ผู้เขียน หัวข้อ: อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินธโร ตอนที่ 7.1  (อ่าน 4793 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ชูศักดิ์

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 29
  • พลังน้ำใจ 0
               ..."หลวงพ่อกวย ชุตินธโร พระอริยะสวฆ์แห่งแดนคนจริง"...                                                                                                                                                                                                                                                                                                      ...เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้ จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้ จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ จึงดับ เพราะ "จิต" ดวงนี้เกิดขึ้น คือ"รูป" "จิต"อีกดวงจึงดับไป คือ"นาม" วนเวียนหมุนไปตามกงกรรมกงเกวียน เนินนานเคว้งคว้างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นวัฏจักรสงสารอันประกอบด้วย รูปธรรม นามธรรม อณูธรรมชาติแห่งจักรวาลเดิม สัมพันธภาพในจักรวาลธาตุที่ย่อเหลือไว้ในแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ด้วย "พระธรรม" อันเป็นคำสั่งสอนขององค์พระบรมไตรโลกนาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นครูแห่งเทวดาและมนุษย์ เพื่อชี้ทางแกสรรพสัตว์ให้ก้าวพ้นจากกองทุกข์ บัดนี้วันเวลาล่วงผ่านมาในครึ่งแห่งพุทธศตวรรษแล้วหนอ...

                                         กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ

                                            ความได้เป็นมนุษย์เป็นการยาก

                                                  กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ

                                          ความเป็นอยู่ของสัตว์เป็นการยาก

                                                  กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ

                                          การฟังธรรมของสัตบุรุษเป็นการยาก

                                                กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท

                                          ความเกิดขึ้นแห่งท่านผู้รู้เป็นการยาก

                                        ทุลฺลภํ ทสฺสนํ โหติ สมฺพุทฺธานํ อภิณฺหโส

                                    การเห็นพระพุทธเจ้าเนืองๆ เป็นการหาได้ยาก

                    ...เราทั้งหลายจงมั่นพึ่ง ทำแต่ความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้เบิกบาน ด้วยกันเทอญ....

 

                                               ..."พ่อ(หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร)คือที่หนึ่งในใจลูกอยู่ทุกครา"....
            ...ลูกของพ่อ(หลวงพ่อ กวยชุตินธโร)คนนี้ ขอกราบพึ่งบารมีของ พ่อ (หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร)ขอพ่อ(หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร)จงโปรดปกปักรักษาคุ้มครองอภิบาลลูกด้วยเทอญ แม้วาสนาของลูกนี้จะมีน้อยนัก ที่ลูกนั้นไม่ได้เกิดมาได้ทันรับใช้ปฏิบัติ ดูแล อยู่ในยุคแห่งสมัยที่ พ่อนั้น(หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร)ดำรงด์ ขันธ์อยู่ แต่ลูกคนนี้น้อมระลึกถึงพระคุณของ พ่อ (หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร) รักและเคารพ บูชาแต่พ่อ(หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร) อยู่ทุกลมหายใจ ตลอดมา อันพ่อแม่ครูบาร์อาจารย์ทั้งหลายนั้น ลูกก็ย่อมบูชาเสมอเหมือนกัน แต่พ่อ (หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร) คือที่สุด ในใจของลูกคนนี้ ตราบจนสิ้นลมหายใจ

 

                                                    ..."ผีตา จ้อย"....

             ...เรื่องก็มีอยู่ว่า ในตอนที่ข้าพเจ้าบวชเป็นพระ อยู่นั้น ถึงแม้ทางวัดของเรานั้น จะเป็นวัดหลวงก็ตาม แต่เรื่องของการดูแลสาธณะประโยชน์ต่างๆ ก็หาใช่ว่า ทางหลวงเขามาดูแลกัน ให้ตลอดทุกๆอย่างก็หาได้เป็นอย่างนั้น ประกอบกับท่านเจ้า อาวาสนั้น ท่านเป็นพระที่มีเมตตาธรรม ก็เลยได้ความว่า ท่านมักจะให้การอุปถัม ลูกชาวบ้านผู้ยากไร้อยู่เป็นประจำ โดยท่านนำมาดูแลส่งให้เรียนหนังสือ แต่ก็มีข้อแม้ว่า จะต้องช่วยเหลืองานวัดด้วย  ตอนนั้นก็มีทั้ง เด็ก พม่า กระเหรี่ยง แล้วก็ ไทยก็มี ก็ได้ช่วยกัน ดูแล แบ่งๆให้พระช่วยกัน แต่งบประมาณนั้น ท่านเจ้าอาวาสท่านเป็นคนออกให้ รวมความว่า มีอยู่ประมาณ 5 คน (ข้าพเจ้าไม่ได้รับมอบหมายให้ดูแล) ที่นี้อยู่มาวันหนึ่ง พอดีมีพระองค์หนึ่ง ท่านมาบวชใหม่ที่วัด ชื่อพระโจ้ พระองค์นี้ ท่านเป็นลูกคนมีเงิน เป็นเถ่าแก่ไร่อ้อย เรียกว่ารวยเข้าขั้นเลยสำหรับชาวบ้านๆ บ้านนอกๆธรรมดาอย่างพวกข้าพเจ้า อ้อ!!บ้านพระโจ้นี่ เป็นเจ้ามือหวยรายใหญ่ของโซนแทบนั้นด้วยนะ แต่ตอนหลัง เจ๋ง งวดที่ ตอนสมัยที่เลขออกอายุสวรรคตของเชื้อพระวงค์ชั้นสูงองค์หนึ่ง(จำได้ใหม 995 น่ะ) แล้วบังเอิญชาวบ้านเข้าก็เลยทุ้ม ฟันกันไป 3 งวดติด โยมของท่านพระโจ้เลยเจอเข้าไปประมาณ 10 ล้าน เลยเลิกเป็นเจ้ามือหวย ใต้ดินเลย ประมาณนั้น .เอ้า!!เข้าเรื่องต่อ ก็ได้ความว่าพระโจ้ท่าน เวลาอยู่บ้านก็จะมีลูกน้องเยอะ เพราะเป็นเถ้าแก่รองจาก โยมพ่อท่าน .แต่นิสัยท่านก็สุภาพดีนะเวลาสนทนา แต่เวลาดุๆยังกับเสือ ลูกศิษย์วัดกลัวเขากลัวกัน ประมาณนั้น(ชอบเอาลูกหมามาฝึกกัดกัน ตอนหลังดุชิบเปง) เอ่อ!!คนเราหนอ แล้วแต่นะ!!(ถอนหายใจยาวๆ)จนอยู่มาวันหนึ่ง และแล้วตำนาน"ผีตาจ้อย" ก็บังเกิดขึ้นจนได้. ตาจ้อยนั้น เดิมที แกเป็นคนพม่า เป็นคนงานเก่าแก่ ของบ้านพระโจ้เขา แกอายุอานามก็มากแล้ว น่าจะเกือบๆ 65 กว่าๆเกือบ 70เห็นจะได้ประมารนั้น ตาจ้อยพูดไทยพอได้แต่ไม่ชัด ตาจ้อย แกเป็นคนขยัน ชอบเก็บโน้น กวาดนี้ ไม่ค่อยหยุดหรอก ก็ด้วยความที่บ้านท่านพระโจ้ เขาคิดกันยังไงไม่รู้ เข้าใจว่าเห็นท่านพระโจ้มาบวชอยู่นานกลัวจะไม่มีลูกศิษย์รับใช้หรืออย่างไร ตรงนี้ ข้าพเจ้าไม่ทราบ ทางบ้านท่านพระโจ้ก็เลยได้ให้ ตาจ้อย เนี้ยมาอยู่วัดด้วย เอาไว้ใช้แกเวลาไปซื้อของข้างๆวัด ท่านพระโจ้ ท่านก็เลยมาขออนุญาติกับท่านเจ้าอาวาส ท่านเจ้าอาวาสท่านก็เลย อนุญาติ เพราะเห็นว่าแก เป็นคนแก่ๆ มาอยู่วัดสวดมนต์ไหว้พระบ้าง ก็ดีเหมือนกัน ท่านเจ้าอาวาสท่านไม่เคยคิดแบ่งชั้นวรรณนะว่า ไอ้เจ้า นี่ พม่า ไทย มอล ท่านก็ว่าคนเหมือนกัน มี หูมี ตามีจมูกมีปาก เราไม่ควรที่จะไปรังเกียรติเตียนต่อกัน ท่านก็เลยบอกพระโจ้ไปว่า ถ้าอยากจะมาอยู่ก็มาเถอะ ท่านอนุญาติ ตอนตาจ้อยมาอยู่นี้ แกก็มีวิชาดีเหมือนกันนะแต่ไม่ใช่เรื่องคาถาอาคมหรอก กล่าวคือ แกเป็นคน นวดเก่ง เข้าใจนวด จนเป็นที่ถูกอกถูกใจท่านเจ้าอาวาสมาก และท่านก็มักจะเอ็นดูเมตตา ถามถึงสารทุกข์สุขดิบ ตาจ้อยอยู่เสมอ ตาจ้อยนี่ แกชอบดูหนังเกาหลี อยู่เรื่องหนึ่งชื่อว่าเรื่อง จูมง ตอนหลังแกไปได้หมา มาจากใหนไม่รู้ตัวหนึ่ง แกก็เลยตั้งชื่อว่า"จูมง" เป้นเจ้าพ่อวัดเลย ไอ้เจ้าจูมงนี่มันก็แปลก ชอบนอนแต่ที่สูงๆ บ้างทีก็ขึ้นไปนอน บนโต๊ะ ข้าพเจ้าก็พิจารนาดู หมานี่ถ้าสังเกตกันดีๆ มันจะนิสัยคล้ายคนที่เลี้ยงมัน คือมันไม่ค่อยหยุดนิ่ง มันชอบไปที่กุฏิของท่านเจ้าอาวาส และบ่อยครั้งที่มันมักจะได้ อะไรดีๆกลับมาเสมอ  ที่นี้อยู่ต่อมาไม่นาน ท่านพระโจ้นั้น ท่านก็ได้ลาสิกขาเพื่อจะไปประกอบอาชีพของท่านต่อไป ทางบ้านโยมท่านพระโจ้เข้าใจว่าเห็นว่าแกแก่มากแล้ว ทำงานต่อไปก็ไม่ไหว จะให้ออกก็เป็นคนเก่าคนแก่ ของบ้าน ประกอบกับ ตาจ้อยนี่แกเป็นวัณโรค ที่ปอดด้วย ก็คิดว่าไม่อยากให้กลับไปตายที่บ้านคนงาน ก็เลยถามแกว่าแกจะเอายังไง แกก็คงตอบไม่ถูกเหมือนกัน ทางท่านเจ้าอาวาสท่านก็เลยเมตตา บอกแกไปว่า ที่วัดนี้ก็อยุ่ต่อไปได้ท่านอนุญาติ เพราะตลอดเวลาที่แกมาอยู่วัดนี้ แกก็ป็นคนขยันเหมือนกัน สรุปว่าแกก็เลยได้อยู่ที่วัดนี้ต่อไป เมื่อตอนพระโจ้ หรือไอทิด นั้นกลับ แกก็แลดูเศร้าๆเหมือนกัน แต่สัตว์โลกก็ย่อมเป็นไปตามกรรม ข้าพเจ้าจึงไม่ขออกความคิดเห็นในเรื่องนี้...

                                  ...."ตาจ้อย แกสนิทกับบ้านของข้าพเจ้า"....

           ...ที่อยู่ต่อมาเรื่อยๆ ข้าพเจ้าอยู่วัดก้สังเกตุเห็นว่าแก มักจะไอหนักๆอยู่บ่อยๆ บางทีแกก็เดินมาที่กุฏิของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นแล้วก็เกิดความสังเวชใจ นึกสงสารในโชคชะตาแกเหมือนกัน ก็เลยให้เงินแกไว้ไปหาหมออยู่เป็นประจำ จนแลดูว่าข้าพเจ้าก็เป็นที่พึ่งหนึ่ง ของแกในขณะนั้น เพราะเวลาคนที่ไม่มีใคร ไม่มีญาติพี่น้อง คนๆนั้นก็คงจะรู้สึกเคว้งคว้าง มากๆ ตอนหลังๆข้าพเจ้าก็เลย สอนให้แกสวดมนต์ไหว้พระ ทีแรกก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะบอกแกยังไง แต่ข้าพเจ้าก็คิดไม่ถึงว่า ความจริงแกก็มีหนังสือสวดมนต์ เป็นภาษาพม่าติดตัวอยุ่เหมือนกัน และบทสวดก็อ่านออกเสียงเหมือนของไทยเราเลย แต่แกบอกข้าพเจ้าว่า ตอนอยู่ที่บ้านคนงานไม่ค่อยได้สวดหรอก เพราะ แกต้องทำงานไปด้วย ก็เลยไม่มีเวลา ข้าพเจ้าก็เลยบอกแกไปว่าต่อไปนี้ก็จงสวดเป็นประจำด้วยนะ จะได้มีแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต ตอนหลังนี่แกก็ไปโรงพยาบาลบ่อยขึ้น ข้าพเจ้าดูอาการแล้ว ก็ไม่ได้แช่งแกหรอก แต่ก็เดาได้ว่า คงอยู่ได้อีไม่นานเพราะบางทีไออกมาเป็นเลือดเลย มูลเหตุที่แกสนิทกับบ้านของข้าพเจ้านั้น ก็เนื่องมาจาก แกต้องไปรอรถประจำทางเพื่อที่จะไป โรงพยาบาลอบู่ที่หน้าบ้าน ของข้าพเจ้าอยุ่เป้นประจำ โยมแม่ของข้าพเจ้านั้น ท่านค้าขนมอยู่หน้าบ้าน พอท่านเห็น ตาจ้อย ท่านก็จำได้ว่าเป้นลูกศิษย์วัด ท่านก้มักจะหยิบ ขนม ฯลฯ ให้แกไปกินเสมอ จนเป็นที่คุ้นเคยกัน ( ตาจ้อย แกเป็นคนตัวผอมเล็กๆดำๆ)จนคล้ายกับว่า แกเห็นบ้านของข้าพเจ้าเป็นเหมือนญาติของแกเลย ตอนเย็นๆที่วัด ที่ข้าพเจ้าบวชอยู่นั้น พี่สาวของข้าพเจ้าก็มักจะไปให้อาหารปลา เต่า อยู่เป็นประจำ พอแกเห็นโยม พี่สาวของข้าพเจ้าแกก็จะมาช่วย ยกของให้แต่ โยมพี่สาวของข้าพเจ้า แกก็ขอบคุณปนสงสารแก ด้วยเพราะแกก็แก่แล้ว โยมพี่สาวของข้าพเจ้านั้น แกก็คุยถามสารทุกข์สุขดิบ จน ตาจ้อยสบายใจแกก็จะเดินกลับไป ที่ห้องของแก โยมพี่สาวของข้าพเจ้านั้นเป็นคนใจดี เด็กวัดชอบมาเล่นกับแก(เหมือนพี่สาว)มีเรื่องตลกๆเกี่ยวกับ ตาจ้อย แกมาอยู่วัดใหม่ๆนะ ด้วยความที่ว่าแก คิดยังไงไม่รู้ เข้าใจว่าคงจะอยู่จะในไร่มานาน มีอยู่วันหนึ่งตอนนั้นก็ตอนเย็นมากแล้ว อยู่ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงลูกศิษย์ วัดร้องเสียงดังเจียวจ้าวกัน ตอนแรกก้ไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่ทำใมนะไม่หยุดกันสักที ได้ยินเสียงคนหัวเราะ ก็เลยเดินไปดูสักหน่อย อุบะ!!!แม่เจ้าโว้ย!!เห็นก้น ตาจ้อยแกดำเมี่ยมเลย!ก็ได้ความว่า ตาจ้อยแกนึกยังไงไม่ทราบ ยืนแก้ผ้าอาบน้ำอยู่ข้างกุฏิ แถมยังมีพวกลูกศิษย์พระยืน ชี้โบ้ชี้เบ้ หัวเราะกันใหญ่เลย สักพัก ตาจ้อย แกก็หันมาทางข้าพเจ้าแล้ว ตัวแกงี้ดำๆแต่ยิ้มฟันขาวเลย .พี่ๆน้องๆครับ ไม่ใช่ว่าแกจะ มาอนาจารใครหรอกนะครับ แกไม่รู้ เพราะอยู่แต่ในป่าในไร่เคยตัว  ตอนหลังๆพระก็เลยบอกแกว่าให้ใช้ผ้าคุณหนูห่มปิดไว้ จากแกก็เลยไม่ได้แก้ผ้าอาบน้ำอีก ก็ตลกดีเหมือนกัน...

                                             ..."ตายอย่าน่าสงสาร"...

           ...อยู่ต่อมาไม่นานข้าพเจ้านั้น ก็ต้องศึกสิกขา ลาเพศบรรพชิตลง ตอนนั้น ตาจ้อย แกก็คงคิดมากว่าไม่เหลือใคร ที่สนิทอีกแล้ว เพราะพระที่บวช รุ่นเดียวกันกับข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าเป็นองค์สุดท้ายที่ศึกออกมา ข้าพเจ้าก็ได้แต่ปลอบใจแกว่าไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ถ้ามีอะไรก็แวะไปที่บ้านข้าพเจ้าได้ พอเห็นการผ่านไป ประมาณ 1 เดือน ข้าพเจ้าก้ได้ทราบข่าวว่า ตาจ้อยแกไปตายที่โรงพยาบาล ประจำอำเภอเสียแล้ว และก็ตายอย่างเดียวดายด้วย  ข้าพเจ้านึกอดสังเวชใจในโชคชะตา ขอตาจ้อยแกมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างได้ตอนแกอยู่โรงพยาบาลนั้นท่านเจ้าอาวาสท่านก็ไม่ได้ทอดทิ้งแก ท่านก็ไปเยี่ยม ตาจ้อย แกเหมือนกัน เมื่อแกตายลงตอนแรกทางโรงพยาบาลจะให้ศพของ ตาจ้อย เป็นศพไร้ญาติ แต่พอดีทางท่านเจ้าอาวาสท่านทราบข่าว ท่านก็เลยให้กรรมการวัดกับมูลนิธิกู้ภัย ไปติดต่อประสานงาน ให้นำศพมาบำเพ็ญกุศลที่วัดของท่าน ก็สวด 2 วันแล้วเผาถวายวัดไปเลย ก็มีโยมๆ ที่ถือศีล แล้วก็ผู้ใจบุญ มาช่วยกัน.พอดีพี่ผู้หญิงอยู่คนหนึ่งเขา แกผ่านมาเห็นว่ามีงานศพที่ศาลาวัดก็เลยเข้ามาสอบถาม เมื่อแกรู้แกก็เลยร่วมทำบุญให้ 2000 บาท แล้วพอเผา ตาจ้อย เสร็จแกก็นึกยังไงไม่รู้เอาอายุ ตาจ้อย ไปแทงหวย เกิดถูกขึ้นมาอีก  รวมความว่าเพราะความดีของแก แกจึงมีโชคมีลาภ ข้าพเจ้าสรุปเอาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น...

                                   "พระอาคันตรุกะ สอบถาม สัปเหร่อถึงกับ อึ่ง"

                  หลังจากที่ ตาจ้อย ตายไปแล้วนั้น ห้องของ ตาจ้อย ก็ได้ถูเก็บกวาดใหม่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปอยู่ อาจจะเป็นเพราะเหตุใดไม่ทราบ แต่ก็ไม่มีพระ เณร  ลูกศิษย์วัดคนใดกล้าอยู่เลย ละแล้ว มีอยู่มาวันหนึ่งก็ได้มีพระ อาคันตรุกะ มาพักที่วัด ท่านก็ได้มาจำวัดอยู่ที่ห้องไกล้ๆกันกับที่ "สังตาจ้อย"ตาย ตอนแรกท่านก็ไม่มีอะไรหรอก แต่พอผ่านไป 3 วันเท่านั้น อยู่ๆหลังจากกลับมาจากบิณฑบาตร พระ อาคันตรุกะ รูปนั้น ท่านก็นึกยังไงไม่ทราบ ท่านก็ได้ถาม คุณสัปเหร่อ ขึ้นมาว่า โยม ที่อยู่ห้องนั้นไปใหนล่ะไม่เห็นแกเลย ! เล่นเอา คุณสัปเหร่อ ทำหน้าออกอาการ อึ่งๆ งงๆ คุณสัปเหร่อ แกก็ถามท่านกลับไปว่า .อาจารย์ถามว่ายังไงนะครับใหนลองบอกผมใหม่ได้ใหมครับ.ท่านก็เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ท่านมาพักวันแรกนั้น เวลาช่วงพลบค่ำ ท่านก็มักจะเห็น โยมคนหนึ่งลักษณะ ดำๆผอมๆ เดินออกมาอาบน้ำอยู่ข้างกุฏิอยู่ทุกวัน ทีแรก ท่านก็คิดว่าคงจะเป็นโยมลูกศิษย์ ก้ไม่ได้คิดมากอะไร แต่ก็มารู้สึกผิดสังเกตุ ว่าเอ้!!ทำใมตอนกลางวันโยมคนนั้นแกปิดห้องไปอยู่ที่ใหนกันนะ แต่ก็ด้วยความที่ว่า ท่านต้องออกมาคุยธุระ อยู่ที่กุฏิ ของท่านเจ้าอาวาส ก็เลยลืม กะว่าจะถาม ก็ไม่มีโอกาส พอดีวันนี้ ท่านต้องกลับวัดของท่านแล้วก้เลยถือโอกาสถมา เพราะสงสัยอยู่เหมือนกัน.คุณโยมสัปเหร่อ เมื่อได้ยิน ท่านพระอาคันตรุระ คุณสัปเหร่อ แกก็ได้เล่าให้ ท่านพระอาคัณตรุกะ ฟังไปว่า โยมผอมๆดำๆคนนั้น แกสันนิฐานไปว่าน่าจะเป็นวิญญาณ ของ ตาจ้อย ที่ยังผูกพัน กับสถานที่นี้อยู่ ก็เลยยังไม่ไปใหน ออกมาปรากฏกายขอผลบุญ จากท่านแน่(เรื่องนี้เป็นความเชื่อของแต่ละคนที่อาจไม่ตรงกัน ได้โปรดใช้วิจารญาณ) เมื่อ ท่านทราบดังนั้น ท่านก็มิได้แดสงอาการแต่อย่างไร แต่ก่อนท่านกลับท่านก็ได้เดินไปแผ่เมตตาที่หน้าห้องของ ตาจ้อย ก่อนกลับ และท่านก็ได้เดินทางไป

ตอนหลังก้ได้มีเสียงร่ำลือกันว่า มีคน พบเห็น ตาจ้อยกัน บ่อยๆ เล่นเอา ลูกศิษย์วัดนั้น ขวัญเสียเลย เพราะช่วงที่ ตาจ้อย ตายใหม่ หมามันห่อนโหยหวยด้วย บ้างคนอาจจะสงสัยว่า เอ้!!นี่วัดนะ วัดก็ต้องมีเจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขา ดูแลอยู่แล้ว ผี จะเข้ามาได้ยังไง ในความคิดของข้าพเจ้าเข้าใจว่า ถ้าจะเข้าได้นั้น ก็คงจะต้องมีคนที่อนุญัติให้เข้าได้ก่อน จึงเข้าได้. แต่อย่าลืมนะว่า ตาจ้อย นี่ ท่านเจ้าอาวาสท่านให้ไปรับกลับมาวัดนะ มูลเหตุอย่างไร ตรงนี้ไม่ขอกล่าวต่อละกัน เอ้า!เข้าเรื่องกันต่อ ก็ทีนี้เรื่องนี้ก็พูดกัน ปากต่อปากกันในหมู่พระ ก็เลยมีพระบวชได้สัก 4-5 พรรษา อยู่องค์หนึ่ง เป็นวัดพี่วัดน้องกันกับวัดของ ข้าพเจ้า ท่านคงจะร้อนวิชาหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ท่านก็เลยขอเดินทางเพื่อมา พิสูจณ์สักหน่อย เห็น เขาเล่ากันว่าไม่เคยกลัว ผีเลย ไปอยู่มาหมด แล้วป่าช้า ที่ใหนที่ว่าเฮี้ยน!!ไม่เคยเจอสักที พอมาถึงก็ได้มากราบท่านเจ้าอาวาส บอกว่ามาขอเที่ยวสัก2-3วัน แล้วขอนอนห้อง ตาจ้อย ซะด้วย โฮ้ใจกล้ามาก(ลูกศิษย์วัดชมนะ) ลืมบอกไปตอนนั้นข้าพเจ้าไม่อยู่ บ้านไปธุระ ทำงานที่อื่น ตอนนั้นยั้งไม่รู้ ว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ก็ได้ความว่า สมดังใจของพระองค์นั้นเลย นอนไปไม่ครบคืน หนีป่าราบมาเคาะกุฏิ พระเพื่อนด้วยอาการตกใจว่า ขณะที่ท่านนั้นกำลัง นอนหลับเคลิ้มในห้องมืดสนิทอยู่นั้น อยู่ตัวท่านก็ขยับไม่ได้ คล้ายเหมือนมีคนมานั่งทับอกของท่าน ท่านก็ นะโม ก็แล้ว อะไรๆก็แล้ว ไม่หายสักที ตอนแรกท่านก็พยายามตั้งสติ แต่อยู่ๆท่านก็ต้องขนลุกไปทั้งตัว เพราะได้ยินเสียงคนแก่ๆพูดอยู่ข้างๆหูว่า โอ้ยยยย เจ็บเหลือเกิน เจ็บอกเหลือเกิน พร้อมทั้งมีกลิ่นเหม็นคล้ายของคาวๆ ลอยมา ท่านบอกว่าตอนนั้นท่านตกใจมากๆ พออาการ ขยับตัวไม่ได้หายลง ท่านก็รับลุกขึ้น เปิดไฟ อยู่ต่อไปไม่ไหว เผ่นแนบออกจากห้องมาเลย !!!โอ่ นี่ดีนะที่ผมไมมี ถ้าไม่อย่างนั้นคง หมดหัวแน่เลย...จากวันนั้นพวกลูกศิษย์วัดก็เลยใช้สีน้ำมัน เขียนไว้ที่ประตูห้อง ว่า"ห้องนี้ผีดุ"แล้วเอากุญแจล็อคไว้ ข้าพเจ้าตอนเป็นพระก็เคยผ่านไป ห้องนี่อยู่ไกล้ ป่าช้า ก็ดูน่ากลัวอยู่ แต่ข้าพเจ้าคงจะชิน หรือเป็นเพราะตอนนั้น ตาจ้อย ยังไม่ตาย ก็เลยแลดูว่าไม่น่ากลัวละมั้ง ประมาณนั้น...

                                          ...."สงสาร จนเกินกว่าที่จะกลัว"...

                     ครั้นเมื่อข้าพเจ้ากลับมาบ้านแล้ว พี่สาวของข้าพเจ้าก็ได้เล่าเรื่องราว "ผีตาจ้อย"ให้ข้าพเจ้าฟัง บอกตรงเมื่อแรกที่ข้าพเจ้าได้ฟังนั้น ข้าพเจ้ารูสึกสงสาร ตาจ้อย มาก เพราะผูกพันกับแกเหมือนกัน ก็อยู่กันมาเป็นปีๆ เห็นแกมา แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้ พูดอะไรไปมาก เพราะเดินทางกลับมาเหนื่อยๆด้วย ตั้งแต่วันที่พี่สาวของข้าพเจ้า เล่าเรื่อง ตาจ้อยให้ฟังนั้นข้าพเจ้า ก็ได้คิดใคร่ครวญดูว่า เราหนอสุดท้ายก็ต้องตาย ถ้าหาก ก่อนตายไม่เร่งทำความดีไว้มากๆ ชะลอยว่า ก็อาจจะกลายเป็นผีที่ต้องรอคอยส่วนบุญจากคนอื่น มันคงไม่ดีแน่(ที่ข้าพเจ้าศึกสิกขาลาเพศเพราะป่วยต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช) แต่เอ้!แล้วเรื่อง ผีตาจ้อย นี่เราคงต้องหาวิธีช่วยเขา เพราะอย่างน้อยๆเรา ก็ถือว่าเราได้ทำ ในสิ่งที่เราทำแล้วเราสบายใจ .

                                             ..."ไปบอก ตาจ้อย ทั้งๆที่ไม่รู้"...

                 ...หลังจากวันนั้นอีกวัน เป็นตอนเย็นแล้ว หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ ไตร่ตรองดูด้วยความรู้ความเข้าใจ และจากผู้รู้ก็ได้ข้อสรุปจากนี้ว่า จะไปที่ห้องของ ตาจ้อย เพื่อดูให้เห็นกับตาว่ามีอะไรเกิดขึ้น การไปของข้าพเจ้าในครั้งนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้นำ มีดหมอของ หลวงพ่อ(หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร)ของพวกเราไปด้วยเพราะข้าพเจ้าเกรงว่า หากวิญญาณของ ตาจ้อย ยังอยู่ที่ห้องนี้จริง ก็คงไม่อาจที่ทานทนต่อพุทธานุภาพแห่งเทพศาสตรา ที่หลวงพ่อ(หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร)ท่านนั้นได้ประจุไว้(ไม่อยากให้ดูเป็นการไปปราบ) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องรูปถ่ายของท่าน ข้าพเจ้าคงจะต้องมีติดตัวอยู่ตลอด ตรงนี้ข้าพเจ้าก็จะอธิฐานว่าสิ่งใดไม่เป็นสิ่งชั่วร้าย ก็ขอให้อนุโมทนาในบารมีแห่งวัตถุมงคลที่แผ่พลังออกไป แต่หากว่าสิ่งใดหมายที่จะทำร้ายบีฑากัน ก็ขอ พุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ บารมี แห่งองค์ "หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร "นี้โปรดจงปกปักรักษาอภิบาล ข้าพเจ้าด้วยเทอญ. สาธุ  แล้วข้าพเจ้าก็ได้เดินทางไปที่ห้องของ ตาจ้อย เมื่อไปถึงข้าพเจ้าจึงตั้งจิตอธิฐาน ว่า ข้าพเจ้า ขอตั้งจิตอธิฐาน ด้วยอำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายคุณบิดามารดาครูบาร์อาจารย์ มี"หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร"เป็นที่สุด และเหล่าเทพเทวา ทั้งที่อยู่ ณ ที่นี้ก็ดี อยู่ทั่วทั้งอนัตจักรวาล ก็ดี ขอท่าน โปรดช่วยเมตตาส่งข่าวสารการกุศุล ในครั้งนี้ด้วยเทิด ข้าพเจ้าขอตั้งจิตแผ่เมตตาให้แก่ดวงวิญญาณของ "ตาจ้อย"(ข้าพเจ้าก็นึกถึงภาพตาจ้อย)บุญใดๆ ที่ข้าพเจ้าได้กระทำมา ในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติ ก็ดี ก็ขอให้ได้อนุโมทนาบุญในครั้งนี้ด้วยเทอญ แล้วข้าพเจ้าก็ได้เดินเข้าไปยืนอยู่ตรงบริเวณ ที่ ตาจ้อย แกนอน อยู่เป็นประจำ บอกตรงๆเลยว่าสิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยคิดเลยว่า ตัวเองจะยกตนเป็นจอมขมังเวท หรือผู้ที่เรืองวิทยาคมใดๆทั้งนั้น และก็ไม่เก่งด้วย แต่ที่ เก่ง ที่ดี ที่ยกไว้เหนือเศียร นั้นก็คือ คุณพระรัตนตรัย และบารมีของหลวงพ่อท่านเท่านั้น เพราะก่อนที่ข้าพเจ้าจะทำการใดๆก็ตาม ข้าพเจ้าก็จะต้องขออาราธรา บารมีจากท่าน มาช่วยโปรด แล้วข้าพเจ้าก็พูดขึ้นดังๆในที่นั้นว่า "ตาจ้อย ถ้าดวงวิญญาณของ ตาจ้อย ยังอยู่ในที่นี้ล่ะก็ ก็ขอให้ ตาจ้อย จงไปสู่ที่ชอบที่ชอบเถิด อย่ามาปรากฏกายให้คนเขาเห็นอีกเลย ตอนนี้ คนเขากลัวกันไปหมดแล้วนะ หรือถ้า ตาจ้อย มีเรื่อง อะไรที่ยังติดค้างใจ ถ้าหาก ตาจ้อย ยังยอมรับนับถือผมอยู่ ก็ขอให้ไปเข้าฝันบอกผมที่บ้าน ถ้าผมช่วยได้ ผมจะช่วยให้ถึงที่สุด" เสร็จแล้วข้าพเจ้าก็แผ่เมตตาให้ ตาจ้อย อีกครั้ง แล้วจึงเดินทางกลับบ้านของข้าพเจ้า...
                    (เนื่องด้วยอัษรพยัชนะเกินโปรด อ่านต่อได้ใน ตอน อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอนที่ 7.2)
                                                                                         ขอแสดงความเคารพเป็นอย่างสูง
                                                                                                                 ..."คนเมืองกาญฯ"(บ่อพลอย).....
 














ออฟไลน์ ชูศักดิ์

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 29
  • พลังน้ำใจ 0
"คนเมืองกาญฯ"(บ่อพลอย)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 20, 2011, 11:24:35 am »
                              ...เพื่อให้การเรื่องเล่าประสบการณ์ที่ข้าพเจ้านั้น ได้พิมพ์เล่าให้พี่ๆน้องได้อ่านฟังนี้ เรียงตอนกันเป็นระเบียบ เรียบร้อยข้าพเจ้าจึงขออนุญาติ พิมพ์ชื่อตอนย้อนหลังเพื่อให้ดูเป็นลำดับ กราบขอบพระคุณ พี่ๆน้องทุกๆท่านมา ณ ที่นี้ กราบสวัสดี...
                                                                                    "คนเมืองกาญฯ(คนบ่อพลอย)                                         

ออฟไลน์ Mc_Tany

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 23
  • พลังน้ำใจ 0
  • "อิติ สุคโต ชุตินฺธโร นโมพุทฺธาย"
Re: อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินธโร ตอนที่ 7.1
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ธันวาคม 20, 2011, 06:22:05 pm »
พี่ชูศักดิ์ครับ..เป็นไปได้..รบกวนเรียนถามที่มาที่ไปของมีดหมอ..ที่พี่ใช้อยู่ได้ป่าวครับ
อยากทราบที่มาที่ไปดังเช่นรูปถ่ายหลวงพ่อที่พี่เคยได้มาครั้งแรกนั่นอ่ะครับ..!

ออฟไลน์ ชูศักดิ์

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 29
  • พลังน้ำใจ 0
"คนเมืองกาญฯ"(บ่อพลอย)
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2011, 08:24:10 am »
ครับ .แต่เอาไว้วันหลังนะ ไม่ยาวหรอกครับ.ขอบคุณมากครับ

ออฟไลน์ weerawat26

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 39
  • กระทู้: 1103
  • พลังน้ำใจ 39
Re: อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินธโร ตอนที่ 7.1
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2011, 10:36:27 am »
"หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร พระอริยะสงฆ์แห่งแดนคนจริง"...                                                     
                                                                                                           
เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ เพราะ "จิต" ดวงนี้เกิดขึ้น คือ "รูป" "จิต" อีกดวงจึงดับไปคือ "นาม" วนเวียนหมุนไปตามกงกรรมกงเกวียน เนิ่นนานเคว้งคว้างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นวัฏจักรสงสารอันประกอบด้วย รูปธรรม นามธรรม อณูธรรมชาติแห่งจักรวาลเดิม สัมพันธภาพในจักรวาลธาตุที่ย่อเหลือไว้ในแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ด้วย "พระธรรม" อันเป็นคำสั่งสอนขององค์พระบรมไตรโลกนารถพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นครูแห่งเทวดาและมนุษย์ เพื่อชี้ทางแก่สรรพสัตว์ให้ก้าวพ้นจากกองทุกข์ บัดนี้วันเวลาล่วงผ่านมาในครึ่งแห่งพุทธศตวรรษแล้วหนอ


[b
กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ
ความได้เป็นมนุษย์เป็นการยาก
กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ
ความเป็นอยู่ของสัตว์เป็นการยาก
กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ
การฟังธรรมของสัตบุรุษเป็นการยาก
กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท
ความเกิดขึ้นแห่งท่านผู้รู้เป็นการยาก
ทุลฺลภํ ทสฺสนํ โหติ สมฺพุทฺธานํ อภิณฺหโส
การเห็นพระพุทธเจ้าเนืองๆ เป็นการหาได้ยาก
เราทั้งหลายจงมั่นพึ่ง ทำแต่ความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้เบิกบาน ด้วยกันเทอญ
[/color]][/b]

"พ่อ(หลวงพ่อ กวย ชุตินฺธโร)คือที่หนึ่งในใจลูกอยู่ทุกครา"

ลูกของพ่อ(หลวงพ่อ กวยชุตินฺธโร)คนนี้ ขอกราบพึ่งบารมีของพ่อ (หลวงพ่อ กวย ชุตินฺธโร)ขอพ่อ(หลวงพ่อ กวย ชุตินฺธโร)จงโปรดปกปักษ์รักษาคุ้มครองอภิบาลลูกด้วยเทอญ แม้วาสนาของลูกนี้จะมีน้อยนัก ที่ลูกนั้นไม่ได้เกิดมาได้ทันรับใช้ปฏิบัติ ดูแล อยู่ในยุคแห่งสมัยที่ พ่อนั้น(หลวงพ่อ กวย ชุตินฺธโร)ดำรงขันธ์อยู่ แต่ลูกคนนี้น้อมระลึกถึงพระคุณของ พ่อ (หลวงพ่อ กวย ชุตินฺธโร) รักและเคารพ บูชาแต่พ่อ(หลวงพ่อ กวย ชุตินฺธโร) อยู่ทุกลมหายใจ ตลอดมา อันพ่อแม่ครูบาร์อาจารย์ทั้งหลายนั้น ลูกก็ย่อมบูชาเสมอเหมือนกัน แต่พ่อ (หลวงพ่อ กวย ชุตินฺธโร) คือที่สุด ในใจของลูกคนนี้ ตราบจนสิ้นลมหายใจ

"ผีตา จ้อย"

เรื่องก็มีอยู่ว่า ในตอนที่ข้าพเจ้าบวชเป็นพระ อยู่นั้น ถึงแม้ทางวัดของเรานั้น จะเป็นวัดหลวงก็ตาม แต่เรื่องของการดูแลสาธารณะประโยชน์ต่าง ๆ ก็หาใช่ว่า ทางหลวงเขามาดูแลกันให้ตลอดทุก ๆ อย่าง ก็หาได้เป็นอย่างนั้น ประกอบกับท่านเจ้าอาวาสนั้น ท่านเป็นพระที่มีเมตตาธรรม ก็เลยได้ความว่า ท่านมักจะให้การอุปถัมภ์ ลูกชาวบ้านผู้ยากไร้อยู่เป็นประจำ โดยท่านนำมาดูแลส่งให้เรียนหนังสือ แต่ก็มีข้อแม้ว่า จะต้องช่วยเหลืองานวัดด้วย  ตอนนั้นก็มีทั้ง เด็กพม่า กระเหรี่ยง แล้วก็ ไทยก็มี ก็ได้ช่วยกัน ดูแล แบ่ง ๆ ให้พระช่วยกัน แต่งบประมาณนั้น ท่านเจ้าอาวาสท่านเป็นคนออกให้ รวมความว่า มีอยู่ประมาณ 5 คน (ข้าพเจ้าไม่ได้รับมอบหมายให้ดูแล) ที่นี้อยู่มาวันหนึ่ง พอดีมีพระองค์หนึ่ง ท่านมาบวชใหม่ที่วัด ชื่อพระโจ้ พระองค์นี้ท่านเป็นลูกคนมีเงิน เป็นเถ้าแก่ไร่อ้อย เรียกว่ารวยเข้าขั้นเลยสำหรับชาวบ้าน ๆ บ้านนอก ๆ ธรรมดาอย่างพวกข้าพเจ้า อ้อ!!บ้านพระโจ้นี่ เป็นเจ้ามือหวยรายใหญ่ของโซนแถบนั้นด้วยนะ แต่ตอนหลัง เจ๊ง งวดที่ ตอนสมัยที่เลขออกอายุสวรรคตของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงองค์หนึ่ง(จำได้ไหม 995 น่ะ) แล้วบังเอิญชาวบ้านเข้าก็เลยทุ่ม ฟันกันไป 3 งวดติด โยมของท่านพระโจ้เลยเจอเข้าไปประมาณ 10 ล้าน เลยเลิกเป็นเจ้ามือหวยใต้ดินเลย ประมาณนั้น .เอ้า!!เข้าเรื่องต่อ ก็ได้ความว่าพระโจ้ท่าน เวลาอยู่บ้านก็จะมีลูกน้องเยอะ เพราะเป็นเถ้าแก่รองจากโยมพ่อท่าน แต่นิสัยท่านก็สุภาพดีนะเวลาสนทนา แต่เวลาดุ ดุยังกับเสือ ลูกศิษย์วัดกลัวเขา กลัวกันประมาณนั้น(ชอบเอาลูกหมามาฝึกกัดกัน ตอนหลังดุชิบเป๋ง) เอ่อ!!คนเราหนอ แล้วแต่นะ!!(ถอนหายใจยาวๆ) จนอยู่มาวันหนึ่ง และแล้วตำนาน "ผีตาจ้อย" ก็บังเกิดขึ้นจนได้ ตาจ้อยนั้น เดิมที แกเป็นคนพม่า เป็นคนงานเก่าแก่ ของบ้านพระโจ้เขา แกอายุอานามก็มากแล้ว น่าจะเกือบ ๆ 65 กว่า ๆ เกือบ 70 เห็นจะได้ประมาณนั้น ตาจ้อยพูดไทยพอได้แต่ไม่ชัด ตาจ้อย แกเป็นคนขยัน ชอบเก็บโน่น กวาดนี่ ไม่ค่อยหยุดหรอก ก็ด้วยความที่บ้านท่านพระโจ้ เขาคิดกันยังไงไม่รู้ เข้าใจว่าเห็นท่านพระโจ้มาบวชอยู่นานกลัวจะไม่มีลูกศิษย์รับใช้หรืออย่างไร ตรงนี้ ข้าพเจ้าไม่ทราบ ทางบ้านท่านพระโจ้ก็เลยได้ให้ ตาจ้อยเนี่ยมาอยู่วัดด้วย เอาไว้ใช้แกเวลาไปซื้อของข้าง ๆ วัด ท่านพระโจ้ ท่านก็เลยมาขออนุญาตกับท่านเจ้าอาวาส ท่านเจ้าอาวาสท่านก็เลย อนุญาต เพราะเห็นว่าแกเป็นคนแก่ ๆ มาอยู่วัดสวดมนต์ไหว้พระบ้าง ก็ดีเหมือนกัน ท่านเจ้าอาวาสท่านไม่เคยคิดแบ่งชั้นวรรณะว่า ไอ้เจ้านี่ พม่า ไทย มอญ ท่านก็ว่าคนเหมือนกัน มีหู มีตา มีจมูก มีปาก เราไม่ควรที่จะไปรังเกียจติเตียนต่อกัน ท่านก็เลยบอกพระโจ้ไปว่า ถ้าอยากจะมาอยู่ก็มาเถอะ ท่านอนุญาต ตอนตาจ้อยมาอยู่นี้ แกก็มีวิชาดีเหมือนกันนะแต่ไม่ใช่เรื่องคาถาอาคมหรอก กล่าวคือ แกเป็นคนนวดเก่ง เข้าใจนวด จนเป็นที่ถูกอกถูกใจท่านเจ้าอาวาสมาก และท่านก็มักจะเอ็นดูเมตตา ถามถึงสารทุกข์สุขดิบ ตาจ้อยอยู่เสมอ ตาจ้อยนี่ แกชอบดูหนังเกาหลี อยู่เรื่องหนึ่งชื่อว่าเรื่อง จูมง ตอนหลังแกไปได้หมา มาจากไหนไม่รู้ตัวหนึ่ง แกก็เลยตั้งชื่อว่า "จูมง" เป็นเจ้าพ่อวัดเลย ไอ้เจ้าจูมงนี่มันก็แปลก ชอบนอนแต่ที่สูง ๆ บางทีก็ขึ้นไปนอนบนโต๊ะ ข้าพเจ้าก็พิจารณาดู หมานี่ถ้าสังเกตกันดี ๆ มันจะนิสัยคล้ายคนที่เลี้ยงมัน คือมันไม่ค่อยหยุดนิ่ง มันชอบไปที่กุฏิของท่านเจ้าอาวาส และบ่อยครั้งที่มันมักจะได้ อะไรดี ๆ กลับมาเสมอ  ที่นี้อยู่ต่อมาไม่นาน ท่านพระโจ้นั้น ท่านก็ได้ลาสิกขาเพื่อจะไปประกอบอาชีพของท่านต่อไป ทางบ้านโยมท่านพระโจ้เข้าใจว่า เห็นว่าแกแก่มากแล้ว ทำงานต่อไปก็ไม่ไหว จะให้ออกก็เป็นคนเก่าคนแก่ของบ้าน ประกอบกับตาจ้อยนี่แกเป็นวัณโรคที่ปอดด้วย ก็คิดว่าไม่อยากให้กลับไปตายที่บ้านคนงาน ก็เลยถามแกว่าแกจะเอายังไง แกก็คงตอบไม่ถูกเหมือนกัน ทางท่านเจ้าอาวาสท่านก็เลยเมตตา บอกแกไปว่า ที่วัดนี้ก็อยู่ต่อไปได้ท่านอนุญาต เพราะตลอดเวลาที่แกมาอยู่วัดนี้ แกก็เป็นคนขยันเหมือนกัน สรุปว่าแกก็เลยได้อยู่ที่วัดนี้ต่อไป เมื่อตอนพระโจ้ หรือไอทิด นั้นกลับ แกก็แลดูเศร้า ๆ เหมือนกัน แต่สัตว์โลกก็ย่อมเป็นไปตามกรรม ข้าพเจ้าจึงไม่ขออกความคิดเห็นในเรื่องนี้

"ตาจ้อย แกสนิทกับบ้านของข้าพเจ้า"

ที่อยู่ต่อมาเรื่อย ๆ ข้าพเจ้าอยู่วัดก็สังเกตเห็นว่าแก มักจะไอหนัก ๆ อยู่บ่อย ๆ บางทีแกก็เดินมาที่กุฏิของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นแล้วก็เกิดความสังเวชใจ นึกสงสารในโชคชะตาแกเหมือนกัน ก็เลยให้เงินแกไว้ไปหาหมออยู่เป็นประจำ จนแลดูว่าข้าพเจ้าก็เป็นที่พึ่งหนึ่ง ของแกในขณะนั้น เพราะเวลาคนที่ไม่มีใคร ไม่มีญาติพี่น้อง คน ๆ นั้นก็คงจะรู้สึกเคว้งคว้างมาก ๆ ตอนหลัง ๆ ข้าพเจ้าก็เลย สอนให้แกสวดมนต์ไหว้พระ ทีแรกก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะบอกแกยังไง แต่ข้าพเจ้าก็คิดไม่ถึงว่า ความจริงแกก็มีหนังสือสวดมนต์ เป็นภาษาพม่าติดตัวอยู่เหมือนกัน และบทสวดก็อ่านออกเสียงเหมือนของไทยเราเลย แต่แกบอกข้าพเจ้าว่า ตอนอยู่ที่บ้านคนงานไม่ค่อยได้สวดหรอก เพราะ แกต้องทำงานไปด้วย ก็เลยไม่มีเวลา ข้าพเจ้าก็เลยบอกแกไปว่าต่อไปนี้ก็จงสวดเป็นประจำด้วยนะ จะได้มีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต ตอนหลังนี่แกก็ไปโรงพยาบาลบ่อยขึ้น ข้าพเจ้าดูอาการแล้ว ก็ไม่ได้แช่งแกหรอก แต่ก็เดาได้ว่า คงอยู่ได้อีกไม่นานเพราะบางทีไออกมาเป็นเลือดเลย มูลเหตุที่แกสนิทกับบ้านของข้าพเจ้านั้น ก็เนื่องมาจาก แกต้องไปรอรถประจำทางเพื่อที่จะไป โรงพยาบาลอยู่ที่หน้าบ้าน ของข้าพเจ้าอยู่เป็นประจำ โยมแม่ของข้าพเจ้านั้น ท่านค้าขนมอยู่หน้าบ้าน พอท่านเห็น ตาจ้อย ท่านก็จำได้ว่าเป็นลูกศิษย์วัด ท่านก็มักจะหยิบขนม ฯลฯ ให้แกไปกินเสมอ จนเป็นที่คุ้นเคยกัน (ตาจ้อย แกเป็นคนตัวผอมเล็ก ๆ ดำ ๆ)จนคล้ายกับว่า แกเห็นบ้านของข้าพเจ้าเป็นเหมือนญาติของแกเลย ตอนเย็น ๆ ที่วัด ที่ข้าพเจ้าบวชอยู่นั้น พี่สาวของข้าพเจ้าก็มักจะไปให้อาหารปลา เต่า อยู่เป็นประจำ พอแกเห็นโยมพี่สาวของข้าพเจ้า แกก็จะมาช่วยยกของให้ แต่โยมพี่สาวของข้าพเจ้าแกก็ขอบคุณปนสงสารแก ด้วยเพราะแกก็แก่แล้ว โยมพี่สาวของข้าพเจ้านั้น แกก็คุยถามสารทุกข์สุขดิบ จน ตาจ้อยสบายใจแกก็จะเดินกลับไปที่ห้องของแก โยมพี่สาวของข้าพเจ้านั้นเป็นคนใจดี เด็กวัดชอบมาเล่นกับแก(เหมือนพี่สาว)มีเรื่องตลก ๆ เกี่ยวกับ ตาจ้อย แกมาอยู่วัดใหม่ ๆ นะ ด้วยความที่ว่า แกคิดยังไงไม่รู้ เข้าใจว่าคงจะอยู่ในไร่มานาน มีอยู่วันหนึ่งตอนนั้นก็ตอนเย็นมากแล้ว อยู่ ๆ ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงลูกศิษย์วัดร้องเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวกัน ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่ทำไมนะไม่หยุดกันสักที ได้ยินเสียงคนหัวเราะ ก็เลยเดินไปดูสักหน่อย อุบะ!!!แม่เจ้าโว้ย!!เห็นก้น ตาจ้อยแกดำเมี่ยมเลย! ก็ได้ความว่า ตาจ้อยแกนึกยังไงไม่ทราบ ยืนแก้ผ้าอาบน้ำอยู่ข้างกุฏิ แถมยังมีพวกลูกศิษย์พระยืน ชี้โบ๊ชี้เบ๊ หัวเราะกันใหญ่เลย สักพัก ตาจ้อย แกก็หันมาทางข้าพเจ้าแล้ว ตัวแกงี้ดำ ๆ แต่ยิ้มฟันขาวเลย พี่ ๆ น้อง ๆ ครับ ไม่ใช่ว่าแกจะ มาอนาจารใครหรอกนะครับ แกไม่รู้ เพราะอยู่แต่ในป่าในไร่เคยตัว ตอนหลัง ๆ พระก็เลยบอกแกว่าให้ใช้ผ้าคุณหนูห่มปิดไว้ หลังจากนั้นแกก็เลยไม่ได้แก้ผ้าอาบน้ำอีก ก็ตลกดีเหมือนกัน


"ตายอย่างน่าสงสาร"

อยู่ต่อมาไม่นานข้าพเจ้านั้น ก็ต้องสึกสิกขา ลาเพศบรรพชิตลง ตอนนั้น ตาจ้อย แกก็คงคิดมากว่าไม่เหลือใครที่สนิทอีกแล้ว เพราะพระที่บวชรุ่นเดียวกันกับข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าเป็นองค์สุดท้ายที่สึกออกมา ข้าพเจ้าก็ได้แต่ปลอบใจแกว่าไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ถ้ามีอะไรก็แวะไปที่บ้านข้าพเจ้าได้ พอเห็นการผ่านไป ประมาณ 1 เดือน ข้าพเจ้าก็ได้ทราบข่าวว่า ตาจ้อยแกไปตายที่โรงพยาบาล ประจำอำเภอเสียแล้ว และก็ตายอย่างเดียวดายด้วย ข้าพเจ้านึกอดสังเวชใจในโชคชะตา ของตาจ้อยแกมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ตอนแกอยู่โรงพยาบาลนั้นท่านเจ้าอาวาสท่านก็ไม่ได้ทอดทิ้งแก ท่านก็ไปเยี่ยม ตาจ้อย แกเหมือนกัน เมื่อแกตายลงตอนแรกทางโรงพยาบาลจะให้ศพของตาจ้อย เป็นศพไร้ญาติ แต่พอดีทางท่านเจ้าอาวาสท่านทราบข่าว ท่านก็เลยให้กรรมการวัดกับมูลนิธิกู้ภัย ไปติดต่อประสานงาน ให้นำศพมาบำเพ็ญกุศลที่วัดของท่าน ก็สวด 2 วันแล้วเผาถวายวัดไปเลย ก็มีโยม ๆ ที่ถือศีล แล้วก็ผู้ใจบุญ มาช่วยกัน พอดีมีพี่ผู้หญิงอยู่คนหนึ่งเขา ผ่านมาเห็นว่ามีงานศพที่ศาลาวัดก็เลยเข้ามาสอบถาม เมื่อแกรู้แกก็เลยร่วมทำบุญให้ 2000 บาท แล้วพอเผา ตาจ้อย เสร็จแกก็นึกยังไงไม่รู้เอาอายุ ตาจ้อย ไปแทงหวย เกิดถูกขึ้นมาอีก  รวมความว่าเพราะความดีของแก แกจึงมีโชคมีลาภ ข้าพเจ้าสรุปเอาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น


"พระอาคันตรุกะ สอบถาม สัปเหร่อถึงกับ อึ่ง"

หลังจากที่ตาจ้อยตายไปแล้วนั้น ห้องของตาจ้อย ก็ได้ถูกเก็บกวาดใหม่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปอยู่ อาจจะเป็นเพราะเหตุใดไม่ทราบ แต่ก็ไม่มีพระ เณร  ลูกศิษย์วัดคนใดกล้าอยู่เลย ละแล้ว มีอยู่มาวันหนึ่งก็ได้มีพระอาคันตรุกะ มาพักที่วัด ท่านก็ได้มาจำวัดอยู่ที่ห้องใกล้ ๆกันกับที่ "สังตาจ้อย" ตาย ตอนแรกท่านก็ไม่มีอะไรหรอก แต่พอผ่านไป 3 วันเท่านั้น อยู่ ๆ หลังจากกลับมาจากบิณฑบาต พระอาคันตรุกะ รูปนั้น ท่านก็นึกยังไงไม่ทราบ ท่านก็ได้ถาม คุณสัปเหร่อ ขึ้นมาว่า โยม ที่อยู่ห้องนั้นไปไหนล่ะไม่เห็นแกเลย ! เล่นเอา คุณสัปเหร่อ ทำหน้าออกอาการ อึ้ง ๆ งง ๆ คุณสัปเหร่อ แกก็ถามท่านกลับไปว่า อาจารย์ถามว่ายังไงนะครับไหนลองบอกผมใหม่ได้ไหมครับ ท่านก็เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ท่านมาพักวันแรกนั้น เวลาช่วงพลบค่ำ ท่านก็มักจะเห็น โยมคนหนึ่งลักษณะ ดำ ๆ ผอม ๆ เดินออกมาอาบน้ำอยู่ข้างกุฏิอยู่ทุกวัน ทีแรก ท่านก็คิดว่าคงจะเป็นโยมลูกศิษย์ ก็ไม่ได้คิดมากอะไร แต่ก็มารู้สึกผิดสังเกต ว่าเอ้!!ทำไมตอนกลางวันโยมคนนั้นแกปิดห้องไปอยู่ที่ไหนกันนะ แต่ก็ด้วยความที่ว่า ท่านต้องออกมาคุยธุระ อยู่ที่กุฏิ ของท่านเจ้าอาวาส ก็เลยลืม กะว่าจะถาม ก็ไม่มีโอกาส พอดีวันนี้ ท่านต้องกลับวัดของท่านแล้วก็เลยถือโอกาสถาม เพราะสงสัยอยู่เหมือนกัน คุณโยมสัปเหร่อ เมื่อได้ยิน ท่านพระอาคันตรุกะ คุณสัปเหร่อ แกก็ได้เล่าให้ ท่านพระอาคันตรุกะ ฟังไปว่า โยมผอม ๆ ดำ ๆ คนนั้น แกสันนิษฐานไปว่าน่าจะเป็นวิญญาณของ ตาจ้อย ที่ยังผูกพัน กับสถานที่นี้อยู่ ก็เลยยังไม่ไปไหน ออกมาปรากฏกายขอผลบุญจากท่านแน่ (เรื่องนี้เป็นความเชื่อของแต่ละคนที่อาจไม่ตรงกัน ได้โปรดใช้วิจารญาณ) เมื่อ ท่านทราบดังนั้น ท่านก็มิได้แสดงอาการแต่อย่างไร แต่ก่อนท่านกลับท่านก็ได้เดินไปแผ่เมตตาที่หน้าห้องของ ตาจ้อย ก่อนกลับ และท่านก็ได้เดินทางไป

ตอนหลังก็ได้มีเสียงร่ำลือกันว่า มีคน พบเห็น ตาจ้อยกัน บ่อย ๆ เล่นเอา ลูกศิษย์วัดนั้น ขวัญเสียเลย เพราะช่วงที่ ตาจ้อย ตายใหม่ ๆ หมามันหอนโหยหวนด้วย บ้างคนอาจจะสงสัยว่า เอ้!!นี่วัดนะ วัดก็ต้องมีเจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขา ดูแลอยู่แล้ว ผี จะเข้ามาได้ยังไง ในความคิดของข้าพเจ้าเข้าใจว่า ถ้าจะเข้าได้นั้น ก็คงจะต้องมีคนที่อนุญาตให้เข้าได้ก่อน จึงเข้าได้ แต่อย่าลืมนะว่า ตาจ้อย นี่ ท่านเจ้าอาวาสท่านให้ไปรับกลับมาวัดนะ มูลเหตุอย่างไร ตรงนี้ไม่ขอกล่าวต่อละกัน เอ้า!เข้าเรื่องกันต่อ ก็ทีนี้เรื่องนี้ก็พูดกัน ปากต่อปากกันในหมู่พระ ก็เลยมีพระบวชได้สัก 4-5 พรรษา อยู่องค์หนึ่ง เป็นวัดพี่วัดน้องกันกับวัดของข้าพเจ้า ท่านคงจะร้อนวิชาหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ท่านก็เลยขอเดินทางเพื่อมา พิสูจน์สักหน่อย เห็นเขาเล่ากันว่าไม่เคยกลัวผีเลย ไปอยู่มาหมดแล้ว ป่าช้าที่ไหนที่ว่าเฮี้ยน!!ไม่เคยเจอสักที พอมาถึงก็ได้มากราบท่านเจ้าอาวาส บอกว่ามาขอเที่ยวสัก2-3วัน แล้วขอนอนห้อง ตาจ้อย ซะด้วย โฮ้ใจกล้ามาก(ลูกศิษย์วัดชมนะ) ลืมบอกไปตอนนั้นข้าพเจ้าไม่อยู่บ้าน ไปธุระทำงานที่อื่น ตอนนั้นยังไม่รู้ ว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ก็ได้ความว่า สมดังใจของพระองค์นั้นเลย นอนไปไม่ครบคืน หนีป่าราบมาเคาะกุฏิพระเพื่อนด้วยอาการตกใจว่า ขณะที่ท่านนั้นกำลังนอนหลับเคลิ้มในห้องมืดสนิทอยู่นั้น อยู่ ๆตัวท่านก็ขยับไม่ได้ คล้ายเหมือนมีคนมานั่งทับอกของท่าน ท่านก็ นะโม ก็แล้ว อะไร ๆ ก็แล้ว ไม่หายสักที ตอนแรกท่านก็พยายามตั้งสติ แต่อยู่ ๆ ท่านก็ต้องขนลุกไปทั้งตัว เพราะได้ยินเสียงคนแก่ ๆ พูดอยู่ข้าง ๆ หูว่า โอ้ยยยย เจ็บเหลือเกิน เจ็บอกเหลือเกิน พร้อมทั้งมีกลิ่นเหม็นคล้ายของคาว ๆ ลอยมา ท่านบอกว่าตอนนั้นท่านตกใจมาก ๆ พออาการขยับตัวไม่ได้หายลง ท่านก็รีบลุกขึ้นเปิดไฟ อยู่ต่อไปไม่ไหว เผ่นแนบออกจากห้องมาเลย !!!โอ่ นี่ดีนะที่ผมไม่มี ถ้าไม่อย่างนั้นคงหมดหัวแน่เลย จากวันนั้นพวกลูกศิษย์วัดก็เลยใช้สีน้ำมัน เขียนไว้ที่ประตูห้องว่า "ห้องนี้ผีดุ" แล้วเอากุญแจล็อคไว้ ข้าพเจ้าตอนเป็นพระก็เคยผ่านไป ห้องนี้อยู่ใกล้ป่าช้า ก็ดูน่ากลัวอยู่ แต่ข้าพเจ้าคงจะชิน หรือเป็นเพราะตอนนั้น ตาจ้อย ยังไม่ตาย ก็เลยแลดูว่าไม่น่ากลัวละมั้ง ประมาณนั้น


"สงสาร จนเกินกว่าที่จะกลัว"


ครั้นเมื่อข้าพเจ้ากลับมาบ้านแล้ว พี่สาวของข้าพเจ้าก็ได้เล่าเรื่องราว "ผีตาจ้อย" ให้ข้าพเจ้าฟัง บอกตรง ๆ เมื่อแรกที่ข้าพเจ้าได้ฟังนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกสงสารตาจ้อยมาก เพราะผูกพันกับแกเหมือนกัน ก็อยู่กันมาเป็นปี ๆ เห็นแกมา แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้พูดอะไรไปมาก เพราะเดินทางกลับมาเหนื่อย ๆ ด้วย ตั้งแต่วันที่พี่สาวของข้าพเจ้าเล่าเรื่องตาจ้อยให้ฟังนั้น ข้าพเจ้าก็ได้คิดใคร่ครวญดูว่า เราหนอสุดท้ายก็ต้องตาย ถ้าหากก่อนตายไม่เร่งทำความดีไว้มาก ๆ ชะรอยว่า ก็อาจจะกลายเป็นผีที่ต้องรอคอยส่วนบุญจากคนอื่น มันคงไม่ดีแน่(ที่ข้าพเจ้าสึกสิกขาลาเพศเพราะป่วยต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช) แต่เอ้!แล้วเรื่อง ผีตาจ้อย นี่เราคงต้องหาวิธีช่วยเขา เพราะอย่างน้อย ๆ เราก็ถือว่า เราได้ทำในสิ่งที่เราทำแล้วเราสบายใจ


"ไปบอก ตาจ้อย ทั้งๆที่ไม่รู้"

หลังจากวันนั้นอีกวัน เป็นตอนเย็นแล้ว หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ ไตร่ตรองดูด้วยความรู้ความเข้าใจ และจากผู้รู้ก็ได้ข้อสรุปจากนี้ว่า จะไปที่ห้องของตาจ้อย เพื่อดูให้เห็นกับตาว่ามีอะไรเกิดขึ้น การไปของข้าพเจ้าในครั้งนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้นำมีดหมอของหลวงพ่อ(หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร) ของพวกเราไปด้วย เพราะข้าพเจ้าเกรงว่า หากวิญญาณของ ตาจ้อย ยังอยู่ที่ห้องนี้จริง ก็คงไม่อาจที่ทานทนต่อพุทธานุภาพแห่งเทพศาสตรา ที่หลวงพ่อ(หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร)ท่านนั้นได้ประจุไว้(ไม่อยากให้ดูว่าเป็นการไปปราบ) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องรูปถ่ายของท่าน ข้าพเจ้าคงจะต้องมีติดตัวอยู่ตลอด ตรงนี้ข้าพเจ้าก็จะอธิษฐานว่าสิ่งใดไม่เป็นสิ่งชั่วร้าย ก็ขอให้อนุโมทนาในบารมีแห่งวัตถุมงคลที่แผ่พลังออกไป แต่หากว่าสิ่งใดหมายที่จะทำร้ายบีฑากัน ก็ขอ พุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ บารมี แห่งองค์ "หลวงพ่อ กวย ชุตินฺธโร" นี้โปรดจงปกปักษ์รักษาอภิบาลข้าพเจ้าด้วยเทอญ สาธุ  แล้วข้าพเจ้าก็ได้เดินทางไปที่ห้องของ ตาจ้อย เมื่อไปถึงข้าพเจ้าจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ข้าพเจ้า ขอตั้งจิตอธิษฐาน ด้วยอำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์ มี "หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร" เป็นที่สุด และเหล่าเทพเทวา ทั้งที่อยู่ ณ ที่นี้ก็ดี อยู่ทั่วทั้งอนันตจักรวาล ก็ดี ขอท่าน โปรดช่วยเมตตาส่งข่าวสารการกุศล ในครั้งนี้ด้วยเถิด ข้าพเจ้าขอตั้งจิตแผ่เมตตาให้แก่ดวงวิญญาณของ "ตาจ้อย"(ข้าพเจ้าก็นึกถึงภาพตาจ้อย)บุญใด ๆ ที่ข้าพเจ้าได้กระทำมา ในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติ ก็ดี ก็ขอให้ได้อนุโมทนาบุญในครั้งนี้ด้วยเทอญ แล้วข้าพเจ้าก็ได้เดินเข้าไปยืนอยู่ตรงบริเวณ ที่ ตาจ้อย แกนอน อยู่เป็นประจำ บอกตรง ๆ เลยว่าสิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยคิดเลยว่า ตัวเองจะยกตนเป็นจอมขมังเวท หรือผู้ที่เรืองวิทยาคมใด ๆ ทั้งนั้น และก็ไม่เก่งด้วย แต่ที่ เก่ง ที่ดี ที่ยกไว้เหนือเศียร นั้นก็คือ คุณพระรัตนตรัย และบารมีของหลวงพ่อท่านเท่านั้น เพราะก่อนที่ข้าพเจ้าจะทำการใด ๆ ก็ตาม ข้าพเจ้าก็จะต้องขออาราธนา บารมีจากท่าน มาช่วยโปรด แล้วข้าพเจ้าก็พูดขึ้นดัง ๆ ในที่นั้นว่า "ตาจ้อย ถ้าดวงวิญญาณของ ตาจ้อย ยังอยู่ในที่นี้ล่ะก็ ก็ขอให้ ตาจ้อย จงไปสู่ที่ชอบที่ชอบเถิด อย่ามาปรากฏกายให้คนเขาเห็นอีกเลย ตอนนี้ คนเขากลัวกันไปหมดแล้วนะ หรือถ้า ตาจ้อย มีเรื่อง อะไรที่ยังติดค้างใจ ถ้าหาก ตาจ้อย ยังยอมรับนับถือผมอยู่ ก็ขอให้ไปเข้าฝันบอกผมที่บ้าน ถ้าผมช่วยได้ ผมจะช่วยให้ถึงที่สุด" เสร็จแล้วข้าพเจ้าก็แผ่เมตตาให้ ตาจ้อย อีกครั้ง แล้วจึงเดินทางกลับบ้านของข้าพเจ้า

(เนื่องด้วยอักษรพยัญชนะเกินโปรด อ่านต่อได้ใน ตอน อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร ตอนที่ 7.2)

ขอแสดงความเคารพเป็นอย่างสูง
"คนเมืองกาญฯ"(บ่อพลอย)

กระดานสนทนาเว็บไซต์ ศิษย์หลวงพ่อกวย

Re: อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินธโร ตอนที่ 7.1
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2011, 10:36:27 am »

 


Facebook Comments