ผู้เขียน หัวข้อ: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 2  (อ่าน 11455 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ chusak

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 34
  • พลังน้ำใจ 0
                                      ..."หลวงพ่อกวย ชุตินธโร" พระอริยสงฆ์แห่งแดนคนจริง....
                      ...การที่ข้าพเจ้านั้น ได้มาถ่ายทอดประสบการณ์ ของข้าพเจ้า ให้พี่ๆน้องๆได้อ่านฟังนี้ ข้าพเจ้านั้นทำด้วยเจตนาอัน
บริสุทธิ์อย่างแท้จริง....
                                            ...."ความเดิมต่อจากตอนที่แล้ว"....
                     ...ด้วยความที่ว่า อุปนิสัยของข้าพเจ้าตั้งแต่เด็กมานั้น ข้าพเจ้ามีใจใคร่ที่จะศึกษาวิชาทาง "ไสยเวท" เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
(แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดขมัง เรียกว่าพอเอาตัวเองไปได้)และยิ่งการที่ข้าพเจ้า มีบารมีของหลวงพ่อ เป็นที่พึ่งแห่งกลางดวงใจแล้วข้าพเจ้าจึง ยึดหมั่นอยู่เสมอว่า รูปของหลวงพ่อที่ข้าพเจ้า บูชาอยู่นี้ ก็คือองค์ของหลวงพ่อจริงๆ และท่านก็ย่อมล่วงรู้มาก่อนอยู่แล้วว่า สักวันหนึ่งนั้น ลูกคนนี้ของท่านจะได้มีไว้ใช้ ปกป้อง รักษาตัว จากภัยอันตราย ในการดำเนินชีวิต...ในวันข้างหน้า...
                                           ..."ไม่ยอมให้เสียชื่อ"หลวงพ่อ"เด็ดขาด...
                   ...ตั้งแต่เล็กจนโต ถ้าจะเอาพานบูชาครู ของครูบาร์อาจารย์ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าได้เคยไปสัมผัสมานั้น (มิได้ไปเพื่อลบหลู่ แต่ไปเพื่อ หาประสบการณ์ และความรู้)หากนำมาซ้อนกัน ก็อาจสูงเทียบเท่าต้นกล้วย ไปด้วยหลายเจตนา แต่หลักๆก็คือ ไปแสวงบุญ ตามวัดวาอาราม ไม่ว่าจะเป็น หมอดู โหราจารย์ พ่อปู่ พ่อองค์ แม่ทรง พ่อเทพ กุมาร เจ้าแม่ ฤาษี หรือ หมอวิชา ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมานั้น ก็ได้ข้อสรุปได้อันมีใจความกระชับๆออกมาอย่างนี้ว่า ในยุคสมัยของพวกเรานี้ ยังไม่พบ เจ้าสำนักหรือเกจิอาจารย์ที่ เก่งครบเครื่อง จะมีข้อดี ที่แตกต่างกันออกไป เช่นสายเมืองกาญฯส่วนใหญ่ จะหนักไปทาง"คงกระพัน"สูงมาก ชนิดว่าสักเสร็จแล้ว ต้องใช้มีดสปาร์ต้าปาดคอ ตำราต้นมาจากพระเดชพระคุณพระวิสุทธรังษี"หลวงพ่อ เปลี่ยน แห่ง วัดใต้ชัยชุมพล " อีกสำนักหนึ่ง ก็เห็นจะเป็น คุณยาย ท่านหนึ่ง ชื่อ นิภา คงสุข สำเร็จ-
ฤทธิ์ทางใจ คิดอะไรแกรู้หมด ภูมิหลังแกนี่เป็นลูกศิษยย์ยุคแรกๆ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาตั้งแต่ยายแกอายุ 17 ปี ตอนนี้ 80 กว่า จิตแกดีมาก "ชื่อสำนัก จุฬามณี"ฯลฯ แต่จะขอเกิ่นไว้ก่อนพี่ๆน้องๆอาจจะสงสัย ว่าทำใมข้าพเจ้าถึงต้องเอ่ยชื่อท่านเหล่านี้ขึ้นมา และมีความเกี่ยวของกัยเรื่องราวอภินิหาร ของหลวงพ่อ ยังไงเอาไว้จะเล่าให้ฟังในตอนต่อๆไป...แต่ตอนนี้จะขอเล่าตอนหลวงพ่อมาโปรดให้ฟังก่อน เรื่องก็มีอยู่ว่า
เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าอายุครบ อุปสมบชนั้นข้าพเจ้าได้บวชเรียนอยู่ ณ วัดแห่งหนึ่ง ไกล้ๆบ้าน ในอำเภอบ่อพลอยด้วย ความที่ข้าพเจ้านั้นมีรูปของหลวงพ่อติดตัวอยู่ตลอดเวลา(แน็บที่อังสะ)ข้าพเจ้าจึงมิเคยที่จะปรพฤติ นอกหลู่ นอกทางอันไม่ดีเลยสักครั้งในความรู้สึกของข้าพเจ้านั้น การปฏิบัติ นั่งสมาธิ สวดมนต์เดินจงกรม ลงป้าช้า ใครจะว่ายังไง ตลกยังไง จะเป็นพระบ้าน พระมหา พระ(จุดๆๆๆ)...ก้แล้วแต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยสนใจเลยสักครั้ง ข้าพเจ้าคิดแต่เพียงว่า จะไม่ยอมให้เสียชื่อว่า"ลูกศิษย์ ของหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร นั้นเป็นพระที่ไม่จริงเด็ดขาดข้าพเจ้าคิดว่า จะกลัวไปใย ผี สาง นางไม้ ถ้าเราทำดีจริง หลวงพ่อก็ย่อมปกปักรักษาเราอยู่ ตลอดเวลา ในสายตาของหมู่ขณะแลว่าข้าพเจ้า เป็นจริงจัง
อะไรประมาณนั้น...
                                    ..."หลวงพ่อเป็นหลวงตา???"...
                  ...ครั้งหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าบวชพระได้ใหม่ๆในกุฏิของข้าพเจ้านั้น ก็จะมีรูปของหลวงพ่อ บานใหญ่บานหนึ่งอยู่บนหิ้งพระตั้งแต่บวชมาได้สักอาทิตย์กว่าๆก้มีเสียงของพวกลูกศิษย์วัด มันพูดกันหนาหูว่าเห็นพระหลวงตาแก่ๆองค์หนึ่งมักเดินขึ้นมาบนกุฏิของข้าพเจ้าแล้วหายไป แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าเป็นพระมาจากที่ใหน บางที เวลามีพระ อาคันตุกะ มาวัดก็มักจะถามว่าไม่เห็นพระหลวงตาที่อยู่บนกุฏิของข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าก็นึกฉงนใจอยู่บ้างแต่ก็พอจะอุปมาได้ว่า น่าจะเป็น"หลวงพ่อ กวย"ท่านมาโปรดข้าพเจ้าอันจะมีอยู่ครั้งหนึ่งเป็นเวลาดึกวงัดแล้ว ขณะที่ข้าพเจ้ากำๆเคล้มๆจะจำวัดอยู่สายตาของข้าพเจ้าก็เหลือบไปเห็นจีวรปลิวไวสๆอยู่ข้าวที่นอนพอลุกขึ้นมาจีวรนั้นก็หายไปเลยและที่สำคัญวัดที่ข้าพเจ้า บวชอยู่นั้นก็เป็นวัดนิกายสายธรรมยุตแต่สีของจีวรที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นต่าวจากพระที่วัดนี้ข้าพเจ้าจึงมั่นใจว่า ต้องเป็นหลวงพ่อ ที่มาตรวจตราดูลูกศิษย์ ด้วยความเมตตาแน่ๆ เพราะตอนที่ข้าพเจ้าบวชอยู่นั้น ได้มีพระที่มาจากทางเขมร อยู่หลายรูปมีวิชาสายมนดำต์ทางกระทำ และ คล้ายๆอยากจะลองดีกับข้าพเจ้าอยู่แล้ว ว่า "ครูบาร์อาจารย์"จะแน่สักแค่ใหน พวกเขมรนี่เขาชอบลองดีกัน ก็น่าจะเห็นเหตุที่ "หลวงพ่อ"ท่านเมตตาห่วงใย ท่านจึงมาตรวจตราดู ลูก ของท่าน กลัวว่าจะโดนดีเข้า ก็อาจจะเป็นได้...
                                   ..."หลวงพ่อไปบินฑบาตรด้วย"...
                ...ครั้งหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้า กำลังทำวัตรสวดมนต์ในตอนตีสี่และทำกิจของสงฆ์เรีบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก้ได้คิดดำริขึ้นว่า พระที่วัดของเรานั้นมีอยู่มาก ก็มีบางครั้งที่อาหารมิเพียงพอจะได้ก็เป็นแต่เพียงอาหารเดิมๆเพราะข้าพเจ้านั้เป้นพระใหม่ ต้องอยู้แถวท้ายๆ(แต่ใจนั้นก็ไม้ได้ใส่ใจเรื่องนี้ เพียงแต่ความเป็นจริง เป็นอย่างนี้)ข้าพเจ้าจึงปรารภกับรูปของหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับ วันนี้ลูกขออาราธนาให้หลวงพ่อไปบินฑบาตรกับลูกด้วยนะขอรับ ชะลอย เพื่อว่าลูกจะได้ขอพึ่งบารมีของหลวงพ่อด้วย  นะขอรับ ก็เลยตั้งจิต อธิฐานแล้ว ตั้งนะดม 3 จบตามด้วย ตะมังธัง ปะกา เสนโตฯแล้วต่อด้วย "พระคาถาพระสีวลีเถระ" ของหลวงพ่อ จบแล้วพอฟ้าสรางก็ออกเดินย้าง ไปบินฑบาตร วันนั้นข้าพเจ้าไปแต่เพียงองค์เดียว เพราะพระผู้ใหญ่ท่านอาพาธ ส่วนพระบวชใหม่รูปอื่น ก็อาพาธเหมือนกัน (คล้ายๆว่าจะดูการเมืองกันมากไปหน่อย ประมาณนั้น)ระยะทางก้ราวๆ 3 กิโลกว่าๆเพราะไปในหมู่บ้านเล็กๆไปดพียงองคืเดียวไม่มีลูกศิษย์ ในใจก็ว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไปเรื่อย ก็มีโยมแกมาใส่บาตรบ้านแรกใส่ข้าวกับอาหารคาวหวานพร้อม ข้าพเจ้าก็ไม้ได้ผิดสังเกตุอะไร เสร็จแล้วก็ให้พรในใจ แต่ก็ทำปากขมุบ
ขมิบให้เขาเห็น พอรู้(พระสายธรรมยุตเขาไม่ให้พรเสียงดังๆกัน)แล้วก้เดินตามทางประจำต่อไป เดินไปสักครู่ใหญ่ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดินผ่านร้านขายขนมครกในหมู่บ้านอยู่นั้น สิ่งอัศจรรย์ก้ได้บังเกดขึ้นมากับข้าพเจ้า กล่าวคือ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงของแม่ค้า อุทานขึ้นมาว่า อ้าว!!!!หลวงตาไปใหนล่ะ!!!ก็เมือก็ยังเห็นหลวงตาอยู่เลย!!!หายไปใหนเสียแล้ว!!!ข้าพเจ้าถึงกับสะดุ้งตกใจเลย แต่ก็เก็บอาการเอาไว้เพราะเป็นพระต้องสำรวมอินทรีย์ใจงี้เต้นแรงมากแต่ก้ได้แต่ยิ้มเล็กน้อยให้โยมเขาเพราะใจของข้าพเจ้ามั่นในใจอยู่แล้วว่าต้องเป็นหลวงพ่อแน่ๆและไม่เคยสงสัยในความสักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อเลยสักครั้ง และแล้วความอัศจรรยืก็ประจักกับข้าพเจ้าอีก 2 ครั้ง เป็น 3วาระ ขณะที่ข้าพเจ้าได้เดิน
บินฑบาตรได้ประมาณ 2 กิโลก็มี ตายาย สองคนอุทานคำๆเดิมออกมาอีกข้าพเจ้าก็ได้แต่เพียงยิ้มให้แกอีกเฉยๆและเมื่อเข้าไปในตลาด ก็มีหญิงสาววัยกลางคนเข้ามาใส่บาตรกับข้าพเจ้าแล้วอยู่ๆแกก็ทำท่าเหมือนจะใส่บาตรให้พระอีกรูปทั้งๆที่ขณะนั้นมีแต่เพียง ข้าพเจ้าแต่เพียงคนเดียวที่ไปบินฑบาตร แล้วผู้หญิงคนนั้นกสะดุ้ง แปลกใจว่าเมื่อกี้แกเห็นหลวงตามาด้วยกันกับข้าพเจ้า และแกก็ยืนยันว่า แกเห็นจริงๆ ไม่ตาฟาดแต่ประการใด เสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็บอกแกไปว่าอย่าสงสัยไปเลย นี่ก็เป็นนิมิตหมายอันดีอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วก็ให้พรแกไปแบบเดิม แล้วข้าพเจ้าก็เดินบินฑบาตร ต่อไป วั้นนั้นข้าพเจ้าดีใจมาก เพราะรู้ว่าหลวงพ่อ คงเห็นในความดีของข้าพเจ้าที่ตั้งใจทำ ท่านก็เลยมาสงเคราะห์ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสาบานได้ว่า นี่ คือเรื่องจริงแท้แน่นอน และก็เชื่อว่า พี่ๆน้องๆ ที่เคารพนับในองค์ของหลวงพ่อ ทุกคน นั้น ก็คงไม่มีใครที่จะแคลงใจในอภินิหารแห่งความทรงอภิญญาสมาบัติ ขององค์หลวงพ่อ ว่าถ้าเรานี้ มีศรัทธาจริง เคารพแลพเชื่อมั่นอย่างหมดหัวใจแล้ว ลูกของท่านทุกๆคน
จะรับรู้ได้เอง "เป็นปัตจัตตัง" สรุปว่า วันนั้นข้าพเจ้าหิ้วกับข้าวกับมาวัดไม่ไหวเลย ต้องฝากให้โยมในหมู่บ้านเอาขึ้นรถมาส่งที่วัด มิเพียงเท่านั้น ภายในวันเดียวกัน ข้าพเจ้ากลับได้รับกิจนิมนต์ซ้อนกันวันเดียว 3 งาน เลยซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก ที่เจ้าอาวาสท่านจัดมาให้แบบนี้ แบบว่า เล่นเอาพระในวัด งง ๆกันใหญ่เลย ก็วันนี้ ไง๋!!! ผิดคิวยังไง ชอบกล้! ชอบกล....
                                        ..."แพ้เขาในนิมิตฝัน"...
               ...ครั้งหนึ่ง โดยขณะที่ข้าพเจ้าบวชได้อยู่ประมาณ 9 เดือน ตอนนั้น ในวัดของข้าพเจ้าได้มีพระไอคันตุกะ"อยู่รูปหนึ่งได้แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนสหมิคของท่าน หรืออย่างไรไม่ทราบแน่ แต่ที่ทราบคราวๆมาว่า พระองค์นี้เป็นลูกศิษย์ของเกจิอาจารย์องค์หนึ่งทางภาค อีสาน ที่เก่งเหมือนกันเพราะเกจิองค์นั้น มีศักดิ์เป็นถึงพระอาจารย์ของ เชื้อพระวงค์องค์หนึ่งเลย ส่วนพระองค์ที่มานั้น เห็นเขาว่ามีเครื่องราว เป็นงูใหญ่ นัยว่า จะเป็นพญานาค เวลาไปใหนก็มักจะนำเทียนมาปั้นเป็นแท่งๆประมาณ 10 แท่ง ตั้งกรวย เป็นขันธ์ 10 (เห็นเขาเรียกกันเองว่าขันธ์พระพุทธ)แล้วมักจะสวดมนต์เป็นภาษาที่ฟังไม่เข้าใจ เสียงดัง แต่ฟังไม่ออก ไม่มีในภาษาขอม สวดไหวมาก มารู้ตอนหลังว่าเขาเรียกกันว่า"วิชาธรรมบันดาล"ข้าพเจ้าก็ไม่ได้สนใจประการใด เพียงแต่ว่า เวลาเจอก็เข้าไปกราบตาม พระเพณีของพระท่าน อาวุโสภันเตฯปฏิบัตพระผู้ใหญ่ข้าพเจ้าก็ทำตามปรกติ แต่ไม่สุงสิง ไม่มอง ไม่แล ไม่ยิ้ม ไม่สนใจ สำรวมใจอย่างเดียว ข้าพเจ้านั้นก็มิได้อวดเด่นอวดดีแต่ประการใด เพราะเราถือว่าเราก็ศิษย์มีครู ของเราเหมือนกัน ต่างคนก็ต่างอยู่กันไป กิจวัตรที่ข้าพเจ้านั้นปฏิบัติเราก็ทำมาแต่ต้นตั้งแต่ที่บวชใหม่ๆอยู่แล้ว ก็เจตนามีแต่เพียง ทำความดีสร้างกุศลกรรมอันดีให้จิตใจของตัวเองเท่านั้น หลังจากที่พระองค์นั้นมาอยู่ไม่นาน ข้าพเจ้าก็รู้สึกถึงความแปลกๆยังไงชอบกล รางมันบอก(สัญชาติญาณ) รู้สึกว่ามีคนคนมาคอยสังเกตุดูอากับกิริยา การดำเนินชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น ข้าพเจ้า จะถือว่า เราควรรักษาจิตใจไว้ให้มั่น พุทโธ ธัมโม สังโฆ ว่าไปเรื่อย ตรงนี้ ข้าพเจ้าจะให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ ด้วยความที่ว่า หลังจาก 8 โมงเช้า เป็นเวลาที่ฉัน อาหารกันเสร็จ ข้าพเจ้าก็จะรับใช้ พระอาวุโส เสร็จแล้วข้าพเจ้า ก็จะขุนอาหารให้ หมาแมว ภายในวัด เรียบร้อย ข้าพเจ้าก็จะ ขึ้นกุฏิปิดประตูเงียบโดยที่ไม่ สุงสิงกับใครทั้งนั้นลงมาอีกที 5 โมงเย็น กวาดวิหารลานเจดีย์ เสร็จแล้วสงน้ำแล้วขึ้นกุฏิ หากคืนใหนหนาวมากๆก็ลงมาก่อไฟให้หมามันนอนสักกอง สงสารมัน เห็นมันนอนกันตัวล่ะกลมเลย บางวันตื่นขึ้นมาตอนเช้าเห็นพวกมันบางตัว มันนึกยังไงไม่รู้ ล่อเกือกอยู่ในกองขี้เถ่า โผ่ มาแต่ลูกกะตา บางทีก็อดนึกขำๆมันอยู่เหมือนกัน เอ่อ!มันก็รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนเราล่ะเนอะ  กุฏิของข้าพเจ้านั้นเป็นกุฏิเรือนไทยหลังใหญ่ดูน่ากลัว ก็เลยไม่ค่อยมีพระมาอยู่และอีกอย่างยุงมันเยอะ บางที งูเลื้อยออกมาเฉยเลย ที่ข้าพเจ้าเลือกที่จะอยู่ที่นี้ ก็เพราะว่าไม่อยากอยู่ปนกับใคร ยิ่งพระ รุ่นเดียวกัยด้วย อย่าให้พูดเลย มันบาป หนีมาอยู่นี้ สบายใจดีไม่มีใครตาม แต่ภายในกุฏินั้นมันกว้างคล้ายๆบ้านล้อมลั้ว ประมาณนั้น ที่นี้มี ตู้พระไตรปิกฎ และหนังสือธรรมมะเก่าๆอยู่เต็มห้องเลย ก็เลยเข้าที เพราะข้าพเจ้านั้นชอบศึกษาอยู่พอดี  สังคมของคนหมู่มากนั้นไม่ไหว ไม่ว่าจะสังคมใหนก็ตามมันมักจะมีปัญหาตามมาเสมอ ไม่เขาก็เรา ไม่เราก็เขา อันนี้มันเป็นสัจธรรมสังคมพระก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก ถ้าใครเคยได้บวชมาแล้วก็จะเข้าใจได้ไม่ยาก กูดีกว่า แกได้นิมนต์มากกว่า นี่อั้ว เคร่งกว่า องค์ใหนไม่เคร่งแปลว่าพระไม่ขมัง และก็ฯลฯ สามวันยังไม่จบเลย เหมือนฆารวาสไม่แตกต่างกันเลย เพียงแต่พระองค์ใหนจะควบคุมจิตใจได้อย่างไรข้าพเจ้าก็เลย ต้องตัดไฟแต่ต้นลมเสียก่อน อันนี้เรื่องจริง ไม่อิงนิยาย...
                ...ที่นี้ต่อมา ตอนหลังๆขณะที่ข้าพเจ้านั้น มักจะได้เจอพระองค์นั้นทีไร ท่ายก้มักจะพูดลอยๆเหมือนตั้งใจจะให้ข้าพเจ้าได้ยินออกมาว่า"ครูบาร์อาจารย์แรงมาก "แล้วก็พยักหน้าแบบ อืมนะ!!! ประมาณนั้นข้าพเจ้าก็มิได้สนใจ เพราะข้าพเจ้ารู้ว่า ที่เก่งนะไม่ใช่เรา แต่เป็น "หลวงพ่อ"ของพวกเราต่างหาก เพราะหลังจากที่พระองค์นั้นท่านมาอยู่ใหม่ๆ ข้าพเจ้าก็รู้สึกแปลกๆอยู่แล้วว่า หมามันเห่าหอนโหยหวนปนกับเสียงนกแควก แบบผิดปรกติแต่ไรมาบวชมาตั้งนานก็ไม่เห็นเป็น อย่างนี้บ้างครั้งก็จะมีเสียงลมพัดอู้ พุ่งเข้ามาชน ประตูหน้าต่าง หนักๆเข้าก็เหมือนมีของหนักๆล่นลงมาใส่หลังคา ดึกสงัดใครจะมาแกล้งกัน หรืออย่างไรไม่ทราบ  แต่ด้วยสัญชาติญาณ เพราะคนโบราณนั้นเขาก็ถือกันอยู่แล้ว ว่าอย่าไปทักเด็ดขาด และที่ทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจมากที่สุดก็เห็นจะด้วย ตั้งแต่สมัยที่ข้าพเจ้ามาอยู่ใหม่ ๆที่นั้น พอดีกุฏิของข้าพเจ้ามันตั้งอยู่ติดกับป้าช้า  จะว่าข้าพเจ้าเป็นคนไม่มีความกลัวเลยเสียทีเดียวนั้นกไม่ใช่ เพียงแต่ไม่ใช่คนตาขาวก็เท่านั้น ข้าพเจ้า จึงจุดธุปบอกหลวงพ่อว่าจะ ขอทำตะค่ายอาคมล้อมห้องนี้สักหน่อย ล้อมไว้บนเพดานเหมือนเวลางานพุทธาภิเษก โดยที่ข้าพเจ้าใช้สายสิญพันไว้ที่ใต้ฐานรูปของหลวงพ่อ แล้วข้าพเจ้าก็ตั้งจิตอธิฐาน ว่า นะโม 3 จบ ตามด้วย ตะมังธัง ปะกาเสนโต ฯลฯ แล้วว่า คาถามงกุฏพระพุทธเจ้า ว่าไปจนล้อมเสร็จ ก็เป็นอันว่านอน อุ่นใจ สบายดี รูปนี้แม่ของข้าพเจ้าได้มาจาก ตา นานแล้ว เคยแง้มดูนิดหนึ่งด้านที่มันล้อก ปรากฏ อักขระอาคมที่หลวงพ่อท่านจารประจุลงเอาไป เต็มเลย แต่เท่าที่มองดู ก็มีหัวใจ "กะระณี"ของหลวงพ่อเฒ่า วัดค้างคาวอยู่ด้วย ขอบารมีของหลวงพ่อ ปกปักรักษา...ปัจจุบันรูปนี้นั้นข้าพเจ้าก้ยังเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ที่นี้ ...
                              ...อยู่ต่อมาเรื่อยๆที่นี้สถานการณ์เริ่มจะบานปลายใหญ่ เพราะมันมาถี่เกิน ข้าพเจ้าก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ เจอเข้าอย่างนี้บ่อย ก็ชักคิดๆอยู่เหมือนกันแต่ไม่ถึงกับหวาดมากมายอะไร  ก็เลยปรารภให้ หลวงพ่อ ฟังว่า(พูดไปเรื่อย)โดยอยากจะรู้ว่า เอ้! มันเป็นเพราะเหตุอันใดหนอ และแล้วก็มีอยู่วันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นกับข้าพเจ้า โดยคืนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอนหลับสนิทอยู่นั้นก็ได้มีนิมิตฝันไปว่า ข้าพเจ้าได้เดินออกไปในป่าใหญ่แล้วอยู่ก็ได้ยินเสียงอะไรบ้างอย่างอยู่ในพุ่มป่า ก็เลยเดินตามเสียงนั้นไปเลื่อยๆ สักพักข้าพเจ้ารู้สึกร้อนมากหันก็เห็นน้ำตก ใหลอยู่ก็เลย เดินเข้าไปเอามือกวัคลูบหน้า ได้ยินเสียงคนหัวเราะ ก็เลยหันไปดู เห็นพระองค์นั้นกำลังยืนหัวเราะอยู่ใต้ตนไม้ แล้วทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ต้องตกใจถึดขีดสุด เพราะเมื่อข้าพเจ้าได้แหงนหน้าขึ้นไปมองบนหน้าผาก็ต้องพบกับความตกตะลึง
ข้าพเจ้าเห็นงูตัวใหญ่มากๆมันขดรัดหน้าผาอยู่ น่ากลัวมากๆเลย ถึงกับทำให้ข้าพเจ้า งี้ สะดุ้งตื่นเลย เมื่อตื่นมาใจยังเต้นตุบๆๆ อันนี้ก็พยามทำใจอยู่ว่ามันคงจะเป็นความฝัน ต้องเป็นความฝัน ข้าพเจ้าบอกตัวเอง อย่างนี้จนสติเริ่มดี ก็ไม่ได้คิดมากอะไร มองนาฬิกา ก็ ตี 3กว่าๆ ก็เลยล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วก็ สวดมนต์ไหว้พระต่อ ทำกิจต่างๆแล้วจึงเตรียมตัวจะไปบิฑบาตรในตอนเช้าต่อ ทีเรื่องซิ มันนี้พอได้เวลาลงจากกุฏิพอฟ้าวางๆเท่านั้นล่ะ ข้าพเจ้ากำลังเดินไปที่ศาลาก็แปลก พบพระองค์นั้นท่านมายืนรออยูที่ข้างทางที่จะไป ก็เอ้!!!ปรกติท่านก็ไปของท่าน วันนี้ทำใมมายืนรอเรา ละแล้วคำ พูดของพระองค์นั้นก็ได้ทำให้ข้าพเจ้าสะท้านใจจริงๆ ท่านอมยิ้มและพูดเสียงนิ่มๆว่า"ไงท่าน !!!เมื่อคืนร้อนมากหรือไง เห็นกวัคน้ำล้างหน้าใหญ่" ให้ตายก็ได้ ในชีวิตนี่ล่ะครั้งแรกที่ ข้าพเจ้า งง มากๆๆมากที่สุด ถึงที่สุด งงจริงๆท่านรู้ได้ไง เหมือนในฝันเปี้ยบเลย!!!แต่ทั้งที่ข้าพเจ้า ก็ตกใจในคำพูดของท่าน แต่ข้าพเจ้าก็แสดงออกแต่เพียงพองาม พี่ๆน้องๆครับ ข้าพเจ้า งง มากเลยครับ เออ ท่านรู้ได้ยังไง ก็เลยตอบท่านไปว่า "แล้วท่านอาจารย์ ไปยืนดุ้มๆทำอะไรอยู่ใต้ต้นไม้ละครับ" ท่านก็ขำใหญ่เลย ...
                                               ..."หลวงพ่อให้คาถา"...
                 ...หลังจากวันนั้นข้าพเจ้าก็ครุ่นคิดอยู่ว่า เหตุจึงได้ต้องเจอกับนิมิตฝันแบบนี้ได้ ก็ได้ข้อสรุปว่าเห็นจะต้อง ปรารภกับหลวงพ่อในเรื่องนี้ จึงได้จุดธุป 16 ดอก บอกกล่าวกับหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับ ผมไปแพ้เข้ามา จริงหรือไม่จริง ลูกก็ไม่รู้แต่ที่ลูกรู้กคือ ไม่อยากให้ใครมาว่าเราได้ว่า เป็น"ไก่อ่อน"ถ้าร้ายดีแต่อย่างไร ลูกนิมนต์หลวงพ่อ ช่วยสงเคราะห์ลูกด้วยเทอญ พอดีวันนั้นเป็นวัน ลงโบถพอดี ก็จึงได้เข้ากันไปลงปั่นปาฏิโมก ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงกว่าๆข้าพเจ้าก้ไม่รู้ ว่าจะบังเอญหรืออย่างได้ไม่ทราบ โลกมันกลม ก็ได้นั่งฝั่งตรงกันข้ามกับพระองค์นั้น ก็ฟังพระท่านปั่นปากิโมกไป หันไปมองก็เห็นองค์นั้นเม้ม ริมฝีปากมองมา ก็ทำเป็นเฉย นึกถึงหลวงพ่อเลยหลับตากำหนดลมหายใจ แทน ฟังไปฟังอยู่ก็เกิด อาการคล้ายๆตัวเองมันเบาๆดี รู้สึกสบายหัวใจ กระชุ้มกระชวย และทันนั้นคล้ายฟ้าร้อง ใจนั้นระลึกถึงหลวงพ่อตลอด จนเกิดความอัศจรรย์อย่างบอกไม่ถูก ภายในอากาศ ปรากฏเป็น อักขระ ขอม ลอยขึ้นมาหนึ่งแผง พอลืมอักขระนั้นก็ยังติดตาอยู่เหมือนเดิม ติดตาอยู่นานามาก ด้วยความที่ข้าพเจ้านั้น ก็พอรู้ภาษาขอมอยู่ จึงรีบอ่านและจดจำไว้จนแม่นยำ พระอักขระขอม แผงนั้นอ่านแล้วมีใจความดังนี้ว่า "โกธา นารา ปะหะ โมโล"ซึ่งสร้างความอัศจรรย์ให้กับข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก เพราะเคยศึกษาและท่องจำ พระคาถาต่างๆมาก็มากแต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยได้ยินได้ฟัง พระคาถาบทนี้เลย พี่ๆน้องๆ ท่านใดที่พอจะรู้ หรือเข้าใจ ในคาถาบทนี้ โปรดช่วย ให้ความรู้กับข้าพเจ้าด้วยจะเป็นพระคุณอย่างสูง ...
                                          ..."ลงด้วยบารมีของหลวงพ่อ"...
                     ... หลังจากที่ข้าพเจ้าได้คาถาบทนี้มา ข้าพเจ้าจึงนำภาวนา อยุ่ตลอด เพราะข้าพเจ้านี้มีความเชื่อว่า ต้องเป็น คาถาที่หลวงพ่อนั้นท่านประทาน มาใหแก่ข้าพเจ้า เพื่อที่จะเอาไว้ป้องกันตัว ข้าพเจ้ามั่นใจ วันนั้น ข้าพเจ้ารอจนดึกสงัด ข้าพเจ้าก็ได้เตรียมตัวไว้ว่าวันนี้เป็นไงเป็นกัน จะไดรู้กันไปเลย จะใช้วิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา อาราธนาครูบาร์จารย์ แก้พระองค์นั้นสักหน่อยว่าแล้วก็ เตรียมบาตรน้ำมนต์ มีดหมอของหลวงพ่อ ตำรา ของหลวงพ่อ ว่าแล้วก็นั่งภาวนาจนจิตเริ่มสงบ ก็ค่อยๆลืมตา จุดธุปเทียน ตามที่ได้ร่ำเรียนมา บอกกล่าว นิมนต์หลวงพ่อ ว่าวันนี้นิมนต์ให้ช่วยลูกด้วย ก็สวดร่ายองค์การอัญเชิญพ่อแม่ ครูบาร์อาจารย์ มีหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร เป็นที่สุด เสร็จแล้วก็นั่งภาวนา พอจิตสงบ ข้าพเจ้าก็ได้สำคัญตน ว่าได้เดินออกไปตามทางเพื่อที่จะไปยังกุฏิของพระองค์ข้าพเจ้าเดินไปเรื่อยๆทันใดนั้นข้าพเจ้าก็เห็นงูตัวใหญ่มาก ตัวเท่ากับล้อรถไถ 10เท่าเห็นจะได้ ข้าพเจ้าตั้งสติได้ จึงระลึกถึงบารมีของหลวงพ่อ ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ ก็เลยใช้บาตรคว่ำทับมัน
ไว้ (ในนิมิต)พอลืมตาขึ้นข้าพเจ้าก็รีบใช้ มีดหมอของหลวงพ่อ สะกดไว้ที่ปากบาตรน้ำมนต์ โดยที่ใช้มีดหมอ ของหลวงพ่อนั้นทับเอาไว้ แล้วข้าพเจ้าจึงรีบหยิบเทียนที่ จาร อักขระว่า "โก ธา นา รา ปะ หะ โม โล" ภาวนาหยดลงไปในบาตรน้ำมนต์นั้น จนเทียนหมดเล่น ก็เป็นอันเสร็จพิธี บอกตรง ข้าพเจ้าไม่ได้คิดว่าตัวเองนั้นจะทำได้หรือไม่ก็ตาม แต่ข้าพเจ้าเชื่อมั่น ในองค์หลวงพ่อว่า ท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ของริง จนหมดหัวใจ
พอรุ่งขึ้นตอนเข้าข้พเจ้าสังเกตุไม่เห็นพระองค์นั้นมาที่ศาลา ตามปรกติได้ความว่า อาพาธอยู่ มาไม่ได้ ก็ผ่านไป3 วัน ไม่รู้ข้าพเจ้านึกอย่างไรเห็นพระองค์นั้นท่านเดินอยุ่ในวัด ก็เลยเข้าไปอุ่มบาตรน้ำมนต์ในกุฏิที่ทำไว้นั้นไปหาท่าน ก็บอกทันไปว่า"อาจารย์ครับ พอดีอีกไม่นานเดี๋ยวผมก็จะสึกแล้ว นิมนต์ท่านอาจารย์ช่วยทำน้ำมนต์ให้สักหน่อย จะเอาไว้อาบตอนสึก นิมนต์ด้วยครับ"ท่านก็มองหน้าข้าพเจ้าแล้วก็รับบาตรน้ำมนต์ไว้แล้วเข้าไปหยิบเทียนเล่ม ใหญ่ 2 เล่มเดินหายไปที่โบถ ประมาณ ชั่วโมงกว่าๆจึงออกมา  พอมาถึงข้าพเจ้าเท่านั้นล่ะ คำพูดแรกที่ท่านพูด กับข้าพเจ้าก็คือ"ท่านใช้คาถาอะไรประจุน้ำมนต์ที่ให้มาหรือ"ข้าพเจ้าก็เลยถามท่านว่าเพราะอะไรจึงถามเช่นนี้ ท่านบอกกับข้าพเจ้าว่าขณะที่ท่านกำลังปั่นธรรมบันดาลอยู่นั้น ท่านก็ได้นิมิตไปว่าเห็นพญานาคของท่านที่หายไปมันมาขดอยุ่ในบาตรน้ำมนต์ของข้าพเจ้าใบนี้ ท่านก็ประหลาดใจมากจึง คลายจาก องค์ธรรม แล้วตั้งใจจะมาถามข้าพเจ้าโดยตรงเลย ข้าพเจ้าก็นึกในใจว่า โอ้คาถานี้สุดยอดจริงๆ คาถาของหลวงพ่อนี้ศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน ขนาดพญานาค ยังลงไปนอนในบาตรเลย สาธุๆๆๆๆๆ(ข้าพเจ้ากล่าวในใจ) ก็ด้วยความที่ข้าพเจ้าเห็นว่า พระองค์นี้ท่านก็เป็นพระที่ใช้ได้เหมือนกัน คือท่านก็อัธยาสัยดี ก็เลยบอกท่านไปตรงๆว่าข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้เรืองวิทยาคมอะไรทั้งสิ้น ก็เห็นว่าทีท่านยังมาดักรอผมแล้วยังถาม ผมได้เลยนี่ว่า ร้อนหรือยังไง แล้วที่ท่านส่งอะไรต่อมิอะไรมานะ ที่แกล้งผมไม่ได้ ก็เพราะบารมีของหลวงพ่อ ของผมช่วยเอาผมไว้"หลวงพ่อกวย ชุตินธโร" เทพเจ้าแห่งชาวบ้านแค สรุป วันนั้นคุยกันเกือบครึ่งคืน ต่อมาตอนหลังพระองค์นั้นก็ไปขอขมาหลวงพ่อและ นับถือ หลวงพ่อกวย ของพวกเรามากเลย ไม่ว่าจะไปที่ใหน ท่านก็มักจะ บอกกล่าวกับ พระที่ท่านรู้จักอยู่เสมอ ทุกครั้งเลยว่า "อย่าไปยุ่งกับศิษย์สายหลวงพ่อ กวย แห่ง วัดบ้านแค"เชียวนะท่านศักดิ์มาก เพราะท่านเจอมาแล้วกับตัวเอง ก็ขนาดอาจารย์ของพระองค์นั้นยังเคยพูดเลยว่า"แค่มีคนมาชักมีดของหลวงพ่อ กวย ออกมา ยักษ์ที่เฝ้าหน้าวันของฉันยังต้องหนีไปเลย" สุดยอดจริง เข็มขลังเหลือเกิน...
                                 ....ขอขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านแล้วข้าพเจ้าจะนำประสบการณ์มามาถ่ายทอดให้-
                    ...พี่ๆน้องๆได้อ่านฟังกันใหม่ตอนต่อไป ซึ่งจะใช้ชื่อว่า"อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอน 3...
                                                                 ....ด้วยความเคารพเป็นอย่างสูง....
                                                                         ...."คนเมืองกาญฯ”...
  ป.ล.คาถาที่ข้าพเจ้าใช้ทำน้ำมนต์มีอยู่ว่า"หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ช่วยจับพญานาคให้ลูกด้วยๆๆๆๆๆ" ท่องไปจนเทียนหมดเล่ม...สาธุ..











 
                                           

ออฟไลน์ บุญญาธิการ

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 1
  • กระทู้: 515
  • พลังน้ำใจ 1
Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 2
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2011, 05:14:57 pm »
สุดยอดจริงครับ :) :)

ออฟไลน์ Eman

  • สมาชิก
  • **
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 1
  • กระทู้: 74
  • พลังน้ำใจ 1
Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 2
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2011, 05:19:38 pm »
อนุโมทนาสา...ธุ...

ออฟไลน์ karyud

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 6
  • กระทู้: 773
  • พลังน้ำใจ 6
Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 2
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2011, 11:39:18 am »


   สุดยอดมาก ครับ อ่านแล้วรู้สึกภูมิใจที่เป็นศิษย์ของหลวงพ่อ

ออฟไลน์ jurong

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 34
  • พลังน้ำใจ 0
  • ศิษย์มีครู เหมือนงูมีพิษ
Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 2
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2011, 02:03:25 pm »
ศิษย์มีครูเหมือนงูมีพิษ  ศิษย์มีหลักเหมือนพยัฆค์มีเขี้ยว  สาธุ
เป็นบุญยิ่งแล้ว ที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา
และได้มาเป็น     "ศิษย์หลวงพ่อกวย"

กระดานสนทนาเว็บไซต์ ศิษย์หลวงพ่อกวย

Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 2
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2011, 02:03:25 pm »

 


Facebook Comments