านแคได้ไปเที่ยวงานลอยกระทงที่วัดหอระฆัง จะเมามาด้วยหรือเปล่าไม่แน่ใจ ขากลับได้ขี่มอเตอร์ไซค์มาปรากฎว่า ประสบอุบัติเหตุรถชนสุนัขรถเสียหลักล้มคว่ำ เพราะวิ่งมาด้วยความเร็ว นายทองกับนายสำเนาบาดเจ็บสาหัสปางตาย ต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลส่วนนายพเยาไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่เล็กน้อย เพราะเขาคล้องเหรียญโล่ทองแดงหลวงพ่อกวยเหรียญเดียวเท่านั้น

อีกเรื่องหนึ่งคือนายเนย เป็นคนบ้านหนองปลาดุกได้แหวนแขนเตือนภัยจากหลวงพ่อกวยไป ๑ วง เกิดอยากลองของดู ได้ไปขโมยควายชาวบ้าน ปรากฎว่าเจ้าของบ้านตื่นขึ้นมา และได้ยิงด้วยปืนหลายนัด ไม่ออกเลยแม้แต่นัดเดียว นายเนยก่อนที่จะไปลองของขโมยควายชาวบ้าน นั้น ได้ดื่มเหล้ากับพวกไปเล็กน้อย คือเมาเข้าไปใจกล้า ปกตินายเนยไม่ได้เป็นขโมยหรอกนะ คืออยากลองของเลยโดนพวกยุถึงได้ไป ตั้งแต่โดนยิงไม่ออกแกก็กลัว ๆ กล้า ๆ ไม่กล้าไปขโมยควายอีกเลย

อีกเรื่องหนึ่งคือมีโยมคนหนึ่งมาที่วัดจะให้หาตะกรุดโทนให้ อาตมาไม่มี เขาให้พาไปหาลูกศิษย์เก่า ๆ ของหลวงพ่อที่มีตะกรุดโทน อาตมานึกได้ว่าลุงจันทร์ พ่อตาหมอแจ๋ คนบ้านแค มีอยู่ ๑ ดอก เลยพาไป ปรากฎว่าจะให้ราคาเท่าไรแกก็ไม่ยอมให้ แกบอกจะให้ได้ยังไง แกเคยโดนยิงด้วยปืนลูกซอง ๕ นัด ขัดลำกล้อง ไม่ออกแม้แต่นัดเดียว ตกลงวันนั้น แกไม่ยอมปล่อย แกยังเล่าว่าตะกรุดโทนนี้ หลวงพ่อกวยเคยทดลอง คือมีคนมาขอถ่ายถ่ายรูปท่าน ท่านได้แต่งตัวและหยิบตะกรุดโทนมาเหน็บเอว ๑ ดอก แล้วให้ช่างถ่ายรูปปรากฎว่า ถ่ายไม่ติดแม้แต่รูปเดียว เรื่องถ่ายรูปไม่ติดนี้ แม้รูปหล่อขนาดเท่าองค์จริงท่านที่วัด มีคนมาถ่ายรูปปรากฎว่าติดแต่มณฑป แต่ไม่มีรูปหล่อเขายังได้ให้รูปไว้ดู อาตมาค้นไม่เจอ ถ้าเจอจะส่งไปให้ดู

ขอเจริญพร
อาจารย์สำรวย  อคฺคปัญโญ

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 25, 2013, 12:20:24 pm
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๕๖

วันที่ ๕ ก.ย. – ๑๕ ก.ย.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



อานุภาพเหรียญรุ่นสาม ๓ เหรียญรุ่นสุดท้าย
อีกเรื่องหนึ่งลุงชม คนสามเอก ติดต่อหนองบอน ได้มาปิดทองฝังลูกนิมิตตอนกลางวัน แดดก็ร้อน ขากลับได้แวะที่หนองแขมเพราะอากาศร้อน ขณะกำลังพักมีคนมาถามว่า เช่าอะไรมาบ้าง

อีกเรื่องหนึ่งลุงชม คนสามเอกติดต่อหนองบอน ได้มาปิดทองฝังลูกนิมิตตอนกลางวัน แดดก็ร้อน ขากลับได้แวะที่หนองแขมเพราะอากาศร้อน ขณะกำลังพักมีคนมาถามว่า เช่าอะไรมาบ้าง ลุงชมก็ตอบว่า เช่าเหรียญทองแดงมา ๑ องค์ เหรียญหนุมานมา ๑ องค์ นายระเบียบก็ถามว่า จะขอลองได้ไหม ลุงชมเลยหยิบให้ลองดูโดยให้ลองเหรียญทองแดง คือกลัวว่าเหรียญหนุมานถ้าออกจะเสียของเพราะเช่ามาแพง เลยให้ลองเหรียญทองแดง นายระเบียบได้ทดลองยิง ๒ นัดไม่ออกเช่นกัน พอตกเย็นคนสามเอก หนองแขม หนองปลาดุก หนองบอน เดินกันมาเช่าของเต็มถนนไปหมด

อีกเรื่องหนึ่ง นายเกลี้ยงได้ไปทำงานที่ตลาดอ่างทองไปกันหลายคน ลุงเกลี้ยงเป็นคนหนองหิน อ.สรรคบุรี นายชาติคนหนองหินคนหนึ่งได้ไปทำงานเช่นกัน เกิดเขม่นกันกับเจ้าถิ่น วันเกิดเหตุเกิดในตลาดเลย เจ้าถิ่นได้ล็อคคอนายชาติแล้วยิง ปัง ปัง ๒ นัด กลางตลาดเลย นายชาติทรุดฮวบลงไป มือปืนหนีตามระเบียบ คนเต็มไปหมด นายเกลี้ยงได้เข้าไปดูตัวนายชาติคิดว่าตายแล้ว ปรากฏว่าเสื้อขาดเฉย ๆ คนขอดูเหรียญกันเต็มตลาดไปหมด นายเกลี้ยงเขาเป็นคนมีอายุมากหน่อย ฉลาดรอบตัว ได้นำเหรียญรุ่นนี้ไปจำหน่ายในราคา ๔๐๐ - ๕๐๐ บาท ปีนั้นทั้งปีไม่ต้องทำนา จำหน่ายเหรียญรุ่นนี้ได้ไปหลายหมื่นบาท

วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๓๓ นายยอด แซ่อึ้ง คนหัวเด่น ติดกับบ้านแค วัดหลวงพ่อ ได้ขี่จักรยานยนต์ไปกับหลาน ๒ คน จะไปธุระที่ใกล้วัดใหม่ ขากลับมีรถไถนาวิ่งสวนมาฝุ่นเต็มถนน มองอะไรไม่เห็น พอดีรถปิคอัพยี่ห้อมิตซูบิชิวิ่งสวนมาด้วยความเร็วสูง ได้ชนรถจักรยานยนต์ของนายยอด รถกระเด็นเละเลย หลาน ๒ คนตายทันที นายยอดสลบไป ไปฟื้นที่โรงพยาบาลหมอประเจิดสิงห์บุรี หมอบอกสงสัยไม่รอดเพราะช้ำในมาก เนื้อตัวไม่ถลอกเลย แต่พอฟื้นแล้วเมื่อตรวจดูก็ไม่เป็นอะไร กลับบ้านได้ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก นายยอดใช้เหรียญหนุมาน กับ แหวนนิ้ว ๑ วงเท่านั้น เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้ประจำ เขานับถือมาก

อีกเรื่องหนึ่ง คุณสมชาย อภินันทาภรณ์ มีเหรียญหนุมาน ๑ เหรียญ ปลัดปรอท ๑ ตัว ไปกับเพื่อน ๒ คน เพื่อนเป็นจิ๊กโก๋ห้วยขวางสักทั้งตัว เขาว่าหนังเหนียวมาก ไปนั่งกินอาหารที่ห้องอาหารห้วยขวาง เจอวัยรุ่น ๗ คนเกิดไม่พอใจกันขึ้น ได้มีการชกต่อยตีกันขึ้น ๒ ต่อ ๗ เพื่อนคุณสมชายสักทั้งตัวเลือดทั้งตัวเช่นกัน แต่คุณสมชายโดนรุมตีไม่แตก ไม่มีเลือดเลย พอดีตำรวจมาจับได้ ไปตกลงกันที่เขตห้วยขวาง ฝ่ายที่รุมตีคุณสมชายกับเพื่อนได้ชดใช้ค่าทำขวัญให้ ๑๒,๐๐๐ บาท คุณสมชายเลยแบ่งกับเพื่อนคนละครึ่ง เงิน ๕,๐๐๐ บาทเอาไปซื้อสร้อยคล้องเหรียญหนุมาน เงิน ๑,๐๐๐ บาทเอาไปเลี่ยมปลัด

อีกเรื่องหนึ่ง นายเทียบ กับนายชาย เป็นคนบ้านหัวเด่น อ.สรรคบุรี ได้ดื่มเหล้าวงเดียวกัน เกิดขัดคอกันกลางวงเหล้า นายเทียบได้ชกนายชายก่อน นายชายเลยกลับบ้านไป อีกสักพักหนึ่งนายเทียบนึกขึ้นได้ว่าทำผิดไป คือชกเพื่อนรุนแรงไปแล้ว เลยตามไปบ้านนายชายเพื่อปรับความเข้าใจกัน คือขอโทษ พอนายเทียบมาบ้านนายชาย นายชายคิดว่านายเทียบจะมาต่อยต่อคงคิดว่ายังไม่หายมัน นายชายคิดว่าจะมากไป เลยหยิบมีดพกมาข้างหลัง พอมาถึงก็ฟันนายเทียบ นายชายได้ฟันนายเทียบหลายแห่ง นายเทียบได้วิ่งหนีไป ผลคือไม่เข้าเลย ในตัวนายเทียบคล้องเหรียญทองแดงหลังยันต์เหรียญเดียว

อีกเรื่องหนึ่ง นายมานิตย์ ยิ้มจู บ้านอยู่หนองแขม จ.ชัยนาท อ.สรรคบุรี ไปทำงานที่พระประแดง จ.สมุทรปราการ ครั้งหนึ่งไปทานอาหารเข้าใจว่าเหล้าด้วย ที่พระประแดง มีวัยรุ่นเจ้าถิ่นมาหาเรื่อง เกิดชกต่อยกันขึ้น วัยรุ่นเจ้าถิ่นสู้นายมานิตย์ไม่ได้ถูกต่อยล้มลงไป วัยรุ่นคนนั้นได้ชักปืนมายิงนายมานิตย์ ๑ นัด นายมานิตย์ล้มลงไปวัยรุ่นวิ่งหนี ไทยมุงเต็มไปหมด นายมานิตย์ยืนขึ้นดูที่อกไม่เป็นอะไร เสื้อขาด ๑ รู ไม่เข้า นายมานิตย์คล้องเหรียญหนุมานยกธงรบเพียงเหรียญเดียว

อีกเรื่องหนึ่ง คุณสามารถ หมวกอิ่ม เป็นคนเดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เขาขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า ขนาด ๑๕๐ ซีซี รุ่นเก่าคันใหญ่ ขี่มาที่ตลาดอำเภอหันคา ชัยนาท ด้วยความเร็วสูง ได้วิ่งชนรถอีแต๋น รถอีแต๋นนี่เป็นรถไถนานำมาติดกับลี่ใช้บรรทุกของ รถอีแต๋นก็วิ่งมาด้วยความเร็ว ปรากฏว่ารถอีแต๋นวิ่งตัดหน้า คุณสามารถได้บีบแตรและเบรกแต่เบรกไม่อยู่ เขาระลึกถึงหลวงพ่อกวยให้ช่วย หลวงพ่อก็อยู่ไกลไม่รู้จะช่วยได้อย่างไรท่านไม่ได้เป็นคนขับด้วย ปรากฏว่ารถคุณสามารถวิ่งชนรถอีแต๋นด้วยความแรงมาก แรงขนาดข้อต่อลี่ขาดเลย คุณสามารถกระเด็นไปข้างทางไม่เป็นอะไรเลย แต่รถเละใช้ไม่ได้เลย คุณสามารถศรัทธาหลวงพ่อมาก เขาคล้องเหรียญหนุมานยกธงรบ อันเดียว เขาได้มาบวชให้หลวงพ่อที่วัด ๑ เดือน ผมเคยถ่ายรูปเขาไว้ ถ่ายรูปคู่นายปาน ศิษย์ของหลวงพ่อ
อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องเปรียบเทียบ คุณสุทธิวรรณ ปั้นสน บ้านอยู่หนองแขม ใกล้วัดหนองแขม นามสกุลเดียวกับหลวงพ่อ ถ้าจำไม่ผิดอาจจะเป็นน้องสาวท่านอาจารย์สำรวย ได้ไปทัศนศึกษาที่ภาคเหนือ ขณะที่รถวิ่งอยู่บนดอยตุง จ.เชียงราย ความที่คนขับรถทัศนศึกษาไม่ชำนาญทาง ได้ตกลงเหว บนดอยตุง คุณสุทธิวรรณได้ระลึกถึงหลวงพ่อร้องสุดเสียงเลย ปรากฏว่ารถตกลงไปด้านล่างด้วยความแรงมาก คนตายและบาดเจ็บเต็มไปหมด มีเพียงคุณสุทธิวรรณเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ไม่สลบด้วย ในคอเขาคล้องเหรียญทองแดงโล่เพียงอันเดียว ดอยตุงนี้สูงมาก รถที่ตกลงไปด้านล่าง คนโอกาสรอดชีวิตมีน้อยมาก มีไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์

ก็ขอสมมุติยุติจบเรื่องเหรียญรุ่นสุดท้ายไว้เพียงนี้ เหรียญรุ่นนี้หลังงานฝังลูกนิมิตยังมีเหลืออยู่มากทีเดียว ก่อนหลวงพ่อจะมรณภาพ หลวงพ่อได้ปลุกเสกเหรียญรุ่นนี้ไว้ให้ยาวนานเหมือนเป็นการสั่งลา และมอบสิ่งที่ดีให้ศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย ปัจจุบันที่วัดยังมีเหลือตกค้างอยู่ มีทั้งชนิดทองแดงโล่ และอัลปาก้าโล่ ผมรับประกันให้ สำหรับวันนี้อภินิหารมีมากนำมาเล่าไม่หมด เอาเฉพาะอภินิหารที่ชัดแจ้งเท่านั้น

หมายเหตุเรื่องของหลวงพ่อนี้ มีอภินิหารที่เด็ดขาดและมีมาก มีหลายคนไม่เชื่อ สงสัย บางคนคิดว่าผมเขียนเชียร์ ได้ถามผมมาว่าจริงแค่ไหน ผมได้ตอบเขาไปว่า ถ้าผมตอบว่าจริงคุณก็คงไม่เชื่อ เพราะคุณเป็นคนสงสัย อีกอย่างหนึ่งคุณจะมาเชื่อผมได้อย่างไร ผมเป็นใครมาแต่ไหนคุณก็ไม่รู้ ทำไมคุณไม่มาวัด มาสืบดูล่ะ ว่าเรื่องที่ผมเขียนน่ะจริงแค่ไหน เช่น เรื่องของนายนบ เจียมพลับ ที่ต่อสู้กับคน ๓ คน ปืน ๓ กระบอก ยิงไม่ออกเลยแม้นัดเดียว ไม่ออกเลยสักกระบอก บ้านเขาก็อยู่ไม่ไกลวัด เรื่องคุณลุงเมือง มั่นปาน ที่โดนยิงนับครั้งไม่ถ้วน ไม่เข้าเลยมีรอยลูกปืนเต็มตัวไปหมด บ้านเขาก็อยู่ไม่ไกล เรื่องของกำนันหิ้ง เรื่องของคนตาบอด แขนด้วน ขาด้วน ปืนแตก ฯลฯ มีให้สอบถามรอบ ๆ วัดมากมาย ให้มาถามเขาดูดีกว่าที่จะมาถามผมว่าจริงหรือไม่จริง เรื่องที่ผ่านมาแล้วแต่คนเห็นเหตุการณ์ยังอยู่ หลาย ๆ เรื่องเราก็นำมาพิจารณาดูว่า ควรจะเชื่อได้หรือไม่ได้ บางคนอาจไม่เชื่อเพราะไม่เห็นกับตา ถ้าอย่างนั้นก็เรียนประวัติศาสตร์ไม่ได้ เรียนโบราณคดีไม่ได้ มีบางคนได้มาคุยกับผม คือเขาไม่เชื่อเพราะไม่เห็นกับตา ผมได้ถามเขาไปว่าคุณรู้ได้อย่างไรว่าคุณเป็นลูกแท้ ๆ ของพ่อแม่คุณ ผมสงสัยว่าคุณจะเป็นเด็กวัดสระแก้ว คุณรู้ได้อย่างไรเพราะตอนคุณเกิดคุณก็จำความไม่ได้ เขานั่งอึ้งไป ผมก็ตอบเขาไปว่า เราก็พิจารณาจากเหตุผลหลาย ๆ อย่าง เช่น รูปร่าง ความห่วงใย ข้อมูลหลาย ๆ อย่าง เรื่องนี้ไม่มีอะไร ผมเล่าให้ฟังเปรียบเทียบเฉย ๆ พอดีได้รับจดหมายของท่าน พ.ต.ท.สถาพร  นรินทรสรศักดิ์ สวญ.สภ.อ.พระประแดง เขียนมาเล่ายืนยันถึงเหรียญหนุมาน พร้อมรูปถ่ายคนถูกยิงไม่เข้า มีรูปให้ดู มีคดีอยู่บนโรงพัก ถ้าไม่เชื่ออีกผมก็จนใจ

อานุภาพเหรียญรุ่นสาม ๒ เหรียญรุ่นสุดท้าย

เรื่องที่ ๕ เกิดขึ้นวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๔ หมอเรียม บ้านอยู่หนองปลาดุก ได้ขับรถกระบะไปธุระที่ จังหวัดนครสวรรค์ ตอนขากลับตรงสามแยก เข้าพยุหะได้มีรถกระบะคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็ว วิ่งตัดหน้า ได้ชนรถหมอเรียมกระเด็นตกลงข้างทาง รถกลิ้งหลายตลบ ปรากฎว่ารถพังใช้ไม่ได้เลย เละเลย แต่ตัวหมอเรียมไม่เป็นอะไรเลย ในคอมีเหรียญทองแดงโล่เพียงเหรียญเดียว ตำรวจมาดูเหตุการณ์ยังยืนงง หมอเรียมเดินได้เป็นปกติ คนมาถามมามุงดูกันใหญ่เลย

เรื่องที่ ๘ วันนี้ขอเหมาเรื่องรถชนกันสักวัน นายอินทร์ เดชมา กับพระอาจารย์เกลียวเจ้าอาวาส วัดหนองแขม อ.สรรคบุรี ได้เดินทางไปธุระที่จังหวัดสุพรรณบุรี โดยขี่มอเตอร์ไซค์ไป ขับไปเร็วมากเพราะทางไกล ระหว่างทางได้มีวัววิ่งตัดหน้า นายอินทร์เบรกไม่ทัน ได้ชนวัวอย่างแรง ผลปรากฎว่าวัวไม่เป็นอะไร แต่รถกระเด็นตกคลองบิดเบี้ยว ขับไม่ได้เลย ส่วนนายอินทร์กับอาจารย์เกลียวตกลงไปในคลองเช่นกัน แต่ไม่เป็นอะไรเลย ไม่เจ็บเลยแต่เปียกน้ำ นายอินทร์คล้องเหรียญหนุมานอันเดียว อาจารย์เกลียวมีเหรียญหนุมานเหน็บอยู่ในย่ามเหรียญเดียวเช่นกันแปลกมาก อาจารย์เกลียวอายุมากแล้วตก ๗๐ ปี แต่ไม่เป็นอะไรเลย เขาว่าหลวงพ่อสำเร็จวิชาหินเบา

เรื่องที่ ๙ เกิดขึ้นวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๑ เจ้าของเรื่องชื่อถวิล เป็นคนบ้านแคได้ไปเยี่ยมญาติที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี นายถวิลได้ขี่รถจักรยานยนต์ไป พอถึงสี่แยกบางระจัน นายถวิลได้ขี่รถเข้าแยกสิงห์บุรี ไม่มองซ้ายมองขวา รถเก๋งวิ่งมาจากสายบ้านจ่าด้วยความเร็ว ได้ชนรถนายถวิลอย่างแรงมากรถเละเลย นายถวิลได้กระเด็นข้ามรถเก๋งไปตก ๕ เมตร นายถวิลไม่เป็นอะไรเลย ในคอคล้องเหรียญหนุมานยกธงรบเพียงเหรียญเดียว แปลกมาก ไม่เป็นอะไรเลย คนมาดูกันเต็มนายถวิลได้มาบวชให้หลวงพ่อ ๑ พรรษา
เรื่องที่ ๑๐ วันนี้เหมาเรื่องรถชนกันสักวัน เจ้าของเรื่องชื่อพูนวัฒน์ นาคทอง อยู่บ้านเลขที่ ๑๒๔/๑ ถ.นิพัทธ์อุทิศ ๓ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ๙๐๑๑๐ คุณพูนวัฒน์ได้ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปธุระ ขากลับไม่รู้ว่ารถบรรทุกวิ่งมาแต่ไหน ตรงสี่แยกพอดี ชนรถเขาอย่างแรงรถเละเลย ตัวเขากระเด็นไปข้างทางปรากฎว่าคุณพูนวัฒน์ไม่เป็นอะไรเลย อีกครั้งหนึ่งคุณพูนวัฒน์ไปธุระเช่นกันรถกระบะวิ่งสวนมาด้วยความเร็วเสียหลักด้วย ได้ชนรถคุณพูนวัฒน์เละเลย คุณพูนวัฒน์กระเด็นไปข้างทางไกลมาก เขาไม่เป็นอะไรเลย เขาใช้เหรียญทองแดงรูปโล่ ๑ องค์กับสมเด็จสีชานหมาก เขารอดตายมาได้ ๒ ครั้ง เขาเชื่อและนับถือหลวงพ่อเป็นชีวิตจิตใจท่านเก่งจริง ๆ เขาไม่เจ็บเลย
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 27, 2013, 11:59:20 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๕๗

วันที่ ๑๕ ก.ย. – ๒๕ ก.ย.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



อานุภาพเหรียญรุ่นสาม ๑ เหรียญรุ่นสุดท้าย


เรื่องที่ ๑๑ เรื่องนี้เป็นเรื่องเตือนใจสมควรบันทึกเอาไว้ มีศิษย์ของหลวงพ่อรุ่นหลังคนหนึ่ง คล้องเหรียญหนุมานประจำ ชื่อพิณ(ชื่อจริง ๆ) เป็นคนทางแม่น้ำน้อย วันหนึ่งนายพิณได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาที่โพธิ์งาม รถใหม่ด้วยได้มีนักจี้ชิง ๒ คนซ้อนรถกันมา นายพิณรู้สึกตัวได้ขี่หนี แต่โจร ๒ คนก็พยายามขี่รถปาดหน้าให้รถเสียหลัก นายพิณได้ขี่รถหนีจนสุดชีวิต คนร้ายได้ชักปืนออกมายิงนายพิณ ๓ นัด ไม่ออกเลย นายพิณใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง แต่คนร้ายก็ร้ายสมชื่อได้ขี่รถปาดหน้าจนได้ รถได้เสียหลักจนล้มลง คนร้ายได้ปล้ำแย่งรถ นายพิณฮึดสู้คนขับคือโจรคนแรกเข้าปล้ำ คนซ้อนคือโจร(มือปืน) ได้สติ สั่งให้เพื่อนกระตุกสร้อยในคอออก พอสร้อยขาด มือปืนคนซ้อนได้ยิงนายพิณนัดเดียวตายเลย ข้อคิดเรื่องนี้เป็นเรื่องเตือนใจ สัญชาตินักเลงต้องมีเครื่องรางหลายแบบและควรมีเขี้ยวเล็บด้วย

เรื่องที่ ๑๒ สมัยก่อนนี้ นักเลงมักจะพกอาวุธแปลก ๆ เช่น มีดเสือซ่อนเล็บ เป็นมีด ๒ เล่มใช้ด้ามเป็นฝักใช้ฝักเป็นเป็นด้ามบางคนหมัดไม่หนักก็พกสนับมือ เป็นโลหะทองเหลืองใส่นิ้ว ๔ นิ้วต่อยคนถึงเจ็บ บวม หรือแตกได้ทันที บางคนพกเหล็กขูดชาร์ป มีด้ามเป็นไม้รูปเหล็กทรงมะเฟือง ๔ แฉก ใช้ขูดเศษโลหะที่โรงกลึง เขาว่าถ้าแทงคนแล้วเลือดจะไม่ไหลออก จะไหลลงช่องท้องถึงตายได้

วันหนึ่งงานวัดของหลวงพ่อทางโรงเรียนมักจัดรำวงกับมวย ส่วนวัดจัดภาพยนตร์ ลิเก ปัจจุบันนี้รำวง มวยที่จังหวัดอื่นเขาเลิกจัดกันแล้ว แต่ทางโรงเรียนของหลวงพ่อยังจัดได้ ปีนั้นทางวัดและโรงเรียนมีงานประจำปี คนมาเที่ยวกันมาก โดยมากจะมาปิดทองรูปหล่อของหลวงพ่อกันก่อน นายยอด รุ่งเรือง ลูกชายหลวงตายอด รุ่งเรือง ก็มากราบหลวงพ่อด้วยมาคนเดียว เดินเพลิน ๆ อยู่ มีคนมาสะกิดสีข้างแล้วแทงด้วยเหล็กขูดชาร์ป แทง ๓-๔ ที ล้มลงไป คนมามุงดูกันเต็มคิดว่าตายแล้ว ปรากฎว่าแทงไม่เข้าแม้ทีเดียว คนมาขอดูเหรียญที่คอกันเต็มไปหมด ปรากฎว่าในคอนายยอด คล้องเหรียญทองแดงโล่ รุ่น ๓ พ.ศ.๒๕๒๑ เพียงเหรียญเดียว


เรื่องที่ ๑๓ เจ้าของเรื่องชื่อละมัย เดชมา เป็นคนหมู่ ๑๐ ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี ได้ไปเที่ยวที่วัดดอนตาลเสี้ยน หลังวัดดอนไร่ ไปเที่ยวกับนายปี ไปเจอเจ้าถิ่นเข้าเขาไม่พอใจ นายปีได้เข้าไปห้าม เลยโดนตีด้วยขวดเหล้าขวดแตกเลย แต่นายปีไม่เป็นอะไร เมื่อตีนายปีแล้ว เจ้าถิ่นก็รุมตีนายละมัย เดชมา ตีจนสลบ พักใหญ่มีคนไปบอกตำรวจ นายละมัยได้ฟื้นขึ้นมาปรากฎว่าไม่แตกเลยกลับบ้านได้ คนมาขอดูพระกันใหญ่ ปรากฎว่าในคอนายละมัยคล้องเหรียญทองแดง รุ่น ๓ พ.ศ.๒๕๒๑ เพียงเหรียญเดียว นายปีคล้องเหรียญหนุมาน เหรียญเดียวเช่นกัน นายปีปัจจุบันอายุมากแล้ว พูดจานักเลง บวชเป็นพระอยู่วัดหนองตาแก้ว อ.เดิมบางนางบวช นายปีนามสกุล มั่นปาน บ้านเดิมอยู่ ๑๙ ม.๑๐ ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ๑๗๑๔๐

เรื่องที่ ๑๘ อาจารย์ชรัท สุขเอี่ยม เป็นครูสอนโรงเรียนวัดสามเอก เป็นโค้ชกีฬาที่เก่งคนหนึ่ง วันหนึ่งได้นำเหรียญทองแดงโล่มาคล้องให้ลูกชาย ลูกชายอายุประมาณ ๑๒-๑๓ ขวบ ชอบพระเหมือนพ่อ วันหนึ่งเปิดเทอมภาคฤดูร้อน มีการบวชเณรกัน ลูกชายอาจารย์ชรัท ก็อยากจะบวชด้วย อาจารย์ชรัทได้ไปซื้อใบมีดโกนมาโกนผมให้ลูก ปรากฎว่าโกนไม่เข้าขูดใบมีดโกนลงไป ผมขาดเพียง ๒-๓ เส้นเท่านั้น โกนอย่างไรก็โกนไม่ได้ จึงอาราธนาหลวงพ่อออกจากคอจึงโกนเข้า นับว่าอัศจรรย์มาก เรื่องนี้เข้าใจว่าคงเกิดขึ้นเป็นบางครั้ง ต่างกรรมต่างวาระกัน ผมไม่ยืนยัน เพราะตัวผมเอง อย่าว่าแต่เส้นผมเลย ไปหาหมอ หมอแทงผมฉึกเข้าทุกที

เหรียญแจกแม่ครัว

เรื่องที่ ๒๑ เจ้าของเรื่องเป็นตำรวจอยู่สุพรรณบุรี ชื่อไพฑูล  ขุมทอง  ก่อนสอบไปมีเรื่องกับคนเมายาม้าหรือเมาเหล้านี่แหละ ชื่อเจี๋ยม ลูกชายยายดำ คนปากน้ำได้ถือมีดมาแทงโดนตรงท้องแขนยาว ๑ คืบกว่า อีก ๒ – ๓ วัน จะไปสอบสัมภาษณ์ได้บนกับหลวงพ่อกวยว่า ขอให้ผ่าน ได้ขอยืมผ้าจีวรหมู่ รูปหล่อของหลวงพ่อ จากนายแดงสว่างศรี นายแดงได้ทำเป็นแหวนแขนเอาไว้เขาบนว่าอย่าให้ตำรวจที่สอบสัมภาษณ์ได้เห็นแผล เพราะตำรวจไม่ชอบคนมีแผล กลัวจะไปเกเร ปรากฎว่าผ่าน ตอนสอบข้อเขียนก็บนให้สอบผ่าน เมื่อจบแล้วยังได้บนขอให้ได้มาอยู่สุพรรณหลวงพ่อช่วยหมด ๓ อย่าง ผมเห็นว่าเขาเป็นตำรวจอยากให้เขาได้มีของดีติดตัวบ้าง เพราะเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน ได้ให้เหรียญพุ่ม รุ่น ๓ ไป ๑ องค์ เมื่อตอนบวชเป็นพระได้มาจำพรรษาที่วัดหลวงพ่อ คือเคารพมาก วันหนึ่งสึกแล้วขี่รถมอเตอร์ไซค์มาด้วยความเร็ว ขี่ตัดหน้ารถกระบะรถคันใหญ่แบบรถรุ่นใหม่ได้วิ่งชนโต๊ะหินอ่อนชนิดไม่มีพนักพิง เขาตั้งเรียงเอาไว้ให้แขกนั่ง ๔ – ๕ ตัว ด้วยความแรง รถมอเตอร์ไซค์ได้พุ่งเข้าชนโต๊ะ ได้หักกลาง ๒ ตัว ตัวที่ ๓ ร้าว รถเสียหายมาก แต่คุณไพฑูล ไม่เป็นอะไรแม้นิดเดียว ได้แต่ซื้อโต๊ะใช้เขา ๓ ตัว นับว่าคุณไพฑูลนี้ หลวงพ่อคงจะรักมากพอสมควรมีการบนด้วยหัวหมู ๓ หัว เหล้า บวชให้

ปัจจุบันเหรียญเหรียญรุ่นนี้มีเหรียญเลียนแบบแกะแม่พิมพ์ใหม่ ครั้งสุดท้ายคุณเฟื่อง แก้วพฤก อยู่ร้านตัดผมทับทิมบาเบอร์สยามสแควร์ ได้ไปประมาณ ๓๐ – ๕๐ เหรียญ คุณเสงี่ยม จิตรักสวะนะ มีประมาณ ๗๐ เหรียญ บ้านอยู่เชียงราย ร้านทวีชัยอะไหล่ยนต์ อ.เมือง ผมยังคิดถึงเขาเสมอ


เรื่องที่ ๒๒ คุณวิรัตน์ มีภรรยาชื่อไพรวัลย์ เป็นคนปากน้ำ คล้องรูปถ่ายรุ่นฝังลูกนิมิต เลี่ยมมาแต่เดิม แต่ไม่ได้ติดจีวร วันหนึ่งเข้าไปหวดหญ้าใต้ต้นไม้ ไม่ได้ใส่เสื้อ หลังของเขาไปโดนรังแตน ปรากฎว่าต่อยไม่เข้า แต่เจ้าตัวรู้ว่าต่อย คือไม่เจ็บเลย เรื่องนี้เห็นว่าแปลก จึงเล่าให้ฟังเอาไว้ เรื่องแบบนี้เคยมีคนโดนต่อยมาครั้งหนึ่งแล้ว

ไม่ช้ามึงก็เป็นอย่างมัน

หลวงพ่อกวยท่านเป็นพระที่มีวาจาสิทธิ์ พูดคำไหนเป็นคำนั้น พูดว่าดีต้องดี พูดว่าตายต้องตาย แต่บางคนก็พูดว่าท่านรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ เมื่อท่านลั่นวาจา หรือพูดออกไปเพราะท่านรู้ล่วงหน้า อันนี้ก็แล้วแต่ต่างคนต่างความคิด

คนอำเภอสรรคบุรี หรือลูกหลานขุนสรรค์วีรบุรุษแห่งลุ่มแม่น้ำน้อยนี่เป็นคนจริง และเป็นคนแปลก ๆ ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ เป็นคนดุไม่ลงให้ใครง่าย ๆ เดิมเมืองสรรค์ หรือเมืองแพรกศรีราชาเป็นเมืองหน้าด่าน คนถิ่นนี้จึงเป็นคนจริง เกจิอาจารย์ทางคงกระพันชาตรีละก็กว่าจะดังมาได้ โดนลองกันมานับไม่ถ้วน ถ้าไม่แน่จริงไม่ต้องได้เกิด

นายพวง เป็นคนทางบ้านใน บ้านในนี่อยู่ใกล้ ๆ แม่น้ำน้อย ได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงพ่อกวย เขาว่าเก่งนัก ความจริงบ้านในก็อยู่ไม่ไกลจากวัดหลวงพ่อเท่าไหร่ ๓ – ๔ กิโลเมตรได้ แต่แกไม่เชื่อถือหลวงพ่อ วันหนึ่งแกแบกปืนลูกซองมา พอเข้าเขตวัด แกประทับปืนยิงไปที่ไก่แจ้วัดทันที เสียงดังปังสนั่น ไก่ดิ้นปัด ๆ ตายเลย ยัง ๆ ไม่พอ นายพวงแกยังหิ้วไก่เข้ามาในวัด พอดีตอนนั้นหลวงพ่ออยู่ข้างล่างพอดี พอแกเดินมาถึงแกก็โยนไก่ลงดินต่อหน้าหลวงพ่อ แล้วพูดว่า“ลองยิงไก่หลวงพ่อซะแล้วเขาร่ำลือกันนักว่าเก่ง”แล้วก็มองหน้าหลวงพ่อ ดูซิว่าหลวงพ่อจะว่าอย่างไร หลวงพ่อท่านแก่แล้วจะไปสู้รบตบมือกับใครเขาได้ เขายิงไก่วัดก็เหมือนไก่ท่าน เหมือนลูกท่าน ท่านมองไก่แล้วมองหน้านายพวง แล้วพูดว่า“ไม่ช้ามึงก็เป็นอย่างมัน”อยู่ต่อมาประมาณ ๕ วันได้ นายพวงก็โดนเขายิงตาย

เรื่องไก่วัด นกวัด หมาวัดนี่ รวมทั้งพระ เณรด้วย ก็เหมือนลูกหลานท่าน ท่านมีลูกมาก ท่านก็ดูแลไม่ไหว ไม่ทั่ว ท่านแก่แล้วจะให้ท่านเสกข้าวให้ไก่ให้นก ให้หมาให้แมวในวัดเป็นร้อย ๆ ตัวแล้วหนังเหนียวได้ยังไงไหว เวลาท่านส่วนใหญ่ท่านก็ทุ่มเทให้กับการสร้างวัตถุมงคล ก็ถือว่าท่านได้ให้มากแล้ว

มีเรื่องแปลกอย่างหนึ่งคือที่กุฏิท่านจะไม่มีปลวกขึ้น แต่กุฏิพระองค์อื่น ๆ นี่ปลวกเขาไม่ค่อยละเว้น วันหนึ่งท่านว่าง ท่านได้ลงมาตรวจตรากุฏิพระ ท่านเจอปลวกขึ้นกุฏิพระอยู่พอดี ขึ้นไปถึงพื้นด้านบนเลย ท่านคงจะหงุดหงิด หรือเสียอารมณ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านได้เรียกลุงเนียมเข้าไปหา ลุงเนียมแกขายของอยู่หน้าวัด ท่านกวักมือเรียก พอลุงเนียมแกเข้าไปใกล้ ท่านได้พูดระบายอารมณ์ว่า“ไอ้เนียม มึงนี่ยังดีกว่ากู”นายเนียมได้ถามหลวงพ่อว่า ผมจะไปดีกว่าหลวงพ่อได้อย่างไร หลวงพ่อกวยท่านพูดว่า“มึงยังดีมึงยังมีเมีย เจ็บหัวตัวร้อนยังมีคนดูแล กูไม่มีใครเลย มึงมีลูกกี่คน”ลุงเนียมตอบว่า“สองคนครับ” หลวงพ่อพูดว่า “มึงยังดีกว่ากูอีกนั่นแหละ มีลูกแค่ ๒ คน กูเมียก็ไม่มี แต่มีลูกเป็นร้อย ๆ คน บ้านกูก็มีตั้งหลายหลัง มึงดูบ้านลูกกูซิ ปลวกขึ้นจนจะถึงหัวนอนแล้ว มันยังไม่เห็นอีก ดีว่ากูมาเจอ”

คือท่านหมายถึงลูกท่านคือ พระ เณร หมา แมว ไก่ นก ฯลฯ ส่วนบ้านท่านคือ กุฏิพระนั่นเอง คือพระท่านไม่ค่อยดูแลกุฏิว่าปลวกขึ้น ได้แต่อยู่ไปวัน ๆ ท่านเห็นเข้าท่านเลยไม่สบายใจ เห็นเป็นเรื่องสนุก ๆ ไม่เหมือนหลวงพ่อองค์อื่นจึงเล่าให้ฟัง

จดหมายจากวัดโฆสิตาราม
ต่อไปลอง ๆ อ่านจดหมาย ที่อาจารย์ สำรวย ส่งมาให้ก็อ่าน ๆ เอาเองนะ
ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ๑๗๑๔๐

ประสบการณ์ที่คุณโยมส่งมาให้ลงในหนังสือนะโมได้เมื่อต้นเดือนตุลาคมนี่เอง เป็นพี่สาวของคุณปรีชา สร้อยสังวาลย์ ๑๒๕/๔๘ ม.๒ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ โดยน้ำกะทิร้อน ๆ ยกขึ้นจากเตาหกรดขา เพราะพื้นกระเบื้องเปียกน้ำลื่นหกล้ม น้ำกะทิกล้วยบวชชี ลวกที่หน้าแข้ง ใช้เหรียญรุ่นผูกพัทธสีมาปี ๒๑ อาราธนาทำน้ำมนต์รดปรากฎว่าไม่พองและไม่แสบร้อนเลย

ขอเจริญพร
พระอาจารย์สำรวย  อคฺคปัญโญ
จากคุณโยมที่ส่งเรื่องมาให้
นายปรีชา สร้อยสังวาลย์
นิติกรบริษัทธุรกิจบ้านและที่ดิน
แขวงบางแคเหนือ กรุงเทพฯ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 28, 2013, 02:14:52 pm
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๕๘

วันที่ ๒๕ ก.ย. – ๕ ต.ค.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


เมตตาคนบ้า

ครั้งหนึ่งหลวงพ่อปลูกว่านดอกทองเอาไว้ ลุงแกเห็นเข้ากำลังออกดอกพอดี แกตำหนิหลวงพ่อว่า “นี่แกเอาว่านอะไรมาปลูกไว้นี่ เดี๋ยวได้ตอแหลกันทั้งบ้าน ขุดเอาออกซะน่า” คือลุงหงุ่นแกพูดกับหลวงพ่อว่า แก – ข้า แต่เรียกหลวงพ่อกวยว่าหลวงพ่อ หลวงพ่อถึงกับต้องขุดว่านออก ครั้งสุดท้ายลุงหงุ่นแกจะไปอยู่ภาคเหนือได้มาลาท่าน คงจะอายุมากแล้ว และคงไปอยู่กับลูกหลาน ได้ควักเงินทำบุญ ๒๐ บาท หลวงพ่อท่านรับเอาไว้ แล้ววางไว้ คือ ท่านไม่สนใจเงิน ลุงหงุ่นแกเห็นหลวงพ่อเฉย ๆ แกได้พูดว่า “ทำไมล่ะ ทำไมถึงวางไว้อย่างนั้น หรือแบงก์มันเก่าไป เอ้า เอาแบงก์ใหม่เปลี่ยนให้ก็ได้” แกหยิบแบงก์เปลี่ยนแล้วส่งให้หลวงพ่อใหม่

เรื่องที่ท่านเมตตาต่อคนยากไร้และคนใจถึงนี้ แม้แต่คนบ้ายังเดินทางมาฝากตัวเป็นศิษย์ท่าน ครั้งหนึ่งหน้าร้อนเดือนเมษายน หลวงพ่อนั่งคุยอยู่กับคุณย่าฉวน คนหัวเด่น คนบ้าเดินผ่าฝูงหมาท่านมา ในมือถือถุงโอเลี้ยงมาด้วย มาถึงก็นั่งยอง ๆ ยกมือไหว้ เอาถุงโอเลี้ยงถวายท่าน หลวงพ่อได้ถามคนบ้าว่ามายังไง คนบ้าได้ตอบท่านว่า “เขาว่ามึงมีของดีกูจะมาขอแหวนมึงซักวงหนึ่ง” หลวงพ่อก็หยิบส่งให้แล้วท่านก็คุยด้วย คุยไปคุยมาคนบ้าเห็นท่านไม่ยอมฉันโอเลี้ยง คนบ้าได้พูดกับท่านว่า “ไอ้กวย มึงกินวะล่ะโอเลี้ยงน่ะ กูอุตส่าห์ซื้อมาฝาก” เมื่อคนบ้าไปแล้วรู้สึกท่านตื้นตันใจมาก ท่านได้พูดว่า “ถึงมันจะบ้าแต่มันก็มีน้ำใจ ดีกว่าคนบางคนเสียอีก”

อิทธิฤทธิ์ผ้าเเดง

ศิษย์หลวงพ่อมีมากมายหลายรุ่น ไม่ค่อยจะรู้จักกัน เพราะเขามาหาวัตถุมงคลเอาไปใช้ติดตัว เมื่อได้ไปแล้วก็ไม่อยากมารบกวนหลวงพ่อ รู้ว่าหลวงพ่อมีเวลาน้อย อีกอย่างหนึ่งคือเวลามีศิษย์มาจากที่อื่น โดยเฉพาะคนใหญ่คนโต ท่านไม่ชอบให้กรรมการวัดหรือใครไปนั่งเสนอหน้า ต่อเมื่อเขาไปแล้วจะมาเก็บจัตุปัจจัยก็ขึ้นมาได้ ศิษย์พี่ศิษย์น้องเลยไม่ค่อยรู้จักกัน ศิษย์ที่เป็นทหารเคยเอาลูกปืน เอ็ม ๑๖ มาต่อกันเข้าเป็นเครื่องบิน เอฟ ๑๖ ใช้ลูกปืนล้วน ๆ นำมาถวายท่านปัจจุบันยังอยู่ที่วัด

ศิษย์ที่เป็นทหารยศระดับนายทหารก็มีหลายคน บางคนมากราบรูปหล่อที่วัดท่านไม่รู้จักอาจารย์รวย อาจารย์รวยก็ไม่รู้จักเช่นกัน ผมเคยไปวัดเดือนพฤศจิกายน ๓๑ มีทหารยศนายพล ได้มากราบรูปหล่อ แก้บนเอาอาหาร และขนมมาถวายท่านที่รูปหล่อ และเลี้ยงพระโดยบนให้ได้เป็นนายพล จะมาเลี้ยงพระที่วัด ก็แปลกดีท่านเล่าว่าไม่ได้อนุมัติง่าย ๆ บางคนต้องมีพวก บางคนต้องมีเงิน แต่ท่านไม่ได้มีอะไร ได้แต่บนต่อรูปหล่อหลวงพ่อ และไม่คิดว่าจะได้ กลับได้ วันนั้น พระได้ฉันอาหาร และขนม ของนายพล รู้สึกจะเป็นครั้งแรก ท่านบอกขนมหอมมาก อร่อยมาก ผมก็ขอให้ท่านรุ่งเรืองต่อไป

สงครามลาว มีศิษย์ของท่านหลายคนไปรับจ้างรบ เพราะค่าจ้างสูงมาก คล้ายไปแสวงโชคขุดพลอย หรือไปขุดทองซาอุฯ นั่นแหละ คล้าย ๆ กัน รู้สึกว่าต้องไปสมัครที่ฐานทัพอุดร ผลัดแรกศิษย์หลวงพ่อท่านไปแล้วกลับมา เมื่อกลับมาแล้วท่านไม่ให้ไปอีก แต่มีศิษย์ท่านคนหนึ่งชื่อสมจิต บ้านอยู่หนองสุ่ม บ้านอยู่หนองสุ่ม สิงห์บุรี ท่านอนุญาตให้ไปผลัดสองได้ วัตถุมงคลติดตัวนายสมจิต มี ๒ อย่างคือ ผ้าแดง ยันต์อรหันต์ ๘ ทิศ ของหลวงพ่อกวย กับพิมพ์สแค ๑ องค์ นายจิตได้ประจำฐานทัพล่องแจ้งลาว วันที่เกิดเหตุ คือ ฐานทัพล่องแจ้ง โดนข้าศึกโจมตีฐานทัพแตก แกกับเพื่อนที่เหลือ ๙ คน ตายเป็นร้อยคน ได้ตีฝ่าวงล้อมออกมาได้ แกวิ่งนำหน้าเอาผ้าแดงหลวงพ่อโบก ปรากฎว่าลูกปืนไม่ถูกตัวแกเลย ตกเปะปะ บริเวณด้านข้าง แกใจชื้นขึ้นได้วิ่งนำหน้าเพื่อน ปรากฎว่าเพื่อนแกโดนยิงตายอีก ๗ คน คนสุดท้ายได้ยิงคุ้มกันให้แกแกวิ่งไปก่อนคือนำหน้า ผลัดกันยิงคุ้มกัน ปรากฎว่าแกสะดุดลวดหนามล้มลงขณะที่แกล้มลง เพื่อนแกโดนลูกปืน เอ็ม ๗๙ ตูมเดียว เละไม่เหลือเลย แกตกใจมาก ขณะคับขันจวนตัว แกได้เอาผ้าแดงมาอาราธนาจบอธิษฐานยืนขึ้นโบกไปมา แกเรียกให้หลวงพ่อกวยช่วย พลันสายตาแกก็เห็นหลวงพ่อ ยืนอยู่ห่างพอสมควร แกดีใจมาก แกวิ่งตามหลวงพ่อ วิ่งเท่าไร ก็วิ่งไม่ทัน ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อเดินเอา ไม่รู้แกรอดจากห่ากระสุนมาได้อย่างไร แกเดินทางมาสี่วันสี่คืน มาถึงฐานทัพในไทย รู้สึกแกเสียขวัญมาก แกเล่าให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อได้ถามแกออกมาคำหนึ่งว่า “แล้วมึงเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าล่ะ” นายจิตตอบว่าเจ็บตอนลวดหนาวข่วนขา

เรื่องการใช้ผ้าแดงโบก คล้าย ๆ ปัดลูกกระสุนนั้น นายประเสริฐ งิ้วงาม บ้านอยู่สามเอก ได้ไปรบลาวเหมือนกัน ตอนคับขัน คือข้าศึกโจมตีมารุนแรงเพื่อน ๆ ตายกันมาก แกเลยเอาผ้าแดงโบกไปมา แล้ววิ่งผ่าวงล้อมออกมาได้ก็นับว่าแปลกดี เห็นว่าเป็นเรื่องคล้ายกัน สมควรบันทึกเอาไว้

หมายเหตุ ผ้าแดงที่เขียนยันต์กันภัย ๘ ทิศ เป็นผ้าพิมพ์ เขียนว่า หลวงพ่อกวย วัดบ้านแค ผ้านี้เก่งมาก แต่ที่พบมักจะอยู่ในสภาพไม่ดี ผ้ารุ่นนี้เก่งจริง ๆ หลวงพ่อปลุกเสกเพื่อช่วยเหลือประเทศลาว แต่ราคาก็ไม่แพง แปลกมาก มีศิษย์ท่านเอาผ้าแดงนี้โบกพัดลูกปืนตกข้างตัวเหมือนห่าฝน แต่ไม่ถูกเลย เหมือนเรื่องเล่าเล่น ๆ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 29, 2013, 11:14:27 am
วันนี้ วันศุกร์ มีเข็มที่ระลึก ๒ แบบ มาให้ชมกันครับ โดยทั่วไป ไม่มีขายในท้องตลาดแต่อย่างใดครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 29, 2013, 11:22:30 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๕๙

วันที่ ๕ ต.ค. – ๑๕ ต.ค.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



สมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ

พระสมเด็จเดิมหมายถึง พระพิมพ์รูปสี่เหลี่ยม ของสมเด็จพุฒาจารย์(โต) ภายหลังเกจิอาจารย์มักนิยมสร้างพระพิมพ์ทรงสี่เหลี่ยมขึ้น จึงเรียกว่าพระสมเด็จ หลังจากหลวงพ่อกวยสร้างพระเนื้อดิน พิมพ์สรรค์ และพิมพ์อื่น ๆ เรื่อยมา ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๓ จนกระทั่ง พ.ศ.๒๕๑๓ ท่านได้เก็บรวบรวมผงวิเศษ ผงจินดามณี ว่านวิเศษ ฯลฯ ท่านได้สร้างพระพิมพ์สมเด็จขึ้นเป็นพระสมเด็จปรกโพธิ์ เป็นปรกโพธิ์ ๙ ใบ เป็นมงคลนาม ด้านหลังเป็นยันต์พระเจ้า ๕ พระองค์ แบบขวามือของรูปท่าน เนื้อหาแบ่งออกเป็น ๓ เนื้อ คือ เนื้อดำสนิทแบบถ่าน เป็นเนื้อผงใบลานล้วน ๆ เนื้อละเอียดมาก อีกเนื้อหนึ่งเป็นเนื้อผงใบลานดำแต่ดำไม่สนิทแบบสมเด็จขาโต๊ะ คือมีเนื้อว่านผสม อีกเนื้อหนึ่งเป็นสีขาวอมน้ำตาล เป็นเนื้อผงผสมว่าน

พิมพ์ทรงของสมเด็จนี้ใหญ่โตกว่าสมเด็จธรรมดา และมีการเล่นหากันสูงมาก และหาคนปล่อยไม่ได้ เพราะท่านเลือกแจกให้เป็นรายบุคคลไป ท่านจะพูดว่าดี ให้เก็บรักษาให้ดี ท่านจะบอกทุกคนที่ได้ไปว่า สมเด็จนี้ดีมีเกศาของ..(คือมีส่วนผสมของเกศาของผู้มีบุญสูงมากท่านหนึ่ง ศิษย์ท่านนำมาถวายให้ท่าน คือผมไม่กล้าพูดออกไปกลัวจะเป็นว่าผมแอบอ้าง) เมื่อท่านพิมพ์พระพิมพ์นี้เสร็จแล้ว ท่านไม่อาจตัดใจโยนแม่พิมพ์ลงสระน้ำทิ้งไปได้ ท่านทิ้งแต่แม่พิมพ์ยันต์ด้านหลัง ส่วนด้านหน้าท่านยังคงเก็บรักษาเรื่อยมาภายหลังท่านมอบให้อาจารย์ตั้วเอาไว้ สมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบนี้ คนที่ได้ไปจะประสบกับความสุขความเจริญ จะร่มเย็นเป็นสุขเหมือนร่มโพธิ์ และใครได้ไปบูชาจะรวยทุกคน

จะขอเล่าอภินิหารไว้ดังนี้ เรื่องที่ ๑ นายจันทร์ ทับบุรี คนปากน้ำ อ.เดิมบาง ได้รับสมเด็จพิมพ์นี้จากหลวงพ่อ ๑ องค์ เมื่อบูชามีโภคทรัพย์ร่ำรวย ปลูกบ้านฝากระดานยาวประมาณ ๑๐ วา วันที่แกจะหมดบุญแกได้ตอบตกลงนำพระปรกโพธิ์สีดำนี่แลกเปลี่ยนกับพระของผม คือผมอยากได้เอาไว้ เขาว่าใครได้ไว้จะร่ำรวย ผมพยายามหามาหลายปีวันที่แกแลกพระของผม แกได้หยิบพระจากบนหลังตู้เอามา เกิดอัศจรรย์พระหลุดมือตกแตก แตกตรงคอเลยผมงี้เสียดายจับใจนึกอยู่เสมอว่าบุญผมไม่พอ แม้ปัจจุบันนี้ ๑๐ กว่าปีล่วงมาแล้วเคยเจออีก ๓ องค์ แตก ๑ องค์ ดี ๒ องค์

ขอเช่าเขาไม่มีใครให้ ส่วนนายจันทร์ เมื่อพระแตกแล้วก็ทรุดเรื่อยมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด



เรื่องที่ ๒ นายเจน คนโพธิ์งาม อ.สรรคบุรี มีพระปรกโพธิ์ของหลวงพ่ออยู่องค์หนึ่ง ขณะไปทำนาฝนตกพรำ ๆ มีคนลักยิง คือแอบยิงด้วยปืนลูกซอง ๙ เม็ด โดนตรงหน้าอกแรงปะทะของลูกปืน ถึงกับหงายท้อง ยัง ยังครับยังไม่ตาย คือแกเจ็บ จุก และกลัวโดนยิงซ้ำน่ะ แกเลยแกล้งตาย เรื่องนี้คนร่ำลือกันมาก นายแรม คนโพธิ์งาม แกเห็นรอยลูกปืนชัดเจน แกเลยหาเอาไว้ใช้ ๑ องค์ ปัจจุบันแตกแล้ว แต่เจ้าตัวยังใช้อยู่ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมจึงยิงออก

เรื่องที่ ๓ นายแถม เข็มทอง คนปากน้ำ อ.เดิมบาง นายแถมนี่เป็นศิษย์หลวงพ่อใจถึงมาก เคยฟันกับพ่อเลี้ยงชื่อสง พ่อเลี้ยงอยู่บนบ้านมีมีดปาดตาลขนาดใหญ่กำลังลับมีดอยู่ นายแถมมีมีดหวดหญ้า(มีดหวดหญ้ายาว ๑ วา โค้งงอ) ถือพาดบ่ามาพอดี พ่อเลี้ยงอยู่บนบ้านโดดลงมาจะฟันนายแถม นายแถมฟันสวนไปด้วยมีดหวดหญ้าซึ่งยาวกว่าชั้วเดียวคอขาดเป็นฤทธิ์ดาบวงพระจันทร์เลย ตั้งแต่นั้นมาทางญาติของพ่อเลี้ยงก็ตามล้างตามล่าแกเรื่อยมา แกไปหาหลวงพ่อ ๆ ให้สมเด็จปรกโพธิ์มา โดนดักยิงเป็นสิบ ๆ ครั้ง
ให้แคล้วคลาดไปทุกครั้ง เจ้าตัวกลัวจะไม่แคล้วคลาดจริงได้อพยพไปอยู่ดง อ.ด่านช้าง ติดเมืองกาญจนบุรี อยู่ในหุบเขา ไม่มีน้ำบ่อ น้ำคลอง ใช้น้ำซับจากภูเขา อยู่ดงยังเจออิทธิพลมืด ขอซื้อแกมบังคับให้ขายที่ให้ แกถือว่าแกมาจนสุดแดนแล้ว แกไม่ยอมขาย แกโดนลักยิงอีกหลายครั้ง แคล้วคลาดทุกครั้ง ขนาดนักเลงอิทธิพลให้คนมาติดต่อขอเช่าพระแกองค์นั้นเท่าไหร่เท่ากัน ผมยังแกล้งยุให้ขายแกบอกว่า “ถ้าขายมึงก็เตรียมไปเผาผีกูได้ มันเอากูแน่” ปัจจุบันนี้ฐานะแกมั่นคงดีมาก เรียกว่าในถิ่นที่แกอยู่แกมีฐานะดีกว่าเขา แกบอกพระปรกโพธิ์ ๙ นี้ร่มเย็นดีจริง ๆ


ปรกโพธิ์ ๙ ใบนี้ ด้านหลังยันต์เท่าที่พบจะมีทั้งบอก พ.ศ.๒๕๑๓ และไม่บอก พ.ศ. และด้านหลังเป็นรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม เป็นลายเส้นก็มี ส่วนเนื้อมีเนื้อสีดำสนิท ผงใบลานละเอียดยิบก็มี เนื้อดำผสมว่านและผงไม่ดำสนิทก็มี เนื้อน้ำตาลแบบผงน้ำมันก็มี เนื้อน้ำตาลแบบผสมว่านและผงก็มี ถ้าสงสัยว่าพระพิมพ์นี้ผสมเส้นเกศาของใครให้เขียนมาถามเป็นส่วนตัว

ปรกโพธิ์ ๙ ใบนี้ ขนาดใหญ่ใช้บูชาก็มี เป็นเนื้อผงใบลาน ด้านหลังรูปพระพุทธชินราช ขนาดเล็กกว่าพิมพ์มาตรฐาน ขนาดเล็กกว่าพิมพ์มาตรฐานก็มี(ใช้คล้องคอ)

ว่าจะจบเรื่องปรกโพธิ์ ๙ ใบ ก็จบไม่ลงขอต่ออีกนิ๊ด นายชาติ คนหนองหิน เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่ง วันหนึ่งได้รับพระปรกโพธิ์ ๙ ใบจากบิดา แกนำไปเลี่ยมคล้องคอ แล้วนำมาอวดหลวงพ่อทำนองถามความเห็น พระปรกโพธิ์ ๙ ใบ องค์นั้นด้านหลังเป็นรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม เมื่อหลวงพ่อเห็นเข้าท่านพูดว่า “ดี รุ่นนี้ไม่มีออก” นายชาติแกก็ดีใจคิดว่ารุ่นนี้ทางวัดไม่ได้ออกจำหน่ายคงจะให้เป็นบุคคลไป วันหนึ่งแกมาเที่ยวที่หนองแขม โดนนักเลงสามเอกยิงติด ๆ ๓ นัดไม่ออกเลยแม้นัดเดียว แกถึงเข้าใจว่าที่หลวงพ่อพูดว่าไม่มีออก คือยิงไม่ออกนั่นเอง ปัจจุบันพระสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบนี้ถือว่าเป็นพระชุดผงชั้นหนึ่งของหลวงพ่อทีเดียว หายากแพงมาก

พระสมเด็จปรกโพธิ์ที่มียันต์ข้างหลังนั้น มีคนเอาไปบูชาได้ผลมาก ผมจึงสะสมสมเด็จของหลวงพ่อเอาไว้เพราะเห็นสรรพคุณ ถ้าคนรู้จักใช้เขาร่ำรวยกันมาหลายคน บางคนเป็นหนี้เป็นสินเป็นล้าน ๆ จนหมดปัญญาจนแทบจะตกงานหรือแทบจะเป็นโรคประสาทตาย ได้มาหาหลวงพ่อ ๆ ให้สมเด็จปรกโพธิ์ไปบูชาอยู่ต่อมาไม่นาน คน ๆ นั้นก็หมดหนี้หมดสินอย่างน่าพอใจ
มีคน ๆ หนึ่งเป็นทหารนักบินเขามีพระปรกโพธิ์ ๙ ใบอยู่ ๑ องค์ เขาขับเครื่องบินแบบคลักเก่งมาก ต่อมาได้ขับเครื่องบินไอพ่น ซึ่งมีความเร็วสูงมาก ทำให้เขาหลงทางเข้าไปในเขตของประเทศพม่า จำภูมิประเทศก็ไม่ได้ ใจเสียเลย น้ำมันก็จะหมด ก็เลยเอาพระสมเด็จของหลวงพ่อมาอาราธนาขอให้จำภูมิประเทศได้ เลยเสี่ยงปักหลักลงต่ำก็ติดต่อกับพม่าได้ เขาแจ้งว่าเขาหลงทางขอลงที่ประเทศพม่า แต่พม่าไม่ยอมให้ลง เพราะสนามบินของเขาเครื่องบินไอพ่นลงไม่ได้ เขามองดูน้ำมันก็เหลือน้อยเต็มที จึงนึกถึงหลวงพ่อขอเสี่ยงไปลงที่สนามบินดอนเมือง พอลงที่สนามบินดอนเมืองปรากฏว่าน้ำมันหมดพอดี ตัวเนื้อสั่นไปหมด ทางราชการเลยสั่งพักผ่อน ๓ เดือน ไม่ต้องไปทำงาน ก็จบเรื่องพระปรกโพธิ์ ๙ ใบ แต่เพียงเท่านี้


พระพิมพ์ปรกโพธิ์ ๙ ใบ

ต่อไปจะขอกล่าวถึงพระพุทธพิมพ์ทรงสี่เหลี่ยมที่เรียกว่า ปรกโพธิ์ ๙ ใบ อีกสัก ๑ ครั้ง พระพิมพ์นี้ค่อนข้างโตกว่าสมเด็จทั่วไป ไม่หนักนัก ด้านหน้าเป็นรูปดวงแก้วพระพุทธเจ้ามีหน้าตา จมูก ชัดเจน ใบหน้าอวบอ้วนยาวแบบศิลปะสุโขทัย แสดงถึงความสมบูรณ์ร่มเย็นและอุดม นั่งอยู่บนฐานด้านบนคล้ายร่มโพธิ์ ประกอบด้วยใบโพธิ์ ๙ ใบ เป็นมงคล ด้านหลังเป็นรูปพระแม่ธรณี เทพผู้รักษาแผ่นดิน บีบมวยผมออกมาเป็นน้ำไหลนอง ชนิดด้านหลังเป็นยันต์เฉพาะตัวท่าน คือ นะโมพุทธายะก็มี ที่เป็นยันต์บอก พ.ศ.๒๕๑๓ ก็มี ก่อนหน้านี้หลวงพ่อก็สร้างมาครั้งหนึ่ง แต่ไม่นิยมกัน ยันต์หลังเป็นยันต์ดวงแก้ว คือแกะแม่พิมพ์ไม่สวยนัก

ความหมายของพระพิมพ์นี้ คือ หมายถึงตอนพระพุทธเจ้าผจญพญามาร คือขณะที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ ได้มีพญามารมาขัดขวาง เพื่อไม่ให้พระองค์ตรัสรู้ ถ้าตรัสรู้แล้วจะอยู่นอกกฎวัฏสงสาร จะไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก พระองค์ได้ต่อสู้กับพญามารโดยระลึกถึงบุญบารมีของพระองค์ที่ได้บำเพ็ญมาถึง ๑๐ ชาติ และได้หลั่งน้ำหรือกรวดน้ำฝากผลบุญไว้กับพระแม่ธรณี เมื่อพระองค์ระลึกถึงผลบุญพระแม่ธรณีได้แทรกแผ่นดินขึ้นมา บีบน้ำในมวยผม น้ำในมวยผมของพระแม่ธรณีได้ไหลบ่าท่วมพญามาร ล้มตายจนหมดสิ้น ซึ่งในตำราพระมนต์ของหลวงพ่อ หลวงพ่อได้เขียนไว้ว่า “เมื่อแรกพระพุดที่เจ้า จึงจะมาประจน ด้วยหมู่มาร ให้ไภแภ้ในครั้งนี้ ส่วนนางพระทอระณี ทั่นจึงจะชำแรกแซกแผ่นดินขึ้นมา ทะหวายวันทาบังคมคัน บิทน้ำในมวยผมออกมาเป็นคงคามะหาสิมุด บ่อหมีรู้สิ้น บ่อหมีรู้สุด บ่อหมีรู้ยุด บ่อหมีรู้ยั้ง ย่อมล้นเหลือเฟือฝั่งพระชลนัดที ด้วยเด็จสะเดชะพระบารมีฯ”

สำหรับพระคาถาที่ผมได้เก็บรักษาเอาไว้ หรือมนต์พระพุทธรักษาเอาไว้ เป็นตำรามนต์เล่มเล็กลายมือของหลวงพ่อ ได้กล่าวถึงมนต์พระแม่ธรณี หรือมนต์พระพุทธเจ้าชนะมารในพระคาถาเล่มเล็กนี้ กล่าวไว้ไม่ตรงกับเล่มใหญ่ แต่ในเล่มใหญ่ตัวพระคาถาตรงกับในตำราพิชัยสงครามทุกอย่าง แสดงว่าหลวงพ่อได้เรียนพระมนต์นี้มา ๒ สำนัก จึงไม่ตรงกันนักแต่คล้ายคลึงกัน ในตำราเล่มเล็กได้กล่าวถึงพระมนต์ที่พระองค์ได้ระลึกถึงบุญบารมีของพระองค์ทั้ง ๑๐ ชาติไว้ด้วย ฉะนั้นมนต์ ๒ บทนี้เหมาะที่จะทำน้ำมนต์ที่สุด สมบูรณ์ที่สุด การทำน้ำมนต์โดยใช้พระประกอบหรือไม่ใช้พระก็ได้ ให้ตักน้ำใส่ภาชนะที่สะอาดถ้าจะทำให้เขาให้เขาตักมา ตั้งไว้หน้าโต๊ะหมู่บูชา หรือหน้ารูปหลวงพ่อมีดอกไม้ธูปเทียน กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย ตั้งนะโม ๓ จบ กล่าวคาถาบูชาชุมนุมเทวดา ถ้าท่องไม่ได้ใช้คาถาเชิญครู แล้วกล่าวคาถาเชิญพระแม่ธรณี คือ “โพ อะ วะ นิ ตะ ละ” แล้วว่าคาถาพระแม่ธรณี ดังนี้ ถ้าไม่มั่นใจให้ภาวนาหลาย ๆ ครั้ง คาถาว่าดังนี้

ตัดษาเกสิตะโต ทัตตะวา คังคาโสตัง ปะวัดตะติ มาระเสนะ ปะติโสตัง ปะวัดตะติ มาระเสนะ ปะติดถาตุง อะสะโกนโต ปะรายิสุ ปะระมิตตา นุภาเวนะ มาระเสนา ปะราชิตา นิกขันตุ ทะภะวา หิสะกิงดาเก เสหิตาวะเท ทิโสทิสา ปะรายันติ วิทังเสนติ อะเสสะโต โพทารินิกิขิ อุทะกัง เอหิมะมะ
 
เสร็จแล้วว่า คาถาบารมี ๑๐ ทิศ ระลึกถึงบุญบารมีของเราและบุญบารมีของพระพุทธเจ้า ระลึกถึงบุญบารมีของหลวงพ่อ เชิญหลวงพ่อมาช่วย คาถาว่าดังนี้

อะยันตุโพนโต อิทะถานิ สีลาเนกขัม ปันยา สะหะ วิริยะ ขันตี สัตจะ อะทิดถานะ เมตตา ยุทายะโว ขันหัดถะ อะวุดถานะจะ วะวิจุนนะวิจุนนา โลมังมาเมนะ พุดทิสันติเต อะโหพุดโท คุนโน มัยหัง อัดตราปาปัง วินัดสันติ เอหิสะตัง พระอะระหัง พะคะวา


พระคาถาทั้ง ๒ บทนี้ หลวงพ่อเขียนไว้อย่างไร ผมก็เขียนตามนั้น อาจผิดตรงอักขระพยัญชนะ แต่ความหมายไม่ผิด การเรียนคาถาสมัยก่อนใช้วิธีบอกให้จด การเขียนจึงเป็นเพียงเขียนให้อ่านไม่ผิดสำเนียงเป็นใช้ได้ โดยเฉพาะภาษาไทยในสมัยนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายก การเขียนในสมัยนั้นเขียนให้อ่านได้ความหมายเป็นใช้ได้ เช่น คาถา ๒ บทนี้ หลวงพ่อเขียนไว้อย่างนี้ “คาถานางแม่ทระนีลีดน้ำมวยผม” อีกบทหนึ่งหลวงพ่อเขียนว่า “คาถาพระพุดธิเจ้าเรียกนางแม่ทอระนี มาช่วยประจนมาร”

ฉะนั้นการเรียนคาถาของหลวงพ่อนั้น หลวงพ่อเขียนว่าอย่างไร ท่องตามนั้นไม่สงสัย ไม่รู้มาก ไม่ต้องแปล ถ้าไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องเรียน ถ้าเรียนไม่ต้องสงสัย


พระปรกโพธิ์ ๙ ใบ
 
พระปรกโพธิ์ ๙ ใบ หรือพระพิมพ์ร่มโพธิ์ หมายถึง ตอนที่พระพุทธเจ้าผจญกับพญามาร เราอาจเห็นภาพวาดตามฝาผนังพระอุโบสถหรือศาลา ที่ศาลาวัดหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค สร้างเอาไว้สวยงามมาก แต่มารที่พระพุทธองค์กำลังผจญอยู่นั้นหนักหนาสาหัสกว่าในรูปภาพมากนัก มารในที่นี้คือ กิเลส ตัณหา โลภ โกรธ หลง ความยึดมั่นถือมั่น มารเหล่านี้ร้อนแรงยิ่งกว่าไฟร้อยเท่าพันเท่าเพราะมารเหล่านี้แหละจะเป็นเครื่องปรุงแต่งให้เราได้เกิดมาอีก ความร้อนของมันข้ามภพข้ามชาติแต่ในรูปภาพเราจะเห็น ขุนมาร เสนามาร ธิดามาร ขี่ช้างมาหมายปองร้ายพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ได้ระลึกถึงพระแม่ธรณี พระแม่ธรณีได้บีบน้ำในมวยผมของนาง ที่พระพุทธองค์ได้หลั่งอุทกวารีฝากไว้ น้ำได้ไหลท่วมขุนมาร และเสนามาร จนหมดสิ้น คืนนั้นเป็นคืนเดือนเพ็ญ เดือนวิสาขะ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภายใต้ร่มโพธิ์ ฉะนั้นพระพิมพ์นี้ จึงหมายถึงตอนที่พระพุทธองค์ ชนะศัตรูและสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ส่วนภาพวาดนั้นวาดไว้ให้ผู้มีปัญญาน้อย หรือวาดไว้เพื่อชักนำให้คนที่ไม่เคยพบเห็นได้เลื่อมใสศรัทธา เขาเรียกบุคคลาธิฐานเป็นภาพสมมุติ ส่วนคัมภีร์ของอินเดียเขาเขียนเป็นภาพพระแม่ธรณีเทน้ำจากหม้อดิน ที่พระพุทธองค์ทรงหลั่งน้ำสิโนทก บำเพ็ญเพียรไว้ถึง ๑๐ ชาติ โดยเฉพาะชาติสุดท้าย ตอนที่ทรงเกิดมาเป็นพระเวสสันดร ทรงทำทานอันยิ่งใหญ่ ยากที่ใครจะทำได้ทั้งอดีตและปัจจุบัน

ส่วนพระคาถาอัญเชิญพระแม่ธรณี นั้น ก็ไม่ปรากฏว่ามีหลวงพ่อ หลวงปู่องค์ใด ได้ให้หรือถ่ายทอดเอาไว้ เป็นภาษาขอม อ่านได้ว่า “โพ อะ วะ นิ ตะ ละ” ท่านเขียนไว้ว่าคาถาเรียกแม่ธรณี ถ้าไม่มาอกแตกตาย ร้อนดั่งเพลิงสุม แสดงว่าหลวงพ่อต้องติดต่อกับพระแม่ธรณีได้ เพื่อเชิญพระแม่ธรณีมาช่วยทำน้ำมนต์ ส่วนคาถาที่ใช้ทำน้ำมนต์เรียกว่าธรณีปริตร ใช้สวดภาวนาชนะศัตรู นอกจากธรณีปริตรแล้ว ยังต้องภาวนาคาถาบารมี ๑๐ ทิศของพระพุทธองค์ และระลึกถึงหลวงพ่อกวยเป็นที่สุด ถ้าจะท่องบ่นธรรมดา ภาวนาเฉพาะธรณีปริตรก็ใช้ได้ แต่ถ้าจะทำน้ำมนต์ ต้องว่าคาถา อัญเชิญครูคาถาชุมนุมเทวดาแล้ว จึงว่าคาถาเชิญพระแม่ธรณี คาถาธรณีปริตร คาถาบารมี ๑๐ ทัศ

คาถาธรณีปริตร ว่าดังนี้


“ตัสสา เกสีสะโต ยะถาคังคา โลตัง ปะวัตตันติ มาระเสนา ประติฐฐาตุง อะสักโกนโต ปะลายิงสุ ปะระมิตา นุภาเวนะ มาระเสนา ปะราชิตา ทิโสทิสัง ปะลายันติ วิทังเสนติ อะเสละโต”

คาถานี้ถูกต้องตรงกับในตำราพิชัยสงครามทุกอย่าง ไม่ผิดแม้แต่ตัวเดียว (ยกเว้นคนเรียงพิมพ์ผิด)

มีอุปเท่ห์การใช้ดังนี้
ภาวนาก่อนออกเดินทาง ศัตรูที่หมายปองชีวิตจะทำอะไรเรามิได้ ภาวนาทุกเช้าค่ำศัตรูจะแพ้ภัยตัวเอง
เขียนชื่อศัตรูทำไส้เทียนภาวนาทุกเช้าค่ำศัตรูจะแพ้คดีความ หรือเอาความเรามิได้ จะพูดไม่ออก

ทำน้ำมนต์รดไล่ผีอยู่มิได้
พระคาถาธรณีปริตรนี้ เป็นทั้งมนต์ขาวและมนต์ดำ ที่เขียนอุปเท่ห์การใช้มานี้ก็เริ่มดำนิด ๆ แล้ว ผมไม่อยากให้มีบาปติดตัว ส่วนคาถาหลวงพ่อจะคล้ายกัน แต่ผิดด้วยอักขระและพยัญชนะ ที่นำมาเผยแพร่ก็ด้วยตอนนั้นผมไปลักเรียนมาจากตำราเล่มใหญ่หลวงพ่อเขียนด้วยตัวหนังสือสีแดงว่า ครูแรง สรุปคือถ้าจะทำน้ำมนต์จริง ๆ ต้องเอาคาถาจากตำราคาถารวมเล่ม เพราะในเล่มจะกล่าวถึงคาถาบารมี ๑๐ ทัศเอาไว้ด้วย

ส่วนคนที่มีปรกโพธิ์ ๙ ใบก็ดี ไม่มีก็ดี ใช้คาถาบทนี้ได้เลย ผมจะเขียนให้ไว้ทั้งทั้งคาถาพระแม่ธรณี และคาถาบารมี ๑๐ ทัศ เอาที่เป็นลายมือของหลวงพ่อ ให้เขียนจดหมายสอดซองติดแสตมป์ และผมขอค่าซีล็อกซ์ ๑ บาท ให้ส่งมาเป็นแสตมป์ดีที่สุด (กรุณาอย่าใส่เหรียญมา) ให้สอดซองจ่าหน้าถึงตัวท่านเอง


คาถานางแม่ธรณี

ตัดษาเกสิตะโต ทัตตะวา คังคาโสตัง ปะวัดตะติ มาระเสนา ปะติดถาตุงอะ สะโกณโตปะฮายิสุ ปาระมิตตานุพาเวนะ มาระเสนา ปะราชิตา นิกขันตุ ทะกะวาหิสะกิงคาเกเสหิตาวะ เททิโสทิสา ปะรายันติ วิทังเสนติ อะเสสะโต โพทารินิกิขิ อุทะกัง เอหิมะมะ
คาถาพระบารมี ๑๐ ทัศ

อะยันตุโพนโต อิทะถานิ สิลาเนกขัม ปันยาสะหะวิริยะ ขันติสัตจะ อะทิดถานะ เมตตา ยุทายะโว ขันหัตถะ อะวุดถานะ จะวะวิจุนนะ วิจุนนา โลมังมาเมนะ พุดทิสันติ เตอะโหพุดโท คุนโนมัยหัง อัดตราปาปัง วินัดสันติ เอหิสะตัง พระอะระหัง พะคะวา
 
ถ้าไม่ได้ทำน้ำมนต์ก็ใช้คาถาเชิญแม่ธรณีประจำก็พอ แต่ถ้ากำลังมีศัตรูให้ว่าคาถาพระแม่ธรณีประกอบ ใช้บทก่อนสั้นดี ถ้าถูกใส่ร้ายใส่ความให้เร่งภาวนาไว้เถิดทำตามเราไม่ได้เลย

พระพิมพ์ปรกโพธิ์ ๙ ใบนี้ หลวงพ่อได้ปลุกเสกด้วยพระคาถาพระแม่ธรณีไว้ เพราะหลวงพ่อเป็นห่วงศิษย์ที่อยู่ไกล ลำบาก เมื่อหลวงพ่อสิ้นบุญไปแล้ว เกรงว่าศิษย์จะลำบากหลวงพ่อจึงใช้มนต์ชื่อ พระพุทธเจ้าชนะมารหรือมนธรณีนี้ ปลุกเสกพระพิมพ์นี้ไว้ให้ศิษย์ได้นำติดตัวไป ใครที่มีพระพิมพ์นี้ติดตัวหรือบูชาไว้ สามารถทำน้ำมนต์ได้ แม้ดับขันธ์ให้ระลึกถึงบุญกุศลของตัว ให้ระลึกถึงหลวงพ่อ ให้ระลึกถึงบุญบารมีของพระพุทธเจ้าแม้ไม่ถึงคราวตกต่ำหรือตกอับ จะไม่ตกต่ำหรือตกอับเลย แม้ดับขันธ์จวนตายอย่างไรก็ตาม  ให้ตั้งสติให้ดี ระลึกถึงพระมนต์นี้ระลึกถึงหลวงพ่อแม้หนักถึงตกต่ำ ตกอับ หรือออกจากงาน จะรอดมาได้ที่หนักจะเป็นเบาที่เบาจะหายไป ที่หายไปจะดีขึ้น จะมีแต่ความสุขความเจริญ จะขอเล่าอภินิหารของสมเด็จพิมพ์นี้ เอาไว้สัก ๑ เรื่อง

มีศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งเป็นเด็กชื่อแกละ มีฐานะยากจนมาก มีอาชีพเป็นลูกจ้างทำนาอยู่กับเจ้าของนาคืออยู่กับเศรษฐี เป็นคนอำเภอสรรค์บุรี ในฤดูทำนาก็ทำนา ฤดูร้อนก็เลี้ยงควาย มาอยู่กับเศรษฐีหลายปี ยามว่างก็มาช่วยหลวงพ่อทำงาน หลวงพ่อได้รับไว้เป็นศิษย์ได้ให้พระสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ ไป ๑ องค์ ข้างหลังมียันต์ เด็กคนนี้ได้นำไปเลี่ยมติดตัว อยู่บ้านเศรษฐีก็ทำงานด้วยความขยันขันแข็ง คนในบ้านเศรษฐีก็เอ็นดูรักใคร่ อยู่มาหลายปีจนโตเป็นหนุ่ม ได้แอบชอบลูกสาวเศรษฐีเข้า ลูกสาวเศรษฐีก็ไม่รู้ตัว แต่ไม่รังเกียจนายแกละเพราะเป็นคนดี พูดจาดีต่อตนเศรษฐีก็ไม่รังเกียจ แต่ไม่เคยคิดว่าจะมีเขยเช่นนายแกละ เพราะฐานะต่างกันมาแม้แต่ลูกสาวเศรษฐีก็ไม่เคยคิดในแง่ชู้สาวเพราะฐานะต่างกันมากเช่นกัน แม้แต่ข้าวเศรษฐีก็ไม่เคยให้กินรวมเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่นายแกละเกิดชอบลูกสาวเศรษฐีขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับ ในใจนั้นแอบรักเขาตลอดเวลา เขาว่าชายหญิงนั้นเกิดมาคู่กัน ไม่มีแผ่นฟ้าและแผ่นดิน เมื่อความรักมันคับอกมากเข้า นายแกละก็คิดถึงหลวงพ่อ หยิบพระขึ้นมาพนมคิดถึงแต่ความยากจนของตนเองคิดไปก็น้ำตาไหล นายแกละได้สวดมนต์ และระลึกถึงหลวงพ่อหลายวันหลายคืน คิดไปคิดมาถ้าขืนปล่อยให้ความรักหนักอกอยู่อย่างนี้ เห็นทีจะต้องตายแน่ ๆ ถ้ามัวแต่คิดอยู่อย่างนี้ เมื่อไรความคิดจึงจะสมหวัง ดอกฟ้าไหนเลยจะโน้มกิ่งลงมาได้ ถ้าไม้พยายามเอื้อมขึ้นไปเด็ด เลยคิดขึ้นได้ตามประสาคนโกงคือถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ถ้าไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องเอาด้วยคาถา

วันหนึ่งนายแกละได้เตรียมวางแผนไว้เป็นอย่างดี พอดีสบโอกาสเช้าวันนั้นเขาไปไถนาแต่เช้ามืด ตอนสายลูกสาวเศรษฐีได้เอาข้าวไปส่ง พอนายแกละเห็นลูกสาวเศรษฐีมาแต่ไกล ได้หยุดไถนา นั่งพับเพียบเอามือขึ้นพนมหันหน้ามาทางวัดของหลวงพ่อได้ระลึกถึงหลวงพ่อหยิบพระขึ้นมาพนม ได้กล่าวคาถาอัญเชิญพระแม่ธรณี ได้ระลึกถึงบุญกุศลของตน ของหลวงพ่อและของพระพุทธเจ้า ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าแม้ว่าข้าพเจ้าและลูกสาวเศรษฐีมีวาสนาต่อกัน จะได้เป็นเนื้อคู่กันแล้ว ขอให้นางได้รับน้ำในกระบอกนี้ดื่มกินด้วยเทอญ แล้วนายแกละก็นำพระปรกโพธิ์แกว่งลงในน้ำอาราธนาว่าคาถา แล้วเอากระบอกตั้งไว้ เมื่อลูกสาวเศรษฐีมาถึง นายแกละได้ยกน้ำในกระบอกส่งให้นาง ลูกสาวเศรษฐีกำลังเหนื่อย ๆ พอดี ก็รับน้ำในกระบอกไปดื่มกิน ขณะที่นางกำลังดื่มกิน นายแกละก็คิดได้ว่าเห็นทีกุศลผลบุญแต่หนหลังยังมีอยู่ นางคงไม่รังเกียจตน จึงนั่งลงกินข้าวและได้ชวนลูกสาวเศรษฐีกินด้วย ลูกสาวเศรษฐีความจริงกินมาแล้ว แต่จะเป็นด้วยต้องมนต์หรือวาสนาจะมีต่อกันไม่รู้ได้ ได้ร่วมวงกินข้าวกับนายแกละ เมื่อกินข้าวเสร็จนายแกละได้สารภาพรักต่อนาง ด้วยรู้ว่าสกุลนั้นห่างกันมากจึงก้มหน้าไม่มอง ลูกสาวเศรษฐีก็ไม่มองหน้า นายแกละฉวยโอกาสที่นางไม่ต่อว่าอะไร จับมือลูกสาวเศรษฐีแล้วพูดว่า วันนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรจะพานางไปอยู่ด้วย จะขอไปตายเอาดาบหน้า ว่าแล้วก็ดึงมือลูกสาวเศรษฐีลัดเลาะทุ่งนาเดินแกมวิ่งได้พาลูกสาวเศรษฐีไปค้างคืนที่บ้านเพื่อน ๓ คืน ระหว่างที่อยู่ด้วยกันทั้งคู่เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียวเพราะรู้ว่าได้ทำผิดเสียแล้วคิดไม่ตกไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร พอเช้ามืดคืนวันที่ ๓ เศรษฐีก็ตามมา มากันเต็มไปหมด พร้อมปืนลูกซองยาว ล้อมบ้านเอาไว้ เมื่อมาเห็นเข้าก็ฉุดมือลูกสาวเอากลับไปบ้านทันที พร้อมกับพูดว่า เดี๋ยวมึงกับกูจะได้เห็นดีกัน กูจะเอามึงใส่คุกให้ได้ แล้วเศรษฐีได้ให้คนไปแจ้งความกับตำรวจ ให้มาจับนายแกละ พอดีนายอำเภอกับตำรวจมาตรวจท้องที่พอดี กำลังจะมาแวะหาน้ำกินที่บ้านเศรษฐี นายอำเภอได้ให้ตำรวจไปตามตัวนายแกละมา เมื่อนายแกละโดนตำรวจพาตัวมาก็หมดความหวังถึงกับเข่าอ่อนได้แต่อาราธนาพระปรกโพธิ์ของหลวงพ่อและระลึกถึงหลวงพ่อให้ช่วย เมื่อมาถึงพ่อแม่นายแกละก็มาด้วย นายอำเภอได้สอบถามปากคำ ได้สอบถามลูกสาวเศรษฐีว่า เขาฉุดเอ็งไปหรือเอ็งรักเขาไปกับเขาเอง ลองบอกมาตรง ๆ หน่อยซิ พอนายอำเภอถามอย่างนั้นทุกคนนิ่งอึ้งกันไปหมด ลูกสาวเศรษฐีได้ตอบว่า หนูรักเขาหนูจึงไปกับเขา คนก็เต็มบ้าน ฝ่ายเศรษฐีพอได้ยินลูกสาวพูดอย่างนั้น ได้โมโหสุดขีดปืนลูกซองที่ถืออยู่ในมือฟาดพื้นเปรี้ยงเดียวคอหมาปืนหักเลย ความที่โมโหลูกสาวสุดขีด พร้อมกับพูดว่า ถ้ามึงรักเขามึงไปอยู่กับเขาเลยกูไม่เอาเลยสักบาทเดียว นายอำเภอจึงทำหนังสือเอาไว้เป็นหลักฐาน ฝ่ายเศรษฐีเมื่อลูกสาวไปแล้วก็ว้าเหว่เสียใจได้ให้คนมาตามกลับไปอยู่ด้วย เมื่ออยู่กินด้วยกันพ่อตาก็ไม่พอใจนักสร้างความลำบากใจต่อนายแกละมาก นายแกละได้หวนคิดถึงหลวงพ่อว่าเคยช่วยมาก็หลายครั้ง จึงได้อาราธนาพระปรกโพธิ์ในคอ อาราธนาทำน้ำมนต์ให้คนในบ้านรัก ได้เอาพระปรกโพธิ์ไปแกว่งในโอ่งน้ำฝนทำน้ำมนต์ โอ่งน้ำฝนน้ำฝนนี้เป็นน้ำดื่ม เมื่อทุกคนได้ดื่มน้ำในโอ่งก็รักใคร่เอ็นดูปรองดองกัน ไม่รังเกียจนายแกละอีกเลย ปัจจุบันนี้นายแกละเขาสบายแล้ว สมเด็จก็นำมาเลี่ยมทอง ระลึกถึงหลวงพ่อทุกลมหายใจ

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ๆ แต่การจะลงชื่อเศรษฐีและลูกสาวเศรษฐีเป็นการไม่เหมาะสม ทั้งนายแกละเองก็เป็นคนมีหน้ามีตาในอำเภอสรรค์บุรี หมู่บ้านแค อำเภอสรรค์บุรีแต่ก่อนเป็นป่าเป็นดงเศรษฐีแต่ก่อนมีนาเป็นร้อย ๆ ไร่ เฉพาะแม่ย่าของหมอเฉลียว เดชมา มีนาเกือบพันไร่ มีลูกจ้างไถนาเกือบ ๒๐ คน เสือฝ้าย เสือดำ เคยมาปล้นบ้าน เจอแม่ย่าหมอเฉลียวเข้าพูดจาดูนิ่ม เรียกลูกทุกคน หยิบเงินมาแจกคนละถุงเท่านั้น วางปืนนอนคอยกินข้าวเลย สมัยหมอเฉลียวบวชยังเอาช้างแห่

สำหรับคนที่มีสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ ก็ขอให้รักษาให้ดี ปัจจุบันเป็นของหายากมากและแพงเป็นของดีจริง แต่จะเอารวยเลยวันนี้พรุ่งนี้นั้นไม่ได้ ปัจจุบันมีของทำคล้ายคลึงมีมาก จะเช่าหาขอให้ระวังขอให้ดูจากคนที่ไว้ใจได้จริง ๆ ก็ขอสมมุติยุติเรื่องปรกโพธิ์ ๙ ใบ อีกตอนหนึ่ง

ปล.ปัจจุบันปรกโพธิ์นี้แพงและหายากมาก คนที่เงินน้อยควรหาเช่าบูชาปรกโพธิ์เล็กเพราะราคาตอนนี้ยังไม่แพง หลวงพ่อทำเองเช่นกัน

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 29, 2013, 11:24:02 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๕๙

วันที่ ๕ ต.ค. – ๑๕ ต.ค.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา




สุดยอดพระสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ หลังแม่พระธรณี


ต่อไปจะกล่าวถึง พระสมเด็จพิมพ์สุดยอดของหลวงพ่อ หรือ เป็นชุดพระเนื้อผงที่มีราคาเช่าสูงสุด และได้รับความนิยมสูงสุด มีอานุภาพมากและมหัศจรรย์ พระพิมพ์นั้นคือ พิมพ์ปรกโพธิ์ ๙ ใบ พระพิมพ์นี้เป็นพระพิมพ์สมเด็จค่อนข้างโตกว่าสมเด็จทั่ว ๆ อีกประมาณเท่าตัว หรือครึ่งหนึ่งเป็นรูปพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใต้ร่มโพธิ์ มีใบโพธิ์อยู่ ๙ ใบ เป็นรูปดวงแก้วของพระพุทธเจ้า แกะมีหน้าตา จมูก ค่อนข้างชัดเจน ใบหน้าอวบอ้วนสมบูรณ์ ยาวแบบศิลปะสุโขทัย ด้านหลังแกะยันต์นะโมพุทธายะ เป็นยันต์จมก็มี เป็นยันต์นูนก็มี บอก พ.ศ. สร้าง พ.ศ.๒๕๑๓ ก็มี ไม่บอก พ.ศ.ก็มี ชนิดที่เป็นรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม  แกะเป็นลายเส้นอยู่ด้านหลังก็มี เนื้อหาดำสนิทก็มี ดำไม่สนิทก็มี เนื้อพิกุลกับเนื้อดำเนื้อในจะหยาบ ประกอบไปด้วยแร่และทราย คือเนื้อพระ ๒ เนื้อนี้ ถ้าผู้ใช้เลี่ยมเปิดโดนน้ำ ผิวนอกจะถลอกออกเห็นเนื้อในได้ แร่ที่พบมีแร่อุกาบาตร แร่โคตรเหล็กไหล และทรายจากอินเดีย ฯลฯ

ความจริงผงที่ใช้ทำพระพิมพ์นี้ก็คล้าย ๆ ผงที่หลวงพ่อใช้ผสมทำพระสมเด็จทั่วไป แต่พระพิมพ์นี้มีเอกลักษณ์พิเศษ ๓ อย่าง คือ

๑.พระนี้เป็นพิมพ์ปรกโพธิ์ หลวงพ่อเรียกพระพิมพ์นี้ว่า พิมพ์ร่มโพธิ์ หลวงพ่อพูดว่า “พระพิมพ์ร่มโพธิ์นี้ อยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครรังเกียจ มีแต่ความร่มเย็น”

๒.พระพิมพ์นี้ หลวงพ่อปลุกเสกด้วยคาถาพระแม่ธรณี หรือคาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร ซึ่งเป็นคาถาที่หลวงพ่อใช้รดน้ำมนต์ให้กับศิษย์ที่โดนคดีความ พระนี้สามารถใช้ทำน้ำมนต์ได้

๓.พระพิมพ์นี้มีส่วนผสมของเกศา ของผู้มีบุญสูงมากผสมอยู่ ใครที่ได้พระพิมพ์นี้ไว้บูชาจะร่มเย็น และร่ำรวย เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง พระพิมพ์นี้หลวงพ่อจะให้ใคร หลวงพ่อจะพูดบอกเล่าทุกครั้งว่า ใช้เกศาของผู้มีบุญผสมอยู่ ขอให้เก็บรักษาให้ดี จะร่มเย็นและร่ำรวย เกี่ยวกับเกศาของผู้มีบุญสูงนี้ มีผู้ที่อยากรู้ได้ถามมามาก แต่ผมตอบท่านในนะโมไม่ได้ เพราะถ้าตอบออกไป ถ้าดีก็จะดีถึงที่สุด คือ พระพิมพ์นี้จะแพงกว่าทองคำมากนัก แต่ถ้าไม่ดีก็ต้องไม่ดีเอามาก ๆ เลย(เกี่ยวกับตัวผม) ส่วนเกศาสีขาวที่ผสมอยู่ เป็นเกศาของหลวงพ่อเอง กับเกศาของครูบาอาจารย์ของท่าน

ต่อไปจะกล่าวถึงความหมายของพระพิมพ์นี้ พระพิมพ์ปรกโพธิ์นี้ หมายถึงตอนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ ขณะที่พระองค์ใกล้จะตรัสรู้ นั้น ได้มีพญามาร ขุนมาร เสนามาร มาขัดขวางไม่ให้ตรัสรู้ เพราะถ้าตรัสรู้แล้วเป็นพระอรหันต์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็จะอยู่นอกกฎแห่งกรรม จะอยู่นอกวัฏสงสาร จะไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก พญามารได้พาสมัครพรรคพวกมากันมืดฟ้ามัวดินเต็มไปหมด พระพุทธเจ้าเห็นพญามารมากันมาก พระองค์ได้ระลึกถึงนางแม่ธรณี หรือ พระแม่ธรณีให้มาช่วย เมื่อพระแม่ธรณีมาช่วย นางได้บีบมวยผมของนางออกมาเป็นน้ำไหลบ่าท่วมพญามาร ขุนมาร และเสนามารจนหมดสิ้น ข้อความเหล่านี้เราอาจได้ยินได้ฟังมาบ้างจากพระภิกษุที่อธิบายให้เราฟัง จากภาพฝาผนังพระอุโบสถ แต่แท้ที่จริงแล้ว พญามาร ขุนมาร เสนามาร นั้นคือกิเลส คือความโลภ ความโกรธ ความหลงนั่นเอง ความโลภคืออยากได้โน่นอยากได้นี่ อยากเป็นนั่นอยากเป็นนี่ ความโกรธคือความยึดมั่นในตัวเราของเรา ความหลงคือการมองไม่เห็นในความจริงของรูป รส กลิ่น และเสียง คือขณะที่พระองค์กำลังจะตรัสรู้นั้นได้มีอวิชชามาครอบงำ พระองค์เลยรำลึกถึงผลบุญที่ได้บำเพ็ญมาถึง ๑๐ ชาติ และที่ได้บำเพ็ญมาขณะเป็นพระโพธิสัตว์อีกหลายชาติ บุญกุศลที่พระองค์บำเพ็ญมานี้ พระองค์ได้หลั่งอุทกวารีหรือกรวดน้ำฝากไว้กับพระแม่ธรณี เมื่อพระองค์ระลึกถึงบุญกุศล บุญกุศลของพระองค์ก็หลั่งไหลมาท่วมกิเลสจนหมดสิ้น พระองค์เลยตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทีนี้พระพิมพ์นี้เมื่อใครมีไว้บูชาศัตรูจะแพ้ภัยตัวเอง เพราะศัตรูนั้นเป็นคน ซึ่งจะเทียบกับความร้ายกาจของกิเลสคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง นั้น จะเทียบกันไม่ได้เลย เพราะกิเลสนี้ยิ่งกว่าไฟ มันจะเผาผลาญทุกสิ่ง เผาข้ามภพข้ามชาติเลย

ต่อไปเป็นคำพูดของหมอเฉลียว เดชมา ศิษย์ใกล้ชิดของหลวงพ่อได้พูดถึงพระพิมพ์นี้ไว้ดังนี้ คำว่าผมต่อไปนี้หมายถึงหมอเฉลียว เดชมา

พระสมเด็จปรกโพธิ์ที่มีรูปนางพระธรณีบีบมวยผม และสมเด็จปรกโพธิ์หลังมียันต์ ของหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร ท่านเคยพูดว่า ได้แก่ตอนพระพุทธเจ้าเรียกนางแม่ธรณี มาช่วยผจญมาร พระพิมพ์นี้ใครมีไว้บูชาจะค้าขายดี จะร่มเย็นเป็นสุขและจะร่ำรวย ถึงจะมีคนอิจฉาริษยาเรา ก็จะสู้เราไม่ได้เลย แม้ใครจะคิดทำร้ายเราก็จะแพ้ภัยตัวเอง ทำร้ายเรามิได้เลย ใครที่มีพระสมเด็จรุ่นนี้ ขอให้เก็บรักษาไว้ให้ดีอย่าให้ผู้อื่นเสียหมด ต่อไปจะเสียใจ แม้ท่านเป็นถ้อยเป็นความกับผู้อื่น หรือมีศัตรู เวลาอาราธนาพระติดตัว จงอาราธนาพระพิมพ์นี้ด้วยพระคาถา อัญเชิญพระแม่ธรณีให้มาช่วย คาถานี้ว่าดังนี้ “โพ อะ วะ นิ ตะ ละ” ๓ จบ แล้วท่านก็เอาติดตัวไป จะซื้อง่ายขายคล่อง ศัตรูจะไม่อาจทำอันตรายต่อท่านได้เลย เพราะท่านมีพระแม่ธรณีรักษา พระแม่ธรณีนี้เป็นเทพผู้รักษาแผ่นดิน ใครจะไปใครจะมา ก็ต้องเดินบนแผ่นดินมาทั้งนั้น ไม่ได้เหาะเหินเดินอากาศมา ก็จบคำพูดของหมอเฉลียวไว้เท่านี้ ขอบคุณมากอุตส่าห์ให้คาถาเรียกพระแม่ธรณีมา แม้จะเขียนให้มาเป็นภาษาขอมก็ยังต้องขอบคุณอยู่ดี พระคาถานี้หลวงพ่อได้เขียนเอาไว้ในตำราการทำน้ำมนต์ชนะศัตรู หลวงพ่อเขียนไว้ว่า ใช้คาถานี้เรียกนางแม่ธรณีให้มาช่วย ถ้าไม่มาอกแตกตาย

ต่อไปเป็นคาถาชื่อ มนต์ธรณีปริตร หรือ มนต์พระแม่ธรณี บางคนเรียกคาถานี้ว่า “คาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร” ใช้ทำน้ำมนต์รดอาบจะชนะศัตรูพระคาถานี้ให้ท่องบ่นหลังจากบอกเล่าอัญเชิญพระแม่ธรณีแล้ว ๓ จบ คาถานี้ถ้าจะทำน้ำมนต์ ต้องกล่าวคาถาชุมนุมเทวดาก่อน คาถานี้ขณะที่ติดอยู่กับโซ่ตรวนห้ามท่องบ่น เพราะเป็นคาถามีอยู่ในตำราพิชัยสงคราม เป็นเสนียดต่อโซ่ตรวน

พระคาถานี้มีอุปเท่ห์การใช้ดังนี้คือ ใช้ทำน้ำมนต์ชนะศัตรูได้ เขียนชื่อศัตรูทำไส้เทียน ศัตรูจะแพ้ภัยได้ เขียนชื่อศัตรูใส่กระดาษเอาใส่ในก้อนข้าวเสกด้วยคาถานี้ เอาไปโยนให้สุนัขกิน สุนัขพูดไม่ได้ ศัตรูจะแพ้เรา เขียนชื่อศัตรูลงบนแผ่นอิฐเสกด้วยคาถานี้ เอาอิฐไปถ่วงน้ำ ศัตรูจะพูดไม่ออกจะแพ้เรา คาถานี้ทำน้ำมนต์รดไล่ผี ผีอยู่มิได้ อุปเท่ห์การใช้พระคาถานี้ยังมีอีก ๑ ใน ๑๐ ส่วน ผมไม่อาจถ่ายทอดออกไปได้หมด เพราะเป็นมนต์มืด หรือไสย์ดำ เพราะในตำราเล่มใหญ่ที่ผมลักเรียนมายังได้พูดไว้ว่า ห้ามถ่ายทอดกับศิษย์ฆราวาส ฉะนั้นอุปเท่ห์การใช้จึงถ่ายทอดให้ไว้ได้เพียงนี้ แต่ตัวคาถานี้ให้ไว้ทุกตัวอักษร คาถานี้ใครได้ไว้ขอให้รักษาให้ดี ใครที่จะเรียนเอาไว้ให้จุดธูป ๙ ดอก บอกเล่าหลวงพ่อก่อน ให้หารูปหลวงพ่อไว้บูชาด้วย พระคาถาว่าดังนี้

“ตัสสา เกสีสะโต ยะถาคังคา โลตัง ปะวัตตันติ มาระเสนา ปะติฐฐาตุง อะสักโกนโต ปะลายิงสุ ปะระมิตา นุภาเวนะ มาระเสนะ ปะราชิตา ทิโสทิสัง ปะลายันติ วิทังเสนติ อะเสละโต”
 
พระคาถานี้ใครที่ไม่มีพระปรกโพธิ์ก็ใช้ได้ แต่ถ้ามีพระปรกโพธิ์ประกอบในการทำน้ำมนต์ยิ่งจะดีใหญ่ กรุณาอย่าถามถึงอุปเท่ห์การใช้ ส่วนที่ขาดไป เพราะผมจะไม่ตอบท่าน เดี๋ยวจะว่าผมไม่เกรงใจไม่ได้ คาถานี้ถ้าจะทำน้ำมนต์ หรือทำไส้เทียนต้องชุมนุมเทวดาก่อน ถ้าภาวนาขณะมีคดีความจะชนะศัตรู แต่ห้ามภาวนาหรือท่องบ่นขณะมีโซ่ตรวนติดอยู่ เพราะพระคาถานี้เป็นคาถาที่มีอยู่ในตำราพิชัยสงคราม ทุกบทจะเป็นเสนียดต่อโซ่ตรวน

ต่อไปจะขอเล่าถึงอภินิหารของสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ เพื่อบันทึกเอาไว้ พระสมเด็จของหลวงพ่อโดยมาก หลวงพ่อจะผสมทรายเสก แร่อุกาบาตร โคตรเหล็กไหล ปฐวีธาตุ(หินเย็น) ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกคือ พระเนื้อผงกลับมีแร่ผสมอยู่ด้านใน แต่ถ้าเป็นเนื้อดินหลวงพ่อจะใช้ผงผสม เกี่ยวกับทรายเสกนี้อัศจรรย์มาก หลวงพ่อสามารถเสกทรายจนเป็นหุ่นพยนต์เฝ้าบ้านได้ คุ้มครองได้ พรางตาศัตรูได้ ซึ่งหลวงพ่อเคยพูดกับอาจารย์ศรีนวล สำนักสงฆ์ทับนา ว่า ถ้าปลุกของไม่ขึ้น ให้เรียกวิญญาณผีตายโหงเข้าช่วยจะขึ้น ซึ่งจากผลของการตั้งใจสร้างอย่างจริงจังของหลวงพ่อ โดยใช้ผงจินดามณี ผงอิทธิเจ ฯลฯ ผสมกับแร่วิเศษ ทรายอินเดีย ทำให้พระของหลวงพ่อมีทั้งบุญฤทธิ์ และอิทธิฤทธิ์ประกอบกัน สมควรบันทึกไว้ดังนี้ มีศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งชื่อสมนึก มั่นปาน เป็นคนอำเภอสรรคบุรี มีปรกโพธิ์ ๙ ใบของหลวงพ่อคล้องคออยู่ประจำ คุณสมนึกเป็นคนพอมีอันจะกิน จึงมีคนอิจฉาริษยา และคนที่ประกอบอาชีพคล้ายกันขัดกันก็อิจฉา จึงได้สั่งลูกน้องให้มาลักควายคุณสมนึก เมื่อขโมยมาลักควายบ้านคุณสมนึก ก็ลักไม่ได้ เพราะเห็นคนบ้านคุณสมนึกเดินขวักไขว่เต็มไปหมด ไม่หลับไม่นอน หมาก็มีหลายตัว ขโมยก็ขโมยควายเอาไปไม่ได้ เพราะเข้าใจว่าคนบ้านคุณสมนึกคงจะรู้ตัว ขโมยได้พยายามอยู่จนเป็นเดือน ๆ หลายครั้งหลายหนไม่สำเร็จ จนเกิดการท้อถอย ได้พยายามมาพูดคุยกับคุณสมนึก เห็นว่าคุณสมนึกเป็นคนดีเลยเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมดว่า มีคนเขาจ้างวานให้มาลักควายหลายครั้งหลายหน เห็นว่าไหน ๆ ก็ลักไม่สำเร็จแล้ว เลยเล่าให้ฟัง เห็นว่าคุณสมนึกเป็นคนดีด้วย และได้ถามคุณสมนึกว่ามีของดีอะไร หรือรู้ตัวอย่างไรจึงไม่ยอมหลับยอมนอน คุณสมนึกตอบว่าไม่มีอะไรคนดีผีคุ้มครองนี่เอง

อยู่ต่อมาคู่อริคุณสมนึก ได้ว่าจ้างมือปืนให้มาฆ่าคุณสมนึกในราคางาม มือปืนได้มาดักยิงคุณสมนึกหลายครั้งไม่สำเร็จ บางครั้งเห็นเป็นคนหลายคนเดินมา บางครั้งเห็นคุณสมนึกเดินมาแต่ไกล  พอเดินมาใกล้ ๆ กลับเห็นเป็นคนอื่น มือปืนได้พยายามอยู่หลายสิบครั้งจนอ่อนใจ ตอนหลังได้พูดคุยกับคุณสมนึกเห็นว่าเป็นคนดีเลยใจอ่อน เล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด เล่ายั้นว่าใครเป็นคนจ้างวานมาฆ่า

อีกครั้งหนึ่งคู่อริได้ว่าจ้างคนมาลักปิกอัพของคุณสมนึก คราวนี้ขโมยเตรียมพร้อมทุกอย่าง ได้ถอยรถออกมาจะเป็นเพราะความมืดหรืออำนาจมนต์ในพระปรกโพธิ์ที่คุณสมนึกคล้องคออยู่ไม่แน่ชัด ขโมยได้ดันรถถอยออกมาด้วยความแรงรถตกลงไปในคูน้ำเอาไปไม่ได้เลย ภายหลังขโมยชุดนี้ได้มาขอโทษคุณสมนึก ส่วนคู่อริภายหลังได้แพ้ภัยตัวเอง โดนลูกน้องตัวเองหักหลังถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัว

ก็ขอจบเรื่องสุดยอดพระสมเด็จไว้แต่เพียงนี้ ชื่อสมนึกนี้ไม่ใช่ชื่อจริง เพราะเจ้าตัวไม่ต้องการเปิดเผยตัวเอง แต่เป็นเรื่องจริงยืนยันได้ เขาใช้ปรกโพธิ์ ๙ ใบ หลังพระแม่ธรณีบีบมวยผม

ปล.พระปรกโพธิ์ ๙ ใบนี้ เป็นของที่หาได้ยาก ผู้มีบุญจริง ๆ จึงจักได้ไว้บูชา มีทั้งชนิดหลังยันต์จมและยันต์นูน มีทั้งชนิดบอก พ.ศ.๒๕๑๓ ก็มี ชนิดหลังแม่พระธรณีก็มี สนนราคาหลังแม่ธรณีจะแพงกว่ากันเล็กน้อย เนื้อหามีสีขาว สีพิกุล สีขาวอมเขียว สีน้ำตาลอ่อน และสีดำ เท่าที่พบ ผู้ที่มีไว้บูชาสมควรบันทึกเอาไว้ดังนี้ เผื่อว่าพบเขาจะขอเขาดูเอาไว้เผื่อไปเจอที่ไหนจะได้หาเอาไว้บูชาติดตัว คุณเสงี่ยม จิตรักสระนะ อ.เมือง จ.เชียงราย มี ๓ องค์ คุณประพนธ์ เชาวน์วิทยางกูร อ.เมือง จ.เชียงใหม่ มี ๒ องค์ คุณเกรียงไกร ทัศนโกศล อาคารไทยสมุทรชั้น ๑๙ บางรัก มี ๑ องค์ สวยมาก คุณเจิดศักดา มีจิตร สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี มี ๑ องค์ คุณทินกร วรสาร ร.ร.ยโสธรพิทยาคม จ.ยโสธร มี ๑ องค์ คุณกมล พลพิทักษ์กุล ยานนาวา กรุงเทพ มี ๑ องค์สวยมาก นอกนั้นก็มีที่นายแถม เข็มทอง ๑ องค์ อาจารย์เหวียน มณีนัย ๒ องค์ ก็ขอจบเรื่องปรกโพธิ์ ๙ ใบ แต่เพียงนี้



ผู้วิเศษเมืองสรรค์ ตอนของจริงหรือฟลุค

ในสมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ จะมีศิษย์เดินทางมาหาท่าน มาขอให้ท่านช่วยเหลือ แต่คนเขากลัวสุนัขของท่าน เขาเลยไปหาท่านหลวงพ่อองค์อื่น ซึ่งอุปนิสัยหรือปฏิปทาไม่เหมือนหลวงพ่อ แต่ละองค์จะมีเมตตา ใจดี พูดง่าย จะเช่าหาบูชาวัตถุมงคลก็เข้าได้ง่าย ไม่เหมือนหลวงพ่อกวยไม่ถามไม่พูด ไม่ขอไม่ให้ ให้ก็ให้คนละ ๑ อัน จะเอามามาก ๆ ก็ไม่ได้ ดู ๆ ก็น่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเป็นศิษย์ใกล้ชิดแล้ว เขาจะรู้เลยว่าหลวงพ่อนั้นเป็นของจริง รดน้ำมนต์ให้ไม่ถามก็ไม่พูด พอถามเข้าตอบคำเดียวว่าดี แต่คำว่าดีของท่านนั้น เพียงคำเดียว แม้จะต้องติดคุก ติดตารางก็ไม่ติด แม้ถูกปองร้ายอย่างหนัก ก็รอดมาได้ แม้ดวงตกต่ำถึงหมดตัว ก็จะดีขึ้นทันตา

จะขอเล่าเพื่อบันทึก เรื่องของบุญญาภินิหารของท่าน แม้ท่านจะล่วงลับไปเกือบ ๒๐ ปีแล้วก็ตาม (พ.ศ.๒๕๓๘) เรื่องนี้เกิดขึ้นกับคุณผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นน้องสาวของคุณธนศักดิ์ จิตจรัสแสง อยู่บ้านเลขที่ ๑๑๒/๑๔๓๗ แฟลต ๘ ถนนบางนา-ตราด กม.๔-๕ รหัส ๑๐๒๖๐ คือน้องสาวของคุณธนศักดิ์ ตอนนั้นได้เรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหงฯ ปีสุดท้าย แต่มีอยู่วิชาหนึ่งซึ่งสอบไม่ผ่าน ได้ลงวิชาเรียนถึง ๓ ครั้งก็สอบไม่ผ่าน คุณธนศักดิ์ เขาเป็นศิษย์มีอาจารย์ มีเทพคุ้มครอง พอรู้ว่าน้องสาวสอบไม่ผ่านถึง ๓ ครั้ง กินเวลาเพิ่มขึ้นอีก ๑ ปี เขาได้ให้รูปของหลวงพ่อเอาไปบูชาบนบานบอกเล่า นำติดตัว พระองค์นี้ชื่อหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร อยู่วัดโฆสิตาราม ปัจจุบันมรณภาพแล้ว แต่เก่งมาก อยู่ตำบลบางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท เมื่อน้องสาวคุณธนศักดิ์ ได้รูปไป รู้สึกมีกำลังใจอย่างมหาศาล เมื่อไปสอบครั้งที่ ๔ ก็สอบผ่าน ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก หรือจะฟลุคผมก็ไม่รู้ แต่มีเหตุการณ์หนึ่งได้เกิดขึ้น เหมือนจะยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องฟลุค คือ คืนวันก่อนประกาศผลสอบ คุณแม่ของคุณธนศักดิ์ได้ฝันเห็นพระองค์หนึ่ง และได้เข้าไปกราบได้เรียนถามท่านว่า ท่านชื่ออะไร ท่านได้ตอบว่า “ฉันชื่อพระกวย อยู่วัดบ้านแค” เมื่อคุณธนศักดิ์ ไปเยี่ยมแม่กับน้องสาว เพราะทราบว่าน้องสาวสอบผ่านแล้ว คุณแม่คุณธนศักดิ์ได้ถามคุณธนศักดิ์ว่า “หลวงพ่อกวยวัดบ้านแค อยู่จังหวัดอะไร แม่ฝันเห็น” คุณธนศักดิ์เลยให้น้องสาวนำรูปหลวงพ่อมาให้คุณแม่ดู คุณแม่ดีใจมาก จำได้ และได้ส่งเงินมาทำบุญมูลนิธิ คุณแม่คุณธนศักดิ์ ๕๐๐ บาท คุณธนศักดิ์ ๕๐๐ บาท น้องสาวคุณธนศักดิ์ ๕๐๐ บาท เงินมูลนิธิได้รับแล้วขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง คุณธนศักดิ์เขียนจดหมายมาถึงผม วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๓๘ ตอนนี้น้องสาวคุณคงจะได้รับปริญญาเรียบร้อยแล้ว ขอให้คุณโชคดีมีงานทำ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 29, 2013, 11:48:19 am
พระสมเด็จเนื้อสีขาว หลังปั๊มตราวัดสีน้ำเงิน

ดูจากลักษณะของผิวพรรณวรรณะขององค์พระแล้ว เนื้อหาใกล้เคียงกับพระสมเด็จหลังรูปรุ่น ๒ อยู่ไม่น้อยเลยนะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 02, 2013, 11:30:52 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๖๐

วันที่ ๑๕ ต.ค. – ๒๕ ต.ค.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



อภินิหารในพระคาถา


ปกติหลวงพ่อไม่ค่อยได้ให้คาถา แต่จะให้เฉพาะศิษย์เรียนวิชาเท่านั้น โดยท่านพูดว่า “ไม่ต้องใช้” ให้นึกถึงท่านก็ใช้ได้ แม้แต่คาถาอาราธนาก็เช่นกัน ให้นึกถึงท่านก็ใช้ได้ แต่ถ้าขอเรียนจริง ๆ ท่านจะให้คาถาโองการมหาทมื่นเป็นการลองใจ โดยท่านจดให้ในส่วนที่เป็นพระคาถา เช่น นะโมพุทธายะฯ ท่านจะเขียนเป็นภาษาขอม ให้ศิษย์ไปถอดเป็นภาษาไทยเอาเอง เมื่อท่องได้แล้วจึงจะเอาบทใหม่ได้ คาถานี้ท่านใช้ปลุกเสกวัตถุมงคล ท่านพูดว่า “วัตถุมงคล เช่น ตะกรุด แหวนแขน พระ ฯลฯ ถ้าจะให้ดีต้องปลุกเสกเป็นหมื่น ๆ จบ” เล่ากันว่า คาถานี้ หลวงปู่เอี่ยมวัดสะพานสูง ท่านก็ใช้ปลุกเสกวัตถุมงคล หลวงพ่อกล่อมวัดมะขามเตี้ย สุราษฎร์ท่านก็ใช้คาถานี้เช่นกัน มีบางคนถามมาว่า คาถานี้ใช้ปลุกเสกวัตถุมงคลอย่างเดียวหรือ ความจริงคาถานี้ใช้ภาวนาเวลาจะผจญศัตรู หรือเจริญมนต์ก่อนนอนก็ดี เวลาจะผจญศัตรูให้ภาวนาพอถึงตอน“กูจะรำลึกถึงครูกูใครก็สู้กูไม่ได้”พอถึงกูจะรำลึกถึงครูกูให้ระลึกถึงหลวงพ่อเดิม หลวงพ่อศรี หลวงพ่อกวย ขนหัวจะลุก ใจจะโตทีเดียว จะเห็นช้างตัวเท่าหมู คาถานี้เป็นคาถาคงกระพันชาตรี คำว่า ชาตรี คือคงทนต่อของแข็งกระดูกจะไม่หักไม่แตก เกจิเมืองสรรคบุรี โดยมากจะรู้คาถาบทนี้แทบทุกองค์ แม้แต่หลวงตาเจ้ย วัดห้วย สมัยมีชีวิตอยู่ไม่ค่อยมีคนนับถือ ท่านใช้คาถานี้เป็นประจำ พระโชนวัดหัวเด่น ยืนยันกับผมเอง เมื่อท่านมรณภาพมีคนเอากระดูกของท่านไปทดลองยิง ปรากฎว่ากระดูกท่านยิงไม่ออก

คาถาโองการมหาทมื่นของหลวงพ่อกวย

โอมนะโมพุทธายะ กูจะกล่าวกำเนิดเกิดพระมหาทะมื่น กูจะโยนตัวกูขึ้นไปเป็นกง ไม้ไร่ก็หักแหลกเป็นผุยผงทั่วทั้งเมืองสกลชมภู กูจะรำลึกถึงครูกู ใครจะสู้กูก็มิได้ ครูกูจึงให้กูเล่าพระคาถา พุทธังสรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ ภควาไชยะมังคะลัง อรหังสุตโต นะโมพุทธายะ วันทะนัง ปาสุอุชา อิสะปะมิ พุทธสังมิ อิสวาสุ นะมะ อะอุ อิกะวิติ วิสุทธิเสฏโฐ อะสังวิสุโล ปุสะพุภะ อรหังสุตโตภควา สังวิธาปุกะยะปะ อาปามะจุปะ ทีมะสังอังขุ ทุสะมะนิ สะธะวิปิปะสะ อุทุสะนะโส จิเจรุนิ ตันนิพุทติง นะมะ นะอะ นอกอ นะกะ กอออนออะ นะอะกะอัง ตัดถุมะถะ อุมะอะยัง จิปิเสติ กิเสปิจิ กันหะเนหะ นิระมะหะสะตัง จะภะกะสะ นะมะพะทะ กะระมะถะ จะอะภะคะ นะมะกะยะ สุสิโมพุทโธภควา สุสิโมธัมโมภควา สุสิโมสังโฆภควา โลกะ นาโถ มะหิทธิโก นาสังสิโม ยะถาพะลัง จังงังเหยหาย เดชะครูบาธิบาย จึงให้เป็นกำแพงเพ็ชรทั้ง 7 ชั้น ต้นตนกู คือพระวิภังค์ พระสังฆนี พระปรมัตถ อัตถาจาริย์เจ้า จึงให้คงแก่ หอกดาบ แหลนหลาว ธนู ธน้า ทั้งหน้าไม้ ปืนไฟ อย่าได้ต้องตัวกู เพชรคง คงแก่หอกเหล็ก หอกหล่อ หอกข้อเงิน หอกข้อทอง หอกสัมฤทธิ์ กริชทองแดง คงแก่แสงฟ้าผ่าวัง คงทั้งข้างซ้าย คงทั้งข้างขวา คงทั้งข้างหน้า คงทั้งข้างหลัง คงทั้งนั่ง คงทั้งยืน คงทั้งหลับ คงทั้งตื่น คงทั้งกลางคืน คงทั้งกลางวัน ตรีเพ็ชร คงคงสวาหะ อมเอิกเกริกไตรภพ ตลบบาดาลเหาะทยานบนอากาศ หมู่อสูรขยาดมืดมัวกลัวกูอยู่ระย่อ ฤาษีเร้นซุกซ่อนนอนหลับอยู่กลางป่า ทั้งขโมดมายาทะยานเหาะมาช่วยกู หนุมานหลานพระวัยบุตร สัปประยุทธด้วยอินทรชิต ประสิทธิสรรพางค์ล้างมาร มัดตนได้เอาไปถวายแก่ราพย์เจ้ากรุงลงกา หมู่อสูรยักษาจะฆ่ากูก็บ่อมิตาย ด้วยเดชะพระนารายณ์ จุติลงมาบังเกิด นะโมพุทธายะ ตรีเพ็ชรคงคง อิติปิโสภควาเกษาผม อยู่ทั่วไปในกายตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง อิติปิโสภควา โลมาขนอยู่ทั่วในกายตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง อิติปิโสภควาตะโจหนังหุ้มห่อตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง อิติปิโสภะคะวา มังสังเนื้ออยู่ทั่วในกายตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง อิติปิโสภควา นหารูเอ็นอยู่ทั่วในกายตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง อิติปิโสภควา อัตถิกระดูกอยู่ทั่วในกายตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง คงด้วยนะโมพุทธายะ  พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา บิดารักษา มารดารักษา พระอินทร์รักษา พระพรหมรักษา ครูบาอาจารย์รักษา อิมังกายาพันธนังอธิฏฐามิ ฯ

คาถาโองการมหาทมื่น : คาถาโองการมหาทมื่น เป็นพระคาถาโบราณ ภาวนาด้วยจิตที่เป็นสมาธิ จะเป็นคงกระพันชาตรียิ่งนัก จะใช้ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง เสกข้าวกิน เสกได้สารพัดแล

เมื่อท่องคาถาโองการมหาทมื่นได้แล้ว จะเรียนอีกท่านจะให้คาถา “มงกุฎพระพุทธเจ้า” โดยท่านเรียกว่าคาถาโองการพระพุทธเจ้า ท่านว่าคาถานี้จะทำการใดก็สำเร็จ เรียนบทนี้บทเดียวใช้ได้สารพัด เล่ากันว่า หลวงปู่เอี่ยมวัดหนังเคยประทานให้พระบาทสมเด็จพระปิยะมหาราช ตอนเสด็จประพาสยุโรป (เข้าใจว่าประเทศฝรั่งเศส) ให้เสกหญ้าให้ม้ากิน ม้าจะเชื่องได้ ภายหลังเมื่อมีการหล่อรูป ยังได้หล่อรูปตอนพระองค์ทรงม้า เล่ากันว่า หลวงพ่อทองเขากบ หลวงปู่ไข่บพิตรพิมุข หลวงปู่ดีวัดเหนือ ก็ใช้คาถาบทนี้เช่นกัน จะขอเล่าอภินิหาร ซัก ๑ เรื่อง ส.ท.ผดุง  ศรีไกร  เป็น ตชด. ได้ลาดตระเวน และถูกข้าศึกซุ่มยิงโจมตี ตชด.ที่ไปด้วย ๑ หมู่ ตายทั้งหมด แกเองก็โดนยิงแต่ไม่เข้า เวลานั้นเป็นเวลากลางคืน ข้าศึกได้มาเคลียร์พื้นที่ มีไฟฉายส่อง ข้าศึกมาเต็มไปหมด แกจะหนีก็หนีไม่ทัน เพราะกำลังเจ็บจุก แกคลานเข้าไปนอนในกอหญ้าแล้วระลึกถึงหลวงพ่อกวย บนบวช ๗ วัน และยึดกอหญ้าภาวนาคาถานี้ ปรากฎว่าข้าศึกได้เดินวนรอบตัวแกเต็มไปหมด แต่ไม่เห็นแก ทั้ง ๆ ที่กอหญ้าเล็กนิดเดียว ขาแกโผล่ออกมาด้วยซ้ำ ภายหลังแกได้มาบวชแก้บนที่วัดหลวงพ่อ ผมเลยได้มีโอกาสพูดคุยกับแก

พระคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า

"อิติปิโสวิเสเสอิ อิเสเสพุทธะนาเมอิ อิเมนาพุทธะตังโสอิ อิโสตังพุทธะปิติอิ"

เมื่อศิษย์ได้คาถาสองบทนี้แล้ว ก็จะเรียนอีกท่านจะสอนวิปัสสนา แต่ถ้าศิษย์คนนั้น ต้องมีความจำเป็นจะต้องเข้าป่าลึก มีผี ปีศาจมาก ท่านจึงจะให้คาถา อาวุธ ๕ อย่าง คือ สักกัสสะฯ

อภินิหารในวัตถุมงคล

ต่อไปนี้จะกล่าวถึงอภินิหาร ในวัตถุมงคลของหลวงพ่อ ผมจะแบ่งออกเป็น ๒ ยุค คือ ยุคแรกได้แก่ เหรียญรุ่น ๑ รูปหล่อรุ่น ๑ ปลัด พระพิมพ์สรรค์ สมเด็จหลังรูปเหมือน แหวนแขน มีดหมอ ยุคหลังคืออภินิหารวัตถุมงคลรุ่นสุดท้ายที่กำลังมีอยู่ และกำลังจะหมดไปได้แก่ เหรียญ กุมารทอง รักยม ผ้ายันต์ค่ายกล นกคุ้ม ฯลฯ วัตถุมงคลชุดสุดท้ายนี้ กุมารทอง รักยม และผ้ายันต์ค่ายกล ได้หมดไปจากวัดแล้ว

๑.เหรียญรุ่นแรก เป็นเหรียญกลมขนาดใหญ่ จัดสร้างโดยบุตรบุญธรรมของท่านคือ พ.ต.ท.ละออง  สุขนิล  สวป.สภ.อ.สรรคบุรี สร้าง พ.ศ.๒๕๐๖ สร้างทั้งหมด ๕,๐๐๐ เหรียญ ครั้งก่อนผมบอกไว้ ๑,๐๐๐ – ๒,๐๐๐ เหรียญ เป็นการกะโดยประมาณแท้จริงแล้วสร้าง ๕,๐๐๐ เหรียญ เป็นเหรียญที่ได้รับความสูงมากในท้องถิ่น ขนาดประวัติท่านไม่เคยลงในหนังสือพระเครื่องมาก่อน เหรียญท่านสวย ๆ มีคนเช่าหากันถึง ๔ – ๕๐๐๐ง-บาท

จะขอเล่าอภินิหารเพิ่มเติมไว้ ดังนี้

๑.๑ ต้านขวดโซดา

เรื่องนี้เกิดขึ้นกับ นายเจื่อง ทับบุรี เป็นทหารอยู่ รพ.พระมงกุฎเกล้า ส.อ.เจื่อง บ้านเดิมอยู่บ้านเดียวกับผม มีเหรียญหลวงพ่อกวยรุ่นแรก ๑ เหรียญ คล้องคอเป็นประจำ วันหนึ่งไปเที่ยวบาร์เกิดเมาและวิวาทกับเจ้าถิ่น ปรากฎว่าโดนตีด้วยขวดโซดาและแทงด้วย โดนแทงด้วยขวดโซดาแต่ไม่เข้าเลย ไม่ได้โดนครั้งเดียว แกเคยโดนแทงหลายครั้ง และเคยไปรบเวียดนามมาแล้วคนอื่นตาย แต่แกรอดมาได้ ครั้งที่แกไปรบ แกก็ไปหาหลวงพ่อกวยมาเช่นกัน



๑.๒ ต้านลูกปืน

ผมเองไม่ค่อยนับถือใครง่าย ๆ สมัยก่อนชอบลองของเป็นที่สุด ผมเคยนำเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อเอาไปทดลองยิงด้วยปืน ครั้งแรกกลัวปืนแตกได้ใช้จอบ มาบังหน้าเอาไว้ (มานะเหลือเกิน) แต่พอยิงเข้าจริง ๆ ปรากฎว่ายิงออกแต่ไม่ถูก เลยไม่ต้องใช้จอบบัง คราวนี้ยิงใกล้ ๆ เลย ประมาณคืบเดียว เหรียญหลวงพ่อโตกว่าเหรียญห้าบาทซะอีก แต่ยิงไม่โดนเลยซักนัดเดียว (ยิงหกนัด) ปรากฎว่าปากกระบอกปืนบวมเลย ปืนกระบอกนี้ยังอยู่ที่ผม ถ้าใครมาหาผมจะขอดูก็ได้(แต่ต้องดูช่วงภรรยาผมกับบิดาผมไม่อยู่นะ) และภายหลังปืนกระบอกนี้ยิงอะไรก็ไม่ถูก เสียปืนไปเลย


๒. รูปหล่อรุ่นแรก

หลวงพ่อได้สร้างรูปหล่อเล็กเอาไว้ ๒ รุ่น รุ่นแรกไม่มีกริ่ง รุ่นสองมีกริ่ง รูปหล่อบูชา ๕ นิ้ว ก็เช่นกัน รุ่นแรกบอก พ.ศ.๒๕๑๘ รุ่นที่สองไม่มี พ.ศ. บอก หลวงพ่อปลุกเสกทั้งสองรุ่น ส่วนรูปหล่อใหญ่เท่าองค์จริง หลวงพ่อสร้างเองสร้างก่อนมรณภาพ

จะขอกล่าวถึงอภินิหาร รูปหล่อรุ่นแรกเพิ่มเติมดังนี้

๒.๑ นายคิ้ม บุตรชายร้านแสงเจริญ ตลาดท่าช้าง แกยิงปืนสั้นได้แม่นยำมาก แกทราบว่าผมก็ยิงปืนแม่นเช่นกัน แต่แกไม่เชื่อแกถามผมว่า ทราบว่า ผมยิงกระรอก นก โดยใช้ปืนสั้นยิง จริงเท็จแค่ไหน ผมก็บอกว่าจริง แต่ผมไม่ค่อยได้ยิงเท่าไร แกขอท้าผมลองยิง คนก็มาก ผมเลยตัดสินใจรับคำท้า พอรับคำท้าแล้วก็ไม่สบายใจ เสือสองตัวกัดกันต้องมีแพ้ตัวหนึ่งเป็นธรรมดา ผมเลยไปหาแกที่ ๆ แกซ้อมยิงที่เขาใหญ่ ตอนนั้นเขาเปิดอบรม ทส.ปช. ความจริงผมกลัวแพ้แกมากกว่า ผมไปถึงผมบอกให้แกขยับออกไปอีก ห้าเมตร โดยผมเป็นคนจัดการเองพร้อมแผนการทั้งหมด ผมปลดรูปหล่อเล็กรุ่นแรก เอาแขวนติดไม้ แล้วเอาไม้แหย่เข้าไปด้านหลังของเป้า ตรงวงดำ ผมบอกแกให้แกยิงดู ปรากฎว่าแกยิง ๖ นัด ไม่เข้าเป้าวงดำเลย แกงงมาก ผมเลยเกทับแกไปว่า ถ้ายิงแบบนี้ละก็ อย่ามาลองกับผมเลย แล้วผมก็แอบไปปลดรูปหล่อคืน

รูปหล่อรุ่นแรกนี้ ผมเคยนำไปทดลองอีกครั้งหนึ่ง ปรากฎว่ายิงออกเช่นกัน แต่ไม่ถูกพระและไม่ถูกเสา แต่รูปหล่อได้หายไปเฉย ๆ ซึ่งแปลกมาก

๒.๒ กำบัง
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับนายเต๋า บ้านอยู่ท่าทอง นายเต๋า ได้ไปขุดพลอยที่จันทบุรี เกิดไปชอบสาวขุดพลอยด้วยกันความรักถึงขั้นสุกงอม แต่พี่ชายของสาวเจ้าไม่เห็นด้วย พยายามขัดขวางทุกวิถีทาง ครั้งสุดท้ายได้ส่งคนมาฆ่าจะฆ่าให้ตาย นายเต๋าไหวทันได้หลบรอดออกมาได้ รุ่งเช้าจึงได้เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า อำลาสาวคนรักและบ่อพลอย นายเต๋าเล่าว่าทางเข้าและทางออกบ่อพลอยมีทางเดียว แกสังหรณ์ในใจว่าแกอาจจะถูกเก็บ คือถูกฆ่าให้ตาย ขณะขึ้นรถออกมาก็ได้แกนึกถึงรูปหล่อรุ่นแรกในคอของหลวงพ่อกวย ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัย ขณะนั่งมาในรถมีมือปืนขึ้นมา ๒ คน ระหว่างทางแกคิดว่าวันนี้แกต้องตายแน่ ๆ มือปืน ๒ คนนั้น มองทุกคน แต่พอมาถึงแกก็มองผ่านไปเหมือนจำไม่ได้ มือปืน ๒ คน ได้มองทุกคน มองถึง ๓ เที่ยว แต่จำแกไม่ได้ มือปืน ๒ คนนั้นเลยลงรถ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก ปัจจุบันที่คอนายเต๋าคล้องรูปหล่อรุ่นนี้เลี่ยมนาค เป็นประจำ


แล้วแต่จะขอไปทางไหน

วัตถุมงคลของหลวงพ่อ ที่หลวงพ่อบรรจงสร้างเอาไว้นั้น พอจะแยกออกเป็น ๒ แบบคือ เน้นไปทางทำมาหากินแบบหนึ่ง วัตถุมงคลประเภทนี้โดยมากจะเป็นพระสมเด็จ พระเนื้อผง ผ้ายันต์ธงสิวลี สีผึ้ง ตะกรุดเมตตา ส่วนอีกประเภทหนึ่งเน้นไปในทางคุ้มครอง โดยมากจะเป็นชนิดโลหะ เช่น เหรียญรุ่นต่าง ๆ ตะกรุด มีดหมอ ผ้ายันต์กันอาวุธ ตะกรุดกันอาวุธ รูปถ่ายและที่เด็ดขาดรุนแรงไม่แพ้ของราคาแพงคือ พิมพ์สรรค์ พระชุดนี้ดีเลิศ ชนิดบู๊ล้างผลาญเลย แต่เป็นเรื่องแปลกคือวัตถุมงคลของท่านชนิดเดียวแต่สามารถใช้ได้นึกอธิษฐานใช้ได้ทุกทาง อยู่ที่ใจเราจะนึกจะคิดเอา เช่น จะให้เป็นไปในทางเมตตาก็ได้ จะให้เป็นไปในทางแคล้วคลาด มหาอุดก็ได้ ถ้าเป็นอาหารก็เหมือนอาหารที่ท่านปรุงเอาไว้ เปรี้ยว เผ็ด หวาน เผลอ ๆ มีเค็มมีมันผสมอยู่อีก อันนี้เข้าใจว่าอยู่ที่ระยะเวลาในการปลุกเสกวัตถุมงคลของท่าน ท่านมีเวลาปลุกเสกมาก เวลาปลุกเสกก็วงสายสิญจน์ล้อมรอบของเก่าไว้อีก วัตถุมงคลบางอย่างปลุกเสกเป็นสิบ ๆ ปี บางอย่างเกือบสิบปี ซึ่งไม่เหมือนหลวงพ่อองค์อื่นซึ่งผมขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ผมเคยพบผ้าขอดมงคลสวมแขนที่ท่านทำไว้ให้ โผน กิ่งเพชร แต่โผน กิ่งเพชร ไม่มาเอา ตอนที่โผน กิ่งเพชร ชกกับเปเรส (กิ่งไผ่) ผมยังเรียนอยู่ชั้นประถม ๓ ผมเคยพบพระหินแกะ พระกระเบื้องแกะที่ท่านแกะตั้งแต่สมัยยังหนุ่มอายุ ๓๐ กว่า ๆ และเคยพบพระของท่านในบาตรที่ท่านปลุกเสกเอาไว้ เป็นพระเนื้อดินยุคแรกที่ท่านแจกไม่หมด สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๔๘๔


จะขอเล่าเพื่อบันทึกว่า วัตถุมงคลของท่านนั้น แล้วแต่จะอธิษฐานไปทางไหน เอาไว้สักเล็กน้อย

เรื่องแรก เป็นเรื่องของรูปถ่ายหลังจีวร ซึ่งจำหน่ายในงานฝังลูกนิมิต ราคา ๒๐ บาท คนจนมีสิทธิ์เช่าบูชาเอาไว้ใช้กันมาก รูปทำไว้มาก ปกติรูปรุ่นนี้มีอานุภาพทางคงกระพันชาตรี มหาอุด แคล้วคลาด ขนาดคนหนองหิน อ.สรรคบุรี เชื่อและเกรงกลัวกันมาก คือที่หนองหินนี้มีการเล่นไฮโล บางครั้งเจ้ามือเสียจะเอาเงินคืน เขาจะให้ลูกน้องไปดักกลางทางแล้วเอาปืนยิงให้ตาย มีอยู่ ๒ ครั้ง เจ้ามือเสียได้ใช้วิธีนี้ บังเอิญคนเล่นเป็นศิษย์ของหลวงพ่อมีรูปหลังจีวรคล้องคออยู่ ผลคือยิงไม่อยู่ ได้ชักปืนยิงลูกน้องเจ้ามือซะเลือดสาด เจ้ามือเลยเข็ด ลูกน้องก็เข็ด คนแทงไฮโลก็พวกเสือ สิง กระทิง แรด อยู่แล้ว ภายหลังเจ้ามือคนนี้ก่อนจะเก็บใครต้องให้ลูกน้องไปดูในคอคนที่จะเก็บว่า มีพระอะไรของหลวงพ่อหรือเปล่า ถ้ามีเช่น มีรูปถ่ายหลังจีวร เจ้ามือก็จะตัดใจ พูดว่าปล่อยมันไป

ครั้งหนึ่งคนใกล้บ้านคุณพี่สำราญรักแหลมทอง คนที่ทำบุญมูลนิธิ คนแรก ๑ หมื่นบาท คนใกล้บ้านจะไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น โดยใช้พลาสปอร์ตและวีซ่าของคนอื่น แต่ก็ไปไม่ได้สักที ทั้ง ๆ ที่เขามีพระเครื่องที่ดีเลิศทางแคล้วคลาดสูงมาก ติดตัวไปคุณพี่สำราญนึกได้ ได้นำรูปหลังจีวรเอาไปให้ติดตัว ให้บอกเล่าท่านทุกวัน ประมาณ ๗ วันได้ คราวนี้ไปได้เลย
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 02, 2013, 11:58:03 am
570

เป็นเลขจำนวนเงินสามตัวท้ายของยอดกฐินปีนี้

หวยออก 795 น่าเสียดายจัง
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลังจารเฑาะว์ และ นะ มะ อะ อุ
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 06, 2013, 08:45:52 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๖๑

วันที่ ๒๕ ต.ค. – ๕ พ.ย.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



20 ต่อ 1

จดหมายจากคุณไพศาล ชัยสกุล
แผนกช่างโยธา ค่ายธนะรัตน์ อ.ปราณบุรี
จงประจวบฯ ๗๗๑๖๐

เรียนคุณเฒ่า สุพรรณ ที่นับถือ

ก่อนอื่นผมต้องขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อ ส.อ.ไพศาล  ชัยสกุล บ้านเดิมอยู่ที่ จ.สิงห์บุรี ปัจจุบันผมมารับราชการที่ จ.ประจวบฯ ผมก็ลูกศิษย์ของหลวงพ่อกวย คนหนึ่งคือ ผมได้รับการสักยันต์จากอาจารย์ทรง วัดแหลมคาง และให้หลวงพ่อกวยเป็นผู้ปลุกเสกให้ ที่ผมสักก็มีหลายอย่าง เช่น หนุมานออกรบ สิงห์ เสือ หงส์ ทุกครั้งที่อาจารย์ทรงสักเสร็จ ผมต้องไปหาหลวงพ่อกวยปลุกเสกทุกครั้ง ผมเชื่อในพุทธคุณของหลวงพ่อกวย เพราะเมื่อปี ๒๕๒๒ กระผมมาทำงานอยู่กรุงเทพฯ พักอยู่บ้านพักแถวสะพานพระราม ๖ ในซอยนั้นมีวัยรุ่นมาก และก็พวกติดยาทุกครั้งที่ผมเดินเข้าบ้านจะถูกกลั่นแกล้งเรื่อยไป จนมีอยู่ครั้งหนึ่งผมทนไม่ไหวจึงได้ใช้มีดแทงเขาไป แล้วผมก็หนีออกจากซอยนั้นเป็นเวลานานหลายเดือน ผมกลับเข้ามาซอยนั้นอีกครั้งเมื่อรู้ว่าน้าผมป่วย พอพวกเขารู้ว่าผมมา พวกเขาก็มาดักที่ปากซอยเพื่อทำร้ายผม ประมาณเที่ยงคืนผมก็ออกจากซอยคุณเฒ่ารู้ไหมพวกมันเหมือนหมาล่าเนื้อไม่ผิด ประมาณ ๒๐ กว่าคนรุมผมทั้งมีด ไม้ มือ เท้า สารพัด ต่อจากนั้นผมก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย จำความอะไรไม่ได้ เหมือนกับฝันว่ามีพระองค์หนึ่งมาลากผมออกจากคูน้ำ ตอนเช้ามีคนมาพบผมเขาบอกว่าตัวผมอยู่ในคูน้ำ แต่หัวเกยอยู่บนฝั่ง และพาผมไปส่ง ร.พ. หมอบอกร่างกายไม่เป็นอะไรเลย แต่สมองกระทบกระเทือนมากต้องพักผ่อนสักระยะหนึ่ง ถ้าวันนั้นผมไม่ใช่ลูกหลวงพ่อกวยป่านนี้คงไม่มีชีวิตอยู่ถึงปัจจุบัน   

แต่ที่ผมเขียนมานี้ผมไม่เคยมีวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยเลย เพราะทุกครั้งไปก็ไม่เคยออกปากขอจากหลวงพ่อสักครั้ง มีแต่รูปในหนังสือโดยมิได้ผ่านการปลุกเสกผมก็เอาใส่กรอบไว้บูชา ถ้าคุณเฒ่ามีเหรียญหรือพระสมเด็จหรือวัตถุมงคลต่าง ๆ ของหลวงพ่อกวยมากพอจะแบ่งให้ใช้ได้ผมขอความกรุณาแบ่งให้ผมใช้บ้างนะครับ เพราะอยู่ทางโน้นในราชการสนามก็อยากได้ที่พึ่งทางใจบ้างโดยเฉพาะวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวย

สุดท้ายนี้ขอให้คุณเฒ่าประสบแต่ความสำเร็จ หวังสิ่งใดก็ได้ตามใจหวังนะครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง
ลูกหลวงพ่อกวย
ไพศาล  ชัยสกุล



วัตถุมงคล รุ่นฝังลูกนิมิต พ.ศ.๒๑

เรื่องที่ ๓๕ นายวุฒิ เป็นคนบ้านแค ถามคนบ้านแค เขาจะรู้จักดี เขาไปทำมาหากินที่กรุงเทพฯ คือรับจ้างขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้าซอย รู้สึกว่าอาชีพนี้ปัจจุบันทำเงินได้ดีทีเดียว วันหนึ่งได้ตก ๓๐๐ บาท อาชีพอิสระดีมีสาว ๆ ซ้อนท้าย ถ้าไม่ใส่เสื้อติดเบอร์ผมว่าคนอื่นคงอิจฉาน่าดู วันหนึ่งเขามาเที่ยวบ้านที่บ้านแค วัยรุ่นเดี๋ยวนี้เขาขี่รถไม่เหมือนวัยรุ่นสมัยก่อนรถเดี๋ยวนี้ขี่ได้เร็ว เวลาปิดสตราทออกจากที่นี่เสียงเร่งดัง ต๋าย ๆ ๆ ตาย ๆ ๆ ชัดหูเลย แต่ก็ดีไปอย่างเวลาเกิดอุบัติเหตุ ไม่ต้องส่งโรงพยาบาล ส่งขึ้นเมรุไปเลย วันนั้น(ปี ๒๕๓๗) นายวุฒิ ขี่รถออกจากบ้านแค จะไปไหนไม่ทราบแน่ชัด แต่พอเร่งเครื่องเท่านั้นคนแก่บางคนยกมือท่วมหัวเลย พอรถวิ่งถึงโค้งตาบาง ไม่ไกลนัก รถหลุดโค้งชนเสาหลักกันหลุดโค้งหักกระเด็น เหล็กไส้ในเสาขาดเลย รถเละใช้การไม่ได้ แต่นายวุฒิกระเด็นกลิ้งไปเลย ๆ ไม่เป็นอะไรเลยในคอคล้องเหรียญทองแดงโล่หลังยันต์รุ่น ๓ เพียงเหรียญเดียว แต่คนตามนั้นเขาไม่ตื่นเต้นเท่าไร หลังจากเขามาขอดูพระเพียงแต่เขาบ่นเสียดายรถ

เรื่องที่ ๓๖ เรื่องนี้เป็นเรื่องของบุตรชายของท่าน พลอากาศโท สุรเชษฐ น้อยจันทิระ เข้าใจว่าบ้านอยู่กรุงเทพฯ ท่านเป็นทหารอากาศความจริงท่านเป็นถึงระดับนายพล พระที่ท่านและบุตรชายของท่านสมควรจะใช้น่าจะเป็นวัดระฆัง หรือพระวัดบางขุนพรหม บุตรชายของท่าน ท่านกลับให้คล้องเหรียญหนุมานยกธงรบ เป็นวัยรุ่นใจร้อนด้วย เรียนช่างกลอีก วันหนึ่งบุตรชายท่านไปโดนนักเรียนช่างกลคู่อริฟันด้วยมีด ฟันตั้งแต่คอลงมาถึงกลางหลังไม่เข้าเลย และไม่ยอมบอกพ่อ ท่านเพิ่งจะมารู้ในภายหลัง ทราบว่าเสื้อขาดเลย ท่านเลยศรัทธามาหาบูชาพระแหวกม่านให้ลูกคนโต ภายหลังท่านมาพบผม ท่านบอกหลังจากลูกชายได้บูชา(คล้อง)พระแหวกม่าน เจ้านายรักเหมือนลูกเลย เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย

วัตถุมงคล รุ่นฝังลูกนิมิต พ.ศ.๒๑ ผมจะขอกล่าวถึงวัตถุมงคลรุ่นก่อนรุ่นสุดท้ายอีกสักครั้งหนึ่ง เข้าใจว่าคงจะเป็นครั้งสุดท้ายจริง ๆ วัตถุมงคลรุ่นนี้ออก พ.ศ.๒๕๒๑ ในงานฝังลูกนิมิต ที่เด่นชัดและมีอภินิหารมากคือรูปถ่ายหลังจีวร รูปถ่ายหลังจีวรได้สร้างโดยใช้กระดาษ ๒ แบบคือ แบบด้าน ๆ เรียบ ๆ แบบนี้ดูง่าย แต่เดิมไม่ได้ประทับตราวัด บางรูปก็ไม่ได้ใส่จีวร อีกแบบหนึ่งเป็นกระดาษขรุขระ แต่กระดาษชนิดที่ ๒ นี้ แมลงสาปไม่แทะ แต่เดิมวัดได้เลี่ยมโดยช่างโหล ไม่สวย ที่จีวรตีตราอักขระ ๔ หรือ ๕ ตัว ผมจำไม่ได้ รูปชุด ๒ นี้ดูยาก แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบัน บางส่วนก็สามารถทำกระดาษเรียบ ๆ ได้เช่นกัน เมื่อรูปรุ่นเลี่ยมพลาสติกหมดไปจากวัด ทางวัดยังมีรูปชนิดไม่ได้เลี่ยมอีกมากเป็น ๔-๕๐๐ รูป ทางวัดได้นำมาเลี่ยมใหม่ ใช้พลาสติกสีขาว อยู่ต่อมาจึงเลี่ยมด้วยพลาสติกแบบเดิม รูปรุ่นนี้หลวงพ่อตั้งใจทำให้ดีที่สุด โดยนำผ้าสังฆาฏิผืนที่ท่านปลุกเสกใช้ประจำตัว ตั้งแต่สมัยที่ท่านเริ่มเรียนวิปัสสนาพรรษาที่ ๘ อายุ ๒๘ ผ้าผืนนี้ท่านปลุกไว้ป้องกันตัว ถ้าไปกับศิษย์เช่น หมอเฉลียว เดชมา ท่านจะให้หมอเฉลียวถือเอาไว้ป้องกันตัว คือการปลุกเสกของบางครั้ง ก็มีพระมาลองวิชากันเหมือนกัน บางครั้งทำอาจารย์ไม่ได้ ก็จะทำศิษย์ แต่บางครั้งท่านก็เสกบุหรี่ให้ศิษย์สูบป้องกันตัว ผ้าผืนนี้ท่านปลุกเสกจนถึง พ.ศ.๒๕๒๑ ยาวและนาน ท่านให้ผ้าผืนนี้นำไปให้ศิษย์นำไปตัดติดกับรูป แต่ศิษย์ที่ท่านให้ไปทำก็ฉลาดพอตัว เมื่อรับไปแล้ว ๒-๓ วัน ได้มาบอกกับท่านว่าผ้าสังฆาฏิไม่พอท่านเลยเสกผ้าจีวรที่ท่านห่มอยู่ให้นำไปตัดติดแต่ศิษย์คนนั้นได้นำผ้าสังฆาฏิเก็บเอาไว้เอง นับว่าฉลาดมาก รูปรุ่นนี้จำหน่ายไม่แพงเลี่ยมเสร็จจำหน่าย ๒๐ บาท รูปรุ่นนี้ได้นำไปขยายขนาดโปสการ์ด (รูป ส.ค.ส.) จำหน่าย ๒๐ บาท เช่นกัน จำนวนการสร้างผมไม้รู้

วัตถุมงคลอีกแบบหนึ่งคือ เหรียญโล่กะไหล่ดำ บางเหรียญก็กะไหล่ออกเป็นสีน้ำตาล มีตำหนิ คือมีรอยขี้กลาก ด้านขวามือท่าน อาจารย์สมาน วัดหัวเด่น บอกว่าสร้าง ๔๐,๐๐๐ เหรียญ (สี่หมื่นเหรียญ) ส่วนรอยขี้กลาก เข้าใจว่า ช่างได้นำบล็อก หลวงพ่อองค์อื่นมาดัดแปลงแก้ไข แต่ไม่ลบรอยขี้กลาก เมื่อช่างนำมาให้หลวงพ่อดู ท่านบอกว่าดี จะได้ปลอมยากหน่อย ท่านไม่รู้ว่าเหรียญเขาตอกโค้ตกันปลอมได้ เหรียญรุ่นนี้มีกะไหล่ทองด้วย แจกให้เฉพาะกรรมการทำบุญข้าวสาร ๑ กระสอบ ราคาจำหน่ายในงาน ๒๐ บาท ถูกกว่าวัดอื่น ๑๐ บาท

เหรียญอีกแบบหนึ่งเป็นรูปโล่เหมือนกับเนื้อทองแดง แต่เป็นเนื้ออัลปาก้า ด้านหลังเป็นรูปหนุมานยกธงรบ สร้างจำนวน ๒๐,๐๐๐ เหรียญ แต่เดิมแจกให้เฉพาะกรรมการผ้าป่า ๑๐๐ บาท เมื่อหลวงพ่อเห็นเข้าท่านชอบใจ ท่านให้ปั๊มเพิ่ม เหรียญรุ่นนี้มีเนื้อกะไหล่ทองแจกให้กรรมการทำบุญข้าวสาร ๑ กระสอบ ราคาจำหน่าย ๑๐๐ บาท เงินในปี พ.ศ.๒๕๒๑ เงิน ๑๐๐ บาท ถือว่ามาก จึงไม่ค่อยมีคนเช่า ประสบการณ์เลยน้อยกว่าเหรียญทองแดง แต่ในปี ๒๕๓๗ นี้ ประสบการณ์พอ ๆ กัน ปัจจุบันมีปลอมแล้ว

เหรียญอีกแบบหนึ่งเป็นเหรียญรูปพุ่มข้าวบิณฑ์ แกะแม่พิมพ์ได้สวยกว่าเขา จำหน่าย ๒๐ บาทเช่นกัน สร้างจำนวน ๑๐,๐๐๐ เหรียญ รมสีนาค ประสบการณ์มีไม่มาก แต่ปัจจุบันมีปลอมแล้ว เหรียญ ๓ แบบนี้รวมทั้งรูปหลังจีวร รูปโปสการ์ดสร้างพร้อมกัน เรียกว่าเหรียญรุ่น ๓ หลังงานฝังลูกนิมิตไปแล้ว วัตถุมงคล ๔ – ๕ แบบนี้ยังเหลืออยู่ที่วัดหลายอย่าง เช่น แหวนนิ้วนะตัวเดียว เป็นนะที่หลวงพ่อเดิมเคยใช้ ใต้ท้องวงตอกโค้ตอิติ ย่อมาจาก อิติมานิ หรือ อิติปิโส ผมไม่รู้ว่าเป็นคาถาอะไร แหวนจำหน่าย ๑๐ บาท สมเด็จชนิดสั่งทำก็มีเหลือ ๓ – ๔ แบบ ผ้ายันต์ก็มีเหลือ ๓ – ๔ แบบ หลังจากที่ประวัติของหลวงพ่อลงในหนังสือ วัตถุมงคลชุดนี้มีคนมาบูชากันมาก(หมายเหตุ : คาถา อิติมานิ เป็นคาถาของหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ ส่วนหัวแหวนหลวงพ่อใช้นะของหลวงพ่อเดิม ปัจจุบันจาก ๑๐ บาท มีคนเช่ากันเป็นร้อยบาท)

วัตถุมงคลชุดที่เหลือนี้ โดยเฉพาะเหรียญ หลวงพ่อใช้เวลาปลุกเสกตกปีกว่าขณะป่วยอยู่ ๑ เดือน ถ้าไม่มีแขกมารบกวนท่าน ท่านจะนอนจับสายสิญจน์ทั้งกลางวันกลางคืน ท่านคงอยากจะให้สิ่งที่ดีแก่ศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย เหรียญทองแดงท่านใส่ยันต์หัวใจยันต์มหากาฬ เหรียญพุ่มท่านใส่ยันต์หลวงพ่อศรี ส่วนเหรียญหนุมานท่านเรียนมาจากครูลุน ครูเพ็ง อาจารย์แหล่ม วัดท่าช้าง เป็นศิษย์ในสายหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ส่วนแหวนนิ้วอีกแบบหนึ่งท่านใส่ยันต์ตาราง เป็นยันต์กันภัย ๘ ทิศ ตำราหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ เหรียญนี้ทั้ง ๓ แบบ เขาว่า ท่านลงคาถานะชาติ ๑๐ เป็นคาถาที่กันได้สารพัด ท่านลงโสทยะกันเชือดคอ คือท่านตั้งใจจะเอาเหรียญหนุมานแจกทหารชายแดน มีคนที่ชอบทางในจับพลัง หรือปลุกเสก คนที่จับพลังบอกแรงมาก ส่วนพระที่เอาไปให้ปลุกเสก ท่านพูดว่าเจ้าของเขาทำไว้ดีมาก ปลุกเสกไม่เข้าเลย คุณไพวัลย์ โรจน์สังวร ยืนยันเต็มที่

จะขอกล่าวถึงเหรียญหนุมานอีกสัก ๑ ครั้ง คือท่านทำมามาก ตก ๒๐,๐๐๐ เหรียญ ท่านตั้งใจจะแจกทหารชายแดน คือตอนนั้นประเทศเรากำลังมีปัญหาชายแดนและ ผกค.อยู่ ท่านได้ทำหนังสืออัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์ปัจจุบัน มาตัดลูกนิมิต ท่านเตรียมมีดหมอด้ามงาฝักงา ตั้งใจจะถวายในหลวงพร้อมเหรียญหนุมาน แต่หนังสือที่ทำไปเจ้าคณะจังหวัดไม่ยอมส่งต่อ เพราะต้องเตรียมงานมาก ท่านเคารพในหลวงมาก ก่อนงานฝังลูกนิมิตท่านทำปฏิทินรูปในหลวงแจก พร้อมโฆษณางานไปด้วย ปัจจุบันปฏิทินรูปในหลวงรุ่นนี้ใครนำไปใส่กรอบบูชามีแต่ความสุขความเจริญ เช่าหากันเป็นร้อยบาท แล้วแต่สภาพเพราะท่านปลุกเสกลงมนต์จินดามณีเอาไว้ให้คนมาเที่ยวงาน ท่านพูดว่าในหลวงของเราเป็นคนดี รักประชาชนเหมือนลูก ความดีของท่านที่มีต่อประชาชน ไม่มีพระมหากษัตริย์องค์ใดเทียบได้ ยกเว้นพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเท่านั้น เรื่องเหรียญหนุมานนี้ท่านพูดว่า ทำไว้ให้ทหาร “เอาไว้กู้ชาติ” แต่รูปแบบเหรียญโล่นี่ ผมบอกตรง ๆ ผมไม่ชอบแบบเลย แต่คนรุ่นใหม่เขาชอบ เหรียญโล่หลังหนุมานนี้ ปัจจุบันมีคนนำเอาเหรียญแท้ไปกะไหล่ทองใหม่ นำมาจำหน่ายแพงขึ้น ส่วนเหรียญอัลปาก้า มีคนหัวใสนำไปลบรอยขี้กลาก และเส้นขนแมวต้นขวามือท่าน แล้วนำมาจำหน่ายในราคาแพงขึ้น โดยอ้างว่าเหรียญที่มีเส้นขนแมวและรอยขี้กลากเป็นของเสริมคนที่ทำเขามาเล่าให้ฟัง เขาบอกหาหมูกิน กำไรเหรียญละ ๕๐๐ บาทก็ยังดี

ต่อไปจะขอเล่าอภินิหาร เพื่อบันทึกเอาไว้

เรื่องแรก นายแกว บ้านอยู่หนองแขม อ.สมัดบุรี จ.ชัยนาท ชื่อจริง เขาบูชาแหวนนิ้วกันภัยไป ๑ วง ใส่นิ้วมือเป็นประจำ เขามีอาชีพทำนา เลี้ยงวัว วันหนึ่งเขาไปหอบฟาง นำมาให้วัวกิน เขาไม่รู้ว่าในฟางที่หอบมานั้นมีงูแมวเซาอาศัยอยู่ จนกระทั่งเขาเอาฟางไปให้วัว งูจึงเลื้อยออกมา แปลกมากที่งูไม่เลื้อยออกมาขณะหอบฟางอยู่ นายแกวเล่าว่าถ้าไม่มีแหวนนิ้วของหลวงพ่อคงโดนงูกัดแน่นอน เรื่องคล้าย ๆ กันนี้เคยเกิดขึ้นกับพี่วินัย อิสริยะสุนทร บ้านอยู่ ต.บ่อสุพรรณ ติดนครปฐม เขาทำไร่ไผ่ตง เขาคล้องเหรียญรุ่นแรกอยู่ เดินเข้าไร่ไผ่ตง งูร่วงลงมาถึง ๒ ตัว คือตกจากยอดไผ่ตง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระยะเวลาใกล้เคียงกัน ดีแต่ว่าไม่ร่วงลงมาพันคอเท่านั้น

อีกเรื่องหนึ่ง เจ้าของเรื่องเป็นผู้หญิงชื่อ สมจิตร อภินันท์ทาภรณ์ บ้านอยู่ปากน้ำ ต.ปากน้ำ อ.เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี เขานับถือหลวงพ่อมาก เขาบูชาปลัด ๑ ตัว รอบ ๆ บ้านมีสวนเล็กน้อย เขาเดินผ่านต้นไม้งูแพ้อำนาจของปลัดได้ร่วงลงมาเฉย ๆ เคยเกิดขึ้น ๒ ครั้ง เจ้าของตกใจมาก เขาเป็นคนกลัวงูดีว่าไม่ตกลงมาพันคอ อีกครั้งหนึ่งเขานอนเล่นที่โซฟา นอนหงายตาไปเห็นแมงป่องช้างเข้า แมงป่องเข้าใจว่าแพ้อำนาจของปลัดได้พลัดตกลงมาเฉย ๆ เลย (เจ้าของเรื่องชื่อจริง นามสกุลจริง)

เรื่องที่สอง เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๔ ที่วัดมีงานศพ มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อคุณทิพย์ ชื่อจริง ๆ (เรื่องแรกนายแกวก็ชื่อจริง คุณพี่วินัยก็ชื่อจริงนามสกุลจริง) คุณทิพย์บ้านเดิมอยู่จังหวัดอยุธยา แต่มาช่วยงานศพ ที่วัดหลวงพ่อ ได้ขึ้นบันไดด้านท้ายศาลา บันไดเล็ก ๆ เพราะไม่ค่อยมีคนใช้ด้านท้ายศาลาหลังนี้ ได้รื้อกุฏิของหลวงพ่อเอามาปลูกบันไดก็เป็นบันไดเดิม คุณทิพย์ได้ขึ้นบันได ได้เดินสวนกับลุงทอดบันไดก็สูง ได้เลี่ยงกันเดิน บันไดไม่มีมือจับ คุณทิพย์เกิดเสียหลัก ตกลงมาปะทะกับไม้ที่กองเอาไว้หลายอัน ได้สลบไป คนที่มาช่วยงานที่รู้จัก ได้ร้องไห้เสียใจคิดว่าคุณทิพย์ตายแล้ว กำลังหารถจะไปส่งโรงพยาบาลเพื่อจะช่วยไว้ได้ แต่ทุกคนเชื่อว่าตายไปแล้ว สักพักคุณทิพย์ก็มีสติไม่เจ็บไม่ปวดเลย เดินได้เป็นปกติ ไม่มีรอยถลอกเลยแม้แต่น้อย คุณทิพย์บูชาเหรียญหนุมานยกธงรบเพียงเหรียญเดียว นับว่าหลวงพ่อรักษาชื่อเสียงของท่านอย่างสุดฝีมือทีเดียว

เรื่องที่ ๓ นายธรรมกับนายตี๋ ชื่อจริง ๆ บ้านอยู่โคนอน (ที่บ้านโคนอนนี้ เคยมีพระแตกกรุ เป็นพระพิมพ์สรรค์ เรียกว่าพระกรุวัดโคนอน) อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท นายตี๋กับนายธรรม ได้ไปทำงานก่อสร้างที่วัดโคบูน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี นายธรรมคล้องเหรียญทองแดงโล่ นายตี๋คล้องเหรียญหนุมาน วันหนึ่งไปเที่ยวบ้านสาว ๆ แถววัดโคบูน แต่สาวนี้มีคนหมายปองกันหลายคนเจ้าถิ่นเห็นนายธรรมกับนายตี๋มาหาสาวที่ตนรัก เกิดหมั่นใส่หมั่นตับขึ้นมา ได้รวมพวกมือดีไว้หลายคน ได้ไปแอบดักประชิดไม่ถึงวา เสียงปืนดังเหมือนจุดประทัด นายตี๋กับนายธรรมวิ่งหนีสุดตัวผลปรากฎว่า ปืน ๖ – ๗ กระบอกลูกตกเกือบ ๕๐ นัด ยิงนายตี๋กับนายธรรมไม่ถูกเลยแม้นัดเดียว นายตี๋กับนายธรรมนับถือหลวงพ่อเป็นชีวิตจิตใจ ปัจจุบันนายตี๋กับนายธรรมอยู่บ้านบางพระนอน อ.สรรคบุรี

เรื่องที่ ๔ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเหรียญหนุมาน แต่เป็นวิชาสักของหลวงพ่อคือสักหนุมาน ผมอยากบันทึกเอาไว้ เพราะคงไม่ได้เขียนเกี่ยวกับวิชาสักอีกแล้ว เจ้าของเรื่องคือนายฮั้ง บ้านอยู่โพธิ์งาม อ.สรรคบุรี เป็นเพื่อนกับนายโบ้บ้านอยู่กรุงเทพฯ ได้มาสักหนุมานกับหลวงพ่อตรงสีข้าง ทั้ง ๒ คน วันหนึ่งนายฮั้งกับนายเชป มีธุระจะต้องไปจังหวัดสิงห์บุรี ขับรถมอเตอร์ไซค์ ไปคนละคัน ระหว่างทางโค้งวัดยวด นายฮั้งเกิดเสียหลักรถคว่ำและไปไกลมาก มือนายฮั้งได้ไถไปกับถนนลาดยางแรงและไกลมาก แต่นายฮั้งไม่เป็นอะไรเลย แต่รถดูไม่ได้เลย นายเชปเห็นเข้า ได้มาถามนายฮั้งว่ามีดีอะไร นายฮั้งตอบว่าไม่มีอะไรมีหนุมานที่สักกับหลวงพ่อกวยเพียงตัวเดียว ต่อมานายเชปได้ขอร้องให้นายฮั้งพาไปสักหนุมานกับหลวงพ่อ ได้บูชาของหลวงพ่อแทบทุกอย่าง ปัจจุบันนายเชปมีรถตู้ให้เช่าฐานะดีมาก

นายฮั้งคนนี้ก่อนหลวงพ่อจะมรณภาพ หลวงพ่อได้เสกสายสิญจน์ผูกไว้ที่ข้อมือ เมื่อนายฮั้งไปเยี่ยมหลวงพ่อได้เอ่ยปากขอด้ายสายสิญจน์เส้นนั้นกับหลวงพ่อ หลวงพ่อตอบว่า “ไว้ให้กูตายก่อน มึงค่อยมาเอา” เมื่อหลวงพ่อมรณภาพมีการรดน้ำศพท่านมีศิษย์มือไวหลายคน กราบท่านที่เท้าเล็บติดมือ ไปกราบที่จีวรจีวรติดมือไปเลย กราบที่ศีรษะเกศาติดมือไปเลย กรรมการวัดก็จ้องมองดูอยู่แต่จับตัวไม่ได้ บางทีก็เกรงใจ บางคนก็มาขอเปลี่ยนจีวร เมื่อนายฮั้งมาปรากฎว่าสายสิญจน์ที่ผูกข้อมือท่านยังอยู่นับว่าแปลกมาก


๓๙๒/๖ สุทโธแฮร์ สยามสแควร์
ซอย ๕ ปทุมวัน กทม. ๑๐๕๐๐


๑๖ เม.ย.๓๑

สวัสดี อ.เฒ่า ที่รักและนับถือ

หลังจากที่ผมกลับมาจากทอดผ้าป่าแล้ว ผมก็มาเจอเหตุการณ์เกี่ยวกับอภินิหารของหลวงพ่อกวยดังนี้ คือ วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๓๑ ผมได้เอาเหรียญและพระสมเด็จแจกเขา ที่ผมขอให้เขาทำบุญ พอแจกไปพอดีเหรียญหมด ผมก็ขึ้นไปเอามาใหม่ ชั้น ๒ พอลงมาก็เจอเพื่อน เพื่อนผมเขาถามว่า มียาอะไรไหม ที่จะให้ลูกค้ากินหน่อยเพราะลูกค้านอนปวดท้อง บิดไปบิดมา รู้สึกว่าเป็นอย่างแรง เพราะเห็นเขากดท้อง แล้วกลั้นลมหายใจ แล้วบิดไปบิดมา ผมไม่รู้จะทำอย่างไร ในมือถือเหรียญรุ่นสุดท้ายลงมาด้วย จะเอาไปแจก เลยนึกขึ้นได้จะขอบารมีหลวงพ่อกวยนี่แหละรักษา ผมตักน้ำมาค่อนแก้ว แล้วยกมือขึ้นจบระหว่างคิ้ว แล้วบอกหลวงพ่อกวยว่า “ขอบารมีหลวงพ่อกวย พร้อมอิทธิฤทธิ์ บุญฤทธิ์ ของหลวงพ่อกวย จงช่วยรักษาเพื่อนผมซึ่งกำลังปวดท้อง ขอน้ำนี้เป็นยารักษาเพื่อนผมให้หายด้วยเถิด” แล้วผมก็เอาเหรียญใส่ไปในแก้วน้ำ แล้วยกแก้วน้ำขึ้นจบระหว่างคิ้ว แล้วบอกหลวงพ่อกวยอีกว่า “ด้วยอิทธิฤทธิ์ บุญฤทธิ์ ของหลวงพ่อกวย ขอให้น้ำนี้จงเป็นน้ำมนต์และเป็นยาอันศักดิ์สิทธิ์ ขอให้รักษาเพื่อนผมให้หายด้วยเถิด และเพื่อนผมคนนี้ก็ทำบุญผ้าป่างานนี้ด้วย ขอให้จงหาย ๆ ๆ” แล้วผมก็ให้เขาดื่มน้ำในแก้วบอกกับเขาว่า เอ้ากินซะยา เดี๋ยวก็หาย เขาก็ใจแข็งลุกขึ้นมาดื่มไปครึ่งหนึ่ง แล้วก็ลงไปนอนบิดอีกประมาณ ๒ – ๓ นาทีเห็นจะได้ ผมสังเกตเห็นเขาทุเลาลงไปมากแล้วเขาก็ลูกขึ้นมานั่ง ผมก็ให้เขากินอีก พอเขาดื่มไปอีกสักพัก ก็รู้สึกว่าหายปวดเป็นปลิดทิ้ง เขาถามว่าเอายาอะไรให้กิน ผมบอกว่าเอายาน้ำมนต์ของหลวงพ่อกวย เขาก็เห็นเหรียญอยู่ในแก้วเขาบอกว่ายอด ๆ ๆ แล้วยกมือไหว้พร้อมล้วงมือหยิบพระสมเด็จที่ผมแจกให้เขาไป แล้วพูดว่าผมต้องเอาไปเลี่ยมทอง แล้วจะต้องแขวนไปอเมริกาด้วย สมเด็จหลังเรียบองค์นี้ก่อนให้ผมก็ลองปลุกให้เขาดูแล้ว พอจบขึ้นหัวก็สั่นพรึบเลย ของหลวงพ่อกวยแรงมาก ของอาจารย์อื่นไม่แรงอย่างนี้เลย อย่างนี้ไม่เรียกอภินิหาร แล้วจะเรียกว่าอะไร

รักและเคารพ
เนื่อง แก้วพฤกษ์


ต่อไปเป็นบันทึกของนายแดง สว่างศรี นายแดงเป็นหลานผมเอง ถือของขึ้นมากเลย เคยบวชเณรที่วัดหลวงพ่อกวย ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ หลวงพ่อให้คาถามา ๒ ตัว สามารถเป่าแมงป่องให้หางตก และจับเอามาเล่นได้ เคยโดนล็อคคอ ยึดแขน แล้วโดนแทง ๓ ทีไม่เข้าเลย คล้องเหรียญรุ่นสุดท้ายเหรียญเดียว พี่นายแดงชื่อชู สว่างศรี ชาวบ้านเรียกแกว่า เสือชู หนังเหนียวมาก เป็นศิษย์หลวงพ่อรุ่นหลังเพียงคนเดียวที่ยืนยันว่า หลวงพ่อกวยศักดิ์สิทธิ์จริง เคยโดนฟันด้วยขวานพก โดนกระดูกไหปลาร้าไม่เข้าเลย ปัจจุบันบวมโน ขนาดเม็ดกระท้อนได้ ในคอมีเหรียญรุ่นสุดท้ายกับตะกรุดหัก ๆ ดอกเดียว นายชูคนนี้โดนยิงบ่อย ชนิดนับครั้งไม่ถ้วน ออกบ้างไม่ออกบ้าง ใจถึงมากขนาดมีมีดโต้เล่มเดียว ยังอาจหาญสู้กับปืน ปรากฎว่าปืนยิงไม่ติด แกเอามีดโต้ด้านแบนตบนักเลงคนนั้นฟันหักหมดทั้งแถบเลย นายแดงยังเล่าให้ฟังอีกว่า ที่วัดใหม่สามัคคีธรรม ภายหลังชาวบ้านเรียกวัดนี้ว่า วัดไฟไหม้ คือกุฏิวัดถูกไฟไหม้หมดเกือบทุกหลัง มีอยู่หลังเดียวที่ไฟไม่ไหม้ ปรากฎว่าที่เสากุฏิหลังนั้น มีตะกรุดหลวงพ่อกวย แขวนอยู่เพียงดอกเดียว วัดนี้ตั้งอยู่ ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี ถามคนดงคอนดูรู้เรื่องนี้ทุกคน

อีกเรื่องหนึ่ง นายรัตน์ เดชมา ไม่รู้ว่าไปทำอะไรอีท่าไหนเข้า โดนตำรวจยิงที่เช็คบุญมา ตรงทาง ๓ แพ่ง สุพรรณ สิงห์ ชัยนาท โดนยิงตรงอก ๒ นัดไม่เข้า โดนตรงทัดดอกไม้ ๑ นัด ไม่เข้าเช่นกัน ตรงทัดดอกไม้ลูกปืนได้กระเฉิดขึ้นบนตัดเส้นผมขาดเป็นทาง ในตัวมีเหรียญรุ่นสุดท้ายเหรียญเดียว ผมขอชมเชยตำรวจท่านนี้ยิงปืนได้แม่นยำมาก ขนาดอยู่คนละฟากคลอง โดนจุดตายทุกนัด

อีกเรื่องหนึ่ง ด.ช.วิสุทธิ กับเด็กหญิงบังอร เดี๋ยวนี้โตมากแล้ว เป็นพี่น้องกัน เกิดแย่งของกัน เด็กหญิงบังอรเป็นน้อง แย่งสู้ไม่ได้ ได้ไปหยิบมีดเหน็บหรือมีดปาดตาล ฟันพี่ชายลงกระหม่อมเลยเสียงดังโพล๊ะเหมือนผ่ามะพร้าว ปรากฎว่าไม่เข้าเลย ผมขาดเป็นทาง พี่น้องคู่นี้เป็นคนบ้านหัวเด่น
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 11, 2013, 11:33:45 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๖๒

วันที่ ๕ พ.ย. – ๑๕ พ.ย.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



ศิษย์หลวงพ่อ


ต่อไปจะกล่าวถึงศิษย์ของหลวงพ่อ เท่าที่ผมรู้จักเพื่อให้ท่านได้ทราบ และเป็นการเปรียบเทียบวิชา ว่าศิษย์ของท่านยังเก่งขนาดนี้ตัวท่านเองจะขนาดไหน และเป็นที่น่าเสียใจอย่างมากที่หลวงพ่อไร้ศิษย์สืบทอด ศิษย์ที่มีอยู่ล้วนแต่ได้วิชาจากหลวงพ่อคนละเล็กคนละน้อยเท่านั้น จะขอเริ่มแต่ศิษย์คนเล็กไปก่อน

๑. อาจารย์สำรวย  อคฺคปัญโญ เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ชาวบ้านเรียกท่านว่า อ.โม่ มีศักดิ์เป็นหลานหลวงพ่อโดยตรง อุปนิสัยดีมากใจคอกว้างขวาง หลวงพ่อรักมาก และได้ฝากฝังชาวบ้านให้ท่านเป็นเจ้าอาวาสต่อจากหลวงพ่อ บวชเณรตั้งแต่จบ ป.๖ ฝึกวิปัสสนากรรมฐานต่อหน้าศพหลวงพ่อ เกือบสิบปีมาแล้ว ตำรับตำราต่าง ๆ ของหลวงพ่อกวย อ.โม่ เก็บรักษาไว้ทั้งหมด อีกซักยี่สิบปี อ.โม่องค์นี้จะเป็นตัวแทนของหลวงพ่อกวย แม้ปัจจุบันท่านก็ถือของได้ขลังมาก

๒. อาจารย์แสวง วัดหนองอีดุก อ.สรรคบุรี ปัจจุบันอายุ ๖๐ ปีพอดี ลักษณะดีมาก ใหญ่โตเป็นหลานหลวงพ่อกวยอีกเช่นกัน ปัจจุบันท่านสร้างแหวนแขน และตะกรุดตามตำราของหลวงพ่อกวย ถักเองจารเอง ทำเองเช่นกัน

๓. หลวงตาจี๊ด เป็นชาวบ้านแคโดยกำเนิด ถือของได้ขลังมากทีเดียวบวชเมื่อแก่ หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรี บวชให้ จำวัดไม่แน่นอน นึกจะไปไหนก็ไป โดยมากไปกลางคืนเดินไปมืด ๆ ไม่ใส่รองเท้าย่ามใบนึง มีวิชาแก่กล้ามากขนาดนั้น “เสกก้อนหิน (หินลูกรัง) โยนลงน้ำ ลอยน้ำได้” พูดน้อย โดยมากไม่ค่อยพูด หิวเวลาไหนกินเวลานั้น ไม่ว่าจะค่ำมืด ดึกดื่น หิวเป็นกิน ใครถวายส้มกินส้ม ถวายโอเลี้ยงกินโอเลี้ยง เดินปลอกส้ม เดินถือโอเลี้ยงกินหน้าตาเฉย ให้หวยแม่น โดยมากถามไม่พูด ถ้าจะให้บางทีด่าซะก่อน เช่น อีตอแหล ๗๒ ให้ตรง ๆ เลย ถ้ามีคนไปถาม ครั้งหนึ่งหวยใกล้ออก คนที่นับถือท่านได้ชวนท่านให้อยู่ด้วย โดยเอาท่านขังไว้ในเรือ ตัดกุญแจ พอเผลอท่านเป่ากุญแจหลุด ออกมานั่งหน้าตาเฉยเลย หลวงตาจี๊ดองค์นี้เป็นศิษย์หลวงพ่อองค์หนึ่งที่สามารถยืนยันได้ทีเดียว แม้จะเป็นเพียงวิชาบางอย่างเท่านั้น

๔. อาจารย์เตี้ย วัดสามเอก อ.เดิมบาง อุปนิสัยคล้าย ๆ หลวงตาจี๊ดเช่นกัน นึกจะไปไหนไป มืดค่ำดึกดื่นก็ไป ง่วงนอนก็เอาผ้าจีวร คลุมหัว คลุมเท้านอนข้างทาง ลงผ้ายันต์ตำรับหลวงพ่อเฒ่าวัดค้างคาวได้ขลังขนาดทดลองยิงลูกปืนไหลออกจากปากกระบอกปืน เล่ากันว่า ท่านเสกใบมะขามเป็นตัวต่อตัวแตนได้ จะจริงเท็จแค่ไหนผมไม่ยืนยัน เพราะไม่เคยเห็น เวลาจะไปไหนจะติดกุญแจห้อง แล้วเอาลูกกุญแจโยนเข้าไปในห้อง ขากลับต้องสะเดาะกุญแจให้หลุด ถึงจะเข้าห้องได้ ถ้าไม่หลุดไม่ยอมเข้า อุปนิสัยไม่เรียบร้อย พูดไม่หอมหู คนเห็นไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา ไม่ยอมเป็นเจ้าอาวาส แต่เฝ้าวัดให้เฉย ๆ

๕. อาจารย์ตี๋ สำนักสงฆ์เขาเขียวพนาราม ต.เขาพระ อ.เดิมบาง อุปนิสัยใจคอคล้ายอาจารย์เตี้ย ท่านเป็นลูกครึ่งไทย-จีน เตี่ยเลยเรียกท่านว่า ตี๋ ไม่เรียบร้อยเช่นกัน อุปนิสัยสันโดษ ใจร้อน นึกจะไปไหนก็ไปพูดจาโผงผาง วัดท่านยากจนมาก คล้ายบ้านที่ไม่ได้บูรณะมาซัก ๕๐ ปี มองดูไม่เหมือนวัด น่าสงสารมาก สมาธิแก่กล้ามาก สามารถนั่งบนน้ำได้ มีคนยืนยันหลายสิบคน ลมฝนจะตก ชาวบ้านจะนวดข้าว มาบอกท่าน ท่านสูบบุหรี่เป่า ๔ – ๔ ที ฝนไปตกที่อื่นหมดเลย คำนวณแม่นยำมาก ขนาดมวยจะต่อยกันผมเคยถามท่าน ท่านสามารถนับนิ้วแล้วบอกได้เลยว่าใครแพ้ใครชนะ น็อคหรือไม่น็อค ผมเคยไปหาท่านพอลาท่านลงกุฏิฝนเกิดตกจะกลับขึ้นไปใหม่ ท่านไล่ผมให้ไปท่านบอกลาแล้วต้องไป พอผมขี่รถมาหันหลังไปดู เห็นท่านยกมือห้ามฝนหลับตาด้วย ปรากฎว่าฝนตกสองข้างทาง แต่ไม่ตกบนถนนเลย แปลกมาก ผมเคยนำเหรียญท่านมาลองยิง ปรากฎว่าพอจะยิงเหรียญแกว่งได้เอง ผมเอามือจับเหรียญให้หยุด แล้วยิงติด ๆ ห่าง ๒ นิ้วได้ ยิง ๓ นัดไม่ถูกเลย ปัจจุบันท่านทำปลัดขลังมากอีกซัก ๑๐ ปี อ.ตี๋ องค์นี้จะเป็นพระที่เก่งที่สุดในสุพรรณบุรี ฉายาท่านคือทายาท “จี้กง”

ครั้งหนึ่ง ผมเคยพาอาจารย์ตี๋ ไปกราบรูปหล่อ ศพหลวงพ่อกวย โดยขี่มอเตอร์ไซค์ไป ทางได้ผ่านวัดอาจารย์เตี้ย อาจารย์ตี๋อยากจะพบอาจารย์เตี้ยสักครั้งหนึ่ง เพราะไม่เคยเจอกันเลย เคยแต่ได้ยินกิตติศัพท์ซึ่งกันและกัน เมื่อท่านพบกันแล้ว ผมเป็นเด็กผมก็เลยเลี่ยงออกมาข้างนอก ท่านพูดคุยกันพอจะจำได้ดังนี้ เล่าให้ฟังพอสนุก ๆ นะครับ

อาจารย์ตี๋ เขาว่าท่านสะเดาะกุญแจได้หรือ

อาจารย์เตี้ย ฆ้อนน่ะซิสะเดาะด้วยฆ้อน

อาจารย์ตี๋ เขาว่าท่านลงผ้าแดงลองปืนลูกปืนไหลออกปากกระบอกเลยหรือ

อาจารย์เตี้ย ลูกปืนมันเปียกน้ำ แก๊ปมันไม่ดีน่ะซิ

อาจารย์เตี้ย เขาว่าท่านตี๋ นั่งบนน้ำได้หรือ

อาจารย์ตี๋ นั่งเข้าไปได้ยังไงบนน้ำ นั่งบนน้ำได้ก็ไม่ใช่คนน่ะซิ

อาจารย์เตี้ย ไม่ใช่คนแล้วจะเป็นอะไรล่ะ

อาจารย์ตี๋ ไม่ใช่คนก็เป็นพระน่ะซิ

แล้วทั้งอาจารย์เตี้ยและอาจารย์ตี๋ ก็หัวร่อพร้อมกันลั่นกุฏิไปหมด


นอกจากศิษย์ที่เป็นพระแล้ว เขาว่ามีศิษย์ท่านอีกคนหนึ่ง บ้านอยู่ทางแม่น้ำน้อย สามารถใช้พลังจิตบีบถ้วยแบบถ้วยน้ำพริก แบบขามตราไก่ทำด้วยปูนขาวนะครับ ไม่ใช่ทำด้วยอลูมิเนียม ถ้าทำด้วยอลูมิเนียมผมก็บีบได้ อีกคนหนึ่งคือ อาจารย์เหวียน มณีนัย เป็นฆราวาสบวช ๆ สึก ๆ ร้อนวิชา ได้คาถาจากหลวงพ่อกวยมา ๒ ตัว สามารถผ่าไม้รวกได้ด้วยมือ คาถานี้หลวงพ่อก็เคยให้ผม ผมจะลองผ่าทีไรเสียดายเส้นเอ็นทุกทีกลัวหมอจะเย็บให้ไม่ดี ครั้งก่อนได้คาถามาจากนายแดง สว่างศรี หลวงพ่อกวยให้มาเช่นกัน คาถา ๒ ตัวเท่านั้น เอาไว้เป่าแมงป่องเล่น กะจะเอาไว้จับเอามาอวดสาว ๆ

แดง  ตาไฟ
จะขอเล่าถึงศิษย์ของหลวงพ่อรุ่นปลายแถวให้ฟัง เพื่อยืนยันว่า คาถา อาคม วิชาชาตรีนี้ ถ้าถือได้ขลัง หรือถือจนมั่นใจ แม้คนธรรมดาก็สามารถทำในสิ่งที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติได้

นายแดง นามสกุลสว่างศรี ส่วนคำว่าตาไฟ ผมเขียนไปอย่างนั้นเพื่อให้ดูขึงขัง เป็นน้องชายเสือชู สว่างศรี นายแดงเคยบีบนวดให้หลวงพ่อสมัยเด็ก ๆ และเคยได้คาถามาหลายบทแต่ไม่ยอมบอก ที่แน่นอนคือคาถาหัวใจแมงป่อง “ปอ ยอ” เวลาจะจับแมงป่องต้องกำหนดจิตให้หลวงพ่อมาอยู่ในตัว แล้วเป่าออกไป หางมันจะตก แล้วไม่ต่อย นอกจากนั้น คาถาโองการต่าง ๆ คาถาหัวใจต่าง ๆ เขาได้หมด ท่องได้หมด ทั้งเดินหน้า ทั้งถอยหลัง คาถาหัวใจปลาไหลเผือก คาถาหัวใจจระเข้เขาก็รู้หมด
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 11, 2013, 11:34:21 am
จะขอเล่าอภินิหารและอาคมเพื่อบันทึกเอาไว้เป็นเรื่อง ๆ เป็นตอน ๆ ดังนี้ ครั้งหนึ่งเขาไปเที่ยวงานวัด ไปเจอคู่อริเข้า เขาคนเดียวคู่อริหลายคน โดนจับมือไพล่หลัง เอามีดเชือดคอเชือด ๓ – ๔ ที ไม่เข้าเลย มีเหรียญโล่ทองแดงอันเดียว

อีกครั้งไปเที่ยวงานวัดเช่นกัน เจอคู่อริ คู่อริได้ชักปืนออกมายิง ยิงไม่ออก เขาเข้าไปปล้ำตีเข่าคู่อริปางตาย ขากลับบ้าน พอขี่รถมาถึงเชิดบุญมา ต.บ้านคู อ.บางระจัน คราวนี้โดนยิงติด ๆ หน้าเลย ด้วยปืนลูกซอง ๙ เม็ด ไม่ถูกเลยแม้เม็ดเดียว ลูกน้องซ้อนมา ๒ คน ก็ไม่ถูก คือคู่อริไปเปลี่ยนปืนใหม่ วันนั้นคาดตะกรุดโทน ตัวเชือกถักเป็นลายกระดูกงูของหลวงพ่อดอกเดียว

อีกครั้งหนึ่ง ไปเที่ยวงานวัดห้วย แม่เขาก็ไปด้วย กินเหล้ามาหน่อย ๆ เขาเป็นคนแปลก ถ้าเมาคอยจะท่องคาถาอยากลองของทำนองนี้ พอเดินผ่านสระน้ำสระก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่ อยู่ ๆ แกกระโดดลงสระ หายไปเลย แม่เขาร้องไห้สุดเสียง เอาไฟฉายส่องดู คนที่มาก็กระโดดลงสระช่วยงม บางคนก็ไปตามคนมาช่วยกันงม คนล้อมสระอยู่เป็นสิบ ๆ คน ที่งมก็งมไม่เจอ แม่ร้องไห้โฮเลย เพราะรู้ว่าลูกจมน้ำตายไปแล้ว งมหาเป็นครึ่ง ๆ ชั่วโมง พอดีคนที่มาจากบ้านหลังหนึ่งถือไฟฉายมาเจอนายแดงคล้าย ๆ ของเข้าสั่นอยู่นอนติดขี้ลีบ (คล้ายแกลบ) แกท่องคาถาหัวใจปลาไหลเผือก แม้ปัจจุบันนี้ถ้าแกเมาขึ้นมา ถ้าเจอน้ำแกจะเล่นน้ำ เป็นครึ่ง ๆ วัน ไม่มีใครกล้าเข้าจับ วันที่แกโผล่จากสระ มาติดแกลบ คือปลาไหลเขาแพ้แกลบเป็นเรื่องแปลก เขาโผล่จากสระไปได้อย่างไรไปติดขี้ลีบห่างตก ๓๐ เมตร

อีกเรื่องหนึ่งเขาขี่รถจักรยานยนต์ ด้วยความเมา ถนนไปทุ่งนาเล็ก ๆ ปรากฎว่าเขาขี่ด้วยความเร็วเพราะประมาท รถคว่ำ หัวไปชนก้อนหิน ก้อนเท่า ๆ หัวคนได้ ก้อนหินฝังอยู่ในดินครึ่งหนึ่ง ฝังมานาน โดนหัวนายแดงชนเปรี้ยงเดียวหินกระเด็นเลย แต่หัวคนไม่เป็นอะไรเลย

อีกเรื่องหนึ่งแถวบ้านผม จะมีการชกต่อยกันเป็นประจำ ถ้าเมาพอได้ที่ ชาวนาตัวโต ๆ ต่อยกันทีนึงถ้าโดนจัง ๆ ถึงขนาดฟันฟางหักเลย แต่ก็มีบางคนไม่ค่อยมั่นใจตัวเองนัก เพราะถ้าเกิดพลาดท่าเสียทีเขา อายเขาไปทั้งบ้าน ไม่มีการใช้ปืน ใช้มีด ต่อยปัง สองปัง ได้ผล หงายท้องเลย เขาทำงานหนัก แบกเครื่องยกเครื่อง มีอยู่ปีถึง ๒ ปี นายแดงไปทำงานก่อสร้างที่พัทยา เกิดคลื่นลูกใหม่ขึ้นมา ชื่อโต แข็งแรงมาก ใหญ่โต เคยต่อยกับคนรุ่นน้า รุ่นพี่ หมัดเดียวเห็นดาวเลย ตระกูลเขาแข็งแรงมาก เขา ๒ คนพี่น้อง สามารถแบกเสาขนาดใหญ่ ขึ้นบ่าได้สบาย ซึ่งไม่ค่อยมีใครทำได้ ขนาดได้ฉายาโพธิ์เงิน โพธิ์ทอง แต่นายโตนี่นิสัยเสียถ้ามีเรื่องกับใครจะร้องท้าด่าแม่ให้เข้ามาสู้กับตน คนอื่นไม่มีใครกล้าเลย วันหนึ่งนายแดงกลับบ้านเป็นงานเทศกาล กินเหล้าทั้งวัน เจอนายโตก็ชวนกินเหล้า พอนายโตกินเหล้าเข้าไป อยากจะพูดมั่ง แต่นายแดงเขาเป็นคนแปลกเมาเข้าไปชอบพูดคนเดียว เสือเจอสิงห์เข้า นายแดงเวลาเมาชอบปลุกของ ชอบอาพัดเหล้า และเคยชกมวยมาก่อน กำลังก็ขนาดแซมซั่น ส.อีสาน นั่นแหละ วันนั้นเกิดชกกันขึ้น ผลผิดความคาดหมาย นายแดงเตะต่อยนายโตกลิ้งเป็นลูกขนุนเลย หน้าตาเละหมด นายแดงยังให้ไปเอามีด เอาปืนมายิงกันอีก ผลคือตั้งแต่นั้นมานายโตเขาสงบเสงี่ยม ไม่ร้องท้าด่าแม่ใครอีกเลย นายแดงไปทำงานก่อสร้างพัทยา โดยมากทำงานรวมกับคนไทยอีสาน คนอีสานนี่เรื่องอดทนและกำลังเป็นหนึ่ง ขนาดมีคำกล่าวว่า “นักมวยเมืองโคราช นักปราชญ์เมืองอุบล” คือโคราชนี่นักมวยรุ่นเก่าเขาแข็งแกร่งจริง ๆ ตั้งแต่ ยัง หาญทะเล เตะจีนฉ่างปางตาย ต่อมาก็ยุคยักษ์ สุขพิมาย รุ่นล่าสุดก็ รัตนพล ส.วรพิน นายแดงไปอยู่ทีหลังทำงานแข็งแกร่งกว่า กินเหล้าเข้าไปเอามีดมาเชือดแขนให้ดู เอามีดมาลากตรงฝ่ามือระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้ง เสียงดังแกรก ๆ ๆ ไม่รู้เขาเล่นวิชาอะไร ถ้าผมพูดผิดไป คราวหน้าไม่ต้องมานับถือกัน ต่อมาเลยได้เป็นหัวหน้าคนงานเลย วันหนึ่งไฟช็อตไฟลุกท่วมตัวกว่าจะสับคัทเอาท์ได้ ผมหงิกเลยไม่เป็นอะไรเลย ตัวแดงเถือกไปหมด คล้องเหรียญโล่อันเดียว คนไทยภาคอีสานคนหนึ่งนั่งลงกราบที่เท้า ๓ ครั้ง ควักเงินให้ ๓๕๐ บาท หมดตัวเลย นายแดงแกสงสารให้ไป เพราะแกกลับมาบ้านทีไรมาไถผมทุกที วันหนึ่งเจออาจารย์เหวียน มณีนัย กำลังร้อนวิชาอยู่พอดี นายแดงเกิดอยากลองของเอามีดมาลากฝ่ามือเล่น แล้วท้าอาจารย์เหวียน อาจารย์เหวียนเขาแก่แล้วคงนึกปอด ๆ แถมท้าท่องคาถาแข่งกัน โองการต่าง ๆ คาถาต่าง ๆ ท่องเสร็จแล้วลองฟันกันดูสักที อาจารยืเหวียนเขาความจำไม่ดีบอกยอมแพ้ เสียงบ่นพึมพำว่า “ไอ้นี่บ้ากว่ากู” ภายหลังบวชเป็นพระคือบวชเรื่อย เจอผมบอกเสียดาย บวชเสียแล้ว ไม่งั้นจะไปออกรายการท้าพิสูจน์ ๒ คนกับไอ้แดง จะให้ผมพาไป ผมได้แต่ส่ายหัว คนหนึ่งฆ่าคนไม่ติดคุก คนหนึ่งเมา

จะขอเล่าตอนที่เขาไปช่วยพี่ชายทำไร่ที่จังหวัดกาญจนบุรี วันหนึ่งเขาไปทำบุญ คือ คนตามต่างจังหวัดนี่ วัยรุ่นชอบลักรองเท้ากัน โดยใส่คู่เก๋ามาแล้วถ้าเจอคู่ใหม่ก็ใส่เอากลับไป บังเอิญวันนั้นนายแดงโดนขโมยรองเท้า ความโมโหของขึ้นเลย เข้าใจว่ากินเหล้าด้วย เขาไปหาเชื่อกมาเส้นหนึ่งมาถึงก็ร้อยรองเท้าคนที่มาทำบุญบนศาลาทั้งหมด แล้วเอาเชือกผูกเอววิ่ง คนบนศาลารู้ว่ารองเท้าถูกขโมยวิ่งไปฝุ่นตลบ พระก็กำลังเทศน์ คนก็วิ่งตาม พอตามมาทัน เขาปีนขึ้นไปบนเสาไฟฟ้าแรงสูง ไปนั่งอยู่ข้างบน มือหนึ่งถือกระบอง มือหนึ่งป้องหน้า เหมือนหนุมานจริง ๆ ส่วนรองเท้าก็ห้อยต่องแต่ง ๆ ผู้ใหญ่บ้านให้คนไปหายางง่ามหรือหนังสติ๊ก ที่ใช้ลูกดินยิง พอดีน้าชายที่เขาไปทำไร่ตามมาทันได้รับปากว่าจะนำรองเท้าไปคืนให้ ขอให้กลับไปก่อน อีกครั้งหนึ่งคนบ้านอยู่ติดกันกินเหล้าอยู่ดี ๆ แต่พูดไม่ได้ แล้วเดินเข้าบ้านไป นายแดงกัดฟันกรอด ๆ บ้านหลังนั้นเขาล้อมรั้วด้วยไม้รวก ข้างฝาทำจากไม้ขัดแตะตีไขว้กัน อยู่ ๆ นายแดงของขึ้น วิ่งเอาหัวชนรั้วไม้รวกทีเดียวทะลุ ชนข้างฝาอีกทีทะลุ วิ่งกัดคนในบ้านแบบลิงเลย คนในบ้านโดดหนีกันคนละทางสองทาง บางคนก็เลือด

ครั้งสำคัญทำไร่เสร็จ พี่ชายพามาส่งที่ท่ารถ ก่อนมา เพื่อน ๆ ก็ซื้อเหล้าเลี้ยงกัน เดินกันมาอยู่ดี ๆ เกิดของขึ้น เขาปีนขึ้นไปบนต้นไม้แดง ไม้แดงนี้สูงใหญ่เปลี่ยว แบบไม้ยาง ปีนขึ้นไปเกือบถึงยอด สูงมาก สูงกว่าต้นตาลอีก ฝนตกพรำ ๆ ด้วย มือเท้าเกิดลื่นร่วงลงมา หน้าอกกระแทกหิน พี่ชายเห็นเข้าร้องไห้เลย เพราะตกลงมาด้วยความแรง ตัวเขายังกระดอนขึ้นจากหิน กระดอนขึ้นสูงตก ๑ วา พอวิ่งไปถึง เขาวิ่งขึ้นต้นไม้แดงใหญ่ ขึ้นไปอยู่ บนยอดไม้อยู่นาน ผมเองฟังแล้วยังไม่อยากเชื่อ ไม่คิดว่าวิชาเหล่านี้จะมีคนทำได้ เช่น เอามีดเฉือนกับฝ่ามือ ดังแกร๊ก ๆ ๆ เหมือนมีอะไรมารับ เรื่องนี้เล่าให้ฟัง เชื่อไม่เชื่อไม่ว่ากัน ชู สว่างศรี พบได้ที่คุกสุพรรณ แดง สว่างศรี พบได้ถ้ามาบ้านผม
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 13, 2013, 09:25:06 am
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓๖๓

วันที่ ๑๕ พ.ย. – ๒๕ พ.ย.๒๕๓๖

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


เสกผ้า แปลงร่าง

เรื่องนี้แสดงถึงจิตหรือวิญญาณอันแก่กล้าของท่าน ขนาดศิษย์เองยังทำได้ ตัวท่านเองบางทีก็ชอบเล่น คือ บางทีท่านเดินตามทาง สมัยก่อนป่ารกมาก ทางก็เล็ก ๆ ป่าสูงท่วมหัวเลย ท่านเดินนำหน้า พอลับป่าหน่อยกลับหาท่านไม่เจอ คุณลุงทอดเคยเดินตามท่านกลับเจอรอยเท้าเสือ ส่วนรอยเท้าท่านหายไปเฉย ๆ พระระเบียบหรือนายระเบียบ ก็เคยเห็นเล่นเอาใจฝ่อทีเดียว กับคุณลุงทอดเองท่านเคยพูดว่า“มึงจะดูเสือไหม เดี๋ยวกูจะทำให้ดู”ลุงทอดแกไม่กล้า กลัวเสือด้วย เดินหนีเลย

อีกครั้งหนึ่ง ท่านลองใจพระตั้วดู ท่านเรียกพระตั้วมาพบบริเวณวิหารเก่า ท่านบอกพระคอยดูนะเดี๋ยวงูจะเลื้อยมา พระตั้วก็คอยดูซักเดี๋ยวก็เลื้อยมาจริง ๆ เป็นงูเห่า พอเลื้อยมาใกล้ ๆ กลับเป็นสายสะเอวหรือประคตของหลวงพ่อ แล้วท่านก็หยิบขึ้นมาคาดเอวต่อ เข้าใจว่าท่านคงจะทบทวนวิชาดู

เรื่องวิชาจระเข้นี้ถ้าจะพบตัวพบได้เลยนะ เพราะเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ พระที่ทำวิชาได้ขนาดนี้ต้องเก่งจริง เดี๋ยวจะว่าผมเอาเรื่องโกหกมาเล่า ผมเฒ่า สุพรรณ เรื่องที่เล่าให้ฟังมีพยานบุคคลจริง ๆ เช่น เรื่องคนที่หลวงพ่อแช่งไว้ ให้มาถามอาจารย์รวยได้และถ้าท่านมากราบรูปหล่อหลวงพ่อ ให้มาดูพระพุทธรูปที่ช่างมนัสปั้นถวายหลวงพ่อเพื่อขอโทษ เรื่องให้หวย นายปานที่ยิงไม่ติดผมก็ถ่ายรูปมาให้ดู ถ้าท่านต้องการดูหลักฐานให้มาที่วัดได้เลย แม้แต่วัดใหม่สามัคคีธรรม ภายหลังวัดถูกไฟไหม้มีกุฏิหลังหนึ่งที่ไม่ถูกไฟไหม้ เพราะมีตะกรุดโทนของหลวงพ่อ แขวนอยู่หัวเสากับรูปถ่าย ๑ ใบ รูปติดอยู่ภายหลังเปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดใหม่เจริญธรรม” แต่คนก็ยังเรียกกันทั่วว่าวัดไฟไหม้

ว่าจะจบ จบไม่ลง เรื่องจระเข้นายกวย คือจะเขียนกวย หรือ กรวย ไม่แน่ใจ ผมได้พยายามไปหาแกที่บ้านหนองหิน แต่ระยะทางไกลมาก และทางไม่ดีกลัวไปแล้ว ขากลับต้องเดินกลับ เรื่องวิชาจระเข้ยังมีเรื่องเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ ๒๐ ปีกว่ามาแล้วเช่นกัน ตอนนั้นมีพระมาบวชอยู่กับท่านชื่อพระจิต วันหนึ่งท่านให้พระจิตลงไปสางพวกผัก และกอหญ้าในสระท่าน คือสระท่านมักจะมีหญ้าขึ้นเต็มไปหมดไม่ค่อยมีใครกล้าลงไปรื้อสางกอหญ้า วันนั้นมีพยานบุคคลที่ยืนยันได้แน่นอน คืออยู่ในเหตุการณ์ คือลุงเพี้ยน ม้วนหนู บ้านอยู่ใกล้ ๆ วัด เมื่อพระจิตจะลงเก็บหญ้าในสระ ท่านก็เอาสบงออก นุ่งผ้าทะมัดทะแมง หลวงพ่อกวยเดินตาม พอถึงโบสถ์น้ำพระจิตไม่ทันระวังตัว หลวงพ่อกวยผลักพระจิตลงไปในน้ำเสียงดังตูม ลุงเพี้ยนตกใจแทบช็อค ก็พระจิตหล่นสระลงไปกลายเป็นจระเข้ เล่นน้ำตูม ๆ ส่วนหลวงพ่อกวยขึ้นไปบนกุฏิแล้วถือบาตรน้ำมนต์ลงมาเอาน้ำมนต์ในบาตรรดจระเข้พระจิตแล้วท่านก็พูดว่า “พอ ๆ ผักกูเละหมด” ตกลงวันนั้นพระจิตไม่ได้ลงไปเก็บผักอะไร เมื่อถามไถ่ก็ไม่ค่อยรู้ตัวเองเท่าไร แต่ลุงเพี้ยนรู้และเห็นกับตา

ต่อมาพระจิตได้เป็นเจ้าอาวาสวัดหัวเด่น ภายหลังสึกออกมาแต่งงานกับลูกสาวตาเพียงคนหัวเด่น นั่นเอง เรื่องวิชาแปลงร่างเป็นจระเข้นี้ เข้าใจว่า หลวงพ่ออาจจะเป็นเกจิอาจารย์องค์สุดท้ายของภาคกลางก็ได้ที่เรียนวิชาจระเข้สำเร็จ ทำได้และมีพยานบุคคลยืนยันได้ เอาอีกสักเรื่องหนึ่งเป็นไง ไหน ๆ ก็เล่าเรื่องวิชาแปลงร่างแล้ว มีลุงคนหนึ่งคือศิษย์รุ่นเก่าหลายคนเล่าให้ผมฟังว่า ท่านแปลงร่างเป็นงูเขียวได้ เช่น ลุงทอด ลุงละออ เข็มอ่อน ลุงเพี้ยน ม้วนหนู ผมได้ตอบลุงไปว่าท่านไม่ได้แปลงร่างเป็นงูเขียว แต่ท่านเสกก้านกล้วยเป็นงูเขียว วิชานี้ท่านทำได้ตั้งแต่อายุท่าน ๔๒ ปี คือทำได้ก่อนนั้น ตอนนั้นอาจารย์เม่า ได้มาบวชอยู่กับท่าน ท่านทำได้แล้ว ท่านจะทำให้อาจารย์เม่าดู อาจารย์เม่าแกกลัวเลยไม่ยอมอยู่ดู คือท่านจะลองของอาจารย์เม่าด้วย อาจารย์เม่าคนนี้มีวิชาดีสามารถบีบถ้วยที่ทำจากดินขาวได้ บีบให้ปากถ้วยเข้ามาหากันได้

ปีเดียวกันกับที่พระจิตบวชอยู่ที่วัด วันหนึ่งท่านได้ให้พระเณร และกรรมการวัด ดายหญ้า มีลุงละออ เข็มอ่อน ลุงเพี้ยน ม้วนหนู พระจิต และอีกหลายคน ลุงละออ แกจำชื่อไม่ได้ ขณะที่กำลังดายหญ้าอยู่ แดดร้อน ๆ ปรากฎว่ามีกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งวนไปวนมา คนกำลังดายหญ้าอยู่เห็นกระต่ายเข้าก็ล้อมกันเลย แต่ก็ไม่วายที่จะเกรงใจหลวงพ่อเป็นกระต่ายไฟสีแดง หลวงพ่อท่านเห็นชาวบ้านกำลังล้อมกระต่ายแต่ก็เกรงใจท่าน ท่านจะเห็นว่ากระต่ายนั้นไม่ใช่กระต่ายวัด หรืออย่างไรไม่รู้ ท่านหัวร่อหึ ๆ แล้วพยักหน้าอนุญาต คราวนี้ทั้งพระทั้งเณร ทั้งชาวบ้านก็รุมกันจับรุมกันประชาทัณฑ์กระต่ายกันเป็นการใหญ่ กระต่ายหนุ่มกำลังเปรียวกว่าจะไล่ต้อนให้จนมุมได้เล่นเอาหญ้าบานเลย ตอนจนมุมมันคงเหนื่อยวิ่งเข้าไปในโพรงไม้ ถูกไม้กระทุ้งทีเดียวอยู่เลย ขณะที่คนกระทุ้งตะโกนว่าตะโกนว่าอยู่แล้ว ๆ คนอื่นทั้งพระทั้งโยม ก็วิ่งฮือกันมาที่โพรงไม้กลับไม่ปรากฎเป็นกระต่าย กลับเป็นผ้าจีวรผืนขนาดผ้าอาบน้ำฝน ผืนเก่า ๆ อยู่ผืนหนึ่ง ผูกเป็นรูปคล้าย ๆ กระต่าย ทุกคนมีอาการเหมือนถูกผีหลอก บางคนนึกขึ้นได้หันหลังมามองหลวงพ่อกวยเหมือนกำลังจะเค้นหาคำตอบ แต่หลวงพ่อท่านหันหลังหัวร่อในลำคอหึ ๆ ขึ้นกุฏิเงียบ ถ้ามีใครมาถามผมว่าหลวงพ่อเสกผ้าอาบน้ำเป็นกระต่ายได้จริงหรือ ผมก็จะตอบว่าผมไม่รู้ไม่เคยเห็น แต่ลุงละออ ลุงเพี้ยน ลุงทอด เขาเล่าให้ฟังอย่างนี้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 13, 2013, 09:25:36 am
สมเป็นผู้กล้า

ต่อไปจะกล่าวถึงรูปหล่อรุ่น ๑ ชนิดคล้องคอ หลวงพ่อได้สร้างรูปหล่อรุ่น ๑ ชนิดเล็กเป็นเนื้อฝาบาตร มีส่วนผสมของทองเหลืองและทองแดงกะไหล่ไฟ มีขนาดเล็กกะทัดรัด ขนาดปลายนิ้วก้อย เป็นรูปหล่อปั๊มไม่มีกริ่ง สวยงามมาก นัยน์ตา ๒ ข้างแกะได้กลมมีประกาย หลวงพ่อเป็นผู้ดำเนินงานสร้างเอง คือวัตถุมงคลท่าน ๆ จะจัดทำเองไม่ชอบให้กรรมการมายุ่ง สร้าง พ.ศ.๒๕๑๒ นำเงินรายได้จากผู้ทำบุญ นำมาสร้างศาลาหลังเก่า จำหน่ายในสมัยนั้น องค์ละ ๑๕ – ๒๐ บาท หลวงพ่อปลุกเสกอยู่ประมาณ ๓ – ๕ ปี คือท่านปลุกเสกเรื่อย ๆ รูปหล่อรุ่น ๑ ชนิดเล็กนี้จะเป็นวัตถุมงคลที่อมตะ ราคาเช่าหาจะแพงขึ้นเรื่อย ๆ และโดยมากแทบทุกองค์จะยังสวยอยู่เพราะก่อนใช้ต้องนำไปเลี่ยมก่อนจึงจะใช้ได้

ศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่งชื่อวิไล งิ้วงาม เป็นคนหนองอ้อ ติดหนองบอน สามเอก อ.เดิมบางนางบวช เป็นชื่อจริง นามสกุลจริง มีรูปหล่อเล็กรุ่น ๑ ของหลวงพ่อเพียงองค์เดียวติดตัว แกเป็นคนที่กล้าหาญอดทนมาก ที่ว่ากล้าหาญเพราะแกเป็นคนไม่กลัวเมีย ผู้ชายเรานี่บางคนหน้าดุ พอเจอหน้าเมียแพ้เมียหน้าหวานก็มี บางคนเมาเหล้าเข้าไปเหมือนหนึ่งว่า พอเจอหน้าเมียจะเตะเมียให้ตายอย่างงั้นแหละ พาเพื่อนไปด้วยพอไปถึงบ้านกลับจะเตะเพื่อนให้เมียดูก็มี แต่นายวิไล ไม่ใช่คนอย่างนั้น เมียจะด่าจะว่าแกไม่สน สมกับที่เป็นศิษย์ของหลวงพ่อจริง ๆ คือกล้าหาญ อดทน

วันเกิดเหตุแกไปปักเบ็ด ตอนกลางคืนขณะที่เดินมาจากนาขึ้นถนนเล็กมีป่าละเมาะอยู่ ๒ ข้างทาง มีคนร้าย ๒ คนดักยิงแกด้วยปืนลูกซองระยะประชิดไม่ถึงวา เข้าใจว่าปืนลูกซองยาว ๑ กระบอก สั้น ๑ กระบอก ยิงพร้อมกันเลยเสียงดังสนั่น ปรากฎว่านายวิไลไม่เป็นอะไรเลย ไม่ล้มไม่แปลกใจไม่วิ่งหนี คนร้ายเห็นท่าไม่ดีวิ่งหนีสุดชีวิต เมื่อนายวิไลมาถึงร้านค้าซึ่งมีไฟแสงสว่าง แกก็มาดูรอยลูกปืนคือให้ชาวบ้านช่วยกันดู ผลคือไม่โดนตัวแกเลย มีบางลูกที่โดนเสื้อเพราะลูกปืน ๒ นัดนัดละ ๙ เม็ด รวม ๑๘ เม็ดคนเห็นต่างแปลกใจไปตาม ๆ กัน ก็ขนาดเขม่าดินปืนจับเต็มหน้าแกดำไปหมด ยังไม่โดนลูกปืนแม้เม็ดเดียว วันนั้นแกคล้องรูปหล่อรุ่น ๑ เพียงองค์เดียว

ผมเห็นแกเป็นคนกล้าหาญ ไม่ตกใจต่อเสียงปืน ผมก็แปลกใจเช่นกันต่อเมื่อสอบถามชาวบ้านแถวนั้นดู จึงรู้ว่านายวิไลแกหูตึง สาเหตุเพราะตอนไปรบที่ลาวหรือสงครามลาวแกโดนยิงด้วยปืน เอส.เค. โดนทั้งชุด หูเสียเลย แถมโดนลูกอาร์พีจีอีกหูแกเลยเสียตั้งแต่นั้นมา ตอนไปรบที่ลาวแกก็มีรูปหล่อรุ่น ๑ ติดตัวองค์เดียวกับผ้าแดง อิติปิโส ๘ ทิศ ของหลวงพ่อ ๑ ผืน มิน่าล่ะ ถึงไม่กลัวเมีย

จดหมาย ส.อ.นคร ไชยาโส

นมัสการ อาจารย์สำรวย

กระผมมีความสนใจผ้ายันต์ค่ายกล ที่หลวงพ่อกวยสร้างเอาไว้ อยากบูชาเอาไว้ติดตัวสักผืน เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้ ศรัทธามานานแล้ว เพราะมีเหรียญของหลวงพ่อติดตัวแล้วเกิดอุบัติเหตุ เอามอเตอร์ไซค์ชนกับท้ายรถเก๋งที่สี่แยกบ้านคลอง อ.เมือง พิษณุโลก อย่างจัง รถคอบิดใช้ไม่ได้ ตัวผมเองตกไปที่พื้นถนนกลิ้งหลายตลบไม่เป็นอะไร ถลอกที่แขนนิดหน่อย แปลกมาก

นมัสการมาด้วยความเคารพ

ส.อ.นคร  ไชยาโส
ตู้ ป.ณ.๖๔ ร้อย.ลว.ไกลที่ ๔
อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ๖๕๑๓๐
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 16, 2013, 01:57:24 pm
ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓๖๔
วันที่ ๒๕ พ.ย. – ๕ ธ.ค.๒๕๓๖
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา




ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ทำบุญมาขอให้ท่านมีความสุขความเจริญ ดอกผลของมูลนิธินี้ เราจะแบ่งให้วัดเพื่อบำรุงศาสนาครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเราจะมอบให้กับเด็กนักเรียน ที่เรียนดีแต่ยากจนหรือไม่มีพ่อแม่ในวันที่ ๑๒ เมษายน เช่นกัน
ตอนนี้บัญชีได้แบ่งเป็น ๒ เล่ม ทางวัดกับทางโรงเรียนเก็บไว้เล่มหนึ่ง ๒ แสน ๕ หมื่นบาท ที่ผมกับอาจารย์สำรวยเก็บไว้อีกเล่ม ๑ แสน ๗ หมื่นบาทเศษ ทางที่ผมเก็บไว้จะมอบให้กับโรงเรียนในบริเวณใกล้เคียงที่ผมอยู่ ปัจจุบันพ่อแม่ได้ทิ้งลูกเอาไว้ให้คนแก่เลี้ยงหลายคน ไม่มีสตางค์จะกินขนม ไม่มีสมุดหนังสือขาดความมั่นใจในตัวเอง เกือบจะเป็นเด็กปัญญาอ่อน ผมเห็นสภาพของเขา ผมจึงขอแบ่งเงินแสนที่ ๓ นี้จากท่านอาจารย์สำรวย ท่านก็เห็นดี เห็นสมควร
ฝากความคิดถึง ถึงคุณมานะ จำรัสรัตนกร และท่าน พ.ต.ราชิต  อรุณรังสี  ด้วยครับ
ปล.สรุปคือบัญชีแบ่งออกเป็น ๒ เล่มคือ บัญชี ๑ วัดกับโรงเรียนได้ ๒ แสน ๕ หมื่น เดือนมิถุนายน มีคนถูกหวยเพราะติดต่อกับหลวงพ่อได้ทางสมาธิเขาถูก ๓ แสน เขาเลยมอบให้บัญชี ๑ อีก ๕ หมื่นบาท รวม ๓ แสน
ส่วนบัญชี ๒ ผมกรรมการและอาจารย์สำรวย เก็บรักษาไว้ได้ ๑ แสน ๗ หมื่น ดอกมอบให้วัดครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งมอบให้เด็กในบริเวณใกล้เคียงที่ผมอยู่ (๑๗ กรกฎาคม ๒๕๓๖)


ไม่นับถือจริงต้องตาย

คนแต่ก่อน หรือคนสมัยก่อน จะเรียกว่าคนโบราณก็ได้ เขานับถือครูบาอาจารย์เขานับถือกันจริง ๆ ที่อยู่ด้วยคาถาเขาก็ท่องเขาเสกกันจริง ๆ ที่อยู่ด้วยพระ ด้วยตะกรุด เขาก็พยายามเอาติดตัวตลอดเวลา ประกอบกับคนแต่ก่อนเขาไม่มีภาระมาก ทำอะไรเขาจึงมีสติ คนเดี๋ยวนี้งานยุ่ง มีภาระมาก สติไม่ค่อยมี

นายนี เป็นนักเลงใหญ่ หรือเสือร้ายก็ว่าได้ เพราะเคยปล้นฆ่าคนมามาก เป็นศิษย์รุ่นเก่าของหลวงพ่อ หลวงพ่อเคยให้ตะกรุดมา ๑ ดอก อำนาจของตะกรุดหลวงพ่อ ทำให้นายนีหรือเสือนีเป็นที่เกรงขามและเกรงกลัวต่อบุคคลทั่วไปเพราะยิงไม่ออก แต่นายนีไม่ใช่เสือจำศีล คือไม่ใช่เสือดีว่างั้นเถอะ ปล้นฆ่ามันดะไปหมด ใครพูดไม่พอหู คือพูดไม่เข้าหู ความจริงเข้าแต่ถ้าใครพูดแล้ว หูแกเกิดฟังไม่สบายใจไม่ได้ สมัยก่อนกฎหมายยังเข้าไม่ค่อยถึงตายแล้วก็แล้วกันไป แม่ยายแกเกิดพูดไม่เข้าหูแก แกใช้มีดดาบฟันคอแม่ยายชั๊วะเดียวคอหลุดเลย ตายก็ตายกันไป ไม่มีใครกล้าให้ปากคำตำรวจ
ฝ่ายลูกหลานแม่ยายนายนี ที่เป็นลูกผู้ชาย ก็ผูกใจเจ็บ ได้พยายามดักยิงนายนีหลายครั้ง ปรากฏว่ายิงไม่ติดเลย คือยิงไม่ออก ตอนหลังได้พยายามสอบถามจึงได้รู้ว่านายนีเป็นศิษย์หลวงพ่อกวย มีตะกรุดโทนคาดเอวอยู่ เมื่อได้ความดังนั้น พวกลูกหลานแม่ยายนายนีได้เดินทางมากราบหลวงพ่อกวย และเล่าความจริงให้ฟัง ถึงความเจ็บช้ำน้ำใจ เมื่อหลวงพ่อกวยได้ฟัง รู้สึกท่านจะสะเทือนใจ ท่านได้พูดว่า ศิษย์เปรียบได้เท่ากับลูก อาจารย์เปรียบได้เท่ากับพ่อแม่ กูอนุญาตให้พวกมึงไปฆ่าศิษย์กูไม่ได้ แต่ถ้าวันใดมันไม่นับถือกูแล้ว หลงลืมกูแล้ว มันต้องตาย
อยู่ต่อมา พวกลูกหลานแม่ยายนายนีได้พยายามแอบยิงนายนีอีกหลายสิบครั้งเข้าข่ายความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น คนลิขิต ไม่เท่าฟ้าลิขิต วันที่นายนีโดนลูกของแม่ยายนายนียิง เป็นครั้งสุดท้าย โดนยิงด้วยปืนลูกซองยาวนัดเดียวเข้าหน้าอกทั้งเก้าเม็ด เมื่อค้นดูที่เอวปรากฏว่านายนีไม่ได้คาดตะกรุดโทนของหลวงพ่อกวย เข้าใจว่าคงจะหลงลืม เรื่องตะกรุดท่านยิงไม่ออกนี่ไม่ใช่เรื่องที่นึกจะพูดก็พูดง่าย ๆ ผมอยากให้คุณได้พูดคุยกับ นายนบ เจียมพลับ คนบ้านล่องใหญ่ดู ถ้าไปวัดหลวงพ่อให้แวะคุยกับแกดู ทางผ่านวัดบ้านอยู่ติดถนน อยู่ใกล้วัดใหม่สามัคคีธรรม (วัดไฟไหม้)


สู้ได้ให้สู้ สู้ไม่ได้ให้หนี

มีคำพังเพยที่คนโบราณ พูดเอาไว้คำหนึ่งหรือบทหนึ่งคือ “น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ” ความหมายคือ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟมาก ไฟน้อยย่อมแพ้น้ำทำนองนี้ มีศิษย์หลวงพ่อที่ไปทำมาหากิน และเป็นคนจากสุโขทัยก็มีอยู่แถว ๆ ลานหอย หนองบัว อ.กงไกรลาศ ก็มี บางคนยังได้นำพระกรุใหม่จากลานหอย เอามาถวายหลวงพ่อ และที่มาเช่าหาตะกรุดจากหลวงพ่อไปก็มี ตามที่เคยได้อ่านข้อเขียนของคุณครูนิมิต ภูมิถาวร นักเขียนจากสุโขทัย ทำให้ทราบว่าสุโขทัย กรุงเก่านี้ก็เป็นดินแดนของคนดุเช่นกัน

ศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่งชื่อ เจียด เป็นคนบ้านหนองบัว อ.กงไกรลาศ สุโขทัย ได้หลบหนีศัตรูมาจากสุโขทัย รู้สึกว่าจะฆ่าเขาตายมาด้วย ได้มาอาศัยอยู่กับญาติทางพักทัน อ.ค่ายบางระจัน และได้มอบตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อ ได้มาพักอาศัยอยู่ที่พักทันนานหลายปี แต่ความที่คิดถึงบ้านที่หนองบัว กงไกรลาศ แกได้เข้ามากราบลาหลวงพ่อ หลวงพ่อได้พูดกับนายเจียดว่า ให้อยู่ซะที่นี่ อย่ากลับไปเลย มันอันตราย แต่นายเจียดก็จะไปให้ได้ หลวงพ่อได้สั่งไว้เป็นคำสุดท้ายว่า “สู้ได้ให้สู้ สู้ไม่ได้ให้หนี” ความหมายคือถ้าเขาพวกมาก เราคนเดียวโด่เด่ เห็นว่าสู้ไม่ได้ให้หนี แล้วท่านได้ให้พิมพ์สรรค์ติดตัวไปองค์หนึ่ง

นายเจียดกลับไปสุโขทัยไม่นาน ก็โดนคู่อริแอบยิง จะเป็นด้วยดวงยังไม่ถึงคาดหรือยังไงไม่แน่ใจ หลายครั้ง แกโดนยิงออกมั่ง ไม่ออกมั่ง ครั้งที่สำคัญคือแกโดนรุมตีด้วยขวาน คนรุมตีก็ไม่ปรากฏแน่ชัดว่ากี่คน โดนหลายสิบทีตายสนิทเลย เมื่อญาติมาพบศพ บริเวณหัวที่โดนตีไม่แตก ไม่บวม กะโหลกไม่แตก แต่มีเลือดออกปากและจมูก เข้าใจว่าแกคงลืมคำพูดหลวงพ่อที่สั่งไว้ สู้ไม่ได้ให้หนี
เมื่อนายเจียดตายแล้ว คนทางสุโขทัยหลายคนยังสืบเสาะ มาหาของดีมากันถึงชีวิตหลวงพ่อ บางคนได้ตะกรุดไปยังประสบอภินิหาร หมอจอน บ้านโพธิ์งาม เล่าว่า ศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่งอยู่สุโขทัย มีตะกรุดดอกเดียว โดนตีสลบไป พวกนึกว่าตายไปแล้วยังฟื้นขึ้นมาได้อีก


จดหมายคุณกิตติพงศ์  วรคุณพิเศษ

๑/๑๕ ซ.วัดดงมูลเหล็ก อ.บางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทร.๐๒๔๑๒๒๘๑๖

นมัสการพระอาจารย์สำรวย อัคคปัญโญ

กระผมขอส่งเงิน ธนาณัติเป็นเงิน จำนวน ๒๐๐ บาท เพื่อมอบให้มูลนิธิของหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร เป็นครั้งที่ ๒ ครั้งแรกเมื่อต้นเดือน ม.ค.๓๔ นี้ เพราะบารมีอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อกวย ที่ดลบันดาลให้กระผมมีโชคลาภนิดหน่อย ถ้ากระผมโชคดีมีโชคลาภมาก็จะขอทำบุญเข้ามูลนิธิมากกว่านี้

นมัสการ

นายกิติพงศ์  วรคุณพิเศษ

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 17, 2013, 11:21:52 am
ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓๖๕
วันที่ ๕ ธ.ค. – ๑๕ ธ.ค.๒๕๓๖
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



จดหมายจากคุณณรงค์ ศรีวัลลภานนท์

๔ พ.ย.๓๔


นมัสการ พระอาจารย์สำรวย อคคปัญโญ

กระผมเพิ่งจะได้ลาภจากหลวงพ่อกวย เป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาท กระผมจึงขอร่วมทำบุญมูลนิธิชุตินฺธโร เป็นเงิน ๑,๐๐๐ บาท โดยกระผมได้ส่งธนาณัติมาพร้อมกันนี้แล้ว หากทางวัดมีงานบุญอะไรขอได้โปรดแจ้งให้กระผมทราบด้วยนะครับจะขอบพระคุณยิ่ง

ด้วยความเคารพอย่างสูง
ณรงค์ ศรีวัลลภานนท์ ๑๕๐/๒ ปางทิพย์อพาร์ทเม้นท์ ถ.พหลโยธิน ต.สวนดอก อ.เมือง จ.ลำปาง

ตอบตอบคุณณรงค์ เงินมูลนิธิคุณ ผมได้รับแล้ว ลงบัญชีแล้วครับ ขอบคุณมาก
ฒ.สุพรรณ

 
นะเมตตา

หลวงพ่อเป็นพระที่มีอาคมแก่กล้า มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก เมื่อมีผู้ทุกข์ร้อนมาหาท่าน เมื่อท่านช่วยเขาไปแล้ว ท่านพูดว่าดีก็จะดี ถ้าท่านพูดว่าอีกสามวันรู้ผล ก็รู้จริง ๆ กล้าพูด พูดด้วยความมั่นใจ

ในปี พ.ศ.๒๕๑๑ ปลายปี ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระครูชั้นประทวน ชื่อพระครูกวย ชุตินฺธโร ถ้าเป็นพระครูชั้นสัญญาบัตรจะไม่มีชื่อ พระครูชั้นประทวนนั้น ก็เหมือนทหาร ตำรวจยศจ่านั่นเอง ทางคณะสงฆ์ได้มีหนังสือให้พระที่ได้รับการแต่งตั้ง ให้เดินทางมารับใบตราตั้ง หรือใบแต่งตั้งที่กรุงเทพมหานคร ที่วัดโพธิ์ ท่าเตียน หลวงพ่อไม่ต้องการเป็นพระครูแต่ขัดคำสั่งไม่ได้ เมื่อมีคนขอให้ท่านก็รับในปีนั้น ถ้าจำไม่ผิด สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ คือ สมเด็จพระสังฆราชปุ่น เป็นผู้แจกให้ เมื่อท่านจะเดินทางมารับ ได้มีกรรมการวัดติดตามมาด้วย และได้ว่าจ้างรถนายเป๋ เป็นรถสองแถวที่วิ่งสายอำเภอสรรค-ชันสูตรไป

แต่รถนายเป๋เก่ามากอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งนายเป๋ไม่ชำนาญทางกรุงเทพฯ กว่าจะพาหลวงพ่อไปถึงวัดโพธิ์ก็สายมาก เมื่อถึงวัดโพธิ์ทางกรรมการวัดและศิษย์ได้ปรึกษากันว่าจะเข้าไปรับใบตราตั้งเอง เพราะเกรงว่าถ้าหลวงพ่อเข้าไปแล้วสมเด็จพระสังฆราชจะตำหนิหลวงพ่อเอาได้ เพราะสายมากแล้ว แต่เมื่อได้เข้าไปหาหลวงพ่อบอกความประสงค์ให้ท่านทราบ ท่านกลับทำเฉยไม่วิตกกังวล ท่านพูดว่า
“เรามาสาย ยังดีกว่าไม่มา เราเป็นครูเป็นอาจารย์เขา เรื่องแค่นี้เราทำไม่ได้ วันหน้าใครเขาจะนับถือเรา”

ท่านห่มผ้าเรียบร้อย ก่อนที่ท่านจะเข้าไปในอุโบสถวัดโพธิ์ ท่านสงบนิ่งคล้าย ๆ จะว่ามนต์ แล้วท่านก็เดินเข้าไปพระที่มารับใบตราตั้งเต็มไปหมดเป็นร้อยรูป มองท่านเป็นตาเดียวกัน แม้แต่พระสังฆราชปุ่นก็มอง ท่านเดินก้มตัวเล็กน้อย สำรวม ท่านเดินตรงดิ่งไปหาสมเด็จพระสังฆราช สังฆราชปุ่นก็มองท่านอยู่ พอท่านเข้าไปกราบสมเด็จพระสังฆราชได้ ๑ ครั้ง สมเด็จพระสังฆราชได้มารับมือท่านเอาไว้ไม่ให้กราบอีก พระองค์ทรงตรัสว่า

“พอเถอะ พอแล้ว อาจารย์ชื่ออะไร มาจากไหน”

หลวงพ่อได้ตอบว่า “กระผมชื่ออาจารย์กวย มาจากวัดโฆสิตาราม รถที่กระผมจ้างมา เขาไม่รู้จักทางกรุงเทพฯ เขาพาหลงอยู่เสียนาน กระผมเสียใจ กระผมมาสาย มาไม่ทัน”

เพียงคำตอบซื่อ ๆ ตรง ๆ ของท่าน ทำให้สมเด็จพระสังฆราชปุ่นเมตตาและสงสารหลวงพ่อมาก พระองค์ทรงตรัสว่า
 “เคยได้ยินชื่อเสียงอยู่เหมือนกัน”
และชวนหลวงพ่อค้างเสียที่วัดโพธิ์สักคืนหนึ่ง แต่หลวงพ่อก็ปฏิเสธ ท่านพูดว่ามากันหลายคนเกรงจะไม่สะดวก ในวันนั้นพระสงฆ์ที่มารับตราตั้ง ต่างมองท่านเป็นตาเดียวกัน บ้างก็พูดซุบซิบกันว่า พระองค์นี้สงสัยจะเส้นใหญ่ บ้างก็พูดว่าสงสัยนะเมตตาดีกราบแค่เพียงครั้งเดียวสมเด็จพระสังฆราชก็มารับมือเลย พระตั้งหลายร้อยรูปต้องกราบ ๓ ครั้งทั้งนั้น มาสายแต่ไม่โดนตำหนิเลย
เรื่องนี้แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม แต่ศิษย์ก็ภูมิใจในตัวหลวงพ่อ ที่หลวงพ่อพูดว่า

“เราเป็นครูเป็นอาจารย์เขา เรื่องแค่นี้เราทำไม่ได้ วันหน้าใครเขาจะนับถือเรา”

คาถาพระสีวลีอีกบทหนึ่งของหลวงพ่อ ดีทางเมตตามหานิยม คนรักใคร่ ทั้งชายหญิง ค้าขายดี มีเสน่ห์ ลองอ่านดูแล้วรู้สึกขนลุก ใครอยากเรียน ให้จุดธูปบอกกล่าวหลวงพ่อก่อนท่อง จักเกิดผล
ผมขอถอดคาถานี้ ทั้งไทยเเละขอม ตามหลวงพ่อจด โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงทุกตัวอักษร ตัวคาถาว่าดังนี้


คาถาพระฉิมภาลี


นะโมพุทธายะ พุทธะสังมิ นะชาลิติ อุชาลิติ ข้าพระธรณีเจ้าเอย รูปจะขอเสียงอาตมาพาบ ลูกจะขอลาบพระฉิมภาลี ขอเดชะพระภายเจ้าข้านี่เอ่ย จงมาพัตพระคาถานี้ ลอยละลิ่วปลิวไป เข้าดนใจคนทั้งหลาย นะคือตัวข้า อะคือตัวคลทั้งหลายเมตา โมกรุณา พุทธปลานิ ธายินดี ยะเอนดู นะสังสิโม นะสิสังนะ นะเลื่อนเปื้อน โมฟั่นเฝือ พุทงวยงง ธาหลงไหล สาระพัตจงงง สาระพัตจังงัง พรัมะจะริยัง หญิงชายทั่วทั้งแผ่นดิน อมมะนิจิตตัง อาคัชฉัยยะ อาคัชฉาหิ จิตคลทั้งหลาย มานี่ รักกูทุกผู้ทุกคล ใจมานี่รักกูทุกผู้ทุกคล มะอะอุ เกลื่อนกล่นกันมา สับพะบูชา พะวันตุเม พุทโธเม อัมหากัง สัตตะปาการัง ชะนะจิตตัง สังโตเม อัมหากัง สัตตะปาการัง ชะนะจิตตัง สิทธิพรหมา ชะนะจิตตัง สักขะมีชัย สิทธิเทวา ชะนะจิตตัง สักขะมีชัย สิทธิอินโก ชะนะจิตตัง สักขะมีชัย สิทธิราชา ชะนะจิตตัง สักขะมีชัย สิทธิเทวา ชะนาจิตตัง สักขะมีชัย ประสิทธิเม


จบพระคาถาพระฉิมภาลี แต่เท่านี้

จดหมายคุณวันชัย  มาลา
บริษัทขนมสากล ประตูน้ำพระอินทร์ อ.บางประอินทร์ จ.อยุธยา ๑๓๑๘๐
๔ มี.ค.๓๖

สวัสดีครับคุณครูเฒ่า

ผมส่งเงินมาทอดผ้าป่า ๑๐๐ บาท ครับ ผมขอเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์ ของหลวงพ่อให้ฟัง ผมเช่าปรกโพธิ์เล็กมา ๑ องค์ ผมเอาไปเลี่ยมทอง ค่าเลี่ยมทอง ๑,๘๕๐ บาท ผมก็เลยเอาเลขราคาเลี่ยมทองไปซื้อหวย ผมซื้อ ๘๕๐ และ ๕๐ ส่วนภรรยาซื้อ ๑๕๐ กับ ๕๐ และหวยออก ๓ ตัวบน ๑๕๐ เมื่องวดส่งท้ายปีเก่าปี ๓๕ ภรรยาผมเขาโชคดีกว่าผม เขาถูกเกือบ ๕,๐๐๐ บาท ส่วนผมถูกแค่ ๒ ตัว ๕๐ ได้ไม่กี่ร้อยเองแต่ผมก็ดีใจที่หลวงพ่อเมตตาผมอย่างมากครับ

นับถืออย่างสูง

วันชัย  มาลา


จดหมายจากคุณนพคุณ ภู่ระย้า
๓๕/๘ ข้างโรงภาพยนตร์โคลีเซียม
 
เรียนอาจารย์เฒ่า ที่เคารพ

ผมท่องคาถามงกุฎพระพุทธเจ้าที่หลวงพ่อกวยชอบ และชอบอ่านผลงานของคุณมาตลอดผมตัดรูปหลวงพ่อกวยในหนังสือนะโม ที่คุณบอกว่ารูปท่านจะศักดิ์สิทธิ์ตลอดกาล เพราะก่อนถ่ายท่านจะอธิษฐานตัวก่อน ผมระลึกถึงท่านเสมอ ผมเล่นสนุกเกอร์ได้เงินทุกครั้งที่พกพารูปท่านไปด้วย แล้ววันที่ผมดีใจมากก็มาถึง ผมขอพรกับท่าน ขอให้ถูกหวย ผมถูก ๙๙ และวิ่ง ๙ อีก ๑๐๐ บาท ท่านเก่งจริง ๆ แม้จะขอในสิ่งที่ไม่ถูกต้องนักเช่นสนุกเกอร์ แต่ท่านก็ช่วย

ผมเคารพท่านมาก
นพคุณ  ภู่ระย้า
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 17, 2013, 11:22:47 am
บันทึกพี่วินัย

ต่อไปเป็นเรื่องเกี่ยวกับ คำบอกเล่าของคุณพี่วินัย  อิสริยสุนทร  คุณพี่วินัยได้เดินทางมาพบผมก่อนงานผ้าป่าปี พ.ศ.๒๕๓๕ เล็กน้อย โดยบอกว่าปีนี้พี่เขาก็จะมาเป็นปกติคือมาทุกปี ถ้าไม่มีธุระอะไร มาแล้วก็ดีขึ้นกว่าเก่าทุกปี ผมได้ถามพี่เขาว่า ปีนี้มารถอะไร คุณพี่ตอบว่า ปีนี้ต้องเอารถ ๖ ล้อมาคนมามากขึ้น คุณพี่บอกว่าหลวงพ่อเราเก่งจริง ๆ ไม่ทำให้เสียหน้าเลย เอาเหรียญไปฝากใคร ทุกคนล้วนแต่มีประสบการณ์และเป็นประสบการณ์ชนิดเด็ดขาด ลืมไม่ลง เขาเลยอยากมากราบรูปหล่อของหลวงพ่อ อยากมาเห็นเลยต้องเอารถ ๖ ล้อมา เจ้าของเรื่องชื่อ

คุณจริยา  แก้วสุวรรณ  (กระต่ายทอง) บ้านอยู่ที่บ้านด่านมะขามเตี้ย กิ่ง อ.มะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี ขณะกำลังตั้งท้อง ลูกเขาไม่แข็งแรง คุณหมอได้ตรวจแล้ว ผลออกมาคือ เลือดของพ่อ ๑ กรุ๊ป กับเลือดของแม่ ๑ กรุ๊ปไม่เข้ากัน เป็นอันตรายต่อเด็กมาก คุณหมอคนนี้เก่งมาก เมื่อเด็กจะออกหมอได้นัดให้ไปผ่าออก ตกลงหมอนัดในวันรุ่งขึ้น คือวันเสาร์คุณจริยาก็เลยเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า วันนั้นเป็นวันศุกร์ เตรียมตัวขึ้นเขียง ก็จะไปในใจของคุณจริยา ใจหนึ่งก็อดกลัวไม่ได้ เมื่อไม่มีทางจริง ๆ คุณจริยาได้ระลึกถึงหลวงพ่อกวยได้ตักน้ำนำมาตั้งต่อหน้ารูปถ่ายท่าน ขอให้ท่านทำน้ำมนต์ให้ ขอความสวัสดีมีชัย จงบังเกิดแด่เขาด้วย จริง ๆ แล้วไม่อยากจะผ่า แล้วก็ดื่มน้ำนั้นโดยสมมุติว่าเป็นน้ำมนต์ทิพย์จากหลวงพ่อ เมื่อคุณจริยาดื่มน้ำมนต์ไปแล้วเกิดมีอาการปวดท้อง ต้องพาส่งโรงพยาบาล เมื่อไปถึงโรงพยาบาลก็คลอดลูกออกมาเป็นผู้ชายสุขภาพแข็งแรง เรื่องวิชาเกี่ยวกับการคลอดบุตรนี้ หลวงพ่อท่านมีความชำนาญมาก ท่านเคยเป่าหัวให้ภรรยาคุณลุงทอด เป่าทีเดียวแล้วหันหลังเดินลงบันไดยังไม่ทันลง ปรากฏว่าภรรยาลุงทอดคลอดลูกออกมา ท่านไม่หันไปดูเลย คือท่านไม่พอใจลุงทอดได้บังคับให้ลุงทอดเรียนวิชาเอาไว้ แต่ลุงทอดไม่ชอบเรียน คาถาเกี่ยวกับกุมารนี้อาจารย์ของท่านเป็นศิษย์ในสายหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค

อีกเรื่องหนึ่ง น้องสามีคุณจริยา ได้เมายาม้า ขับรถ ๑๐ ล้อ ออกจากอู่ ซึ่งเป็นรถของคุณจริยากับสามี ได้ขับรถ ๑๐ ล้อด้วยความเร็ว ขับมาทางพระแท่นดงรัง คุณจริยากับสามีได้ขับรถกระบะตาม เพราะเป็นห่วงรถ ๑๐ ล้อ ได้ขับมาทัน แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร คุณจริยาได้ระลึกถึงหลวงพ่อกวยได้หยิบเหรียญเขาใหญ่ออกมากำเอาไว้ แล้วขอให้รถ ๑๐ ล้อหยุด อัศจรรย์รถ ๑๐ ล้อ ซึ่งขับมาด้วยความเร็วได้หยุดเฉย ๆ เลย คนขับซึ่งเมายาม้าได้ลงจากรถ ลงไปที่ศาลาที่พักคนเดินทางแล้วนอนเฉย ๆ เลย สามีคุณจริยาจึงขับรถ ๑๐ ล้อกลับ เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาจจิตของหลวงพ่อ

อีกเรื่องหนึ่ง หมู่บ้านด่านมะขามเตี้ยที่คุณจริยาอาศัยอยู่ได้เกิดลมพายุขนาดใหญ่และแรงมาก พัดอื้ออึง คุณจริยากลัวว่าบ้านจะพังเพราะลมพายุ จึงได้ว่าคาถากันลมกันฝนกันฟ้า ของหลวงพ่อ เมื่อพายุสงบ ปรากฏว่า บ้านคุณจริยาไม่เป็นอะไรเลย แต่บ้านคนอื่นพังไปหลายหลัง

อีกเรื่องหนึ่ง ลูกชายคุณจริยา อายุ ๔ ขวบ ได้คล้องเหรียญเล็ก ออกวัดเดิมบาง วันหนึ่ง นายบังคนใกล้ ๆ บ้านได้หยิบพระของลูกชายคุณจริยาดู จะเป็นด้วยปากไม่ดีหรือตาไม่ดีไม่แน่ชัด นายบังได้อ่านชื่อหลวงพ่อออกมาว่าซวย คุณจริยาโมโหมากได้พูดว่ามึงนะซิซวย นายบังเมื่อโดนว่าทำหน้าไม่ดีพอวันรุ่งขึ้นมีอาการเอวเคล็ด เคล็ดเฉย ๆ เลยต้องมาขอโทษต่อเหรียญของหลวงพ่อจึงหาย ผ้าป่าในปี พ.ศ.๒๕๓๕ คุณจริยาได้มอบเงินมูลนิธิหลวงพ่อ ๕๐๐ บาท และมีน้องสาวคุณพี่วินัย ชื่อคุณวันนี อิสริยสุนทร ได้บนหลวงพ่อขอให้สอบเข้าทำงานได้ โดยบนว่าถ้าสอบได้จะมอบเงินมูลนิธิ ครึ่งหนึ่งของเงินเดือนเดือนแรก ก็ปรากฏว่าสอบเข้าได้จริงจึงนำเงินมามอบให้ ๒,๘๕๐ บาท ขอขอบคุณมากครับ

ก็ขอสมมุติ จบบันทึกของคุณพี่วินัยแต่เพียงนี้ คุณพี่ยังเล่าว่านายเปี๊ยก บ้านอยู่บ้านบ่อสุพรรณ บ้านเดียวกับคุณพี่จะไปทำงานที่ญี่ปุ่น แต่ไปไม่ได้สักที พอบอกกับหลวงพ่อ ปรากฏว่าไปได้ ก็นับว่าแปลกดี เท่าที่จำได้มีคนบนกับหลวงพ่อแล้วไปญี่ปุ่นได้ ๒ คน แล้วถึงตอนนี้อยากบอกหลวงพ่อว่าถ้าเขามาบอกให้ช่วยจะไปทำงานญี่ปุ่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ประเทศอเมริกา หรือยุโรป หลวงพ่อช่วยเขาได้ก็ช่วยเถอะ แต่ถ้าเขาขอให้หลวงพ่อช่วยให้ไปทำงานประเทศแขกหลวงพ่อย่าไปช่วยเขาเลย แขกมันใจดำ ประเทศก็มีแต่ทะเลทราย

จดหมายจากคุณอุดม  บุญรอด
๑๐๒ ม.๔ ต.ท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ๘๒๑๒๐

๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๕

ถึงคุณเฒ่า สุพรรณ

ผมมีเรื่องจะเล่าให้คุณฟังคือ ผมได้นำรูปหลวงพ่อกวย กับผ้าจีวร ที่คุณส่งมาให้ผมลองไปให้ท่านหลวงปู่หนึ่ง ซึ่งเป็นศิษย์หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ลองจับพลังดู ท่านพูดว่าแรงมากแรงเหมือนกับพระสมเด็จโต วัดระฆังเลย ผมเลยเคารพนับถือหลวงพ่อกวยมากขึ้นตั้งแยะเลย

ขอแสดงความนับถือ

อุดม  บุญรอด


จดหมายคุณบัณฑิต  เก่งทอง
๕ กรกฎาคม ๒๕๓๖

สวัสดีครับคุณเฒ่า

ผมมีเรื่องจะเล่าให้คุณเฒ่าฟังคือ ผมได้บนกับหลวงพ่อเอาไว้ ให้ผมสอบติดสาธารณสุขครับ และผมก็สอบติดจริง ๆ แต่ผมเรียนแล้วอยู่ไม่ได้ เลยลาออกมาเรียนอยู่รามคำแหง คณะวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

บัณฑิต  เก่งทอง


ตอบตอบ คุณบัณฑิต คุณบนกับหลวงพ่อแล้วแก้บนด้วยนะคือหลวงพ่อชอบคนเรียนหนังสือเหมือนกัน เมื่อไม่นานมานี้ คุณณรงค์  หทัยวิทุฑพงษ์ ๒๒/๒๒ ถ.ติวานนท์ ปากเกร็ด นนทบุรี ก็บนขอให้สอบเข้า ร.ร.ทหารเรือให้ได้ ปรากฏว่าได้ แต่ไปเรียนไม่ได้เสียอีก อีกคนท่าน พ.ต.ราชิต  อรุณรังสี  กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ บนให้สอบเลื่อนจาก พ.ต. เป็น พ.ท. ก็สอบได้ บนให้ขายที่เป็นที่ที่ไม่สวยบอกขายมานานก็ไม่มีใครซื้อ แต่บนกับหลวงพ่อก็ขายได้ นับว่าแปลกพอสมควร ผมยังคิดถึงท่าน พ.ต.ราชิต อยู่เสมอ ทำบุญมูลนิธิมาประจำ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 19, 2013, 10:38:37 am
ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓๖๖
วันที่ ๑๕ ธ.ค. – ๒๕ ธ.ค.๒๕๓๖
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



อภินิหารแหวนนิ้วกันภัย

จดหมายคุณต่อ ปฐมเจดีย์
ลองอ่านดู
พระปฐมเจดีย์
ถึง อาจารย์สมจิตต์ ที่เคารพ     

จ.ม.ฉบับนี้ผมส่งเอกสารประสบการณ์วัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยมาด้วย ดังนี้
 
เมื่อกลางเดือนที่แล้ว (พฤศจิกายน) ผมไปเข้าค่าย ร.ด. ที่ปราณบุรี วันออกเดินทางผมเร่งรีบมากจนลืมเอาพระพวงเอกห้อยคอไป รถแล่นไปได้กลางทางถึงนึกขึ้นมาได้ ผมก็ชักสยิวพอดีเหลือบไปเห็นแหวนหลวงพ่อกวยที่สวมติดนิ้วประจำจึงค่อยเบาใจ ครั้นพอฝึกภาคสนามต้องฝ่าดงกับระเบิดจำลอง มีผมสามารถฝ่ามาได้คนเดียว คนอื่นถูกระเบิดลวงหมด ครูฝึกยังแปลกใจว่าเส้นทางที่ผมผ่านก็มีกับลวงเต็มทางแต่ก็ไม่ระเบิด ครั้งที่ ๒ ผมต้องอยู่เวรเฝ้าค่ายกำลังสัปหงกเพลิน ๆ มีอะไรเคาะสะกิดหน้าแข้งผม พอลืมตาดู โอ้โฮ แมงป่องช้าง ตัวเกือบครึ่งฝ่ามือมาดุน ๆ หาก็ไม่ชู ผมรีบจ้ำยาวเลย ยังแปลกใจ ทำไมแมงป่องถึงไม่ต่อยผมตามสัญชาติญาณ แถมหางก็ตก ครั้งที่ ๓ ผมออกสำรวจฐานที่ตั้ง ที่เขาฉลักฉลาม เดินไปเดินมาแยกจากกลุ่มได้ยังไงก็ไม่ทราบมารู้ตัวอีกทีก็อยู่กลางป่าแล้ว ผมชักใจไม่ดีสั่นไปหมด คาถาอะไรก็คิดไม่ออกเหลือเพียงแหวนนิ้วหลวงพ่อกวยเท่านั้น ผมถอดออกมา พนมมือเหนือหัวขอให้หลวงพ่อช่วยด้วย แล้วกลับข้างแหวนใส่ แล้วเดินลองเสี่ยงทายดูลุยไปตามดงไม้ สักพักก็มีเสียงเพื่อนผมกู่หาตัวผมดีใจมากรีบตามเสียงไปก็พบเพื่อนและครูฝึก (พลบค่ำแล้ว) ครูฝึกถึงกับออกปากว่า “สงสัยไอ้นี่จะมีของดี เพราะย่านนี้ (เขาฉลักฉลาม) พวก ผกค.อยู่เต็มไปหมด แต่กลับไม่ถูกจับไป” ผมขนลุกทันที ถ้าไม่ได้หลวงพ่อกวยช่วยไว้ผมคงลำบากแน่ ๆ



กินข้าวเสียก่อน

เล่ากันว่าพระที่ฝึกจิตมาดีแล้วพลังจิตของท่านที่เพ่งออกไปจะทางจิตหรือทางดวงตา สามารถสะกดสัตว์ร้าย เช่น ช้าง เสือ คนบ้า หรือเครื่องยนต์กลไก ฯลฯ ซึ่งสร้างจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้หยุดทำงานได้ หรือทำงานได้เองโดยไม่ต้องมีคนบังคับหรือควบคุม

มีศิษย์ท่านคนหนึ่งชื่อ ชิต จะบวชเป็นพระมานานหรือไงไม่แน่ใจ คนเขาเรียกสมุห์ชิต หรือมหาชิต เป็นทางท่าระบาดมีความเคารพในองค์หลวงพ่อกวยมากได้นำกฐิน ผ้าป่า มาทอดที่วัดบ่อย ๆ รู้สึกว่าจะจัดมาจากทางกรุงเทพฯ เมื่อมาก็จัดทำนองมาเที่ยวสถานที่สำคัญด้วย คือแวะเที่ยวไปในตัว ครั้งหนึ่งมหาชิตได้นำผ้าป่ามาทอดเป็นเวลาเพล และใกล้เวลาอาหารกลางวัน เมื่อทอดเสร็จมหาชิตก็จะไปเลย คือพาคนในรถเที่ยว แต่ทางวัดได้เตรียมอาหารไว้ต้อนรับแล้ว มหาชิตก็พาคนที่มาทอดผ้าป่าเข้าไปกราบลาหลวงพ่อ หลวงพ่อเห็นว่าเป็นเวลากลางวัน และทางวัดได้เตรียมอาหารกลางวันไว้แล้ว หลวงพ่อได้พูดกับมหาชิตว่า “พวกมึงกินข้าวเสียก่อนค่อยไป” มิใยที่หลวงพ่อจะทักท้วงมหาชิตก็ไม่สนใจ ได้กลับขึ้นรถ อัศจรรย์คือโชเฟอร์คือคนขับรถสตาร์ทรถเท่าไรก็ไม่ติด แก้เท่าไรก็ไม่ติด ผลก็คือคนที่มาทอดผ้าป่าต้องกลับขึ้นไปกินข้างกลางวันที่วัด 

เมื่อกินอิ่มดีแล้ว ก็เข้าไปลาหลวงพ่อใหม่ คราวนี้โชเฟอร์สตาร์ทรถทีเดียวติดไปได้เลย

เรื่องที่ท่านทำให้รถดับเฉย ๆ นี่มีประจำ ถ้าเป็นศิษย์ใกล้ชิดแค่ผ่านศาลนายดอกแล้วไม่บีบแตร บางทีรถดับเฉย ๆ ก็มี บางทีขี่รถผ่านรูปหล่อใหญ่ลืมนึกถึง เครื่องดับเฉย ๆ ก็มี


หลวงพ่อมาเข้าฝัน
จดหมายคุณวิชัย  มาลา
หอพัก

๑๘ พ.ย.๒๕๓๔

สวัสดีครับ อาจารย์เฒ่า ที่เคารพ     

ผมจะขอเล่าความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อกวย ที่เกิดขึ้นกับตัวผมเมื่อ ๒-๓ วันก่อน อาจารย์คงจำผมได้เมื่อเดือนที่แล้ว ผมส่งเงินมาทำบุญมูลนิธิกับหลวงพ่อ ๒๐๐ บาท ผมได้ขอรูปดวงแก้วสีวลีจากอาจารย์อย่างเดียว แต่อาจารย์ได้ส่งรูปดวงแก้ว รูปหลวงพ่อ รูปหลวงพ่อกับหลวงพ่อเดิม เหรียญหลวงพ่อกวย เหรียญหลวงพ่อบุญเย็น เหรียญขวัญถุงหลวงปู่หล้า ผมขอขอบคุณมาก ๆ ครับ เมื่อผมได้รับ ผมก็เอาใส่ซองไว้ตามเดิม แต่ไว้บนหิ้งพระพอตอนกลางคืนผมก็สวดมนต์ แล้วพูดกับหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อมาอยู่กับลูกขอให้ลูกมีโชคมีลาภบ้าง” ผมสวดมนต์ขอพรเป็นประจำทำได้ ๒-๓ คืน คืนหนึ่งผมฝันเห็นผี ผมกลัวได้วิ่งไปหาหลวงพ่อกวย ผมบอกท่านว่า ผมมาไกล ช่วยผมด้วย หลวงพ่อได้เป่าหัวผม ๑ ที หัวผมเย็นมากเย็นแว๊บเลย เย็นจนตื่นเลย แล้วผมก็หลับต่อ ในความรู้สึกของผมก็คือ รูว่าถ้าท่านเป่าหัวให้จะมีโชค แล้วฝันต่อ เห็นท่านหยิบหม้อดินขึ้นมา แล้วเขียนเลข ๐๘ แล้วผมก็สะดุ้งตื่นเพราะเย็นหัว เย็นมาก เย็นแว๊บเลย ผมตื่นตี ๔ ครึ่ง แล้วเล่าเรื่องให้ภรรยาฟัง ต่อมาผมซื้อหวย ๔ คู่ เลข ๐๘ ภรรยาภรรยาซื้อใต้ดิน ๑๐ บาท พอวันที่ ๑๖ พ.ย.๓๔ หวยออก ๐๘ ผมดีใจมาก ผมได้ถ่ายซีล็อกซ์สลากกินแบ่งรัฐบาลมาให้ดู เพื่อยืนยัน และได้ส่งเงินมาเข้ามูลนิธิอีก ๕๐๐ บาท ผมมาคิดดู ถ้าศิษย์ของหลวงพ่อมีความจริงใจ ตั้งใจจริงจะทำบุญกับท่าน ท่านให้โชคได้ โชคเราพอมีท่านต้องให้เราแน่นอน เพราะหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ บอกเลขในฝันบอกตรง ๆ เลย อย่างนี้จะไม่ให้นับถือได้อย่างไร   

ด้วยความเคารพ
วิชัย  มาลา

บริษัทขนมสากลจำกัดประตูน้ำพระอินทร์
อ.บางประอินทร์ จ.อยุธยา ๑๓๑๘๐


ตอบตอบ คุณวิชัย เงินมูลนิธิ คุณ ๒ ครั้ง ได้รับแล้วครับ ลงชื่อคล้ายคลึงให้ คุณไม่อยากให้ลงชื่อจริงเรื่องเหรียญหลวงพ่อเย็น หลวงพ่อม่น มีคนมอบให้ผมไว้แจกมูลนิธิครับ ตอนนี้หมดแล้วครับ ดีใจด้วยครับที่หลวงพ่อเมตตาคุณครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 20, 2013, 10:35:26 am
ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓๖๗
วันที่ ๒๕ ธ.ค.๒๕๓๖ – ๕ ม.ค.๒๕๓๗
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



เพียงเอ่ยชื่อถึงหลวงพ่อ


หลวงพ่อเป็นพระที่เมตตาศิษย์ ถ้าศิษย์เดือดร้อนแม้เพียงตะโกนร้องเรียกให้ท่านช่วย หลายครั้งที่ท่านสามารถช่วยไว้ได้ แม้จะอยู่ไกลแสนไกลหรือใกล้ เพียงตะโกนเรียกชื่อท่านเพียงเสี้ยววินาทีเดียวท่านก็เคยช่วยไว้ได้ แม้บางคนคล้องพระปลอม รูปถ่ายปลอม เป็นรูปท่านแต่เคารพในตัวท่านบางคนยังเคยถูกหวย บางคนโดนรถชนแต่คล้องพระปลอมเป็นรูปท่านได้เอ่ยชื่อตะโกนเรียกชื่อท่านให้ท่านช่วย ท่านก็เคยช่วยได้

นายแหยมเป็นคนปากน้ำบ้านผมผู้เขียนเอง มีความเคารพในตัวหลวงพ่อมาก แต่เป็นคนค่อนข้างจะไม่ใช่ของจริงนัก ตัวโต เคี้ยวหมาก ชอบคุยโม้สนุกสนาน หลวงพ่อให้มีดมากี่เล่มก็ขายหมด คือแกเป็นหมอผี แต่แท้จริงแกกลัวผีมาก พอแกขับผีออกเจ้าของบ้านมักจะขอเช่ามีดของแกต่อ ทำให้มีดหมอของแกหมดไป ภายหลังแกสามารถคิดค้นเอามีดมาจารคาถาแล้วขับผีได้ และตัวแกเองก็หนังไม่ค่อยจะดีนัก แกเลยกลัวหมาของหลวงพ่อมาก เวลาไปหาหลวงพ่อ ถ้าไม่เจอกรรมการวัดคอยดูหมาให้ แกจะไม่กล้าขึ้นไปหาหลวงพ่อเลย ได้แต่เดินวนอยู่ใต้ถุนกุฏิ เดินไปเดินมา ๖-๗ รอบก็กลับ สมัยก่อนการเดินทางไปหาหลวงพ่อต้องเดินไปหรือขี่จักรยานยนต์ไป ระยะทางเกือบ ๒๐ กิโลเมตร วันหนึ่งแกมาวัดหลวงพ่อและมาเยี่ยมญาติแถว ๆ หัวเด่น บ้านแค แกเดินไป ตอนไปก็มีคนถามว่าจะไปไหน แกก็มักจะพูดโอ่คุยว่าไปหาหลวงพ่อกวยซักหน่อย เพราะหลวงพ่อกวยสมัยนั้นใครได้ไปกราบถือว่าเป็นบุญวาสนามาก ต้องใจกล้า ใจถึง กล้าไม่กลัวหมาของท่านจึงได้พบ แต่วันนั้นแกไปไม่เจอใคร แกเลยวนอยู่ใต้ถุนกุฏิ ๖-๗ รอบ พอขากลับจวนจะถึงปากน้ำบ้านของแกอยู่แล้ว เรียกว่าบ้านทุ่งกระถิน คนบ้านทุ่งกระถินเป็นคนจริง คนบ้านทุ่งกระถินเห็นแกหาบกระเทียมมาญาติให้มา เขาได้ร้องถามว่าไหนเล่าไปกราบหลวงพ่อกวยมา ได้อะไรมาบ้าง ความที่แกอายไปหาหลวงพ่อแล้วกลัวหมากัด เลยไม่ได้ขึ้นไปกราบ แกได้คุยโม้ไปว่าหลวงพ่อให้ชานหมากมา กูยังเคี้ยวอยู่เลย ถ้ามึงไม่เชื่อ มึงเอาปืนมายิงได้เลย ชาวบ้านทุ่งกระถินกลุ่มนั้นกำลังพักร่มใต้ร่มไม้อยู่พอดี เห็นลุงแหยมคุยว่าได้ชานหมากหลวงพ่อกวยมา แถมท้าให้ยิงเสียอีก มีอยู่คนหนึ่งมีปืนลูกซองสั้นไทยประดิษฐ์เมดอินไทยแลนด์ ได้ชักปืนออกมาขอทดลอง นายแหยมก็ใจดีสู้เสือ หยิบชานหมากหลวงพ่อออกจากปากบอกเล่าเรียกหลวงพ่อให้ช่วย ผลคือ ปืนลูกซอง ๓ นัด ยิงชานหมากนายแหยมไม่ออกเลย แถมนัดที่ ๓ ลูกปืนยังคาลำกล้องอีกด้วย ผลที่ตามมาคือ ชานหมากหมอแหยมโดนคนทุ่งกระถินแย่งเอาไปหน้าตาเฉยเลย หมอแหยมปัจจุบันตายแล้ว มีลูกชายที่ฉลาด ใหญ่โต บวชพร้อมผม ใจถึง เคยท้าผมชกขณะเป็นพระ ผมเห็นว่าเขาตัวโตกว่ามาก ผมเลยบอกกับเขาไปว่า ไว้ให้ลาสิกขาบทเสียก่อน วันเวลาหมุนเร็ว เพียงแค่อยู่คนละฝั่งเท่านั้น และผมก็ลืมชื่อเขาไปนานแล้ว ครั้งหนึ่งไปเจอกันจำได้ เขาเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๑ ต.ปากน้ำ ชื่อผู้ใหญ่ฮะ วันนั้นผมก็ว่าผมไม่ได้เมา แต่จำได้ว่าเขาเคยท้าผมชกทีนึง ตอนนั้นน้ำหนักผม ๕๒ กิโลกรัม เขาน้ำหนักตัว ๖๐ กว่ากิโลกรัม ปัจจุบันคงพอ ๆ กัน คือ ๗๐ กว่ากิโลกรัม ผมเลยแกล้งชวนสัญญาเมื่อ ๒๐ ปีก่อน เขายิ้ม ๆ เขาคงไม่กลัวผมเท่าไร แต่คงกลัวเสียชื่อ ก็สมมุติยุติเรื่องแม้เพียงเอ่ยชื่อหลวงพ่อ     

มนต์พญาไก่เถื่อน

ต่อไปจะกล่าวถึงมนต์พญาไก่เถื่อน คำว่าเถื่อนก็คือป่า ไก้เถื่อนก็คือไก่ป่า ไก่ป่ากับไก่แจ้นั้นคล้าย ๆ กันแต่เดิมไก่แจ้นั้นถือกำเนิดมาจากไก่ป่าเมื่อมีการสร้างวัด ในวัดมีอาหารสมบูรณ์และปลอดภัยไก่ป่าเลยมาอยู่อาศัยนาน ๆ เข้าก็เป็นไก่แจ้ อ้วนสมบูรณ์

หลวงพ่อท่านเลี้ยงหมาไว้ ๕-๖ ตัว อ้วนสมบูรณ์ใหญ่โต มันรักท่านมาก ถ้าจะเปรียบเทียบ คือให้ผมเปรียบเทียบ แต่เปรียบเทียบด้วยความเคารพน่ะครับ มันรักท่านเหมือนมันรักลูกอ่อนของมัน ใครจะแตะต้องท่าน ของ ๆ ท่านเป็นไม่ได้ เวลาเข้าไปหาท่าน มันจะหมอบใกล้ ๆ เหมือนในรูปที่ผมเคยนำมาลงให้ดูเห็นในรูปแล้วอดคิดถึงเพลง “เลิฟ มี เลิฟ มาย ด็อก” ไม่ได้ เพลงนี้มีความว่า เมื่อรักท่านก็ควรต้องรักหมาท่านด้วย ทีนี้ท่านเลี้ยงแมวไว้ด้วย แต่รู้สึกว่าแมวเขาจะไม่ค่อยมีบทบาทอะไร แต่แมวท่านก็ดุ เวลาแมวท่านมาอยู่ใกล้ ๆ ท่าน หมาต้องลงไปหมอบชั้นล่าง คือแมวอยู่สูงกว่าประมาณ ๑ ฟุตได้ คือกุฏิท่านทำไม่เสมอกัน แต่มันก็ไม่เคยทะเลาะกันให้ท่านเห็นหรือให้ใครเห็นเลย แถมเวลากินข้าวมันยังกินสำรับเดียวกันอีก แต่ข้าวในจานที่ท่านฉันเมื่อท่านฉันพอแล้วท่านจะหยิบกับข้าวดี ๆ คลุกกับข้าวเอาใส่ไว้ในจาน หมาและแมวท่านจะเข้ามากินตอนที่ท่านฉันอิ่มแล้ว ขณะที่ท่านฉันมันจะไม่เข้ามากวนเลย มันจะหมอบกันสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เมื่อท่านฉันเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ให้หมาและแมวท่านกินกันในสำรับท่านเลย หมาและแมวท่านก็กินกันวันละ ๑ มื้อเท่าท่านเช่นกัน



ทีนี้จะกล่าวถึงมนต์หรือคาถาพญาไก่เถื่อนที่ท่านเสกให้แมวและหมารักกัน เล่ากันว่าคาถานี้ใช้เสกหญ้าเสกอาหารให้สัตว์ดุร้ายกินแล้วเชื่องได้คาถาว่าดังนี้
“เวทา สากุ กุสาทาเว ทายะสาตะ ตะสายะทา สาสาทิกุ กุทิสาสา กุตะกุภู ภูกุตะกุ”

เห็นว่าคาถานี้สมควรบันทึกเอาไว้ไม่อยากให้เสื่อมสูญ ไม่รู้ว่าถ้าจะนำไปเสกข้าวให้ภรรยาคนโตอายุ ๓๕ กับภรรยาคนเล็กอายุ ๑๘ กิน ไม่รู้ว่าใช้ได้หรือเปล่า

ว่าจะจบก็จบไม่ลงด้วยอำนาจมนต์ และคาถาของท่านที่ได้เสกข้าวให้หมาท่านกิน วันหนึ่งหมาท่านชื่อไอ้หลง หรือกาหลง เกิดเป็นบ้าหรือโรคกลัวน้ำ โรคนี้เกิดจากไวรัสชนิดหนึ่ง ไอ้หลงได้อาละวาดได้กัดอาจารย์ตั้ว บาดแผลเริ่มอักเสบเรื้อรังและมีสีเขียว แสดงว่าติดเชื้อ จิตใจไม่ค่อยดี ได้เข้าไปหาหลวงพ่อ เล่าอาการและเอาแผลให้ท่านดู ท่านได้ให้อาจารย์ตั้วไปรักษากับหมอเหลียว คือหมอเหลียวหรือหมอเฉลียวเขาได้ตำราการรักษาโรคหมาบ้าจากท่านไป เมื่อท่านให้ไปแล้วใครเป็นอะไรท่านก็ให้ไปหาศิษย์ท่าน ปรากฎว่ารักษาหาย ไม่น่าเชื่อและไม่น่าเป็นไปได้สำหรับแพทย์แผนปัจจุบันจะพูดว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดน่าเสียดายหมอเฉลียวปัจจุบันอพยพไปอยู่ที่อื่นเสียแล้ว

ทีนี้ไอ้หลงเมื่อมันบ้า คือจิตใจมันคงไม่ค่อยดี มันกระวนกระวายแต่ก็ไม่กัดใครอีก ศิษย์ท่านชื่อรวมได้เห็นว่าถ้าปล่อยให้อาละวาดอาจไปกัดคนมาทำบุญได้ ได้ไปขออนุญาตท่านเพื่อฆ่าให้ตาย ท่านก็ไม่ได้พูดอย่างไรคือก็ไม่ได้บอกอนุญาต ท่านคงจะสะเทือนใจท่านเบือนหน้าหนี แล้วพูดว่า“ไปดีเถอะหลงเอ๊ย ไปเกิดใหม่”แล้วท่านก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย จนกระทั่ง

เมื่อนายรวมได้บอกหลวงพ่อแล้วก็เอาปืนลูกซอง บรรจุลูกโดดลงมาด้านล่างมาดักยิงไอ้หลง ผลคือยิงออกดังปัง ปรากฎว่ายิงไม่เข้าจะยิงกี่นัดก็ไม่เข้า บังเอิญไอ้หลงอาการย่ำแย่เลยทุบซะตาย เมื่อตายแล้วก็ไปบอกหลวงพ่อ หลวงพ่อได้ให้หาฟืนมาเผา เผาหมดฟืนไปสามกองไอ้หลงก็ไม่ไหม้ไฟ ได้แต่ดำไปเฉย ๆ นายรวมได้ขึ้นไปบอกหลวงพ่อให้ลงมาดู หลวงพ่อท่านคิดอย่างไรของท่านไม่รู้ ท่านได้นิมนต์พระในวัดมาสวดบังสุกุลให้หมาท่าน พระที่สวดให้หมาท่านตอนนั้นเท่าที่จำได้มีพระทวาย พระกริ่ง พระป๋อง อาจารย์ตั้ว ท่านได้ถวายปัจจัยองค์ละ ๕๐ บาท เมื่อสวดเสร็จท่านได้ใส่ฟืนเอง คราวนี้ไหม้

เรื่องที่ไอ้หลงเผาไม่ไหม้นี่เข้าใจว่าเป็นเพราะอาคมท่านที่เสกข้าวให้มันกิน ภายหลังเมื่อหมาท่านตายอีกท่านให้ขุดหลุมฝังทั้งหมด
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 23, 2013, 12:52:14 pm
วัตถุมงคลวัดเขาใหญ่


ต่อไปจะขอเล่าถึงวัตถุมงคล คือ เหรียญหลวงพ่อกวย ที่ออกที่วัดเขาใหญ่ ความจริงเหรียญรุ่นนี้ ผมตั้งใจว่าจะประกาศให้ทราบก่อนจบเรื่องของท่าน หรือไม่ก็จะมอบให้ท่านเป็นของขวัญปีใหม่ เอาเข้าจริงแล้วมีจดหมายเขียนมาถามผมมาก เรื่องเหรียญรุ่นนี้ผมจึงเห็นว่าเหรียญรุ่นนี้สมควรจะออกสู่สายตาชาวโลกซะที

กำเนิดเหรียญรุ่นนี้ เกิดจากท่านพัศดีเรียน นุ่มดี ท่านเป็นคนท่าเตียน อ.เดิมบางนางบวช สุพรรณบุรี ใกล้ ๆ กับวัดเขาใหญ่ ท่านเป็นพัศดีเรือนจำ จังหวัดนครสวรรค์ เป็นผู้ตั้งมั่นในพระศาสนา ท่านเห็นว่าวัดเขาใหญ่ซึ่งอยู่ในอำเภอเดิมบางนางบวช ใกล้บ้านท่านชำรุดทรุดโทรม พระภิกษุสามเณรไม่มีน้ำใช้น้ำฉัน จึงได้คิดบูรณะขึ้นให้ดี ด้วยกุศลเจตนาอันดีและบริสุทธิ์ ท่านจึงได้ขออนุญาตพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ๙ รูปเพื่อขออนุญาตสร้างเหรียญขึ้น ชื่อว่าเหรียญจตุรพิธพรชัย ๙ พระอาจารย์ และได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษกขึ้นที่วัดหอรัตนชัย หรือวัดจีน ต.หอรัตนชัย อ.พระนคร จ.พระนครศรีอยุธยา สาเหตุที่ท่านได้นำไปประกอบพิธีที่วัดหอรัตนชัย เพราะภรรยาท่านเป็นชาว จ.พระนครศรีอยุธยา

เหรียญหลวงพ่อที่จัดสร้างขึ้น ๙ พระอาจารย์ มีดังนี้

๑.หลวงพ่อโกย วัดพนัญเชิง อยุธยา
๒.หลวงพ่อถิร  วัดป่าเลไลยก์ สุพรรณบุรี
๓.หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี
๔.หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ อยุธยา
๕.หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์ ลพบุรี
๖.หลวงพ่อออด วัดบ้านช้าง อยุธยา
๗.หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ชัยนาท
๘.หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค นครสวรรค์
๙.หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง อยุธยา


เหรียญที่สร้างเป็นเหรียญทองแดงรมดำ ครึ่งองค์ทุกหลวงพ่อ ด้านหลังเป็นยันต์เฉพาะตัวของแต่ละหลวงพ่อ สร้างที่ร้านทองดีการช่าง กทม. เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ท่านพัศดีเรียนได้นำเหรียญทั้งหมดไปให้หลวงพ่อแต่ละองค์ปลุกเสกเป็นเวลาเดือนเศษ เสร็จแล้วจึงได้นำมาประกอบพิธีพุทธาภิเษก ที่วัดหอรัตนชัย ในคืนวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๘ เวลา ๑ – ๒ ทุ่ม ๙ นาที

พระคณาจารย์ที่มานั่งปรกปลุกเสก มีดังนี้

๑.หลวงพ่อโกย วัดพนัญเชิง อยุธยา
๒.หลวงพ่อถิร  วัดป่าเลไลยก์ สุพรรณบุรี
๓.หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กทม.
๔.หลวงพ่อใหญ่ วัดสะแก อยุธยา
๕.หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี
๖.หลวงพ่อไวทย์ วัดบางซ้าย อยุธยา
๗.หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ อยุธยา
๘.หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์ ลพบุรี
๙.หลวงพ่อออด วัดบ้านช้าง อยุธยา
๑๐.หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร กทม.
๑๑.หลวงพ่อหวล วัดพุทไธศวรรย์ อยุธยา
๑๒.หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติการาม อยุธยา
๑๓.หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ชัยนาท
๑๔.หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค นครสวรรค์
๑๕.หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง อยุธยา
๑๖.หลวงพ่อโปร่ง วัดขุนทิพย์ อยุธยา


เมื่อประกอบพิธีพุทธาภิเษกแล้ว ท่านพัศดีเรียน ได้นำเหรียญจำนวน ๕๐๐ เหรียญ มอบให้หลวงพ่อแต่ละองค์นำกลับไปบูรณะวัดของท่าน ส่วนการจำหน่าย นั้น ทางวัดหอรัตนชัย ได้เปิดจำหน่ายและได้นำเงินมาบูรณะวัดเขาใหญ่ เหรียญที่เหลือซึ่งแต่ละหลวงพ่อสร้างจำนวน ๕,๕๙๙ เหรียญ เหลือประมาณตอนนี้ ๕๐๐ เหรียญ ทางวัดหอรัตนชัย ได้มอบให้วัดเขาใหญ่มา อัตราทำบุญในปี พ.ศ.๒๕๑๘ เหรียญละ ๒๐ บาท ๑ ชุด ๙ เหรียญ ๑๕๐ บาท

อย่าเพิ่งรีบนะครับ นั่นมันราคาค่าบูชาเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๘ นอกจากเหรียญ ๙ อาจารย์แล้ว วัตถุมงคลที่สร้างพร้อมกันมี สมเด็จ ๓ สมัย สมเด็จด้านหลังเป็นรูปสมเด็จโต พระปิดตาเนื้อผง พระนาคปรกเล็ก เหรียญเล็ก หลวงพ่อโต

เหรียญหลวงพ่อกวยที่สร้างและออกแบบโดย ทองดีการช่าง แกะเป็นรูปหลวงพ่อกวยครึ่งองค์ แกะได้สวยงามพอสมควร แต่อายุ ๗๓ นั้น ช่างได้แกะผิด คือคงได้ข้อมูลผิดไป ความจริงตอนนั้นหลวงพ่ออายุ ๖๙ ปี ยังแข็งแรงดีมาก ด้านหลังเหรียญเป็นยันต์กันภัย คาถา ๔ ตัว ของหลวงพ่อเฒ่า ผู้วิเศษแห่งวัดค้างคาว ปรมาจารย์ผู้ยิ่งยง แห่งเมืองสรรค์

ต่อไปจะขอเล่าถึงเกร็ดอภินิหารของวัตถุมงคลชุดนี้ คือขณะที่ปลุกเสกเหรียญชุดนี้อยู่ในอุโบสถวัดจีน ขณะพักสวดพุทธาภิเษก ได้มีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งได้พูดคุยกันว่าจะนำเหรียญชุดนี้เอาไปทดลองยิง ท่านพัศดีเรียนท่านรู้เข้าก็ไม่สบายใจ กลัวว่าถ้ายิงออกจะไม่มีคนเช่าบูชาเอาไปใช้ ทางวัดและทางท่านซึ่งเป็นแม่งานรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ท่านพัศดีเรียนได้กระซิบบอกหลวงพ่อทุกองค์ว่า ให้ปลุกเสกให้เต็มที่ เพราะวัยรุ่นนอกโบสถ์จะนำเหรียญไปทดลอง ถ้าเหรียญนี้ยิงออกทางวัดต้องจำหน่ายไม่ออก และท่านเองอุตส่าห์ตั้งใจสร้างเหรียญรุ่นนี้ขึ้นมาย่อมไม่เกิดอะไรเลย

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 23, 2013, 12:53:08 pm
ฝ่ายหลวงพ่อทั้ง ๑๖ องค์ ก็นั่งปลุกเสกกันเต็มที่ กลัวจะเสียชื่อ เมื่อดับเทียนชัยแล้ว ท่านพัศดีเรียนได้ปรึกษากับพระผู้ใหญ่ว่า สมควรจะให้หลวงพ่อองค์ไหนประพรมน้ำพระพุทธมนต์ดี ตกลงมีมติให้หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ ประพรมน้ำพระพุทธมนต์เพราะตอนนั้นหลวงพ่อนอกำลังดังทะลุฟ้าเลย เมื่อพัศดีเรียนอุ้มบาตรน้ำมนต์ไปนิมนต์ให้หลวงพ่อนอประพรมน้ำพุทธมนต์ หลวงพ่อนอได้ปฏิเสธ และชี้ให้ไปนิมนต์หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี พัศดีเรียนได้มานิมนต์หลวงปู่โต๊ะ หลวงปู่โต๊ะกลับปฏิเสธและชี้มาให้นิมนต์หลวงพ่อกวย โดยท่านพูดว่า “งานนี้ต้องพระครูชัยนาท” ตกลงหลวงพ่อกวยท่านประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เรื่องนี้ถ้าท่านเคยอ่านประวัติของหลวงพ่อตอนวัตถุมงคลวัดท่าทอง ท่านจะจำได้ว่าหลวงพ่อกับหลวงปู่โต๊ะเคยพุทธาภิเษกร่วมกันครั้งหนึ่งแล้ว ที่วัดท่าทองในคืนวันนั้นหลังจากพักสวดพุทธาภิเษก หลวงปู่โต๊ะได้เอ่ยปากถามชาวบ้านว่า “พระครูองค์นี้ชื่ออะไร อยู่วัดไหน อาคมแก่กล้าเหลือเกิน” บังเอิญคืนวันนั้นฝนตก หลวงปู่โต๊ะได้ชี้ไปที่สายสิญจน์ที่วนรอบพิธี ท่านพูดว่า “ดูซิแมลงเม่ายังบินเข้ามาในวงสายสิญจน์ไม่ได้เลย” คือหลวงพ่อกวยท่านสำเร็จวิชาลงอาถรรพณ์ คืนวันนั้นแมลงเม่า ตัวที่ปีกหลุดยังไต่เข้ามาในสายสิญจน์ไม่ได้ ได้แต่ไต่ที่สายสิญจน์ นับว่าแปลกมาก ทำให้หลวงปู่โต๊ะเชื่อมั่นในหลวงพ่อกวย ให้หลวงพ่อกวยจัดการ

เมื่อหลวงพ่อพรมน้ำพระพุทธมนต์เสร็จ ท่านได้หยิบเหรียญรูปท่านขึ้นมากำมือหนึ่ง ท่านได้เดินออกมาหน้าพระอุโบสถที่วัยรุ่นจับกลุ่มอยู่ จะด้วยอำนาจตบะในตัวท่านหรืออย่างไรไม่แน่ชัด พอวัยรุ่นกลุ่มนั้นเจอท่าน บางคนกำลังเมาอยู่เกิดอาการหายเมาเป็นปลิดทิ้ง บางคนเกิดอาการตกประหม่า ท่านได้พูดว่า “คนไหนจะเอาเหรียญไปลองยิง” ปรากฏว่าไม่มีใครตอบ ได้แต่ก้มหน้านั่งนิ่ง หลวงพ่อเลยส่งเหรียญแจกให้ไปคนละ ๑ เหรียญ พร้อมทั้งพูดทิ้งท้ายอบรมว่า “พระเขาสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นที่ระลึก และกำลังใจในการทำมาหากิน และทำความดี ไม่ได้ทำเอาไว้เพื่อลองยิง”

เมื่อหลวงพ่อกลับมาจากพุทธาภิเษก ท่านได้เล่าให้ศิษย์ฟังว่า พระวัดบ้านช้าง (หมายถึงหลวงพ่อออด) เก่งปลุกเสกของตัวเฑาะว์ออกมาจากปากเลย พระวัดโบสถ์(หลวงพ่อพริ้ง) ดีทางกำบัง ส่วนพระวัดกลางท่าเรือ(หมายถึงหลวงพ่อนอ) องค์นี้ดีทางมหาอุด เมื่อศิษย์ของหลวงพ่อที่ได้ฟังก็อยากไปกราบ อยากไปเรียนวิชา ได้ไปกราบหลวงพ่อนอ หลวงพ่อออด หลวงพ่อพริ้ง ท่านทั้ง ๓ นี้กลับไล่ลูกศิษย์ของหลวงพ่อ โดยท่านพูดว่า “ให้กลับไปอยู่กับพระครูชัยนาทเถิด เขาไม่ใช่พระธรรมดา”

สำหรับเหรียญที่ท่านพัศดีเรียนมอบให้กับหลวงพ่อ ๕๐๐ เหรียญ บางส่วนหลวงพ่อได้แจกออกไป เหรียญส่วนหนึ่งท่านได้ฝังเอาไว้ที่เสา ๔ มุม ที่กุฏิใหม่ ตึกชุตินฺธโร  ท่านพูดว่า “เหรียญนี้ดีทางกันภัย” ท่านคงฝังเอาไว้แบบลงอาถรรพณ์

ส่วนท่านที่ต้องการวัตถุมงคลชุดนี้ไว้บูชา ให้ติดต่อที่ท่านอาจารย์ม้วน เจ้าอาวาสวัดเขาใหญ่ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี โดยบูชาเหรียญละ ๒๐ บาท ราคาเมื่อ ๑๕ ปีมาแล้ว คือ พ.ศ.๒๕๑๘ บูชาเป็นชุด ๙ เหรียญ ๑๕๐ บาท เหรียญทุกแบบมีอยู่ประมาณ ๕๐๐ เหรียญ ยกเว้นเหรียญหลวงพ่อกวยมีเหลืออยู่ประมาณ ๒๐๐ เหรียญ แม่พิมพ์ทุกแบบได้บรรจุไว้ในเจดีย์ และทำลายแล้ว ท่านอาจารย์ไม่รับติดต่อทางไปรษณีย์ เพราะงานท่านยุ่ง ท่านกลัวของหาย ใครอยากจะได้ไว้บูชาให้ไปบูชาที่วัดโดยตรง ทางมาวัด ถ้าท่านมาจากหมอชิต ให้มารถทัวร์ ขึ้นรถ กรุงเทพ – ท่าช้าง จากตลาดท่าช้าง จ้างมอเตอร์ไซค์ไปวัด ๑ กม. ถ้าท่านมาจากสายใต้ใหม่ ให้นั่งรถ กรุงเทพ-ท่าช้าง สายตรงไม่อ้อมนครปฐม ลงรถสุดสายเลยเช่นกัน ค่ารถ ๓๒ บาท แล้วต่อมอเตอร์ไซค์ไปวัด

ท่านที่เดินทางมาทำบุญบูชาเหรียญขอให้ท่านได้ระลึกถึงและอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ท่านพัศดีเรียน นุ่มดี ด้วย เพราะท่านเป็นผู้สร้างเหรียญเอาไว้ และท่านได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ก็ขอจบเรื่องวัตถุมงคลวัดเขาใหญ่ไว้เพียงเท่านี้ อย่าลืมนะครับ ถ้าท่านพลาดโอกาสนี้ ไม่ว่าสาเหตุใดท่านจะมีแต่คำว่าเสียใจอย่างเดียว คำอื่นไม่มี

เหรียญออกวัดเขาใหญ่

ต่อไปจะกล่าวถึงเหรียญของหลวงพ่อที่ออกที่วัดเขาใหญ่สัก ๑ ครั้ง เหรียญรุ่นนี้เป็นเหรียญรูปไข่ครึ่งองค์ เนื้อทองแดงรมดำ บางเหรียญออกน้ำตาลไหม้ เหรียญรุ่นนี้ชื่อว่ารุ่นจตุรพิธพรชัยสร้างโดยพัศดีเรียน  นุ่มดี คือพัศดีเรียน นุ่มดี นี้เป็นคนท่าเตียนอยู่ใกล้ ๆ กับวัดเขาใหญ่ ได้ทำบุญที่วัดเขาใหญ่ เคยเป็นพัศดีเรือนจำจังหวัดนครศรีอยุธยา เคยเป็นพัศดีจังหวัดนครสวรรค์ ท่านได้เล็งเห็นว่าวัดเขาใหญ่ อ.เดิมบางนางบวช นี้ ตั้งอยู่บนเชิงเขา ขาดแคลนน้ำดื่ม จึงได้หาเงินมาบูรณะวัด และสร้างที่เก็บน้ำฝน ท่านได้ขออนุญาตหลวงพ่อต่าง ๆ ถึง ๙ องค์ ขออนุญาตสร้างเหรียญเป็นเหรียญรูปไข่ครึ่งองค์ทั้งหมด ยันต์ด้านหลังเหรียญเป็นยันต์ประจำตัวของแต่ละหลวงพ่อ มีดังนี้ ๑.หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุญนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ๒.หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง จ.อยุธยา ๓.หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ จ.อยุธยา ๔.หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์ ลพบุรี ๕.หลวงพ่อออด วัดบ้านช้าง จ.อยุธยา ๖.หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี ๗.หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรี ๘.หลวงพ่อโกย วัดพนัญเชิง จ.อยุธยา ๙.หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท เหรียญทั้ง ๙ หลวงพ่อนี้ ได้แกะเป็นตัวเลขไทยเลข ๙ ตรงสังฆาฏิ นอกจากเหรียญ ๙ อาจารย์แล้ว ยังมีสมเด็จหลังยันต์ สมเด็จ ๓ สมัย สมเด็จหลังสมเด็จโต ใช้ผงของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ปิดตาพิมพ์ใหญ่ พระปางประทานพรทรงสี่เหลี่ยม ฯลฯ

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 23, 2013, 12:53:56 pm
เหรียญ ๙ อาจารย์นี้ เมื่อปั๊มเสร็จก่อนงาน ได้นำไปให้หลวงพ่อ หลวงปู่เจ้าของเหรียญปลุกเสกเป็นเวลาเดือนเศษ ส่วนพระผงได้นำไปให้หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ปลุกเสก หลังจากนั้นได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษก ที่ วัดหอรัตนชัย หรือวัดจีน จ.อยุธยา และจำหน่ายที่นั่น ที่เหลือได้นำมาจำหน่ายที่ วัดเขาใหญ่ หลวงพ่อทั้ง ๙ องค์ ได้รับนิมนต์เข้าพิธีพุทธาภิเษกทุกองค์ แต่หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุญนาค ไม่ได้มาอาจจะเป็นเพราะอายุมาก คือร้อยกว่าปี ในงานยังได้นิมนต์หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลีปลุกเสกด้วย

มีอภินิหารสำหรับเหรียญหลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุญนาค คือ พัศดีเรียนได้นำเหรียญไปให้หลวงปู่สีปลุกเสก วันหนึ่งเกิดไฟไหม้กุฏิหลวงปู่สี ขณะที่หลวงปู่สีไม่อยู่ ไฟไหม้ของในกุฏิหมดของบางอย่างละลาย แต่เหรียญหลวงปู่สียังอยู่ในสภาพดี เหรียญทั้ง ๙ อาจารย์นี้เหรียญหลวงปู่สีแกะแม่พิมพ์ได้สวยที่สุด แต่เหรียญที่อยู่สภาพดีเยี่ยมกลับเป็นเหรียญหลวงพ่อกวย เหรียญบางเหรียญสวยมากอยู่ในสภาพเยี่ยม เหมือนมีเทวดารักษา แต่จากการสังเกต เข้าใจว่า ในพิธีนั้นเมื่อเสร็จพิธี เขานิมนต์หลวงพ่อกวย เป็นพระประพรมน้ำมนต์ หลวงพ่อพรมน้ำมนต์เหรียญทั้ง ๘ อาจารย์ แต่เหรียญของหลวงพ่อเอง หลวงพ่อไม่ได้พรมน้ำมนต์ เมื่อกาลเวลาผ่านมาเหรียญที่โดนน้ำมนต์เกิดคราบเปื้อน รมดำหลุด เหรียญที่โดนน้ำมนต์จึงไม่สวย เมื่อปลุกเสกเสร็จท่านพัศดีเรียนได้นำเหรียญส่วนหนึ่ง ประมาณ ๕๐๐ เหรียญ ถวายหลวงพ่อแต่ละองค์กลับมา (เหรียญสร้างหลวงพ่อละ ๕,๕๙๙ เหรียญ) เหรียญที่เหลือแจก หลวงพ่อได้ฝังไว้ที่กุฏิ ตึกชุตินฺธโร

ก่อนที่จะทำพิธีปลุกเสกใหญ่ ที่ วัดหอรัตนชัย พัศดีเรียนได้นำเหรียญไปให้หลวงพ่อแต่ละองค์ปลุกเสก ประมาณ ๑ เดือนเศษ หลังจากนั้นได้รวบรวมเหรียญ นำไปให้หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ปลุกเสก หลวงปู่ดู่องค์นี้ เป็นพระชอบกลเขาว่าล่องหนหายตัวได้ พูดจาคล้าย ๆ จะอวดตัว ไม่เป็นเจ้าอาวาส สูงใหญ่ พูดมึงกู ท่านพัศดีเรียนเคารพท่านมาก จะขอสร้างเหรียญท่านไม่อนุญาต แต่ทำผงให้ ปลุกเสกให้ มูลเหตุที่ท่านเคารพหลวงปู่ดู่คือ วันหนึ่งพัศดีเรียนได้นำเหรียญอาจารย์สนิทอดีตเจ้าอาวาส วัดเขาใหญ่ ซึ่งเหรียญรุ่นนั้น หลวงพ่อกวย ได้มาร่วมปลุกเสก (รุ่น ๑) ท่านได้นำเหรียญอาจารย์สนิทไปให้หลวงปู่ดู่จับพลังท่านหลวงปู่ดู่ได้หลับตาจับพลัง พอลืมตาท่านพูดว่า เหรียญนี้ดี องค์หลวงพ่อที่ปลุกเสกดี เก่งมาก แต่เจ้าของเหรียญอายุน้อย พัศดีเรียนก็ไม่เชื่อเท่าไร แต่อาจารย์สนิทอายุน้อยจริง ๆ มรณภาพอายุประมาณ ๕๐ ปี หรือ ๖๐ นี่แหละ วันหนึ่งพัศดีเรียนได้ทำสมเด็จขึ้นมา ๒ องค์เพื่อนำมาใช้เอง โดยใส่กระดูกบิดาท่านลงไปด้วย เมื่อแห้งดี ได้นำไปใส่ตลับ ตั้งใจจะนำไปให้หลวงปู่ปลุกเสก แต่อยากรู้ว่าหลวงปู่ดู่จะจับพลังได้จริงหรือไม่ จึงนำพระ ๒ องค์ส่งให้หลวงปู่ดู่จับพลัง หลวงปู่ดู่ได้หลับตาท่านพูดว่า พระ ๒ องค์นี้จับพลังไม่ติด(ไม่มีพลัง) แต่มีคุณผีปนอยู่ พอท่านพูดอย่างนั้น พัสดีเรียนถึงกับนิ่งอึ้ง ได้กราบขอขมาและขอให้หลวงปู่ดู่ปลุกเสกสมเด็จ ๒ องค์ให้ เหรียญเขาใหญ่นี้ ได้ปลุกเสก ๓ ครั้ง ครั้งแรกเจ้าของเหรียญปลุกเสก ครั้งที่ ๒ หลวงปู่ดู่ปลุกเสก ครั้งที่ ๓ ปลุกเสกพิธีหอรัตนะชัย

อภินิหารของเหรียญรุ่นนี้ เคยได้ยินว่า ตัดรุ้งขาด รักษาโรคได้ ที่ดังที่สุดคือ ผมเคยนำเหรียญรุ่นนี้แจกในงานผ้าป่าให้ไปบ้าง เหรียญรุ่นนี้คุณสมพงษ์ พรหมถา อยู่ถนนท่าแพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ได้ไป ๒ – ๓ เหรียญ ได้นำซองผ้าป่าพร้อมเหรียญ นำไปแจกเพื่อนรุ่นพี่ ๒ คน เป็นคนศาสนาคริสต์แต่ไม่ค่อยเคร่งศาสนาเท่าไร ๒ คนนี้ คนหนึ่งเป็นชายได้นำไปทดลองยิงปรากฏว่ายิงไม่ออก ดังมากในเชียงใหม่ อีกคนหนึ่งเป็นหญิง ภายหลังได้พกพาเหรียญนี้ติดตัว ได้ศรัทธาในหลวงพ่อได้บนกับหลวงพ่อภายหลังได้บวชชีเป็นเรื่องแปลกมาก ที่คนนอกหันมาศรัทธาศาสนาของเราเพียงเพราะศรัทธาหลวงพ่อ ซึ่งเป็นเพียงเหรียญ เหรียญรุ่นนี้ที่วัดเขาใหญ่ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ยังมีอยู่ อาจารย์ม้วน เป็นเจ้าอาวาส ไม่รับติดต่อทางไปรษณีย์

มีเรื่องที่สมควรบันทึกเอาไว้ คือ หลวงปู่สี อายุมากแล้วมาไม่ได้ ท่านได้สั่งพัศดีเรียน ให้จัดที่นั่ง ที่วัดหอรัตนชัย เผื่อท่าน ๑ ที่ ท่านจะถอดจิตไปช่วยปลุกเสก เหรียญรุ่นนี้ราคาไม่แพง ผมเช่าเก็บไว้หลายครั้ง จนอาจารย์ม้วนไม่อยากให้ผมขึ้นเขาแล้ว
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 24, 2013, 12:47:09 pm
ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓๖๘
วันที่ ๕ ม.ค. – ๑๕ ม.ค.๒๕๓๗
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


สวาหะ สวาหาย

เรื่องของอาคมนี้ เป็นเรื่องของจิต หรืออำนาจจิต โดยเฉพาะคาถารักษาโรค เป็นคาถาที่เป็นไปด้วยจิต คือ ปรารถนาให้หายทั้งสิ้น ตัวคาถาแทบจะไม่มีอะไรเลย แต่คนไข้หายได้เข้าใจว่าหายด้วยจิตใจของครูบาอาจารย์ จะขอยกตัวอย่างของคาถาของหลวงพ่อ เช่น คาถาพ่นป่วง โรคป่วงคือโรคท้องเดิน ปวดท้อง เวลามีคนมาหาให้รักษาให้คน ๆ นั้น ตักน้ำมา ๑ ขัน ทำน้ำมนต์ให้คนที่มาหากิน คนไข้อยู่ทางบ้านจะหาย คาถานี้ให้ชุมนุมเทวดาก่อน แล้วว่าคาถาดังนี้

“อม มะ ป่อง อม มะพ่วง สวาหาย”

น้ำมนต์ต้องให้คนที่มาหากินให้หมด

คาถาพ่นบุ้ง “อมตุกตุ๋ย ครุกครุ่ย สวาหะ”

ใช้มือหยิบ เวลาหยิบ ว่าคาถานี้

“โยนิ กะ ระ หิ มา เอหิ มะ มะ”


เรื่องคาถาพ่นต่าง ๆ นี้ มีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้าไม่ลงด้วยสวาหะ ก็จะลงด้วยสวาหาย หรืออาจลงท้ายด้วยสวาหะ สวาหาย อ่านว่า สะ-หวา แม้ภายหลังหลวงพ่อได้ทำตะกรุดคลอดบุตร ทำผ้ายันต์หรือผ้าประเจียดกันผี กันคน กันกระทำ กันอาถรรพณ์ หลวงพ่อยังนิยมปลุกเสกด้วยคาถารักษาด้วย คือเพื่อว่าศิษย์จะนำพาเอาไปทำน้ำมนต์รักษาโรค รักษาไข้เจ็บต่าง ๆ ปลุกเสกยั้นคาถามหาเถรตำแย คาถาถอนโบสถ์ ถอนเสมา และคาถาปัดรังควาน

วันหนึ่งศิษย์ของหลวงพ่อเป็นทหารอยู่ลพบุรี ได้ไปพบชีปะขาวคนหนึ่งที่ลพบุรี ได้พูดคุยกันและได้นำผ้ายันต์กันผีกันกระทำกันอาถรรพณ์ให้ชีปะขาวดู ชีปะขาวคนนี้เป็นคนดีมีวิชาได้เห็นผ้ายันต์แล้วชอบใจ เพราะผ้ายันต์มีอาคมรุนแรงมาก ชีปะขาวได้นั่งทางในตรวจสอบดู ได้พูดว่า “พระองค์นี้มีอาคมแก่กล้า มีวิชาดี แต่ยังไม่ยอมหยุดศึกษาหาความรู้” ได้พูดกับทหารคนนั้นว่า “ถ้าเอ็งไปหาอาจารย์ของเอ็ง เมื่อไรให้ถามปริศนาธรรมกับเขาสัก ๑ ข้อ” ปริศนาธรรมว่าดังนี้ “สระ(สะ) อะไรเอ่ย มี ๒ สระ(สะ) แต่มีทางลงทางเดียว ให้ถามปริศนาธรรมกับเขาถ้าเขาตอบได้เขาจะพ่นจะรักษาได้แทบทุกโรค” เมื่อทหารคนนั้นมากราบหลวงพ่อ ตอนนั้นหลวงพ่อมีกิจนิมนต์ ที่วัดหนองอีดุก ทหารได้เข้าไปกราบหลวงพ่อ และเล่าเรื่องให้ฟัง แล้วได้ถามปริศนาธรรมกับหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อกลับมาวัด ได้กลับมาตีปริศนาคาถานี้อยู่ ๑ วัน ๑ คืน ได้ตีปริศนาออกและไม่ได้เรียนคาถาเพิ่มเติมอีกเลย ปริศนาคาถานี้ได้ตีบอกหมอเฉลียว เดชมา เอาไว้ นับแต่นั้นเป็นต้นมาหลวงพ่อสามารถใช้คาถาพ่นรักษาโรคได้เกือบทุกชนิด

ป.ล.เฉลย คือสวาหะ สวาหาย มี ๒ สระ มีทางลงทางเดียวคือ หาย คือให้หายจากโรคนั่นเอง คาถาบางบทก็ลงท้ายด้วยสวาหะ สวาหาย เช่น คาถาพ่นแมงป่อง “อม แมงงอน มะแมงงอน มึงอยู่ใต้ขอน ถึงนอนใต้ไม้ เดชะคุณครู บันทิญาย ให้กูมาหยิบพิษมึง สวาหะ สวาหาย”

เทวดาเอาไป
หลวงพ่อเป็นพระที่แข็งแรง มองดูทั่วไปท่านแข็งแรงมาก แต่แท้ที่จริงแล้วหลวงพ่อสุขภาพไม่ดีเลิศนักเพียงแต่ท่านไม่สนใจในสังขาร เมื่อไม่สนใจมันจริง ๆ สังขารมันก็แพ้จิต คล้ายจิตกับกายจะแยกจากกัน มันจะแข็งแรงไปเองเพราะสังขารมันกลัวจิต ตามประวัติท่าน ท่านเรียน ป.๒ พอจะสอบก็ไม่สบาย ไม่ได้สอบ ต้องลาออก พอเรียนปริยัติจะสอบนักธรรมโท ท่านก็ไม่สบายอีกเลยไม่ได้สอบ จะมีเพียงครั้งเดียวที่ท่านแข็งแรงและใหญ่โต คือตอนเป็นอาจารย์สักแม้เมื่อบวชเป็นพระแล้วครั้งหนึ่ง ท่านยังป่วยหนักขนาดต้องแกะพระไม้โพธิ์ เพื่อบูชาสืบชะตา แต่จะอย่างไรก็ดีแทบทุกครั้งที่พบท่าน ท่านจะแข็งแรงเสมอทำพระทำตะกรุด ทำแหวนแขน ทำเครื่องราง ทำได้เสมอ ทำจนกระดูกนิ้วโป เห็นได้ชัด

วันคืนหมุนเวียนเปลี่ยนไป เขาว่าสังขารคนเรามั่นคงในเบื้องต้น แปรปรวนในบั้นกลาง และบุบสลายในบั้นปลาย หลวงพ่อก็เช่นกัน ผมได้ข่าวแว่ว ๆ ว่า ฟันของท่านเริ่มหัก ฟันก็ดีเกศาก็ดี เล็บก็ดี ฯลฯ เขาว่าถ้าเป็นของหลวงพ่อหลวงปู่องค์ที่เก่ง ๆ ศิษย์คนไหนได้ไป เมื่อพกพาติดต่อก็เหมือนเครื่องรางชั้นดีเยี่ยม หาค่าไม่ได้ เมื่อฟันของท่านเริ่มหักซี่แรกศิษย์รู้เข้า คนโน้นก็ขอ คนนี้ก็ขอ โดยมากเป็นศิษย์ใกล้ชิด ท่านไม่รู้จะให้ใครเพราะถ้าให้ไป ศิษย์ก็จะว่าได้ ว่ารักศิษย์ไม่เท่ากัน ท่านเลยโยนลงสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ ฟันท่านเริ่มหักทีละซี่ ทีละซี่ จนกระทั่งเหลือ ๒ ซี่สุดท้าย ตอนนั้นศิษย์ทุกคนทำใจกันได้แล้วว่าไม่มีโอกาสได้ฟันท่านแน่นอน วันหนึ่งหมอเฉลียว เดชมา ได้เข้ามาดูแลท่าน ท่านกำลังถอนฟันซี่ที่โยกอยู่พอดี โดยท่านใช้เชือกผูก แล้วใช้มือกระตุก หมอเฉลียวเลยขอฟันซี่นั้นเอาไว้ เมื่อหมอเฉลียวได้ฟันไว้ก็ไม่พูดบอกใคร เพราะรู้ว่าไม่สมควร

ส่วนฟันซี่สุดท้ายเมื่อท่านถอนเสร็จท่านก็โยนออกมาที่หน้าต่าง พอดีหมอเฉลียว กับศิษย์ใกล้ชิดอีกคนหนึ่งมาพอดี รู้ว่าหลวงพ่อเพิ่งจะถอนฟันซี่สุดท้าย และกำลังบ้วนปากอยู่ หมอเฉลียวกับศิษย์อีกคนหนึ่งได้มองที่หน้าต่างก็เห็น เพราะเป็นที่โล่ง ประกอบกับท่านชี้ให้ดูด้วย ศิษย์อีกคนจึงรีบลงไปเก็บด้วยความดีใจ แต่หาไม่พบ หมอเฉลียวก็ลงไปหาก็หาไม่พบ หลวงพ่อเห็นศิษย์อยากได้มากได้ลงมาช่วยดู คือช่วยหา แต่ก็ไม่พบ ท่านหันหลังเดินขึ้นกุฏิ หัวร่อหึ หึ พูดในลำคอพอได้ยินว่า “เขาเอาไปแล้ว”

คำว่าเขาของหลวงพ่อนี้ ผมไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่มีศิษย์บางคนบอกว่าเป็นเทวดา ผมก็ไม่รู้ว่าเทวดาหน้าตาเป็นอย่างไร ตัวจริงมีหรือเปล่า แต่ครั้งหนึ่งท่านลงมาจากกุฏิ ท่านเดินผ่านต้นมะม่วง ลูกมะม่วงได้ตกลงมาที่ศีรษะท่าน ท่านไม่โกรธ ได้แต่พูดว่า เดี๋ยวเขาก็เอามึงซะตายหรอก อยู่ต่อมา ๓ วัน มะม่วงต้นนั้นตายขณะติดลูก ยืนต้นตาย ซึ่งปกติผลไม้จะไม่ตายขณะติดลูก นอกจากลูกหรือผลจะแก่จนหมดต้นแล้ว

ส่วนฟันซี่ที่หมอเฉลียว เดชมา ได้เอาไว้ ท่านไก้ให้คนที่เหมาะสมไปแล้วพร้อมเกศาอีก ๑ ห่อใหญ่ ที่หลวงพ่อห่อเตรียมให้เอาไว้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 02, 2014, 03:04:26 pm
ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓๖๙
วันที่ ๑๕ ม.ค. – ๒๕ ม.ค.๒๕๓๗
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา




ดับธาตุไฟ

ในปี ๒๔๘๔ สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ หลังจากนั้นได้เกิดข้าวยากหมากแพง โรคระบาด มีเสือปล้น หลวงพ่อได้พยายามช่วยเหลือคนตามกำลัง เช่น การรักษาโรค แจกตะกรุด ผ้ายันต์ แหวนแขน ไว้ป้องกันตัว บางคนใจถึงชอบทางนักเลง มีการสักยันต์ มีหัวหมู บายศรี เป็นค่าครู สักกันทั้งกลางวันกลางคืน เสือและโจรก็เคารพหลวงพ่อ เมื่อเดินผ่านวัด จะต้องยิงปืนถวายคนละ ๑ ชุด จะยิงส่งเดชไปก็กลัวจะถูกคนจึงยิงใส่ต้นสำโรง ไม่ว่าจะผ่านทั้งกลางวันและกลางคืนหลังสงคราม ทางกองปราบปรามสามยอดได้ส่งตัวตำรวจมือปราบมาสั่งให้หลวงพ่อเลิกสักให้ศิษย์ ผลปรากฎว่าทางมือปราบมาเป็นลูกศิษย์ท่านเสียเองเลยพูดไม่ออก หลวงพ่อรู้ว่าทางกองปราบเขาจะเอาเรื่องท่านแน่นอนท่านได้ไปลงอักขระไว้ที่ต้นสำโรง ๔ ตัว หลังจากนั้นเสือและโจรเมื่อจะมายิงปืนถวายก็ยิงไม่ออก หลวงพ่อก็พ้นข้อหามีศิษย์เป็นโจร ท่านพูดว่าเมื่อท่านจะเลิกสักท่านจะเลิกเอง หลังจากท่านอาคมที่ต้นสำโรงแล้ว เข้าใจว่าท่านต้องย้ำอาคมของท่านอยู่เสมอ มีคนเริ่มพูดกันว่าท่านไม่ชอบเสียงปืน เช่น เวลาท่านไปงานศพ ศพบางศพยากจนไม่มีพลุจุดจะใช้ปืนยิงศิษย์ใกล้ชิดจะมาบอกท่านว่า มีคนจะยิงปืน ท่านก็รับรู้ ผลปรากฎว่าใครเอาปืนมายิงบริเวณที่ท่านอยู่ ปืนจะไม่ลั่นเลย แม้ปัจจุบันนี้ ใครที่แก้บนด้วยประทัดที่หน้ารูปหล่อเพราะเข้าใจผิดคิดว่าท่านชอบก็ไม่ต้องจุดเพราะที่หน้ารูปหล่อของท่าน ทางวัดจะเขียนว่า ห้ามจุดประทัด

เรื่องที่ท่านดับไฟธาตุได้นี้ ครั้งหนึ่งมีพระหลวงตาชื่อฟื้น หรือแฟ้มนี่แหละ อยู่วัดบ้านกร่าง มีอาชีพพิเศษ คือ ทำพลุ ตะไล และหลวงตาองค์นี้มีวิธีทดลองพระชนิดเด็ดขาดคือ จะขอเหรียญหลวงพ่อที่เขาว่าเก่ง ๆ นำพระใส่ในพลุ และจุดแทบขึ้นทุกหลวงพ่อ ลอยขึ้นฟ้าไปเลย วันนั้นหลวงตาได้มาขอเหรียญหลวงพ่อ ตอนนั้นหลวงพ่อออกเหรียญรุ่น ๑ ได้ให้มา ๑ เหรียญ ปรากฎว่าจุดพลุติดแต่ชนวน ภายหลังได้พกติดตัวไปก็จุดดังไม่ดี หลวงตาองค์นี้เคารพหลวงพ่อมาก

อีกเรื่องหนึ่ง นายสำเหร่ ชื่อจริง ๆ คนอำเภอสรรคบุรี ได้มาทำพลุที่วัด เป็นงานศพ เมื่อนายสำเหร่ติดตั้งเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อเดินลงมาตรวจงาน ถือไม้ตะพดมาด้วย ได้ถามนายสำเหร่ว่า “ไอ้เหร่ พลุมึงดังดีทุกดอกหรือเปล่าวะ” นายสำเหร่ตอบรับประกันแข็งขัน แล้วหลวงพ่อก็เดินตรวจงาน เอาไม้ตะพดเขี่ย ๆ เคาะ ๆ พลุนายสำเหร่ทุกดอก ผลปรากฎว่า พอถึงเวลาจุดพลุนายสำเหร่จุดไม่ติดเลยสักดอกเดียว นายสำเหร่ได้แต่บ่นพึมพำว่าหลวงพ่อไม่น่าทำผมเลย

ปลากัดหลวงพ่อ

หลวงพ่อเป็นพระที่มีอาคมแก่กล้า แต่ท่านจะไม่แสดงให้ใครดูง่าย ๆ คือไม่อวดตัว วางเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาว คล้ายหลวงพ่อหลวงปู่ยุคก่อนเพียงแต่ประยุกต์ให้เข้ากับเหตุการณ์ ท่านมีอาคมแก่กล้าขนาดเสกเมล็ดผลไม้ สะเก็ดไม้ ใบไม้ เสกให้ปืนยิงไม่ออกได้ ท่านสามารถกะลาเป็นเต่าได้ เสกก้านกล้วยเป็นงูเขียวได้ เสกรัดประคดเป็นงูได้ ฯลฯ

เรื่องปลากัดก็เช่นกัน ในสระท่านเคยมีปลาหลายชนิด ปลากัดก็มี วันหนึ่งนายฟ้อน จั่นหนู ได้เสียพนันปลากัดเดินผ่านหน้าวัดมาได้นอนพักเหนื่อยใต้ถุนศาลา พอดีเจอท่านพอดี เล่าให้หลวงพ่อฟังว่าแพ้ปลากัดเขามาหมดตัว หลวงพ่อก็คนเมืองสรรค์ คนเมืองนี้ อดีตชอบตีไก่ กัดปลาเป็นที่สุด หลวงพ่อได้พูดว่า “มึงเอาปลากัดในสระของกูไปกัดกับเขาดูมั่งสิ ปลากูเก่งเหมือนกันนา” นายฟ้อนก็ไม่แน่ใจ ได้พูดว่าปลากัดหลวงพ่อมันปลากัดลูกทุ่ง จะไปสู้ปลากัดลูกหม้อได้อย่างไร หลวงพ่อพูดว่า “ปลากูมันหนังดี” ภายหลังนายฟ้อนได้มาช้อนปลากัดในสระของหลวงพ่อ เอาไปกัดกับเขา ปรากฏว่าปลากัดท่านหนังดี กัดไม่เข้าจริง ๆ ก็ชนะทุกครั้งไป ความลับไม่มีในโลก จะช้าจะเร็วเท่านั้น อยู่มาไม่นาน คนรู้กันทั่วได้มาช้อนปลากัดท่าน จนน้ำขุ่นใช้ไม่ได้ยังไม่พอ วันหนึ่งฤดูแล้ง น้ำแห้งขอดสระ ท่านบอกให้ชาวบ้านและพวกเลี้ยงปลากัดมาตักน้ำในบ่อใส่สระ เดี๋ยวปลาจะตายเสียหมด แต่แทบจะไม่มีใครมาเลย ท่านเลยพูดว่า “ต่อไปนี้ ใครมาเอาปลากูไปกัดปลากัดกูไม่กัดกับปลาใครอีกเลย” ผลคือปลากัดของท่านเมื่อเอาไปกัดกับปลาใครไม่ยอมกัดเฉย ๆ เหตุการณ์นี้ตก ๓๐ กว่าปี เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่

วันหนึ่งอาจารย์ปลูก เจ้าอาวาสวัดห้วยเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี เขตติดต่อกัน เคารพในตัวหลวงพ่อมากได้มาเยี่ยมเยียนหลวงพ่อกับพระโสภณ ได้คุยกันไปคุยกันมา อาจารย์ปลูกได้พูดถึงเรื่องปลากัดขึ้นมา ท่านพูดว่าปลากัดนี่มันกัดกันอย่างไร คนถึงชอบไปดูไปเล่นการพนันกันมากนัก ได้พูดคุยกันอยู่หลายคำ หลวงพ่อได้ถามอาจารย์ปลูกว่าท่านไม่เคยเห็นปลากัดกัดกันหรอกหรือ อาจารย์ปลูกตอบว่าไม่เคยเลย สมัยเป็นหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ หลวงพ่อได้พูดว่า  ฉันก็เลี้ยงปลากัดไว้บ้างเหมือนกัน เดี๋ยวจะเอากัดกันให้ดู อาจารย์ปลูกกับพระโสภณถึงกับนิ่งอึ้ง คิดในใจว่าหลวงพ่อกวยเลี้ยงปลากัด แล้วท่านหยิบบาตรพระส่งให้พระโสภณไปตักน้ำมาสักค่อนบาตร แล้วท่านเข้าไปในกุฏิ เข้าใจว่าคัดเลือกปลากัดมากัดกัน อาจารย์ปลูกคิดในใจมันละวะคราวนี้ ดูปลากัดกัดกันสักที พอท่านเดินออกมา ท่านถือกรรไกรกับซองธูปสีแดงซองละ ๑ บาท สมัยก่อนมา ๑ ซอง ท่านตัดซองธูปซึ่งซ้อนกันอยู่ ท่านตัดเป็นรูปปลากัด คือตัดทีเดียวจะได้ปลากระดาษ ๒ ตัว แล้วท่านเอาปลากระดาษมาใส่มือพนม หลับตา พอท่านลืมตา ท่านหันหลังเอาปลากระดาษ ๒ ตัวใส่ในบาตรน้ำ ปรากฎว่าเป็นปลากัด ๒ ตัวกัดกัน กัดกันจริง ๆ กัดขนาดน้ำในบาตรกระเด็น อาจารย์ปลูกกับพระโสภณรู้สึกอัศจรรย์ใจ ตกใจ มองหน้ากันแล้วมองปลา แล้วมองหลวงพ่อ สักพักใหญ่ พอพระอาจารย์ปลูกหายตกใจ ท่านก็ว่าคาถาเป่าลงในบาตรปลากัดกลับเป็นปลากระดาษซองธูปเหมือนเดิม

อยู่ต่อมาไม่นาน พระโสภณได้มากราบหลวงพ่ออีก ตอนนั้นเริ่มเย็นแล้ว เข้าใจว่าเมื่อกราบหลวงพ่อเสร็จจะไปวัดห้วยเจริญสุข ตอนนั้นหลวงพ่อท่านนั่งอยู่ด้านหลังวิหารพระพุทธเจ้า แต่หันหลังให้วิหาร ท่านมักจะมานั่งเล่นหรือพักผ่อนที่หลังวิหาร ในตอนเย็นที่ว่างจากแขก พอดีพระโสภณมากราบ พระโสภณเล่าว่าคนที่วัดหอระฆังโดนต่อต่อยปางตาย บางคนผมหงอกเลย เป็นต่อหัวเสือ บางคนหนีลงน้ำเอากระป๋องครอบหัว ต่อยังตามไปต่อย ความแรงที่ต่อยดังป๊องๆๆๆๆๆ เลย หลวงพ่อก็พูดว่า ต่อมันตัวใหญ่มันดุอย่าไปยุ่งกับมัน พระโสภณได้ถามว่าใหญ่แค่ไหน ผมไม่เคยเห็นสักที พระโสภณได้พูดคุยเรื่องต่อ เป็นเวลานานเพราะตื่นเต้น หลวงพ่อได้ถามว่าท่านอยากจะเห็นต่อมากนักหรือ พระโสภณตอบว่าอยากเห็น หลวงพ่อได้ลุกขึ้นไปรูดใบแจง(ใบแจงนี้สีเขียวสด ใหญ่และยาวขนาดนิ้วก้อยได้ เป็นยา ชอบขึ้นตามที่เด่นที่ดอนเชิงเขา ที่วัดหลวงพ่อยังมีหลายต้น) ท่านรูดใบแจงเอามากำมือหนึ่งได้ แล้วท่านหันหลังหลับตาว่าคาถา เข้าไปในรูกำมือ แล้วท่านโยนขึ้นไปบนอากาศทางด้านหลังท่านอัศจรรย์เกิดเป็นตัวต่อ ๑๐ กว่าตัวบินรอบพระโสภณเต็มไปหมด พระโสภณตกใจ ไม่กล้าหยุกหยิก มองดูหลวงพ่อท่านหันหลังอยู่ ท่านหัวร่อ หึ หึ สักพักท่านพอท่านหันหน้ามา ท่านเพ่งไปที่ตัวต่อตัวต่อตกถึงพื้นกลายเป็นใบแจงดังเดิม พระโสภณพูดว่าหลวงพ่อกวยนี้อาคมแก่กล้าจริง ๆ ทำได้ทุกอย่าง ปัจจุบันนี้พระโสภณได้ลาสิกขาบทแล้ว บ้านอยู่ใกล้ ๆ วัดหอระฆัง ต.บางขุด อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท ส่วนอาจารย์ปลูกเข้าใจว่ามรณภาพไปแล้ว


ปล.ครั้งก่อนเคยลงเรื่องนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ทาง บก.ทำต้นฉบับหายไปครึ่งตอน
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 03, 2014, 09:17:15 am
ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓๗๐
วันที่ ๒๕ ม.ค. – ๕ ก.พ.๒๕๓๗
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



อานุภาพเหรียญรุ่นสาม

อีกเรื่องหนึ่งนายเทียบ กับนายชาย เป็นคนบ้านหัวเด่น อ.สรรคบุรี ได้ดื่มเหล้าวงเดียวกัน เกิดขัดคอกันกลางวงเหล้า นายเทียบได้ชกนายชายก่อน นายชายเลยกลับบ้านไป อีกสักพักหนึ่งนายเทียบนึกขึ้นได้ว่าทำผิดไป คือชกเพื่อนรุนแรงไปแล้ว เลยตามไปบ้านนายชาย เพื่อปรับความเข้าใจคือขอโทษพอนายเทียบมาบ้านนายชาย นายชายคิดว่านายเทียบจะมาต่อยต่อคงคิดว่ายังไม่หายมัน นายชายคิดว่าจะมากไปเลยหยิบมีดพกมาข้างหลัง พอมาถึงนายเทียบก็ฟัน นายชายฟันหลายแห่ง นายเทียบก็วิ่งหนีไป ผลคือไม่เข้าเลย ในตัวนายเทียบคล้องเหรียญทองแดงหลังยันต์เหรียญเดียว

อีกเรื่องหนึ่ง นายมานิตย์ ยิ้มจู บ้านอยู่หนองแขม จ.ชัยนาท อ.สรรคบุรี ไปทำงานที่พระประแดง จ.สมุทรปราการ ครั้งหนึ่งไปทานอาหารเข้าใจว่าเหล้าด้วย ที่พระประแดง มีวัยรุ่นเจ้าถิ่นมาหาเรื่องเกิดชกต่อยกันขึ้น วัยรุ่นสู้นายมานิตย์ไม่ได้ ถูกต่อยล้มลงไปวัยรุ่นคนนั้นได้ชักปืนมายิงนายมานิตย์ ๑ นัด นายมานิตย์ล้มลงไปวัยรุ่นวิ่งหนี ไทยมุงเต็มไปหมด นายมานิตย์ยืนขึ้นดูที่อก ไม่เป็นอะไร เสื้อขาดไป ๑ รู ไม่เข้า นายมานิตย์คล้องเหรียญหนุมานยกธงรบเพียงเหรียญเดียว

ต้านฉลาม

ปลาฉลามเป็นปลาชนิดหนึ่งตัวโตใหญ่กว่าคน อาศัยอยู่ในทะเลลึก โดยปกติกินสัตว์น้ำด้วยกันเป็นอาหาร แต่ถ้ามีคนหลงเข้าไปมันก็กิน ฟันของมันคมมาก กัดแขน ๆ ขาด กัดขา ๆ ขาด ทีเดียว เมื่อโดนกัดมีเลือดออก พวกมันเมื่อได้กลิ่นคาวเลือด มันจะยกโขยงกันมาเป็นฝูง ๆ เลย บางคนให้ฉายามันว่า ผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องทะเล คือมันชอบกินคน บางครั้งเรือล่มคนในเรือเป็นร้อย ๆ คน มันแห่กันมาเต็มไปหมด ไม่นานมันรุมกินแพล็บเดียวหมดเลย แต่คนภาคกลางกับภาคเหนือรวมทั้งภาคอีสาน เขาไม่ค่อยกลัวเพราะฟังดูแล้วปลาก็คือปลาเคยปิ้งกินกันบ่อยไป เขากลัวจระเข้กัน แต่คนที่เป็นชาวประมงหรือพวกตังเก เขารู้พิษสงมันดีว่ามันขนาดไหน พวกเขากลับหาวัตถุมงคลที่แปลกออกไปคุ้มตัว คือคงกระพันชาตรีไม่เอา แคล้วคลาดเมตตาไม่ต้อง เอาชนิดต้านฉลามก็พอ

นายวิชาญ เนียมหุ่น บ้านอยู่บ้านคู บ้านคูนี่อยู่ในเขตอำเภอบางระจัน จ.สิงห์บุรี คนบ้านคูทั้งบ้านเคารพหลวงพ่อกวยมาก ทีนี้คุณวิชาญจะไปอยู่เรือประมงจังหวัดระยอง ได้มาขอพรหลวงพ่อคือ คนภาคกลางเวลาจะไปไหนไกล ๆ เขานิยมมาบอกกล่าวครูบาอาจารย์ที่เขาเคารพ เรียกว่ามาขอพรได้บอกหลวงพ่อว่าจะไปอยู่เรือประมง หลวงพ่อท่านเข้าไปหยิบเหรียญหนุมานให้ ๑ เหรียญ ปกติท่านต้องให้พิมพ์สรรค์ ท่านคงเห็นว่าเดี๋ยวน้ำทะเลจะกัดพระซะเสีย เมื่อนายวิชาญมาอยู่เรือประมง การมีชีวิตในทะเลสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ คลื่นลม พายุ และเรือล่ม ๆ ในทะเลนี่ไม่ใช่ของเล่นนะครับ ไม่ใช่เรือล่มในหนอง คือทะเลกว้างใหญ่ไพศาลถ้าไม่ตายก็คางเหลืองทีเดียว ชาวตังเกจึงนิยมนุ่งกางเกงขาก๊วยใหญ่ ๆ ถอดง่าย ๆ เวลาเรือล่ม วันหนึ่งเรือประมงลำของนายวิชาญโดนคลื่นลมแรงเกิดล่ม คลื่นได้ซัดคนที่ไปด้วยกันซัดไปคนละทางสองทาง มีหลายคนโดนฉลามกิน นายวิชาญเมื่อเรือล่มได้นึกถึงหลวงพ่อตลอดเวลา จะตายก็ไม่ตาย จะจมน้ำก็ไม่จม ปลาฉลามว่ายมาใกล้ ๆ ก็ไม่กินแก นับว่าแปลกมาก รุ่งขึ้นเช้ามีคนมาช่วย ปรากฎว่าพวกเพื่อน ๆ ที่ไปด้วยกันรอดตายมาได้แค่ ๒-๓ คน นอกนั้นปลาฉลามกินหมด

เรื่องนี้เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกดี เกี่ยวกับเหรียญหนุมาน จึงเล่าให้ฟัง

เกี่ยวกับคาถาที่ใช้กับเหรียญหนุมานนี้ ผมเคยบอกไว้ไม่ครบ คือถ่ายทอดจากปากต่อปาก ผมได้ค้นเจอใบคาถาที่หลวงพ่อพิมพ์เอาไว้ ให้ตั้งนะโม ๓ จบ คาถาว่าดังนี้

“อมผงเผ่าเถ้าธุลี คงกระพันชาตรีสวาหะ คลุกคลีตีมะ คลุกคลีตีอุ คลุกคลีตีอะ”
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 06, 2014, 09:26:15 am
ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓๗๑
วันที่ ๕ ก.พ. – ๑๕ ก.พ.๒๕๓๗
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



ไอ้ตายโหง

คำว่าตายโหง หมายถึงตายด้วยอุบัติเหตุหรือตายเพราะคนทำให้ตาย คือตายในเวลาที่ยังไม่แก่ เช่น รถคว่ำตาย โดนยิงตาย ส่วนคำว่าตายห่า หมายถึง ตายเพราะเป็นโรคระบาดตาย สมัยก่อนคนเป็นโรคระบาดมาก ยังไม่มียาที่ทันสมัย โรคห่าก็คือโรคอหิวาห์ตกโรค การตายโหงและการตายห่า จึงนิยมนำมาใช้คู่กัน

เรื่องนี้เป็นเรื่องของวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อหรือเพราะท่านรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ คือไม่แน่ใจ ที่วัดหลวงพ่อ หลวงพ่อกวยได้ให้กรรมการวัดดำเนินการก่อสร้างพระอุโบสถ คือทำไปเรื่อย ๆ ให้ชาวบ้านทำไม่ได้จ้างช่าง ทำกันในฤดูแล้งว่างเว้นจากการทำนาก็ทำกันไปเรื่อย ๆ ใครมีศรัทธาก็นำเงินไปถวายท่าน ๆ ไม่เคยร้องขอกฐินหรือผ้าป่าจากใคร เท่าที่จำได้หลวงพ่อไม่เคยขออะไรจากใคร อ้อ จะว่าไม่เคยก็ไม่เชิง ท่านเคยให้ลุงทอดไปขอไก่ต๊อกเขามาเลี้ยงในวัด ๑ คู่ และเคยขอนกเขาครูซินบ้านหัวเขา ๑ คู่ เมื่อมาถึงวัดท่านให้ข้าวนกกินแล้วปล่อยไป ครูซินเสียดายแทบแย่ ก็นกเขาคู่ละเป็นพันบาท นึกว่าหลวงพ่อจะขอมาเลี้ยงอุตส่าห์ให้มาเอาไปปล่อยหน้าตาเฉย

ทีนี้ในการสร้างพระอุโบสถ ต้องมีลูกนิมิต ๆ นี่เข้าใจว่าแทบทุกคนคงเคยเห็น ทำจากหินทรายหรือหินอ่อน จะมีทั้งหมด ๙ ลูก ลูกใหญ่สุดเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า ให้ฝังไว้ใจกลางพระอุโบสถ อีก ๘ ลูก หมายถึงพระอรหันต์อีก ๘ องค์ ประจำอยู่ ๘ ทิศ เช่น พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระโกณฑัญญะ ฯลฯ ให้ฝังไว้รอบนอก ๘ ทิศ เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของท่านพระอาจารย์ที่ทรงคุณวิเศษท่านจะเคารพในพระอรหันต์ และรูปแทนตัวของพระองค์ คือลูกนิมิตนี้มักมีการจารหรือลงอักขระเลขยันต์ ลงรักปิดทอง เพื่อให้เป็นของอาถรรพณ์ คุ้มพระอุโบสถได้ด้วย ทีนี้ที่วัดหลวงพ่อ ๆ ได้จารอักขระลงบนลูกนิมิต และนำมาตั้งเอาไว้ในที่สมควร หลวงพ่อจะมาปลุกเสกอยู่เสมอ เพราะหลวงพ่อเป็นพระที่ลงอาถรรพณ์เก่งมาก

อยู่มาวันหนึ่งนายช่วง จั่นหนู เป็นคนบ้านแคได้นำเหล้าขาวมานั่งดื่มนั่งติด ๆ กับลูกนิมิตเลย หลวงพ่อท่านอยู่บนกุฏิแต่ท่านรู้ จะรู้ได้อย่างไรไม่รู้เหมือนกัน ท่านลงมาด้านล่างที่นายช่วงนั่งดื่มเหล้าอยู่ ท่านได้พูดว่า “ไอ้ตายโหงเอ๊ย ที่นั่งกินเหล้ามีถมเถ ไม่นั่งกิน ต้องมานั่งกินตรงลูกนิมิต” อยู่มาไม่นานนายช่วงไปธุระที่โพธิ์งามรถคว่ำเสียหลักตายคาที่เลย

อภินิหารของแหวนนิ้วกันภัย

เมื่อกลางเดือนที่แล้ว (พฤศจิกายน) ผมไปเข้าค่าย ร.ด. ที่ปราณบุรี วันออกเดินทางผมเร่งรีบมากจนลืมเอาพระพวงเอกห้อยคอไป รถแล่นไปได้กลางทางถึงนึกขึ้นมาได้ ผมก็ชักสยิวพอดีเหลือบไปเห็นแหวนหลวงพ่อกวยที่สวมติดนิ้วประจำจึงค่อยเบาใจ ครั้นพอฝึกภาคสนามต้องฝ่าดงกับระเบิดจำลอง มีผมสามารถฝ่ามาได้คนเดียว คนอื่นถูกระเบิดลวงหมด ครูฝึกยังแปลกใจว่าเส้นทางที่ผมผ่านก็มีกับลวงเต็มทางแต่ก็ไม่ระเบิด ครั้งที่ ๒ ผมต้องอยู่เวรเฝ้าค่ายกำลังสัปหงกเพลิน ๆ มีอะไรเคาะสะกิดหน้าแข้งผม พอลืมตาดู โอ้โฮ แมงป่องช้าง ตัวเกือบครึ่งฝ่ามือมาดุน ๆ หาก็ไม่ชู ผมรีบจ้ำยาวเลย ยังแปลกใจ ทำไมแมงป่องถึงไม่ต่อยผมตามสัญชาติญาณ แถมหางก็ตก ครั้งที่ ๓ ผมออกสำรวจฐานที่ตั้ง ที่เขาฉลักฉลาม เดินไปเดินมาแยกจากกลุ่มได้ยังไงก็ไม่ทราบมารู้ตัวอีกทีก็อยู่กลางป่าแล้ว ผมชักใจไม่ดีสั่นไปหมด คาถาอะไรก็คิดไม่ออกเหลือเพียงแหวนนิ้วหลวงพ่อกวยเท่านั้น ผมถอดออกมา พนมมือเหนือหัวขอให้หลวงพ่อช่วยด้วย แล้วกลับข้างแหวนใส่ แล้วเดินลองเสี่ยงทายดูลุยไปตามดงไม้ สักพักก็มีเสียงเพื่อนผมกู่หาตัวผมดีใจมากรีบตามเสียงไปก็พบเพื่อนและครูฝึก (พลบค่ำแล้ว) ครูฝึกถึงกับออกปากว่า “สงสัยไอ้นี่จะมีของดี เพราะย่านนี้ (เขาฉลักฉลาม) พวก ผกค.อยู่เต็มไปหมด แต่กลับไม่ถูกจับไป” ผมขนลุกทันที ถ้าไม่ได้หลวงพ่อกวยช่วยไว้ผมคงลำบากแน่ ๆ

วิชาหนุมาน

เรื่องวิชาหนุมานนี้แต่ก่อนหลวงพ่อ เคยสักมาก่อน ภายหลังท่านสุขภาพไม่แข็งแรง อายุมาก ท่านเลยเลิกสัก ได้มอบวิชาสักให้ อ.ส่ง และ อ.ส่ง ได้ไปสักอยู่วัดแหลมคาง ดังมาก ภายหลังได้สึกออกมาเพราะร้อนวิชา น่าเสียดายมาก เล่ากันว่า อ.ส่ง สามารถปลุกเสกหนุมานให้มีตัวได้ รัก-ยม กุมารทอง ก็สามารถปลุกเสกให้มีตัวตนได้ วิชาหนุมานของหลวงพ่อ หลวงพ่อจะสักให้ตรงสีข้าง ด้านหลังจะเป็นยันต์องค์พระ ตรงอกบริเวณกระดูกหน้าอกก็เป็นยันต์พระพรหม ๔ หน้า ใครที่โชคดีจะได้สักเสือหมอบ หรือเสือสุภาพ สวยงามมาก เหมือนเสือจำศีล สุภาพมาก ยันต์หนุมานยกธงรบนี้ ถ้าดูรูปถ่ายด้านบนของมณฑป ที่รูปหล่อใหญ่ จะสังเกตเห็นได้ชัดเจน คนที่สักหนุมานกับหลวงพ่อ ถ้าโดนตีจะสวนขึ้นมาเลย แม้โดนยิงก็ตามจะสวนทางปืนทันที คนที่ลอบยิงศิษย์หลวงพ่อจะรู้ดี ถ้ายิงผิดหรือยิงไม่ตายจะถูกหรือไม่ถูกต้องหนีไว้ก่อน มีเรื่องยืนยันคือ อ.เหวียน มณีนัย แกเคยโดนลอบยิง พอสิ้นเสียงปืนแกจะวิ่งสวนไปทันที ภายหลังผมถามแกว่า วิ่งไปมือเปล่า ๆ จะทำอะไรเขาได้ แกบอกว่า จะกัดกระเดือกมันให้ขาดคาฟันเลย พูดถึงเรื่องสักคนที่โชคดีที่สุดคือ นายเชน เทียมจัน เมื่อนายเชน ทำแหวนแขนขาด คือขาดเองตอนจะไปรบสงครามลาว แกไปขอหลวงพ่อใหม่อีก ๑ วง หลวงพ่อท่านทำเฉย ภายหลังแกได้ความคิดใหม่ ได้โกนหัวไปหาหลวงพ่อ บอกหลวงพ่อว่า เอาอย่างนี้ดีกว่าหลวงพ่อ ไม่ให้แหวนแขนไม่เป็นไร สักแหวนแขนเตือนภัยให้ผมเลย สักบนหัวนี่แหละ ตกลงหลวงพ่อได้สักให้แต่ไม่ได้เป็นแหวนแขน เป็นยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นยันต์ที่ท่านใช้ลงยันต์ในแหวนแขนนั่นเอง นับว่า นายเชนโชคดีที่สุด รู้สึกว่าจะได้ไปคนเดียวด้วยซ้ำ ภายหลังเวลาแกจะมีเรื่อง ยันต์นี้สามารถรัดหัวแกได้ รัดแล้วขนหัวจะลุก ปัจจุบันแกไม่เคยคล้องพระเลย หนังดีมาก

อีกเรื่องหนึ่ง คือ นายทวี ขาวจันทร์ โดนยิงด้วยปืนลูกซอง ระยะประชิด ที่ตรอกโรงหมู ตลาดท่าช้าง ปรากฎว่ายิงออก เสียงดังสนั่นเลย แต่ลูกปืนตกห่างปากกระบอกประมาณ ๒ ศอกได้ นายทวีไม่ได้คล้องพระอะไรเลย ได้แต่มีลายสักหลวงพ่อกวยอย่างเดียว

สำหรับวิชาหนุมานนี้ ท่านเคยสร้างเป็นรูปหล่อหนุมานลอยองค์มีอานุภาพมาก หายากมากเลย จะหาถ่ายรูปยังหาไม่ได้

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 06, 2014, 09:26:54 am

อภินิหารสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ

ด้านหลังมียันต์เฉพาะตัวของท่านคือ นะโมพุทธายะ มีทั้งยันต์จมและยันต์นูน และมีอีกแบบหนึ่งคือเป็นรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม ทั้ง ๓ แบบ มีทั้งบอก พ.ศ.ที่สร้าง คือ พ.ศ.๒๕๑๓ และไม่บอก พ.ศ. หลวงพ่อใช้เวลาทำถึง ๒ ปี ทำครั้งแรก ๆ จะบรรจุผงตะไบของสังฆราชแพ บรรจุแร่อุกาบาตร เพชรหน้าทั่ง เกศาผู้มีบุญญาธิการสูง เกศาครูบาอาจารย์ท่าน เกศาท่าน และอื่น ๆ อีกมากโดยยัดใส่ไว้ภายใน ต่อเมื่อทำไปเรื่อย ๆ ของวิเศษเริ่มน้อยลงหลวงพ่อเลยใช้ผงล้วน ๆ สีขาวทำ

เฉพาะสีขาวและสีดำท่านได้แจกให้ลูกศิษย์ออกไปจนหมด สีดำนั้นท่านใช้ผงใบลานทำ อีกเนื้อหนึ่งที่ท่านทำแจกออกไปจนหมดคือ เนื้อที่ผสมผงตะไบพระกริ่งของสังฆราชแพ(ได้มาจากพระครูลมูล คราวไปปลุกเสกพระให้พระครูลมูลวัดสุทัศน์) เมื่อท่านแจกออกไปท่านจะพูดว่ามีเกศาของ...ผสมอยู่ให้รักษาให้ดี ถ้าท่านพูดกับศิษย์ใกล้ชิดท่านจะพูดว่า “ปรกโพธิ์เขาดี อยู่ที่ไหนก็ร่มเย็น ไม่มีใครรังเกียจ”

ส่วนสีนั้น มีสีดำ สีขาว สีน้ำตาล สีชมพู สีพิกุล สีเขียวหินอ่อน สีว่าน(ใช้ว่านผสมทำเห็นได้ชัดเจน) สีที่พบมากคือสีพิกุล คือมีเกสรดอกไม้เป็นส่วนผสม พระชุดนี้มีน้ำมันตังอิ้วเป็นส่วนผสมจึงไม่ค่อยเก่า ถ้าใช้โดนเหงื่อเล็กน้อย จะเป็นมันหนึกแน่น 

พระที่สร้างจำนวนมากนี้ท่านไม่ค่อยแจกให้ใคร จะแจกเพื่อทดลองสรรพคุณเท่านั้น ที่แจกออกไปมากสุดคือพิมพ์ปรกโพธิ์ ๙ ใบ แจกมากถึงประมาณ ๓๐๐ – ๔๐๐ องค์ หลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้แจกใครอีกเลย ท่านได้พูดว่า “ผู้มีบุญในยุคของท่านมีเท่านี้ ต่อไปในวันข้างหน้า เจ้าของเขาจะมาเอาไปเอง”ท่านได้พูดกับศิษย์ใกล้ชิดเอาไว้ ท่านได้บรรจุใส่กล่องไว้มัดอย่างดี ปีต่อมาท่านจึงได้ทำสมเด็จหลังรูปรุ่นสุดท้ายแจก

ส่วนวัตถุมงคลที่เป็นตะกรุด ปลัดปรอท ท่านได้บรรจุไว้ ๑ ลังใหญ่ มัดแน่นหนาและเขียนว่าใครเปิดตาแตก แต่เมื่อท่านมรณภาพก็มีการเปิดจนได้ ปลัดตัวละ ๒๐ บาท ตะกรุดสายละ ๑๐๐ บาท ตะกรุดจำหน่ายหมดเลย ส่วนปลัดหมดในเวลาต่อมาเพียง ๒ ปี วัตถุมงคลชุดนั้นถ้านำมาเปิดตอนนี้ (พ.ศ.๒๕๓๘) จะมีมูลค่าประมาณ ๕๐ ล้านบาท หรือมากกว่านั้น

ต่อไปจะขอบันทึกอภินิหารเพิ่มเติม ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ เอาไว้

นายเอ๊บ เป็นศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งอายุรุ่นอา เดิมเป็นคนบ้านเดียวกับผม ตอนหลังเมียขับเพราะแกมีเมียหลายคน เลยไม่รู้บ้านแน่นอน มีลูกอายุแก่กว่าผมก็มี กำลังเป็นสาวก็มี มีนิสัยไปทางนักเลง หัวโต กินเหล้า ๓ วันยังไม่ทรุด ตัวโตพอ ๆ เสือเอียด เสือสมาน แต่งตัวสะอาดพูดจาปากหวาน ครั้งหนึ่งเขาชวนไปลักควายเขามีพระปรกโพธิ์หลังยันต์ ๑ องค์ เพื่อนชวนไปจะไม่ไปเดี๋ยวจะหาว่าไม่รักกันจริง เขาเลยไป เพื่อนไปคนไปจับควายในคอก อีกคนคอยดูเจ้าของบ้านที่หัวบันได ส่วนนายเอ๊บเป็นคนเปิดคอกควาย เจ้าของบ้านก็ชาติเสือเหมือนกัน พอรู้ตัวว่ามีคนจะมาลักควาย เขาย่องเงียบในมือถือปืนลูกซองยาว บรรจุลูกโดดลูกเดียว เห็นคนกำลังเปิดคอกอยู่พอดี เดือนหงาย เขาเลยตัดสินใจยิงคนร้ายที่กำลังเปิดคอกอยู่ ปรากฎว่าถูกและล้มลงไป คงจะไม่ใช่ตำแหน่งสำคัญ คนร้ายจึงลุกขึ้นวิ่ง หนีไปได้ นายเอ๊บโดนยิงได้ลุกขึ้นวิ่งหนีเพราะโดนตรงขา เมื่อคลำดูไม่มีเลือด เจ้าทรัพย์ได้เรียกพวกพ้องโดยยิงปืนขึ้นฟ้า ๓ นัด ชาวบ้านเกือบ ๓๐ คน ได้ตามหาคนร้ายเพราะเจ้าทรัพย์บอกว่ายิงโดนแน่ ๆ ส่วนนายเอ๊บเมื่อวิ่งหนีมาได้ประมาณครึ่งกิโลก็วิ่งไม่ไหว เพราะความแรงของลูกปืนและตัวแกโตด้วย เพื่อนจะเอาไปด้วยก็เอาไปไม่ไหว เลยตัดสินใจให้นายเอ๊บแอบอยู่ที่ป่าแฝก แล้วเพื่อนโจร ๒ คน จะหาคนมารับ นายเอ๊บได้ระลึกถึงพระแม่ธรณีอัญเชิญให้มาช่วย แล้วว่าคาถาพระแม่ธรณี พร้อมทั้งถอดรองเท้าปาทิ้งไป เพื่อให้เท้าสัมผัสกับพื้นดิน เจ้าของควายตามมาหวิด ๆ ได้เอาไฟฉายส่องดู ป่าแฝกบาง ๆ แท้ ๆ แต่ด้วยอำนาจมนต์ หรือพระของหลวงพ่อไม่แน่ชัด ปรากฎว่า เจ้าทรัพย์และเพื่อนบ้านตก ๒๐ กว่าคน หาไม่พบ เดินวนรอบตัวแก ๓ รอบก็ไม่พบ ดันทะลึ่งไปเจอรองเท้าเข้า เมื่อเจ้าทรัพย์หาไม่เจอก็กลับเพราะควายก็ไม่ได้มีโจรเอาไป ได้แต่พูดว่า“กูว่ากูยิงมันถูกแน่นอนเพราะมันหงายหลังล้มลงไป”แต่แปลกมากไม่พบรอยเลือด ประมาณตี ๒ เพื่อนของนายเอ๊บก็พาเพื่อน ๆ มาอีก ๓ คน มาช่วยกันหามตัวแกหนักมาก เพื่อนทำแคร่หามถึง ๔ คนหามมาไกลซัก ๓ กิโลได้ก็หยุดพัก เพื่อนโจรด้วยกันคนหนึ่งเหนื่อยจัด ได้ชักปืนออกมากะยิงทิ้งให้ตาย นายเอ๊บก็ใจเย็นระลึกถึงพระแม่ธรณี พระปรกโพธิ์ ๙ ใบ และหลวงพ่อเป็นที่สุด ผลคือเพื่อนโจรได้หามแกไปต่อ นั่งเรือโปง(ทำจากต้นตาล) เอาไปส่งให้หมอรวยที่ตลาดปากน้ำ เพราะขาแกขัดมากเดินแทบไม่ได้ บวมขนาดคับกางเกง หมอรวยก็ฉีดยาให้ เพื่อนโจรก็หนีไป สั่งว่าถ้าโดนจับห้ามไม่ให้ซัดทอดเด็ดขาด นายเอ๊บเกิดง่วงขึ้นมา คิดว่าค่อนสว่างก็จะรีบหนีไป เกิดหลับยันสว่างเลย เจ้าทรัพย์ได้มาตาม ตามร้านหมอทุกที่ทั้งส่งสายไป และมาตามเอง นายเอ๊บตื่นขึ้นมาสว่างพอดี ตกใจเอามือตบพระว่าคาถาพระแม่ธรณี พอดีเจ้าทรัพย์มาพอดี เจ้าทรัพย์พอเจอนายเอ๊บได้ถามว่า“มึงมาหาหมอทำไม” นายเอ๊บก็ตอบว่า“ก็มึงน่ะซิ ยิงกูเมื่อคืน เกือบตาย” นายเอ๊บก็พูดดี บอกว่า“เพื่อนมันชวนไม่รู้ว่าเป็นบ้านมึง” พูดกันไป พูดกันมา เพื่อน(เจ้าทรัพย์) ร้องให้ไปซื้อเหล้ามากินกัน นับว่าเป็นเรื่องแปลกมาก นายเอ๊บนี่ปากดีผมไม่เชื่อว่าเขาจะไม่รู้ว่าเป็นบ้านเพื่อน แต่เพื่อนเขาเมื่อรู้แล้วผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะคิดเก็บนายเอ๊บทีหลังหรือเปล่า

อีกครั้งหนึ่งนายเอ๊บถูกสั่งจับตายจากตำรวจ หรือจากโจรผมก็ไม่รู้เขาขี่รถคันใหญ่รถญี่ปุ่น ขี่มาด้วยความเร็วเขาโดนยิงชุดใหญ่ ๑ ชุด ความแรงของลูกปืนทำให้รถตกคลองลงไป ตัวเขากระเด็นข้ามคลองลงไปหัวพาดกับดินริมคลอง ตัวและขาแช่อยู่ในน้ำ ซี่โครง แขน โดนยิง เป็น ๑๐ เม็ด ยังตุ่ยอยู่ตามลำตัว ปัจจุบันยังเป็นไตแข็ง ๆ อยู่

อีกครั้งหนึ่ง เกิดขึ้นตอนที่เขาชักจะมีอายุมากแล้วเขาเมาเหล้าหน่อย ๆ ขี่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่คงจะขี่ซ่าหน่อย ๆ รถ ๑๐ ล้อขี่ตามมาเกิดหมั่นไส้หมั่นตับขึ้นมา ได้ขี่เอาท้ายปัดรถเขาเขาเพราะเขาทะลึ่งขี่กลางถนนกินเลนขวาอีกด้วย พอรถเขาถูกรถ ๑๐ ล้อปัดเอา รถก็เสียหลักแต่ไม่ล้ม พอดีรถกระบะวิ่งตามมาพอดีเฉี่ยวถาก ๆ ตัวเขาลอยข้ามรถกระบะร่วงลงดิน รถไม่เสียหายมากแต่คนน่าจะมีอาการหนัก เช่น ซี่โครงหรือคอ แต่ปรากฎว่าเขาไม่เป็นอะไรเลย เพียงแต่ปวดเมื่อยอยู่เดือนเศษ(อายุ ๖๐ กว่า) ปัจจุบันไม่ทราบที่อยู่ เพราะเขาก็ไม่อยากให้ใครรู้ ถ้าเขาผ่านบ้านผมถ้าเจอผมเขาจะแวะมาคุยเสมอ เขาพกปืนเสมอทั้ง ๆ ที่ไม่มีใบอนุญาต เขาชอบเอาพระมาแลกเปลี่ยนกับผม ชอบคุยเสียงดังข่มขวัญ เขาพูดว่าเขาเส้นมือขาดยิงใครออกทุกคน ผมก็คุยมั่งว่าหลวงพ่อให้คาถาคัดพระเอาไว้ ใครโดนผมยิงตายทุกคน แต่เป็นเรื่องแปลกมากเขามีเมียหลายคน จะเป็นด้วยพระปรกโพธิ์ ๙ ใบ หรือเปล่าไม่รู้ และฐานะเขาก็ค่อนข้างดีด้วยเคยมีเงินเป็นล้าน ๆ บาท ปัจจุบันมีที่เป็นร้อย ๆ ไร่
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: anon ที่ มกราคม 06, 2014, 08:39:01 pm
ขอบพระคุณครับ เอามาลงอีกนะครับ ลูกศิษย์หลวงพ่อมาใหม่ จะได้อ่าน  :D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 07, 2014, 12:20:16 pm
ขอบพระคุณครับ เอามาลงอีกนะครับ ลูกศิษย์หลวงพ่อมาใหม่ จะได้อ่าน  :D

ใกล้จะหมดจากสต็อคข้อมูลแล้วครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 07, 2014, 12:22:13 pm
ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓๗๒
วันที่ ๑๕ ก.พ. – ๒๕ ก.พ.๒๕๓๗
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



เหรียญหลังหนุมาน

ในงานฝังลูกนิมิต ทางวัดคือกรรมการวัดได้ขออนุญาตหลวงพ่อสร้างเหรียญขึ้นมา ๑ รุ่น ถ้าเทียบรุ่น รุ่นนี้ถือว่าเป็นรุ่น ๓ หรือรุ่นสุดท้าย ส่วนรุ่นที่ ๑ และ ๒ เป็นเหรียญกลม หรือรูปโล่ไทย หลวงพ่อดำเนินการเอง ส่วนรุ่นที่ ๓ นี่ กรรมการวัดได้ขออนุญาตสร้าง ท่านได้เขียนยันต์ให้แบบหนึ่ง เรียกว่ายันต์มหากาฬเป็นรูปโล่ฝรั่ง ส่วนอีกแบบหนึ่งเป็นเหรียญรูปหยดน้ำ ด้านหลังเป็นยันต์กันกระทำ ส่วนแบบเหรียญรูปโล่นี้มีทั้งชนิดหลังยันต์ซึ่งเป็นเนื้อทองแดง และด้านหลังเป็นรูปหนุมานยกธงรบ เป็นเนื้ออัลปาก้า เหรียญรูปโล่ทั้งสองแบบ ยังมีชนิดกะไหล่ทองด้วย เหรียญกะไหล่ทองนี้แจกเฉพาะกรรมการที่บริจาคข้าวสารเข้าโรงครัว ๑ กระสอบ

ส่วนเหรียญอัลปาก้าหลังหนุมานนี้ แต่เดิมกรรมการวัดให้จองเหรียญละ ๑๐๐ บาท เมื่อหลวงพ่อท่านรู้ท่านก็บอกให้ปั๊มเพิ่ม ท่านบอกจะเอาไว้แจกทหาร เหรียญ ๒ แบบนี้ใช้แม่พิมพ์ด้านหน้าแบบเดียวกัน การแกะแม่พิมพ์ไม่ค่อยเรียบร้อย มีเม็ดมีตุ่ม และเมื่อปั๊มมาก ๆ เข้า จมูกท่านเกิดบี้ยิ่งปั๊มยิ่งบี้ กรรมการวัดเลยพอ สำหรับเหรียญอัลปาก้านี้ จะเป็นด้วยสร้างน้อยกว่าชนิดทองแดง หรือเพราะจำหน่ายราคาแพงไม่แน่ชัด ปรากฎว่ามีอภินิหารน้อยกว่าชนิดทองแดง ซึ่งจำหน่ายตอนนั้น ๒๐ บาท

สำหรับคาถาเหรียญรุ่นนี้ ให้ใช้คาถาสักหนุมานดังนี้ อันนี้เป็นคาถาของหลวงพ่อ“อม ผงเผ่าเถ้าธุลี คงกระพันชาตรี สวาหะ คลุกคลี ตีมะอะ”ใช้เสกฝุ่นแป้งทาตัว เขาว่าดี จะขอเล่าอภินิหารไว้ดังนี้

จ.ส.ต.เปล่ง  พรหมขลิบนิล ปัจจุบันทำงานเป็นตำรวจอยู่ สภ.อ.สรรพยา ชื่อนี้ชื่อจริงนามสกุลจริงเลย เป็นศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งเคารพหลวงพ่อมาก คล้องเหรียญอัลปาก้าหลังหนุมานยกธงรบเหรียญเดียว ครั้งหนึ่งได้ไปล้อมจับคนร้าย คนร้ายเกิดไม่ยอมให้จับ ได้ยิงต่อสู้ในระยะประชิดเลย คนร้ายได้ยิง จ.ส.ต.เปล่ง คือยิงก่อนเลย ๒ นัด ยิงไม่ออกเลยทั้งสองนัด ยิงไม่ออกนะครับ ไม่ใช่เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นง่าย ๆ ถ้าสงสัยให้สอบถาม จ.ส.ต.เปล่งดู เข้าใจว่ายังอยู่ สภ.อ.สรรพยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท คุณจ่าท่านนี้ยังเคยขับรถชนกับรถ ๑๐ ล้อมาแล้วไม่เป็นไร คือสิบล้อตัดหน้าน่ะไม่ใช่ชนกันจัง ๆ

พูดถึงตำรวจ เรื่องรถ ๑๐ ล้อนึกขึ้นได้เลยเล่าอีกเรื่องหนึ่ง จ.ส.ต.แทน ประจำอยู่ สภ.อ.สรรคบุรี ได้ขับรถไปกับเพื่อนชื่อประเทือง ข้องหลิม ไปธุระต่างจังหวัด พอถึงถนนสายเอเชียได้ขับรถเร็วขึ้น รถเกิดเสียหลักเฉย ๆ ไม่ได้ชน ๑๐ ล้อด้วยซ้ำ รถหล่นข้างทางพลิกคว่ำผลปรากฎว่า นายประเทือง ข้องหลิมศิษย์หลวงพ่อมีเหรียญหนุมานคล้องคออยู่ไม่เป็นอะไร ส่วน จ.ส.ต.แทน ตายคาที่ เรื่องนี้ก็เล่าให้ฟัง วินิจฉัยเอาเอง

ต้านปีศาจ

น้องภรรยาผม ได้ไปเป็นทหารเกณฑ์ และได้ไปรบที่ชายแดนด้านอรัญประเทศ มีการปะทะกับทหารเขมรและได้ฆ่าทหารเขมรตาย เพื่อนทหารด้วยกันและตัวแกเองได้ตัดหูทหารเขมรเอาลวดร้อย แล้วเอามาขึ้นเงินกับหน่วยเหนือ ความที่ทหารเกณฑ์อายุยังน้อยไม่เคยเห็นคนตาย และไม่เคยฆ่าคนมาก่อน น้องภรรยาผมได้ถูกวิญญาณของทหารเขมรหลอกหลอนจนเสียสติ ต้องพักราชการ ออกมารักษาตัวที่ รพ.พระมงกุฎ เล่ากันว่าแกถูกขังปนกับคนบ้าอีกคนหนึ่ง ตกกลางคืนเกิดคุ้มคลั่งขึ้นมาบีบคอคนบ้าอีกคนหนึ่งถึงตาย ผมได้ไปเยี่ยมได้หาพระพิมพ์สรรค์คล้องคอให้ ๑ องค์ ตอนนั้นแกออกจาก รพ.แล้ว กลางคืนจะมีสุนัขหอนรอบบ้านทุกคืน แม้จะคล้องพระแล้วก็ตาม สุนัขยังหอนรอบบ้านตลอดเวลา แสดงว่า ผีทหารเขมรได้มารบกวนอยู่เรื่อย ๆ ผมเลยให้มีดไว้กับแม่ยาย ๑ เล่ม บอกว่า ถ้าหมาหอนให้ระลึกถึงหลวงพ่อกวยแล้วชักมีดออกจากฝัก ฟันอากาศ ฟันไปทางเสียงนั้นทันที วิญญาณจะอยู่แถวนั้น เมื่อโดนมีดฟันมันจะหนีไป ปรากฎว่ามีมาทุกคืน มาอยู่ ๖-๗ คืน แม่ยายผมก็ทำอย่างที่ผมสั่ง ภายหลังไม่มีเสียงสุนัขหอนอีกเลย

เกี่ยวกับมีดหลวงพ่อนี้ ถ้าสู้กับปืน ห้ามไม่ให้ชักมีดออกจากฝัก ถ้าสู้กับผีหรือนอนในป่าให้ชักออกจากฝัก ถ้านอนในป่าให้ปักมีดไว้กับดิน จะเตือนภัยจะปลุกได้ ถ้าลงน้ำให้ชักออกจากฝักระลึกถึงหลวงพ่อ กลั้นใจว่าคาถาแล้วเอามีดวาดน้ำ ๓ ที ป้องกันพรายน้ำ ผีน้ำได้ ถ้าต้องว่ายน้ำให้ปากคาบมีด คาถาให้ใช้ กัสสะฯ กับมงกุฎพระพุทธเจ้าควบคู่กันไปเลย ว่าดังนี้

สักกัสสะวชิราวุธธัง เวสสุวัณณัสสะคธาวุธธัง ยะมะนัสสะนัยยะนาวุธธัง อะฬะวะกัสสะทุสาวุธธัง นรายัสสะจักราวุธธัง ปัญจะอาวุธธานัง เอเตสังอานุภาเวนะ ปัญจะอาวุธธา ภัคคะ ภัคคา วิจุณณัง วิจุณณาโลมังมาเมนะ ผุสสันติ

ส่วนคาถาที่ตรงกับของหลวงพ่อเดิมวัดหนองโพธิ์ ก็มี ชื่อคาถากระบองเพชรและอาวุธ ๔ ประการ คาถาว่าดังนี้

“สัมเพเทวาปีสาเจวะ อาละวะกาทะโย ปิจะคักตัง ตาละปัดตัง ทิดสวา สับเพยักขา ปะรา ยันติ สักกัดสะวะชิราชิราวุทัง เวสสุวัน นัดสะคะทาวุทัง อาระวะ กัดสะทุสาวุทัง ยะมาราจะนัยยะนาวุ ทังอิเมทิดสวา สับเพยักขา ปะรายันติ พุดทังสิดทิ ธัมมังสิดทิ สังฆังสิดทิ คัด ชะอะมุมหิ โอกาเสติ ถาหิ”

พระคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า

"อิติปิโสวิเสเสอิ อิเสเสพุทธะนาเมอิ อิเมนาพุทธะตังโสอิ อิโสตังพุทธะปิติอิ"

ขอเวลานอกตอบจดหมายเล็กน้อย มีคนถามมาว่า ศิษย์หลวงพ่อที่ทำมีดได้ขลัง ๆ เดี๋ยวนี้มีบ้างหรือเปล่า ก็ขอตอบเลยว่า ให้ใช้มีดของศิษย์หลวงพ่อเดิมจะดีกว่านะครับ เช่นหลวงพ่อน้อย หลวงปู่โอน ก็ได้

วันที่ ๒๘ – ๒๙ ส.ค. ผมไปบ้านเพื่อนที่โคราช เจอพ่อเพื่อนผมโดนโดนเมียน้อยทำของเขมรใส่ของแรงมากเป็นผีตายทั้งกลม กลางคืนทุกคนในบ้านนอนไม่หลับเลย นั่งจับเข่าคุยกันจนสว่าง ขวัญผวาเพราะความกลัว กลิ่นสาบสางตรลบอบอวลทั่วทั้งบ้านพอตกเย็นต้องกินก่อนค่ำ แกหวาดระแวงมาก ผมจึงไปนอนเป็นเพื่อน ๒ คืน เพื่อนมันบอกว่าเอาน้ำมนต์มาพรมรอบบ้านแล้ว เอาทรายเสกมาหว่านรอบ ๆ บ้านแล้วก็ไม่ไป แรงมาก กลางคืนเที่ยวเคาะข้างฝา ทำเสียงคนเดินแรง ๆ มีกลิ่นสาบเหม็นอยู่ดี ๆ ไฟก็ดับเฉย ๆ ผมจึงกลับไปบ้านไปเอามีดหมอ ตกกลางคืนหลวงพ่อกวยท่านมาเข้าฝันไม่ให้ประมาท จะทำอะไรอย่าลืมนึกถึงครูบาอาจารย์ท่านคือหลวงพ่อศรี และหลวงพ่อเดิมด้วย แล้วค่อยระลึกถึงท่าน เมื่อผมเอามีดหมอมาแล้ว ผมก็ระลึกถึงครูบาอาจารย์ และหลวงพ่อกวยเป็นที่สุด พอผมชักมีดออกจากฝัก พ่อเพื่อนผมมีอาการทุรนทุราย ผมเลยเอามีดจี้ระหว่างอก ว่าคาถาเวสสุวรรณนัสสะตุของหลวงพ่อเท่านั้นแหละ ร้องกรี๊ดหงายท้องตึงเลย ผมเลยเอามีดทำน้ำมนต์ให้ดื่มกินและประพรมรอบบ้าน คนตามนั้นถามถึงชื่อหลวงพ่อเจ้าของมีดกันใหญ่เลยว่าหลวงพ่ออะไร

อีกเรื่องหนึ่ง ป้าเชียร โหราเรือง บ้านอยู่ที่เดียวกับผม แกเคยทำบุญกับอาจารย์ แกมีพิมพ์สรรค์คล้องคออยู่องค์เดียว วันนั้นแกหิวน้ำแกเปิดตู้เย็นเพื่อจะกินน้ำเย็น แล้วหัวใจแกก็จะหยุดเต้นเอาเฉย ๆ แกได้ยินเสียฟู่ ๆ แกคิดว่าเป็นหนู แกเลยก้มไปใต้ตู้เย็นปรากฎว่าเป็นงูเห่าตัวดำเมื่อม ตัวโตขนาดข้อมือ ป้าแกก้มหน้าไปดู ห่างคืบเดียวดีที่มันไม่กัด พอแกหายตกใจแกวิ่งออกจากบ้านตะโกนสุดเสียงเลย วันนั้นแกคล้องพระพิมพ์สรรค์ยืนของหลวงพ่อองค์เดียว ทำให้แกแคล้วคลาดจากงูกัดได้

แปลกนะครับ พระพิมพ์สรรค์ยืนนี่ค้าขายก็ดี ใช้กันผีก็ได้ ผมเคยให้คนทำงานในโรงพยาบาลใช้ เขาเจอผีบ่อย ๆ พอใช้แล้วไม่เจอผีอีกเลย ขอจบแค่นี้ก่อนครับ

ท้ายนี้ขอให้อาจารย์โชคดี
จากบุญชู  คำวงค์
๗๒๗ หมู่ ๑๐ บ้านฉัตรมงคล
ต.เมืองปัก อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 08, 2014, 10:22:45 am
ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓๗๓
วันที่ ๒๕ ก.พ. – ๕ มี.ค.๒๕๓๗
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


เเดง สว่างศรี

ต่อไปเป็นบันทึกของนายแดง สว่างศรี นายแดงเป็นหลานผมเอง ถือของขึ้นมากเลย เคยบวชเณรที่วัดหลวงพ่อกวยไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ หลวงพ่อให้คาถามา ๒ ตัว สามารถเป่าแมงป่องให้หางตก และจับเอามาเล่นได้ เคยโดนล็อคคอ ยึดแขน แล้วโดนแทง ๓ ที ไม่เข้าเลย คล้องเหรียญรุ่นสุดท้ายเหรียญเดียว พี่นายแดงชื่อชู สว่างศรี ชาวบ้านเรียกแกว่าเสือชู หนังเหนียวมาก เป็นศิษย์หลวงพ่อรุ่นหลังเพียงคนเดียวที่ยืนยันว่าหลวงพ่อกวยศักดิ์สิทธิ์จริง เคยโดนฟันด้วยขวานพก โดนกระดูกไหปลาร้าไม่เข้าเลย ปัจจุบันบวมโน ขนาดเม็ดกระท้อนได้ ในคอมีเหรียญรุ่นสุดท้ายกับตะกรุดหัก ๆ ดอกเดียว นายชูคนนี้โดนยิงบ่อย ชนิดนับครั้งไม่ถ้วน ออกบ้างไม่ออกบ้าง ใจถึงมากขนาดมีมีดโต้เล่มเดียวยังอาจหาญสู้กับปืนได้ ปรากฎว่าปืนยิงไม่ติดแกเอามีดโต้ด้านแบนตบนักเลงคนนั้นฟันหักหมดทั้งแถบเลย นายแดงยังเล่าให้ผมฟังว่า ที่วัดใหม่สามัคคีธรรม ภายหลังชาวบ้านเรียกวัดนี้ว่า วัดไฟไหม้ คือ กุฏิวัดถูกไฟไหม้หมดเกือบทุกหลัง มีอยู่หลังเดียวที่ไฟไม่ไหม้ ปรากฎว่าที่เสากุฏิหลังนั้น มีตะกรุดหลวงพ่อกวยแขวนอยู่เพียงดอกเดียว วัดนี้ตั้งอยู่ ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี ถามคนแถวดงคอนดูรู้เรื่องนี้ทุกคน

อีกเรื่องหนึ่ง นายรัตน์ เดชมา ไม่รู้ว่าไปทำอะไรอีท่าไหนเข้าโดนตำรวจยิงที่เช็คบุญมา ตรงทางสามแพ่งสุพรรณ สิงห์ ชัยนาท โดนยิงตรงอก ๒ นัดไม่เข้า โดนตรงทัดดอกไม้ ๑ นัด ไม่เข้าเช่นกัน ตรงทัดดอกไม้ลูกปืนได้กระเฉิดขึ้นบนตัดเส้นผมขาดเป็นทาง ในตัวมีเหรียญรุ่นสุดท้ายเหรียญเดียว ผมขอชมเชยตำรวจท่านนี้ ยิงปืนได้แม่นยำมาก ขนาดอยู่คนละฟากคลอง โดนจุดตายทุกนัด
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 08, 2014, 10:23:22 am
อีกเรื่องหนึ่ง ด.ช.วิสุทธิ กับเด็กหญิงบังอร เดี๋ยวนี้โตมากแล้ว เป็นพี่น้องกัน เกิดแย่งของกัน เด็กหญิงบังอรเป็นน้อง แย่งสู้ไม่ได้ ได้ไปหยิบมีดเหน็บหรือมีดปาดตาล ฟันพี่ชายกลางกระหม่อมเลยเสียงดังโพล๊ะเหมือนผ่ามะพร้าว ปรากฎว่าไม่เข้าเลย ผมขาดเป็นทาง พี่น้องคู่นี้เป็นคนบ้านหัวเด่น

เรื่องสุดท้ายก็แล้วกันเดี๋ยวจะเบื่อเอาหลายเรื่องจัดไป เป็นประสบการณ์ของเหรียญหนุมานยกธงรบ ปกติชาวบ้านจะไม่ใคร่ได้เช่าไว้เพราะมีราคาแพง หลวงพ่อได้ใช้วิชาหนุมานปลุกเสกให้มีตัวเหมือนการสักทุกอย่าง เหรียญรุ่นนี้พิเศษกว่าเนื้อทองแดงทั้ง ๒ พิมพ์ นายเถิ่ง ชื่อแกชอบกล แกเป็นคนทางหนองตาแก้วตัวใหญ่โตแบบคนโบราณไปขุดพลอยที่จันทบุรี โดนพวกหักหลังตีด้วยไม้หน้าสาม ตีบริเวณคอกะให้คอหักตาย ปรากฎว่าหมดสติไป คนตีกลัวว่าจะไม่ตาย ได้ตีซ้ำ ด้วยเดชเดชะในอำนาจมนต์ของหลวงพ่อกวยที่ปลุกเสกไว้ในเหรียญหนุมาน พอคนตีตีซ้ำ ปรากฎว่านายเถิ่งคืนสติ ทะลึ่งพรวดติดไม้ขึ้นมาบีบคอคนตีตาเหลือกไม้หลุดมือ ดีที่มีคนมาพบได้ห้ามแยกออกจากกัน ไม่เช่นนั้นคนตีต้องโดนแกบีบคอตายคามือไปแล้ว แกเห็นท่าไม่ดี แกเลยเก็บเสื้อผ้ากลับบ้าน ขณะที่นั่งรถสองแถวออกจากบ่อพลอยแกไม่เคยนึกว่าจะมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น มีคนขึ้นมาบนรถกลางทาง พอเดินมานั่งตรงข้ามกับแก คนร้ายได้ชักปืนลูกซองสั้นออกมายิงแกโดนหน้าอก ถนัด แต่แทนที่แกจะฟุบจมกองเลือด พอสิ้นเสียงปืนแกทะลึ่งพรวดบีบคอคนยิงกว่ารถจะหยุด กว่าจะมีคนมาห้าม มือปืนเกือบตาย คนร้ายโดนตำรวจจับได้ พอแกเล่าจบแกกลัวว่าผมจะไม่เชื่อ แกเปิดเสื้อให้ผมดูรอยลูกปืน ๕ เม็ด ตรงราวนม ๔ เม็ด อีก ๑ เม็ด ตรงบริเวณกระดูกหน้าอก แกเล่าว่ามีลูกปืนหลงออกมาลูกหนึ่งโดนใบหูคนนั่งข้าง ๆ หูทะลุเลย 

วันที่ ๒๘ – ๒๙ ส.ค. ผมไปบ้านเพื่อนที่โคราช เจอพ่อเพื่อนผมโดนโดนเมียน้อยทำของเขมรใส่ของแรงมากเป็นผีตายทั้งกลม กลางคืนทุกคนในบ้านนอนไม่หลับเลย นั่งจับเข่าคุยกันจนสว่าง ขวัญผวาเพราะความกลัว กลิ่นสาบสางตรลบอบอวลทั่วทั้งบ้านพอตกเย็นต้องกินก่อนค่ำ แกหวาดระแวงมาก ผมจึงไปนอนเป็นเพื่อน ๒ คืน เพื่อนมันบอกว่าเอาน้ำมนต์มาพรมรอบบ้านแล้ว เอาทรายเสกมาหว่านรอบ ๆ บ้านแล้วก็ไม่ไป แรงมาก กลางคืนเที่ยวเคาะข้างฝา ทำเสียงคนเดินแรง ๆ มีกลิ่นสาบเหม็นอยู่ดี ๆ ไฟก็ดับเฉย ๆ ผมจึงกลับไปบ้านไปเอามีดหมอ ตกกลางคืนหลวงพ่อกวยท่านมาเข้าฝันไม่ให้ประมาท จะทำอะไรอย่าลืมนึกถึงครูบาอาจารย์ท่านคือหลวงพ่อศรี และหลวงพ่อเดิมด้วย แล้วค่อยระลึกถึงท่าน เมื่อผมเอามีดหมอมาแล้ว ผมก็ระลึกถึงครูบาอาจารย์ และหลวงพ่อกวยเป็นที่สุด พอผมชักมีดออกจากฝัก พ่อเพื่อนผมมีอาการทุรนทุราย ผมเลยเอามีดจี้ระหว่างอก ว่าคาถาเวสสุวรรณนัสสะตุของหลวงพ่อเท่านั้นแหละ ร้องกรี๊ดหงายท้องตึงเลย ผมเลยเอามีดทำน้ำมนต์ให้ดื่มกินและประพรมรอบบ้าน คนตามนั้นถามถึงชื่อหลวงพ่อเจ้าของมีดกันใหญ่เลยว่าหลวงพ่ออะไร

อีกเรื่องหนึ่ง ป้าเชียร โหราเรือง บ้านอยู่ที่เดียวกับผม แกเคยทำบุญกับอาจารย์ แกมีพิมพ์สรรค์คล้องคออยู่องค์เดียว วันนั้นแกหิวน้ำแกเปิดตู้เย็นเพื่อจะกินน้ำเย็น แล้วหัวใจแกก็จะหยุดเต้นเอาเฉย ๆ แกได้ยินเสียฟู่ ๆ แกคิดว่าเป็นหนู แกเลยก้มไปใต้ตู้เย็นปรากฎว่าเป็นงูเห่าตัวดำเมื่อม ตัวโตขนาดข้อมือ ป้าแกก้มหน้าไปดู ห่างคืบเดียวดีที่มันไม่กัด พอแกหายตกใจแกวิ่งออกจากบ้านตะโกนสุดเสียงเลย วันนั้นแกคล้องพระพิมพ์สรรค์ยืนของหลวงพ่อองค์เดียว ทำให้แกแคล้วคลาดจากงูกัดได้


แปลกนะครับ พระพิมพ์สรรค์ยืนนี่ค้าขายก็ดี ใช้กันผีก็ได้ ผมเคยให้คนทำงานในโรงพยาบาลใช้ เขาเจอผีบ่อย ๆ พอใช้แล้วไม่เจอผีอีกเลย ขอจบแค่นี้ก่อนครับ

ท้ายนี้ขอให้อาจารย์โชคดี
จากบุญชู  คำวงค์
๗๒๗ หมู่ ๑๐ บ้านฉัตรมงคล
ต.เมืองปัก อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา


จดหมายเป็นหมัน
ในช่วงอายุของหลวงพ่อ ๗๔ ปี เข้าใจว่า หลวงพ่อจะสักให้ศิษย์ประมาณ ๓๐ เศษถึง ๕๐ หลังจากนั้นหลวงพ่อได้แต่ทำพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง มีตะกรุด แหวนแขน พระสมเด็จ พระเนื้อดิน ฯลฯ การทำเครื่องรางของหลวงพ่อ หลวงพ่อจะทำเอง และพยายามทำเองทั้งหมด ที่ทำเองคือพระเครื่อง แหวนแขน ตะกรุด ผ้ายันต์ ที่พยายามทำเองคือมีดหมอ ปลัด คือท่านอายุมากแล้วจะตีมีดเองก็ไม่ไหว แต่บรรจุมีดเองทั้งสิ้น เหรียญรุ่น ๑ รุ่น ๒ สั่งทำเอง มีดหมอช่างพยุหะท่านก็สั่งทำเอง ปัจจัยคือเงิน ถ้าท่านมีเงินอยู่จะจ่ายเอง ถ้าไม่มีจะเบิกจากกรรมการวัด กรรมการวัดก็เกรงกลัวท่านมาก เพราะเป็นศิษย์สัก สมัยนั้นไม่มีใครกล้าทำเติมทำเพิ่มแม้อันเดียวขนาดนายแจ๋วทำปลัดรุ่น ๑ ตัวเล็ก คือทำเล่น ๆ จะหัดปลุกเสกเอง ท่านรู้ท่านพูดว่าไอ้แจ๋วมึงทำปลัดเหมือนของกู ถ้ามึงปลุกเสกไม่ขลังเท่าของกูกูจะแช่ง อยู่ต่อมานายแจ๋วกำลังหล่อปลัดอยู่พอดี เกิดไฟไหม้บ้านหมดเลย

วันหนึ่งกรรมการวัดได้พานายช่างทำพระ มาจากกรุงเทพฯ ชื่อนายช่างเกรียงไกร (เล็ก) เรืองกิจภิญโญกุล กรรมการวัดอยากให้ทำล็อคเก็ต หลวงพ่อไม่อยากให้กรรมการวัดมายุ่งเกี่ยวกับวัตถุมงคล และไม่อยากให้มีการทำเสริม ทำเพิ่ม และไม่อยากให้ศิษย์ท่านเป็นเปรตหรือท่านจะไม่ชอบล็อคเก็ตก็ไม่รู้ ตกลงนายช่างเกรียงไกร ได้ขอถ่ายรูป เพื่อเอาไปทำล็อคเก็ต หลวงพ่อก็ไม่อยากขัดใจกรรมการวัด ตกลงถ่ายก็ถ่าย อยู่ต่อมาไม่นานก็มีจดหมายจากนายช่างเกรียงไกรเขียนมาถึงหลวงพ่อดังนี้

โรงงานบุญศิริ
๔๘๗/๗ ถ.สันติภาพ ป้อมปราบ กรุงเทพ
๑๘ ส.ค.๒๕๑๙

กราบนมัสการท่านพระคุณเจ้าที่เคารพนับถือ

กระผมได้ถ่ายรูปของท่านที่วัดกะว่าจะทำล็อคเก็ตตัวอย่าง แต่ถ่ายรูปท่านไม่ติด หากท่านมีรูปถ่ายของท่านแล้ว กรุณาจัดส่งมายังกระผมได้เพื่อจะได้ทำได้

นมัสการมาด้วยความเคารพ
เกรียงไกร


เมื่อหลวงพ่อได้รับจดหมายแล้วหลวงพ่อก็ไม่ได้ติดต่อไปอีกเลย ได้ทิ้งจดหมายไว้ที่มุมห้องพร้อมซองปัจจัยจนกระทั่งมรณภาพ จึงได้ค้นพบ ปัจจุบันจดหมายฉบับนี้ ผมเก็บรักษาอยู่ ผมถือเป็นเกียรติยศของหลวงพ่อครั้งก่อน คุณสมควรมากราบหลวงพ่อกับเพื่อน หลวงพ่อกำลังนั่งถักตะกรุดอยู่ พอหลวงพ่อเห็นแขกมา ท่านก็เอาตะกรุดเหน็บเอวไว้ คุณสมควรบอกว่าจะนำผ้าป่ามาทอด และขอถ่ายรูปหลวงพ่อไป ๓ – ๔ ท่า พอคุณสมควรและเพื่อนไปแล้ว หมอเฉลียวก็เข้ามาถามว่าใครมา มาธุระอะไร หลวงพ่อบอกว่า เขาจะเอาผ้าป่ามาทอด และขอถ่ายรูปไป ๓ – ๔ ท่า ท่านพูดว่า “สงสัยจะไม่ติด กูเผลอเอาตะกรุดเหน็บเอาไว้” อยู่ต่อมา ๓ – ๔ วันได้ หมอเฉลียวได้ขึ้นมาหาหลวงพ่อ หลวงพ่อได้โยนจดหมายฉบับหนึ่งให้ดู เป็นจดหมายจากคุณสมควร เขียนมาบอกว่ารูปถ่ายไม่ติดเลยกล้องก็คล้าย ๆ จะเสีย

คุณสมควรนี้ ทราบว่าเป็นผู้จัดการบริษัท เมื่อหลวงพ่อป่วย เข้ารับการรักษาที่ รพ.พญาไท พี่สมควรได้จัดหาแพทย์ชั้นดีมารักษา และเมื่อหลวงพ่อมรณภาพคุณพี่สมควรได้มาช่วยทุกอย่าง ผมไม่เคยพบคุณพี่มาก่อน แต่ขอให้คุณและครอบครัวมีแต่ความสุขความเจริญยิ่งขึ้นไป

ขอจบจดหมายนายช่างเกรียงไกรเพียงเท่านี้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 09, 2014, 01:00:28 pm
ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓๗๔
วันที่ ๕ มี.ค. – ๑๕ มี.ค.๒๕๓๗
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา




เหรียญรุ่นสุดท้าย


เรื่องที่ ๕ เกิดขึ้นวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๔ หมอเรียม บ้านอยู่หนองปลาดุก ได้ขับรถกระบะไปธุระที่ จังหวัดนครสวรรค์ ตอนขากลับตรงสามแยก เข้าพยุหะได้มีรถกระบะคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็ว วิ่งตัดหน้า ได้ชนรถหมอเรียมกระเด็นตกลงข้างทาง รถกลิ้งหลายตลบ ปรากฎว่ารถพังใช้ไม่ได้เลย เละเลย แต่ตัวหมอเรียมไม่เป็นอะไรเลย ในคอมีเหรียญทองแดงโล่เพียงเหรียญเดียว ตำรวจมาดูเหตุการณ์ยังยืนงง หมอเรียมเดินได้เป็นปกติ คนมาถามมามุงดูกันใหญ่เลย

เรื่องที่ ๘ วันนี้ขอเหมาเรื่องรถชนกันสักวัน นายอินทร์ เดชมา กับพระอาจารย์เกลียวเจ้าอาวาส วัดหนองแขม อ.สรรคบุรี ได้เดินทางไปธุระที่จังหวัดสุพรรณบุรี โดยขี่มอเตอร์ไซค์ไป ขับไปเร็วมากเพราะทางไกล ระหว่างทางได้มีวัววิ่งตัดหน้า นายอินทร์เบรกไม่ทัน ได้ชนวัวอย่างแรง ผลปรากฎว่าวัวไม่เป็นอะไร แต่รถกระเด็นตกคลองบิดเบี้ยว ขับไม่ได้เลย ส่วนนายอินทร์กับอาจารย์เกลียวตกลงไปในคลองเช่นกัน แต่ไม่เป็นอะไรเลย ไม่เจ็บเลยแต่เปียกน้ำ นายอินทร์คล้องเหรียญหนุมานอันเดียว อาจารย์เกลียวมีเหรียญหนุมานเหน็บอยู่ในย่ามเหรียญเดียวเช่นกันแปลกมาก อาจารย์เกลียวอายุมากแล้วตก ๗๐ ปี แต่ไม่เป็นอะไรเลย เขาว่าหลวงพ่อสำเร็จวิชาหินเบา

เรื่องที่ ๙ เกิดขึ้นวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๑ เจ้าของเรื่องชื่อถวิล เป็นคนบ้านแคได้ไปเยี่ยมญาติที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี นายถวิลได้ขี่รถจักรยานยนต์ไป พอถึงสี่แยกบางระจัน นายถวิลได้ขี่รถเข้าแยกสิงห์บุรี ไม่มองซ้ายมองขวา รถเก๋งวิ่งมาจากสายบ้านจ่าด้วยความเร็ว ได้ชนรถนายถวิลอย่างแรงมากรถเละเลย นายถวิลได้กระเด็นข้ามรถเก๋งไปตก ๕ เมตร นายถวิลไม่เป็นอะไรเลย ในคอคล้องเหรียญหนุมานยกธงรบเพียงเหรียญเดียว แปลกมาก ไม่เป็นอะไรเลย คนมาดูกันเต็มนายถวิลได้มาบวชให้หลวงพ่อ ๑ พรรษา

เรื่องที่ ๑๐ วันนี้เหมาเรื่องรถชนกันสักวัน เจ้าของเรื่องชื่อพูนวัฒน์ นาคทอง อยู่บ้านเลขที่ ๑๒๔/๑ ถ.นิพัทธ์อุทิศ ๓ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ๙๐๑๑๐ คุณพูนวัฒน์ได้ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปธุระ ขากลับไม่รู้ว่ารถบรรทุกวิ่งมาแต่ไหน ตรงสี่แยกพอดี ชนรถเขาอย่างแรงรถเละเลย ตัวเขากระเด็นไปข้างทางปรากฎว่าคุณพูนวัฒน์ไม่เป็นอะไรเลย อีกครั้งหนึ่งคุณพูนวัฒน์ไปธุระเช่นกันรถกระบะวิ่งสวนมาด้วยความเร็วเสียหลักด้วย ได้ชนรถคุณพูนวัฒน์เละเลย คุณพูนวัฒน์กระเด็นไปข้างทางไกลมาก เขาไม่เป็นอะไรเลย เขาใช้เหรียญทองแดงรูปโล่ ๑ องค์กับสมเด็จสีชานหมาก เขารอดตายมาได้ ๒ ครั้ง เขาเชื่อและนับถือหลวงพ่อเป็นชีวิตจิตใจท่านเก่งจริง ๆ เขาไม่เจ็บเลย

เรื่องที่ ๑๑ เรื่องนี้เป็นเรื่องเตือนใจสมควรบันทึกเอาไว้ มีศิษย์ของหลวงพ่อรุ่นหลังคนหนึ่ง คล้องเหรียญหนุมานประจำ ชื่อพิณ(ชื่อจริง ๆ) เป็นคนทางแม่น้ำน้อย วันหนึ่งนายพิณได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาที่โพธิ์งาม รถใหม่ด้วยได้มีนักจี้ชิง ๒ คนซ้อนรถกันมา นายพิณรู้สึกตัวได้ขี่หนี แต่โจร ๒ คนก็พยายามขี่รถปาดหน้าให้รถเสียหลัก นายพิณได้ขี่รถหนีจนสุดชีวิต คนร้ายได้ชักปืนออกมายิงนายพิณ ๓ นัด ไม่ออกเลย นายพิณใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง แต่คนร้ายก็ร้ายสมชื่อได้ขี่รถปาดหน้าจนได้ รถได้เสียหลักจนล้มลง คนร้ายได้ปล้ำแย่งรถ นายพิณฮึดสู้คนขับคือโจรคนแรกเข้าปล้ำ คนซ้อนคือโจร(มือปืน) ได้สติ สั่งให้เพื่อนกระตุกสร้อยในคอออก พอสร้อยขาด มือปืนคนซ้อนได้ยิงนายพิณนัดเดียวตายเลย ข้อคิดเรื่องนี้เป็นเรื่องเตือนใจ สัญชาตินักเลงต้องมีเครื่องรางหลายแบบและควรมีเขี้ยวเล็บด้วย

เรื่องที่ ๑๒ สมัยก่อนนี้ นักเลงมักจะพกอาวุธแปลก ๆ เช่น มีดเสือซ่อนเล็บ เป็นมีด ๒ เล่มใช้ด้ามเป็นฝักใช้ฝักเป็นเป็นด้ามบางคนหมัดไม่หนักก็พกสนับมือ เป็นโลหะทองเหลืองใส่นิ้ว ๔ นิ้วต่อยคนถึงเจ็บ บวม หรือแตกได้ทันที บางคนพกเหล็กขูดชาร์ป มีด้ามเป็นไม้รูปเหล็กทรงมะเฟือง ๔ แฉก ใช้ขูดเศษโลหะที่โรงกลึง เขาว่าถ้าแทงคนแล้วเลือดจะไม่ไหลออก จะไหลลงช่องท้องถึงตายได้

วันหนึ่งงานวัดของหลวงพ่อทางโรงเรียนมักจัดรำวงกับมวย ส่วนวัดจัดภาพยนตร์ ลิเก ปัจจุบันนี้รำวง มวยที่จังหวัดอื่นเขาเลิกจัดกันแล้ว แต่ทางโรงเรียนของหลวงพ่อยังจัดได้ ปีนั้นทางวัดและโรงเรียนมีงานประจำปี คนมาเที่ยวกันมาก โดยมากจะมาปิดทองรูปหล่อของหลวงพ่อกันก่อน นายยอด รุ่งเรือง ลูกชายหลวงตายอด รุ่งเรือง ก็มากราบหลวงพ่อด้วยมาคนเดียว เดินเพลิน ๆ อยู่ มีคนมาสะกิดสีข้างแล้วแทงด้วยเหล็กขูดชาร์ป แทง ๓-๔ ที ล้มลงไป คนมามุงดูกันเต็มคิดว่าตายแล้ว ปรากฎว่าแทงไม่เข้าแม้ทีเดียว คนมาขอดูเหรียญที่คอกันเต็มไปหมด ปรากฎว่าในคอนายยอด คล้องเหรียญทองแดงโล่ รุ่น ๓ พ.ศ.๒๕๒๑ เพียงเหรียญเดียว

เรื่องที่ ๑๓ เจ้าของเรื่องชื่อละมัย เดชมา เป็นคนหมู่ ๑๐ ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี ได้ไปเที่ยวที่วัดดอนตาลเสี้ยน หลังวัดดอนไร่ ไปเที่ยวกับนายปี ไปเจอเจ้าถิ่นเข้าเขาไม่พอใจ นายปีได้เข้าไปห้าม เลยโดนตีด้วยขวดเหล้าขวดแตกเลย แต่นายปีไม่เป็นอะไร เมื่อตีนายปีแล้ว เจ้าถิ่นก็รุมตีนายละมัย เดชมา ตีจนสลบ พักใหญ่มีคนไปบอกตำรวจ นายละมัยได้ฟื้นขึ้นมาปรากฎว่าไม่แตกเลยกลับบ้านได้ คนมาขอดูพระกันใหญ่ ปรากฎว่าในคอนายละมัยคล้องเหรียญทองแดง รุ่น ๓ พ.ศ.๒๕๒๑ เพียงเหรียญเดียว นายปีคล้องเหรียญหนุมาน เหรียญเดียวเช่นกัน นายปีปัจจุบันอายุมากแล้ว พูดจานักเลง บวชเป็นพระอยู่วัดหนองตาแก้ว อ.เดิมบางนางบวช นายปีนามสกุล มั่นปาน บ้านเดิมอยู่ ๑๙ ม.๑๐ ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ๑๗๑๔๐

เรื่องที่ ๑๘ อาจารย์ชรัท สุขเอี่ยม เป็นครูสอนโรงเรียนวัดสามเอก เป็นโค้ชกีฬาที่เก่งคนหนึ่ง วันหนึ่งได้นำเหรียญทองแดงโล่มาคล้องให้ลูกชาย ลูกชายอายุประมาณ ๑๒-๑๓ ขวบ ชอบพระเหมือนพ่อ วันหนึ่งเปิดเทอมภาคฤดูร้อน มีการบวชเณรกัน ลูกชายอาจารย์ชรัท ก็อยากจะบวชด้วย อาจารย์ชรัทได้ไปซื้อใบมีดโกนมาโกนผมให้ลูก ปรากฎว่าโกนไม่เข้าขูดใบมีดโกนลงไป ผมขาดเพียง ๒-๓ เส้นเท่านั้น โกนอย่างไรก็โกนไม่ได้ จึงอาราธนาหลวงพ่อออกจากคอจึงโกนเข้า นับว่าอัศจรรย์มาก เรื่องนี้เข้าใจว่าคงเกิดขึ้นเป็นบางครั้ง ต่างกรรมต่างวาระกัน ผมไม่ยืนยัน เพราะตัวผมเอง อย่าว่าแต่เส้นผมเลย ไปหาหมอ หมอแทงผมฉึกเข้าทุกที
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 09, 2014, 01:01:32 pm
อีกเรื่องหนึ่งลุงชม คนสามเอกติดต่อหนองบอน ได้มาปิดทองฝังลูกนิมิตตอนกลางวัน แดดก็ร้อน ขากลับได้แวะที่หนองแขมเพราะอากาศร้อน ขณะกำลังพักมีคนมาถามว่า เช่าอะไรมาบ้าง ลุงชมก็ตอบว่า เช่าเหรียญทองแดงมา ๑ องค์ เหรียญหนุมานมา ๑ องค์ นายระเบียบก็ถามว่า จะขอลองได้ไหม ลุงชมเลยหยิบให้ลองดูโดยให้ลองเหรียญทองแดง คือกลัวว่าเหรียญหนุมานถ้าออกจะเสียของเพราะเช่ามาแพง เลยให้ลองเหรียญทองแดง นายระเบียบได้ทดลองยิง ๒ นัดไม่ออกเช่นกัน พอตกเย็นคนสามเอก หนองแขม หนองปลาดุก หนองบอน เดินกันมาเช่าของเต็มถนนไปหมด

อีกเรื่องหนึ่ง นายเกลี้ยงได้ไปทำงานที่ตลาดอ่างทองไปกันหลายคน ลุงเกลี้ยงเป็นคนหนองหิน อ.สรรคบุรี นายชาติคนหนองหินคนหนึ่งได้ไปทำงานเช่นกัน เกิดเขม่นกันกับเจ้าถิ่น วันเกิดเหตุเกิดในตลาดเลย เจ้าถิ่นได้ล็อคคอนายชาติแล้วยิง ปัง ปัง ๒ นัด กลางตลาดเลย นายชาติทรุดฮวบลงไป มือปืนหนีตามระเบียบ คนเต็มไปหมด นายเกลี้ยงได้เข้าไปดูตัวนายชาติคิดว่าตายแล้ว ปรากฏว่าเสื้อขาดเฉย ๆ คนขอดูเหรียญกันเต็มตลาดไปหมด นายเกลี้ยงเขาเป็นคนมีอายุมากหน่อย ฉลาดรอบตัว ได้นำเหรียญรุ่นนี้ไปจำหน่ายในราคา ๔๐๐ - ๕๐๐ บาท ปีนั้นทั้งปีไม่ต้องทำนา จำหน่ายเหรียญรุ่นนี้ได้ไปหลายหมื่นบาท

วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๓๓ นายยอด แซ่อึ้ง คนหัวเด่น ติดกับบ้านแค วัดหลวงพ่อ ได้ขี่จักรยานยนต์ไปกับหลาน ๒ คน จะไปธุระที่ใกล้วัดใหม่ ขากลับมีรถไถนาวิ่งสวนมาฝุ่นเต็มถนน มองอะไรไม่เห็น พอดีรถปิคอัพยี่ห้อมิตซูบิชิวิ่งสวนมาด้วยความเร็วสูง ได้ชนรถจักรยานยนต์ของนายยอด รถกระเด็นเละเลย หลาน ๒ คนตายทันที นายยอดสลบไป ไปฟื้นที่โรงพยาบาลหมอประเจิดสิงห์บุรี หมอบอกสงสัยไม่รอดเพราะช้ำในมาก เนื้อตัวไม่ถลอกเลย แต่พอฟื้นแล้วเมื่อตรวจดูก็ไม่เป็นอะไร กลับบ้านได้ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก นายยอดใช้เหรียญหนุมาน กับ แหวนนิ้ว ๑ วงเท่านั้น เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้ประจำ เขานับถือมาก

อีกเรื่องหนึ่ง คุณสมชาย อภินันทาภรณ์ มีเหรียญหนุมาน ๑ เหรียญ ปลัดปรอท ๑ ตัว ไปกับเพื่อน ๒ คน เพื่อนเป็นจิ๊กโก๋ห้วยขวางสักทั้งตัว เขาว่าหนังเหนียวมาก ไปนั่งกินอาหารที่ห้องอาหารห้วยขวาง เจอวัยรุ่น ๗ คนเกิดไม่พอใจกันขึ้น ได้มีการชกต่อยตีกันขึ้น ๒ ต่อ ๗ เพื่อนคุณสมชายสักทั้งตัวเลือดทั้งตัวเช่นกัน แต่คุณสมชายโดนรุมตีไม่แตก ไม่มีเลือดเลย พอดีตำรวจมาจับได้ ไปตกลงกันที่เขตห้วยขวาง ฝ่ายที่รุมตีคุณสมชายกับเพื่อนได้ชดใช้ค่าทำขวัญให้ ๑๒,๐๐๐ บาท คุณสมชายเลยแบ่งกับเพื่อนคนละครึ่ง เงิน ๕,๐๐๐ บาทเอาไปซื้อสร้อยคล้องเหรียญหนุมาน เงิน ๑,๐๐๐ บาทเอาไปเลี่ยมปลัด

อีกเรื่องหนึ่ง นายเทียบ กับนายชาย เป็นคนบ้านหัวเด่น อ.สรรคบุรี ได้ดื่มเหล้าวงเดียวกัน เกิดขัดคอกันกลางวงเหล้า นายเทียบได้ชกนายชายก่อน นายชายเลยกลับบ้านไป อีกสักพักหนึ่งนายเทียบนึกขึ้นได้ว่าทำผิดไป คือชกเพื่อนรุนแรงไปแล้ว เลยตามไปบ้านนายชายเพื่อปรับความเข้าใจกัน คือขอโทษ พอนายเทียบมาบ้านนายชาย นายชายคิดว่านายเทียบจะมาต่อยต่อคงคิดว่ายังไม่หายมัน นายชายคิดว่าจะมากไป เลยหยิบมีดพกมาข้างหลัง พอมาถึงก็ฟันนายเทียบ นายชายได้ฟันนายเทียบหลายแห่ง นายเทียบได้วิ่งหนีไป ผลคือไม่เข้าเลย ในตัวนายเทียบคล้องเหรียญทองแดงหลังยันต์เหรียญเดียว

อีกเรื่องหนึ่ง นายมานิตย์ ยิ้มจู บ้านอยู่หนองแขม จ.ชัยนาท อ.สรรคบุรี ไปทำงานที่พระประแดง จ.สมุทรปราการ ครั้งหนึ่งไปทานอาหารเข้าใจว่าเหล้าด้วย ที่พระประแดง มีวัยรุ่นเจ้าถิ่นมาหาเรื่อง เกิดชกต่อยกันขึ้น วัยรุ่นเจ้าถิ่นสู้นายมานิตย์ไม่ได้ถูกต่อยล้มลงไป วัยรุ่นคนนั้นได้ชักปืนมายิงนายมานิตย์ ๑ นัด นายมานิตย์ล้มลงไปวัยรุ่นวิ่งหนี ไทยมุงเต็มไปหมด นายมานิตย์ยืนขึ้นดูที่อกไม่เป็นอะไร เสื้อขาด ๑ รู ไม่เข้า นายมานิตย์คล้องเหรียญหนุมานยกธงรบเพียงเหรียญเดียว

อีกเรื่องหนึ่ง คุณสามารถ หมวกอิ่ม เป็นคนเดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เขาขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า ขนาด ๑๕๐ ซีซี รุ่นเก่าคันใหญ่ ขี่มาที่ตลาดอำเภอหันคา ชัยนาท ด้วยความเร็วสูง ได้วิ่งชนรถอีแต๋น รถอีแต๋นนี่เป็นรถไถนานำมาติดกับลี่ใช้บรรทุกของ รถอีแต๋นก็วิ่งมาด้วยความเร็ว ปรากฏว่ารถอีแต๋นวิ่งตัดหน้า คุณสามารถได้บีบแตรและเบรกแต่เบรกไม่อยู่ เขาระลึกถึงหลวงพ่อกวยให้ช่วย หลวงพ่อก็อยู่ไกลไม่รู้จะช่วยได้อย่างไรท่านไม่ได้เป็นคนขับด้วย ปรากฏว่ารถคุณสามารถวิ่งชนรถอีแต๋นด้วยความแรงมาก แรงขนาดข้อต่อลี่ขาดเลย คุณสามารถกระเด็นไปข้างทางไม่เป็นอะไรเลย แต่รถเละใช้ไม่ได้เลย คุณสามารถศรัทธาหลวงพ่อมาก เขาคล้องเหรียญหนุมานยกธงรบ อันเดียว เขาได้มาบวชให้หลวงพ่อที่วัด ๑ เดือน ผมเคยถ่ายรูปเขาไว้ ถ่ายรูปคู่นายปาน ศิษย์ของหลวงพ่อ

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องเปรียบเทียบ คุณสุทธิวรรณ ปั้นสน บ้านอยู่หนองแขม ใกล้วัดหนองแขม นามสกุลเดียวกับหลวงพ่อ ถ้าจำไม่ผิดอาจจะเป็นน้องสาวท่านอาจารย์สำรวย ได้ไปทัศนศึกษาที่ภาคเหนือ ขณะที่รถวิ่งอยู่บนดอยตุง จ.เชียงราย ความที่คนขับรถทัศนศึกษาไม่ชำนาญทาง ได้ตกลงเหว บนดอยตุง คุณสุทธิวรรณได้ระลึกถึงหลวงพ่อร้องสุดเสียงเลย ปรากฏว่ารถตกลงไปด้านล่างด้วยความแรงมาก คนตายและบาดเจ็บเต็มไปหมด มีเพียงคุณสุทธิวรรณเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ไม่สลบด้วย ในคอเขาคล้องเหรียญทองแดงโล่เพียงอันเดียว ดอยตุงนี้สูงมาก รถที่ตกลงไปด้านล่าง คนโอกาสรอดชีวิตมีน้อยมาก มีไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์

ก็ขอสมมุติยุติจบเรื่องเหรียญรุ่นสุดท้ายไว้เพียงนี้ เหรียญรุ่นนี้หลังงานฝังลูกนิมิตยังมีเหลืออยู่มากทีเดียว ก่อนหลวงพ่อจะมรณภาพ หลวงพ่อได้ปลุกเสกเหรียญรุ่นนี้ไว้ให้ยาวนานเหมือนเป็นการสั่งลา และมอบสิ่งที่ดีให้ศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย ปัจจุบันที่วัดยังมีเหลือตกค้างอยู่ มีทั้งชนิดทองแดงโล่ และอัลปาก้าโล่ ผมรับประกันให้ สำหรับวันนี้อภินิหารมีมากนำมาเล่าไม่หมด เอาเฉพาะอภินิหารที่ชัดแจ้งเท่านั้น

หมายเหตุ เรื่องของหลวงพ่อนี้ มีอภินิหารที่เด็ดขาดและมีมาก มีหลายคนไม่เชื่อ สงสัย บางคนคิดว่าผมเขียนเชียร์ ได้ถามผมมาว่าจริงแค่ไหน ผมได้ตอบเขาไปว่า ถ้าผมตอบว่าจริงคุณก็คงไม่เชื่อ เพราะคุณเป็นคนสงสัย อีกอย่างหนึ่งคุณจะมาเชื่อผมได้อย่างไร ผมเป็นใครมาแต่ไหนคุณก็ไม่รู้ ทำไมคุณไม่มาวัด มาสืบดูล่ะ ว่าเรื่องที่ผมเขียนน่ะจริงแค่ไหน เช่น เรื่องของนายนบ เจียมพลับ ที่ต่อสู้กับคน ๓ คน ปืน ๓ กระบอก ยิงไม่ออกเลยแม้นัดเดียว ไม่ออกเลยสักกระบอก บ้านเขาก็อยู่ไม่ไกลวัด เรื่องคุณลุงเมือง มั่นปาน ที่โดนยิงนับครั้งไม่ถ้วน ไม่เข้าเลยมีรอยลูกปืนเต็มตัวไปหมด บ้านเขาก็อยู่ไม่ไกล เรื่องของกำนันหิ้ง เรื่องของคนตาบอด แขนด้วน ขาด้วน ปืนแตก ฯลฯ มีให้สอบถามรอบ ๆ วัดมากมาย ให้มาถามเขาดูดีกว่าที่จะมาถามผมว่าจริงหรือไม่จริง เรื่องที่ผ่านมาแล้วแต่คนเห็นเหตุการณ์ยังอยู่ หลาย ๆ เรื่องเราก็นำมาพิจารณาดูว่า ควรจะเชื่อได้หรือไม่ได้ บางคนอาจไม่เชื่อเพราะไม่เห็นกับตา ถ้าอย่างนั้นก็เรียนประวัติศาสตร์ไม่ได้ เรียนโบราณคดีไม่ได้ มีบางคนได้มาคุยกับผม คือเขาไม่เชื่อเพราะไม่เห็นกับตา ผมได้ถามเขาไปว่าคุณรู้ได้อย่างไรว่าคุณเป็นลูกแท้ ๆ ของพ่อแม่คุณ ผมสงสัยว่าคุณจะเป็นเด็กวัดสระแก้ว คุณรู้ได้อย่างไรเพราะตอนคุณเกิดคุณก็จำความไม่ได้ เขานั่งอึ้งไป ผมก็ตอบเขาไปว่า เราก็พิจารณาจากเหตุผลหลาย ๆ อย่าง เช่น รูปร่าง ความห่วงใย ข้อมูลหลาย ๆ อย่าง เรื่องนี้ไม่มีอะไร ผมเล่าให้ฟังเปรียบเทียบเฉย ๆ พอดีได้รับจดหมายของท่าน พ.ต.ท.สถาพร  นรินทรสรศักดิ์ สวญ.สภ.อ.พระประแดง เขียนมาเล่ายืนยันถึงเหรียญหนุมาน พร้อมรูปถ่ายคนถูกยิงไม่เข้า มีรูปให้ดู มีคดีอยู่บนโรงพัก ถ้าไม่เชื่ออีกผมก็จนใจ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 10, 2014, 06:32:29 pm
ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓๗๔
วันที่ ๕ มี.ค. – ๑๕ มี.ค.๒๕๓๗
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา




เหรียญรุ่นสุดท้าย


เรื่องที่ ๕ เกิดขึ้นวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๔ หมอเรียม บ้านอยู่หนองปลาดุก ได้ขับรถกระบะไปธุระที่ จังหวัดนครสวรรค์ ตอนขากลับตรงสามแยก เข้าพยุหะได้มีรถกระบะคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็ว วิ่งตัดหน้า ได้ชนรถหมอเรียมกระเด็นตกลงข้างทาง รถกลิ้งหลายตลบ ปรากฎว่ารถพังใช้ไม่ได้เลย เละเลย แต่ตัวหมอเรียมไม่เป็นอะไรเลย ในคอมีเหรียญทองแดงโล่เพียงเหรียญเดียว ตำรวจมาดูเหตุการณ์ยังยืนงง หมอเรียมเดินได้เป็นปกติ คนมาถามมามุงดูกันใหญ่เลย

เรื่องที่ ๘ วันนี้ขอเหมาเรื่องรถชนกันสักวัน นายอินทร์ เดชมา กับพระอาจารย์เกลียวเจ้าอาวาส วัดหนองแขม อ.สรรคบุรี ได้เดินทางไปธุระที่จังหวัดสุพรรณบุรี โดยขี่มอเตอร์ไซค์ไป ขับไปเร็วมากเพราะทางไกล ระหว่างทางได้มีวัววิ่งตัดหน้า นายอินทร์เบรกไม่ทัน ได้ชนวัวอย่างแรง ผลปรากฎว่าวัวไม่เป็นอะไร แต่รถกระเด็นตกคลองบิดเบี้ยว ขับไม่ได้เลย ส่วนนายอินทร์กับอาจารย์เกลียวตกลงไปในคลองเช่นกัน แต่ไม่เป็นอะไรเลย ไม่เจ็บเลยแต่เปียกน้ำ นายอินทร์คล้องเหรียญหนุมานอันเดียว อาจารย์เกลียวมีเหรียญหนุมานเหน็บอยู่ในย่ามเหรียญเดียวเช่นกันแปลกมาก อาจารย์เกลียวอายุมากแล้วตก ๗๐ ปี แต่ไม่เป็นอะไรเลย เขาว่าหลวงพ่อสำเร็จวิชาหินเบา

เรื่องที่ ๙ เกิดขึ้นวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๑ เจ้าของเรื่องชื่อถวิล เป็นคนบ้านแคได้ไปเยี่ยมญาติที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี นายถวิลได้ขี่รถจักรยานยนต์ไป พอถึงสี่แยกบางระจัน นายถวิลได้ขี่รถเข้าแยกสิงห์บุรี ไม่มองซ้ายมองขวา รถเก๋งวิ่งมาจากสายบ้านจ่าด้วยความเร็ว ได้ชนรถนายถวิลอย่างแรงมากรถเละเลย นายถวิลได้กระเด็นข้ามรถเก๋งไปตก ๕ เมตร นายถวิลไม่เป็นอะไรเลย ในคอคล้องเหรียญหนุมานยกธงรบเพียงเหรียญเดียว แปลกมาก ไม่เป็นอะไรเลย คนมาดูกันเต็มนายถวิลได้มาบวชให้หลวงพ่อ ๑ พรรษา

เรื่องที่ ๑๐ วันนี้เหมาเรื่องรถชนกันสักวัน เจ้าของเรื่องชื่อพูนวัฒน์ นาคทอง อยู่บ้านเลขที่ ๑๒๔/๑ ถ.นิพัทธ์อุทิศ ๓ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ๙๐๑๑๐ คุณพูนวัฒน์ได้ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปธุระ ขากลับไม่รู้ว่ารถบรรทุกวิ่งมาแต่ไหน ตรงสี่แยกพอดี ชนรถเขาอย่างแรงรถเละเลย ตัวเขากระเด็นไปข้างทางปรากฎว่าคุณพูนวัฒน์ไม่เป็นอะไรเลย อีกครั้งหนึ่งคุณพูนวัฒน์ไปธุระเช่นกันรถกระบะวิ่งสวนมาด้วยความเร็วเสียหลักด้วย ได้ชนรถคุณพูนวัฒน์เละเลย คุณพูนวัฒน์กระเด็นไปข้างทางไกลมาก เขาไม่เป็นอะไรเลย เขาใช้เหรียญทองแดงรูปโล่ ๑ องค์กับสมเด็จสีชานหมาก เขารอดตายมาได้ ๒ ครั้ง เขาเชื่อและนับถือหลวงพ่อเป็นชีวิตจิตใจท่านเก่งจริง ๆ เขาไม่เจ็บเลย

เรื่องที่ ๑๑ เรื่องนี้เป็นเรื่องเตือนใจสมควรบันทึกเอาไว้ มีศิษย์ของหลวงพ่อรุ่นหลังคนหนึ่ง คล้องเหรียญหนุมานประจำ ชื่อพิณ(ชื่อจริง ๆ) เป็นคนทางแม่น้ำน้อย วันหนึ่งนายพิณได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาที่โพธิ์งาม รถใหม่ด้วยได้มีนักจี้ชิง ๒ คนซ้อนรถกันมา นายพิณรู้สึกตัวได้ขี่หนี แต่โจร ๒ คนก็พยายามขี่รถปาดหน้าให้รถเสียหลัก นายพิณได้ขี่รถหนีจนสุดชีวิต คนร้ายได้ชักปืนออกมายิงนายพิณ ๓ นัด ไม่ออกเลย นายพิณใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง แต่คนร้ายก็ร้ายสมชื่อได้ขี่รถปาดหน้าจนได้ รถได้เสียหลักจนล้มลง คนร้ายได้ปล้ำแย่งรถ นายพิณฮึดสู้คนขับคือโจรคนแรกเข้าปล้ำ คนซ้อนคือโจร(มือปืน) ได้สติ สั่งให้เพื่อนกระตุกสร้อยในคอออก พอสร้อยขาด มือปืนคนซ้อนได้ยิงนายพิณนัดเดียวตายเลย ข้อคิดเรื่องนี้เป็นเรื่องเตือนใจ สัญชาตินักเลงต้องมีเครื่องรางหลายแบบและควรมีเขี้ยวเล็บด้วย

เรื่องที่ ๑๒ สมัยก่อนนี้ นักเลงมักจะพกอาวุธแปลก ๆ เช่น มีดเสือซ่อนเล็บ เป็นมีด ๒ เล่มใช้ด้ามเป็นฝักใช้ฝักเป็นเป็นด้ามบางคนหมัดไม่หนักก็พกสนับมือ เป็นโลหะทองเหลืองใส่นิ้ว ๔ นิ้วต่อยคนถึงเจ็บ บวม หรือแตกได้ทันที บางคนพกเหล็กขูดชาร์ป มีด้ามเป็นไม้รูปเหล็กทรงมะเฟือง ๔ แฉก ใช้ขูดเศษโลหะที่โรงกลึง เขาว่าถ้าแทงคนแล้วเลือดจะไม่ไหลออก จะไหลลงช่องท้องถึงตายได้

วันหนึ่งงานวัดของหลวงพ่อทางโรงเรียนมักจัดรำวงกับมวย ส่วนวัดจัดภาพยนตร์ ลิเก ปัจจุบันนี้รำวง มวยที่จังหวัดอื่นเขาเลิกจัดกันแล้ว แต่ทางโรงเรียนของหลวงพ่อยังจัดได้ ปีนั้นทางวัดและโรงเรียนมีงานประจำปี คนมาเที่ยวกันมาก โดยมากจะมาปิดทองรูปหล่อของหลวงพ่อกันก่อน นายยอด รุ่งเรือง ลูกชายหลวงตายอด รุ่งเรือง ก็มากราบหลวงพ่อด้วยมาคนเดียว เดินเพลิน ๆ อยู่ มีคนมาสะกิดสีข้างแล้วแทงด้วยเหล็กขูดชาร์ป แทง ๓-๔ ที ล้มลงไป คนมามุงดูกันเต็มคิดว่าตายแล้ว ปรากฎว่าแทงไม่เข้าแม้ทีเดียว คนมาขอดูเหรียญที่คอกันเต็มไปหมด ปรากฎว่าในคอนายยอด คล้องเหรียญทองแดงโล่ รุ่น ๓ พ.ศ.๒๕๒๑ เพียงเหรียญเดียว

เรื่องที่ ๑๓ เจ้าของเรื่องชื่อละมัย เดชมา เป็นคนหมู่ ๑๐ ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี ได้ไปเที่ยวที่วัดดอนตาลเสี้ยน หลังวัดดอนไร่ ไปเที่ยวกับนายปี ไปเจอเจ้าถิ่นเข้าเขาไม่พอใจ นายปีได้เข้าไปห้าม เลยโดนตีด้วยขวดเหล้าขวดแตกเลย แต่นายปีไม่เป็นอะไร เมื่อตีนายปีแล้ว เจ้าถิ่นก็รุมตีนายละมัย เดชมา ตีจนสลบ พักใหญ่มีคนไปบอกตำรวจ นายละมัยได้ฟื้นขึ้นมาปรากฎว่าไม่แตกเลยกลับบ้านได้ คนมาขอดูพระกันใหญ่ ปรากฎว่าในคอนายละมัยคล้องเหรียญทองแดง รุ่น ๓ พ.ศ.๒๕๒๑ เพียงเหรียญเดียว นายปีคล้องเหรียญหนุมาน เหรียญเดียวเช่นกัน นายปีปัจจุบันอายุมากแล้ว พูดจานักเลง บวชเป็นพระอยู่วัดหนองตาแก้ว อ.เดิมบางนางบวช นายปีนามสกุล มั่นปาน บ้านเดิมอยู่ ๑๙ ม.๑๐ ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ๑๗๑๔๐
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 10, 2014, 06:33:06 pm

เรื่องที่ ๑๘ อาจารย์ชรัท สุขเอี่ยม เป็นครูสอนโรงเรียนวัดสามเอก เป็นโค้ชกีฬาที่เก่งคนหนึ่ง วันหนึ่งได้นำเหรียญทองแดงโล่มาคล้องให้ลูกชาย ลูกชายอายุประมาณ ๑๒-๑๓ ขวบ ชอบพระเหมือนพ่อ วันหนึ่งเปิดเทอมภาคฤดูร้อน มีการบวชเณรกัน ลูกชายอาจารย์ชรัท ก็อยากจะบวชด้วย อาจารย์ชรัทได้ไปซื้อใบมีดโกนมาโกนผมให้ลูก ปรากฎว่าโกนไม่เข้าขูดใบมีดโกนลงไป ผมขาดเพียง ๒-๓ เส้นเท่านั้น โกนอย่างไรก็โกนไม่ได้ จึงอาราธนาหลวงพ่อออกจากคอจึงโกนเข้า นับว่าอัศจรรย์มาก เรื่องนี้เข้าใจว่าคงเกิดขึ้นเป็นบางครั้ง ต่างกรรมต่างวาระกัน ผมไม่ยืนยัน เพราะตัวผมเอง อย่าว่าแต่เส้นผมเลย ไปหาหมอ หมอแทงผมฉึกเข้าทุกที

อีกเรื่องหนึ่งลุงชม คนสามเอกติดต่อหนองบอน ได้มาปิดทองฝังลูกนิมิตตอนกลางวัน แดดก็ร้อน ขากลับได้แวะที่หนองแขมเพราะอากาศร้อน ขณะกำลังพักมีคนมาถามว่า เช่าอะไรมาบ้าง ลุงชมก็ตอบว่า เช่าเหรียญทองแดงมา ๑ องค์ เหรียญหนุมานมา ๑ องค์ นายระเบียบก็ถามว่า จะขอลองได้ไหม ลุงชมเลยหยิบให้ลองดูโดยให้ลองเหรียญทองแดง คือกลัวว่าเหรียญหนุมานถ้าออกจะเสียของเพราะเช่ามาแพง เลยให้ลองเหรียญทองแดง นายระเบียบได้ทดลองยิง ๒ นัดไม่ออกเช่นกัน พอตกเย็นคนสามเอก หนองแขม หนองปลาดุก หนองบอน เดินกันมาเช่าของเต็มถนนไปหมด

อีกเรื่องหนึ่ง นายเกลี้ยงได้ไปทำงานที่ตลาดอ่างทองไปกันหลายคน ลุงเกลี้ยงเป็นคนหนองหิน อ.สรรคบุรี นายชาติคนหนองหินคนหนึ่งได้ไปทำงานเช่นกัน เกิดเขม่นกันกับเจ้าถิ่น วันเกิดเหตุเกิดในตลาดเลย เจ้าถิ่นได้ล็อคคอนายชาติแล้วยิง ปัง ปัง ๒ นัด กลางตลาดเลย นายชาติทรุดฮวบลงไป มือปืนหนีตามระเบียบ คนเต็มไปหมด นายเกลี้ยงได้เข้าไปดูตัวนายชาติคิดว่าตายแล้ว ปรากฏว่าเสื้อขาดเฉย ๆ คนขอดูเหรียญกันเต็มตลาดไปหมด นายเกลี้ยงเขาเป็นคนมีอายุมากหน่อย ฉลาดรอบตัว ได้นำเหรียญรุ่นนี้ไปจำหน่ายในราคา ๔๐๐ - ๕๐๐ บาท ปีนั้นทั้งปีไม่ต้องทำนา จำหน่ายเหรียญรุ่นนี้ได้ไปหลายหมื่นบาท

วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๓๓ นายยอด แซ่อึ้ง คนหัวเด่น ติดกับบ้านแค วัดหลวงพ่อ ได้ขี่จักรยานยนต์ไปกับหลาน ๒ คน จะไปธุระที่ใกล้วัดใหม่ ขากลับมีรถไถนาวิ่งสวนมาฝุ่นเต็มถนน มองอะไรไม่เห็น พอดีรถปิคอัพยี่ห้อมิตซูบิชิวิ่งสวนมาด้วยความเร็วสูง ได้ชนรถจักรยานยนต์ของนายยอด รถกระเด็นเละเลย หลาน ๒ คนตายทันที นายยอดสลบไป ไปฟื้นที่โรงพยาบาลหมอประเจิดสิงห์บุรี หมอบอกสงสัยไม่รอดเพราะช้ำในมาก เนื้อตัวไม่ถลอกเลย แต่พอฟื้นแล้วเมื่อตรวจดูก็ไม่เป็นอะไร กลับบ้านได้ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก นายยอดใช้เหรียญหนุมาน กับ แหวนนิ้ว ๑ วงเท่านั้น เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้ประจำ เขานับถือมาก

อีกเรื่องหนึ่ง คุณสมชาย อภินันทาภรณ์ มีเหรียญหนุมาน ๑ เหรียญ ปลัดปรอท ๑ ตัว ไปกับเพื่อน ๒ คน เพื่อนเป็นจิ๊กโก๋ห้วยขวางสักทั้งตัว เขาว่าหนังเหนียวมาก ไปนั่งกินอาหารที่ห้องอาหารห้วยขวาง เจอวัยรุ่น ๗ คนเกิดไม่พอใจกันขึ้น ได้มีการชกต่อยตีกันขึ้น ๒ ต่อ ๗ เพื่อนคุณสมชายสักทั้งตัวเลือดทั้งตัวเช่นกัน แต่คุณสมชายโดนรุมตีไม่แตก ไม่มีเลือดเลย พอดีตำรวจมาจับได้ ไปตกลงกันที่เขตห้วยขวาง ฝ่ายที่รุมตีคุณสมชายกับเพื่อนได้ชดใช้ค่าทำขวัญให้ ๑๒,๐๐๐ บาท คุณสมชายเลยแบ่งกับเพื่อนคนละครึ่ง เงิน ๕,๐๐๐ บาทเอาไปซื้อสร้อยคล้องเหรียญหนุมาน เงิน ๑,๐๐๐ บาทเอาไปเลี่ยมปลัด

อีกเรื่องหนึ่ง นายเทียบ กับนายชาย เป็นคนบ้านหัวเด่น อ.สรรคบุรี ได้ดื่มเหล้าวงเดียวกัน เกิดขัดคอกันกลางวงเหล้า นายเทียบได้ชกนายชายก่อน นายชายเลยกลับบ้านไป อีกสักพักหนึ่งนายเทียบนึกขึ้นได้ว่าทำผิดไป คือชกเพื่อนรุนแรงไปแล้ว เลยตามไปบ้านนายชายเพื่อปรับความเข้าใจกัน คือขอโทษ พอนายเทียบมาบ้านนายชาย นายชายคิดว่านายเทียบจะมาต่อยต่อคงคิดว่ายังไม่หายมัน นายชายคิดว่าจะมากไป เลยหยิบมีดพกมาข้างหลัง พอมาถึงก็ฟันนายเทียบ นายชายได้ฟันนายเทียบหลายแห่ง นายเทียบได้วิ่งหนีไป ผลคือไม่เข้าเลย ในตัวนายเทียบคล้องเหรียญทองแดงหลังยันต์เหรียญเดียว

อีกเรื่องหนึ่ง นายมานิตย์ ยิ้มจู บ้านอยู่หนองแขม จ.ชัยนาท อ.สรรคบุรี ไปทำงานที่พระประแดง จ.สมุทรปราการ ครั้งหนึ่งไปทานอาหารเข้าใจว่าเหล้าด้วย ที่พระประแดง มีวัยรุ่นเจ้าถิ่นมาหาเรื่อง เกิดชกต่อยกันขึ้น วัยรุ่นเจ้าถิ่นสู้นายมานิตย์ไม่ได้ถูกต่อยล้มลงไป วัยรุ่นคนนั้นได้ชักปืนมายิงนายมานิตย์ ๑ นัด นายมานิตย์ล้มลงไปวัยรุ่นวิ่งหนี ไทยมุงเต็มไปหมด นายมานิตย์ยืนขึ้นดูที่อกไม่เป็นอะไร เสื้อขาด ๑ รู ไม่เข้า นายมานิตย์คล้องเหรียญหนุมานยกธงรบเพียงเหรียญเดียว

อีกเรื่องหนึ่ง คุณสามารถ หมวกอิ่ม เป็นคนเดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เขาขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า ขนาด ๑๕๐ ซีซี รุ่นเก่าคันใหญ่ ขี่มาที่ตลาดอำเภอหันคา ชัยนาท ด้วยความเร็วสูง ได้วิ่งชนรถอีแต๋น รถอีแต๋นนี่เป็นรถไถนานำมาติดกับลี่ใช้บรรทุกของ รถอีแต๋นก็วิ่งมาด้วยความเร็ว ปรากฏว่ารถอีแต๋นวิ่งตัดหน้า คุณสามารถได้บีบแตรและเบรกแต่เบรกไม่อยู่ เขาระลึกถึงหลวงพ่อกวยให้ช่วย หลวงพ่อก็อยู่ไกลไม่รู้จะช่วยได้อย่างไรท่านไม่ได้เป็นคนขับด้วย ปรากฏว่ารถคุณสามารถวิ่งชนรถอีแต๋นด้วยความแรงมาก แรงขนาดข้อต่อลี่ขาดเลย คุณสามารถกระเด็นไปข้างทางไม่เป็นอะไรเลย แต่รถเละใช้ไม่ได้เลย คุณสามารถศรัทธาหลวงพ่อมาก เขาคล้องเหรียญหนุมานยกธงรบ อันเดียว เขาได้มาบวชให้หลวงพ่อที่วัด ๑ เดือน ผมเคยถ่ายรูปเขาไว้ ถ่ายรูปคู่นายปาน ศิษย์ของหลวงพ่อ

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องเปรียบเทียบ คุณสุทธิวรรณ ปั้นสน บ้านอยู่หนองแขม ใกล้วัดหนองแขม นามสกุลเดียวกับหลวงพ่อ ถ้าจำไม่ผิดอาจจะเป็นน้องสาวท่านอาจารย์สำรวย ได้ไปทัศนศึกษาที่ภาคเหนือ ขณะที่รถวิ่งอยู่บนดอยตุง จ.เชียงราย ความที่คนขับรถทัศนศึกษาไม่ชำนาญทาง ได้ตกลงเหว บนดอยตุง คุณสุทธิวรรณได้ระลึกถึงหลวงพ่อร้องสุดเสียงเลย ปรากฏว่ารถตกลงไปด้านล่างด้วยความแรงมาก คนตายและบาดเจ็บเต็มไปหมด มีเพียงคุณสุทธิวรรณเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ไม่สลบด้วย ในคอเขาคล้องเหรียญทองแดงโล่เพียงอันเดียว ดอยตุงนี้สูงมาก รถที่ตกลงไปด้านล่าง คนโอกาสรอดชีวิตมีน้อยมาก มีไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์

ก็ขอสมมุติยุติจบเรื่องเหรียญรุ่นสุดท้ายไว้เพียงนี้ เหรียญรุ่นนี้หลังงานฝังลูกนิมิตยังมีเหลืออยู่มากทีเดียว ก่อนหลวงพ่อจะมรณภาพ หลวงพ่อได้ปลุกเสกเหรียญรุ่นนี้ไว้ให้ยาวนานเหมือนเป็นการสั่งลา และมอบสิ่งที่ดีให้ศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย ปัจจุบันที่วัดยังมีเหลือตกค้างอยู่ มีทั้งชนิดทองแดงโล่ และอัลปาก้าโล่ ผมรับประกันให้ สำหรับวันนี้อภินิหารมีมากนำมาเล่าไม่หมด เอาเฉพาะอภินิหารที่ชัดแจ้งเท่านั้น

หมายเหตุ เรื่องของหลวงพ่อนี้ มีอภินิหารที่เด็ดขาดและมีมาก มีหลายคนไม่เชื่อ สงสัย บางคนคิดว่าผมเขียนเชียร์ ได้ถามผมมาว่าจริงแค่ไหน ผมได้ตอบเขาไปว่า ถ้าผมตอบว่าจริงคุณก็คงไม่เชื่อ เพราะคุณเป็นคนสงสัย อีกอย่างหนึ่งคุณจะมาเชื่อผมได้อย่างไร ผมเป็นใครมาแต่ไหนคุณก็ไม่รู้ ทำไมคุณไม่มาวัด มาสืบดูล่ะ ว่าเรื่องที่ผมเขียนน่ะจริงแค่ไหน เช่น เรื่องของนายนบ เจียมพลับ ที่ต่อสู้กับคน ๓ คน ปืน ๓ กระบอก ยิงไม่ออกเลยแม้นัดเดียว ไม่ออกเลยสักกระบอก บ้านเขาก็อยู่ไม่ไกลวัด เรื่องคุณลุงเมือง มั่นปาน ที่โดนยิงนับครั้งไม่ถ้วน ไม่เข้าเลยมีรอยลูกปืนเต็มตัวไปหมด บ้านเขาก็อยู่ไม่ไกล เรื่องของกำนันหิ้ง เรื่องของคนตาบอด แขนด้วน ขาด้วน ปืนแตก ฯลฯ มีให้สอบถามรอบ ๆ วัดมากมาย ให้มาถามเขาดูดีกว่าที่จะมาถามผมว่าจริงหรือไม่จริง เรื่องที่ผ่านมาแล้วแต่คนเห็นเหตุการณ์ยังอยู่ หลาย ๆ เรื่องเราก็นำมาพิจารณาดูว่า ควรจะเชื่อได้หรือไม่ได้ บางคนอาจไม่เชื่อเพราะไม่เห็นกับตา ถ้าอย่างนั้นก็เรียนประวัติศาสตร์ไม่ได้ เรียนโบราณคดีไม่ได้ มีบางคนได้มาคุยกับผม คือเขาไม่เชื่อเพราะไม่เห็นกับตา ผมได้ถามเขาไปว่าคุณรู้ได้อย่างไรว่าคุณเป็นลูกแท้ ๆ ของพ่อแม่คุณ ผมสงสัยว่าคุณจะเป็นเด็กวัดสระแก้ว คุณรู้ได้อย่างไรเพราะตอนคุณเกิดคุณก็จำความไม่ได้ เขานั่งอึ้งไป ผมก็ตอบเขาไปว่า เราก็พิจารณาจากเหตุผลหลาย ๆ อย่าง เช่น รูปร่าง ความห่วงใย ข้อมูลหลาย ๆ อย่าง เรื่องนี้ไม่มีอะไร ผมเล่าให้ฟังเปรียบเทียบเฉย ๆ พอดีได้รับจดหมายของท่าน พ.ต.ท.สถาพร  นรินทรสรศักดิ์ สวญ.สภ.อ.พระประแดง เขียนมาเล่ายืนยันถึงเหรียญหนุมาน พร้อมรูปถ่ายคนถูกยิงไม่เข้า มีรูปให้ดู มีคดีอยู่บนโรงพัก ถ้าไม่เชื่ออีกผมก็จนใจ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 15, 2014, 08:39:53 am
ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓๗๕
วันที่ ๑๕ มี.ค. – ๒๕ มี.ค.๒๕๓๗
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



พระพิมพ์สรรค์

ต่อไปจะขอเล่าอภินิหารของพระพิมพ์สรรค์ของหลวงพ่อเอาไว้สักเล็กน้อย

เรื่องนี้เป็นเรื่องวิบากกรรม เป็นกรรมใหม่ที่ตามมาทัน มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง คู่หนึ่งก็ ๒ คน ผัวชื่อเพชร เมียชื่อจันทร์ บ้านอยู่ดงเทพรัตน์ อำเภอสรรคบุรี ได้มากราบหลวงพ่อและขอเครื่องรางไปคุ้มตัว นายเพชรและนางจันทร์เล่าเรื่องแต่เบื้องหลังของนางจันทร์ ผู้เป็นเมียเล่าไปด้วยความรู้สึกละอายใจ ไม่ยอมเงยหน้า เรื่องเก่าเป็นอย่างนี้ เดิมนางจันทร์มีอาชีพเป็นหมอตำแย ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากแม่หมอตำแย คือหมอทำคลอด อยู่ต่อมามีคนมาติดต่อให้แกไปเอาเด็กออก คือผู้หญิงท้องไม่มีพ่อ(ความจริงมี) บางคนก็มีลูกมากแล้วไม่อยากมีอีก คือให้แกทำแท้งให้นั่นเอง ใหม่ ๆ แกก็ไม่เต็มใจทำให้ อยู่ต่อมาก็เคยชิน แถมค่าทำแท้งได้มากกว่าทำคลอดอีก วิธีทำแท้งแบบโบราณคือ บีบเค้นเอาเด็กออก เด็กบางคนแข็งแรงไม่ยอมออกต้องใช้วิธีหักคอ บางคนก็ตายทั้งลูกทั้งแม่ นางจันทร์ทำอาชีพนี้มานาน ทำจนเคยชิน ต่อมานางได้แต่งงานกับนายเพชร จนกระทั่งท้อง ตอนท้องนางมักจะไม่สบาย เป็นไข้แพ้ท้องนางมักจะฝันไปว่า นางได้เห็นวิญญาณเด็กหลายสิบคน มารุมล้อมนางจะเอาชีวิตนางจะไม่ให้นางมีลูก บางครั้งก็ฝันเห็นหญิงท้องแก่ที่ตายไปเพราะนางทำแท้ง หน้าตาเขียวคล้ำ แล้วนางก็จะเพ้อมีไข้ไม่ได้สติ เป็นลมสลบไป ฟื้นขึ้นมาตัวซีดเซียว หลายครั้งต้องไปตามหมอผีมาขับผีออกจากตัว หมอผีบอกว่า นางจันทร์มีผีแทรก หรือผีมาแฝงคือผีเข้า พอหมอผีมาผีก็ออก เป็นอยู่อย่างนี้ ต่อมานางก็แท้งลูก นางจันทร์ได้รับกรรมทันตาเห็น เป็นเวลาหลายปี แท้งลูกมา ๔ คน บางครั้งเสียเลือดมากไม่ได้สติ แทบจะเอาชีวิตไม่รอด

นายเพชรกับนางจันทร์ได้เล่าเรื่องให้หลวงพ่อฟังดังนี้ หลวงพ่อท่านไม่พูดว่าอะไร ไม่พูดแม้คำเดียว ท่านลุกขึ้นไปหยิบพระพิมพ์สรรค์มาส่งให้ นางจันทร์ ๑ องค์ ๒ ปีต่อมานายเพชรกับนางจันทร์ได้มากราบหลวงพ่ออีกครั้งพร้อมลูกชายตัวเล็ก นางเล่าว่าหลังจากที่นางนำพระพิมพ์สรรค์ติดตัว ตอนท้องไม่ปรากฎวิญญาณมารบกวนนางอีกเลย รู้สึกว่าจะนำเด็กให้หลวงพ่อตั้งชื่อให้ชื่อรอด หรือนี่ไงแหละ ตอนนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว


พระพิมพ์สรรค์

อีกเรื่องหนึ่ง ศิษย์รุ่นเก่าของหลวงพ่อคนหนึ่งชื่อยิ่ง ชาวบ้านเรียกแกว่าเสือยิ่ง บ้านอยู่ดงคอน อ.สรรคบุรี เสือยิ่งเป็นที่ต้องการตัวของตำรวจสมัยก่อนของ สภ.อ.สรรคบุรี สภ.อ.ค่ายบางระจัน สภ.อ.เดิมบางนางบวช ๓ จังหวัดติดต่อกัน มีประสิทธิภาพสูง ปราบกันชนิดถึงพริกถึงขิงเลย โจรก็ร้ายตำรวจก็ร้าย จึงจะปราบกันได้ ตำรวจมือปราบสมัยก่อนนี่คัดกันมาชนิดเส้นมือขาดกันทั้งนั้น หลายครั้งที่เสือยิ่งหนีการจับกุมของตำรวจไปได้ ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด

โบราณว่าคนลิขิตไม่เท่าฟ้าลิขิต วันที่แกโดนล้อมจับ ล้อมยิงที่หนองบอน ปืนเป็นสิบ ๆ กระบอก ยิงแกไม่ถูก ยิงตรงยิงใกล้กับยิงไม่ออก ความที่แกชักจะมีอายุมากขึ้นตัวคนเดียว ไฟน้อยย่อมแพ้น้ำเป็นธรรมดา หนีมาก ๆ ก็หนีไม่ไหวโดนล้อมกรอบรอบทิศทาง โดนตีด้วยด้ามปืนคนละเปรี้ยงสองเปรี้ยงตายเลย ทางญาติได้มาดูศพนัยน์ตาเหลือกโพลง ตำรวจค้นในตัวไม่ปรากฎว่ามีวัตถุมงคลชนิดใด ทางญาติได้นำตัวมาเผาที่วัดบ้านกร่าง วัดนี้อยู่เลยวัดหลวงพ่อไปอยู่ใกล้ ๆ หนองตาแก้ว ความรีบร้อนได้เผาด้วยแกลบเผาไป ๒ คืนกับอีก ๑ วัน ปรากฎว่าเผาไม่ไหม้ ตัวดำปี๋เลยอ้าปากบ๋อ คนไปดูกันเต็มไปหมด บางคนว่าเสือยิ่งหวงร่าง บางคนก็ว่าเสือยิ่งมีของดี จะเป็นทางญาติหรือตำรวจผมไม่แน่ใจ เพราะนานมาแล้ว เกิดเอะใจขึ้นมา ได้ล้วงเข้าไปในปาก เจอพระพิมพ์สรรค์ พิมพ์นั่ง ๑ องค์ ชนิดพิมพ์เล็กเป็นของหลวงพ่อกวย แล้วได้ขอมาและเผาใหม่จึงไหม้

เรื่องคนแต่ก่อนอมพระนี่เป็นเรื่องจริงถึงจะมีคนทำเพียงไม่กี่คนแต่ก็มีคนทำ บางคนกินน้ำหมากของหลวงพ่อในกระโถน บางคนกินน้ำลายซึ่งคนเดี๋ยวนี้ไม่มีใครค่อยกล้าทำ เรื่องอมพระพิมพ์สรรค์ยังมีอีกคนหนึ่งชื่อบุญธรรม เป็นศิษย์รุ่นเก่าคนบ้านแคถ้ามาบ้านแคให้ถามถึงนายธรรม คือคนตายแล้วเขาจะเรียกสังนำหน้า มาจากคำว่าสาง นายบุญธรรมเคยโดนยิงใกล้ ๆ ยิงไม่ออก เคยโดนฟันก็ฟันไม่เข้า แกคงจะแสบทีเดียว ภายหลังโดนรุมตีตาย ทางญาติแหกปากดูเจอพระพิมพ์สรรค์นั่งพิมพ์เล็ก องค์หนึ่ง

เรื่องที่มีคนใช้พระหลวงพ่อแล้วตายนี่ บางคนอาจจะคิดว่างั้นพระหลวงพ่อกวยไม่เก่งจริงซิครับ โดนทุบก็ตาย คืออันนี้ขึ้นอยู่กับวิบากกรรม บางคนอ้อนจัด ๆ อ้อนไม่มีที่สิ้นสุดก็ตายได้ ใครว่าพระหลวงพ่อองค์นั้นองค์นี้เก่งคล้องแล้วไม่ตายโหงก็ลอง ๆ ไปบวกกับรถสิบล้อดูซิครับ หรือเอานิ้วแหย่ปลั๊กไฟดูก็ได้ ผมคิดว่าตายโหงแบบโดนทุบตายก็ยังมีศักดิ์ศรี ดีกว่าปุ้งเดียวดิ้นปัดๆๆๆสำลักเลือดคล๊อก ๆ ตายเลย

เรื่องพระพิมพ์สรรค์ของหลวงพ่อก็ขอจบเพียงเท่านี้ คนแต่ก่อนนี้เขารู้กันทั้งบ้านว่าพระหลวงพ่อเก่ง แต่เขาไม่สนใจเขาถือวิชา(คาถา) ส่วนศิษย์รุ่นหลังก็รู้ว่าเก่ง แต่ไม่ค่อยสนใจ เขามองดูแล้วไม่มีคุณค่าอะไร พระเนื้อดินธรรมดาหาค่าไม่ได้ สมัยที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยากได้ก็ไปขอท่าน ท่านก็หยิบส่งให้แล้ว

สู้ได้ให้สู้ สู้ไม่ได้ให้หนี

มีคำพังเพยที่คนโบราณ พูดเอาไว้คำหนึ่งหรือบทหนึ่งคือ “น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ” ความหมายคือ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟมาก ไฟน้อยย่อมแพ้น้ำทำนองนี้ มีศิษย์หลวงพ่อที่ไปทำมาหากิน และเป็นคนจากสุโขทัยก็มีอยู่แถว ๆ ลานหอย หนองบัว อ.กงไกรลาศ ก็มี บางคนยังได้นำพระกรุใหม่จากลานหอย เอามาถวายหลวงพ่อ และที่มาเช่าหาตะกรุดจากหลวงพ่อไปก็มี ตามที่เคยได้อ่านข้อเขียนของคุณครูนิมิต ภูมิถาวร นักเขียนจากสุโขทัย ทำให้ทราบว่าสุโขทัย กรุงเก่านี้ก็เป็นดินแดนของคนดุเช่นกัน

ศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่งชื่อ เจียด เป็นคนบ้านหนองบัว อ.กงไกรลาศ สุโขทัย ได้หลบหนีศัตรูมาจากสุโขทัย รู้สึกว่าจะฆ่าเขาตายมาด้วย ได้มาอาศัยอยู่กับญาติทางพักทัน อ.ค่ายบางระจัน และได้มอบตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อ ได้มาพักอาศัยอยู่ที่พักทันนานหลายปี แต่ความที่คิดถึงบ้านที่หนองบัว กงไกรลาศ แกได้เข้ามากราบลาหลวงพ่อ หลวงพ่อได้พูดกับนายเจียดว่า ให้อยู่ซะที่นี่ อย่ากลับไปเลย มันอันตราย แต่นายเจียดก็จะไปให้ได้ หลวงพ่อได้สั่งไว้เป็นคำสุดท้ายว่า “สู้ได้ให้สู้ สู้ไม่ได้ให้หนี” ความหมายคือถ้าเขาพวกมาก เราคนเดียวโด่เด่ เห็นว่าสู้ไม่ได้ให้หนี แล้วท่านได้ให้พิมพ์สรรค์ติดตัวไปองค์หนึ่ง

นายเจียดกลับไปสุโขทัยไม่นาน ก็โดนคู่อริแอบยิง จะเป็นด้วยดวงยังไม่ถึงคาดหรือยังไงไม่แน่ใจ หลายครั้ง แกโดนยิงออกมั่ง ไม่ออกมั่ง ครั้งที่สำคัญคือแกโดนรุมตีด้วยขวาน คนรุมตีก็ไม่ปรากฏแน่ชัดว่ากี่คน โดนหลายสิบทีตายสนิทเลย เมื่อญาติมาพบศพ บริเวณหัวที่โดนตีไม่แตก ไม่บวม กะโหลกไม่แตก แต่มีเลือดออกปากและจมูก เข้าใจว่าแกคงลืมคำพูดหลวงพ่อที่สั่งไว้ สู้ไม่ได้ให้หนี

เมื่อนายเจียดตายแล้ว คนทางสุโขทัยหลายคนยังสืบเสาะ มาหาของดีมากันถึงชีวิตหลวงพ่อ บางคนได้ตะกรุดไปยังประสบอภินิหาร หมอจอน บ้านโพธิ์งาม เล่าว่า ศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่งอยู่สุโขทัย มีตะกรุดดอกเดียว โดนตีสลบไป พวกนึกว่าตายไปแล้วยังฟื้นขึ้นมาได้อีก
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 17, 2014, 12:45:57 pm
ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓๗๖
วันที่ ๒๕ มี.ค. – ๕ เม.ย.๒๕๓๗
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



เหรียญรุ่นสุดท้าย

อีกเรื่องหนึ่ง คุณสามารถ หมวกอิ่ม เป็นคนอำเภอเดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เขาขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า ขนาด ๑๕๐ ซีซี รุ่นเก่าคันใหญ่ ขี่มาที่ตลาดอำเภอหันคาจังหวัดชัยนาท ด้วยความเร็วสูงได้วิ่งเข้าชนรถอีแต๋น รถอีแต๋นนี่เป็นรถไถนานำมาติดกับลี่ ใช้บรรทุกของ รถอีแต๋นก็วิ่งมาด้วยความเร็ว รถคุณสามารถก็เร็ว  ปรากฎว่ารถอีแต๋นวิ่งตัดหน้า คุณสามารถได้บีบแตร และเบรกแต่ไม่อยู่ เขาระลึกถึงหลวงพ่อกวยให้ช่วยหลวงพ่อก็อยู่ไกล ไม่รู้จะช่วยอย่างไรท่านไม่ได้เป็นคนขับด้วย ปรากฎว่ารถคุณสามารถวิ่งชนรถอีแต๋นลี่ขาดเลย คุณสามารถกระเด็นไปข้างทางไม่เป็นอะไร แต่รถเละใช้ไม่ได้เลยคุณสามารถศรัทธาหลวงพ่อมาก เขาคล้องเหรียญหนุมานยกธงรบอันเดียว เขาได้มาบวชให้หลวงพ่อที่วัด ๑ เดือน ผมเคยถ่ายรูปเขาไว้ ถ่ายรูปคู่นายปานศิษย์ของหลวงพ่อ

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องเปรียบเทียบ คุณสุทธิวรรณ  ปั้นสน  บ้านอยู่หนองแขม ใกล้วัดหนองแขม นามสกุลเดียวกับหลวงพ่อถ้าจำไม่ผิด อาจจะเป็นน้องสาวท่านอาจารย์สำรวย ได้ไปทัศนศึกษาที่ภาคเหนือ ขณะที่รถวิ่งอยู่บนดอยตุง จังหวัดเชียงราย ความที่คนขับรถทัศนศึกษาไม่ชำนาญทาง ได้ตกลงเหวบนดอยตุง คุณสุทธิวรรณได้ระลึกถึงหลวงพ่อ ร้องสุดเสียงเลย ปรากฎว่ารถตกลงไปด้านล่างด้วยความแรงมาก คนตายและบาดเจ็บเต็มไปหมด มีเพียงคุณสุทธิวรรณเพียงคนเดียวที่ไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ไม่สลบด้วย ในคอเขาคล้องเหรียญทองแดงโล่เพียงเหรียญเดียว ดอยตุงนี้สูงมาก รถที่ตกลงไปด้านล่าง คนที่จะมีโอกาสรอดชีวิตมีน้อยมากแทบไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

ก็ขอสมมุติยุติจบเรื่องเหรียญรุ่นสุดท้ายไว้เพียงเท่านี้ เหรียญรุ่นนี้หลังงานฝังลูกนิมิต ยังมีเหลืออยู่มากทีเดียว ก่อนหลวงพ่อจะมรณภาพ หลวงพ่อได้ปลุกเสกเหรียญรุ่นนี้ไว้ให้ยาวนาน เหมือนเป็นการสั่งลา และมอบสิ่งที่ดีให้ศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย ปัจจุบันที่วัดยังมีเหลือตกค้างอยู่ มีทั้งชนิดทองแดงโล่ และอัลปาก้า ผมรับประกันให้ สำหรับวันนี้อภินิหารมีมาก นำมาเล่าไม่หมด เอาเฉพาะอภินิหารที่ชัดแจ้งเท่านั้น

แดนอาถรรพณ์

แดนอาถรรพณ์ คือดินแดนหรือถิ่นที่เต็มไปด้วยสิ่งลี้ลับ หรือภัยมืด คล้าย ๆ แดนสนธยา ซึ่งไม่มีใครยอมรับอย่างเต็มปากหรือไม่มีใครปฏิเสธอย่างเต็มเสียง เช่น ถ้าเราจะพูดถึงพรายน้ำ พรายไม้ เมืองลับแล หรือผีบังบด การพูดถึงสิ่งเหล่านี้ ถ้าพูดกันในเมืองอาจมองดูเป็นเรื่องสนุกตื่นเต้น แต่ถ้าพูดกันในป่าเขา ในถ้ำ เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องตลกเลย เล่ากันว่าจิตวิญญาณของพรายน้ำ นางไม้ ผีบังบด หรือเจ้าป่าเจ้าเขานี้ เป็นจิตวิญญาณที่กล้าแข็งกว่าคนรุ่นนี้ เพราะจิตวิญญาณเหล่านั้นได้ตายมานานแล้ว บางพวกยังอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติด้วยซ้ำ

เขาว่าอำนาจจิตของพวกเจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าถ้ำ พรายน้ำ พรายไม้หรือนางไม้ ผีบังบด ฯลฯ นี่ เวทมนต์คาถาธรรมดาไม่อาจที่จะต่อสู้ได้หรือป้องกันได้ ต้องใช้ของอาถรรพณ์ด้วยกันเข้าแก้หรือป้องกัน เช่น มีดหมอ ผ้ายันต์ท้าวเวสสุวัณ หรือไม่ก็ต้องอัญเชิญครูบาอาจารย์ให้ช่วย หรือเรียกอาจารย์ให้ช่วย จึงจะแก้อาถรรพณ์ได้

เกี่ยวกับเรื่องที่หลวงพ่อถอดจิตไปช่วยศิษย์ มีหลายครั้งหรือเรื่องที่หลวงพ่อส่งจิตไปช่วยศิษย์ก็มีเช่นกัน เรื่องเกี่ยวกับการส่งจิตไปช่วยศิษย์นี้ เป็นเรื่องที่แสดงถึงความมหัศจรรย์ทางจิตของหลวงพ่อ ซึ่งสมควรบันทึกเอาไว้ นายเปี๊ยก เกิดแก้ว บ้านอยู่วังคูลา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ไปได้ครอบครัวที่ข้างวัด ดงชะอม อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี เคยไปทำไร่ที่จังหวัดอุทัยธานี เขาไปธุระที่ตลาด ขากลับบ้านปรากฏว่ามืดเสียก่อน ถิ่นที่นายเปี๊ยกทำไร่อยู่ เดิมเขาว่าเป็นเมืองลับแล มีคนเดินหลงทางเป็นประจำ แต่นายเปี๊ยกเขาไม่กลัวเพราะเขาชำนาญทาง ประกอบกับเป็นไร่ของเขาด้วย ของคนอื่นด้วย แต่เคยเห็นจำได้ แต่คืนนั้นนายเปี๊ยกพาภรรยามาด้วย ปรากฏว่าเดินหลงทางวนเวียนอยู่ในไร่ หาทางออกทางเข้าไม่เจอ เดินอยู่จนดึกดื่น เมื่อยล้าไปหมด แต่ก็เข้าไร่เข้าบ้านตัวเองไม่ได้ นายเปี๊ยกหมดหนทางนั่งลงพักกับภรรยา ๒ คน เพราะความเมื่อยล้า เหนื่อยอ่อน พอดีนึกขึ้นได้ว่าอาจโดนผีบังบด หรือเจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าที่เจ้าทาง ทำภาพลวงตาตนไม่ให้กลับบ้านถูกเป็นแน่ พอคิดได้อย่างนั้น นายเปี๊ยกเลยหยิบรูปถ่ายหลังจีวรออกมา พนมมือระลึกถึงหลวงพ่อกวย วัดบ้านแค ผู้เป็นอาจารย์ บอกเล่าว่าถึงคราวตกอับแล้ว ขอเชิญหลวงพ่อช่วยลูกด้วย พออาราธนาระลึกถึงสักครู่ อัศจรรย์มีแสงประหลาด เป็นแสงสว่างพุ่งขึ้นจากพื้นดิน เป็นแนวเอียงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทางขวามือนายเปี๊ยกแสงนี้มีสีนวล พุ่งขึ้นอยู่นานคล้ายแสงจากไฟฉาย พอนายเปี๊ยกเห็นแสง แกมีอาการขนลุกนั่งนิ่งตกใจอยู่นาน พอได้สติจึงนึกได้ว่าต้องเป็นเพราะหลวงพ่อกวยส่งจิตมาช่วยเป็นแน่ จึงพาภรรยาลุกขึ้นเดินตามทิศทางของแสงนั้น แล้วแสงก็ค่อย ๆ หายไป พอเดินมาได้ไม่นานก็จำได้ว่าเป็นไร่ของตน จึงกลับเข้าบ้านได้ นายเปี๊ยกเล่าว่าถ้าไม่ได้หลวงพ่อกวย ผมแย่แน่ ๆ สงสัยเจ้าป่าจะแกล้งทำให้หลงทาง เกี่ยวกับหลวงพ่อส่งจิตไป หรือไปปรากฏตัวให้เห็นนี้ จะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป

เกี่ยวกับหลวงพ่อส่งจิตไป หรือไปปรากฏตัวให้เห็นนี้ จะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป เล่าเรื่องนายเปี๊ยกต่อ ครั้งหนึ่งแกไปธุระที่บ้านวังคูลาบ้านเกิดของเขา ขากลับโดนพวกลักยิงในระยะประชิด ๒ นัดหงายท้องลงไปคลุกฝุ่น ไม่ตาย เมื่อตรวจดูบาดแผลตรงหน้าอกมีรอยลูกปืน ๒ แห่ง ตะกั่วด้วย ๒ เม็ด ไม่เข้าเลย แต่มีรอยช้ำเล็กน้อย ตอนนั้น นายเปี๊ยกมีเหรียญหนุมานติดตัวเพียงเหรียญเดียว ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ รอยลูกปืนก็ยังอยู่ทั้ง ๒ รอย บ้านอยู่ใกล้วัดดงชะอม

ก็ขอจบเรื่องแดนอาถรรพณ์ไว้แต่เพียงเท่านี้ ถ้าศิษย์ของหลวงพ่อ จำเป็นจะต้องเข้าป่าเข้าดง ในยามค่ำคืน สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือมีดหมอ ผ้ายันต์ท้าวเวสสุวัณ วัตถุมงคลของหลวงพ่อ หรือคาถาอาวุธ ๕ แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ สวดมนต์ระลึกถึงหลวงพ่อ ขอบารมีของหลวงพ่อคุ้มครองในยามค่ำคืนด้วย จะดีที่สุด

คาถากำกับ ใช้คาถาอาวุธห้าประการ  ตามเเบบของคุณพ่อเดิม วัดหนองโพ

สักกัสสะวชิราวุธธัง เวสสุวัณณัสสะคธาวุธธัง ยะมะนัสสะนัยยะนาวุธธัง อะฬะวะกัสสะทุสาวุธธัง นรายัสสะจักราวุธธัง ปัญจะอาวุธธานัง เอเตสังอานุภาเวนะ ปัญจะอาวุธธา ภัคคะ ภัคคา วิจุณณัง วิจุณณาโลมังมาเมนะ ผุสสันติ


เข้าป่า เข้าไพร ก่อนนอน เอามีดหมอออกจากฝัก ปักไว้บนดิน ตรงหัวนอน กันภูตผีปีศาจ สัตว์ร้าย เจ้าป่าเจ้าเขารบกวนลงน้ำยามค่ำคืน ชักมีดออกจากฝัก ลุยน้ำ หรือถ้าว่ายหรือดำน้ำ ใช้ปากคาบมีดไว้ กันผีน้ำ ผีพรายเจอผี คุณไสย หลอกหลอน ชักมีดออก ว่าคาถา ฟันมีดไปตรงรูปที่เห็นหรือเสียงที่ได้ยิน สิ่งนั้นจะหายไปเจอคนถูกผีเข้า คนถูกของ ชักมีดออกว่าคาถาไล่ สู้กับปืนอย่าชักมีดออก มีดอยู่ในฝัก ปืนจะยิงไม่ออก

เป็นวิธีใช้พอคร่าวๆตามที่ได้ยินมาจากศิษย์เก่าๆ


คาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร
ใช้ภาวนาป้องกันภัยอันตรายทั้งปวงฯ คาถาพระพุทธเจ้าชนะมารศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก

ตั้งนะโม 3 จบ แล้วภาวนา พระคาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร ดังนี้


ปัญจะ มาเร ชิโน นาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง

จะตุสัจจัง ปะกาเสติ ธัมมะจักกัง ปะวัตตะยิ

เอเต สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชะยะมังคะลัง


พระคาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร หมั่นภาวนาเป็นประจำสามารถใช้เป็น คาถาชนะคู่แข่ง จะเป็นมงคลกับชีวิต น้อมรำลึกถึงบารมีพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่มงคลสูงยิ่งนักแล
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 17, 2014, 12:47:07 pm
ลองยิงคุณปลัด

จดหมายคุณ ณ เดช พรหมบันดาล
๔๒๑ ภูผาภักดี อ.เมือง จ.นราธิวาส
สวัสดีคุณเฒ่า สุพรรณ

ผมเป็นอีกผู้หนึ่งซึ่งได้พิสูจน์ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อกวย ขอส่งเรื่องมาร่วมเผยแพร่ดังนี้

คุณปลัด(ขิก) แคล้วคลาด

วันศุกร์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๓๓ เพื่อนผมได้โทรศัพท์มาเรียกผมให้ไปยิงทดสอบของหลายชิ้นที่บ้านกูบู อ.ตากใบ จ.นราธิวาส วันที่ยิงคือวันเสาร์ ๘ กันยายน ๒๕๓๓ ไปกันทั้งหมด ๑๕ คน เป็นคนไทย ๗ คน มาเลเซีย ๘ คน คนลงมือยิงมี ๓ คน คือ
๑.ปริ๊นซ์ ออฟ การันตัง ยิงพระเครื่องและเครื่องราง
๒.จ.ส.ต.มานิต ยิงเครื่องราง
๓.นาย ณ เดช พรหมบันดาล ยิงเครื่องราง

ปืนที่ใช้ยิงเป็นปืนพกลูกโม่ .๒๒ แม็กนั่ม ของ สมิทธ์ แอนด์เวสสัน ลำกล้อง ๓ นิ้วครึ่ง กระสุน วินเชสเตอร์ ของที่นำมายิงมีประมาณ ๕๐ ชิ้น เป็นของมิสเตอร์จิมมี่เกือบทั้งสิ้น ของที่นำมายิงมีพระเครื่อง รูปเหมือน เหรียญ แหวน ตะกรุด ลูกอม ปลัดขิก งั่ง วิธียิง ใช้ยืนบ้าง นั่งบ้าง แล้วแต่ความถนัด โดยตอกตะปูหลายตัวที่ต้นมะพร้าวแล้วเอาของไปวาง ระยะยิงห่างไม่เกิน ๑ เมตร ส่วนใหญ่ระยะจากปากกระบอกกับของไม่เกิน ๒ นิ้ว ได้ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานด้วย

ของที่ยิงส่วนใหญ่จะแตกในนัดแรก บางอย่างถูกกระเด็นแต่ไม่มีรอยบุบสลาย บางอย่างไม่ถูกในนัดแรกพอนัดต่อมาแตกกระจาย แต่ที่ด้านไม่มี

เมื่อของที่เตรียมมาถูกลองยิงจนหมด เราก็เตรียมตัวกลับ แต่ มิสเตอร์จิมมี่ ได้มาบอกกับผมว่า ของที่ยิงทั้งหมดเป็นของที่ทางมาเลย์เอามา ขอให้ทางไทยเอามายิงบ้าง สักอย่างก็ยังดี อย่าให้อายเขา ผมใจหายวาบเลย เพราะไม่ได้เตรียมมา บังเอิญนึกได้ว่ามีคุณปลัดของหลวงพ่อกวยติดเอวอยู่ก็เลยปลดออกมาให้ยิง

ปริ๊นซ์ ออฟ การันตัน เป็นผู้ยิงโดยยืนยิงปากกระบอกปืนห่างจากคุณปลัดประมาณ ๒ ฟุต แล้วเสียงปืนก็ระเบิด โป้ง โป้ง โป้ง สนั่นหวั่นไหวไปหมดเสียงดังเท่าที่กระสุน .๒๒ แม็กนั่มจะดังได้
 
พอสิ้นเสียงปืน ผมก็ผวาเข้าไปดูคุณปลัดแทนที่จะเห็นคุณปลัดบุบหรืองอ อันเป็นเรื่องธรรมดาที่ของอ่อนอย่างตะกั่วควรเป็น แต่ปรากฎว่าที่ลำตัวตลอดหัวของคุณปลัดไม่เป็นอะไรเลย แม้แต่เชือกที่ร้อยก็ไม่มีริ้วรอย ทุกคนตื่นเต้นมากที่ได้เห็นกับตา

เป็นอันว่า ผมรอดพ้นจากหน้าแตกไปได้เพราะคุณปลัดของหลวงพ่อกวย ทั้ง ๆ ที่ในวันนั้นผมก็มีของไปให้ยิงเพียงอย่างเดียว
นับถือ

ณ เดช พรหมบันดาล
๔๒๑ ภูผาภักดี อ.เมือง จ.นราธิวาส ๙๖๐๐๐


ตอบ คุณ ณ เดช ต้องขอขอบคุณ คุณ ณ เดช อุตส่าห์เขียนมาเล่าให้ฟัง ถ่ายรูปมาให้ดูด้วย เพื่อยืนยันความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ แต่ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ อย่านำวัตถุมงคลของหลวงพ่อไปทดลองเลย ไม่ดีเลย ยังไงก็ต้องขอขอบคุณที่อุตส่าห์เขียนส่งข่าวมาจากแดนไกลมาให้เพื่อนอ่าน

นับถือ

เฒ่า สุพรรณ


จดหมายจากพระชัชวาล  กัลป์ยาณธัมโม
๑๘ กันยายน ๒๕๓๑

เจริญพร คุณเฒ่า  สุพรรณ

อาตมาภาพมีเรื่องที่จะเล่าให้คุณโยมฟัง ถ้าเห็นว่าสมควร มีประโยชน์ก็ให้โยมลงเผยแพร่ได้ คือเรื่องที่โยมน้องอาตมานับถือหลวงพ่อกวย นั้น มีสาเหตุจากโยมน้องอาตมาเป็นนางพยาบาล ประจำที่ ร.พ.มหาราช ประจำตึกสุจิณโณ ชั้น ๑๔ น้องอาตมาเล่าว่าระยะที่ผ่าน ๆ มานางพยาบาลถูกรบกวนจากวิญญาณต่าง ๆ โดยเฉพาะชั้น ๑๑ เฮี้ยนที่สุด ชั้น ๑๔ ก็ไม่น้อยหน้าว่างั้นเถอะ อาตมาเอง พอรู้ความก็สงสารน้องสาว ที่พบเห็นกับคนตายบ่อย ๆ และวิญญาณเหล่านั้นก็มักวนเวียนมาล้อเลียนอยู่บ่อย ๆ จึงตัดสินใจมอบพระสรรค์นั่งให้ไป ๑ องค์ โดยอาตมาบอกว่าพระเนื้อดินผสมทรายเสกนี้กันผีได้ โยมน้องจึงนำติดตัวไปทำงานเป็นประจำ จนกระทั่งวันเกิดเหตุเป็นเวรดึก มีคนไข้รายหนึ่ง มีอาการหนักมากใกล้ตาย เพ้อคลั่งไม่เป็นภาษามนุษย์ เห็นอะไรมั่วไปหมด คนนั้นก็จะมารับ คนโน้นก็จะเอาตัวไป มั่วไปหมด ขณะนั้นโยมน้องอาตมาก็เข้าเวรอยู่ด้วย แต่ยังไม่เสร็จงานที่เคาน์เตอร์ ได้แต่ได้ยินเสียงเพ้อ

พยาบาลก็ช่วยกันสอบถามอาการจะให้ช่วยอะไร บางคนก็รีบไปตามหมอ เพราะอาการหนักมาก โดยมากเพื่อน ๆ ก็ช่วยกันจับ และปลอบใจให้รอหมอ คนไข้ก็พูดไม่รู้เรื่อง พูดมั่วไปหมด คนโน้นมา คนนี้มารับ ไม่ไป ไม่ไป โยมน้องบอกถ้าเพ้อแบบนี้ตายทุกคน พอเสร็จงานเคาน์เตอร์ โยมน้องก็รีบเข้ามาดูอาการว่าควรจะช่วยอย่างไรดี หมอก็ยังไม่มา ตอนนี้ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น คือ พอโยมน้องอาตมาเดินเข้ามาในห้องเพื่อจะถามอาการ คนไข้รายนั้นก็หยุดอาละวาด หันขวับมามองทางประตูที่โยมน้องเดินมา แล้วหยุดเพ้อ เงียบเป็นปลิดทิ้งเลย ไม่ยอมสู้หน้าเลย เอาหน้าหลบซุกกับหมอน พยาบาลคนอื่นได้แต่มองหน้ากัน คืองงน่ะ

ความที่คนไข้รายนี้ไม่อาละวาด ไม่เพ้อ ทำให้โยมน้องของอาตมาระลึกถึงพระหลวงพ่อกวยขึ้นมาทันที คิดว่าคนไข้รายนี้คงเจอบารมีของหลวงพ่อกวยเป็นแน่ วิญญาณร้ายที่ห้อมล้อมอยู่คงจะอยู่ไม่ได้ แม้ยมทูตเองก็ไม่กล้ามารับวิญญาณ เพราะบารมีหลวงพ่อกวยเป็นแน่แท้ พอคิดได้ดังนั้น โยมน้องอาตมาเลยอยากจะทดลองดูซิว่าวิญญาณที่มาห้อมล้อม กับยมทูตจะเกรงบารมีพระหลวงพ่อกวยจริงหรือไม่ จึงคิดว่าจะออกจากห้องดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น

พอโยมน้องอาตมาเดินออกจากห้องแป๊บเดียว คนไข้รายนั้นตายเลย

เรื่องที่เกิดขึ้นเรื่องนี้โยมน้องของอาตมาจึงศรัทธาในหลวงพ่อกวยมาก ตั้งแต่เป็นพยาบาลมา แขวนพระมาหลายองค์ ไม่มีองค์ใดแน่เท่าพระหลวงพ่อกวยเลย ไม่เสียแรงที่ให้ความเคารพ

ขอให้คุณโยมมีความสุข ความเจริญ จบเลย
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 21, 2014, 05:14:27 pm
ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓๗๗
วันที่ ๕ เม.ย. – ๑๕ เม.ย.๒๕๓๗
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



แหวนแขน

หลวงพ่อสร้างแหวนแขนไว้หลายรุ่น รุ่นแรกจะไม่ได้ลงรัก  เป็นผ้า รุ่นต่อมาท่านลงรัก ความเก่าของรักขนาดเอามือแกะรักร่อนออกมาเลย คือแห้ง มีราคาแพงเท่าข้าว ๑ เกวียน ยังหาคนออกไม่ได้ง่าย ๆ เพราะมีพุทธคุณสูง เตือนภัยได้ โดยรัดแขนไว้ หรือถ้าจะมีเรื่องเวลาใส่แขนจะติดตรงข้อแขนไม่สามารถใส่ได้ เรื่องแหวนแขนนี้ศิษย์ท่านองค์หนึ่งคือ อาจารย์แสวง ได้ตำราการทำไว้ ทั้งตำราทำแหวนแขน และตำราทำตะกรุด อาจารย์แสวงท่านก็ทำเอง จารเอง ถักเองเช่นกัน แต่ไม่ปรากฎว่ามีอภินิหารทาง เตือนภัย ของอาจารย์แสวงจะสด คือลงรักใหม่ ยังเหนียวติดมือ

มีแหวนแขนอีกรุ่นหนึ่ง อาจารย์โอภาสได้ทำขึ้นสมัยที่หลวงพ่อกวยยังมีชีวิตอยู่ ใช้ผ้าจีวรหลวงพ่อกวยทำ การถักไม่สวยงาม ไม่เรียบร้อย ได้ให้หลวงพ่อกวยปลุกเสกจนกระทั่งมรณภาพ

สำหรับอภินิหารจะขอเล่าไว้เพิ่มเติมดังนี้ อาจารย์ตั้ว ในปี พ.ศ.๒๕๒๗ ได้ไปจำพรรษาที่วัดป่าแดง บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ ได้ไปมีเรื่องกับกำนันอิทธิพล กำนันท่านนี้ได้ไปบุกรุกป่าสงวนจะเอาไปเป็นสมบัติส่วนตัว อาจารย์ตั้วได้พยายามต่อสู้กับชาวบ้าน กำนันเกิดไม่พอใจ อยู่ต่อมาท่านสังหรณ์ใจว่าอาจมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ท่านได้นำแหวนแขนมาใส่ ปรากฎว่าแหวนแขนที่เคยใส่ได้กลับใส่ไม่ได้ ติดอยู่ตรงข้อแขนเฉย ๆ ท่านคิดได้ว่าแหวนแขนเขาคงมาเตือน ท่านเลยไม่ไปบิณฑบาต นั่งอยู่ในกุฏิ ปรากฎว่าเช้าวันนั้นท่านโดนยิงกุฏิพรุนไปหมดชนิดไม่ให้เหลือซาก แต่ท่านก็รอดมาได้ โดยลูกกระสุนที่ยิงมาเป็นห่าฝน หน้าต่างพรุนไปหมด แต่ไม่ถูกท่านเลย ท่านเห็นท่าไม่ดีท่านก็เลยจากมา

เรื่องแหวนแขนนี้ ท่านก็ลงยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้าธรรมดา ๆ แต่สามารถเตือนภัยได้ เข้าใจว่าจะมีองค์เดียวในประเทศไทย เพราะตำราเดิมของหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ เขาใช้หญ้าคาทำ อาคมคงจะไม่เบา แต่ไม่ทนทาน เคยเห็นอาจารย์สำรวยเอาครอบบาตรน้ำมนต์ไว้ ภายหลังหากไปแล้วแหวนแขนนี้ยังสามารถกันคุณได้ด้วย เข้าใจว่าท่านคงจะปลุกเสกด้วยธาตุน้ำหรือกสิณน้ำ เพราะแหวนแขนท่านเผาไฟไม่ไหม้ ผมเคยทดลองเอาใส่เตาไฟดูปรากฎว่าไม่ไหม้ แต่ใจหนึ่งผมว่าอาจจะเป็นเพราะรักดำที่ท่านทาไว้ก็ได้ ภายหลังผมกลัวเสียของรีบไปเขี่ยเอาขึ้นมา คือกลัวไหม้แต่ก็ไม่ไหม้ เขาว่ารักถ้าโดนไฟมันละลาย ผมก็ไม่กล้ายืนยันว่าไม่ไหม้ เพราะอะไร แต่วันนั้นรักที่ลงไปละลาย

จากการสอบถามศิษย์ใกล้ชิดรุ่นเก่า เล่าว่า แต่เดิมท่านทำตามตำราของหลวงพ่อศรี โดยใช้หญ้าคา แต่ใช้ครอบบาตรน้ำมนต์ กันคุณ ปัจจุบันยังเหลืออยู่ที่วัด ๑ วง ครอบบาตรน้ำมนต์ท่านอยู่ และท่านเคยหล่อด้วยตะกั่วก็มี เคยเห็น ๑ วง ทำด้วยหวายก็มี เคยเห็น ๑ วงเช่นกัน ทำด้วยเชือกไนล่อนแต่ลงรักก็มี แต่มีน้อยมาก คือทำด้วยหวาย ตะกั่วหล่อ หญ้าคา ทำน้อย มีชนิดที่ทำด้วยผ้าผีกับผ้าจีวรมีมากที่สุด
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 21, 2014, 05:15:42 pm
แหวนแขน

แหวนแขนคือพิรอดสวมแขน แบบนักมวยใส่นั่นแหละ แต่ไม่รู้ว่านักมวยเขานิยมอาจารย์องค์ไหน หลวงพ่อเรียนวิชาแหวนแขนมาจากหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ เรียนมาพร้อมกับวิชาแหวนนิ้ว แต่อาจารย์ของท่านอีก ๒ องค์ ก็ทำแหวนแขนเช่นกันคือ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ (พระครูวาปีปทุมรักษ์ วัดหนองบัว เขียนไว้) อีกองค์หนึ่งคือ หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา อ.เดิมบาง ทำด้วยทองเหลืองฝาบาตรทำไว้มาก ปลอมทำใหม่ก็มาก ขนาดมีคำกล่าวว่า “กำเชียร ต้มเหล้า ทำแหวน น้ำพุ เผาถ่าน ป่าด้าน เป็นแตน”คือของหลวงพ่ออิ่ม มีคนมาช่วยทำพระที่ช่วยทำคือพระแสงหรือโยมแสง บิดาหลวงพ่อจวน วัดไก่เตี้ย สุพรรณ ทำแล้วปลุกเสกแล้วเอาไปหลอมใหม่ถ้าละลายใช้ไม่ได้

หลวงพ่อทำแหวนแขนด้วยผ้าผี ผ้าจีวร เชือกไนล่อน ชนิดเชือกไม่ค่อยเจอ ลงรักก็มี ไม่ลงรักก็มี ถ้าลงรักอย่างดีจะแพงมาก มีอานุภาพสูงมาก ไม่ปรากฎว่ามีอาจารย์องค์ใดทำได้เท่าท่าน คือสามารถรัดแขนเตือนภัยได้เวลามีภัย ถ้าถึงคราวตายจะรัดจนขาดเลย คาถาที่ลงเข้าใจว่าเป็นคาถาพระอรหันต์ ๘ ทิศ ทำได้ยาก ต้องมานะ ลงรักก็ลงยากกว่าจะแห้ง

ครั้งแรกที่ทำให้แหวนแขนของท่านโด่งดังคือ เสือแจ่ม เสือแจ่มเป็นเสือบุกเดี่ยว คือเป็นศิษย์หลวงพ่อมักเป็นอย่างนี้ นายแจ่มนี้เคยบวชเรียนคู่กับหลวงพ่อ ภายหลังไปพบตำรายันต์ในโพรงไม้แล้วมาบอกหลวงพ่อ ต่อมาพระแจ่มสึกออกไปเป็นเสือ ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อ (เป็นเรื่องแปลกมากหลวงพ่อมีศิษย์ที่แก่กว่าท่านถึง ๓๐ ปีก็มี เช่น เสือผ่าน อันฉำ หมอกร้าย อันฉำ) วันหนึ่งเสือแจ่มโดนลูกน้องเสือฝ้ายรุมล้อมจะฆ่าให้ตาย ลูกน้องเสือฝ้ายมี ๒๐ คนได้ เสือแจ่มต่อสู้จนลูกปืนหมด ลูกน้องเสือฝ้ายได้ยิงเสือแจ่ม ออกบ้างไม่ออกบ้าง ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง รุมตีอีกด้วย แถมขุดหลุมฝัง เมื่อตายไปแล้วคนไปดูเจอหัวลูกปืนปลอกปืนเป็นบุ้งกี๋เลย เฉพาะตรงหน้าตักมีเป็นร้อยนัด กำลังจะฝังให้แต่ไม่ได้ฝังได้รีบไปเสียก่อน ลูกน้องเสือฝ้ายได้ค้นดูตามตัวไม่พบเจอเครื่องรางอะไรเลย ยิงไม่เข้าเลยแม้แต่เพียงนัดเดียว ในปากไม่ก็พบพระอะไร ตอนสายคนมาดูศพกันเต็มไปหมด (เรื่องนี้เกิดขึ้นบริเวณหลังหมู่บ้านหนองแขม ติดหนองหิน) ไทยมุงเต็มไปหมดก่อนตำรวจจะมา บางคนก็เก็บปลอกกระสุนปืนเอาไว้ ไทยมุงพอว่า แถมมีพระมุงอีกด้วย พระองค์หนึ่งร่างกายขาวเหลือง แข็งแรงเดินฝ่าเปลวแดดมาด้วยความร้อน พอมาถึงท่านพูดพึมพำว่า“ชาติเสือ ชาตินักเลง ตายโหง ยังดีกว่าตายห่า”แล้วท่านก็เอามือปิดหนังตาเสือแจ่มซึ่งลุกโพลง แล้วท่านก็ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อแขนยาว ดึงแหวนแขนออกมา ใส่ย่ามเดินกลับวัดหน้าตาเฉย ตั้งแต่นั้นมาคนจะเรียกท่านว่า อาจารย์กวย หลวงพ่อกวย ฯลฯ   

ครั้งที่ ๒ ที่ทำให้แหวนแขนท่านโด่งดัง มีฉายาว่า“แหวนแขนเรดาร์” คือ เตือนภัยได้ ตอนนั้นเกิดสงครามลาว คนไทยอาสาไปรบ หลายคนคิดว่าไปเพื่อชาติ ไปเพื่อช่วยน้องลาว เพราะยุคนั้นสงครามไม่ค่อยมี นายเชน คนหัวเด่น แต่ไปได้ภรรยาที่ปากน้ำ เป็นที่พระโชน นิสัยค่อนข้างโหล่ ๆ คือหลวงพ่อมักมีศิษย์แบบนี้ ถ้าเป็นนักเลงหรือคนจริง ศิษย์อีกแบบหนึ่งก็เป็นคนจีนไปเลยความหมายก็คือไม่รบกับใครเอาแต่ทำมาหากินอย่างเดียว นายเชน คนหัวเด่น แต่ไปได้ภรรยาที่ปากน้ำ นายเชนเมื่อมาถึงกุฏิหลวงพ่อ ได้เรียกหลวงพ่อ ๆ มัวแต่กบดานอยู่แต่ในกุฏินั่นแหละ เขารบกันตึง ๆ จะถึงบ้านเราอยู่แล้ว แล้วหลวงพ่อก็เปิดกุฏิรับ ท่านไม่ถือคนบ้า คนโหล่ แต่ต้องบ้าจริง หรือโหล่จริง ๆ ท่านให้แหวนแขนไปหนึ่งวง กับผ้าแดงยันต์กันภัย ๘ ทิศ นายเชนเมื่อไปรบ ครั้งหนึ่งเป็นเวลากลางวัน แหวนแขนเกิดรัดแขน นายเชนได้บอกผู้พันว่าเราจะโดนโจมตี แต่ไม่มีใครเชื่อเลย นายเชนโดดลงหลุมคนเดียว วันนั้นโดนโจมตีตอนกลางวัน มีทหารตายไปหลายสิบคน ผู้พันได้เรียกกองและชมเชยนายเชน“แหวนแขนเรดาร์”อยู่ต่อมาเมื่อไปรบได้ ๖ เดือน เขาให้มาพัก ๑ เดือน ระหว่างนี้นายเชนไม่ได้ไปกราบหลวงพ่อเลย เมื่อครบกำหนดไปอีกนายเชนได้แต่งชุดทหารพรานคล้องพระของหลวงพ่อเหมือนหนึ่งเทพผู้คุ้มครอง หยิบแหวนแขนมาสวมแขนพอถึงแขนด้านบน แหวนแขนได้รัดดังเปรี๊ยะขาดเลย นายเชนใจเสียได้มากราบหลวงพ่อ หลวงพ่อได้พูดว่า ครั้งนี้รบกันหนักมึงไปก็ตายก่อนกำหนดอายุขัย นายเชนเลยไม่ได้ไป ผลคือทหารที่ไปรบโดนโจมตีอย่างหนัก ผู้พันคนนั้นตาคาหลุมหลบภัยเลย ผมก็ว่าสมควรตายเขาหยุดให้พัก ๑ เดือน น่าจะมากราบหลวงพ่อ ขอบูชาแหวนแขนเอาไปแจกญาติโยมเพื่อนฝูงสัก ๑๐๐ วง (แหวนแขนที่ขาดของนายเชนปัจจุบันยังอยู่)

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 21, 2014, 05:17:45 pm
พระพิมพ์สรรค์

อีกครั้งหนึ่ง เพื่อนผมเอง ชื่อ “เฒ่า” ชื่อเดียวกับผมอยู่สำโรง ผมให้เพื่อนไปยืมใช้ เพราะเพื่อนผมเขาเป็นคนคุมประตูเวทีมวยสำโรง ถูกนักเลงอีกพวกหนึ่งชื่อทองแดง ฉายา “ขาใหญ่” รุมตีปางตาย เขียวทั้งตัว โดนตีด้วยแป๊บน้ำ แปลกเช่นกัน กระดูกไม่หักเลย 

อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้กล้ายืนยันเต็มที่ด้วยตัวผมเองเลย ไปกับเพื่อน ๒ คน รวมเป็น ๓ คน ไปเที่ยวที่ปากน้ำ สมุทรปราการ โดนนักเลงเมืองปากน้ำ ๗ คน รุมตีด้วยแป๊บน้ำ ผมงี่เง่ากว่าเพื่อนมัวห่วงเพื่อนจัดไป หนีไม่ออกโดนตีสลบเลยไป ๓ วัน ๓ คืน ที่ ร.พ.ปากน้ำ เลือดออกปาก ออกจมูก ออกยั้นรูหู ในตัวมีพระพิมพ์สรรค์เนื้อดินองค์เดียว กระดูกไม่หัก ไม่แตกเช่นกัน พระชุดนี้หลวงพ่อปลุกเสก ด้วยโองการมหาทมื่น ซึ่งในพระคาถากล่าวไว้ว่า กูจะรำลึกถึงครูกู ใครจะสู้กูก็มิได้ จึงให้คงแก่หอกดาบ แหลนหลาว ธนู ธน้า และหน้าไม้ ปืนไฟอย่าได้ต้องฯ คงทั้งนั่ง คงทั้งยืน คงทั้งหลับ คงทั้งตื่นฯ ผมเองยังงงไม่หาย ขนาดรำลึกถึงครู ยังสลบ ถ้าไม่รำลึกละก็เห็นทีจะเป็นสังข์เฒ่าไปแล้ว


สะกดผี

พระชุดเนื้อดินนอกจากจะชาตรีแล้ว ยังป้องกันอำนาจลึกลับได้ ในปี พ.ศ.๒๕๑๕ – ๒๕๑๖ หลวงพี่ดำท่านอยู่วัดด่านสำโรง กุฏิเก่าด้านทิศใต้ ได้มรณภาพ ปรากฎว่า วิญญาณหลวงพี่ดำเฮี้ยนมาก เพราะเป็นการตายอย่างกะทันหัน คือเป็นมาเลเรีย๘นสมอง วิญญาณหลวงพี่ดำได้หลอกหลอนพระ ขนาดพระไม่ยอมออกมาหนัก-เบาในห้องน้ำ ปิดกุฏิจำวัดเงียบ มีผมกับเพื่อนเด็กวัดเพียง ๒ คน ที่นอน ที่หันหน้ากุฏิพระ ผมดวงไม่ดีกว่าเพื่อน นอนอยู่ห่างจากที่ตั้งศพเพียง ๒ วาได้ มีม่านกั้น มองเห็นโลงถนัด ตกดึก บางครั้ง ตกใจตื่น เพราะเสียงลมในท้อง ดันลำไส้ออกมา บางครั้งเหมือนหยั่งกับหลวงพี่จะลุกออกจากโลง กลัวก็กลัว แต่ไม่มีพระองค์ไหนสงสารชวนเด็กวัดพลัดบ้านให้เข้าไปนอนในกุฏิเลยซักองค์เดียว วิญญาณหลวงพี่ดำได้หลอกหลอนพระหลายองค์ หลวงพี่อนันต์พระคนเก่ง กลางวันคุยแต่เรื่องฟันเรื่องแทง พอตกกลางคืนปิดกุฏินอนเงียบ ศพหลวงพี่ดำกำหนดตั้งที่หอฉัน หรือหอสวดมนต์ไม่มีกำหนด ผมคิด จะทำอย่างไรดี พอคิดได้ ก็ถอดพระพิมพ์สรรค์ เอาไปวางบนฝาโลง เอาต้นกล้วยที่เขาจัดดอกไม้ทับไว้ อาราธนาพระหลวงพ่อกวย สะกดวิญญาณหลวงพี่ดำที แล้วเอาตะกรุดมาคาดเอวแทน ผลปรากฎว่าวิญญาณไม่มารบกวนตามข้าง ๆ มุ้ง ปกติท่านก็ดำสมชื่ออยู่แล้ว ขณะปรากฎกาย ทั้งดำทั้งเขียว

อีกเรื่องหนึ่ง ที่กุฏิเก่าด้านใต้สุดของวัดด่านสำโรง ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เป็นกุฏิเก่าของหลวงพ่อแย้ม หลวงพ่อแย้มเป็นเกจิอาจารย์ที่สร้างพระปิดตาอันโด่งดังของวัดด่านสำโรงนั่นแหละ กุฏิเก่าของท่านมีเสาตกน้ำมันอยู่ต้นหนึ่ง ปัจจุบันยังอยู่ มีนางไม้อาศัยอยู่ตนหนึ่งเด็กวัดเห็นกันเป็นประจำ พระบวชใหม่ไม่รู้เรื่องโดนหลอกทุกพรรษา เฮี้ยนมาก บางครั้งดึงขาพระออกมานอกมุ้ง พระบางองค์ตกใจเห็นถนัด วิ่งเปิดประตู ประตูแบบเก่าเป็นไม้สลัก ร้องโวยวายสุดเสียง รุ่งเช้าขอย้ายกุฏิ ต้องเป็นภาระให้กับหลวงพ่อแจ่มเจ้าอาวาสทุกปีไป พอออกพรรษา กุฏิหลังนี้พระสึกออกไปไม่มีใครอยู่ ผมเลยอาศัยยึดครองเลย ผมรู้ว่าพระทรายเสกสามารถต้านได้ ผมได้นำไปคล้องไว้ที่ตะปู ที่เสาต้นนั้น นางไม้ตนนั้นไม่มารบกวนผมเลย ก่อนที่ผมจะจากวัดด่านมา ปี พ.ศ.๒๕๑๗ ผมได้นำจีวรของหลวงพ่อกวยไปผูกสะกดไว้ ไม่ทราบว่าเดี๋ยวนี้ยังอยู่ หรือขาดไปแล้ว

กินไม่ได้
 
นายบุญมี  คำปัน เสี่ยวอีสานนักแสวงโชคเคยเห็นคนหัวเด่น บ้านแค โดนยิงไม่เข้าได้มากับคณะผ้าป่า จันทบุรี ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อ หลวงพ่อได้ให้พระพิมพ์สรรค์ไป ๑ องค์ ภายหลังพลอยที่ตราดและโปร่งน้ำร้อน เขาสมิง ชักขุดได้น้อยลง แกเลยแอบข้ามไปขุดด้านชายแดนเขมร โดยแอบไปเป็นคณะ ๆ ละ ๗ – ๑๐ คน เวลาจะเข้าหรือข้ามชายแดนแกเล่าว่า ต้องเสี่ยงกับกับระเบิดที่ทหารเขมรดักเอาไว้ ในคณะต้องมีการจับไม้สั้นไม้ยาวกันเพื่อเป็นคนนำทาง แล้วให้คนอื่นเดินตาม ภายหลังคนที่ไปด้วยโดนกับระเบิดตายไปบ้าง ไข้ป่ารุนแรงมาก เมื่อคนโต ๆ ตายกันหมด พวกเขาเลยแต่งตั้งแกเป็นหัวหน้า เมื่อแกเป็นหัวหน้าแกมีความกล้าหาญอดทนและเสียสละ โดยทุกครั้งที่จะต้องเดินฝ่ากับระเบิดแกจะเป็นคนนำทางเอง โดยระลึกถึงหลวงพ่อกวย และพระพิมพ์สรรค์แปลกมากเมื่อแกเป็นผู้นำปรากฎว่าแกไม่เคยเดินเหยียบกับระเบิดเลย แคล้วคลาดทุกครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งแกเล่าให้ผมฟังผมลืมไม่ลง นึกถึงทีไรขนหัวลุกทุกที เรื่องนี้เกิดขึ้นที่เขมรด้านชายแดนติดไทย

แกเล่าว่าแกเกิดป่วย เป็นไข้ป่า นอนป่วยอยู่ ๓ คืนอาการมีแต่ทรงกับทรุด แม้จะกินยาควินินก็ไม่อยู่ แกอาศัยกระท่อมร้างเก่าแก่ ไม่ทราบว่าใครปลูก และปลูกไว้ตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่ว่าพวกขุดพลอยพเนจร มักจะมาอาศัยหลับนอน ตอนดึกแกตื่นขึ้นมาแต่ขยับตัวไม่ได้ แกเห็นแขกยามวิกาล มารุมล้อมแก ๔ – ๕ คน ทุกคนหน้าตาดุดัน เศร้าหมองหิวโหย แกรู้ได้ทันทีเลยว่า พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้มาดี ครั้นจะปลุกเรียกลูกน้องก็อ้าปากไม่ออก คน ๔ – ๕ คนนั้นพูดภาษาเขมร ซุบซิบกันหน้าตาดุดันคล้ายผีร้าย แกเกิดอาการกลัวขึ้นมา ได้นึกถึงพระพิมพ์สรรค์และหลวงพ่อกวย แล้ว ๑ ใน ๕ คนก็ยื่นคอมาที่หน้าแก คอนั้นยาวออกมาประมาณ ๒ ศอกได้ พอมาถึงหน้าแกมันทำท่าจะกัดแก แกตกใจหลับตากลัวสุดขีด คาถาก็นึกไม่ออกแล้วมันก็หดคอกลับ พูดกับเพื่อน ๔ คนได้ยินชัดเจน แล้วอีก ๔ คนก็ทำท่าแบบเดียวกันคือยืดคอจะกินแกให้ได้ เมื่อกินไม่ได้ก็หันหน้ามองกัน พูดออกมา ๓ คำ แกจำได้แม่นยำ พวกมันไม่ละความพยายาม ได้ไปตามเพื่อนมาอีกเต็มไปหมด ผีทุกตัวได้พยายามจะกินแกให้ได้ แต่เมื่อมันยืดคอมาใกล้หน้าแก มันก็ตกใจหดคอกลับทุกตัวไป แล้วก็พูดกันแซดไปหมดเป็นคำพูดเพียง ๓ คำ แกฟังไม่รู้เรื่อง เพราะเป็นภาษาเขมร

จนกระทั่งเช้าลูกน้องแกได้มาปลุก และบอกว่าแกละเมอ แกเรียกคนนำทางชาวเขมรส่วย มาถามว่าคำ ๓ คำที่แกได้ยินเมื่อคืนนี้ แปลเป็นไทยว่ายังไง เขมรคนนำทางบอกว่ามันพูดว่า “กินไม่ได้” พอแกรู้เรื่องเช่นนั้น แกได้สั่งให้ลูกน้องทำแคร่ หามแกออกมา และได้ไปรักษาตัวอยู่ที่ ร.พ.จันทบุรี แกเล่าให้ผมฟัง แกบอกว่า ผมเกือบเอาชีวิตไปทิ้งที่เขมรซะแล้ว ถ้าไม่ได้พระพิมพ์สรรค์ ป่านนี้ผีกินผมไปแล้ว

ผมเข้าใจว่าผีร้ายพวกนั้นคงเป็นชาวเขมรที่มาขุดพลอยแล้วเป็นไข้ป่าตาย ผีร้ายพวกนี้คงตายโหง หรือตายก่อนกำหนด หิวโหย เมื่อเจอคนเจ็บก็จะซ้ำเติมกินตับไต เพราะความหิวโหย เพราะคนเจ็บกำลังของจิตจะไม่แข็งแรง บางคนโดนผีปอบกิน ก็คงเป็นลักษณะของนายบุญมีนี่เอง


หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 21, 2014, 05:18:44 pm
เหรียญกลมฝาบาตร

เหรียญกลมเนื้อฝาบาตร ก็คือเหรียญรุ่น ๑ เนื้อฝาบาตรก็คือเนื้อทองเหลือง คือบางคนเรียกเหรียญรุ่น ๑ ว่าเหรียญกลมฝาบาตร เหรียญรุ่นนี้ด้านหลังบรรจุยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้าเป็นยันต์ที่หลวงพ่อเรียนสำเร็จก่อนยันต์อื่นทั้งหมด ยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้าด้านหลังเหรียญนี้ หลวงพ่อได้ใส่ไว้เต็มหลังเหรียญเต็มเปรี๊ยะเลย จะมีองค์พระด้านใน ๔ องค์ ล้อมรอบด้วยองค์พระแบบบัวคว่ำบัวหงายล้อมอยู่อีกแถวละ ๑๖ องค์ รวม ๒ แถว เป็น ๓๒ องค์ รวมด้านในอีก ๔ เป็น ๓๖ องค์ ด้านนอกสุดล้อมรอบด้วยหัวใจอิติปิโส ๓ รอบ ๗ รอบ ๘ รอบ ๖ รอบฯ เต็มไปหมด แสดงถึงการวางยันต์ที่ลึกซึ้งสลับซับซ้อน ตลอดถึงการปลุกเสกที่ต้องปลุกเสกยากลำบากมาก เหรียญรุ่นหนึ่งนี้ ดีทางคุ้มครองสูงมาก ผมผู้เขียนเองกล้ายืนยันว่าพุทธคุณของเหรียญรุ่น ๑ ของหลวงพ่อไม่เป็นรองเหรียญใคร ไม่ว่าเหรียญหลวงพ่อองค์อื่นจะ พ.ศ.เก่ากว่าขนาดไหนก็ตาม เรียกว่า ถ้ามีเหรียญรุ่น ๑ ของหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ละก็วัดดวงกันได้ แต่เหรียญรุ่น ๑ มีข้อเสียคือ ศิษย์รุ่นเก่า ๆ เอาไปใช้ สมัยก่อนการเลี่ยมพระยังไม่แพร่หลาย เหรียญรุ่นนี้โดยมากเกือบทุกเหรียญจมูกสึก ขนาดไม่ได้ใช้ก็จมูกบี้เล็กน้อย เพราะการทับกันของเหรียญ ต่อไปจะขอเล่าอภินิหารเพื่อบันทึกเอาไว้สักเล็กน้อย

นายกรุ่น เป็นคนบ้านหนองแขม หนองแขมนี่อยู่ใกล้ ๆ หนองอีดุก เพื่อน ๆ ชวนกันไปกินเหล้าพอเมาได้ที่เพื่อนชวนไปกินต่อที่ตลาด นายกรุ่นก็ไปพอไปถึงกลางทางใกล้วัดป่าลาน เพื่อนก็หยุดรถมอเตอร์ไซค์ให้นายกรุ่นลง พอนายกรุ่นลงรถ เพื่อนแกชักปืนออกมายิงแก ๑ นัด ไม่ออก ยิงติด ๆ กันเลย นายกรุ่นแกเมาแกนึกว่าเพื่อนล้อเล่น แกก็ต่อว่าเพื่อนว่า   “เฮ้ย มึงล้อเล่นด้วยปืนเลยหรือ”เพื่อนแกก็พูดว่า“ล้อเล่นหรือจริงเดี๋ยวมึงก็รู้” แล้วก็หันปากกระบอกปืนมาทางนายกรุ่นอีก เหนี่ยวไกปืนเสียงดังแช๊ะ นายกรุ่นแกเมาอยู่ พอโดนยิงนัดที่ ๒ ไม่ออก แกหายเมาเป็นปลิดทิ้ง ก็เล่นยิงติด ๆ เลย พอหายเมาเท้าแกก็เร็วเท่าความคิด ใส่เกียร์หมาวิ่งหลบเข้าไปในบ้านคนใกล้ ๆ เลย แล้วไปแจ้งความที่โรงพัก จับเพื่อนที่หลอกตนมาฆ่า คดีนี้ปัจจุบันจบสิ้นไปแล้ว ถ้าท่านมาหนองแขมถามคนชื่อกรุ่นเขารู้จักทุกคน วันนั้นแกคล้องเหรียญสึก ๆ รุ่น ๑ ของหลวงพ่อกวย เพียงเหรียญเดียวแกนับถือของแกมาก นับถือเป็นชีวิตจิตใจเลย

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่ยืนยันว่าเหรียญรุ่น ๑ ของหลวงพ่อยิงไม่ออกคือ ลูกชายคุณครูสมคิด บ้านอยู่หนองแขมเช่นกัน ลูกชายแกทำงานอยู่ห้างเซ็ลทรัล จะสาขาใดไม่ได้ถามให้ละเอียด มีเหรียญรุ่น ๑ คล้องคอติดตัว ๑ เหรียญ วันหนึ่งโดนอันธพาลไล่ยิงหลายนัด ไม่ออกแม้นัดเดียว ปัจจุบันเหรียญรุ่น ๑ นี้ราคาถ้าเทียบกับเหรียญหลวงพ่อองค์อื่น ๆ พ.ศ.เก่าราคายังไม่แพงมาก ถ้านับถือท่านจริงละก็ให้รีบหาไว้ซะ วันหน้าแพงแน่ แพงจรดไม่ลงก็แล้วกัน เมื่อถึงวันนั้นจะว่าผมไม่บอก
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 22, 2014, 08:26:49 am
ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓๗๘
วันที่ ๑๕ เม.ย. – ๒๕ เม.ย.๒๕๓๗
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


 เรียนคุณเฒ่า สุพรรณ
ที่กระผมเขียนจดหมายมานี้เพื่อขอบูชารูปหลวงพ่อเป็นรูปสี ต้นแบบรูปหุ่นขี้ผึ้ง อัดโปสการ์ดจัมโบ้ ๑ ใบ ทั้งนี้ผมได้ช่วยค่าอัดรูปเป็นเงิน ๑๐ บาท
อนึ่งกระผมขอเล่าอภินิหารของหลวงพ่อกวยดังนี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๕ ส.ค.๓๖ กระผมเหลือเงินในกระเป๋าอยู่ ๕๐ บาท พอเดินผ่านแผงขายล็อตเตอรี่ที่สถานีดอนเมืองขณะกำลังจะกลับบ้าน กระผมซื้อ ๑ คู่ราคา ๔๓ บาท พอกลับบ้าน กระผมก็อธิษฐานจิตถึงหลวงพ่อกวยว่าให้ช่วยผมด้วย (ที่หัวนอนของกระผมมีรูปหลวงพ่อเดิมและหลวงพ่อกวยติดอยู่) ว่าขณะนี้ผมแย่แล้วงานบริษัทผมลาออกได้ ๓ อาทิตย์กว่า
นาฬิกาเก่าที่กระผมทำส่งที่ตลาดนัดสวนจตุจักร เจ้าของร้านเขาก็ไม่เอาอีกแล้ว เพราะว่าเขาขายไม่ออก ผมจึงขอให้ท่านช่วยถูกรางวัลด้วยเถิด และแล้วผลออกมาผมถูกรางวัล ๑,๐๐๐ บาท พูดได้คำเดียวว่าถ้าสักการบูชาและมีวัตถุมงคล แล้วสวดมนต์รำลึกถึงท่านพระคุณเจ้าหลวงพ่อกวยแล้วไม่มีวันอดตาย ขอเพียงให้ประกอบสัมมาชีพที่สุจริตเท่านั้น และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ท่านก็จะคุ้มครองผู้นั้นให้ประสบแต่ความโชคดีทั้งหลายทั้งปวง
ด้วยความเคารพอย่างสูง


เรียนคุณเฒ่าที่นับถือ
ผมได้ส่งเงินมาเข้ามูลนิธิหลวงพ่อ ๒๐๐ บาท เพื่อแก้บนที่ผมบนหลวงพ่อไว้ยามเงินขาดมือขอให้หลวงพ่อช่วยด้วยก่อนสิ้นเดือน ตอนนี้หลวงพ่อก็ได้ช่วยให้ได้เงินแล้ว ผมจึงส่งเงินมาทำบุญแก้บน ๒๐๐ บาท จึงเรียนมายังคุณเฒ่า สุพรรณ ทราบ หลวงพ่อกวยนี้เก่งจริงขอเพียงเรานับถือจริง
ด้วยความนับถือ
มาโนชญ์ ศิริประจักษ์


ตอบ เงินมูลนิธิได้รับแล้วครับ ขอบคุณมาก

เฒ่า สุพรรณ


ตะกรุดกันอาวุธและตะกรุดเมตตา
ในสมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ ท่านชอบทำเครื่องรางของขลังมากกว่าอย่างอื่น บางอย่างทำยากมาก เช่น แหวนแขน ท่านพยายามทำ ตะกรุดโทนต้องถักหุ้มเอง หรือบางทีก็ให้ศิษย์ถัก แต่ท่านพยายามทำ ก่อน พ.ศ.๒๕๑๗ ท่านทำพระทุกวัน หลังจากนั้นยังทำตะกรุดอยู่ ผมได้แหวนแขนจากท่าน ๖ วงสุดท้าย ในปีที่ก่อนที่ท่านจะมรณภาพเพียง ๒ ปี มีตะกรุดชนิดหนึ่งที่ท่านชอบทำ แต่ผู้ชายไม่นิยมใช้เพราะดอกเล็กแต่ถ้าเป็นผู้หญิงท่านจะให้ตะกรุดเมตตาไป ตะกรุด ๒ แบบนี้ทำง่าย ม้วนง่ายไม่มีสาย ไม่ต้องถักหุ้ม ตะกรุดดอกเล็กนี้มี ๓ – ๔ แบบคือ

๑.ตะกรุดกันอาวุธ หรือตะกรุดแคล้วคลาด แต่ท่านเขียนไว้ในถุงที่ใส่ว่าตะกรุดกันอาวุธ จะทำมากกว่าเขา

๒.ตะกรุดเมตตา ดอกเล็กเช่นกันแต่อ้วนกว่า ตะกรุดกันอาวุธเล็กน้อย

๓.ตะกรุดสาลิกา ดอกเล็กมาก ทำน้อย

๔.ตะกรุดอะไรผมไม่รู้ คล้าย ๆ จะทำจากกระดูก เล็กขนาดเดียวกัน คือเท่า ๆ หวายหรือหลอดกาแฟ เดิมตัน แล้วใช้สว่านเจาะให้เป็นรูมีจารก็มี ไม่มีจารก็มี แต่โดยมากมีจาร

๕.ตะกรุดหวายลูกนิมิต ตะกรุดชนิดนี้เก่ากว่าเขาทั้งหมด จารอักขระคมชัด ตัวเล็กมาก

เมื่อหลวงพ่อมรณภาพตะกรุด ๒ – ๓ ชนิดได้ตกอยู่กับศิษย์ใกล้ชิดคือตะกรุดกันอาวุธ ตะกรุดเมตตา ตะกรุดหวายลูกนิมิต ผมได้มาบ้างเล็กน้อย วันหนึ่งนายชู สว่างศรี หรือเสือชู ได้มาหาบอกว่าตะกรุดถูกพวกลักตัดเอาไปขายเสียแล้ว คือแกโดนยิงหลายครั้งรอดมาได้ทุกครั้ง คนมีเงินเลยสั่งให้คนมาลักตะกรุดนายชูให้ได้ วันหนึ่งเผลอหลับไป เพื่อน ๆ ลักตัดเอาไปเสียแล้ว เขาจะมาขอตะกรุดโทนจากผมสักดอกผมไม่มีจะให้ มีอยู่ดอกสองดอกแต่เช่ามาแพงมาก ให้ไม่ไหว เลยให้ตะกรุดกันอาวุธดอกเล็กไป ๑ ดอก อยากจะดูผลด้วยเลยให้ไป ประมาณ ๑ เดือนเขามาหา เล่าให้ฟังว่าโดนยิงหงายท้องเข้าป่าอ้อยเลย แต่แปลกไม่เจ็บเลย วิถีชีวิตของเสือนั้นไม่ดี ปัจจุบันเสือชู สว่างศรี ติดคุกอยู่จังหวัดสิงห์บุรี ข้อหาที่ได้รับคือมีกัญชาอยู่ในครอบครอง แต่วันนั้นเขาไม่มี เขาเลิกขายและเลิกสูบแล้ว เขาว่าเป็นโสเภณีวันเดียวก็เป็นตลอดชาติ เป็นแบบนี้เอง ผมรู้สึกสงสารเขามาก (๑๔ ก.ค.๓๖)

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องของตะกรุดเมตตา นางไพรวัลย์ ศรีแก้ว เขาหัดทำไส้กรอกขาย เป็นลูกน้องภรรยาของผมเอง ตอนขายใหม่ ๆ ก็ขายไม่ได้ ขายกลางวันตกเย็นจึงจะหมด ภรรยาผมสงสารเลยให้ตะกรุดเมตตาไป ๑ ดอก ขาย ๒ ชั่วโมงก็หมดเกลี้ยง ซื้อคนละ ๑๐ ๒๐ ๓๐ บาท ภรรยาผมเลยบอกให้ขายปลาเห็ดด้วยปรากฏว่าขายดีอีกเช่นกัน คือดีผิดปกติ แสดงว่าตะกรุดชุดเล็กนี้ดี ผมเคยคลี่ดู ๑ ดอก ลายมือท่านจารสวยคมและลึก แสดงถึงความตั้งใจทำอย่างสูง
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 22, 2014, 08:27:50 am
สวัสดีครับอาจารย์สมจิตรที่เคารพและนับถือ

ผมหวังว่าอาจารย์คงจะจำผมได้นะครับ นานทีเดียวที่ไม่ได้ส่งข่าวถึงอาจารย์เลย ผมหวังว่าอาจารย์คงจะสบายดีนะครับ ผมยังติดตามนิตยสารนะโมตลอด

ผมอยู่ทางนี้กิจการมวยไทยก็เจริญดี ลูกศิษย์ไปชกที่ไหนต้องแขวนหลวงพ่อกวย และพระสมเด็จร่มโพธิ์ฯ ไปทุกครั้ง ทุกคนพวกนี้กำลังใจมหาศาลทีเดียวถึงเขาจะเป็นฝรั่งแต่เขาก็นับถือเป็นชีวิตจิตใจ ชกชนะทุกครั้ง-ทุกคน นี่ก็เพราะบารมีของหลวงพ่อกวยแน่นอน สมกับที่อาจารย์เคยพูดว่าหลวงพ่อกวยรักลูกศิษย์มาก ไม่ว่าชาติไหนคนดี-คนชั่ว-โง่-ฉลาด-สัตว์ต่าง ๆ ท่านมีน้ำใจให้หมดนึกถึงท่านตอนนี้แล้วน้ำตามันซึมทุกที ตัวผมเองกราบท่านทุกวันทุกคืน มีโอกาสข้างหน้าผมต้องมาหาอาจารย์ให้ได้และและมากราบหลวงพ่อกวยที่วัดด้วย คราวที่แล้วเข้าทางผิดเลยไม่ได้พบอาจารย์

สุดท้ายนี้ผมขอให้พระคุณของหลวงพ่อกวย จงคุ้มครองอาจารย์และครอบครัวให้มีความสุขมาก ๆ นะครับ

ด้วยความนับถือเสมอมา

สมนึก ไทรแก้วเรือง

ตอบตอบคุณสมนึก คุณอยู่ทางโน้นไปเผยแพร่มวยไทยก็ดี ผมเป็นคนไทย ผมภูมิใจในชาติ ๕ อย่างคือ มวยไทย ดาบคู่ไทย ศาสนาพุทธ องค์ประมุขของไทย และผู้หญิงไทย (สวยและปากเก่ง) ๕ อย่างนี้ ไม่มีประเทศไหนในโลกสู้เราได้เลย ผมให้คาถาจับไม่อยู่กับตีศอกไม่แตก เป็นคาถาของหลวงพ่อ ขอให้ถือให้มั่น

โชคดีครับ

เฒ่า สุพรรณ



คำปกาศิต
หลวงพ่อเป็นพระที่มีวาจาสิทธิ์ จะเป็นด้วยอาคมหรือวิชาที่ท่านเรียนมาก็ไม่รู้ คำพูดของท่านเด็ดขาดและรุนแรง แม้เป็นเพียงเสียงบ่นในลำคอก็เด็ดขาด ถ้าท่านเรียกเด็กวัด เด็กวัดมัวเล่นกันไม่ได้ยิน ท่านจะพูดว่า “ไอ้หูแตก” พูดเท่านี้เด็กวัดดิ้นเลย ต้องรีบไปหาท่านแล้วท่านจะทำน้ำมนต์หยอดหูให้ เคยมีตำรวจมาจับเณรในวัดท่าน จ่าคนนั้นก็เป็นศิษย์ท่านแต่ไม่เกรงใจท่าน เข้าไปขับจับด้านหลังกุฏิ ไม่ขึ้นด้านหน้า พระได้มาบอกกับท่านว่าจ่ามาจับเณรในวัด พอท่านรู้ว่าชื่ออะไร ท่านพูดว่า “ไอ้สันขาดเอ๊ย ไม่เกรงใจกูเลย” พอพูดเท่านั้นปืนยางที่จ่าสะพายอยู่ถึงกับหลุดลงพื้นปวดมาก เหมือนไหล่หัก ต้องมาขอขมาท่านและบวชให้ท่าน ๑ พรรษา แม้สุนัขของท่านตัวไหนเวลาแขกมาพูดไม่รู้เรื่อง เวลาแขกกลับท่านจะตักเตือนท่านเอามือตบกัน ดังแป๊ะๆๆ สุนัขท่านตัวที่ดื้อถึงกับดิ้นทุรนทุราย เข็ดไม่ดื้ออีกเลย ไม่รู้ท่านทำอย่างไรแต่ผมก็ทำได้ แต่ต้องตบจริง ๆ และใช้แค่มือเดียวเท่านั้นแหละ เคยทำกับคนมาบ้างแล้วได้ผลเหมือนกัน

เรื่องที่จะเล่าให้ฟังนี้เป็นเรื่องหมิ่นเหม่ต่อหลวงพ่อ เกรงว่าจะถ่ายทอดเป็นคำพูดออกมาได้ไม่ดีพอ ทำให้มองหลวงพ่อในแง่ไม่ดี ถ้าอย่างไรขอให้พิจารณา และให้ความยุติธรรมต่อท่านด้วย เรื่องนี้ชื่อและสถานที่จริงทั้งหมดในปี พ.ศ.๒๕๑๔ นายจำเนียร แก้วโคราช เป็นคนพเนจร ได้มาอาศัยที่อยู่ของนายเฉือน ปั้นสน บ้านอยู่หนองแขม ที่ในสมัยนั้นก็ยังไม่แพงมากนัก ยังเป็นป่าเป็นดง บางแห่งมีแต่ใบจับจอง เมื่อนายจำเนียร แก้วโคราช มาอาศัยอยู่กับนายเฉือน นายเฉือนเกิดสงสารเลยแบ่งที่ให้อาศัยอยู่เฉย ๆ ๑ ไร่ ไม่ได้ยกให้จริง ๆ แต่ให้อยู่เฉย ๆ อยู่ต่อมานายจำเนียรได้ไปกู้เงินเขาที่ตลาดท่าช้าง อ.เดิมบางนางบวช และได้บอกนายฉาบเจ้าของเงินว่า ตนเองมีที่ดิน ๑ ไร่ จะไปวัดเอาโฉนดเพื่อยึดไว้ก็ได้ นายฉาบมีหลานสาว ๔ คนเป็นพนักงานที่ดิน เป็นคนมีเงิน ได้เอาผู้ใหญ่บ้านมาเป็นสักขีพยาน ผู้ใหญ่บ้านก็เชื่อเขา คิดว่านายฉาบและนายจำเนียรคงจะไม่โกง ผู้ใหญ่บ้านได้บอกให้นายเซ็นชื่อออกโฉนดให้เขาไปเถิดเขากำลังเดือดร้อน และนายฉาบจะได้สบายใจ

วันเดือนเคลื่อนคล้อย นายจำเนียรเมื่อได้เงินมาก็เอาไปใช้อย่างสบาย ไม่เคยคิดที่จะไปไถ่ที่คืนมาให้นายเฉือนเลย อยู่ต่อมานานเข้า นายฉาบก็จะมายึดที่ดิน นายเฉือนก็ร้อนใจ ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร นึกถึงหลวงพ่อกวยได้ ก็เดินแน่วตัดทุ่งมาเล่าเรื่องให้หลวงพ่อฟัง บอกท่านว่าทั้งต้นและดอก นายฉาบคิด ๖,๐๐๐ บาท เงินสมัยก่อนนั้นมีค่ามาก หลวงพ่อเมื่อฟังเรื่องแล้ว ท่านได้แต่พูดว่าเสียท่าเขาเสียแล้ว ท่านช่วยไม่ได้ถ้าอยากจะได้ที่ดินคืน ก็ต้องไปไถ่เอา แล้วท่านก็บ่นพึมพำพอได้ยินว่า “มันทำกันอย่างนี้นี่เล่า มันถึงตายเร็วนัก”

ฝ่ายนายเฉือนก็เสียใจต้องหาเงินไปไถ่ที่ตัวเองแท้ ๆ หลวงน้ากวยก็ช่วยอะไรไม่ได้ เสียแรงที่อุตส่าห์มาหา

ด้วยแรงกรรมที่ตามมาทัน หรือหลวงพ่อจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ไม่แน่ชัด อยู่ต่อมาไม่นานนายฉาบป่วยไปตายที่โรงพยาบาล นางฉาผู้เป็นภรรยาเสียใจมาก ได้ป่วยตายตามไปอีกหนึ่งคน หลานสาวคนที่มารังวัดที่ดิน ทำงานที่ดินถูกรถชนตายในเวลาต่อมา นายจำเนียรคนต้นเหตุเมื่อได้เงินก็ไปซื้อเหล้ากินขัดคอกับเพื่อนโดนยิงตายที่หนองแขมสถานที่เกิดเหตุ

เรื่องของกรรมนี้ค่อนข้างรุนแรง บางครั้งและบางเรื่องฟังแล้วน่าตกใจมาก นายเฉือน ปั้นสน นี้มีศักดิ์เป็นหลานหลวงพ่อ หลังเกิดเหตุเขาเคารพหลวงพ่อมาก ถ้าหลวงพ่อเป็นพันธุ์ไม้ นายเฉือนก็คือหน่อหนึ่งของหลวงพ่อ หลวงพ่อเมตตาให้คาถาขอดชายผ้า เขาเคยขอดถ้าเดิมพันยิงไม่ออกมาแล้ว แต่เขาไม่ทำให้ใครดูง่าย ๆ และได้ไปเพียงคนเดียว
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 27, 2014, 11:56:03 am
ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓๗๙
วันที่ ๒๕ เม.ย. – ๕ พ.ค.๒๕๓๗
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา




จดหมายจากคุณไข่ สุขสวัสดิ์
ร้านอาหารปักษ์ใต้ อ.กันทรลักษ์ จ.ศีรสะเกษ
๙ ตุลาคม ๒๕๓๖

สวัสดีครับ คุณเฒ่า

ผมขอแนะนำตัวก่อน ผมเป็นคนปักษ์ใต้ รับราชการครูและเปิดร้านอาหารขายข้าวแกง อยู่ที่กันทรลักษ์ ติดตามอ่านเรื่องหลวงพ่อกวยมาตลอด ชอบการเขียนและศรัทธาในหลวงพ่อ จากนิดๆ จนเต็มที่ แต่เกิดจากประสบการณ์ที่มีประกอบด้วย จึงขอนำเอาบารมีที่ได้พบเป็นการประกาศเกียรติคุณหลวงพ่อ

ความจริงก็มีพระเครื่องมากอยู่ แต่ชอบจริง ๆ ที่จะนำภาพของหลวงพ่อ (ที่ทำแจกโดยคุณกวางฝา โลหะ หาดใหญ่) ติดตัวเสมอ อ้อ วันที่ได้รับรูปหลวงพ่อจากคุณเป็นวันที่ สปช.สุรินทร์ เรียกบรรจุครูพร้อมกันเลย

ถึงจะมีหลวงพ่อองค์อื่น แต่หลวงพ่อกวยขาดไม่ได้ ขอบโผงผาง ตรง เมื่อเด็กที่บ้าน (รับจ้าง) จะกลับบ้านเขา ทำให้ผมต้องบอกหลวงพ่อ ถ้าไม่มีคนช่วยทำงานผมยุ่งแน่ ขอให้หลวงพ่อให้เขาอยู่ไปก่อน จนกว่าจะหาคนมาแทน แต่ผมไม่ได้ขอร้องอะไรเขาน่ะ เพราะเราก็จ้างแพงกว่าเขาหมด อยู่กินเหมือนกัน เอาใจยิ่งกว่าลูกเสียอีก ชักโมโห บอกกับแฟนว่าออกก็ออก แต่แอบบอกหลวงพ่อดังว่า รุ่งอีกวันกลับจากโรงเรียน แฟนบอกว่าเด็กเขาไม่ออกแล้ว เขาจะอยู่ตลอด จนกว่าฤดูเกี่ยวเก็บจะมาถึง ผมยิ้ม ๆ ไม่ได้บอกอะไรแก่แฟน แต่มั่นใจอยู่แล้วตั้งแต่บอกท่าน

เอาเป็นว่า พอก่อน คนอ่านก็อ่านเยอะไป คนเขียนก็ได้ทำ ได้เขียนทั้ง ๆ ที่ท่องว่า จะ...มาตั้งแต่เดือน พ.ค.โน่น “เคารพหลวงพ่อกวยและชื่อยังเป็นตัวกอเหมือนพ่อเก็บ คุณพ่อเก็บหลวงพ่อกวย คือความอวยชัย ขอบคุณคุณเฒ่ามากครับที่อ่านมาจนจบ มีโอกาสไปเที่ยวเขาพระวิหารขอเชิญแวะทานอาหารที่ร้านครับ

นับถือ

ไข่ สุขสวัสดิ์
หมายเหตุ ที่วัดหลวงพ่อยังมีวัตถุมงคลหลวงพ่อตกค้างบ้างหรือเปล่าครับ




ปลากัดหลวงพ่อ
หลวงพ่อเป็นพระที่มีอาคมแก่กล้า แต่ท่านจะไม่แสดงให้ใครดูง่าย ๆ คือไม่อวดตัว วางเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาว คล้ายหลวงพ่อหลวงปู่ยุคก่อนเพียงแต่ประยุกต์ให้เข้ากับเหตุการณ์ ท่านมีอาคมแก่กล้าขนาดเสกเมล็ดผลไม้ สะเก็ดไม้ ใบไม้ เสกให้ปืนยิงไม่ออกได้ ท่านสามารถกะลาเป็นเต่าได้ เสกก้านกล้วยเป็นงูเขียวได้ เสกรัดประคดเป็นงูได้ ฯลฯ

เรื่องปลากัดก็เช่นกัน ในสระท่านเคยมีปลาหลายชนิด ปลากัดก็มี วันหนึ่งนายฟ้อน จั่นหนู ได้เสียพนันปลากัดเดินผ่านหน้าวัดมาได้นอนพักเหนื่อยใต้ถุนศาลา พอดีเจอท่านพอดี เล่าให้หลวงพ่อฟังว่าแพ้ปลากัดเขามาหมดตัว หลวงพ่อก็คนเมืองสรรค์ คนเมืองนี้ อดีตชอบตีไก่ กัดปลาเป็นที่สุด หลวงพ่อได้พูดว่า “มึงเอาปลากัดในสระของกูไปกัดกับเขาดูมั่งสิ ปลากูเก่งเหมือนกันนา” นายฟ้อนก็ไม่แน่ใจ ได้พูดว่าปลากัดหลวงพ่อมันปลากัดลูกทุ่ง จะไปสู้ปลากัดลูกหม้อได้อย่างไร หลวงพ่อพูดว่า ปลากูมันหนังดี ภายหลังนายฟ้อนได้มาช้อนปลากัดในสระของหลวงพ่อ เอาไปกัดกับเขา ปรากฏว่าปลากัดท่านหนังดี กัดไม่เข้าจริง ๆ ก็ชนะทุกครั้งไป ความลับไม่มีในโลก จะช้าจะเร็วเท่านั้น อยู่มาไม่นาน คนรู้กันทั่วได้มาช้อนปลากัดท่าน จนน้ำขุ่นใช้ไม่ได้ยังไม่พอ วันหนึ่งฤดูแล้ง น้ำแห้งขอดสระ ท่านบอกให้ชาวบ้านและพวกเลี้ยงปลากัดมาตักน้ำในบ่อใส่สระ เดี๋ยวปลาจะตายเสียหมด แต่แทบจะไม่มีใครมาเลย ท่านเลยพูดว่า “ต่อไปนี้ ใครมาเอาปลากูไปกัดปลากัดกูไม่กัดกับปลาใครอีกเลย” ผลคือปลากัดของท่านเมื่อเอาไปกัดกับปลาใครไม่ยอมกัดเฉย ๆ เหตุการณ์นี้ตก ๓๐ กว่าปี เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่

วันหนึ่งอาจารย์ปลูก เจ้าอาวาสวัดห้วยเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี เขตติดต่อกัน เคารพในตัวหลวงพ่อมากได้มาเยี่ยมเยียนหลวงพ่อกับพระโสภณ ได้คุยกันไปคุยกันมา อาจารย์ปลูกได้พูดถึงเรื่องปลากัดขึ้นมา ท่านพูดว่าปลากัดนี่มันกัดกันอย่างไร คนถึงชอบไปดูไปเล่นการพนันกันมากนัก ได้พูดคุยกันอยู่หลายคำ หลวงพ่อได้ถามอาจารย์ปลูกว่าท่านไม่เคยเห็นปลากัดกัดกันหรอกหรือ อาจารย์ปลูกตอบว่าไม่เคยเลย สมัยเป็นหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ หลวงพ่อได้พูดว่า  ฉันก็เลี้ยงปลากัดไว้บ้างเหมือนกัน เดี๋ยวจะเอากัดกันให้ดู อาจารย์ปลูกกับพระโสภณถึงกับนิ่งอึ้ง คิดในใจว่าหลวงพ่อกวยเลี้ยงปลากัด แล้วท่านหยิบบาตรพระส่งให้พระโสภณไปตักน้ำมาสักค่อนบาตร แล้วท่านเข้าไปในกุฏิ เข้าใจว่าคัดเลือกปลากัดมากัดกัน อาจารย์ปลูกคิดในใจมันละวะคราวนี้ ดูปลากัดกัดกันสักที พอท่านเดินออกมา ท่านถือกรรไกรกับซองธูปสีแดงซองละ ๑ บาท สมัยก่อนมา ๑ ซอง ท่านตัดซองธูปซึ่งซ้อนกันอยู่ ท่านตัดเป็นรูปปลากัด คือตัดทีเดียวจะได้ปลากระดาษ ๒ ตัว แล้วท่านเอาปลากระดาษมาใส่มือพนม หลับตา พอท่านลืมตา ท่านหันหลังเอาปลากระดาษ ๒ ตัวใส่ในบาตรน้ำ ปรากฎว่าเป็นปลากัด ๒ ตัวกัดกัน กัดกันจริง ๆ กัดขนาดน้ำในบาตรกระเด็น อาจารย์ปลูกกับพระโสภณรู้สึกอัศจรรย์ใจ ตกใจ มองหน้ากันแล้วมองปลา แล้วมองหลวงพ่อ สักพักใหญ่ พอพระอาจารย์ปลูกหายตกใจ ท่านก็ว่าคาถาเป่าลงในบาตรปลากัดกลับเป็นปลากระดาษซองธูปเหมือนเดิม

อยู่ต่อมาไม่นาน พระโสภณได้มากราบหลวงพ่ออีก ตอนนั้นเริ่มเย็นแล้ว เข้าใจว่าเมื่อกราบหลวงพ่อเสร็จจะไปวัดห้วยเจริญสุข ตอนนั้นหลวงพ่อท่านนั่งอยู่ด้านหลังวิหารพระพุทธเจ้า แต่หันหลังให้วิหาร ท่านมักจะมานั่งเล่นหรือพักผ่อนที่หลังวิหาร ในตอนเย็นที่ว่างจากแขก พอดีพระโสภณมากราบ พระโสภณเล่าว่าคนที่วัดหอระฆังโดนต่อต่อยปางตาย บางคนผมหงอกเลย เป็นต่อหัวเสือ บางคนหนีลงน้ำเอากระป๋องครอบหัว ต่อยังตามไปต่อย ความแรงที่ต่อยดังป๊องๆๆๆๆๆ เลย หลวงพ่อก็พูดว่า ต่อมันตัวใหญ่มันดุอย่าไปยุ่งกับมัน พระโสภณได้ถามว่าใหญ่แค่ไหน ผมไม่เคยเห็นสักที พระโสภณได้พูดคุยเรื่องต่อ เป็นเวลานานเพราะตื่นเต้น หลวงพ่อได้ถามว่าท่านอยากจะเห็นต่อมากนักหรือ พระโสภณตอบว่าอยากเห็น หลวงพ่อได้ลุกขึ้นไปรูดใบแจง(ใบแจงนี้สีเขียวสด ใหญ่และยาวขนาดนิ้วก้อยได้ เป็นยา ชอบขึ้นตามที่เด่นที่ดอนเชิงเขา ที่วัดหลวงพ่อยังมีหลายต้น) ท่านรูดใบแจงเอามากำมือหนึ่งได้ แล้วท่านหันหลังหลับตาว่าคาถา เข้าไปในรูกำมือ แล้วท่านโยนขึ้นไปบนอากาศทางด้านหลังท่านอัศจรรย์เกิดเป็นตัวต่อ ๑๐ กว่าตัวบินรอบพระโสภณเต็มไปหมด พระโสภณตกใจ ไม่กล้าหยุกหยิก มองดูหลวงพ่อท่านหันหลังอยู่ ท่านหัวร่อ หึ หึ สักพักท่านพอท่านหันหน้ามา ท่านเพ่งไปที่ตัวต่อตัวต่อตกถึงพื้นกลายเป็นใบแจงดังเดิม พระโสภณพูดว่าหลวงพ่อกวยนี้อาคมแก่กล้าจริง ๆ ทำได้ทุกอย่าง ปัจจุบันนี้พระโสภณได้ลาสิกขาบทแล้ว บ้านอยู่ใกล้ ๆ วัดหอระฆัง ต.บางขุด อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท ส่วนอาจารย์ปลูกเข้าใจว่ามรณภาพไปแล้ว

ปล.ครั้งก่อนเคยลงเรื่องนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ทาง บก.ทำต้นฉบับหายไปครึ่งตอน

จดหมายคุณสาโรจน์
๑๖ ตุลาคม ๒๕๓๕
นมัสการพระอาจารย์สำรวย
ขอกราบเรียนกระผมสาโรจน์ วิริยะชาติ ขอบริจาคเงินทำบุญให้กับหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร เป็นเงิน ๒๐๐ บาท เนื่องด้วย ๑๖ ก.ย.ที่ผ่านมา

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 29, 2014, 07:55:17 pm
ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๓๘๕
วันที่ ๒๕ มิ.ย. – ๕ มิ.ย.๒๕๓๗
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา




๓.๓๐ ผ้ายันต์ปลุกให้ตื่น หลวงพ่อสามารถทำผ้ายันต์ชนิดแปลก ๆ ได้ เช่น ผ้ายันต์ปลุกให้ตื่นเวลามีขโมย ผ้ายันต์เสริมดวงชะตา ท่านเคยลงยันต์เสริมดวงชะตาให้ศิษย์ท่านจากสิบโท เป็น พ.ต.ท.ได้ ปัจจุบันเป็น ส.ว.ส. พ.ต.ท.ละออง  สุขนิล  สภ.อ.สรรคบุรี (๑๓ ม.ค.๓๗) นอกจากนั้นหลวงพ่อยังสามารถทำของวิเศษได้แทบทุกชนิด แต่ไม่อาจแจกจ่ายให้ศิษย์ได้ทั่วไปเพราะถ้านำไปใช้ในทางที่ไม่ดีจะทำให้เลวร้ายมาก ยากต่อการจับกุมของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง อีกอย่างหนึ่งของวิเศษนี้เป็นบุญเฉพาะบุคคลด้วย เช่น มีดหมอเสือสมิง ตะกรุดแม่ทัพ ปลัดแม่ม่าย ผ้ายันต์สาวหลง ผ้ายันต์พระพุทธเจ้าชนะมาร ผ้ายันต์หายตัว มีดหมอหนุมานเผากรุงลงกา เป็นมีด ๒ เล่มอยู่ในฝักเดียวกัน ทั้งผ้ายันต์พระพุทธเจ้าปราบมาร มีดหมอหนุมานเผากรุงลงกา ผ้ายันต์หายตัว คุณศิริชัยได้เอาไว้
 
แม้พระที่ทำเนื้อเดียวกับปรกโพธิ์ พระปรกโพธิ์ ท่านก็ไม่จำหน่าย ท่านคอยผู้มีบุญ ผู้เดือดร้อน จนกระทั่งท่านพิจารณาว่าในยุคของท่านผู้เป็นเจ้าของไม่มา ท่านก็แอบบรรจุกรุเอาไว้


๔. ประเภทพระเนื้อผง หลวงพ่อสร้างพระเนื้อผงในบั้นปลายของชีวิต ก่อน พ.ศ.๒๕๐๐ ถึง พ.ศ.๒๕๑๗ – ๒๕๑๘ มีอานุภาพสูงมาก มีส่วนผสมของผงสมเด็จโต วัดระฆังโฆสิตาราม จะเป็นด้วยเหตุนี้หรืออย่างไรไม่แน่ชัด ทำให้ท่านเปลี่ยนชื่อวัดท่านจากวัดบ้านแคเป็นวัดโฆสิตาราม ท่านจะทำเองกับมือแทบทุกรุ่น นอกจากท่านจะทำให้วัดนั้นนำไปจำหน่าย ท่านจึงให้มาช่วยท่านทำโดยท่านไม่คิดอะไรเลย ท่านสามารถลบผง ทำผงเองได้ ส่วนผสมของผงที่ท่านจะนำไปป่นทำแท่งดินสอทำผง เช่น แป้งสาวพรหมจารี ขนนกการะเวก ไม้คันทรงตีระฆัง เมล็ดมะกล่ำขาว ดอกกาหลง เมล็ดราชพฤกษ์ แร่อุกาบาตร แร่ข้าวตอกพระร่วง เกศาของท่าน เกศาครูบาอาจารย์ เกศาผู้มีบุญญาธิการสูง ผงวิเศษของครูบาอาจารย์ การทำท่านจะทำทีละองค์ใช้แม่พิมพ์มือบีบเอาแบบแม่พิมพ์ขนม หรือถอดพิมพ์เอาทีละองค์ พระอาจารย์ที่ลบผงได้จะต้องรู้มนต์พระกาฬ มนต์นี้จะแช่งใครไม่ได้เลย แม้ใครพกพาพระท่านอยู่ใครทำไม่ดีต่อศิษย์ท่านจะแพ้ภัยตัวเองมนต์อีกบทหนึ่งที่อาจารย์ที่ลบผงต้องรู้คือมนต์เรียกผีตายโหงให้มาช่วยปลุกเสก พระของท่านบางรุ่นจะผสมผงผีจะขอจัดอันดับความนิยมไว้สัก ๗ อันดับ (จัดจากพุทธคุณที่เป็นที่ยอมรับ ผมจัดเอง หลวงพ่อไม่ได้จัด)

๔.๑ พระแหวกม่านพิมพ์อกใหญ่มารวิชัย เป็นพระที่ท่านบรรจงทำครั้งแรก (ชนิดเนื้อผง) ทำจากผงล้วน ๆ ส่วนผสมอย่างอื่นล้วนเป็น ของเมตตาทั้งสิ้น เช่น ว่านดอกทอง ดอกกาหลง เถาวัลย์หลง ขนนกการะเวก ไม้คันทรงตีระฆัง ฯลฯ ปลุกเสกด้วยมนต์จินดามณีเรียกคน ปลุกเสกด้วยคาถาบารมี ๑๐ ทัศ ปลุกเสกด้วยพระปริตร ปลุกเสกด้วยคาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร ฯลฯ พระแหวกม่านพิมพ์อกใหญ่นี้เป็นของสูงสุดยอดของหลวงพ่อ ดีเลิศในทางเมตตา ค้าขาย การเปลี่ยนแปลงชีวิตที่ดีขึ้น เหมือนออกจากที่มืดมาสู่ที่สว่าง ผมขอจัดให้เป็นอันดับหนึ่ง ในชุดเนื้อผง ผู้มีบุญเท่านั้นที่จะได้พระพิมพ์นี้ไว้ครอบครอง

๔.๒ สมเด็จพระปรกโพธิ์ ๙ ใบ พ.ศ.๒๕๑๓ เป็นพระสมเด็จที่มีขนาดใหญ่กว่าสมเด็จธรรมดาอีกเท่าตัว มีใบโพธิ์ ๙ ใบ ด้านหลังมี พ.ศ.๒๕๑๓ บอกไว้ก็มี ที่ไม่มี พ.ศ. บอกไว้ก็มี ชนิดที่เป็นยันต์จมก็มี ยันต์นูนก็มี ชนิดที่เป็นรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผมอยู่ด้านหลังก็มี สร้างในปี พ.ศ.๒๕๑๓ มีส่วนผสมของเกศาของผู้มีบุญญาธิการสูงผสมอยู่ ท่านไม่เคยนำออกจำหน่าย แต่มอบให้เป็นรายบุคคลไป พระรุ่นนี้ใครมีไว้โดยมากจะร่ำรวยทุกคนถ้าปรารถนา ผู้มีบุญเท่านั้นที่จะได้ไว้ครอบครอง ขอจัดอันดับให้ไว้เป็นอันดับ ๒ เพราะความโตไปหน่อย

๔.๓ สมเด็จหลังรูปรุ่นแรก เป็นพระสมเด็จที่ท่านผสมเนื้อได้หนักและหนักแน่น สวยงาม ท่านผสมทรายเงิน ทรายทอง จากอินเดีย เป็นสมเด็จที่ท่านบรรจงสร้างและปลุกเสก ศิษย์ที่ได้รับไปจะหวงแหนมาก แบ่งออกเป็น ๒ พิมพ์ คือพิมพ์ใหญ่ กับพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่ด้านบนรูปท่านจะไม่มีอักขระ ๔ ตัว คือ ยา นะ อิ ติ พุทธคุณดีทางกำบัง ท่านเคยพูดว่า ปรกโพธิ์อยู่ที่ไหนก็ร่มเย็น ถ้าถามถึงหลังรูปท่านบอกว่า “หลังรูปเก่ง” จัดอันดับให้ไว้เป็นที่ ๓ เพราะเป็นพระบู๊และบุ๋น แต่หายากกว่าแหวกม่านและปรกโพธิ์ ๙ ใบ

๔.๔ สมเด็จพิมพ์ทรงเจดีย์หลังยันต์ เป็นสมเด็จที่มีเงารัศมีขององค์พระเป็นรูปเจดีย์หายากมากเช่นกัน เท่าที่พบในสภาพที่ดี คุณทนายความคเชนทร์ มาสมาน ซอยลาซานมี ๑ องค์ คุณครูที่สร้างเหรียญหลวงพ่อกวยรุ่น ร.ร.วัดเทพรัตน์ มี ๑ องค์ พุทธคุณดีมากทีเดียว ขนาดสามารถแลกกับรูปหล่อขนาดบูชารุ่น ๑ พ.ศ.๒๕๑๘ ได้ถึง ๒ องค์ ด้านหลังมียันต์แบบปรกโพธิ์ ๙ ใบ เนื้อสีน้ำตาล ผมเคยได้มาจากศิษย์ใกล้ชิด เขาเก็บไว้กับขวดน้ำมันงา ตอนหลังขวดน้ำมันงาแตก พระฉ่ำมองดูไม่สวยเลยขอจัดอันดับไว้ที่ ๔

๔.๕ สมเด็จแหวกม่านพิมพ์เม็ดไข่ปลา เป็นพระที่มีรูปแบบคล้ายแหวกม่านทรงนิยมหลังเรียบแต่มีเม็ดไข่ปลารอบ ๆ ตรงกรอบที่สี่เหลี่ยมสร้างติด ๆ กับแหวกม่านพิมพ์นิยม แต่รูปแบบยังสวยสู้เขาไม่ได้ พุทธคุณไม่เป็นรอง เป็นรองแต่รูปทรง มีทั้งพิมพ์สมาธิ และมารวิชัย ขอจัดอันดับไว้เป็นน้องคนหนึ่งของพิมพ์แหวกม่านพิมพ์อกใหญ่

๔.๖ สมเด็จพิมพ์ไกเซอร์หลังยันต์ สมเด็จพิมพ์อกร่องหลังยันต์ สมเด็จพิมพ์เกศทะลุซุ้มของตัวเอง คือมียันต์แบบปรกโพธิ์ด้านหลังเนื้อสวยมาก หลวงพ่อบรรจงทำ พุทธคุณสูงเช่นกัน ขอจัดอันดับไว้อันดับ ๕ ทั้ง ๓ พิมพ์ทรง

๔.๗ สมเด็จพระปรกโพธิ์ ๙ ใบ รุ่น ๑ รุ่น ๒ รุ่น ๓ ก่อนที่หลวงพ่อจะสร้างสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ รุ่นนิยม พ.ศ.๒๕๑๓ หลวงพ่อเคยสร้างพระปรกโพธิ์มาก่อนแล้ว ๓ รุ่น แต่การแกะแม่พิมพ์ไม่เป็นที่ถูกใจของท่าน แต่ท่านก็บรรจงทำ และผู้นำไปใช้ก็ได้ผล คล้ายคลึงกับพระปรกโพธิ์ ๙ ใบ พิมพ์นิยม

หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 29, 2014, 07:56:33 pm
ปรกโพธิ์ ๙ ใบ รุ่น ๑ มีขนาดเล็กกว่าปรกโพธิ์นิยมนิดหน่อย ท่านพูดว่าผสมอัฐิครูบาอาจารย์ของท่าน ด้านหลังมีอักขระ อ่านได้ว่า พุทธะสังมิ เคยพบที่คุณพิเชษฐ์ น้อยเจริญ ปรกโพธิ์ ๙ ใบ รุ่น ๒ ด้านหลังจะมียันต์ดวงแก้ว คือ ยันต์องค์พระ แกะพิมพ์เกือบสวย ปรกโพธิ์ ๙ ใบ รุ่น ๓ ด้านหน้าแกะพิมพ์สวยเท่ารุ่นนิยม แต่ด้านหลังเป็นรูปพระพุทธชินราช องค์ไม่โต แต่นูนออกมา ขอจัดอันดับไว้อันดับ ๖ นอกจากนั้นหลวงพ่อยังทำชนิดบูชาโตขนาดฝ่ามือไว้ด้วย ด้านหนึ่งเป็นปรกโพธิ์ อีกด้านหนึ่งเป็นพระพุทธชินราช และเคยทำแยกเป็น ๒ องค์ก็มี คือ ปรกโพธิ์หลังเรียบ กับชินราชหลังเรียบ


๔.๘ พระที่สร้างพร้อมกับปรกโพธิ์ ๙ ใบพิมพ์นิยม ในการสร้างพระปรกโพธิ์ ๙ ใบ พิมพ์นิยม หลวงพ่อได้ได้นำแม่พิมพ์พระพิมพ์อื่น ๆ มากดพิมพ์ด้วย เท่าที่ผมมีดังนี้ หลังรูปพิมพ์เล็ก สมเด็จหูบายศรีหลังมะอะอุ พิมพ์พระรอด แหวกม่านพิมพ์ใหญ่ พิมพ์นางกวักทรงสามเหลี่ยม พิมพ์ปรกโพธิ์เล็ก พิมพ์ประทานพร พิมพ์แหวกม่านทรงเจดีย์หลังเรียบ พิมพ์แหวกม่านพิมพ์ใหญ่ พิมพ์อกใหญ่หลังยันต์แบบปรกโพธิ์ ขอจัดอันดับไว้เป็นน้องคนหนึ่งของปรกโพธิ์ ๙ ใบ รุ่นนิยม ปี ๒๕๑๓ พระรุ่นนี้หลวงพ่อแทบจะไม่แจกใคร

๔.๙ สมเด็จหลังเรียบผสมเกศา ปกติสมเด็จของหลวงพ่อแทบทุกแบบท่านจะใส่แร่ เกศาไว้ด้านในทำทีละองค์แต่มีสมเด็จอยู่ ๒ พิมพ์ คือ พิมพ์ทรงนิยม กับพิมพ์อกร่อง แบบวัดเกศไชโย เนื้อสีหินอ่อน ท่านผสมเกศามากเป็นพิเศษชนิดเห็นได้ชัด เคยเห็นที่คุณกมล เสรยานนท์ มีอยู่ขอจัดอันดับไว้อันดับ ๗

๔.๑๐ พระนางพญาพิมพ์ซุ้มคู่ คือ เป็นพระทรงสามเหลี่ยม เนื้อผงอิทธิเจ ผงล้วน ๆ ด้านริมจะมีเส้นเป็นคู่ ๒ เส้น พระนี้สร้างน้อยหายาก พบที่ คุณศิริชัย ชีรวณิชย์กุล ปากน้ำ ๑ องค์ ขอจัดอันดับเป็นน้องคนหนึ่งของพิมพ์แหวกม่านพิมพ์อกใหญ่

๔.๑๑ พระสมเด็จจินดามณี หลวงพ่อทดลองทำไว้ ๙ องค์ ฝังไว้ที่หน้าอุโบสถเพื่อเรียกคนมาทำบุญ ภายหลังท่านทราบว่าพระเริ่มชำรุดท่านได้ให้ศิษย์ใกล้ชิดขุดขึ้นมา ปรากฏว่าพระชำรุดหมดเลย เหลือองค์เดียวขอจัดอันดับไว้เป็นน้องคนหนึ่งของพิมพ์แหวกม่านอกใหญ่


๔.๑๒ สมเด็จพิมพ์ปรกโพธิ์พิมพ์ต่าง ๆ หลวงพ่อสร้างปรกโพธิ์ไว้อีก ๓ – ๔ พิมพ์ บางพิมพ์ก็มีช่อของใบโพธิ์ ๒ ช่อ บางพิมพ์ก็มีใบโพธิ์เป็นใบเล็ก ๆ บางพิมพ์มีใบโพธิ์ ๒๐ ใบ พิมพ์นี้โตหน่อย และสร้างปรกโพธิ์เล็ก พ.ศ.๒๕๑๕ ด้านหลังมีคาถา กะระสะติ เฉพาะพิมพ์นี้ยังใช้แม่พิมพ์ไปสร้างเนื้อเดียวกับปรกโพธิ์ ๙ ใบ ทั้งหลังเรียบและหลังมีอักขระ

๔.๑๓ ขุนแผนขี่โหงพราย เป็นรูปคล้ายพระแต่ขี่ผีทรง ๕ เหลี่ยม หลวงพ่อบรรจงทำมาก เคยเห็นที่ คุณธรรมนูญ  ชุนประเสริฐ  กาญจนบุรี เฉพาะพระพิมพ์นี้คนรุ่นใหม่ไม่ยอมรับ แต่ผมเชื่อว่าดีมาก ถ้าหลวงพ่อทำเองปลุกเองแบบนี้ชนิดเนื้อดินก็มี ใช้แม่พิมพ์ตัวเดียวกัน

๔.๑๔ พระลีลาถ้ำหีบ เป็นพระถอดพิมพ์จากเนื้อตะกั่วของปลอม คือหน้าไม่เหมือนของจริง แต่ก็สวย พระค่อนข้างโตมี ๒ พิมพ์คือ พิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็กมีคนเคยไปขอพระที่บูชาแล้วรวยจากท่านเป็นคนเดิมบาง ท่านจะลองใจหรืออย่างไรไม่แน่ชัดท่านให้พระพิมพ์นี้มา ๒๐ ปีผ่านไป เขามีรถไถ รถสิบล้อ เคยพบที่ทนายคเชนทร์ มาสมาน

๔.๑๕ พระสีวลี ชนิดเนื้อผง เท่าที่พบจะเป็นพิมพ์ใหญ่ มีทั้งเนื้อผงขาว ดำ และเนื้อดิบ ผงดำ และเนื้อดิน องค์พระสีวลีจะกางร่มด้วยก็แปลกดี คุณศิริชัยมีทั้ง ๒ แบบ

๔.๑๖ พระรอด ชนิดเนื้อผง เท่าที่พบจะเป็นหลังเรียบ สร้างเนื้อเดียวกับสีวลีพิมพ์ใหญ่ผงขาว พระรอดเนื้อปรกโพธิ์ก็มี

๔.๑๗ พระพิมพ์ขุนแผนทรงพล เท่าที่พบเนื้อผงมีทั้งสีขาว ดำ และเนื้อดิน แม่พิมพ์แกะจากหินมีดโกนปัจจุบันแม่พิมพ์ยังอยู่ในห้องวัตถุมงคลของท่าน

๔.๑๘ พระพิมพ์ขุนแผนปลุกกุมาร เป็นรูปองค์พระมีกุมารทองนอนอยู่ พิมพ์นี้คนรุ่นใหม่เขาไม่ค่อยยอมรับ

๔.๑๙ พระพิมพ์ พ.ศ.๒๕๑๕ ในปีเสาร์ ๕ พ.ศ.๒๕๑๕ หลวงพ่อได้สร้างพระโดยใช้ผงให้มากเพื่อที่จะได้พระมากเนื้อที่ผสมทำได้อ่อนตัวพระที่ทำมีดังนี้ พิมพ์หลังมะอะอุ พิมพ์หูบายศรี หลังยันต์แบบปรกโพธิ์ ๙ ใบ พิมพ์ปรกโพธิ์เล็ก พิมพ์สมเด็จหลังรูปสีเหลือง เมื่อถึงวันงานเมื่อนำพระลงไปจำหน่าย ท่านมาดูไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไร แถมเอามือมาลูบหน้า ลูบตา ลูบจมูก พระท่านเสียอีก ท่านเลยสั่งเก็บหมดเลย และไม่ได้นำมาจำหน่ายอีกเลย พระจึงเหลือถึงวันมรณภาพ ส่วนสมเด็จหลังรูปสีเหลือง ท่านแจกแต่เฉพาะทหารที่ไปรบที่ประเทศลาวเท่านั้น

หมายเหตุ ยังมีพิมพ์ประทานพรอีกพิมพ์หนึ่ง
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 30, 2014, 05:39:28 pm
ปีที่ ๑๓ ฉบับที่ ๔๒๕
วันที่ ๕ ส.ค. – ๑๕ พ.ย.๒๕๓๘
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



หลวงพ่อเคน วัดดงเศรษฐี

ต่อไปจะขอกล่าวเล่าถึง อาจารย์ของหลวงพ่ออีกองค์หนึ่งคือ หลวงพ่อเคน วัดดงเศรษฐี ผมเคยพบรูปอัดกระจก ๑ รูป ทีแรกผมเข้าใจผิดคิดว่าท่านอยู่ จังหวัดนครสวรรค์ แต่เมื่อสอบถามหมอเฉลียว เดชมา ศิษย์ใกล้ชิดท่านบอกว่าท่านอยู่จังหวัดอุทัยธานี ผมมาคิดดูคงจะจริง เพราะสมัยก่อนบ้านยังเป็นป่าเป็นดง แม้ในปัจจุบันการเดินทางไปจังหวัดนครสวรรค์เขาจะนิยมไปทางอำเภอวัดสิงห์ (จากสุพรรณ) อำเภอวัดสิงห์อยู่ในจังหวัดชัยนาท แล้วเข้าไปทางจังหวัดอุทัย ไปโผล่ตรงหอนาฬิกาจังหวัดนครสวรรค์พอดี และผมเคยเจอพระผงรูปแบบพระผงว่านเป็นรูปหลวงพ่อเคนที่หลวงพ่อนำมาแจกศิษย์ แต่ผมปากหนักไม่ได้ขอเอาไว้

จึงสรุปได้ว่า หลวงพ่อเคนนี้คงจะมีองค์เดียวที่อยู่วัดดงเศรษฐีจังหวัดอุทัยธานี ตอนนั้นหมอเฉลียวยังเป็นเด็กและได้รับคำบอกเล่าจากหลวงพ่อเพิ่มเติมไว้ดังนี้ ตอนนั้นหลวงพ่อยังหนุ่มต้องการเรียนวิชา ต้องการเรียนวิชาต่อกระดูก และแพทย์แผนโบราณ ตลอดจนวิชาทำทอง ปีนั้นก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ จะเกิด ท่านได้นัดกับพระเพื่อนกันว่า เข้าพรรษาจะได้จำพรรษากับหลวงพ่อเคนและจะขอเรียนวิชาสุดยอดคือวิชาทำทองให้ได้ สภาพวัดบ้านแคตอนนั้น ก็คือบ้านของท่านนั่นเองเป็นที่ดินของยายท่าน มีศาลาทำบุญเล็ก ๆ มีวิหาร มีสระน้ำและอยู่ที่มีท่านอยู่จำพรรษาเพียงองค์เดียว ท่านได้เข้าไปลายายท่าน พ่อ แม่ บอกว่าจะไปจำพรรษาที่วัดดงเศรษฐี  นัดกับเพื่อนพระเอาไว้จะไปเรียนวิชา ยายท่านนั้นก็รักท่านมากเพราะเป็นหลานคนเล็ก และเป็นพระเป็นเนื้อนาบุญ จะได้อาศัยเกาะชายผ้าเหลืองเวลาตาย แต่พระหลานชายจะทิ้งวัดให้วังเวง ทั้งทางที่จะไปก็ไกล ยายไม่อาจตัดสินใจได้ ได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญ ส่วนท่านก็ใจเด็ดพอได้เตรียมอัฐบริขารมี กาน้ำ บาตร กลด และได้ลงจากกุฏิไป ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนเริ่มมืด พอท่านลงจากกุฏิเท่านั้น คุณยายท่านก็ร้องไห้โฮ ท่านร้องไปพูดไป ท่านพูดว่ามีหลานที่รักที่สุดคือคนนี้ หวังจะฝากผีฝากไข้หวังจะได้เห็นชายผ้าเหลือง จะได้เกาะชายผ้าเหลืองเวลาตาย แต่หลานเขาไม่สงสารยายเลย วัดก็จะทิ้งไปให้รกร้าง ส่วนหลวงพ่อเมื่อลงจากกุฏิไปแล้ว ก็ให้นึกสงสารยาย ได้แอบฟังที่วิหารไม่อาจตัดใจไปได้ ท่านยืนแอบฟังอยู่จนดึกตกลงไม่อาจตัดใจไปได้ ท่านเลยขึ้นมาบนกุฏิไม่ไป

ทีนี้จะขอกล่าวถึงปฏิปทาของหลวงพ่อเคน หลวงพ่อเคนองค์นี้อยู่ในดงจังหวัดอุทัยธานี จังหวัดอุทัยสมัยก่อนเป็นเมืองปิดคือมีรถเข้าแต่ไม่มีรถออก ต้องเป็นวันรุ่งขึ้น การคมนาคมสมัยก่อนไม่สะดวกสบายเหมือนสมัยนี้ ขนาดมีเพลงอีแซวร้องออกมาว่า“ไปอุทัย ไม่ต้องอุธรณ์ ค่ำแล้วก็นอนซะที่เมืองอุทัย”หลวงพ่อเคนองค์นี้อยู่ในป่าปลูกแตงโม แตงไท ฟัก แฟง บวบ ทำนา มีม้า มีวัวเป็นฝูง ท่านมีหน้าที่เปิดคอก ปิดคอก หรือปล่อยมันให้เดินเพ่นพ่านในวัด ท่านอยู่ของท่านองค์เดียวเป็นพระหมอยาให้ชาวบ้านอีกด้วย มีวิชารักษาโรคกระดูกหัก สามารถรักษาโรคในสมัยนั้นให้หายได้อย่างอัศจรรย์ แถมเล่นแร่แปรธาตุ ทำทองได้ด้วย

เมื่อพระเพื่อนหลวงพ่อไปหา ได้จำพรรษาอยู่ด้วย บอกว่านัดกับท่านกวยเอาไว้แต่ไม่เห็นมา บังเอิญพระเพื่อนของหลวงพ่อสติปัญญาไม่ดี เขียนอ่านไทย ขอม ก็ไม่ได้ เลยไม่ได้วิชาอะไรไปพอออกพรรษาหลวงพ่อได้เก็บเครื่องบริขาร หนีวัดไปเลยไปเรียนวิชาอยู่กับหลวงพ่อเคน จะกี่พรรษาไม่แน่ชัด แต่เมื่อไปถึงหลวงพ่อเคนได้ตำหนิหลวงพ่ออย่างแรง ว่านัดกับเพื่อนก็ไม่เป็นนัดนัดกับฉันก็ไม่เป็นนัด ผิดศีล หลวงพ่อเสียใจ ไม่แก้ตัว ได้แต่น้ำตาไหล เมื่อเรียนแพทย์แผนโบราณจนหมดสิ้นจะขอเรียนวิชาทำทองท่านไม่สอนให้ ท่านพูดว่า เมื่อทำได้ก็จะมีอันตราย โทษมากกว่าคุณ หลวงพ่อเห็นว่าหลวงพ่อเคนไม่สอนให้แน่หลังสงครามสงบ ท่านได้มาขอเรียนกับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ แต่หลวงพ่อเดิมก็ไม่สอนให้เช่นกัน หลวงพ่อเดิมได้พูดว่าจะเรียนวิชาอะไรจะสอนให้ทุกอย่าง ยกเว้นวิชาทำทองเพราะมีแต่โทษ คุณประโยชน์มีน้อย ภายหลังหลวงพ่อได้พระทำทองบูชามา ๑ องค์ มีแต่คนมาขอดู ขอบูชา ท่านจึงเข้าใจ ท่านเลยเอาไปไว้ที่เดิม
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 30, 2014, 05:40:47 pm
จดหมายนิรนาม

เรียนอาจารย์เฒ่า

ต้องถือเป็นบุญหัวอย่างหามิได้ ที่ผมได้มีโอกาสได้รู้จักหลวงพ่อกวยเพราะ อ.เฒ่า แท้ ๆ และได้ประสบอภินิหารหลายต่อหลายครั้งจากความเมตตาของหลวงพ่อถึงแม้ชีวิตท่านจะหาไม่แล้วก็ตามแต่ดวงวิญญาณท่านยังเป็นห่วงศิษยานุศิษย์ทุกคนที่เคารพท่านอยู่เสมอ ผมจะขอเล่าเรื่องให้ฟังเลยคือ เมื่อใกล้วันหวยออกผมได้จุดธูปอธิษฐานขอโชคลาภจากรูปถ่ายหลังจีวรหลวงพ่อว่าขอให้ผมถูกหวยปรากฎว่าผมถูกหวยจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ตลอดชีวิตของผมที่จำได้ไม่เคยเลยว่าจะถูกล็อตเตอรีของรัฐบาลงวดนี้ผมถูกได้เงินมา ๔,๐๐๐ บาท ผมจึงส่งเงินมาร่วมทำบุญกับหลวงพ่อ ๕๐๐ บาท และของภรรยา ๑๐๐ บาท ก็สุดแท้แต่คุณ อ.เฒ่า จะเห็นสมควร

และที่คุณ อ.เฒ่า บอกว่าทุกปีจะมีการทอดผ้าป่าในวันที่หลวงพ่อมรณภาพคือ ๑๒ เมษายนของทุกปี ถ้าผมต้องการสมทบด้วยคือช่วยหากรรมการจะ ๕๐ หรือ ๑๐๐ คนก็สุดแล้วแต่จะต้องทำอย่างไร ติดต่อกับใคร

ปล.อันนี้เป็นความคิดของผมเพียงคนเดียวแต่อยากจะขอคำแนะนำจาก อ.เฒ่า คือผมอ่านเจอว่าหลวงพ่อเคยทำปลัดขิกจากไม้สากกระเบือแม่ม่ายผัวตายลูกชายโทน ถ้าผมจะเหลาเอาไว้ใช้สำหรับคนในตระกูลสัก ๔ – ๕ ตัว โดยนำเอาไปให้ดวงวิญญาณของหลวงพ่อที่รูปหล่อท่านปลุกเสก ไม่ทราบว่าจะสมควรหรือไม่เพราะผมมีความตั้งใจจะไปกราบท่านเร็ว ๆ นี้

นับถืออย่างสูง


ตอบ

ผมต้องขอโทษคุณอย่างสูงผมทำชื่อที่อยู่ของคุณหายไปซะแล้วเรื่องผ้าป่าสมทบคุณทำได้ก็ดี หาชื่อกรรมการมา ติดต่อกับผมก็ได้ที่วัดก็ได้ ที่ผม เฒ่า สุพรรณ วัดท่าทอง ต.ปากน้ำ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ๗๒๑๐ ส่วนปลัดแม่ม่ายลูกโทนนั้น ต้องขโมยมาถึงจะขลังเอาไปให้ท่านปลุกเสกก็ได้แต่หลวงพ่อจะเชื่อแค่ไหน ทางที่ดีไปหาหลวงพ่อที่เก่ง ๆ ลงให้อีกที เรื่องหรือไม่เชื่อนี้อยู่ที่ใจผมออกรถมาไปกราบท่านที่รูปหล่อ เอาน้ำมนต์ของท่านสาดครั้งเดียวใช้ได้
ฒ.สุพรรณ


   
จดหมายคุณสุเมธ ธนะชัย

เรียนคุณเฒ่า สุพรรณ ที่นับถือ

พร้อมกับจดหมายฉบับนี้ผมได้ส่งเงินมาด้วย ๓๐๐ บาทเพื่อแก้บนหลวงพ่อ ที่ช่วยทำให้ผมขายวัวได้ภายใน ๗ วัน (วันที่ ๗ ของการบนพอดี) และให้ขายได้ราคาดีด้วย ก็ขายได้แล้วตามคำขอ(บน) ไว้กับหลวงพ่อ ตั้งวันที่ ๒๙ เม.ย.๒๕๓๗ แต่ผมพึ่งจะมีเวลามาส่งวันนี้ พอบนกับหลวงพ่อแล้ว ก่อนที่จะขายวัวได้ ภรรยาของผมเขาฝันเห็นรูปหล่อของหลวงพ่อ ผมเลยเอารูปในหนังสือให้เขาดู ภรรยาผมเขาบอกว่าเหมือนในฝันเลย แต่ในฝันองค์จะดำกว่านี้ ผมเลยบอกภรรยาผมว่า รูปหล่อรุ่นนี้สร้างเมื่อปี ๒๕๑๘ นะลองซื้อหวยดูสิ ซื้อ ๕๑๘ แล้วกลับไปกลับมาดู วันที่ขายวัวได้ตรงกับวันที่ ๒๙ เม.ย.๒๕๓๗ คนงานของผมชื่อนายเชียร วงศ์กาศรี ได้พูดขึ้นมาเฉย ๆ ว่า มาดูวัวตั้งหลายคนแล้วเน๊าะแต่ไม่ได้ซื้อเลยสักคน บางคนก็ต่อราคาถูกไป บางคนก็ไม่ยอมต่อราคา คนนี้มาพูดคุยกันไม่กี่คำดูแล้วก็ตกลงซื้อเลย แล้วก็ได้ราคาดีเสียด้วย วันนี้วันที่ ๒๙ สงสัยหวยงวดนี้จะออก ๒๙ ซะละมั้ง พอวันหวยออกจริง ๆ กลับไม่มีใครซื้อเลยไม่มีใครถูก ปรากฏว่าหวยงวดวันที่ ๒ พ.ค.๒๕๓๗ (วันที่ ๑ พ.ค. เป็นวันกรรมกร) ข้างบนออก ๘๑๕ ไปออกตัวกลับ ข้างล่างออก ๒๙ ตรง ๆ เลยครับ ผมเองไม่มีโชคครับ ผมจึงไม่ถูกเพราะไปเล่นเลขเด็ดของคนอื่นหมด ทำให้นึกถึงช่างสมานขึ้นมาเลยจริง ๆ ขนาดหลวงพ่อเขียนเลขให้ยังไม่ซื้ออย่างไรก็ดีขอให้คุณเฒ่ามีพลานามัยสมบูรณ์ดี และเจริญในหน้าที่การงาน

ขอแสดงความนับถือ

สุเมธ  ธนะชัย


จดหมายของคุณวรวัฒน์  ชาติเจริญจันทร์

ถึงคุณเฒ่า สุพรรณ

กระผมได้ติดตามอ่านเรื่องของ “หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม” มาโดยตลอด อ่านครั้งแรก ๆ กระผมยอมรับว่ามันเหมือนการเขียนเชียร์ท่าน แต่บัดนี้กระผมยอมรับความศักดิ์สิทธิ์ของท่านแล้ว เพราะว่า

คืนวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๓๗ กระผมได้ไปงานฉลองการแต่งงานที่บ้านเพื่อน เป็นเพราะผมดื่มมากไปทำให้มอเตอร์ไซค์เลี้ยวลงข้างทางชนกับต้นไม้แต่กระผมได้นึกถึงหลวงพ่อกวยให้ช่วยผมด้วย เพราะผมคงจะไม่รอดแล้ว(ขณะนั้นผมขับประมาณ ๘๐ – ๑๐๐) ขณะที่กระผมคิดอยู่นั้นรถก็ได้ชนต้นไม้อย่างจัง เป็นผลให้ผมสลบทันที กว่าพลเมืองดีจะมาช่วยทันก็นานพอสมควร หมอตรวจร่างกายก็บอกว่าสมบูรณ์ดีทุกอย่าง ยกเว้นปวดที่แขนซ้ายนิดหน่อย แต่คืนนั้นเองผมได้ฝันเห็นหลวงพ่อกวย ท่านมาเป่าที่แขนซ้ายให้ตกใจตื่นขึ้นมาปรากฏว่าแขนหายปวดเป็นปลิดทิ้ง

เคารพและนับถือ

วรวัฒน์  ชาติเจริญจันทร์

ปล.พร้อมกันนี้กระผมได้ส่งเงินจำนวน ๑๐ บาท เพื่อเป็นค่ารูป และกระผมต้องการพระปรกโพธิ์เล็ก พ.ศ.๒๕๑๕ (หลังสะระกะติ) อยากทราบว่าหมดหรือยัง ถ้ายังไม่หมดคุณจะให้ผมเช่าเท่าใดเพราะผมศรัทธาท่านจริง ๆ

เคารพและนับถือ

วรวัฒน์  ชาติเจริญจันทร์

รูปขณะที่อยู่ในโลงนะครับ ที่มีกระดูกดำ

สำหรับพระปรกโพธิ์กะระสะติกรุณาคัดองค์สวย ๆ สมบูรณ์ทั้งหน้าและหลัง


ปรกโพธิ์เล็กกะระสะติ พ.ศ.๒๕๑๕ ศูนย์แดงเหลือไม่ถึง ๑๐ องค์ หมดแล้ว เข้าใจว่าไม่มีอีก หาไม่ได้ ๑,๕๐๐ บาท คิดคุณ ๑,๒๐๐ บาท
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กุมภาพันธ์ 07, 2014, 11:50:34 am
ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๔๕๗
วันที่ ๒๕ มิ.ย. – ๕ ก.ค.๒๕๓๙
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา



จดหมายจากเมืองนคร

จ.นครศรีธรรมราช

อ.เฒ่า ที่เคารพ

ขออนุญาตเรียนถาม ตามที่ผมได้อ่านชีวประวัติหลวงพ่อมานานไม่ทราบว่ายังมีศิษย์หลวงพ่อหลงเหลืออยู่หรือไม่ ที่เรียนวิชาลงยันต์หลังรูปเพื่อการงานเจริญรุ่งเรือง ไม่ต้องถึงชั้นสูงแบบท่าน พ.ต.ท.ละออง หรอกครับเอาแค่ ส.อ. เป็น จ.ส.อ. ก็พอ เพราะกระผมทำงานมาตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ แล้วยังไม่ได้เป็นจ่าซักที ทั้ง ๆ ที่การทำงานนายหลายคนบอกว่าดีตอนเข้าพิจารณากระผมเป็นบุคคลหมายเลข ๑ เลย เพราะอาวุโสและทำงานดี ผลคือพิจารณามา ๔ – ๕ ครั้งแล้ว หล่นทุกครั้งเลย รุ่นน้องจบทีหลังผมมา ๔ – ๕ ปี เป็นจ่าไปหมดแล้ว และอีก ๕ เดือน จะพิจารณาอีก ๔ ตำแหน่ง ครั้งสุดท้าย ผมไม่รู้จะทำอย่างไร ได้พยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นพยายามทำดี แต่การพิจารณาแต่ละครั้งที่ผมสืบมามีหลายคน หาพระสมเด็จไปให้นาย วิ่งเข้าหาคุณนาย เรื่องแบบนี้ผมสู้ไม่ได้ ถ้าวัดเรื่องการทำงานแล้วสู้กันได้ กระผมมีข้อเสียอยู่หลายอย่าง เช่น

๑. เป็นคนพูดตรงไปหน่อย ถ้าถึงขั้นลงมือก็ฟัดกันต่อหน้าเลย

๒. ไม่ชอบทำงานเอาหน้า

๓. ไม่ชอบสุงสิงกับนาย

๔. เป็นคนเงียบขรึมไม่ค่อยจะพูดจากับใคร ทำแต่งานที่สั่งเสร็จแล้วก็ไปให้พ้นหน้า

๕. ผมเป็นคนต่างจังหวัดที่เข้าไปอยู่ในกลุ่มคนใต้ (เจ้านายส่วนมากจะเป็นคนใต้)

และถ้าท่านมีทางที่จะชี้แนะกระผมก็ยินดี และถือว่าเป็นความกรุณาอย่างสูง และถ้ามีโอกาสกระผมคงจะต้องไปพบและเยี่ยมเยียนท่านสักครั้ง

ด้วยความเคารพและนับถือ

ส.อ.เมืองนคร


ตอบตอบ คุณ ส.อ.เมืองนคร ที่คุณถามผมว่าพระคุณเจ้ารูปใดที่เป็นศิษย์ของหลวงพ่อที่ลงยันต์เสริมดวง แล้วหน้าที่การงานจะดี ขอตอบว่าศิษย์ของท่านไม่มีครับ ที่มีก็มือไม่ถึง แต่มีพระคุณเจ้ารูปหนึ่งเป็นศิษย์ร่วมรุ่นบวชปีเดียวกัน ยังจารอักขระเลขยันต์ได้ อาคมพอใช้ได้คือหลวงปู่ปรง วัดธรรมเจดีย์ ให้มาที่วัดของหลวงพ่อ แล้วขับรถต่อไปทางใต้จะเข้าชันสูตร อ.บางระจัน ถ้าจะมาให้รีบมาเพราะอายุท่านมากแล้ว ๙๒ ปี (๒๕๓๙)

ส่วนเรื่องที่คุณไม่ได้เลื่อนขั้นนิสัยคุณข้อ ๑ – ๓ นิสัยเหมือนผมเลย สู้คนอื่นไม่ได้โดยเฉพาะข้อ ๒ ส่วนข้อ ๔ นิสัยเหมือนกับผม คือเป็นคนแล้งน้ำใจ ไม่ใช้ไม่ทำ นิสัยข้อนี้ไม่ดี ผมก็รู้ว่าไม่ดี ข้อ ๕ พระพุทธองค์ท่านสอนไว้การเลือกถิ่นอาศัยที่ดี เหมือนพันธุ์ไม้ แม้จะเป็นพันธุ์ดี แต่ไปขึ้นผิดถิ่น ก็ไม่เจริญงอกงามไม่ออกดอกออกผล

ส่วนเพื่อนคุณเขาก้าวหน้าเพราะเขาหาของฝากให้เจ้านาย เข้าหาคุณนาย คะแนนข้อนี้คุณตกมากเพราะคุณนายนั้นสำคัญมาก ผมจะเปรียบเทียบให้ฟัง ผมเองเคารพหลวงพ่อกวยมาก ถ้าเจอวัตถุมงคลของท่าน ผมจะเช่าจนหมดตัว หมดตัวของผมอย่างมากก็ไม่เกินหมื่น แต่ภรรยาผมเขานับถือ ผมพาไปบูชาเขาเช่ามาทีละ ๓ แสน ๒ แสน เช่าไม่กี่ทีตก ๒ ล้าน อยู่ต่อมาผมรู้ว่าหลวงพ่อปรงท่านเก่ง และเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กับหลวงพ่อ ผมได้แอบเช่าเก็บเอาไว้ แต่เงินผมมีน้อย ผมได้พยายามชักชวนภรรยาให้ไปกราบท่านให้ได้ พอเขาไปกราบเขาศรัทธาขึ้นมา เขาถามกรรมการวัดว่ามีดหมอปากกามีกี่เล่ม เหรียญรุ่นแรกมีเหลือกี่เหรียญ เขาเช่าทีเดียวมีดหมอปากกา ๕๐ กว่าเล่ม ตอนนี้ผมกำลังนอนกอดมีดหมอท่านอยู่

ส่วนเรื่องยศเรื่องตำแหน่งคุณอย่าไปคิดมากเลยนะ มันเป็นของสมมุติ ไม่ช้าเราก็ต้องตายจากมัน ชาตินี้คุณได้เป็นตำรวจก็ดีมากแล้ว เมื่อก่อนผมก็คิดแบบคุณนี่แหละ มีแต่ความทุกข์ มีแต่ความโกรธ ความพยาบาท ความเกลียดชัง เขาเรียกโลกธรรม ๘ มีได้เสื่อมได้ ทำบุญทำกุศลเอาไว้ชาติหน้าดีกว่า หัดอ่านหนังสือธรรมสายอาจารย์มั่น เช่น คุณพ่อชา อาจารย์ขาว หลวงปู่เทศก์ ถ้าคุณได้ธรรมของท่านเพียงเล็กน้อย ยศจ่า ยศนายร้อย นั้นจะไม่มีความหมายเลย ผมติดชั้นเอกมา ๑๐ กว่าปีแล้ว ไม่เคยติดขีดเลย หนังสือธรรมชื่อสันติภูมิ เขียนโดยอาจารย์ชา วัดหนองป่าพง ใครอยากได้ขอมาได้ฟรี โปรดช่วยค่าส่ง ๒๐ – ๓๐ บาทด้วย แต่คนที่สมควรจะอ่านต้องเป็นคนที่ใฝ่ในธรรมมาก่อน จึงจะมีประโยชน์และเข้าใจ แต่มีข้อความหนึ่งที่ผมอยากจะมอบให้กับคนที่เป็นลูกน้องเขา “ทะเลาะกับนายเหมือนก่อไฟเหนือลม พกของมีคมไม่มีฝัก ทิ้งคนรักให้อยู่เดียวดาย นี่คือทางหายนะของบุคคล”
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กุมภาพันธ์ 07, 2014, 11:51:23 am
บอกบุญ

การทำบุญนั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะการทำบุญนั้นเป็นการช่วยเหลือสังคมเป็นการนำกิเลสออกจากใจของเราเป็นการละวาง บุญเท่านั้นที่จะติดตัวเราไปในเวลาที่เราตายไปแล้ว

เดิมหัวเด่นกับบ้านแค ใช้น้ำบ่อเดียวกัน วัดสระเปรียญ เป็นป่าช้าผีดิบ เป็นป่าช้าเก่า คำว่าป่าช้าผีดิบคือ เดิมมีโรคระบาดเกิดขึ้น เผาไม่ทันได้ฝังแล้วอพยพหนีไป หลวงพ่ออยากจะนำวัดหัวเด่นกับวัดบ้านแค(วัดของท่าน)มารวมกัน โดยขยับมาอยู่บริเวณวัดสระเปรียญจะได้ใกล้ถนน แต่คนหัวเด่นในสมัยนั้นยากจนกว่าคนบ้านแค และคนบ้านแคเขาไม่ยอม ประกอบกับที่ดินของหลวงพ่อก็คือที่ดินของวัดบ้านแคนั่นเอง สมัยก่อนคนไม่มากเนื้อที่มีแต่ป่า ใครจะไปอยู่ตรงไหนก็ไปถากถางเอา ในสมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ เจ้าอาวาสวัดหัวเด่น ถ้าผมจำไม่ผิดเป็นตำรวจเก่า ลาออกจากราชการสติสตังค์ไม่ค่อยจะดี ถ้าท่านขออนุญาตหลวงพ่อสร้างวัตถุมงคล เช่น เหรียญเอาไว้สัก ๔ – ๕ หมื่นเหรียญวัดก็จะเจริญกว่านี้มาก ตอนที่หล่อรูปเหมือนเท่าองค์จริง ถ้าเจ้าอาวาสวัดหัวเด่นมาขอหล่อเอาไว้สัก ๑ องค์ท่านก็อนุญาต เพราะในอดีตอาจารย์ของท่านคือ อาจารย์ดำก็เคยเป็นเจ้าอาวาสวัดหัวเด่น มาบัดนี้คนหัวเด่นที่เป็นศิษย์ และโดยมา ๙๙ เปอร์เซ็นต์ให้ความเคารพในองค์หลวงพ่อมากเวลาอยากจะไปกราบรูปหล่อของหลวงพ่อ ก็ต้องแอบ ๆ ไป รู้สึกละอายใจ

ผมและอาจารย์ได้มาปรารภเรื่องนี้กับอาจารย์สมาน ท่านดีใจมาก ภรรยาผมได้พูดว่าการสร้างรูปเคารพของครูบาอาจารย์นี้เป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่ ถ้าไม่มีใครร่วมเป็นเจ้าภาพเขาจะขอเป็นเจ้าภาพเอง แต่ก็อยากจะขออนุญาตบอกบุญมายังศิษย์ของหลวงพ่อก่อน เพราะเมรุก็ยังไม่เสร็จ และในการสร้างรูปหล่อเท่าองค์จริงนี้จะจัดสร้างขนาด ๕ นิ้ว รมดำ ทำให้ดีที่สุดและเหรียญด้วย สำหรับผู้ที่ต้องการช่วยออกทุนก่อนรับวัตถุมงคลทีหลังโดยจองเอาไว้(วัดไม่ค่อยมีทุน) ๑.รูปหล่อบูชาองค์ละ ๕๐๐ บาทให้ช่วยค่าส่ง ๑๐๐ บาท รวม ๖๐๐ บาท ๒. เหรียญ จะสร้างให้ดีที่สุด

สำหรับท่านที่จะช่วยทำบุญสร้างรูปหล่อ เหรียญ รูปหล่อบูชา จะเป็นเงิน ๓,๐๐๐ ๕,๐๐๐ ๗,๐๐๐ บาท ผมยินดีรับไว้จะลงบัญชีไว้และแจ้งให้ทราบด้วยว่าท่านต้องการวัตถุมงคลอะไรบ้าง ส่วนที่ทำบุญ ๑๐,๐๐๐ บาท หรือหลายหมื่นบาท เพื่อสร้างรูปหล่อเท่าองค์จริง จะให้ช่างจารึกชื่อท่านไว้ที่ฐานรูปหล่อ ยกเว้นจะมีเจ้าภาพแจ้งความประสงค์ จะขอสร้างเพียงคนเดียวก่อนท่าน สำหรับรูปหล่อบูชา ๕ นิ้ว ถ้ามีศิษย์แจ้งความจำนงส่งเงินมาช่วย และจองไว้มากก็จะสร้างประมาณ ๑,๐๐๐ องค์ ส่วนเหรียญคงจะสร้างประมาณ ๑๐,๐๐๐  - ๒๐,๐๐๐ เหรียญ สำหรับใครที่คิดว่าวัดหัวเด่นไม่มีสิทธิ์สร้างรูปหล่อบูชาของหลวงพ่อ โปรดโทรไปถามที่สำนักงานทนายความ ส.ส.จองชัย เที่ยงธรรม ดูก่อนนะครับ เดี๋ยวหน้าแตกหมอไม่รับเย็บนะครับ เบอร์โทร ๐๓๕ ๕๖๑ ๑๑๑๒

ปล.ฝากความคิดถึง ถึงคุณแม่กุหลาบด้วยครับ คิดถึงลูกหลานคุณแม่ทุกคน โดยเฉพาะลูกชายของคุณแม่สำหรับรูปหล่อเท่าองค์จริงนี้ องค์หนึ่งคงจะราคาไม่เกิน ๑ แสนบาท ถึงเกินก็ไม่มากเท่าไร

สำหรับท่านที่จะส่งเงินมาช่วยสร้างเหรียญ รูปหล่อบูชา ๕ นิ้ว รูปหล่อใหญ่ หรือสั่งจองรูปหล่อบูชา ๕ นิ้ว ๕๐๐ รวมค่าส่ง ๑๐๐ บาท เพื่อช่วยวัดสำรองจ่ายทำทุนให้ส่งมาที่ผมได้ เฒ่า สุพรรณ วัดท่าทอง ต.ปากน้ำ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ๗๒๑๒๐ ปท.เดิมบางนางบวช ท่านที่ส่งเงินมาช่วยสร้างเป็นเงินจำนวนมาก โปรดบอกด้วยว่าต้องการรูปหล่อบูชากี่องค์ เหรียญกี่เหรียญ ผมไม่ใช่หลวงพ่อ ผมไม่รู้ว่าจะส่งไปให้ท่านกี่องค์กี่เหรียญ ส่วนเรื่องเงินนั้นผมจะขอนำเข้าวัดสุทธิเลย

ต่อไปนี้ขอชี้แจงรายชื่อศิษย์ของหลวงพ่อที่ร่วมทำบุญมูลนิธิหลวงพ่อกวยศิษย์ร่วมกตัญญู ฯลฯ

ก็ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านที่ทำบุญมูลนิธิมา และขอขอบพระคุณท่านนายทหาร และนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ระดับ พันโท พันตำรวจโท ที่ยังอุตส่าห์ไว้เนื้อเชื่อใจผม ส่งเงินมาร่วมทำบุญมูลนิธิ ชาติหน้าชาติใหม่ท่านต้องยิ่งใหญ่กว่านี้ และขอขอบพระคุณศิษย์ของหลวงพ่อทุก ๆ คน ขอให้มีแต่ความสุข ความเจริญ ความเจ็บอย่าได้มาเข้าใกล้ ความไข้ขออย่าได้มี เงินบุญกุศลนี้ ผมจะขอเก็บรักษาไว้เทียบเท่าชีวิต (๓๐ มีนาคม ๒๕๓๙)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: โก้ จีนสาตร์ ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2014, 11:55:16 pm
ไม่ได้เข้ามานานมากกกกก อนุโมทนาด้วยครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กุมภาพันธ์ 17, 2014, 12:53:29 pm
ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๔๖๔
วันที่ ๕ ก.ย. – ๑๕ ก.ย.๒๕๓๙
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา


เข้าถ้ำเสือ

คนโบราณมักจะพูดว่า ถ้าอยากจะได้ลูกเสือก็ต้องกล้าเข้าถ้ำเสือ บางครั้งการเข้าถ้ำเสือ อาจจะถูกเสือกัดตายก็ได้ ดีไม่ดีไปเข้าถ้ำผิดไปเจอเอางูเหลือมกินซะอีก ซึ่งการเข้าถ้ำเสือนี้ก็คล้าย ๆ การเหยียบถิ่นทมิฬแดง ซึ่งอันตรายมาก แต่ถ้าจะนำมาเปรียบเทียบกับการบูชาพระก็คล้าย ๆ กัน การบูชาพระข้ามถิ่นเป็นสิ่งอันตรายมาก ข้อ ๑ เราไม่รู้จริง ข้อ ๒ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ข้อ ๓ พระข้ามถิ่นเวลาหน้ามืดขึ้นมาจะออกตัวก็ออกยาก ฉะนั้นการเช่าพระข้ามถิ่นจึงถือเป็นของต้องห้าม(สำหรับผม) แต่ถ้าเราเกิดนับถือขึ้นมาจริง ๆ เราก็จำเป็นต้องเช่าพระข้ามถิ่น ต้นฉบับนี้ผมได้เขียนขึ้นมาครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๓ เขียนแล้วก็ต้องขยำทิ้ง เพราะจะเป็นการกระทบกระเทือนกันเกินไป ซึ่งผมไม่อยากทำ ครั้นจะไม่เขียนศิษย์น้องก็โดนเขายำเละเป็นโจ๊ก ก่อนที่ผมจะเขียนภาควัตถุมงคล ผมขอแนะนำตัวเล็กน้อย บ้านปู่ ย่า พ่อของผมอยู่ข้างวัดหัวเด่น  เดิมหัวเด่นกับบ้านแคใช้น้ำบ่อเดียวกัน เป็นที่ดอน ทำนาได้ปีละครั้ง ชั้นประถม ๒ ย่าฉวน(พี่ย่าฉาย) ได้พาผมมารดน้ำมนต์จากหลวงพ่อ ผมก็เป็นศิษย์ท่านเรื่อยมา ปู่ เสือเฉา เสือนิด พระครูพิมพ์ วัดสนามชัย เป็นศิษย์ของหลวงพ่อรุ่นแรก ปู่เฉาเป็นเสือที่โด่งดังมากรุ่นเสือฝ้าย แต่ปล้นคนเดียว ไม่มีลูกน้อง คนเกรงกลัวมาก พระครูพิมพ์เดิมชื่อนายพลุ ดุและแก่กล้าอาคมเช่นกัน เสือฝ้ายได้มาเอาปืนเล็กยาว ปืน ร.ศ.จากบิดาหมอเฉลียว เดชมา บิดาหมอเฉลียวได้ไปบอกพระครูพิมพ์ พระครูพิมพ์ได้เดินตัดทุ่งไปทันที่สามเอก และได้สะพายปืนยาว ๕ กระบอกกลับมาหน้าตาเฉย อาและพ่อเป็นศิษย์รุ่นที่ ๒ ที่โด่งดังก็มี นายเชน(แหวนแขนเรดาร์) เคยไปรับจ้างรบที่ประเทศลาว นายโชนปัจจุบันบวชเป็นพระ เคยอยู่กับท่านจอมพลผิน พ่อผมไม่ชอบอาชีพทางตระกูลและโคตร ได้ออกจากบ้านตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี เคยทำงานที่โรงเลื่อยของอดีต ส.ส.เสนาะ ส.ส.เสนอ พึ่งเจียม กำแพงเพชร ผมเองก็ไม่ชอบอาชีพทางตระกูลและโคตรเช่นกัน ย่าเป็นญาติห่าง ๆ กับหลวงพ่อ มีหน้าที่ดูแลเก็บกวาดกุฏิให้หลวงพ่อ รวมทั้งตะบันหมากให้หลวงพ่อฉันด้วย อายุแก่กว่าหลวงพ่อ ก่อนที่หลวงพ่อจะมรณภาพ ย่าไปไหนไม่ไหว ได้ให้ย่าฉาย(น้อง) มาดูแลหลวงพ่อแทน อยู่ดูแลกับพระตั้วหรืออาจารย์โอภาส ตอนนั้นอายุ ๒๒ ปี พรรษา ๒ (พ.ศ.๒๕๒๒)

ต่อไปจะขอกล่าวถึงภาควัตถุมงคล ภาคเล่าสู่กันฟัง ประเภทเหรียญรูปท่าน ออกในวัด
๑.เหรียญรุ่นแรกมีบล็อกเดียว

๒.เหรียญรุ่น ๒ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า รุ่นเสาร์ ๕ หรือรุ่นนะโมตาบอด มี ๒ บล็อก แต่บางคนก็ไม่ยอมรับบล็อก ๒ ก็ไม่เป็นไร บล็อกเดียวก็ได้

๓.เหรียญรุ่น ๓ ปี ๓ แบบคือเหรียญโล่ทองแดงรมดำ รมน้ำตาล เหรียญอัลปาก้าหลังหนุมาน เหรียญพุ่มข้าวบิณฑ์(เหรียญพุ่มข้าวบิณฑ์ได้หมดไปจากวัด ในปีที่ ๒ ที่ผมทอดผ้าป่า ปัจจุบันอยู่กับคุณเสงี่ยม จิตรักสระนะ ทวีชัยอะไหล่ยนต์ อ.เมือง จ.เชียงราย ประมาณ ๗๐ เหรียญ


ประเภทเหรียญรูปท่านออกให้วัดอื่น
๑.เหรียญเขาใหญ่ ออกให้วัดเขาใหญ่ เนื้อทองแดงรมดำ

๒.เหรียญออกวัดเดิมบาง เนื้อทองแดงรมดำ กับทองแดงรมนาค เป็นเหรียญโล่เล็ก ปัจจุบันมีปลอม แต่ไม่เรียบร้อยถ้านำไปชุบทองจะดูไม่ออกเลย


ต่อไปจะกล่าวถึงวัตถุมงคลโดยสภาพทั่ว ๆ ไป

ในปี ๒๕๒๒ หลวงพ่อมรณภาพ ก่อนที่ท่านจะมรณภาพผมได้ไปกราบท่าน ท่านได้มอบพระสมเด็จหลังรูปรุ่นสุดท้ายให้มาจนหมด เมื่อท่านมรณภาพแล้วทางวัดยังได้นำวัตถุมงคลของท่านออกมาจำหน่าย บางอย่างถึงกับประมูลกัน และได้เปิดกล่องวัตถุมงคลที่ท่านห่อเอาไว้ว่า“ใครเปิดตาแตก”เมื่อเปิดกล่องออกมา ได้พบตะกรุดโทนกับ ป.วัดเนื้อโลหะตะกั่ว ได้ทำการจำหน่ายตะกรุดดอกละ ๑๐๐ บาท ปลัดตัวละ ๒๐ บาท ประมาณ ๒ ปี หลังจากอาจารย์สำรวยเป็นเจ้าอาวาส ท่านได้นำปลัดแจกให้กับคนที่มาทอดผ้าป่าและกฐินจนหมด ส่วนตะกรุดได้หมดในตอนจำหน่ายครั้งแรกเลย

สำหรับแหวนแขน หลวงพ่อทำครั้งสุดท้ายได้ ๖ วง ประมาณ พ.ศ.๒๕๑๗-๑๘ ผมยังได้ขอมา ๑ วง และไม่ได้ทำอีกเลย

ส่วนมีดหมอทำครั้งสุดท้าย พ.ศ.๒๕๒๑ ในงานฝังลูกนิมิต ชนิดเล่มโตได้หมดในงาน ส่วนชนิดเล่มปากกาเหลือ ๔ – ๕ เล่ม พี่ดำ(ปัจจุบันอยู่จังหวัดสุรินทร์) ได้ไปบูชาเอามาจนหมด เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีเหลือเลยที่พี่ดำ

สำหรับรัก-ยม กุมารทอง ชนิดเป็นขวด หลังจากผมได้เขียนเรื่อง ของยังมีตกค้างอยู่ประมาณ ๕๐ ขวด กุมารทอง กะไหล่ทอง สิงห์กะไหล่ทอง ได้จำหน่ายหมดในงานฝังลูกนิมิต เป็นของสนามนับร้อย พ่อค้าเอาส่ง นกคุ้มกันไฟทาบรอนทองก็จำหน่ายหมดในงานฝังลูกนิมิต

สมเด็จหลังรูปกรอบกระจก สั่งทำมา ๕๐๐ องค์ สมเด็จซุ้มระฆังแตกลายงา สมเด็จขี่สิงห์หลังสิงห์แตกลายงา ได้จำหน่ายหมดในงานฝังลูกนิมิต

พระพิมพ์สรรค์ได้หมดจากวัดครั้งแรก ตอนที่ผมเริ่มเขียนเรื่องใหม่ ๆ โดยผมเหมามาจนหมด เพื่อหาเงินโครงการอาหารกลางวันเด็กขาดแคลน และซื้อเครื่องทำน้ำเย็น มีทั้งสรรค์ยืน นั่ง ลีลาหนังตะลุง มี ๔-๕ องค์ พระคง ๑ องค์ พระลือ ๑ องค์ พระซุ้มกอได้บูชามาจนหมด องค์โตท่านถอดพิมพ์จากซุ้มกอหลวงพ่อโหน่ง สุพรรณบุรี ส่วนพระสรรค์นั่งพิมพ์นิยมท่านถอดพิมพ์จากพระสรรค์กรุวัดโคนอน องค์ต้นแบบอยู่กับคุณเสงี่ยม จิตรักสระนะ แต่พระซุ้มกองของท่าน ท่านเน้นทรายเสก เนื้อหยาบมาก พระสรรค์นั่งมีทั้งข้างเม็ด และสรรค์ไหล่ยก พระร่วงเนื้อดิน ผมได้บูชามาทั้งหมดมี ๑๐๐ กว่าองค์ ส่วนที่ท่านหล่อจากตะกรุดพบ ๒ องค์ องค์หนึ่งพิมพ์เดียวกับเนื้อดิน อีกองค์หนึ่งคนละพิมพ์ องค์ที่พิมพ์เดียวกับเนื้อดินอยู่กับคุณจิรวรรณ บุตรพรหม หัวหน้ากรมการขนส่งทางบก จตุจักร(อายุน้อย สวยมาก ๆ การศึกษาสูงอีกต่างหาก ห้ามขอดู โดนชกไม่รับประกัน)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กุมภาพันธ์ 17, 2014, 12:54:38 pm
เมื่อผมเริ่มเขียนเรื่องใหม่ ๆ วัตถุมงคลที่เหลืออยู่โดยมากเป็นชนิดสั่งทำ ที่ทำเองกับมือคือ ผ้ายันต์นะปัดตลอด ประมาณ ๗-๘ ปีมาแล้ว (๑๘ เมษายน ๒๕๓๙) วัตถุมงคลที่เหลือโดยมากเป็นวัตถุมงคลรุ่นฝังลูกนิมิต มีผ้ายันต์ค่ายกล รูปเล็กเลี่ยมเดิม และไม่ได้เลี่ยม รูปบูชาโปสการ์ด ผ้ายันต์สารพัดดี สารพัดกัน สีขาว ตำราของหลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา ผ้ายันต์สารพัดดีสารพัดกันผืนเล็ก ผ้ายันต์ท้าวเวสสุวัณ(เหมือนของสนามทั่วไป) รูปหล่อเล็กรุ่น ๒ แผ่นใบปลิว พ.ศ.๒๕๑๒ (เป็นของเก่า) มีมาก แผ่นยันต์กันภัย ๘ ทิศ มีรูปท่านเป็นกระดาษทำไม่สวยนัก ทำตั้งแต่เสาร์ ๕ พ.ศ.๒๕๑๕ จำหน่าย พ.ศ.๒๕๒๑ ก็ไม่หมด ผ้ายันต์นะปัดตลอดก็จำหน่ายตั้งแต่งานฝังลูกนิมิต แต่คนไม่ชอบ มีนะตัวเดียว ของเลยตกค้างอยู่ สมเด็จสีชานหมากพิมพ์พระครูละมูล วัดสุทัศน์ ด้านหลังบอกชื่อหลวงพ่อชื่อวัด สมเด็จเนื้อสีเกือบดำพิมพ์ขาโต๊ะ ด้านหลังมียันต์บอกชื่อหลวงพ่อบอกชื่อวัด เมื่อผมเริ่มเขียนวัตถุมงคลจำหน่ายได้ดีมาก มีกรรมการวัด ๒ – ๓ คน ได้นำสมเด็จหลังรูปรุ่นสุดท้ายเอามาให้อาจารย์สำรวยจำหน่ายแบ่งกัน บังเอิญพระอยู่ในที่อับชื้นไม่แตกร่อน เหมือนของผมที่เก็บเอาไว้ ผมเลยไม่ได้บูชาเอาไว้ อยู่ต่อมาเขาได้เอาสมเด็จรุ่นสงครามลาวมาให้จำหน่ายอีกผมไม่เคยเห็นผมคิดว่าปลอม และยังได้พบสมเด็จหลังรูปเนื้อผงน้ำมันอีก ๑ องค์ ผมไม่เคยเห็น เลยไม่ได้บูชาไว้

ในปีที่ ๓ ของการเขียนเรื่อง รูปหล่อบูชารุ่น ๒ เหลือตกค้างที่วัด ๓ องค์ คุณพี่เนื่อง แก้วพฤกษ์ ทับทิมบาเบอร์สยามสแควร์ ได้ไป ๑ องค์ ขณะที่อาจารย์สำรวยจำหน่ายวัตถุมงคลรุ่นตกค้าง ผมได้ไปวัดครั้งหนึ่งเจอปลัดตัวเรียบ ๆ มีจารลายมือหลวงพ่อ แต่ไม่ได้เช่าเอาไว้ ผมได้ขอดูวัตถุมงคลของเก่าของหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อทำพระไว้แบบไหน ท่านจะเอาใส่บาตรเอาไว้ อย่างละ ๑-๒ องค์ ผมได้ขอบูชามาเรื่อย ๆ บาตรที่ ๑ เป็นตัวอย่างพระที่เคยทำเอาไว้ บาตรที่ ๒ และบาตรที่ ๓ เป็นพระยังแจกไม่หมด และเป็นเหรียญวัดต่าง ๆ ที่หลวงพ่อเคยได้รับนิมนต์ไปปลุกเสกแล้วเขาถวายมา พระทั้ง ๓ บาตรนี้ผมได้บูชามาเกือบหมดโดยจุดธูปขอกับหลวงพ่อที่รูปหล่อ ที่ไม่ได้มาคือเหรียญหลวงพ่อต่าง ๆ แต่ได้ขอถ่ายรูปเอาไว้ และจิ๊กเอาไว้ ๑ เหรียญ คือ เหรียญหลวงพ่อปากคลองมะขามเฒ่า ออกที่ไหนไม่รู้เนื้อนวะโลหะ (ผมชอบเนื้อนี้มาก) ด้านหลังเป็นรูปกงจักร เขียนว่าปลุกเสกโดยหลวงพ่อเกษม เขมโก อีกเหรียญหนึ่งบูชาท่านมาเป็นเหรียญเนื้ออัลปาก้า รูปสมเด็จโตเลี่ยมกรอบเปิดหน้าหลัง มีศิษย์ใกล้ชิดบอกว่าท่านเคยบูชาติดตัว พร้อมพระพิมพ์แหวกม่านอกใหญ่ที่ท่านสร้าง เหรียญสมเด็จโตนี้ปลุกเสก ๑๐๘ อาจารย์ออกวัดกัลยา (เนื้อทองแดงก็มี)

พระที่พบในบาตรแรกมีไม่ครบทุกพิมพ์ทรง แต่พอจะคลำทางได้ แต่จะเอา ๑๐๐% นั้นไม่ได้ เพราะบางทีอาจารย์สำรวย เอาพระบาตร ๒ มาใส่บาตร ๑ เอาพระบาตร ๑ มาใส่บาตร ๓ ก็มี ผมได้บูชามาเรื่อย ๆ มีพระกระเบื้องแกะอย่างละองค์ มีพิมพ์พระนารายณ์ พิมพ์พระแม่ธรณี พิมพ์ท้าวเวสสุวัณ พิมพ์พระฤษี พระ ๔ พิมพ์นี้ กำนันชูชาติ มากสัมพันธ์ แบ่งเอาไป พิมพ์พระฤษี คุณเสงี่ยม จิตรักสระนะ ได้แบ่งเอาไป พระหินแกะมีหินชนิดเดียว เป็นหินสีขาวนวล แกะเป็นรูปปางห้ามสมุทร ๒ องค์ พิมพ์สมาธิ ๒ องค์ พิมพ์สมาธิกำนันชูชาติ มากสัมพันธ์ ได้ไป ๒ องค์ พิมพ์ห้ามสมุทร คุณเสงี่ยม จิตรักสระนะ ได้ไป ๑ องค์ คตมะม่วง ผมดูแล้วเหมือนหินเป็นรูปมะม่วงมากกว่า แต่หลวงพ่อถักลวดเอาไว้(จะถักเองหรือให้ใครถักผมไม่รู้) มี ๑ อัน คุณศิริชัย ชีววณิชยกูล บางปูได้ไว้ คตหอยขมเป็นหินดินดานเข้าไปอยู่ในหอยขม มี ๕-๖ อัน หลวงพ่อเก็บเอามาเข้าใจว่าเอามาจากกองทราย ก้อนหินสีสวย ๆ หรือปฐวีธาตุ หลวงพ่อเก็บมาปลุกเสกแจกทหาร นอกนั้นก็มีเหรียญรัชกาลที่ ๕ ที่ ๔ ใช้แล้ว จารมั่งไม่จารมั่ง แต่โดยมากจารมีเหรียญสลึง ๑ อันสวยมาก คนสนามบินน้ำได้ไป คตมะม่วงที่คุณศิริชัยได้ไปภายหลังเอาไปทดลองต้องรุ้งปรากฎว่ารุ้งขาด นอกนั้นก็ยังเจอเมล็ดสำโรงต้นที่หลวงพ่อจารเอาไว้แล้วยิงไม่ออก ลูกพระเจ้า ๕ พระองค์ศิษย์ท่านเป็นพรานป่าเก็บมาถวาย และยังเจอผ้าขอดสีขาวไปได้กลับได้ ๒ อัน ผ้าขอดสีแดง ๆ ขอดไม่ตายใน ๗ วัน คุณศิริชัยได้ไป สีขาวนายทหารอากาศดอนเมืองได้ไป ผ้าขอดขอดเป็นพิรอด ๗ ขอด หรือ ๕ ขอด (จำไม่แน่ชัด) หลวงพ่อเขียนว่าของโผน กิ่งเพชร เขียนใส่กระดาษ เอาเชือกผูกติดไว้ โผนไม่มาเอา เลยเสร็จเฒ่า นอกนั้นก็มีลูกปืนลงอาคม เป็นลูกปืนเอ็ม ๑๖ ลูกอาร์ก้า ด้านยิงไม่ออก ลูก .๓๘ ลูกกรดหัวทองแดง ลูกปืนที่เครื่องบินใช้ยิงปูพรม ลูกโตมาก หลวงพ่อบรรจุทรายเสกคนชื่อเสือ(สักเต็มตัว)ได้ไป ลูกกรดสวยมากคนเมืองนอกได้ไป ลูกเอ็ม ๑๖ ลูกอาร์ก้าหลวงพ่อจะถอดหัวออกบรรจุตะกรุดกันอาวุธ ๑ ดอก จารให้เกือบทุกลูก มีเกือบ ๒๐ ลูก มีชื่อนายทหาร นายพัน นายพล จ่า สิบเอก เขียนชื่อติดเอาไว้ กระดาษเปื่อยแล้ว เจ้าของไม่มาเอาผมเลยขอบูชามา กำนันชูชาติ มากสัมพันธ์ ได้ไป ๒ ลูก จารชัดเจนลึกคมมาก (ผมได้ทดลองจารดูยังจารไม่เข้า) และยังพบมีดหมอด้ามอลูมิเนียมไม่มีฝัก ๑ เล่ม นอกนั้นเป็น แร่ อุกาบาศ ที่บรรจุที่ด้ามมีด หินเขาสารพัดสี(ผมจำได้) น้ำมันจันทน์เสก น้ำมันงาเสก มีอยู่นอกบาตร ผมกินไปครึ่งขวดใหญ่ได้ ผมมี ๓ ขวดโหลใหญ่ ผมทำบุญมาได้ ๑ ขวดโหลใหญ่

ส่วนพระพบพระขุนแผนเนื้อผงดำผสมผงผี ๑ องค์ พระเนื้อผงขาว ๓-๔ องค์ ทรงพิมพ์แบบวัดบ้านกร่าง ขุนแผนอีกองค์หนึ่งโต มีตราข้างหลัง เข้าใจว่า วัดอื่นให้มา ขุนแผนเนื้อดินได้มาเกือบ ๒๐ องค์ (แม่พิมพ์อยู่ที่วัด) ขุนแผนขี่โหงพราย เนื้อผงผสมผงผี ๑ องค์ ขุนแผนขี่โหงพรายเนื้อผงน้ำมันแบบปรกโพธิ์ ๙ ใบ พระสิวลีเนื้อ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2014, 10:59:07 am
ปีที่ ๑๕ ฉบับที่ ๔๖๖

วันที่ ๒๕ ก.ย. – ๕ ต.ค.๒๕๓๙

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิทา




มนต์พญาไก่เถื่อน

ต่อไปจะกล่าวถึงมนต์พญาไก่เถื่อน คำว่าเถื่อนก็คือป่า ไก้เถื่อนก็คือไก่ป่า ไก่ป่ากับไก่แจ้นั้นคล้าย ๆ กันแต่เดิมไก่แจ้นั้นถือกำเนิดมาจากไก่ป่าเมื่อมีการสร้างวัด ในวัดมีอาหารสมบูรณ์และปลอดภัยไก่ป่าเลยมาอยู่อาศัยนาน ๆ เข้าก็เป็นไก่แจ้ อ้วนสมบูรณ์

หลวงพ่อท่านเลี้ยงหมาไว้ ๕-๖ ตัว อ้วนสมบูรณ์ใหญ่โต มันรักท่านมาก ถ้าจะเปรียบเทียบ คือให้ผมเปรียบเทียบ แต่เปรียบเทียบด้วยความเคารพน่ะครับ มันรักท่านเหมือนมันรักลูกอ่อนของมัน ใครจะแตะต้องท่าน ของ ๆ ท่านเป็นไม่ได้ เวลาเข้าไปหาท่าน มันจะหมอบใกล้ ๆ เหมือนในรูปที่ผมเคยนำมาลงให้ดูเห็นในรูปแล้วอดคิดถึงเพลง“เลิฟ มี เลิฟ มาย ด็อก”ไม่ได้ เพลงนี้มีความว่า เมื่อรักท่านก็ควรต้องรักหมาท่านด้วย ทีนี้ท่านเลี้ยงแมวไว้ด้วย แต่รู้สึกว่าแมวเขาจะไม่ค่อยมีบทบาทอะไร แต่แมวท่านก็ดุ เวลาแมวท่านมาอยู่ใกล้ ๆ ท่าน หมาต้องลงไปหมอบชั้นล่าง คือแมวอยู่สูงกว่าประมาณ ๑ ฟุตได้ คือกุฏิท่านทำไม่เสมอกัน แต่มันก็ไม่เคยทะเลาะกันให้ท่านเห็นหรือให้ใครเห็นเลย แถมเวลากินข้าวมันยังกินสำรับเดียวกันอีก แต่ข้าวในจานที่ท่านฉันเมื่อท่านฉันพอแล้วท่านจะหยิบกับข้าวดี ๆ คลุกกับข้าวเอาใส่ไว้ในจาน หมาและแมวท่านจะเข้ามากินตอนที่ท่านฉันอิ่มแล้ว ขณะที่ท่านฉันมันจะไม่เข้ามากวนเลย มันจะหมอบกันสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เมื่อท่านฉันเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ให้หมาและแมวท่านกินกันในสำรับท่านเลย หมาและแมวท่านก็กินกันวันละ ๑ มื้อเท่าท่านเช่นกัน

ทีนี้จะกล่าวถึงมนต์หรือคาถาพญาไก่เถื่อนที่ท่านเสกให้แมวและหมารักกัน เล่ากันว่าคาถานี้ใช้เสกหญ้าเสกอาหารให้สัตว์ดุร้ายกินแล้วเชื่องได้คาถาว่าดังนี้

“เวทา สากุ กุสาทาเว ทายะสาตะ ตะสายะทา สาสาทิกุ กุทิสาสา กุตะกุภู ภูกุตะกุ”

เห็นว่าคาถานี้สมควรบันทึกเอาไว้ไม่อยากให้เสื่อมสูญ ไม่รู้ว่าถ้าจะนำไปเสกข้าวให้ภรรยาคนโตอายุ ๓๕ กับภรรยาคนเล็กอายุ ๑๘ กิน ไม่รู้ว่าใช้ได้หรือเปล่า

ว่าจะจบก็จบไม่ลงด้วยอำนาจมนต์ และคาถาของท่านที่ได้เสกข้าวให้หมาท่านกิน วันหนึ่งหมาท่านชื่อไอ้หลง หรือกาหลง เกิดเป็นบ้าหรือโรคกลัวน้ำ โรคนี้เกิดจากไวรัสชนิดหนึ่ง ไอ้หลงได้อาละวาดได้กัดอาจารย์ตั้ว บาดแผลเริ่มอักเสบเรื้อรังและมีสีเขียว แสดงว่าติดเชื้อ จิตใจไม่ค่อยดี ได้เข้าไปหาหลวงพ่อ เล่าอาการและเอาแผลให้ท่านดู ท่านได้ให้อาจารย์ตั้วไปรักษากับหมอเหลียว คือหมอเหลียวหรือหมอเฉลียวเขาได้ตำราการรักษาโรคหมาบ้าจากท่านไป เมื่อท่านให้ไปแล้วใครเป็นอะไรท่านก็ให้ไปหาศิษย์ท่าน ปรากฎว่ารักษาหาย ไม่น่าเชื่อและไม่น่าเป็นไปได้สำหรับแพทย์แผนปัจจุบันจะพูดว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดน่าเสียดายหมอเฉลียวปัจจุบันอพยพไปอยู่ที่อื่นเสียแล้ว

ทีนี้ไอ้หลงเมื่อมันบ้า คือจิตใจมันคงไม่ค่อยดี มันกระวนกระวายแต่ก็ไม่กัดใครอีก ศิษย์ท่านชื่อรวมได้เห็นว่าถ้าปล่อยให้อาละวาดอาจไปกัดคนมาทำบุญได้ ได้ไปขออนุญาตท่านเพื่อฆ่าให้ตาย ท่านก็ไม่ได้พูดอย่างไรคือก็ไม่ได้บอกอนุญาต ท่านคงจะสะเทือนใจท่านเบือนหน้าหนี แล้วพูดว่า“ไปดีเถอะหลงเอ๊ย ไปเกิดใหม่” แล้วท่านก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย จนกระทั่ง

เมื่อนายรวมได้บอกหลวงพ่อแล้วก็เอาปืนลูกซอง บรรจุลูกโดดลงมาด้านล่างมาดักยิงไอ้หลง ผลคือยิงออกดังปัง ปรากฎว่ายิงไม่เข้าจะยิงกี่นัดก็ไม่เข้า บังเอิญไอ้หลงอาการย่ำแย่เลยทุบซะตาย เมื่อตายแล้วก็ไปบอกหลวงพ่อ หลวงพ่อได้ให้หาฟืนมาเผา เผาหมดฟืนไปสามกองไอ้หลงก็ไม่ไหม้ไฟ ได้แต่ดำไปเฉย ๆ นายรวมได้ขึ้นไปบอกหลวงพ่อให้ลงมาดู หลวงพ่อท่านคิดอย่างไรของท่านไม่รู้ ท่านได้นิมนต์พระในวัดมาสวดบังสุกุลให้หมาท่าน พระที่สวดให้หมาท่านตอนนั้นเท่าที่จำได้มีพระทวาย พระกริ่ง พระป๋อง อาจารย์ตั้ว ท่านได้ถวายปัจจัยองค์ละ ๕๐ บาท เมื่อสวดเสร็จท่านได้ใส่ฟืนเอง คราวนี้ไหม้

เรื่องที่ไอ้หลงเผาไม่ไหม้นี่เข้าใจว่าเป็นเพราะอาคมท่านที่เสกข้าวให้มันกิน ภายหลังเมื่อหมาท่านตายอีกท่านให้ขุดหลุมฝังทั้งหมด


สวาหะ สวาหาย

เรื่องของอาคมนี้ เป็นเรื่องของจิต หรืออำนาจจิต โดยเฉพาะคาถารักษาโรค เป็นคาถาที่เป็นไปด้วยจิต คือ ปรารถนาให้หายทั้งสิ้น ตัวคาถาแทบจะไม่มีอะไรเลย แต่คนไข้หายได้เข้าใจว่าหายด้วยจิตใจของครูบาอาจารย์ จะขอยกตัวอย่างของคาถาของหลวงพ่อ เช่น คาถาพ่นป่วง โรคป่วงคือโรคท้องเดิน ปวดท้อง เวลามีคนมาหาให้รักษาให้คน ๆ นั้น ตักน้ำมา ๑ ขัน ทำน้ำมนต์ให้คนที่มาหากิน คนไข้อยู่ทางบ้านจะหาย คาถานี้ให้ชุมนุมเทวดาก่อน แล้วว่าคาถาดังนี้

“อม มะ ป่อง อม มะพ่วง สวาหาย”

น้ำมนต์ต้องให้คนที่มาหากินให้หมด

คาถาพ่นบุ้ง “อมตุกตุ๋ย ครุกครุ่ย สวาหะ”

ใช้มือหยิบ เวลาหยิบ ว่าคาถานี้

“โยนิ กะ ระ หิ มา เอหิ มะ มะ”

เรื่องคาถาพ่นต่าง ๆ นี้ มีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้าไม่ลงด้วยสวาหะ ก็จะลงด้วยสวาหาย หรืออาจลงท้ายด้วยสวาหะ สวาหาย อ่านว่า สะ-หวา แม้ภายหลังหลวงพ่อได้ทำตะกรุดคลอดบุตร ทำผ้ายันต์หรือผ้าประเจียดกันผี กันคน กันกระทำ กันอาถรรพณ์ หลวงพ่อยังนิยมปลุกเสกด้วยคาถารักษาด้วย คือเพื่อว่าศิษย์จะนำพาเอาไปทำน้ำมนต์รักษาโรค รักษาไข้เจ็บต่าง ๆ ปลุกเสกยั้นคาถามหาเถรตำแย คาถาถอนโบสถ์ ถอนเสมา และคาถาปัดรังควาน

วันหนึ่งศิษย์ของหลวงพ่อเป็นทหารอยู่ลพบุรี ได้ไปพบชีปะขาวคนหนึ่งที่ลพบุรี ได้พูดคุยกันและได้นำผ้ายันต์กันผีกันกระทำกันอาถรรพณ์ให้ชีปะขาวดู ชีปะขาวคนนี้เป็นคนดีมีวิชาได้เห็นผ้ายันต์แล้วชอบใจ เพราะผ้ายันต์มีอาคมรุนแรงมาก ชีปะขาวได้นั่งทางในตรวจสอบดู ได้พูดว่า“พระองค์นี้มีอาคมแก่กล้า มีวิชาดี แต่ยังไม่ยอมหยุดศึกษาหาความรู้”ได้พูดกับทหารคนนั้นว่า“ถ้าเอ็งไปหาอาจารย์ของเอ็ง เมื่อไรให้ถามปริศนาธรรมกับเขาสัก ๑ ข้อ”ปริศนาธรรมว่าดังนี้“สระ(สะ) อะไรเอ่ย มี ๒ สระ(สะ) แต่มีทางลงทางเดียว ให้ถามปริศนาธรรมกับเขาถ้าเขาตอบได้เขาจะพ่นจะรักษาได้แทบทุกโรค”เมื่อทหารคนนั้นมากราบหลวงพ่อ ตอนนั้นหลวงพ่อมีกิจนิมนต์ ที่วัดหนองอีดุก ทหารได้เข้าไปกราบหลวงพ่อ และเล่าเรื่องให้ฟัง แล้วได้ถามปริศนาธรรมกับหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อกลับมาวัด ได้กลับมาตีปริศนาคาถานี้อยู่ ๑ วัน ๑ คืน ได้ตีปริศนาออกและไม่ได้เรียนคาถาเพิ่มเติมอีกเลย ปริศนาคาถานี้ได้ตีบอกหมอเฉลียว เดชมา เอาไว้ นับแต่นั้นเป็นต้นมาหลวงพ่อสามารถใช้คาถาพ่นรักษาโรคได้เกือบทุกชนิด

ป.ล.เฉลย คือสวาหะ สวาหาย มี ๒ สระ มีทางลงทางเดียวคือ หาย คือให้หายจากโรคนั่นเอง คาถาบางบทก็ลงท้ายด้วยสวาหะ สวาหาย เช่น คาถาพ่นแมงป่อง“อม แมงงอน มะแมงงอน มึงอยู่ใต้ขอน ถึงนอนใต้ไม้ เดชะคุณครู บันทิญาย ให้กูมาหยิบพิษมึง สวาหะ สวาหาย”
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2014, 11:02:20 am
(https://www.google.co.th/url?sa=i&rct=j&q=&esrc=s&source=images&cd=&cad=rja&docid=aWa9gxiP16waxM&tbnid=b134sAnKuT0mGM:&ved=0CAUQjRw&url=http%3A%2F%2Ftopicstock.pantip.com%2Fchalermthai%2Ftopicstock%2F2009%2F11%2FA8559599%2FA8559599.html&ei=5nwFU53DDcmArgf5w4CYAQ&bvm=bv.61725948,d.bmk&psig=AFQjCNElyPZjm-L-S1owdMhxHyEKn2fzBg&ust=1392954979625956)

เรื่องราวที่ผมมีอยู่ทั้งหมดก็หมดลงพอดี
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: anon ที่ กุมภาพันธ์ 27, 2014, 08:59:39 am
ขอบพระคุณมากเลยครับ ตามอ่านตลอด
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กุมภาพันธ์ 27, 2014, 10:26:51 am
ขอบพระคุณมากเลยครับ ตามอ่านตลอด


ยินดีด้วยนะครับที่ตามอ่านมาตลอด เรื่องราวทั้งหมด นั้น ใครเอาไปเก็บเอาไว้จะได้ไม่หาย และทำเป็นเล่มก็จะดีมาก
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กุมภาพันธ์ 27, 2014, 10:34:01 am
เรื่องราวที่ผมมีอยู่ทั้งหมดก็หมดลงพอดี
[/quote]



พอเรื่องที่เคยลงเป็นประจำ ๆ หมดลง ก็รู้สึกเหงา ๆ พอสมควร เห็นยอดคนอ่านแล้วก็ดีใจครับ มากมายจริง ๆ ต่อไปก็คงต้องเป็นประสบการณ์ของตัวเอง คงต้องใช้เวลาในการเรียบเรียงเรื่องราวเก็บเล้กผสมน้อยไปเรื่อย ๆ ก่อนครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: nori ที่ กุมภาพันธ์ 27, 2014, 11:09:30 am
 ;D ขอบคุณมากครับ  ;D
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: anon ที่ มีนาคม 01, 2014, 02:38:48 pm
 เรื่องราวของหลวงพ่อกวย เล่าไม่มีวันจบสิ้น
 เหมือนกับความเมตตาของท่าน ที่ให้กับลูกศิษย์จนวันสุดท้าย
 ตราบจนทุกวันนี้ และต่อไป ท่านก็ยังอยู่ที่วัดคอยช่วยเหลือลูกๆ หลานๆ
 ผมเชื่อมั่นว่า ปฏิปทาของท่าน คือปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ครับ สาธุ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มีนาคม 03, 2014, 08:22:24 am
เรื่องราวของหลวงพ่อกวย เล่าไม่มีวันจบสิ้น
 เหมือนกับความเมตตาของท่าน ที่ให้กับลูกศิษย์จนวันสุดท้าย
 ตราบจนทุกวันนี้ และต่อไป ท่านก็ยังอยู่ที่วัดคอยช่วยเหลือลูกๆ หลานๆ
 ผมเชื่อมั่นว่า ปฏิปทาของท่าน คือปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ครับ สาธุ

สาธุ ครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: dutch ที่ มีนาคม 24, 2014, 05:30:06 pm
เรื่องราวของหลวงพ่อกวย เล่าไม่มีวันจบสิ้น
 เหมือนกับความเมตตาของท่าน ที่ให้กับลูกศิษย์จนวันสุดท้าย
 ตราบจนทุกวันนี้ และต่อไป ท่านก็ยังอยู่ที่วัดคอยช่วยเหลือลูกๆ หลานๆ
 ผมเชื่อมั่นว่า ปฏิปทาของท่าน คือปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ครับ สาธุ
สาธุ สาธุ สาธุ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ เมษายน 11, 2014, 11:31:21 am
พรุ่งนี้ อย่าลืมไปทำบุญกันเยอะ ๆ นะครับ ปีละครั้ง ส่วนผมปีนี้ไปไม่ได้ แต่ได้ส่งเงินไปทำบุญกับหลวงพ่อเรียบร้อยแล้วครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ตุลาคม 14, 2014, 09:07:39 pm
วันอาทิตย์ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เป็นวันทอดกฐินของวัด อย่าลืมไปร่วมทำบุญกันเยอะ ๆ นะครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ตุลาคม 16, 2014, 11:36:55 pm
วันอาทิตย์ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เป็นวันทอดกฐินของวัด อย่าลืมไปร่วมทำบุญกันเยอะ ๆ นะครับ
ประเดิมรูปหล่อวัดซับลำใย ประเดิมก่อนงานกฐินปีนี้
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ ธันวาคม 31, 2014, 04:20:27 pm
เนื่องในโอกาสที่ใกล้จะถึงวันขึ้นปีใหม่ ๒๕๕๘
ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ได้โปรดอำนวยพรให้ทุกๆท่านและครอบครัว ได้โชคดีปีใหม่ มีความสุข สำเร็จ และสมหวัง ตลอดปีใหม่ และ ตลอดไป

ขอให้บุญรักษา เทวดาคุ้มครอง พระรัตนตรัยปกป้อง
จงมีแต่แต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต
สุขภาพร่างกายแข็งแรงโรคภัยจงได้อย่าแผ้วพานท่านและครอบครัว
 ให้มีความร่มเย็น และมีความสุข ให้ร่ำรวยเงินทองและทรัพย์สิน
 ให้สูงส่งด้วยบารมี

"พรใดล้ำ พรใดเลิศ พรใดประเสริฐ ขอจงบังเกิดแก่ท่าน และครอบครัว"
ตลอดปีใหม่ ๒๕๕๘ และ ตลอดไป
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 20, 2015, 01:36:22 pm
กฐินหลวงพ่อปีนี้ตรงกับ วันอาทิตย์ที่ 22 พ.ย.58
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ กันยายน 20, 2015, 09:55:36 pm
กฐินหลวงพ่อปีนี้ตรงกับ วันอาทิตย์ที่ 22 พ.ย.58

วันนี้ผมโทรไปจองกฐินกับท่านพระครู จำนวน ๒ กอง ท่านบอกว่าของชำร่วยที่แจกผู้จองกฐินบางอย่างหมดแล้วนะครับ สถานการณ์แบบนี้ไม่ต้องเดาเลยครับว่า กฐินของหลวงพ่อปีนี้คนน่าจะไปกันจนล้นวัดแน่นอนครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 14, 2016, 01:41:03 pm
ยอดกฐิน ปีนี้ เมื่อวันที่ 13 พ.ย.59
ยอดรวมทั้งสิ้น 5,651,040 บาท

สาธุ อนุโมทามิ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 14, 2016, 01:45:54 pm
สมเด็จหลังรูปรุ่น ๓ (รุ่นเสริมบล๊อกแตก) ทางวัดออกให้ทำบุญหลังจากหลวงพ่อท่านมรณภาพโดยเจ้าอาวาสองค์ต่อมา มีมวลสารเก่า พระพิมพ์นี้เคยลงจำหน่ายในหนังสือนะโมสมัยเก่าในนามวัดโฆษิตาราม เก็บเป็นที่ระลึกได้ครับ
ผมเองก็ตามเก็บรุ่นนี้มานานพอสมควรเพิ่งจะได้มาครอบครองก็วันนี้ หลังจากองค์แรกที่ได้มาเมื่อ ปี 2533 นั้น ผมได้มอบให้รุ่นพี่นำไปบูชาติดตัว ขอซื้อกลับคืนก็ไม่ยอม จนต้องหาองค์ที่ 2 ก็ได้องค์นี้สมความปรารถนา เนื้อหาโดยส่วนตัวแล้วน่าสนใจมากที่เดียว
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 17, 2016, 03:06:15 pm
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์เทวดา

          พระสมเด็จวัดระฆังมีหลายเนื้อหลายพิมพ์ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์ปรกโพธิ์ พิมพ์เกศบัวตูม พิมพ์ฐานแซม พิมพ์เจดีย์ พิมพ์พิเศษที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักอีกหลายพิมพ์ หนึ่งในจำนวนนั้นคือพระสมเด็จพิมพ์เทวดาซึ่งก็มีหลายแบบเช่นกัน สังเกตจากพระกรรณทั้ง 2 ข้างจะคล้ายหูบายศรีปลายพระกรรณจรดบ่าต่างจากของสำนักอื่น  พระสมเด็จ 2 องค์ที่เห็นนี้เป็นแม่พิมพ์ของหลวงวิจารณ์ จึงมีความสวยสมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก พระสมเด็จพิมพ์เทวดาคนรู้ต่างเสาะแสวงหาไว้ครอบครองบูชา แต่ก็หาได้ยากยิ่ง
       พระสมเด็จองค์บน องค์พระจะเหมือนพระสมเด็จพิมพ์เชียงแสนและพิมพ์พระแก้วคือมีฐานแซม 2 เส้น ต่างกันก็ตรงพระกรรณและพระเกศ พิมพ์นี้จะเห็นน้อยมาก
       โดยความหมายของพระสมเด็จพิมพ์เทวดาคือสมหวังดังปราถนา.. ในสมัยพุทธกาล นางสุชาดาเป็นลูกของเศรษฐีผู้มีทรัพย์มาก เมื่อย่างเข้าสู่วัยสาวนางได้ทำพิธีบวงสรวงต่อเทวดาที่สิงสถิตอยู่ ณ ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง โดยได้ตั้งความปรารถนาไว้ 2 ประการ คือ
       1. ขอให้ข้าพเจ้าได้สามีที่มีบุญ มีทรัพย์สมบัติ มีชาติตระกูลที่เสมอกัน
       2. ขอให้ข้าพเจ้ามีบุตรคนแรกเป็นเพศชาย
       ถ้าความปรารถนาของข้าพเจ้าทั้ง 2 ประการ สำเร็จสมหวัง ข้าพเจ้าจะมาทำพลีกรรมแก้บนแก่ท่านด้วยของมีค่าหนึ่งแสนกหาปณะ
       ต่อมานางสุชาดาได้สำเร็จสมหวังตามปรารถนา ได้สามีที่เป็นเศรษฐีฐานะเสมอกัน ได้บุตรคนแรกเป็นชายชื่อ "ยสะ"(ภายหลังได้ฟังธรรมกับพระพุทธเจ้าแล้วสำเร็จพระอรหันต์)นางได้ปล่อยเวลาล่วงเลยไปมากจนกระทั่งลูกชายแต่งงานแล้ว นางจึงมีความคิดที่จะทำพลีกรรมบวงสรวงเทวดาด้วยข้าวมธุปายาส เมื่อถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 นางได้ทำพิธีหุงข้าวมธุปายาสเสร็จแล้วให้นางทาสีสาวใช้ไปปัดกวาดทำความสะอาดบริเวณโคนต้นไทรที่นางเคยไปบวงสรวงเอาไว้
        พระโพธิสัตว์สิทธัตถะ หลังจากเลิกการทรมานร่างกายแล้วนั้นได้หันมาเสวยพระกระยาหารและบำเพ็ญเพียรทางจิต ได้ประทับนั่งพักผ่อนใต้ร่มต้นไทร หันพระพักตร์ทอดพระเนตรไปทางทิศตะวันออก มีพระรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระวรกายเป็นปริมณฑลดูงามเป็นยิ่งนัก เมื่อนางทาสีสาวใช้มาถึงและเห็นแล้วก็มีจิตคิดว่าคงเป็นเทพยดาเป็นแน่ที่มานั่งคอยท่ารับเครื่องพลีกรรม นางจึงไม่ได้ทำความสะอาดแต่รีบกลับไปบอกแก่นางสุชาดา นางจึงรีบมาพร้อมด้วยเครื่องบวงสรวงแก้บน นางสุชาดาเห็นพระโพธิสัตว์งดงามเช่นนั้นเกิดโสมนัสยินดีคิดว่าเป็นรุกขเทวดา จึงน้อมนำเข้าไปถวายข้าวมธุปายาสพร้อมถาดทองคำ  เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงรับและเสวยข้าวมะธุปายาสแล้ว เสด็จไปประทับยังโคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงบำเพ็ญเพียรทางจิตและได้ตรัสรู้พระสัมโพธิญาณในวันนั้น
       ฉนั้นโดยเรื่องข้างบน โบราณาจารย์ท่านจึงออกแบบพระพุทธพิมพ์เทวดาขึ้นมาและอย่างไรจึงจะเรียกพิมพ์เทวดา ซึ่งมีความหมายของการอธิษฐานจิตแล้วสำเร็จสัมฤทธิ์ผล
       ภายหลังพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระยสะได้เสด็จไปยังเรือนของเศรษฐีบิดาของพระยสะตามคำอาราธนาของเศรษฐี เมื่อพระพุทธองค์ได้ประทับบนอาสนะที่จัดเตรียมไว้แล้วนั้นได้แสดง อนุปุพพิกถาและอริยสัจ 4 จบลง ทำให้มารดาและภรรยาเก่าของพระยสะได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุเป็นพระโสดาบันและแสดงตนเป็นอุบาสิกา ขอถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต บิดาของพระยสะได้แสดงตนเป็นอุบาสกก่อนหน้านี้แล้วในครั้งที่ได้ติดตามหาบุตรชาย เนื่องจากพระยสะได้ออกจากบ้านไปด้วยความเบื่อหน่ายรำคาญ เกิดความรู้สึกสลดรันทดใจที่ตื่นขึ้นมาเห็นหญิงนักดนตรีนอนกันไม่เป็นระเบียบ นอนกรน น้ำลายไหล บ่นละเมอ บ้างเปลือยกายนอนในท่าต่างๆคล้ายซากศพ (เหมือนก่อนที่พระโพธิสัตว์จะออกบวช) ท่านยสะในเวลานั้นได้เดินบ่นว่า "ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ" เดินจนกระทั่งถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน และได้ฟังธรรมกับพระพุทธองค์แล้วสำเร็จพระอรหันต์ฯ

ผมเชื่อว่าสมเด็จพิมพ์เทวดา ๕ ชั้น ของหลวงพ่อกวย นั้น หลวงพ่อท่านก็คงตั้งใจสร้างให้มีผลไปในทางใช้อธิษฐานจิตแล้วสัมฤทธิ์ผล เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า พระที่สร้างยาก เสกยาก คือ พระที่เน้นไปทางอธิษฐาน เช่น พระพุทโธน้อยของคุณแม่บุญเรือน วัดอาวุธ เป็นต้น หากสมเด็จพิมพ์เทวดา ๕ ชั้น เด่นในทางอธิษฐานจริง ๆ แล้วก็นับว่าเป็นพระที่น่าใช้มากอีกพิมพ์หนึ่งของหลวงพ่อครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 19, 2016, 12:03:20 am
วัดจะดีมีหลักฐานเพราะบ้านช่วย บ้านจะสวยเพราะมีวัดดัดนิสัย. บ้านกับวัดผลัดกันช่วยก็อวยชัย ถ้าขัดกันก็บรรลัยทั้งสองทาง
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มกราคม 30, 2018, 11:23:38 am
สมเด็จหลังลายเซ็นต์ หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล ออกวัดซับลำใย พิธี มหาสมปรารถนา ปี 2543
หลังจากวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยราคาเริ่มสูงขึ้นผมจึงเลือกไปทยอยเก็บของวัดซับลำใย ทีละองค์สององค์ตามอัตภาพ
สำหรับองค์นี้สวยมากจนอดใจไม่ไหวต้องเก็บ เพราะว่ารูปทรงองค์เอวค่อนข้างสง่างามมากครับ
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ มีนาคม 02, 2018, 02:01:01 pm
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=2052131441720480&set=pcb.2052131865053771&type=3&theater (https://www.facebook.com/photo.php?fbid=2052131441720480&set=pcb.2052131865053771&type=3&theater)
หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เสียว ๆ กับพระสมเด็จหลั
เริ่มหัวข้อโดย: weerawat26 ที่ พฤศจิกายน 26, 2018, 02:28:15 pm
http://www.itti-patihan.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%96%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%86%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1-%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C-%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%9B%E0%B8%B5-58-%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7.html (http://www.itti-patihan.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%96%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%86%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1-%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C-%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%9B%E0%B8%B5-58-%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7.html)

ตอนนี้ ภาพถ่ายย้อนยุค ปี 58 กำลังแรงขึ้นมา ใครยังไม่มีก็ต้องรีบเก็บก่อนที่จะแพงไหกว่านี้