ผู้เขียน หัวข้อ: สมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ หลังแม่พระธรณี รุ่นปี ๒๕๓๙ ผ่านไป ๑๖ ปี เกิดปาฏิหารย์ขึ้นธรร  (อ่าน 29396 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ weerawat26

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 39
  • กระทู้: 1103
  • พลังน้ำใจ 39

ออฟไลน์ paravatee

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 19
  • พลังน้ำใจ 0
สภาพความเก่าแก่ที่ผ่านมาถึง ๑๖ ปี ตั้งแต่ปี ๒๕๓๙ เริ่มปรากฏมาให้เห็นชัดเจนเต็มๆตา โดยกล้ายืนยันว่ามีอยู่องค์เดียวในโลกจริงๆ ที่เกิดสภาพไตรลักษณ์ธรรมชาติชัดเจนที่สุด มาปรากฏให้เห็นกับตาตนเอง

จากคาถาพาหุงฯ บทว่า "สังจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง   วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
                                 ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท    ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคะลานิ"

พระพุทธเจ้าผู้เป็นความสว่างของโลกทรงชนะสัจจกนิครนถ์ ด้วยเทศนาญาณวิธี คือ รู้อัชฌาสัยแล้วตรัสเทศนาสอนให้มองเห็นไตรลักษณ์

สรุปเนื้อความเรียบเรียงใหม่โดยย่อมีคำสอนดังนี้ :

ดูกร สัจจกนิครนถ์
"รูปลักษณะของสรรพสิ่งในโลกล้วนว่างเปล่า ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่เที่ยงแท้แน่นอน
ความรู้สึกสุข ทุกข์ เฉยๆ ล้วนว่างเปล่า  ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่เที่ยงแท้แน่นอน
ข้อมูลเรื่องราวต่างๆในอดีต ความจำ ล้วนว่างเปล่า ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่เที่ยงแท้แน่นอน
การปรุงแต่งทางร่างกาย และ การปรุงแต่งทางจิตใจ ล้วนว่างเปล่า ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่เที่ยงแท้แน่นอน
การรับรู้ในกายเรานี้ ทางตาดูภาพก็ดี ทางหูฟังเสียงก็ดี ทางจมูกดมกลิ่นก็ดี ทางลิ้นรับรสก็ดี ทางร่างกายรับสัมผัสเย็นร้อนอ่อนตึงการไหวก็ดี ทางจิตใจรับรู้นึกคิดก็ดี ล้วนว่างเปล่า ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่เที่ยงแท้แน่นอน"

ดูกร สัจจกนิครนถ์ ถ้าท่านว่ารูปนี้เป็นตัวตนของเรา  ความรู้สึกสุข ทุกข์ เฉยๆเป็นตัวตนของเรา ข้อมูลเรื่องราวต่างๆในอดีตความจำเป็นตัวตนของเรา  การปรุงแต่งเป็นตัวตนของเรา การรับรู้นี้เป็นตัวตนของเรา หากเป็นตัวตนของท่าน อยู่ในท่านแล้วไซร้ ท่านจงสั่งดังนี้เถิดว่า เนื้อหนังของเรา เอ๋ยจงอย่าเหี่ยวอย่าย่น ผิวพรรณของเราเอ๋ย จงอย่าเสื่อมทรามเลย ท่านจงสั่งเถิด อัน ความรู้สึกจงมีแต่ความสุขอย่างเดียวเถิด  ความจำ การปรุงแต่ง  การรับรู้ ก็เช่นกัน จงสั่งเถิด

ดูกร สัจจกนิครนถ์ พระราชาผู้มูรธาภิเษกมีสิทธิ์ขาดมีอำนาจในแผ่นดินของตนเองฉันใด ท่านว่าพระราชาผู้กำลังมูรธาภิเษกย่อมมีอำนาจสิทธิ์ขาดในแผ่นดินของตนหรือไม่
สัจจกนิครนถ์ตอบ: ย่อมมีแน่นอน! พระราชาแม้กำลังมูรธาภิเษก แต่แผ่นดินนั้นเป็นของตน แม้ยังไม่มูรธาภิเษกย่อมมีอำนาจสั่งได้ทุกสิ่งในแผ่นดินของตนนั้นแน่นอน

ดูกร สัจจกนิครนถ์ ถ้าท่านว่า รูปนี้เป็นของท่าน ความรู้สึก ความจำ การปรุงแต่ง  การรับรู้ ก็เช่นกัน ถ้าอย่างนั้นท่านก็จงสั่งเอาเถิด
.
..
...
ความปรากฏว่า สัจจกนิครนถ์ไม่สามารถตอบพระพุทธเจ้าได้ ยอมสิโรราบแก่พระพุทธเจ้า

ดูกร สัจจกนิครนถ์ รูปนี้เป็นตัวเป็นตนของเราหรือไม่ ความรู้สึก ความจำ การปรุงแต่ง  การรับรู้ ก็เช่นกัน เป็นตัวเป็นตนของเราหรือไม่
สัจจกนิครนถ์ตอบ: ไม่ เพราะถ้าเป็นตัวเป็นตนของเราแล้วไซร้ เราย่อมมีอำนาจสั่งได้ในสิ่งนั้น
ดูกร สัจจกนิครนถ์ รูปนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ความรู้สึก ความจำ การปรุงแต่ง  การรับรู้ ก็เช่นกัน ถ้าอย่างงั้นเที่ยงแท้แน่นอนหรือไม่เที่ยงแท้แน่นอน
สัจจกนิครนถ์ตอบ:ไม่เที่ยงแท้แน่นอน พระเจ้าข้า
ดูกร สัจจกนิครนถ์ ถ้ารูปนี้ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ความรู้สึก ความจำ การปรุงแต่ง  การรับรู้ ก็เช่นกัน ท่านว่าอะไรที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนเป็นสุข หรือทุกข์
สัจจกนิครนถ์ตอบ: เป็นทุกข์

ไตรลักษณ์จึงกระจ่างแก่จิตของสัจจกนิครนถ์ นอกพระศาสนาดังนั้น
อนันตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน อนิจจังไม่เที่ยงแท้แน่นอน ทุกขังมีแต่ทุกข์
ที่มา:จากพระไตรปิฏกในขุททกนิกายข้อที่สามร้อยเก้าเป็นต้นไป

ออฟไลน์ paravatee

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 19
  • พลังน้ำใจ 0
สัจจกนิครนถ์เป็นผู้ถามพระพุทธเจ้า

ในพระพุทธศาสนามีการฝึกปฏิบัติกาย ฝึกปฏิบัติจิต เช่นไร

ในพระพุทธศาสนามีการฝึกปฏิบัติกาย คือการถือศีล คนธรรมดาใช้ศีล ๕ และ ๘ ส่วนสมณะ พระ นักบวช ศีล ๑๐ข้อ แล ๒๒๗ข้อตามลำดับ

วิธีฝึกปฎิบัติจิต คือ การทำสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน แม้ก่อนมีพระพุทธศาสนาก็มีการทำกรรมฐาน แต่ในพระพุทธศาสนาเน้นที่การมองให้เห็นไตรลักษณ์ นอกพระศาสนามีแต่กรรมฐานไม่เน้นการเจริญ"ญาณ อ่านว่า ยาน"ให้เกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์ แต่ในพระพุทธศาสนานี้ เน้นการมองให้เห็นไตรลักษณ์ คือก่อนหน้าจะมีพระพุทธศาสนาไตรลักษณ์ยังไม่เกิด หรือยังไม่มีความรู้ด้านนี้ พระพุทธเจ้าอุบัติเป็นผู้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณจึงเกิดมีความรู้ด้านไตรลักษณ์

การฝึกปฏิบัติทางกาย เมื่อความทุกข์เข้ามาจะไม่ครอบงำจิต
การฝึกปฏิบัติทางจิต เมื่อความสุขเข้ามาจะไม่ครอบงำกาย

บางคนมีความสุขมากๆนอนไม่หลับ และถ้ามีความทุกข์มากๆกลัดกลุ้มก็นอนไม่หลับ ท่านว่าเป็นทุกข์แก่ตนมั้ยเวลาคนเราไปยึดมั่นอะไรมากๆอย่างความสุขและความทุกข์นี่แหละ เป็นทุกข์โข แต่พระอรหันต์ในพระศาสนานี้ ละได้ทั้งสุขและทุกข์แล้ว เพราะมีการฝึกปฏิบัติทางกาย เมื่อความทุกข์เข้ามาจะไม่ครอบงำจิต และฝึกปฏิบัติทางจิต เมื่อความสุขเข้ามาจะไม่ครอบงำกาย
ที่มา:จากพระไตรปิฏก ในมหาสัจจกสูตร พระอานนท์เป็นผู้กล่าว

ภาพปาฏิหารย์ สมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ หลังแม่พระธรณี หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร วัดโฆษิตาราม (บ้านแค) จ.ชัยนาท รุ่นย้อนยุคปี ๒๕๓๙  ส่วนพระเศียร และใบโพธิ์

ออฟไลน์ paravatee

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 19
  • พลังน้ำใจ 0
วันนี้ขอเล่าเรื่อง พระพุทธเจ้าชนะมาร อันน่าจะเป็นมูลเหตุที่มาให้หลวงพ่อกวย นำมาสร้างพระสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ หลังพระแม่ธรณีนี้ จนเกิดปาฏิหารย์มากมายแก่ผู้ที่คล้องพระท่าน

ครั้นพระพุทธเจ้าทรงเลิกกิจจากการทรมานตน เพราะเห็นว่าไม่ใช่ทางสายกลางที่จะนำไปสู่การหลุดพ้น จึงเข้าไปนั่งใต้ต้นอัสสตะพฤก สมัยก่อนไม่ได้เรียกต้นโพธิ์ มาพระพุทธเจ้าประกาศความรู้เพื่อทางหลุดพ้น เป็นความรู้ใหม่แล้ว คนจึง เริ่มเรียกต้นอัสสตะพฤก ว่า ต้นโพธิ์ โดยคำว่า โพธิ์ นี้แปลว่า การตรัสรู้ เพราะเป็นต้นที่พระพุทธเจ้าใช้พิจารณาจนได้ตรัสรู้ ..มาต่อครั้นพระพุทธเจ้านั่งใต้ต้นอัสสตะพฤก แล้วได้ปรารภว่าเราจะนั่งพิจารณาทางทั้งหมดที่เราได้ปฏิบัติมาตั้งแต่รูปฌานจนถึงอรูปฌานตลอดจนการทรมานตนและการปฏิบัติต่างๆ อยู่ที่นี่จนกว่าจะได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ที่ไม่มีใครเสมอเหมือน ครานั้นเทวดาพรหมหลายแสนโกฎิ มาประชุมกันโปรยดอกไม้ทิพย์ บ้างขับร้องสรรญเสริญพระพุทธเจ้า เกิดเป็นความสว่างจากรัศมีเทวดาพรหมเจิดจร้ส ครานั้นพญามารผู้มีบาป คือพญาวะสะวตีมาร เป็นเทวดาทิฏฐิในสวรรค์ชั้นสูงสุด คือ สวรรค์ชั้นปรนิมิตะวะสะวตี ได้เนรมิตแขนตั้งพัน พร้อมขี่ช้างครีเมฆ เข้ามาหมายต่อกรกับพระพุทธเจ้า ไม่อยากให้ใครได้หลุดพ้นจากอำนาจของตน เหล่าทวยเทพเทวาเห็นมารเข้าต่างเร้นหน้าทิ้งพระพุทธเจ้าไว้พระองค์เดียวใต้ต้นอัสสตะพฤก แต่มารเข้าไปทำอะไรไม่ได้ตามรัศมีบารมีของพระพุทธเจ้าที่ได้บำเพ็ญมาแต่ครั้งอดีต อันว่าบุคคลผู้ทำความดีมากๆ แม้นตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ฉันใดฉันนั้น มารจึงเสกฝนเพลิง ฝนเถ้าถ่าน ฝนอาวุธ แต่กลับกลายเป็นดอกไม้ทิพย์ปูชาพระพุทธเจ้า ครั้นทำจนแทบทุกฤทธิ์เดชแล้ว ยังมิอาจหวั่นพระพุทธเจ้าได้ จึงเข้าไปสนทนากับพระพุทธเจ้าว่า สิทธัตถะ คำว่า สิทธัตถะ แปลว่าผู้ได้ดังใจปราถนาทุกอย่างเป็นพระนามเดิมของพระพุทธเจ้า ก่อนที่คนจะใช้คำว่า พุทธะ ที่แปลว่า ผู้ได้ตรัสรู้ ...มาต่อ มารเข้าไปสนทนาว่า สิทธัตถะจงลุกออกจากที่นี่เถิดบัลลังค์ที่ท่านนั่งนี้เป็นของเรา พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า ใครเป็นพยานแก่ท่าน มารยกเสนามาร  พลมารที่มาด้วยกันกล่าวอ้าง ฝ่ายพระพุทธเจ้าอยู่แต่พระองค์เดียวไม่มีใคร จึงกล่าวว่า บัลลังค์นี้เกิดแต่บารมีของเราที่ได้บำเพ็ญมาหลายร้อยหลายพันชาติจึงสำเร็จเป็นบัลลังค์ทิพย์นี้ แต่เราจะเอาเฉพาะข้อเดียว คือ เมื่อครั้นเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร น้ำที่หลั่งออกเป็นทานบารมีนั้นมากมายนัก ทันใดนั้นแผ่นดินได้สนั่นหวั่นไหนไปทั่ว พลมารและเสนามารต่างวิ่งหนีคนละทิศคนละทาง บังเกิดเป็นพระแม่ธรณีขึ้นมา กล่าวว่า เรานี่แหละเป็นพยานแก่พระผู้มีพระภาค ทันใดนั้นพระแม่ธรณีจึงบึดมวยผมเกิดเป็นน้ำไหลบ่าพัดพลมารและเสนามารพินาศไปตามกัน เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าของเรานี้ชนะมารก่อนที่จะยังได้ตรัสรู้เสียอีก ทันใดนั้นในคืนนั้นเองพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสรู้

ขอเล่าต่ออีกนิดนึง มากล่าวถึงฝ่ายพญามารบ้าง เมื่อกลับไปที่วิมานแห่งตนแล้ว ได้แต่นั่งเศร้า ฝ่ายลูกสาวทั้งสามจึงเข้าไปกล่าวว่า บิดรท่านเป็นกระไรหรือทำไมจึงเศร้านัก หรือมีใครทำท่านหรือ ฝ่ายพญามารจึงกล่าวว่า  โอ๊ว บัดนี้มีมนุษย์ผู้หนึ่งได้หลุดพ้นจากอำนาจแห่งเราแล้ว อันใครๆจะทำอะไรมิได้เลย ... ขอย่นนะกลัวยาว ฝ่ายลูกสาวทั้งสามคนอันได้แก่ นางตัณหา นางราคะ และนางอรดี จึงรับอาสาเข้าไปลวงหวังทำลายตบะพระพุทธเจ้า แต่ก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด

สรุปว่า พระพุทธเจ้าของเรานี้ ชนะพญามารก่อนที่จะได้ตรัสรู้เสียอีก และชนะลูกสาวทั้งสามคนของพญามารอันได้แก่ นางตัณหา นางราคะ และนางอรดี หลังจากตรัสรู้สำเร็จแล้ว
ที่มา:จากพระไตรปิฏก ในพุทธวงศ์เล่าถึงประวัติและการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า

ภาพปาฏิหารย์ สมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ หลังแม่พระธรณี หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร วัดโฆษิตาราม (บ้านแค) จ.ชัยนาท รุ่นย้อนยุคปี ๒๕๓๙  ส่วนหน้าอก

ออฟไลน์ paravatee

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 19
  • พลังน้ำใจ 0
มาขอแถมอีกเรื่องเกี่ยวกับประวัติพระสมเด็จปรกโพธิ์ ๘ ใบ รุ่นย้อนยุดปี ๒๕๓๙ มงคลชีวิตอริยทรัพย์มีองค์ ๘ ชาวบ้านหาปูชากันเหลือเกิน เรียกว่า พระพุทธเจ้าในอุโบสถ ถ้านำไปเลี่ยมจะสวยมากๆ เป็นพระพุทธเจ้าบนอาสน์

เลยมาขอเล่าเรื่องเกี่ยวกับประวัติพระสมเด็จปรกโพธิ์ ๘ ใบ อันน่าจะเป็นมูลเหตุที่มาให้หลวงพ่อกวย นำมาสร้างพระสมเด็จปรกโพธิ์ ๘ ใบ ทำให้ผู้คนเกิดแรงใจมหัศจรรย์มากมายแก่ผู้ที่คล้องพระท่าน
ขอเล่าเกี่ยวกับอาสน์ทิพย์หรือบัลลังค์ทิพย์ที่ปรากฏขึ้นเองที่ต้นอัสสตะพฤกก่อนนะครับ ครั้นพระพุทธเจ้าทรงเลิกกิจจากการทรมานตน นำฟางหญ้า ๘ กำมาทำเป็นอาสน์รองใต้ต้นอัสสตะพฤกเพื่อประทับนั่ง ทันใดนั้นปรากฎเป็นอาสน์ทิพย์มีความนุ่มเมื่อประทับนั่ง สามารถยุบลงเมื่อนั่งและฟูขึ้นเมื่อลุกอย่างมหัศจรรย์ ถ้าปัจจุบันคงจะเป็นโซฟา นี่คือที่มาของอาสน์ทิพย์หรือบัลลังค์ทิพย์ ว่าทำไมมารจึงคิดจะแย่งชิง จบ.

จากพระไตรปิฏก ในธัมมะจักรกัปวัตนสูตร พระพุทธองค์ตรัสแสดงว่า:
ดูกรท่านผู้แสวงหาทางหลุดพ้น บรรพชิตย่อมไม่ไปในส่วนสุดโต่งสองด้านคือ การปฏิบัติเพื่อทรมานตนจนเกินความจำเป็นของมนุษย์ และความต้องการแสวงหาโลกมากไป เป็นธรรมหยาบ ไม่ใช่ธรมของผู้หลุดพ้น ก็แนวทางของผู้หลุดพ้นนี้มี ๘ ประการ เป็นทางสายกลางเป็นทางหลุดพ้นจากทุกข์ ตามที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว คือ สัมมาทิฏฐิ...สัมมาสมาธิ. ข้อสังเกตุว่าทำไมหลวงพ่อกวยถึงทำปรกโพธิ์ ๘ ใบ ทั้งๆที่มีปรกโพธิ์ ๙ ใบแล้ว แถมมีบัลลังค์ทิพย์ คือปรกโพธิ์ ๘ ใบ เป็นพระพุทธเจ้าตอนสำเร็จตรัสรู้ทางหลุดพ้นคืออริยะมรรคมีองค์แปดแล้วนั่นเอง.

สรุปง่ายๆ คือ พระสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ สร้างเป็นที่รำลึกนึกถึงในการที่พระพุทธเจ้าชนะแก่พญามารก่อนที่จะได้ตรัสรู้ คือในตอนที่ยังไม่ได้ตรัสรู้ กำลังเพียรอยู่นั้นเอง แสดงถึงบุคคลเมื่อพากเพียรทำความดีที่สุดแล้ว จะชนะศัตรูหมู่มารได้เองในที่สุดแม้นผืนแผ่นดินอันไม่มีวิญญาณไม่มีจิตใจนี้ แต่เมื่อสัตว์โลกแกล้วกล้าในการทำความดี อันธรณีก็อยู่ไม่ได้ บังเกิดเป็นนางพระแม่ธรณีขึ้นมาบิดมวยผมเป็นพยานธรรม

ส่วนพระสมเด็จปรกโพธิ์ ๘ ใบ สร้างไว้เป็นที่รำลึกในธรรมะทั้งปวงของพระพุทธเจ้า คือการตรัสรู้อริยะสัจสี่ แล้วแสดงทางหลุดพ้นคือ แนวทางการหลุดพ้นแปดประการ เรียกว่า อริยมรรคมีองค์แปด

...นี่คือ สิ่งที่หลวงพ่อกวยตั้งใจจะฝากไว้ไห้แก่ลูกหลานทุกๆคน

ภาพพระสมเด็จปรกโพธิ์ ๘ ใบ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร วัดโฆษิตาราม (บ้านแค) จ.ชัยนาท รุ่นย้อนยุคปี ๒๕๓๙

กระดานสนทนาเว็บไซต์ ศิษย์หลวงพ่อกวย


 


Facebook Comments