ผู้เขียน หัวข้อ: อภินิหารูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 1  (อ่าน 21240 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ weerawat26

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 39
  • กระทู้: 1103
  • พลังน้ำใจ 39
Re: อภินิหารูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 1
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ธันวาคม 06, 2011, 10:42:43 am »
"หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร" ในเรื่องราว ประสบการณ์
[/color][/b]



ข้าพเจ้านี้ เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราว ต่าง ๆ ที่พี่ ๆ น้อง ๆ นั้น มาเล่าสู่กันฟังมานานแล้วอยู่เหมือนกัน บางครั้งอ่านแล้วข้าพเจ้าก็รู้สึกซาบซึ้ง ในความรักและเคารพในองค์หลวงพ่อนี้ ของพวกเรา แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะได้มาถ่ายทอดประสบการณ์ของตัวเอง ให้พี่ ๆ น้อง ๆ ได้ฟัง

ด้วยความที่ข้าพเจ้าเองก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของชาวสรรค์บุรี เพราะมารดานั้นเป็นชาวบ้านแค อยู่ห่างจากวัดของหลวงพ่อไม่ไกลมากนัก ข้าพเจ้าก็ได้รับการปลูกฝัง จากเราชาวบ้านแค อยู่อย่างหนึ่งว่า เรานี่เป็นคนจริง มีสัจจะ ไม่รังแกใคร ไม่ลบหลู่ใครก่อน และถ้าเป็นเรื่อง "อาคม" แล้ว เราย่อมไม่ลงให้ใครง่าย ๆ เกรงคนดีแต่ไม่คร้ามนักเลง ตอนสมัยในวัยเด็กข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักเลยว่า "หลวงพ่อกวย" นั้น ท่านนั้นเป็นใครหรือมีประวัติความเป็นมาอย่างไร เพราะข้าพเจ้านั้น ไปเติบโตอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี( อำเภอบ่อพลอย) บ้านบิดาของข้าพเจ้า แต่ก็ได้ยินได้ฟังจากปู่ย่าตายายว่า "หลวงพ่อกวย" นั้น ท่านเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์มากองค์หนึ่ง ตอนเด็ก ๆ ข้าพเจ้าเคยเห็นบนหิ้งพระของบ้าน  ก็มีรูปของหลวงพ่ออยู่แต่ก็มิได้สนใจแต่ประการใด

เรื่องราวประวัติในองค์ของ "หลวงพ่อ" นั้น ต่างคนก็ต่างความเป็นมา ประจักษ์มาไม่เหมือนกัน ในประวัติเคยได้เห็นคนที่ แสดงตนว่าเป็นลูกศิษย์ และนับถือ "หลวงพ่อ" มาก ๆ อยู่หลายคน เช่น ขออนุญาตเอ่ยนาม พี่ที่ชื่อ ครู(อ้ายครู) คุณเฒ่า สุพรรณ คุณเอ๋ สรรพยา และท่านอื่น ๆ ฯลฯ ก็เทิดทูนท่าน เพราะมีครูบาอาจารย์องค์เดียวกัน นิ้วมือยังไม่เท่ากัน ต่างคนก็ยกย่อง ต่างนิสัยใจคอ แล้วแต่เจตนา แต่สำหรับข้าพเจ้าในชีวิตนี้ จะไม่ขายครูบาอาจารย์เด็ดขาด คนเราถ้าขายครูบาอาจารย์แล้ว ก็ไม่น่าจะเรียกตัวเองว่า "ลูกศิษย์" ให้เป็นให้ หรือแลกก็ได้ แต่ของทุกชิ้นของหลวงพ่อ ต้องควรยกไว้สำนักหนึ่ง มั่นหรือไม่มั่น ให้ดูกัน วัดที่ตรงเจตนา

ในสมัยเด็ก ๆ นั้น ด้วยความที่ครอบครัวของข้าพเจ้านี้ถูกปลูกฝัง ในเรื่องบาปบุญคุณโทษมาเป็นอย่างมาก ปู่ของข้าพเจ้านั้น เป็นมัคทายกวัด และเคยบวชเรียน ตอนสมัยท่านรุ่น ๆ ได้บริจาคที่ดินสร้าง "วัดดอนตาเพชร" (จ.กาญจนบุรี) ท่านนั้นเป็นลูกศิษย์ของ  “หลวงปู่ซ้ง แห่ง วัดดอนตาเพชร” พระเกจิอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์หนึ่งของ จ.กาญจนบุรี พ่อของข้าพเจ้าและลุง ๆ จึงได้บวชกันคนละหลายพรรษา และนี่เองเป็นที่มาของความศรัทธาใน อิทธิปาฏิหาริย์ แห่งความเข้มขลังของสิ่งที่ข้าพเจ้าเรียกตอนเด็ก ๆ ว่า "ของดี"

เย็นวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าได้วิ่งเล่นอยู่ที่หน้าบ้าน ก็เป็นปรกติทุกวัน ย่าของข้าพเจ้านั้น แกจะมากวาดลานบ้าน เพราะที่หน้าบ้านของข้าพเจ้านั้น มีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ต้นหนึ่งที่เรียกว่า "ต้นหูกวาง" ต้นไม้ชนิดนี้ใบมันจะดกเป็นพิเศษร่วงลงมาทุกวัน ย่าของข้าพเจ้าแกก็กวาดแล้วจุดไฟเผาของแกทุกวันเหมือนกัน ทุก ๆ วันก็ไม่เห็นจะมีเหตุการณ์อะไรที่น่าแปลกใจ แต่วันนี้แกกลับบ่น อุทานของแกอยู่นาน ข้าพเจ้าจึงเดินเข้าไปถามแกว่าเป็นอะไรหรือย่า เห็นบ่นอยู่พักใหญ่ ย่าแกบอกว่า "วันนี้ทำไมใบไม้กองนี้จุดไฟยังไงก็ไม่ติด??" ทุกวันมันติดง่าย ทั้ง ๆ ที่ใบไม้ก็แห้งดี เอาไฟจ่อก็แล้ว แกก็บ่นของแกไป ข้าพเจ้าจึงได้ลองดูบ้าง ก็พบกับความฉงนใจจริง ๆ เพราะว่าจุดเท่าไหร่ ก็ไม่ยอมติดสักที ขนาดใช้รองเท้าเก่า ๆ จุดไฟลนแต่กองใบไม้มันกลับไม่ยอมไหม้เลย สักพักเสียงคงดังเข้าไปในบ้านของข้าพเจ้า ลุงของข้าพเจ้าจึงเดินออกมาถามว่ามีอะไรกัน ก็เล่าให้ลุงฟัง ลุงข้าพเจ้าเงียบไปสักพัก เหมือนพิจารณาดู (ไม่ได้เพ่งกระแสจิต) แล้วลุงข้าพเจ้าก็เอามือควานเหมือนคุ้ยหาอะไรบางอย่างในกองใบไม้ แกหาอยู่สักพัก ทันใดนั้นแกก็อุทานขึ้นมาว่า “เอ้า!!!ตายล่ะ มันจะไปติดได้ยังไงละแม่ ไม่รู้ว่าใคร มาทำของดีตกไว้ในนี้ กวาดไม่เห็นบ้างหรือ” ข้าพเจ้าก็งง ๆ ลุงข้าพเจ้า จึงพูดบอกว่า นี่ก็คือ แหวนพิรอดแขน ของพระเดชพระคุณ "หลวงพ่อม่วง แห่ง วัดบ้านทวน" เชียวนะ ย่าของข้าพเจ้าพอรู้ แกก็รีบยกมือสาธุขอขมาใหญ่เลย(แบบคนแก่เขาทำกัน) นี่จึงเป็นที่มาของความศรัทธาในพระเกจิอาจารย์อันทรงวิทยาคมที่เกิดขึ้นภายในใจของข้าพเจ้า แต่นั้นมา

ต้นเรื่องแห่งความศรัทธา"หลวงพ่อ"

วันเวลาผ่านไปหลายปี และทุกปีข้าพเจ้าและครอบครัวก็จะเดินทางทุก ๆ ครั้งที่ไปบ้านแค ข้าพเจ้าก็จะไปหาวัดเที่ยว อยากไปดูอะไร ๆที่มันแปลกตา ในใจคืออยากจะไปทำบุญเพราะชอบทำ ทำแล้วมีความสุขสบายใจดี วันหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้าขี่จักรยานออกมาซื้อของในหมู่บ้าน(บ้านแค) ก็ไปเจอร้านค้าร้านหนึ่ง ก็เลยเข้าไปเดินดูอะไรในร้านเพลิน ๆ อยู่ ๆ สายตาของข้าพเจ้าก็เพ้อไปเห็นรูปพระอยู่บานหนึ่ง จำได้คลับคล้ายคลับคราว่าเหมือนรูปที่บ้าน ก็เลยถามเจ้าของร้านว่านี่รูปหลวงพ่ออะไร รู้สึกคุ้น ๆ แม่ค้าแกบอกว่าเป็นรูป "หลวงพ่อกวย วัดบ้านแค" ท่านศักดิ์สิทธิ์มากว่าง ๆ ก็ลองไปกราบท่านที่วัดซิ แล้วแกก็ชี้มือบอกไป ในขณะนั้น ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่าต้องมนต์ตราอะไรบางอย่าง ข้าพเจ้ามองดูรูปของ "หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร" ยืนมองอยู่นานมาก มองอยู่อย่างนั้น คล้าย ๆ ใจมันพูดขึ้นมากับหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ ผมคิดถึงมาก ๆ เลย คิดถึงเหลือเกิน ไม่ได้เจอหลวงพ่อนานเหลือเกิน” เท่านั้นแหละน้ำตาของข้าพเจ้า ได้ปริ่มออกมาจากตาทั้งสองตาเลย แล้วข้าพเจ้าก็ก้มลงกราบรูป "หลวงพ่อ" บานนั้น ตรงหน้าร้านค้าเลย ทุกคนมองงงกัน บางคนก็ยิ้ม ๆ แบบแสดงออกว่า นี่เราลูกพ่อเดียวกันนะ  ทั้งที่ที่บ้านข้าพเจ้าก็มีรูปหลวงพ่ออยู่ แต่รูปคงบานเล็ก ข้าพเจ้าก็เลยสังเกตเห็นหน้าของหลวงพ่อไม่ถนัดหรืออย่างไรกันก็ไม่ทราบ แต่วันนั้นข้าพเจ้า รู้สึกสุขใจมากจริง ๆ จึงเริ่มศึกษาประวัติ

"ไม่มีพระของหลวงพ่อเลยน้อยใจ"

เรื่องก็มีอยู่ว่าหลังจากตอนที่ ตาของข้าพเจ้าเสียนั้น ตาแกก็เก็บของ ๆ หลวงพ่อไว้มากอยู่ แต่ด้วยความที่แม่ของข้าพเจ้านั้นเป็นผู้หญิง ก็เลย(ไม่ขอกล่าว) เวลาที่ข้าพเจ้าไปชัยนาททีไร ญาติเขาก็โชว์พระของหลวงพ่อกวยกัน เหรียญหนุมานบ้าง แหวกม่านบ้างเหรียญดัง ๆ ทั้งนั้น ฯลฯ หลายอย่าง ข้าพเจ้าไม่มีเงินจะไปเช่าอย่างนั้น ก็เคยมีที่ลองเอ่ยปากขอเขาดู ก็เฉย ๆ กัน ก็ไม่เป็นไร คว้าจักรยานได้ ถีบมาที่วัดหลวงพ่อประมาณ 3 โลกว่า ๆ เองไปกลับก็ 6 โลเอง ชิว ๆ สบาย อารมณ์นั้น พอไปถึงวิหารเท่านั้นล่ะ หน้าละห้อยเลย เก็บอาการไม่อยู่ ไม่ไหว กราบหลวงพ่อ 3 ครั้ง ก็ได้ปรารภกับหลวงพ่อในเชิง น้อยใจว่า หลวงพ่อครับ ผมก็ลูกหลวงพ่อ เหมือนกัน ถ้าผมได้เกิดทันได้รับใช้ "หลวงพ่อ" ละก็ ผมก็ต้องมีของดีของ "หลวงพ่อ" ไม่น้อยกว่าใคร ถ้าผมเกิดทันหลวงพ่อ ผมก็คงจะไม่ถูกคนบางคนที่หวงแม้กระทั้ง ความรู้ หวงแม้กระทั้ง ประวัติของ "หลวงพ่อ" คนบางคนเขาถือว่าเขาได้เห็นหลวงพ่อได้เคยสัมผัส แต่ที่พบส่วนหนึ่ง คือใจไม่นักเลง(แต่ไม่ทุกคน) ถ้าลูกนี้มีบุญวาสนากับหลวงพ่ออยู่ ก็ขอให้หลวงพ่อ โปรดเมตตาลูกด้วยเทอญ ลูกขอของดีติดตัวไว้ประจำกายสักชิ้นเทอญ นั่งพรรณนาอยู่ครึ่งวัน
จริงแล้วพูดเยอะมาก น้ำตางี้ซึมเลย


ของ"หลวงพ่อ"ทุกชิ้น ย่อมมีเจ้าของ ของตัวเอง

หลังจากที่ข้าพเจ้าได้เดินทางกลับบ้านที่ เมืองกาญจนบุรี ตอนนั้นก็ยังไม่มีพระของหลวงพ่อใช้ ประกอบกับไม่ค่อยมีเงิน ก็ได้แต่นึกเอา เวลาไม่สบายใจ หรือทุกข์ใจก็ใช้นึกถึง ระลึกถึงภาพหลวงพ่อ แล้วกล่าวชื่อ กับฉายาของท่านแทน 2 เดือนผ่านไป มีอยู่วันหนึ่งพี่สาวของข้าพเจ้า นึกยังไงไม่รู้ อยู่ ๆ ก็มาชวนข้าพเจ้าเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองกาญจนบุรี บอกว่าให้ไปเป็นเพื่อนทำฟันหน่อย ไปคนเดียวไม่มีเพื่อนคุย ตอนนั้นข้าพเจ้ามีเงินติดกระเป๋าอยู่พอดี 300 บาท ก็ว่าง ๆ ก็เลยไปกับเขา กินฟรี เที่ยวฟรี ก็ต้องไปซิ ตัวอำเภอบ่อพลอยห่าง จากเมืองกาญจนบุรี ประมาน 40 โล นั่งรถเมล์ไปก็ใช้เวลา ประมาณ 2 ช.ม. สรุปแล้ววันนั้นใช้เวลาไปถึงคลินิก ก็ราว ๆ 3 ช.ม. เห็นจะได้ พอถึงพี่สาวของข้าพเจ้าก็เข้าไปทำฟันข้างในก็นั่งรออยู่นานก็ยังไม่เสร็จสักที เบื่อ ๆ เซ็ง ๆ ก็เลยเดินออกมาข้างนอกคลินิก  ดูอะไรเรื่อยเปื่อย พอดีสายตาเหลือบไปเห็นร้ายขายของเก่าอยู่รายหนึ่ง มีตาแป๊ะแก่ ๆ นั่งอยู่หน้าร้านก็เลยเดินเข้าไปคุยด้วย คุยไปคุยมาเห็นแกมีพระวางแอบ ๆ อยู่กับหวย ก็เลยก้มหน้าลงไปมองดู ทันใดนั้นขนข้าพเจ้าก็ลุกชันไปทั้งตัว ด้วยความตกตะลึง เพราะว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นก็คือ รูปถ่ายของหลวงพ่อ ที่เก่ามากขนาดเท่ากล่องไม้ขีด วางเรียงไว้ในกล่องตู้หวยของอาแป๊ะคนนั้น ข้าพเจ้าจึงรีบถามถึงความเป็นมาว่า แกได้รูปพวกนี้มาได้ยังไง อาแป๊ะแกบอกว่า เมื่อวานนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งมาให้เช่า ทีแรกแกก็จะไม่เช่า แต่แกเห็นว่าอุ้มลูกมาด้วย แกสงสารก็เลยช่วยไป ผมจึงรีบถามอาแป๊ะ ว่า จะปล่อยไหม ผมขอเช่าต่อ แกก็บอกว่าแกไม่ปล่อยจะเก็บไว้เพราะสวยดี ข้าพเจ้าเฝ้าอ้อนวอนแกอยู่นานมาก พรรณนาให้แกฟังว่า ท่านเป็นพระที่ข้าพเจ้าศรัทธามาก เป็นพระที่บ้านแม่ พูดไปพูดมา จนแกสงสาร ก็เลยเอาออกมาให้เลือกดู มีอยู่ 4 องค์ รูปหลวงพ่อเก่าถึงยุค นั่งขัดสมาธิ ด้านหลังมีจีวรจารพร้อม อีกบานเป็นรูปหน้าตรงเข้มขลังมาก ด้านหลังมีแผ่นตะกั่วจาร หัวใจกรณี ของหลวงพ่อเฒ่า(ข้าพเจ้าพออ่านแปลขอมได้พอตัว) ถามแกว่าจะเอาเท่าไร แกก็ว่าเป็นพันเลย โอ้ย ปวดหัวมาก ใจจะขาด มีเงินอยู่ 300 บาทเอง ก็เลยอ้อนวอนแกใหม่ บอกว่ามีอยู่แค่นี้จริง ๆ สรุปเลย แกให้มา 2 รูป รูปหน้าตรงกับรูปนั่ง ข้าพเจ้าดีใจมากที่สุดถึงที่สุด กะว่าพรุ่งนี้จะกลับไปเช่าให้หมดสักหน่อย พอไปอีกที อาแป๊ะแกบอกว่า มีคนมาเช่าไปแล้ว ให้ราคาดีกว่าข้าพเจ้าเสียอีก ข้าพเจ้างี้รู้สึกเสียดายมากๆ แต่ก็ดีใจเพราะในที่สุดก็สมใจเสียที ได้ความว่า ผู้หญิงที่เอารูปมานั้น เป็นเมียตำรวจ แต่ผัวแกเพิ่งตายไป เห็นรูปวางอยู่บนพานมานานแล้ว เลยเป็นโชคดีของข้าพเจ้า ปัจจุบันนี้ รูปหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเลี่ยมเงินใช้ประจำกายมาหลายปีแล้ว แบบว่าเอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม รุ่นไหนดัง รุ่นไหนดี แต่ไม่ได้เห็นหน้าหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็ไม่อยากได้ ต้องรูปซิ ข้าพเจ้าถึงจะอุ่นใจ

ประจักษ์กับตาตัวเองถึง 2 ครั้ง (วาระแรก)

เรื่องมีอยู่ว่า ตอนสมัยที่ข้าพเจ้าได้รูปของหลวงพ่อมาใหม่ ๆ ก็ยังไม่มีเงินจะไปเลี่ยมท่าน ก็ไม่ได้คิดมากอะไรไปไหนมาไหน ข้าพเจ้าก็ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อไว้ เซฟอย่างดีไม่มีหล่น และมีอยู่วันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ขึ้นกับตัวของข้าพเจ้า คือวันนั้นเป็นวันงานเทศกาลประจำหมู่บ้าน ข้าพเจ้าก็ได้ไปเที่ยวบ้านเพื่อนในหมู่บ้าน พอดีพี่ชายเพื่อนเขาซื้อปืนลูกซองมาใหม่ ก็เลยเอามาโชว์ก็ดูสวยดี เพื่อนมันเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่ซื้อปืนมา ไก่หมาแถวบ้านมันตายไปหลายตัว ก็ได้ความมาว่า พี่มันเป็นเด็กเทพ ปริญญา เรียนมาสูง ประมาณนั้น ชอบลองปืน แต่ไม่ชอบยิงกระป๋อง โอ้!!!ข้าพเจ้าได้ยินก็อดสังเวชใจไม่ได้ "มึงนี่มัน ....จริงๆ" พวกขี้เมาก็เฮ กันใหญ่เสียงดังเจี๊ยวจ๊าว (ข้าพเจ้าไม่ดื่มเหล้า) แต่ก็นั่งคุยกับเขาไป สักพักมันมีขี้เมาคนหนึ่ง พูดออกมาว่า “กูไม่เชื่อหรอกไอ้พระ เผอะ ที่เขาว่ายิงไม่ออก กูจะยิงให้กระเด็นเลย” แล้วก็พูดจาบจ้วงอีกเยอะ พวกขี้เมามันก็เฮกัน ใหม่ ๆ ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจเห็นว่ามันเมา พอหนักเข้ามันเล่นดูถูกกันมากเกินไป ข้าพเจ้าจึงปรามเขาว่า “น้องชาย ไม่เอาอย่าไปพูดอย่างนั้น มันไม่ดีหรอก เราไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่เลย” มันก็ทำเป็นตลก แล้วบอก ก็ผมไม่เห็นจะมีเลย เหลวไหล สิ้นดี

ข้าพเจ้างี้ปรี๊ดเลย จะก้านคอ เดี๋ยวเขาก็หาว่า นักเลง ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า มีรูปของหลวงพ่ออยู่ในกระเป๋า ก็ไม่รู้นึกยังไง มั่นใจศรัทธามั่นคง ก็เลยพูดดัง ๆ ออกไปว่า อย่าได้ปรามาสพระพุทธศาสนากันเลย ของจริงมีอยู่ จะได้ให้ชมบารมี แต่ว่าจะให้ลองแค่ 3 ครั้งเท่านั้นนะ ห้ามเกินถ้าเกินจะไม่ขอรับประกัน ความปลอดภัย พวกขี้เมาก็อาสากันจะเป็นคนยิง ตอนนั้นข้าพเจ้าบอกตรง ๆ ว่า กลัว ๆ เหมือนกัน แต่ใจก็มั่นเต็ม 100 ข้าพเจ้าจึงนำรูปอัดกระจกของหลวงพ่อ ยกขึ้นท่วมหัว แล้วบอกกล่าวกับหลวงพ่อ บัดนี้ได้มีคนมาปรามาสบวรพระพุทธศาสนาว่าไม่มีความศักดิ์สิทธิ์จริง หากปล่อยไว้ก็จะเป็นรอยมลทินต่อ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้ ข้าพเจ้า จึงตั้ง นะโม 3 จบแล้วตามด้วย ตะมังธัง ปะกาเสนโต ฯ

แล้วข้าพเจ้า ก็ได้นำรูปนั้นไปแขวนไว้ที่ต้นไม้ เพื่อนของข้าพเจ้าอาสาเป็นคนยิง โดยใช้ปืนปราบเหนียว(ปืนอีแก๊ป)ยิง ละแล้วสายตาของทุกคนก็ต้องตะลึง เพราะสิ่งที่ประจักษ์คือ ปืน เสียงดัง แชะ!!!เล่นเอาขี้เมางี้สร่างเลย พี่ชายของเพื่อนเลยวิ่งเข้าไปเอาปืนกระบอกใหม่ออกมา ใส่ลูกแล้วก็พูดว่ากูเอง จะแน่สักแค่ไหน พอสับไกเท่านั้นเสียงงี้ดังสนั่นทุ่งเลย แต่ปรากฏว่าไม่มีแม้แต่ริ้วรอยขีดข่วนที่รูปของหลวงพ่อเลย ทั้งที่รูปนั้นเป็นบานกระจกแท้ ๆ ขี้เมาบางคนก้มกราบขอขมาใหญ่เลย "เชื่อแล้ว หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์เหลือเกินๆๆๆๆๆ" มันพูดซ้ำ ๆ เหมือนโดนมนต์ตรา งงงวย กันประหนึ่งนั้นเลย แต่ก็มีบางคนที่ยังไม่ยอม จะขอลองอีกพวกก็ทักท้วงว่าพอแล้ว ๆ มันก็ไม่ยอม ผลสรุปว่านัดสุดท้าย ปืนแตกเลย เคราะห์ดี ที่ไม่มีใครเป็นอะไร นี่คือครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ประจักษ์อภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ ของหลวงพ่อ กับตาตัวเอง สาบานได้เลยว่านี่ คือเรื่องจริง ทีนี้ต่อมาไม่นานก็เกิดอาเพศขึ้นในหมู่บ้านนั้น อยู่ ๆ ชาวบ้านเขาก็เล่ากันว่า ไอ้พวกที่ลองปืนกันวันนั้น อยู่ ๆ มันก็จะฆ่ากันอีก บางคนสติเพ้อไปเฉยเลย เดินเพี้ยน อยู่ที่นั้นไม่ได้ ต้องหนีไปที่อื่น หาหมอก็รักษาไม่ได้ ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกัน เคยถามผู้รู้ในหมู่ลูกศิษย์ของสายหลวงพ่อก็ได้รับคำตอบมาว่า ไอ้พวกนั้นสงสัยว่ามันจะโดนต้องมนต์ที่หลวงพ่อกำกับอาคม ในพระเครื่องของท่านไว้ เห็นลุงแกบอกว่าพระมนต์บทนั้นมีชื่อที่เรียกกันว่า "มนต์พระกาฬ"

ขอขอบคุณท่านที่เข้ามาอ่านแล้วข้าพเจ้าจะนำประสบการณ์ที่ไดประสบมามาถ่ายทอดให้พี่ ๆ น้อง ๆ นั้นได้อ่านกันใหม่ใน ตอนต่อไป ซึ่งจะใช้ชื่อว่า"อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อ กวย ชุตินฺธโร ตอน 2

ออฟไลน์ weerawat26

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 39
  • กระทู้: 1103
  • พลังน้ำใจ 39
Re: อภินิหารูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 1
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ธันวาคม 06, 2011, 10:49:54 am »
"หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร" ในเรื่องราว ประสบการณ์
[/color][/b]



ข้าพเจ้านี้ เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราว ต่าง ๆ ที่พี่ ๆ น้อง ๆ นั้น มาเล่าสู่กันฟังมานานแล้วอยู่เหมือนกัน บางครั้งอ่านแล้วข้าพเจ้าก็รู้สึกซาบซึ้ง ในความรักและเคารพในองค์หลวงพ่อนี้ ของพวกเรา แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะได้มาถ่ายทอดประสบการณ์ของตัวเอง ให้พี่ ๆ น้อง ๆ ได้ฟัง

ด้วยความที่ข้าพเจ้าเองก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของชาวสรรค์บุรี เพราะมารดานั้นเป็นชาวบ้านแค อยู่ห่างจากวัดของหลวงพ่อไม่ไกลมากนัก ข้าพเจ้าก็ได้รับการปลูกฝัง จากเราชาวบ้านแค อยู่อย่างหนึ่งว่า เรานี่เป็นคนจริง มีสัจจะ ไม่รังแกใคร ไม่ลบหลู่ใครก่อน และถ้าเป็นเรื่อง "อาคม" แล้ว เราย่อมไม่ลงให้ใครง่าย ๆ เกรงคนดีแต่ไม่คร้ามนักเลง ตอนสมัยในวัยเด็กข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักเลยว่า "หลวงพ่อกวย" นั้น ท่านนั้นเป็นใครหรือมีประวัติความเป็นมาอย่างไร เพราะข้าพเจ้านั้น ไปเติบโตอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี( อำเภอบ่อพลอย) บ้านบิดาของข้าพเจ้า แต่ก็ได้ยินได้ฟังจากปู่ย่าตายายว่า "หลวงพ่อกวย" นั้น ท่านเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์มากองค์หนึ่ง ตอนเด็ก ๆ ข้าพเจ้าเคยเห็นบนหิ้งพระของบ้าน  ก็มีรูปของหลวงพ่ออยู่แต่ก็มิได้สนใจแต่ประการใด

เรื่องราวประวัติในองค์ของ "หลวงพ่อ" นั้น ต่างคนก็ต่างความเป็นมา ประจักษ์มาไม่เหมือนกัน ในประวัติเคยได้เห็นคนที่ แสดงตนว่าเป็นลูกศิษย์ และนับถือ "หลวงพ่อ" มาก ๆ อยู่หลายคน เช่น ขออนุญาตเอ่ยนาม พี่ที่ชื่อ ครู(อ้ายครู) คุณเฒ่า สุพรรณ คุณเอ๋ สรรพยา และท่านอื่น ๆ ฯลฯ ก็เทิดทูนท่าน เพราะมีครูบาอาจารย์องค์เดียวกัน นิ้วมือยังไม่เท่ากัน ต่างคนก็ยกย่อง ต่างนิสัยใจคอ แล้วแต่เจตนา แต่สำหรับข้าพเจ้าในชีวิตนี้ จะไม่ขายครูบาอาจารย์เด็ดขาด คนเราถ้าขายครูบาอาจารย์แล้ว ก็ไม่น่าจะเรียกตัวเองว่า "ลูกศิษย์" ให้เป็นให้ หรือแลกก็ได้ แต่ของทุกชิ้นของหลวงพ่อ ต้องควรยกไว้สำนักหนึ่ง มั่นหรือไม่มั่น ให้ดูกัน วัดที่ตรงเจตนา

ในสมัยเด็ก ๆ นั้น ด้วยความที่ครอบครัวของข้าพเจ้านี้ถูกปลูกฝัง ในเรื่องบาปบุญคุณโทษมาเป็นอย่างมาก ปู่ของข้าพเจ้านั้น เป็นมัคทายกวัด และเคยบวชเรียน ตอนสมัยท่านรุ่น ๆ ได้บริจาคที่ดินสร้าง "วัดดอนตาเพชร" (จ.กาญจนบุรี) ท่านนั้นเป็นลูกศิษย์ของ  “หลวงปู่ซ้ง แห่ง วัดดอนตาเพชร” พระเกจิอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์หนึ่งของ จ.กาญจนบุรี พ่อของข้าพเจ้าและลุง ๆ จึงได้บวชกันคนละหลายพรรษา และนี่เองเป็นที่มาของความศรัทธาใน อิทธิปาฏิหาริย์ แห่งความเข้มขลังของสิ่งที่ข้าพเจ้าเรียกตอนเด็ก ๆ ว่า "ของดี"

เย็นวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าได้วิ่งเล่นอยู่ที่หน้าบ้าน ก็เป็นปรกติทุกวัน ย่าของข้าพเจ้านั้น แกจะมากวาดลานบ้าน เพราะที่หน้าบ้านของข้าพเจ้านั้น มีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ต้นหนึ่งที่เรียกว่า "ต้นหูกวาง" ต้นไม้ชนิดนี้ใบมันจะดกเป็นพิเศษร่วงลงมาทุกวัน ย่าของข้าพเจ้าแกก็กวาดแล้วจุดไฟเผาของแกทุกวันเหมือนกัน ทุก ๆ วันก็ไม่เห็นจะมีเหตุการณ์อะไรที่น่าแปลกใจ แต่วันนี้แกกลับบ่น อุทานของแกอยู่นาน ข้าพเจ้าจึงเดินเข้าไปถามแกว่าเป็นอะไรหรือย่า เห็นบ่นอยู่พักใหญ่ ย่าแกบอกว่า "วันนี้ทำไมใบไม้กองนี้จุดไฟยังไงก็ไม่ติด??" ทุกวันมันติดง่าย ทั้ง ๆ ที่ใบไม้ก็แห้งดี เอาไฟจ่อก็แล้ว แกก็บ่นของแกไป ข้าพเจ้าจึงได้ลองดูบ้าง ก็พบกับความฉงนใจจริง ๆ เพราะว่าจุดเท่าไหร่ ก็ไม่ยอมติดสักที ขนาดใช้รองเท้าเก่า ๆ จุดไฟลนแต่กองใบไม้มันกลับไม่ยอมไหม้เลย สักพักเสียงคงดังเข้าไปในบ้านของข้าพเจ้า ลุงของข้าพเจ้าจึงเดินออกมาถามว่ามีอะไรกัน ก็เล่าให้ลุงฟัง ลุงข้าพเจ้าเงียบไปสักพัก เหมือนพิจารณาดู (ไม่ได้เพ่งกระแสจิต) แล้วลุงข้าพเจ้าก็เอามือควานเหมือนคุ้ยหาอะไรบางอย่างในกองใบไม้ แกหาอยู่สักพัก ทันใดนั้นแกก็อุทานขึ้นมาว่า “เอ้า!!!ตายล่ะ มันจะไปติดได้ยังไงละแม่ ไม่รู้ว่าใคร มาทำของดีตกไว้ในนี้ กวาดไม่เห็นบ้างหรือ” ข้าพเจ้าก็งง ๆ ลุงข้าพเจ้า จึงพูดบอกว่า นี่ก็คือ แหวนพิรอดแขน ของพระเดชพระคุณ "หลวงพ่อม่วง แห่ง วัดบ้านทวน" เชียวนะ ย่าของข้าพเจ้าพอรู้ แกก็รีบยกมือสาธุขอขมาใหญ่เลย(แบบคนแก่เขาทำกัน) นี่จึงเป็นที่มาของความศรัทธาในพระเกจิอาจารย์อันทรงวิทยาคมที่เกิดขึ้นภายในใจของข้าพเจ้า แต่นั้นมา

ต้นเรื่องแห่งความศรัทธา"หลวงพ่อ"

วันเวลาผ่านไปหลายปี และทุกปีข้าพเจ้าและครอบครัวก็จะเดินทางทุก ๆ ครั้งที่ไปบ้านแค ข้าพเจ้าก็จะไปหาวัดเที่ยว อยากไปดูอะไร ๆที่มันแปลกตา ในใจคืออยากจะไปทำบุญเพราะชอบทำ ทำแล้วมีความสุขสบายใจดี วันหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้าขี่จักรยานออกมาซื้อของในหมู่บ้าน(บ้านแค) ก็ไปเจอร้านค้าร้านหนึ่ง ก็เลยเข้าไปเดินดูอะไรในร้านเพลิน ๆ อยู่ ๆ สายตาของข้าพเจ้าก็เพ้อไปเห็นรูปพระอยู่บานหนึ่ง จำได้คลับคล้ายคลับคราว่าเหมือนรูปที่บ้าน ก็เลยถามเจ้าของร้านว่านี่รูปหลวงพ่ออะไร รู้สึกคุ้น ๆ แม่ค้าแกบอกว่าเป็นรูป "หลวงพ่อกวย วัดบ้านแค" ท่านศักดิ์สิทธิ์มากว่าง ๆ ก็ลองไปกราบท่านที่วัดซิ แล้วแกก็ชี้มือบอกไป ในขณะนั้น ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่าต้องมนต์ตราอะไรบางอย่าง ข้าพเจ้ามองดูรูปของ "หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร" ยืนมองอยู่นานมาก มองอยู่อย่างนั้น คล้าย ๆ ใจมันพูดขึ้นมากับหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ ผมคิดถึงมาก ๆ เลย คิดถึงเหลือเกิน ไม่ได้เจอหลวงพ่อนานเหลือเกิน” เท่านั้นแหละน้ำตาของข้าพเจ้า ได้ปริ่มออกมาจากตาทั้งสองตาเลย แล้วข้าพเจ้าก็ก้มลงกราบรูป "หลวงพ่อ" บานนั้น ตรงหน้าร้านค้าเลย ทุกคนมองงงกัน บางคนก็ยิ้ม ๆ แบบแสดงออกว่า นี่เราลูกพ่อเดียวกันนะ  ทั้งที่ที่บ้านข้าพเจ้าก็มีรูปหลวงพ่ออยู่ แต่รูปคงบานเล็ก ข้าพเจ้าก็เลยสังเกตเห็นหน้าของหลวงพ่อไม่ถนัดหรืออย่างไรกันก็ไม่ทราบ แต่วันนั้นข้าพเจ้า รู้สึกสุขใจมากจริง ๆ จึงเริ่มศึกษาประวัติ

"ไม่มีพระของหลวงพ่อเลยน้อยใจ"

เรื่องก็มีอยู่ว่าหลังจากตอนที่ ตาของข้าพเจ้าเสียนั้น ตาแกก็เก็บของ ๆ หลวงพ่อไว้มากอยู่ แต่ด้วยความที่แม่ของข้าพเจ้านั้นเป็นผู้หญิง ก็เลย(ไม่ขอกล่าว) เวลาที่ข้าพเจ้าไปชัยนาททีไร ญาติเขาก็โชว์พระของหลวงพ่อกวยกัน เหรียญหนุมานบ้าง แหวกม่านบ้างเหรียญดัง ๆ ทั้งนั้น ฯลฯ หลายอย่าง ข้าพเจ้าไม่มีเงินจะไปเช่าอย่างนั้น ก็เคยมีที่ลองเอ่ยปากขอเขาดู ก็เฉย ๆ กัน ก็ไม่เป็นไร คว้าจักรยานได้ ถีบมาที่วัดหลวงพ่อประมาณ 3 โลกว่า ๆ เองไปกลับก็ 6 โลเอง ชิว ๆ สบาย อารมณ์นั้น พอไปถึงวิหารเท่านั้นล่ะ หน้าละห้อยเลย เก็บอาการไม่อยู่ ไม่ไหว กราบหลวงพ่อ 3 ครั้ง ก็ได้ปรารภกับหลวงพ่อในเชิง น้อยใจว่า หลวงพ่อครับ ผมก็ลูกหลวงพ่อ เหมือนกัน ถ้าผมได้เกิดทันได้รับใช้ "หลวงพ่อ" ละก็ ผมก็ต้องมีของดีของ "หลวงพ่อ" ไม่น้อยกว่าใคร ถ้าผมเกิดทันหลวงพ่อ ผมก็คงจะไม่ถูกคนบางคนที่หวงแม้กระทั้ง ความรู้ หวงแม้กระทั้ง ประวัติของ "หลวงพ่อ" คนบางคนเขาถือว่าเขาได้เห็นหลวงพ่อได้เคยสัมผัส แต่ที่พบส่วนหนึ่ง คือใจไม่นักเลง(แต่ไม่ทุกคน) ถ้าลูกนี้มีบุญวาสนากับหลวงพ่ออยู่ ก็ขอให้หลวงพ่อ โปรดเมตตาลูกด้วยเทอญ ลูกขอของดีติดตัวไว้ประจำกายสักชิ้นเทอญ นั่งพรรณนาอยู่ครึ่งวัน
จริงแล้วพูดเยอะมาก น้ำตางี้ซึมเลย


ของ"หลวงพ่อ"ทุกชิ้น ย่อมมีเจ้าของ ของตัวเอง

หลังจากที่ข้าพเจ้าได้เดินทางกลับบ้านที่ เมืองกาญจนบุรี ตอนนั้นก็ยังไม่มีพระของหลวงพ่อใช้ ประกอบกับไม่ค่อยมีเงิน ก็ได้แต่นึกเอา เวลาไม่สบายใจ หรือทุกข์ใจก็ใช้นึกถึง ระลึกถึงภาพหลวงพ่อ แล้วกล่าวชื่อ กับฉายาของท่านแทน 2 เดือนผ่านไป มีอยู่วันหนึ่งพี่สาวของข้าพเจ้า นึกยังไงไม่รู้ อยู่ ๆ ก็มาชวนข้าพเจ้าเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองกาญจนบุรี บอกว่าให้ไปเป็นเพื่อนทำฟันหน่อย ไปคนเดียวไม่มีเพื่อนคุย ตอนนั้นข้าพเจ้ามีเงินติดกระเป๋าอยู่พอดี 300 บาท ก็ว่าง ๆ ก็เลยไปกับเขา กินฟรี เที่ยวฟรี ก็ต้องไปซิ ตัวอำเภอบ่อพลอยห่าง จากเมืองกาญจนบุรี ประมาน 40 โล นั่งรถเมล์ไปก็ใช้เวลา ประมาณ 2 ช.ม. สรุปแล้ววันนั้นใช้เวลาไปถึงคลินิก ก็ราว ๆ 3 ช.ม. เห็นจะได้ พอถึงพี่สาวของข้าพเจ้าก็เข้าไปทำฟันข้างในก็นั่งรออยู่นานก็ยังไม่เสร็จสักที เบื่อ ๆ เซ็ง ๆ ก็เลยเดินออกมาข้างนอกคลินิก  ดูอะไรเรื่อยเปื่อย พอดีสายตาเหลือบไปเห็นร้ายขายของเก่าอยู่รายหนึ่ง มีตาแป๊ะแก่ ๆ นั่งอยู่หน้าร้านก็เลยเดินเข้าไปคุยด้วย คุยไปคุยมาเห็นแกมีพระวางแอบ ๆ อยู่กับหวย ก็เลยก้มหน้าลงไปมองดู ทันใดนั้นขนข้าพเจ้าก็ลุกชันไปทั้งตัว ด้วยความตกตะลึง เพราะว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นก็คือ รูปถ่ายของหลวงพ่อ ที่เก่ามากขนาดเท่ากล่องไม้ขีด วางเรียงไว้ในกล่องตู้หวยของอาแป๊ะคนนั้น ข้าพเจ้าจึงรีบถามถึงความเป็นมาว่า แกได้รูปพวกนี้มาได้ยังไง อาแป๊ะแกบอกว่า เมื่อวานนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งมาให้เช่า ทีแรกแกก็จะไม่เช่า แต่แกเห็นว่าอุ้มลูกมาด้วย แกสงสารก็เลยช่วยไป ผมจึงรีบถามอาแป๊ะ ว่า จะปล่อยไหม ผมขอเช่าต่อ แกก็บอกว่าแกไม่ปล่อยจะเก็บไว้เพราะสวยดี ข้าพเจ้าเฝ้าอ้อนวอนแกอยู่นานมาก พรรณนาให้แกฟังว่า ท่านเป็นพระที่ข้าพเจ้าศรัทธามาก เป็นพระที่บ้านแม่ พูดไปพูดมา จนแกสงสาร ก็เลยเอาออกมาให้เลือกดู มีอยู่ 4 องค์ รูปหลวงพ่อเก่าถึงยุค นั่งขัดสมาธิ ด้านหลังมีจีวรจารพร้อม อีกบานเป็นรูปหน้าตรงเข้มขลังมาก ด้านหลังมีแผ่นตะกั่วจาร หัวใจกรณี ของหลวงพ่อเฒ่า(ข้าพเจ้าพออ่านแปลขอมได้พอตัว) ถามแกว่าจะเอาเท่าไร แกก็ว่าเป็นพันเลย โอ้ย ปวดหัวมาก ใจจะขาด มีเงินอยู่ 300 บาทเอง ก็เลยอ้อนวอนแกใหม่ บอกว่ามีอยู่แค่นี้จริง ๆ สรุปเลย แกให้มา 2 รูป รูปหน้าตรงกับรูปนั่ง ข้าพเจ้าดีใจมากที่สุดถึงที่สุด กะว่าพรุ่งนี้จะกลับไปเช่าให้หมดสักหน่อย พอไปอีกที อาแป๊ะแกบอกว่า มีคนมาเช่าไปแล้ว ให้ราคาดีกว่าข้าพเจ้าเสียอีก ข้าพเจ้างี้รู้สึกเสียดายมากๆ แต่ก็ดีใจเพราะในที่สุดก็สมใจเสียที ได้ความว่า ผู้หญิงที่เอารูปมานั้น เป็นเมียตำรวจ แต่ผัวแกเพิ่งตายไป เห็นรูปวางอยู่บนพานมานานแล้ว เลยเป็นโชคดีของข้าพเจ้า ปัจจุบันนี้ รูปหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเลี่ยมเงินใช้ประจำกายมาหลายปีแล้ว แบบว่าเอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม รุ่นไหนดัง รุ่นไหนดี แต่ไม่ได้เห็นหน้าหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็ไม่อยากได้ ต้องรูปซิ ข้าพเจ้าถึงจะอุ่นใจ

ประจักษ์กับตาตัวเองถึง 2 ครั้ง (วาระแรก)

เรื่องมีอยู่ว่า ตอนสมัยที่ข้าพเจ้าได้รูปของหลวงพ่อมาใหม่ ๆ ก็ยังไม่มีเงินจะไปเลี่ยมท่าน ก็ไม่ได้คิดมากอะไรไปไหนมาไหน ข้าพเจ้าก็ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อไว้ เซฟอย่างดีไม่มีหล่น และมีอยู่วันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ขึ้นกับตัวของข้าพเจ้า คือวันนั้นเป็นวันงานเทศกาลประจำหมู่บ้าน ข้าพเจ้าก็ได้ไปเที่ยวบ้านเพื่อนในหมู่บ้าน พอดีพี่ชายเพื่อนเขาซื้อปืนลูกซองมาใหม่ ก็เลยเอามาโชว์ก็ดูสวยดี เพื่อนมันเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่ซื้อปืนมา ไก่หมาแถวบ้านมันตายไปหลายตัว ก็ได้ความมาว่า พี่มันเป็นเด็กเทพ ปริญญา เรียนมาสูง ประมาณนั้น ชอบลองปืน แต่ไม่ชอบยิงกระป๋อง โอ้!!!ข้าพเจ้าได้ยินก็อดสังเวชใจไม่ได้ "มึงนี่มัน ....จริงๆ" พวกขี้เมาก็เฮ กันใหญ่เสียงดังเจี๊ยวจ๊าว (ข้าพเจ้าไม่ดื่มเหล้า) แต่ก็นั่งคุยกับเขาไป สักพักมันมีขี้เมาคนหนึ่ง พูดออกมาว่า “กูไม่เชื่อหรอกไอ้พระ เผอะ ที่เขาว่ายิงไม่ออก กูจะยิงให้กระเด็นเลย” แล้วก็พูดจาบจ้วงอีกเยอะ พวกขี้เมามันก็เฮกัน ใหม่ ๆ ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจเห็นว่ามันเมา พอหนักเข้ามันเล่นดูถูกกันมากเกินไป ข้าพเจ้าจึงปรามเขาว่า “น้องชาย ไม่เอาอย่าไปพูดอย่างนั้น มันไม่ดีหรอก เราไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่เลย” มันก็ทำเป็นตลก แล้วบอก ก็ผมไม่เห็นจะมีเลย เหลวไหล สิ้นดี

ข้าพเจ้างี้ปรี๊ดเลย จะก้านคอ เดี๋ยวเขาก็หาว่า นักเลง ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า มีรูปของหลวงพ่ออยู่ในกระเป๋า ก็ไม่รู้นึกยังไง มั่นใจศรัทธามั่นคง ก็เลยพูดดัง ๆ ออกไปว่า อย่าได้ปรามาสพระพุทธศาสนากันเลย ของจริงมีอยู่ จะได้ให้ชมบารมี แต่ว่าจะให้ลองแค่ 3 ครั้งเท่านั้นนะ ห้ามเกินถ้าเกินจะไม่ขอรับประกัน ความปลอดภัย พวกขี้เมาก็อาสากันจะเป็นคนยิง ตอนนั้นข้าพเจ้าบอกตรง ๆ ว่า กลัว ๆ เหมือนกัน แต่ใจก็มั่นเต็ม 100 ข้าพเจ้าจึงนำรูปอัดกระจกของหลวงพ่อ ยกขึ้นท่วมหัว แล้วบอกกล่าวกับหลวงพ่อ บัดนี้ได้มีคนมาปรามาสบวรพระพุทธศาสนาว่าไม่มีความศักดิ์สิทธิ์จริง หากปล่อยไว้ก็จะเป็นรอยมลทินต่อ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้ ข้าพเจ้า จึงตั้ง นะโม 3 จบแล้วตามด้วย ตะมังธัง ปะกาเสนโต ฯ

แล้วข้าพเจ้า ก็ได้นำรูปนั้นไปแขวนไว้ที่ต้นไม้ เพื่อนของข้าพเจ้าอาสาเป็นคนยิง โดยใช้ปืนปราบเหนียว(ปืนอีแก๊ป)ยิง ละแล้วสายตาของทุกคนก็ต้องตะลึง เพราะสิ่งที่ประจักษ์คือ ปืน เสียงดัง แชะ!!!เล่นเอาขี้เมางี้สร่างเลย พี่ชายของเพื่อนเลยวิ่งเข้าไปเอาปืนกระบอกใหม่ออกมา ใส่ลูกแล้วก็พูดว่ากูเอง จะแน่สักแค่ไหน พอสับไกเท่านั้นเสียงงี้ดังสนั่นทุ่งเลย แต่ปรากฏว่าไม่มีแม้แต่ริ้วรอยขีดข่วนที่รูปของหลวงพ่อเลย ทั้งที่รูปนั้นเป็นบานกระจกแท้ ๆ ขี้เมาบางคนก้มกราบขอขมาใหญ่เลย "เชื่อแล้ว หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์เหลือเกินๆๆๆๆๆ" มันพูดซ้ำ ๆ เหมือนโดนมนต์ตรา งงงวย กันประหนึ่งนั้นเลย แต่ก็มีบางคนที่ยังไม่ยอม จะขอลองอีกพวกก็ทักท้วงว่าพอแล้ว ๆ มันก็ไม่ยอม ผลสรุปว่านัดสุดท้าย ปืนแตกเลย เคราะห์ดี ที่ไม่มีใครเป็นอะไร นี่คือครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ประจักษ์อภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ ของหลวงพ่อ กับตาตัวเอง สาบานได้เลยว่านี่ คือเรื่องจริง ทีนี้ต่อมาไม่นานก็เกิดอาเพศขึ้นในหมู่บ้านนั้น อยู่ ๆ ชาวบ้านเขาก็เล่ากันว่า ไอ้พวกที่ลองปืนกันวันนั้น อยู่ ๆ มันก็จะฆ่ากันอีก บางคนสติเพ้อไปเฉยเลย เดินเพี้ยน อยู่ที่นั้นไม่ได้ ต้องหนีไปที่อื่น หาหมอก็รักษาไม่ได้ ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกัน เคยถามผู้รู้ในหมู่ลูกศิษย์ของสายหลวงพ่อก็ได้รับคำตอบมาว่า ไอ้พวกนั้นสงสัยว่ามันจะโดนต้องมนต์ที่หลวงพ่อกำกับอาคม ในพระเครื่องของท่านไว้ เห็นลุงแกบอกว่าพระมนต์บทนั้นมีชื่อที่เรียกกันว่า "มนต์พระกาฬ"

ขอขอบคุณท่านที่เข้ามาอ่านแล้วข้าพเจ้าจะนำประสบการณ์ที่ไดประสบมามาถ่ายทอดให้พี่ ๆ น้อง ๆ นั้นได้อ่านกันใหม่ใน ตอนต่อไป ซึ่งจะใช้ชื่อว่า"อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อ กวย ชุตินฺธโร ตอน 2

[/quote]

ออฟไลน์ weerawat26

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 39
  • กระทู้: 1103
  • พลังน้ำใจ 39
Re: อภินิหารูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 1
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ธันวาคม 06, 2011, 10:52:26 am »
"หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร" ในเรื่องราว ประสบการณ์


ข้าพเจ้านี้ เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราว ต่าง ๆ ที่พี่ ๆ น้อง ๆ นั้น มาเล่าสู่กันฟังมานานแล้วอยู่เหมือนกัน บางครั้งอ่านแล้วข้าพเจ้าก็รู้สึกซาบซึ้ง ในความรักและเคารพในองค์หลวงพ่อนี้ ของพวกเรา แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะได้มาถ่ายทอดประสบการณ์ของตัวเอง ให้พี่ ๆ น้อง ๆ ได้ฟัง

ด้วยความที่ข้าพเจ้าเองก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของชาวสรรค์บุรี เพราะมารดานั้นเป็นชาวบ้านแค อยู่ห่างจากวัดของหลวงพ่อไม่ไกลมากนัก ข้าพเจ้าก็ได้รับการปลูกฝัง จากเราชาวบ้านแค อยู่อย่างหนึ่งว่า เรานี่เป็นคนจริง มีสัจจะ ไม่รังแกใคร ไม่ลบหลู่ใครก่อน และถ้าเป็นเรื่อง "อาคม" แล้ว เราย่อมไม่ลงให้ใครง่าย ๆ เกรงคนดีแต่ไม่คร้ามนักเลง ตอนสมัยในวัยเด็กข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักเลยว่า "หลวงพ่อกวย" นั้น ท่านนั้นเป็นใครหรือมีประวัติความเป็นมาอย่างไร เพราะข้าพเจ้านั้น ไปเติบโตอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี( อำเภอบ่อพลอย) บ้านบิดาของข้าพเจ้า แต่ก็ได้ยินได้ฟังจากปู่ย่าตายายว่า "หลวงพ่อกวย" นั้น ท่านเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์มากองค์หนึ่ง ตอนเด็ก ๆ ข้าพเจ้าเคยเห็นบนหิ้งพระของบ้าน  ก็มีรูปของหลวงพ่ออยู่แต่ก็มิได้สนใจแต่ประการใด

เรื่องราวประวัติในองค์ของ "หลวงพ่อ" นั้น ต่างคนก็ต่างความเป็นมา ประจักษ์มาไม่เหมือนกัน ในประวัติเคยได้เห็นคนที่ แสดงตนว่าเป็นลูกศิษย์ และนับถือ "หลวงพ่อ" มาก ๆ อยู่หลายคน เช่น ขออนุญาตเอ่ยนาม พี่ที่ชื่อ ครู(อ้ายครู) คุณเฒ่า สุพรรณ คุณเอ๋ สรรพยา และท่านอื่น ๆ ฯลฯ ก็เทิดทูนท่าน เพราะมีครูบาอาจารย์องค์เดียวกัน นิ้วมือยังไม่เท่ากัน ต่างคนก็ยกย่อง ต่างนิสัยใจคอ แล้วแต่เจตนา แต่สำหรับข้าพเจ้าในชีวิตนี้ จะไม่ขายครูบาอาจารย์เด็ดขาด คนเราถ้าขายครูบาอาจารย์แล้ว ก็ไม่น่าจะเรียกตัวเองว่า "ลูกศิษย์" ให้เป็นให้ หรือแลกก็ได้ แต่ของทุกชิ้นของหลวงพ่อ ต้องควรยกไว้สำนักหนึ่ง มั่นหรือไม่มั่น ให้ดูกัน วัดที่ตรงเจตนา

ในสมัยเด็ก ๆ นั้น ด้วยความที่ครอบครัวของข้าพเจ้านี้ถูกปลูกฝัง ในเรื่องบาปบุญคุณโทษมาเป็นอย่างมาก ปู่ของข้าพเจ้านั้น เป็นมัคทายกวัด และเคยบวชเรียน ตอนสมัยท่านรุ่น ๆ ได้บริจาคที่ดินสร้าง "วัดดอนตาเพชร" (จ.กาญจนบุรี) ท่านนั้นเป็นลูกศิษย์ของ  “หลวงปู่ซ้ง แห่ง วัดดอนตาเพชร” พระเกจิอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์หนึ่งของ จ.กาญจนบุรี พ่อของข้าพเจ้าและลุง ๆ จึงได้บวชกันคนละหลายพรรษา และนี่เองเป็นที่มาของความศรัทธาใน อิทธิปาฏิหาริย์ แห่งความเข้มขลังของสิ่งที่ข้าพเจ้าเรียกตอนเด็ก ๆ ว่า "ของดี"

เย็นวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าได้วิ่งเล่นอยู่ที่หน้าบ้าน ก็เป็นปรกติทุกวัน ย่าของข้าพเจ้านั้น แกจะมากวาดลานบ้าน เพราะที่หน้าบ้านของข้าพเจ้านั้น มีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ต้นหนึ่งที่เรียกว่า "ต้นหูกวาง" ต้นไม้ชนิดนี้ใบมันจะดกเป็นพิเศษร่วงลงมาทุกวัน ย่าของข้าพเจ้าแกก็กวาดแล้วจุดไฟเผาของแกทุกวันเหมือนกัน ทุก ๆ วันก็ไม่เห็นจะมีเหตุการณ์อะไรที่น่าแปลกใจ แต่วันนี้แกกลับบ่น อุทานของแกอยู่นาน ข้าพเจ้าจึงเดินเข้าไปถามแกว่าเป็นอะไรหรือย่า เห็นบ่นอยู่พักใหญ่ ย่าแกบอกว่า "วันนี้ทำไมใบไม้กองนี้จุดไฟยังไงก็ไม่ติด??" ทุกวันมันติดง่าย ทั้ง ๆ ที่ใบไม้ก็แห้งดี เอาไฟจ่อก็แล้ว แกก็บ่นของแกไป ข้าพเจ้าจึงได้ลองดูบ้าง ก็พบกับความฉงนใจจริง ๆ เพราะว่าจุดเท่าไหร่ ก็ไม่ยอมติดสักที ขนาดใช้รองเท้าเก่า ๆ จุดไฟลนแต่กองใบไม้มันกลับไม่ยอมไหม้เลย สักพักเสียงคงดังเข้าไปในบ้านของข้าพเจ้า ลุงของข้าพเจ้าจึงเดินออกมาถามว่ามีอะไรกัน ก็เล่าให้ลุงฟัง ลุงข้าพเจ้าเงียบไปสักพัก เหมือนพิจารณาดู (ไม่ได้เพ่งกระแสจิต) แล้วลุงข้าพเจ้าก็เอามือควานเหมือนคุ้ยหาอะไรบางอย่างในกองใบไม้ แกหาอยู่สักพัก ทันใดนั้นแกก็อุทานขึ้นมาว่า “เอ้า!!!ตายล่ะ มันจะไปติดได้ยังไงละแม่ ไม่รู้ว่าใคร มาทำของดีตกไว้ในนี้ กวาดไม่เห็นบ้างหรือ” ข้าพเจ้าก็งง ๆ ลุงข้าพเจ้า จึงพูดบอกว่า นี่ก็คือ แหวนพิรอดแขน ของพระเดชพระคุณ "หลวงพ่อม่วง แห่ง วัดบ้านทวน" เชียวนะ ย่าของข้าพเจ้าพอรู้ แกก็รีบยกมือสาธุขอขมาใหญ่เลย(แบบคนแก่เขาทำกัน) นี่จึงเป็นที่มาของความศรัทธาในพระเกจิอาจารย์อันทรงวิทยาคมที่เกิดขึ้นภายในใจของข้าพเจ้า แต่นั้นมา

ต้นเรื่องแห่งความศรัทธา"หลวงพ่อ"

วันเวลาผ่านไปหลายปี และทุกปีข้าพเจ้าและครอบครัวก็จะเดินทางทุก ๆ ครั้งที่ไปบ้านแค ข้าพเจ้าก็จะไปหาวัดเที่ยว อยากไปดูอะไร ๆที่มันแปลกตา ในใจคืออยากจะไปทำบุญเพราะชอบทำ ทำแล้วมีความสุขสบายใจดี วันหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้าขี่จักรยานออกมาซื้อของในหมู่บ้าน(บ้านแค) ก็ไปเจอร้านค้าร้านหนึ่ง ก็เลยเข้าไปเดินดูอะไรในร้านเพลิน ๆ อยู่ ๆ สายตาของข้าพเจ้าก็เพ้อไปเห็นรูปพระอยู่บานหนึ่ง จำได้คลับคล้ายคลับคราว่าเหมือนรูปที่บ้าน ก็เลยถามเจ้าของร้านว่านี่รูปหลวงพ่ออะไร รู้สึกคุ้น ๆ แม่ค้าแกบอกว่าเป็นรูป "หลวงพ่อกวย วัดบ้านแค" ท่านศักดิ์สิทธิ์มากว่าง ๆ ก็ลองไปกราบท่านที่วัดซิ แล้วแกก็ชี้มือบอกไป ในขณะนั้น ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่าต้องมนต์ตราอะไรบางอย่าง ข้าพเจ้ามองดูรูปของ "หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร" ยืนมองอยู่นานมาก มองอยู่อย่างนั้น คล้าย ๆ ใจมันพูดขึ้นมากับหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ ผมคิดถึงมาก ๆ เลย คิดถึงเหลือเกิน ไม่ได้เจอหลวงพ่อนานเหลือเกิน” เท่านั้นแหละน้ำตาของข้าพเจ้า ได้ปริ่มออกมาจากตาทั้งสองตาเลย แล้วข้าพเจ้าก็ก้มลงกราบรูป "หลวงพ่อ" บานนั้น ตรงหน้าร้านค้าเลย ทุกคนมองงงกัน บางคนก็ยิ้ม ๆ แบบแสดงออกว่า นี่เราลูกพ่อเดียวกันนะ  ทั้งที่ที่บ้านข้าพเจ้าก็มีรูปหลวงพ่ออยู่ แต่รูปคงบานเล็ก ข้าพเจ้าก็เลยสังเกตเห็นหน้าของหลวงพ่อไม่ถนัดหรืออย่างไรกันก็ไม่ทราบ แต่วันนั้นข้าพเจ้า รู้สึกสุขใจมากจริง ๆ จึงเริ่มศึกษาประวัติ

"ไม่มีพระของหลวงพ่อเลยน้อยใจ"

เรื่องก็มีอยู่ว่าหลังจากตอนที่ ตาของข้าพเจ้าเสียนั้น ตาแกก็เก็บของ ๆ หลวงพ่อไว้มากอยู่ แต่ด้วยความที่แม่ของข้าพเจ้านั้นเป็นผู้หญิง ก็เลย(ไม่ขอกล่าว) เวลาที่ข้าพเจ้าไปชัยนาททีไร ญาติเขาก็โชว์พระของหลวงพ่อกวยกัน เหรียญหนุมานบ้าง แหวกม่านบ้างเหรียญดัง ๆ ทั้งนั้น ฯลฯ หลายอย่าง ข้าพเจ้าไม่มีเงินจะไปเช่าอย่างนั้น ก็เคยมีที่ลองเอ่ยปากขอเขาดู ก็เฉย ๆ กัน ก็ไม่เป็นไร คว้าจักรยานได้ ถีบมาที่วัดหลวงพ่อประมาณ 3 โลกว่า ๆ เองไปกลับก็ 6 โลเอง ชิว ๆ สบาย อารมณ์นั้น พอไปถึงวิหารเท่านั้นล่ะ หน้าละห้อยเลย เก็บอาการไม่อยู่ ไม่ไหว กราบหลวงพ่อ 3 ครั้ง ก็ได้ปรารภกับหลวงพ่อในเชิง น้อยใจว่า หลวงพ่อครับ ผมก็ลูกหลวงพ่อ เหมือนกัน ถ้าผมได้เกิดทันได้รับใช้ "หลวงพ่อ" ละก็ ผมก็ต้องมีของดีของ "หลวงพ่อ" ไม่น้อยกว่าใคร ถ้าผมเกิดทันหลวงพ่อ ผมก็คงจะไม่ถูกคนบางคนที่หวงแม้กระทั้ง ความรู้ หวงแม้กระทั้ง ประวัติของ "หลวงพ่อ" คนบางคนเขาถือว่าเขาได้เห็นหลวงพ่อได้เคยสัมผัส แต่ที่พบส่วนหนึ่ง คือใจไม่นักเลง(แต่ไม่ทุกคน) ถ้าลูกนี้มีบุญวาสนากับหลวงพ่ออยู่ ก็ขอให้หลวงพ่อ โปรดเมตตาลูกด้วยเทอญ ลูกขอของดีติดตัวไว้ประจำกายสักชิ้นเทอญ นั่งพรรณนาอยู่ครึ่งวัน
จริงแล้วพูดเยอะมาก น้ำตางี้ซึมเลย


ของ"หลวงพ่อ"ทุกชิ้น ย่อมมีเจ้าของ ของตัวเอง

หลังจากที่ข้าพเจ้าได้เดินทางกลับบ้านที่ เมืองกาญจนบุรี ตอนนั้นก็ยังไม่มีพระของหลวงพ่อใช้ ประกอบกับไม่ค่อยมีเงิน ก็ได้แต่นึกเอา เวลาไม่สบายใจ หรือทุกข์ใจก็ใช้นึกถึง ระลึกถึงภาพหลวงพ่อ แล้วกล่าวชื่อ กับฉายาของท่านแทน 2 เดือนผ่านไป มีอยู่วันหนึ่งพี่สาวของข้าพเจ้า นึกยังไงไม่รู้ อยู่ ๆ ก็มาชวนข้าพเจ้าเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองกาญจนบุรี บอกว่าให้ไปเป็นเพื่อนทำฟันหน่อย ไปคนเดียวไม่มีเพื่อนคุย ตอนนั้นข้าพเจ้ามีเงินติดกระเป๋าอยู่พอดี 300 บาท ก็ว่าง ๆ ก็เลยไปกับเขา กินฟรี เที่ยวฟรี ก็ต้องไปซิ ตัวอำเภอบ่อพลอยห่าง จากเมืองกาญจนบุรี ประมาน 40 โล นั่งรถเมล์ไปก็ใช้เวลา ประมาณ 2 ช.ม. สรุปแล้ววันนั้นใช้เวลาไปถึงคลินิก ก็ราว ๆ 3 ช.ม. เห็นจะได้ พอถึงพี่สาวของข้าพเจ้าก็เข้าไปทำฟันข้างในก็นั่งรออยู่นานก็ยังไม่เสร็จสักที เบื่อ ๆ เซ็ง ๆ ก็เลยเดินออกมาข้างนอกคลินิก  ดูอะไรเรื่อยเปื่อย พอดีสายตาเหลือบไปเห็นร้ายขายของเก่าอยู่รายหนึ่ง มีตาแป๊ะแก่ ๆ นั่งอยู่หน้าร้านก็เลยเดินเข้าไปคุยด้วย คุยไปคุยมาเห็นแกมีพระวางแอบ ๆ อยู่กับหวย ก็เลยก้มหน้าลงไปมองดู ทันใดนั้นขนข้าพเจ้าก็ลุกชันไปทั้งตัว ด้วยความตกตะลึง เพราะว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นก็คือ รูปถ่ายของหลวงพ่อ ที่เก่ามากขนาดเท่ากล่องไม้ขีด วางเรียงไว้ในกล่องตู้หวยของอาแป๊ะคนนั้น ข้าพเจ้าจึงรีบถามถึงความเป็นมาว่า แกได้รูปพวกนี้มาได้ยังไง อาแป๊ะแกบอกว่า เมื่อวานนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งมาให้เช่า ทีแรกแกก็จะไม่เช่า แต่แกเห็นว่าอุ้มลูกมาด้วย แกสงสารก็เลยช่วยไป ผมจึงรีบถามอาแป๊ะ ว่า จะปล่อยไหม ผมขอเช่าต่อ แกก็บอกว่าแกไม่ปล่อยจะเก็บไว้เพราะสวยดี ข้าพเจ้าเฝ้าอ้อนวอนแกอยู่นานมาก พรรณนาให้แกฟังว่า ท่านเป็นพระที่ข้าพเจ้าศรัทธามาก เป็นพระที่บ้านแม่ พูดไปพูดมา จนแกสงสาร ก็เลยเอาออกมาให้เลือกดู มีอยู่ 4 องค์ รูปหลวงพ่อเก่าถึงยุค นั่งขัดสมาธิ ด้านหลังมีจีวรจารพร้อม อีกบานเป็นรูปหน้าตรงเข้มขลังมาก ด้านหลังมีแผ่นตะกั่วจาร หัวใจกรณี ของหลวงพ่อเฒ่า(ข้าพเจ้าพออ่านแปลขอมได้พอตัว) ถามแกว่าจะเอาเท่าไร แกก็ว่าเป็นพันเลย โอ้ย ปวดหัวมาก ใจจะขาด มีเงินอยู่ 300 บาทเอง ก็เลยอ้อนวอนแกใหม่ บอกว่ามีอยู่แค่นี้จริง ๆ สรุปเลย แกให้มา 2 รูป รูปหน้าตรงกับรูปนั่ง ข้าพเจ้าดีใจมากที่สุดถึงที่สุด กะว่าพรุ่งนี้จะกลับไปเช่าให้หมดสักหน่อย พอไปอีกที อาแป๊ะแกบอกว่า มีคนมาเช่าไปแล้ว ให้ราคาดีกว่าข้าพเจ้าเสียอีก ข้าพเจ้างี้รู้สึกเสียดายมากๆ แต่ก็ดีใจเพราะในที่สุดก็สมใจเสียที ได้ความว่า ผู้หญิงที่เอารูปมานั้น เป็นเมียตำรวจ แต่ผัวแกเพิ่งตายไป เห็นรูปวางอยู่บนพานมานานแล้ว เลยเป็นโชคดีของข้าพเจ้า ปัจจุบันนี้ รูปหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเลี่ยมเงินใช้ประจำกายมาหลายปีแล้ว แบบว่าเอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม รุ่นไหนดัง รุ่นไหนดี แต่ไม่ได้เห็นหน้าหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็ไม่อยากได้ ต้องรูปซิ ข้าพเจ้าถึงจะอุ่นใจ

ประจักษ์กับตาตัวเองถึง 2 ครั้ง (วาระแรก)

เรื่องมีอยู่ว่า ตอนสมัยที่ข้าพเจ้าได้รูปของหลวงพ่อมาใหม่ ๆ ก็ยังไม่มีเงินจะไปเลี่ยมท่าน ก็ไม่ได้คิดมากอะไรไปไหนมาไหน ข้าพเจ้าก็ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อไว้ เซฟอย่างดีไม่มีหล่น และมีอยู่วันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ขึ้นกับตัวของข้าพเจ้า คือวันนั้นเป็นวันงานเทศกาลประจำหมู่บ้าน ข้าพเจ้าก็ได้ไปเที่ยวบ้านเพื่อนในหมู่บ้าน พอดีพี่ชายเพื่อนเขาซื้อปืนลูกซองมาใหม่ ก็เลยเอามาโชว์ก็ดูสวยดี เพื่อนมันเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่ซื้อปืนมา ไก่หมาแถวบ้านมันตายไปหลายตัว ก็ได้ความมาว่า พี่มันเป็นเด็กเทพ ปริญญา เรียนมาสูง ประมาณนั้น ชอบลองปืน แต่ไม่ชอบยิงกระป๋อง โอ้!!!ข้าพเจ้าได้ยินก็อดสังเวชใจไม่ได้ "มึงนี่มัน ....จริงๆ" พวกขี้เมาก็เฮ กันใหญ่เสียงดังเจี๊ยวจ๊าว (ข้าพเจ้าไม่ดื่มเหล้า) แต่ก็นั่งคุยกับเขาไป สักพักมันมีขี้เมาคนหนึ่ง พูดออกมาว่า “กูไม่เชื่อหรอกไอ้พระ เผอะ ที่เขาว่ายิงไม่ออก กูจะยิงให้กระเด็นเลย” แล้วก็พูดจาบจ้วงอีกเยอะ พวกขี้เมามันก็เฮกัน ใหม่ ๆ ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจเห็นว่ามันเมา พอหนักเข้ามันเล่นดูถูกกันมากเกินไป ข้าพเจ้าจึงปรามเขาว่า “น้องชาย ไม่เอาอย่าไปพูดอย่างนั้น มันไม่ดีหรอก เราไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่เลย” มันก็ทำเป็นตลก แล้วบอก ก็ผมไม่เห็นจะมีเลย เหลวไหล สิ้นดี

ข้าพเจ้างี้ปรี๊ดเลย จะก้านคอ เดี๋ยวเขาก็หาว่า นักเลง ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า มีรูปของหลวงพ่ออยู่ในกระเป๋า ก็ไม่รู้นึกยังไง มั่นใจศรัทธามั่นคง ก็เลยพูดดัง ๆ ออกไปว่า อย่าได้ปรามาสพระพุทธศาสนากันเลย ของจริงมีอยู่ จะได้ให้ชมบารมี แต่ว่าจะให้ลองแค่ 3 ครั้งเท่านั้นนะ ห้ามเกินถ้าเกินจะไม่ขอรับประกัน ความปลอดภัย พวกขี้เมาก็อาสากันจะเป็นคนยิง ตอนนั้นข้าพเจ้าบอกตรง ๆ ว่า กลัว ๆ เหมือนกัน แต่ใจก็มั่นเต็ม 100 ข้าพเจ้าจึงนำรูปอัดกระจกของหลวงพ่อ ยกขึ้นท่วมหัว แล้วบอกกล่าวกับหลวงพ่อ บัดนี้ได้มีคนมาปรามาสบวรพระพุทธศาสนาว่าไม่มีความศักดิ์สิทธิ์จริง หากปล่อยไว้ก็จะเป็นรอยมลทินต่อ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้ ข้าพเจ้า จึงตั้ง นะโม 3 จบแล้วตามด้วย ตะมังธัง ปะกาเสนโต ฯ

แล้วข้าพเจ้า ก็ได้นำรูปนั้นไปแขวนไว้ที่ต้นไม้ เพื่อนของข้าพเจ้าอาสาเป็นคนยิง โดยใช้ปืนปราบเหนียว(ปืนอีแก๊ป)ยิง ละแล้วสายตาของทุกคนก็ต้องตะลึง เพราะสิ่งที่ประจักษ์คือ ปืน เสียงดัง แชะ!!!เล่นเอาขี้เมางี้สร่างเลย พี่ชายของเพื่อนเลยวิ่งเข้าไปเอาปืนกระบอกใหม่ออกมา ใส่ลูกแล้วก็พูดว่ากูเอง จะแน่สักแค่ไหน พอสับไกเท่านั้นเสียงงี้ดังสนั่นทุ่งเลย แต่ปรากฏว่าไม่มีแม้แต่ริ้วรอยขีดข่วนที่รูปของหลวงพ่อเลย ทั้งที่รูปนั้นเป็นบานกระจกแท้ ๆ ขี้เมาบางคนก้มกราบขอขมาใหญ่เลย "เชื่อแล้ว หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์เหลือเกินๆๆๆๆๆ" มันพูดซ้ำ ๆ เหมือนโดนมนต์ตรา งงงวย กันประหนึ่งนั้นเลย แต่ก็มีบางคนที่ยังไม่ยอม จะขอลองอีกพวกก็ทักท้วงว่าพอแล้ว ๆ มันก็ไม่ยอม ผลสรุปว่านัดสุดท้าย ปืนแตกเลย เคราะห์ดี ที่ไม่มีใครเป็นอะไร นี่คือครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ประจักษ์อภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ ของหลวงพ่อ กับตาตัวเอง สาบานได้เลยว่านี่ คือเรื่องจริง ทีนี้ต่อมาไม่นานก็เกิดอาเพศขึ้นในหมู่บ้านนั้น อยู่ ๆ ชาวบ้านเขาก็เล่ากันว่า ไอ้พวกที่ลองปืนกันวันนั้น อยู่ ๆ มันก็จะฆ่ากันอีก บางคนสติเพ้อไปเฉยเลย เดินเพี้ยน อยู่ที่นั้นไม่ได้ ต้องหนีไปที่อื่น หาหมอก็รักษาไม่ได้ ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกัน เคยถามผู้รู้ในหมู่ลูกศิษย์ของสายหลวงพ่อก็ได้รับคำตอบมาว่า ไอ้พวกนั้นสงสัยว่ามันจะโดนต้องมนต์ที่หลวงพ่อกำกับอาคม ในพระเครื่องของท่านไว้ เห็นลุงแกบอกว่าพระมนต์บทนั้นมีชื่อที่เรียกกันว่า "มนต์พระกาฬ"

ขอขอบคุณท่านที่เข้ามาอ่านแล้วข้าพเจ้าจะนำประสบการณ์ที่ไดประสบมามาถ่ายทอดให้พี่ ๆ น้อง ๆ นั้นได้อ่านกันใหม่ใน ตอนต่อไป ซึ่งจะใช้ชื่อว่า"อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อ กวย ชุตินฺธโร ตอน 2

[/quote]
[/quote]

ออฟไลน์ SODA 405

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 47
  • -Receive: 7
  • กระทู้: 6369
  • พลังน้ำใจ 7
  • ....เก็บ,สะสม,อนุรักษ์.
Re: อภินิหารูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 1
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ธันวาคม 06, 2011, 12:19:33 pm »

    ....ขอบคุณที่นำเรื่องราวมาบอกเล่าครับ! :D

ออฟไลน์ weerawat26

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 39
  • กระทู้: 1103
  • พลังน้ำใจ 39
Re: อภินิหารูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 1
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: ธันวาคม 06, 2011, 12:28:15 pm »
ผมมีรูปถ่ายเหมือนกันแต่เก๊ครับ สมัยก่อนนั้น ผมเห็นของหลวงพ่อเป็นไม่ได้ไม่เคยสนใจเลยว่าจะเก๊หรือแท้ พบเจอตามแผงพระราคาเพียงแค่ร้อนสองร้อยเป็นเก็บหมด ภาพถ่ายบานนี้ได้มานานสิบกว่าปีแล้วนานเหมือนกัน เมื่อก่อนไม่เคยคิดเลยว่า ภาพถ่ายของท่านจะทำเก๊ออกมาเหมือนกัน ทึ่งจริง ๆ ครับ

กระดานสนทนาเว็บไซต์ ศิษย์หลวงพ่อกวย

Re: อภินิหารูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 1
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: ธันวาคม 06, 2011, 12:28:15 pm »

 


Facebook Comments