ผู้เขียน หัวข้อ: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 3  (อ่าน 11582 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ chatchawan48

  • สมาชิก
  • ***
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 247
  • พลังน้ำใจ 0
Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 3
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2011, 11:06:32 am »
สาธุ บุญบารมีหลวงปู่กวย เยี่ยมยอดมากครับ

ออฟไลน์ weerawat26

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 39
  • กระทู้: 1103
  • พลังน้ำใจ 39
Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 3
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ธันวาคม 06, 2011, 11:10:34 am »
"คำอวยพรถึงพี่ๆน้องๆทุกคน"

พรุ่งนี้เป็นวันพระแล้ว ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีแห่งคุณพระศรีรัตนไตร และบารมีแห่ง "หลวงพ่อ กวย ชุตินฺธโร" พระอริยะสงฆ์ ผู้เป็นดั่งบิดาของพวกเราทั้งหลาย จงโปรดปกปักษ์รักษาอภิบาลลูก ๆ ของท่านทุกคน ทั้งที่ผู้เข้ามาอ่านฟังในเวปกระทู้ของข้าพเจ้าและผู้ที่ไม่ได้เข้ามา จงมีแต่ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ทุกท่านทุกประการเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ

"ความเดิมจากตอนที่แล้ว"

ครั้งหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้าบวชได้ประมาณ 1 ปี ทางวัดที่จำพรรษาของข้าพเจ้านั้น ได้รับกิจนิมนต์ให้ไปสวด "พระพุทธมนต์" ในงานพุทธาภิเษก ที่วัดแห่งหนึ่งในต่างอำเภอ ข้าพเจ้าก็เป็นผู้ที่ได้รับในกิจนิมนต์ให้ไปในงานนี้ด้วยเหมือนกัน ความจริงกิจนิมนต์งานนี้ ทางวัดก็ได้นิมนต์พระเถระมากอยู่ ก็ประมาณ 99 รูปเห็นจะได้ ตอนนั้น "จตุคามรามเทพ" กำลังดังมาก ๆ เป็นยุคทองของเทพองค์นี้เลย ความจริงข้าพเจ้าก็มิได้ใคร่ ที่อยากจะไปสักเท่าใดนักแต่ท่านเจ้าอาวาสท่านกำหนดให้ไป และอีกอย่างวัดนี้ ก็เป็นวัดพี่วัดน้องกันอยู่ กับวัดของข้าพเจ้า (อุปถัมภ์กันอยู่) ก็เลยต้องไปตามหมายกำหนดของทาง ท่านเจ้าอาวาส  สักพักหนึ่ง ท่านเจ้าอาวาสท่านก็ได้หยิบใบโบว์ชัวร์มาให้อ่าน (โฆษณาของทางวัด) ข้าพเจ้าอ่านดูเห็นเขาโปรโมทว่า จะมีเกจิอาจารย์ดัง ท่านหนึ่งนั้นมานั่งปรก นัยว่า ท่านนั้นปลุกเสกจนสามารถทำให้ "จตุคามรามเทพ" บินกระเด็นออกมาจากบาตรได้ด้วย ประวัติเดิม ๆ ท่านนั้นเป็นเสือเก่าดัง อยู่แถวแถบ อ่างทอง สุพรรณ สิงห์บุรี ชัยนาท เมืองกาญจนบุรี ประมาณนั้น เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านใบโบว์ชัวร์นั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ใคร่อยากจะรู้และที่อยากจะพบเจอคนจริงอย่างนี้ สักครั้ง ว่าที่เขาว่ากันมันจะจริงแท้ประการเช่นใด ข้าพเจ้าจึงได้เดินทางไปกับรถของทางวัด ระยะทางก็ประมาณ 30 ก.ม.

"บอกกล่าวหลวงพ่อว่าจะไปงานพุทธาฯ"

ก่อนที่ข้าพเจ้าจะไปนั้น ข้าพเจ้าก็ได้เข้าไปจุดธูป บอกกล่าวแก่หลวงพ่อว่า "หลวงพ่อครับ วันนี้ลูกจะไปงานพุทธาภิเษก" ลูกขอบารมีหลวงพ่อ ให้ช่วยปกปักษ์รักษาขณะเดินทาง ให้เดินทางแคล้วคลาดปลอดภัย ด้วยนะขอรับ แล้วยกมืออธิษฐาน สาธุ (ว่าไปเรื่อย) และเมื่อถึงเวลาเดินทาง กระนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ลืมที่จะหยิบ มีดหมออาคมของหลวงพ่อ ที่ใช้ประจำกายอยู่เป็นประจำในเวลาเดินทางไกล แต่การที่ข้าพเจ้าไปนั้น ข้าพเจ้ากลับไม่รู้สึกตื่นเต้นประการใดเลย ที่จะได้พบเจอ พระเกจิอาจารย์ดัง ก็รู้สึกเฉย ๆ มากกว่า ก็อาจจะเป็นเพราะเหตุที่ว่า ไม่มีเกจิอาจารย์องค์ใดเลยที่ข้าพเจ้าจะอยากเจอ เทียบเท่ากับ "หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร" พระอริยะสงฆ์ผู้เป็นดั่ง "บิดา" ของพวกเราทุกคน และถ้าจะเป็น "ของดี" ก็ต้องเป็นของหลวงพ่อเท่านั้น ของครูบาอาจารย์ท่านอื่น ก็แล้วแต่ใครจะนับถือ ตรงนี้ก็ไม่ได้ไปลบหลู่เขา นานาจิตตัง

พอไปถึงงาน ทางวัดก็ได้จัดอาหารหวานคาวมาให้ฉัน ครั้นเวลาประมาณ บ่ายโมงเศษ ๆ พระที่มาในงานจึงได้เริ่ม เจริญพุทธมนต์และแล้วจู่ ๆ ฝูงชนก็ต่างพากันโกลาหล แตกตื่น วุ่นวาย ก็ด้วยความที่ว่า "หลวงพ่อเกจิดัง" องค์นั้น ท่านได้เดินทางมาถึงปะรำพิธี ข้าพเจ้าก็เห็นท่านมาแต่ไกล ๆ คนงี้ ล้อมหน้าล้อมหลัง โอ้ย มองดูแล้ว สับสนมาก สักพัก ก็ได้ยินเสียงท่านโฆษก ท่านพูดออกไมค์ประกาศว่าให้สาธุชนเปิดทางให้กับ "หลวงพ่อเกจิดัง"  ด้วย เพราะใกล้จะได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว ความว่ากว่าจะได้ประกอบพิธี ก็ใช้เวลาปาเข้าไปครึ่งชั่วโมงกว่า ๆ แต่ที่เด็ด ในสายตาของข้าพเจ้านั้นนะ ไม่ใช่การมาของ "หลวงพ่อเกจิดัง" องค์นั้นหรอก แต่เป็นแม่ชีองค์หนึ่ง ที่แต่งตัวดูเคร่งมากเห็นมากับลูกศิษย์อยู่หลายองค์ พอแกมาถึง แกก็ยกมือไหว้ "หลวงพ่อเกจิดัง" องค์นั้น แล้วก็พูดกัน"โอ้!!! พระคุณเจ้า!!!!ข้าพเจ้านึกแปลกใจปนอารมณ์ อืมนะ!!!(ข้าพเจ้าบอกไม่ถูกเหมือนกัน) จะว่าแกเป็นหน้าม้าก็หรืออย่างไรไม่ทราบ ตรงนี้ไม่ขอปรามาส ทีนี้คุณแม่ชีแกก็พูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ "สำเนียงภาษาฟังดูคล้ายแขก" ยาวเหมือนกัน พอพูดจบเท่านั้นล่ะ "หลวงพ่อเกจิดัง" ท่านก็พูดทักทายกับคุณแม่ชีองค์นั้นด้วยภาษาออกแขก ๆ ด้วยเหมือนกัน "ประมาณ กู๊ดมอนี่ง ฟาย แทงกิ้ว แอนด์ยู" "คุณสบายดีใช่ไหม " "ใช่ ฉันสบายดี" ข้าพเจ้าจับใจความจากปากเขา ก็เลยอุปมาเอา ว่าน่าจะเป็นอย่างนี้ เรียกว่าสนทนากันประมาณนั้น สักพักอีตาโฆษก นี่แกก็เก่งจริง ๆ (ข้าพเจ้านึกในใจ) รีบประกาศออกไมค์เชียวว่าขณะนี้คุณแม่ชี กับ "หลวงพ่อเกจิดัง" นั้นได้ใช้ภาษาเทพคุยกันอยู่ เล่นเอาคนที่มาในงาน อื้ออึงกันใหญ่เลย ก็เป็นอันว่ายิ่งเพิ่มความดูเข้มขลังให้กับผู้ที่มาเข้าร่วมพิธี ดูแล้วคล้ายเรียกเรทติ้งแนวนั้น แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก ก็เพราะว่าไม่ใช่ของแปลกอะไร สำหรับตัวของข้าพเจ้าเลย ก็ดีเหมือนกัน เพราะวัตถุมงคลของทางวัด จะได้จำหน่ายได้มาก ๆ ทางวัดจะได้มีรายได้เข้าวัด เพื่อที่จะนำไปบูรณปฏิสังขรณ์ ในสิ่งที่ควรต่อไป ก็ดีเหมือนกัน

"ขอขมา กายกรรม มโนกรรม วจีกรรม ก่อน"

หลายครั้ง ที่ข้าพเจ้าได้เคยศึกษาเรื่องราวประวัติของพระเกจิอาจารย์ท่านหนึ่งที่ดังมาก นั้นก็คือ "พระเดชพระคุณ หลวงปู่ โต๊ะ แห่ง วัดประดู่ฉิมพลี" สรุปเป็นเนื้อหาในใจความตอนหนึ่งว่า "หลวงปู่โต๊ะ" นั้น ถ้าแม้นท่านได้ไปกิจนิมนต์ ในงานพิธีพุทธาภิเษกในที่ใดก็ตามหากมีเกจิอาจารย์องค์ใดก็ตาม ที่เป็นผู้ที่ทรงภูมิคุณธรรมชั้นสูง หรือมีความเป็นผู้ที่ทรงวิทยาคมของจริงแล้วไซร้ "หากหลวงปู่ โต๊ะ แห่งวัดประดู่ฉิมพลี" ท่านเพียงแค่ได้จับด้ายสายสิญจน์ ในงานพิธีพุทธาภิเษกเท่านั้น ละก็ ท่านจะสามารถล่วงรู้ถึงคุณธรรมของภูมิจิต ของพระคณาจารย์ของแต่ละองค์ได้ทันที ว่าองค์นี้ของจริง หรือชั้นไหน  ดังจะขอกล่าวเป็นใจความย่อ ๆ ในตอนหนึ่ง เมื่อครั้งที่ "หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร" พ่อ ของพวกเรานี้ ได้รับกิจนิมนต์ไปในงาน พิธีพุทธาภิเษก ในงานของวัดแห่งหนึ่ง ใน จ.สุพรรณบุรี ชื่อว่าวัดท่าทอง ปี 2518 และพิธีนี้เอง ที่ทำให้แม้แต่ "หลวงปู่ โต๊ะ แห่ง วัดประดู่ฉิมพลี" ท่านต้องถึงกับ อุทานออกมาว่า "หลวงพ่อองค์นี้เป็นใคร มาจากไหน ทำไมท่านถึงไม่รู้จัก ท่านมีวิชาอาคม ที่แก่กล้ามากเหลือเกิน" ถึงขนาด หลวงพ่อกวย ของพวกเรานั้น ท่านได้แสดง อภิญญาสมาบัติ นั่งปรกปลุกเสก โดยที่ท่านไม่ได้หลับตา ไม่กระพริบตาเลย เพ่งวัตถุมงคล ตลอดพิธีเป็นชั่วโมง ๆ ซึ่งผู้ที่สามารถจะทำได้นั้น อย่างน้อยก็จะต้อง ทรงภูมิคุณธรรมชั้นสูงมาก เรียกว่าเกินชนิดที่ ปุถุชนอย่างข้าพเจ้าจะกล่าวพรรณนาได้ (จริง ๆ แล้วไม่กล้าบังอาจที่จะพยากรณ์) สุดยอด เข้มขลัง สุดๆ และเรื่องราว ของหลวงพ่อกับคณาจารย์ผู้ทรงวิทยาคมแห่งยุคองค์อื่น ๆ นั้น มีอยู่มากมายหลายองค์ อาทิเช่น "หลวงปู่ เพิ่ม แห่ง วัดกลางบางแก้ว ก็ได้ยกย่องท่านว่า หลวงพ่อกวย องค์นี้นั้น ท่านเก่ง เทียบเท่ากับ หลวงปู่ของพวกเรา (ท่านหมายถึง พระพุทธวิถีนายกหลวงปู่บุญ ขันธโชติ) ต่อหน้าลูกศิษย์ของท่านเลย ส่วน "หลวงปู่ดู่ แห่งวัดสะแก" ท่านเป็นพระปฏิบัติ(ปรารถนาพุทธภูมิ) ท่านก็ยังยกย่องหลวงพ่อกวยของเรานี้ว่า เป็น 1 ใน 9 คณาจารย์ที่เก่ง ของจริง และที่สุดของที่สุด ก็คือ เมื่อครั้งที่ "หลวงพ่อจง แห่งวัดหน้าต่างนอก" ท่านได้รับกิจนิมนต์จากเชื้อพระวงศ์ท่านหนึ่งที่นับถือเกจิอาจารย์ของทางใต้มาก ให้ไปปลุกเสกพระที่เรือนของเชื้อพระวงศ์ท่านนั้น แต่งานนี้ "หลวงพ่อจง" ท่านกลับไม่เสกเอง แต่นิมนต์ให้หลวงพ่อกวยท่านขึ้นเสกแทนและ "หลวงพ่อจง" ท่านก็ได้พูดบอกกับ "หลวงพ่อกวย" ว่าให้เต็มที่เลยนะท่าน เพราะพวกเขารอดูเราอยู่ และเมื่อครั้น "หลวงพ่อกวย" ขึ้นนั่งปรกปลุกเสกเท่านั้นล่ะ ท่านก็ได้สำแดงอภินิหารแห่งญาณสมาบัติของท่านให้ได้ประจักษ์ ชนิดที่เรียกว่า พระสะเทือน เรือนไทยโบราณหลังใหญ่ๆ นั้นได้สั่นไปทั้งหลัง จนเป็นที่ยอมรับนับถือซึ่งกันและกันกับพระคณาจารย์จากทางใต้มาก แต่ตรงนี้ข้าพเจ้าขอพักไว้ก่อน จะนำมาเล่าให้ฟังในตอนต่อไป ในตอนที่เกี่ยวข้องกับ คณาจารย์ต่าง ๆ ที่ท่านนั้นได้ยืนยันว่าหลวงพ่อของพวกเรานี้ ท่านก็เป็นผู้หนึ่ง ที่สำเร็จ "อภิญญาโสฬสมงคล" 16 ประการ เฉกเช่นเดียวกันกับปรมาจารย์ ผู้เป็นหนึ่งแห่งเมืองปากเกร็ด จ. นนทบุรี  ก็ว่าด้วย บทพระเวทมหาทมื่น ที่ปรมาจารย์ผู้เป็นหนึ่ง แห่งเมืองปากเกร็ด จ.นนทบุรี ท่านไปประจุอาคมไว้ในวัตถุมงคลของท่านนั้น มีท่านปรารภไว้เพียงหมื่นจบเท่านั้น “แต่ของหลวงพ่อ กวยชุตินฺธโร" ของพวกเรานั้น ท่านได้เคยกล่าวไว้ว่า ของ ๆ ท่านนั้น "นับครั้งไม่ได้" นี่คือสุดยอดแห่งความเข้มขลังแห่งพระเกจิหลังกึ่งพุทธกาล อย่างแท้จริง

ทีนี้ข้าพเจ้าจะกลับมากล่าวถึงในความตอนเดิมที่ว่า เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าไปงานพิธีพุทธาภิเษกนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ดำริอยู่ภายในใจว่า โอ้!!!เรานี้ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า "หลวงพ่อเกจิดัง" ที่มานั่งปรกในพิธีนี้นั้นหรือไม่ประการใด ชะรอยเรานี้ก็ไม่ได้มี ตาทิพย์ตาวิเศษ เสียด้วย (ไม่ได้ลบหลู่ท่านนะ) ก็ได้ความว่า บังเอิญได้ที่นั่ง ไปอยู่นั่งอยู่ใกล้ ๆ กับธรรมมาส ปลุกเสกเรียกว่าอยู่ห่างกันพอสมควร ก็นั่งมองดูท่าน แสดงอากับกิริยาสำรวมดี แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ยิ้ม ไม่มองมาก เรียกว่าไม่ออกหน้าออกตาเหมือนคนอื่น ว่ากันประมาณนั้น  สักพัก ท่าน "หลวงพ่อเกจิดัง" ท่านก็ได้ออกไปจุดเทียนชัย "ก็มีเสียง ปี่พาทย์ ระนาด กลอง โหมกัน เป็นธรรมดา” พอท่านหันมาทางข้าพเจ้า ที่นี้ ข้าพเจ้าไม่หลบสายตาท่านเลย ก็ด้วยความที่รู้สึกอยู่เสมอว่า เรานี้ก็ศิษย์มีครู อาวุโสภันเตฯ มันก็อีกเรื่อง ข้าพเจ้าก็นึกดำริในใจว่า ท่านหลวงพ่อ(เกจิดัง) ถ้ามีเหตุอันใดที่กระผมไปล่วงเกินหลวงพ่อ(เกจิดัง)ละก็ กระผมก็ขอขมาลาโทษในใจตรงนี้เลยนะขอรับ หากอย่างไรเสีย กระผมจะขออนุญาต ชมบารมีของหลวงพ่อ(เกจิดัง)สักหน่อย เห็นว่าเป็นเสือเก่ากระผมอยากจะรู้แค่เพียงว่า ท่านนั้นสมคำที่เขาลือกันหรือไม่จริงแท้ประการใดกันแน่  กายกรรม มโนกรรม วจีกรรม ใดๆที่ล่วงเกิน ก็ขอให้หลวงพ่อ(เกจิดัง)อย่าว่า กระผมนะขอรับ กระผมอยากจะประจักษ์แก่สายตาจริง ๆ ชะรอย จะได้ไม่ให้เกิดความกังขาต่อท่าน (เพราะเดี๋ยวนี้พระเกจิแนวดรามานั้นมีเยอะ ให้ลูกศิษย์โปรโมท) อีกอย่างพระพุทธเจ้า ท่านก็สอนว่า อย่าพึ่งเชื่อข่าวลือ ว่าแล้วก็สาธุ ในใจ

"มีดหมออาคมของหลวงพ่อสำแดงอิทธิฤทธิ์"

เมื่อกล่าวจบ ข้าพเจ้าจึงเห็น "หลวงพ่อเกจิดัง" องค์นั้นขึ้นนั่งปรกบนธรรมมาส ทำสมาธิสำรวมจิต และแล้วข้าพเจ้าก็ได้เข้าเจริญภาวนา เมื่อเวลาผ่านไปได้สัก 20 นาที พุทโธ ธัมโม สังโฆ ว่าไปเรื่อย จนข้าพเจ้าจึงรู้สึกสงบดี แต่มีเรื่องแปลกอยู่เรื่อง หนึ่งไม่รู้ว่าพี่ ๆ น้อง ๆเป็นกันบ้างหรือเปล่า ก็เวลาสวดมนต์นั้นตามปรกติ ถ้าคนนั้น ๆ ก็ถ้าใครมาส่งเสียงดังนิดหน่อย สมาธิมักจะแตกกัน แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าเป็นยังไง ยิ่งมีเสียงดังมากกลับยิ่งสงบใจได้ไวขึ้น เอ่อ! ก็แปลกดีเหมือนกัน เคยถาม ครูบาร์อาจารย์ที่สอนกรรมฐาน เห็นท่านบอกมาว่า ตรงนี้ มันขึ้นอยู่กับจริตของคนแต่ละที่มีคนไม่เหมือนกัน เอ่อ!!!แปลกดี เอ้า เข้าเรื่องต่อดีกว่า ทีนี้พอ ขณะที่ข้าพเจ้าภาวนาไปจนจิตนั้นเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเบา ๆ รู้สึก สบาย ๆ สงบดี แล้วข้าพเจ้าก็ค่อยลืมตาขึ้น ณ เวลานั้น พระสงฆ์ก็ต่างเจริญพุทธมนต์กันไป ไม่มีใครสนใจใครหรอก สนแต่ วัตถุมงคลกัน ประมาณนั้น และแล้วทันใดนั้นข้าพเจ้าจึงหยิบมีดหมอลงอาคมของหลวงพ่อออกมา (พอดีมุมที่ข้าพเจ้านั่งนั้นเป็นมุมหลบพอดี) ข้าพเจ้าจึงเริ่มกล่าว องค์การอาราธนาครูบาอาจารย์ เริ่มด้วย ตั้งนะโม 3 จบ ตามด้วย ตะมังธัง ปะกา เสนโต  ต่อด้วยพระคาถา เรียกพระแม่ธรณี มาให้มาช่วยเป็นสักขีพยาน ถ้าไม่มา อกร้อนดังเพลิงสุมมี "หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร" เป็นที่สุด ข้าพเจ้าอาราธนาบอกกล่าวหลวงพ่อว่า ขอให้บารมีของหลวงพ่อช่วยเมตตา ให้มีดหมอประจุอาคมเล่มนี้ของหลวงพ่อ จงประสิทธิ์ประสาทความศักดิ์สิทธิ์ ให้แก่วัตถุมงคลทุก  ๆ ชิ้นที่อยู่ในปะรำพิธี เพื่อปกปักษ์รักษาคุ้มครอง พุทธบุตรทั้งหลาย ที่ได้นำไปกราบไหว้บูชา อนึ่ง ด้วยพระพุทธานุภาพ พระธัมมานุภาพ  พระสังฆานุภาพ จักได้ไม่เกิดรอยมลทิน ต่อพระศาสนาของทั้งหลาย ของเราสืบต่อไป พุทธังประสิทธิเม ธัมมังประสิทธิเม สังฆังประสิทธิ์เม ว่าแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ใช้ปลายมีดหมอของหลวงพ่อ แตะลงไปที่ด้ายสายสิญจน์  พร้อมทั้งภาวนาว่า เตโชๆๆๆๆๆไปเรื่อย ทันใดนั้นเอง เมื่อข้าพเจ้าได้มองไปยัง "หลวงพ่อเกจิดัง" องค์นั้น ก็ได้พบว่าท่านได้ลืมตาขึ้นจากสมาธิ แล้วมองมายังบริเวณที่ข้าพเจ้านั้นนั่งอยู่เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นประการนั้น ก็ได้ชักมีดหมอของหลวงพ่อออกจาก ด้ายสายสิญจน์ พร้อมกับหันไปที่ท่านแล้วยกมืออภิวาทให้ท่าน เป็นอันประจักษ์แก่สายตาว่าท่านนั้นก็มีดีเหมือนกัน แต่ท่านนั้นก็มิได้แสดงอาการมากจนเกินงาม เพียงแต่หันมามองที่ข้าพเจ้าอยู่ ครู่หนึ่งประมาณ 3 นาที ข้าพเจ้าคิดว่า จิตนั้น ย่อมต้องรับรู้ได้ด้วยกระแสแห่งจิตและการที่หลวงพ่อสร้างวัตถุมงคลของท่านขึ้นนั้น หลวงพ่อก็มิได้มีจุดประสงค์ที่จะให้วัตถุมงคลของท่าน นั้นไปประหัตประหารผู้อื่นเลย เรียกว่าถ้าใครจะใช้ของหลวงพ่อ ของพวกเราไปทำร้ายผู้อื่น เป็นอันว่า หลวงพ่อสะกด พุทธคุณทันที ดีไม่ดี โดนเองเลย อันนี้เรื่องจริง จุดประสงค์ของหลวงพ่อของพวกเรา นั้นชัดเจน ดังนั้นการที่ข้าพเจ้าใช้มีดหมอของหลวงพ่อ ในครั้งนี้ จึงมิได้เป็นการผิดวัตถุประสงค์ของหลวงพ่อแต่ประการใดๆ เพราะใจของเรา เราย่อมรู้ดีกล่าวใครๆ

"เผาพิธีพุทธาภิเษก"

เมื่อเสร็จสิ้นพิธีพุทธาภิเษก ข้าพเจ้าจึงปลีกตัวออกทางด้านหลัง ก็เห็นผู้คนต่างพากันรายล้อม "หลวงพ่อเกจิดัง" องค์นั้น เพื่อขอวัตถุมงคลกันอยู่มาก ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ฉงนใจอะไรมาก ก็เดินกลับไปที่รถวัดของข้าพเจ้า แต่ทันใดนั้นเอง ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงของทางโฆษกวัด นั้นประกาศออกไมค์เสียงดังว่า "ขณะที่หลวงพ่อเกจิดังองค์นั้น กำลังเจริญสมาธินั่งปรกปลุกเศกอยู่นั้น อยู่ ๆ ท่านก็ได้นิมิตไปว่า ได้มีแสงสว่างเจิดจ้าอันไม่มีประมาณ ปรากฏขึ้นอยู่ด้านซ้ายมือของปะรำพิธี และทันใดนั้นเองก็ได้มีเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมา วิ่งลุกโชติช่วงไปทั่วทุกอณูของวงล้อมสายสิญจน์ เปลวเพลิงนั้นร้องแรงมาก ชนิดที่เรียกว่าเผาปะรำพิธีไปทั้งงานเลย ไม่เคยปรากฏเหตุการณ์ประหลาด เช่นนี้มาก่อนเลย จนทำให้ท่านถึงกลับสะดุ้ง คลายออกจากสมาธิ แล้วหันไปมองทางด้านทิศด้านที่มาของนิมิตลำแสงนั้น ก็แลเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งท่านหันมายกมือไหว้ท่าน เข้าใจว่า ท่านคง อาราธนาครูบาอาจารย์ของท่านมาช่วยอธิษฐานจิตให้ด้วย ซึ่งนับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีงามต่อ วัตถุมงคลชุดนี้มาก และเมื่อท่านเข้าสมาธิและลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็ไม่พบพระภิกษุองค์เสียแล้ว" จะถามท่านสักหน่อยว่าครูอาจารย์ท่านเป็นใคร ท่านนับถือหลวงพ่อองค์ใด เสียดายจริง ๆ ข้าพเจ้าเมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็รีบยกมือขึ้น สาธุ เลยๆๆ เพราะรู้ดีว่า ต้องเป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร แน่ ๆ บารมีหลวงพ่อที่ท่านช่วยเมตตาสงเคราะห์ต่อ งานพิธีพุทธาภิเษกพิธีนี้ และเป็นบุญของข้าพเจ้าเหลือเกินที่หลวงพ่อท่านได้เมตตา ให้ลูกคนนี้ได้ประจักษ์ในอานุภาพของ "เทพศาสตราของท่าน" สุดยอดเกินพรรณนาเหลือเกิน  สาธุ สาธุ สาธุ "หลวงพ่อ กวย ชุตินฺธโร"

ขอขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านแล้วข้าพเจ้าจะนำประสบการณ์มามาถ่ายทอดให้พี่ๆน้องๆได้อ่านฟังกันใหม่ตอนต่อไป ซึ่งจะใช้ชื่อว่า
"อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อ กวย ชุตินฺธโร ตอน 4


ออฟไลน์ SODA 405

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 47
  • -Receive: 7
  • กระทู้: 6369
  • พลังน้ำใจ 7
  • ....เก็บ,สะสม,อนุรักษ์.
Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 3
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ธันวาคม 06, 2011, 12:20:38 pm »

      ....ขอบคุณที่นำเรื่องราวมาบอกเล่าครับ! :D

กระดานสนทนาเว็บไซต์ ศิษย์หลวงพ่อกวย

Re: อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 3
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ธันวาคม 06, 2011, 12:20:38 pm »

 


Facebook Comments