ผู้เขียน หัวข้อ: (((((((((((( ผ่า... ตะกรุดหลวงพ่อคำ วัดหัวทะเล )))))))))))))  (อ่าน 57709 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฝุ่นดิน

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 2
  • กระทู้: 668
  • พลังน้ำใจ 2
  • ฝุ่นดินท้องถิ่นนิยม 084-7208460
Re: (((((((((((( ผ่า... ตะกรุดหลวงพ่อคำ วัดหัวทะเล )))))))))))))
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2013, 08:07:12 pm »
แถมชี้ตำนิเหรียญหลังสิงห์ให้อีกชุดครับ
ขณะนี้ของเก๊มีมากกว่าหนึ่งฝีมือ ดังนั้นตำนิด้านหน้าด้านหลังอาจใช้ไม่ได้กับเหรียญเก๊ฝีมืออื่นที่พัฒนาแล้ว
แต่บาร์โค๊ดที่ขอบข้าง ใช้ชี้ขาดได้ทุกฝีมือครับ

ออฟไลน์ ฝุ่นดิน

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 2
  • กระทู้: 668
  • พลังน้ำใจ 2
  • ฝุ่นดินท้องถิ่นนิยม 084-7208460
Re: (((((((((((( ผ่า... ตะกรุดหลวงพ่อคำ วัดหัวทะเล )))))))))))))
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2013, 08:09:28 pm »
  นอกจากนี้ผู้ใหญ่ฯยังเล่าถึงประสบการณ์ของวัตถุมงคลอันเกรียงไกรอีกชนิดหนึ่งของหลวงพ่อ นั่นก็คือเหรียญกลมหลังสิงห์ใหญ่ ปี ๒๕๑๔ ว่าในระหว่างที่ไปกราบหลวงพ่ออยู่นั้น มีอยู่สองรายที่เพิ่งได้รับประสบการณ์รอดตายจากอาวุธปืน จึงมากราบหลวงพ่อและเล่าเรื่องราวให้หลวงพ่อฟัง รายแรกโดนยิงในขณะที่นั่งเฝ้ากระบังปลา ถูกคนร้ายลอบยิงด้วยปืนลูกซองแต่ไม่เข้า เป็นประสบการณ์ทางด้านคงกระพันเช่นเดียวกันกับ ประสบการณ์ของรายที่สองที่ถูกคู่อริยิงด้วยปืนลูกซองในขณะที่ตนกำลังขับรถไถใหญ่  ความแรงของกระสุนทำให้ตนกระเด็นร่วงจากรถไถ แต่ลูกระสุนก็ไม่สามารถทะลุผ่านผิวหนังเข้าไปได้เช่นกัน

ออฟไลน์ carpenter43

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 2
  • กระทู้: 746
  • พลังน้ำใจ 2
Re: (((((((((((( ผ่า... ตะกรุดหลวงพ่อคำ วัดหัวทะเล )))))))))))))
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2013, 09:26:48 am »
มาศึกษาวัตถุมงคลหลวงพ่อคำครับ :o :o :o :o :o :o :o

ออฟไลน์ ฝุ่นดิน

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 2
  • กระทู้: 668
  • พลังน้ำใจ 2
  • ฝุ่นดินท้องถิ่นนิยม 084-7208460
Re: (((((((((((( ผ่า... ตะกรุดหลวงพ่อคำ วัดหัวทะเล )))))))))))))
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2013, 07:54:44 pm »
  มารู้จักประวัติและกิตติคุณของท่านกันบ้างครับ

      ซึ่งทั้งหมดเป็นข้อมูลที่ผู้เขียน (ฝุ่นดิน) ทำการค้นคว้ารวบรวมและเรียบเรียงขึ้นมาตั้งแต่ราวๆปี ๒๕๔๗ จนถึงปี ๒๕๕๐ จึงสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันแต่ยังไม่ถึงกับสมบูรณ์จนเป็นที่พอใจของผู้เขียนมากนัก นั่นก็ด้วยข้อจำกัดทางด้านเวลา ระยะทาง และสุขภาพ ได้ทำการลงพื้นที่สืบหาข้อมูลโดยพยามติดตามสืบหาค้นคว้าทั้งทางด้านข้อมูลเอกสาร เช่นหนังสือเสาร์๕ ฉลองเมรุฯปี๒๖ ,หนังสือที่ระลึกในการนมัสการศพ ณ วัดหนองหม้อ ปี๓๒ และข้อมูลจากตัวบุคคลที่มีความใกล้ชิด เก็บเล็กผสมน้อยจนกระทั่งเป็นข้อมูลที่เป็นชิ้นเป็นอันในระดับหนึ่งดังที่เห็นนี้ แต่เป็นที่น่าระอาใจเล็กๆ เมื่อปรากฎว่าข้อมูลนี้ก็มักจะถูกแอบอ้างจากผู้ที่คัดลอกไป แล้วก็อุปโลกเป็นข้อมูลของตนเสียสิ้น ทั้งนี้ก็มิใช่ผู้เขียนจะตระหนี่ถี่เหนียวเสียทีเดียวเลย หวังเพียงว่าน่าจะมีการอ้างอิงเครดิตของผู้อุสาหะรวบรวมมา พอให้ได้หายเหนื่อยบ้างก็ยังดี

      หลวงพ่อคำ ชาตสุโข พื้นเพเป็นชาวจังหวัดอ่างทอง เกิดเมื่อวันอังคาร เดือนสาม(กุมภาพันธ์) ปีมะเส็ง พุทธศักราช 2436 เป็นบุตรของคุณพ่อแสง แสงศรี และคุณแม่กลิ่น แสงศรีครอบครัวของท่านประกอบอาชีพทำนามาแต่เดิม มีพี่น้องร่วมกัน 5 คนคือ 1.นางขลิบ 2.นางเล็ก 3.นายหาด 4.นางหนู 5. คือหลวงพ่อคำ ซึ่งท่านเป็นคนสุดท้อง ต่อมาโยมพ่อของหลวงพ่อเกิดความเบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย จึงตัดสินใจได้ออกบวชและจำพรรษาอยู่ที่วัดอัมพวัน อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ส่วนท่านเองก็ได้เป็นลูกศิษย์วัดปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อท่านมาตั้งแต่อายุได้ 8 ขวบ วันหนึ่งหลวงพ่อของท่านเตรียมอัฐบริขารเพื่อออกธุดงค์ ก่อนไปหลวงพ่อของท่านได้บอกกับท่านว่า “พ่อไปนะลูก” สิ้นคำเท่านั้นแล้ว หลวงพ่อของท่านก็เดินดุ่มลงกุฏิ ท่านถามหลวงพ่อของท่านว่า “หลวงพ่อ..จะไปไหน” หลวงพ่อของท่านไม่ตอบยังคงมุ่งหน้าเดินออกจากวัดไป ท่านวิ่งตามและตะโกนถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายหลวงพ่อของท่านจึงหันมาพูดว่า “ถ้าพ่อไม่เจออาจารย์ดี พ่อจะกลับมาภายใน 1ปี แต่ถ้าพ่อเจออาจารย์ดี ก็อย่าคอยพ่อเลยนะลูก” แล้วท่านก็เดินออกจากวัดไปโดยไม่หันกลับมาอีกเลย
            เมื่อหลวงพ่อคำโตเป็นหนุ่ม จึงได้ข่าวว่า บิดาของท่านรุกขมูลไปอยู่ถ้ำ ทางภาคเหนือชื่อบ้านสระหนองแว้ง บิดาของท่านนอนอาพาธอยู่คน เดียวในถ้ำแต่บ้างก็ว่านอนอาพาธอยู่กลางป่าสัก ชาวบ้านไปพบเข้าจึงนำท่านมารักษาตัวที่วัดอ้อมแก้ว อ.สวรรคโลก จนกระทั่งมรณะภาพ ก่อนมรณะภาพชาวบ้านได้สอบถาม ชื่อ-นามสกุล และชื่อญาติพี่น้องของท่านไว้ หลวงพ่อคำจึงทราบข่าวได้ในภายหลัง
          หลังจากบิดาของหลวงพ่อออกรุกขมูลแล้วหายสาบสูญไป หลวงพ่อคำได้ทำหน้าที่ของความเป็นบุตรผู้รู้กตัญญูกตเวทิตาคุณ ปรนนิบัติเลี้ยงดูผู้เป็นแม่มาโดยตลอด และเป็นผู้มีความสนใจในธรรมเสมอมา ครั้งหนึ่งแม่ของหลวงพ่อคำ จะไปขอผู้หญิงมาเป็นภรรยาให้ท่าน แต่หลวงพ่อแอบไปได้ยินผู้หญิงคนนั้นใช้คำพูดรุนแรงขึ้นเสียงกับแม่ของตนเอง หลวงพ่อคำจึงบอกกับแม่ของท่านว่า “หญิงคนนี้ไม่ดี อย่าได้เอามาเป็นเมียเลย” ด้วยอุปนิสัยโน้มเอียงไปสู่การถือเพศพรหมจรรย์ ท่านก็เลยไม่มีภรรยาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
      จนกระทั่งแม่ของหลวงพ่อถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 82 ปี ขณะนั้นหลวงพ่ออายุ 40 ปี ท่านได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตาคุณครั้งสำคัญอีกครั้งโดยการโกนหัวบวชเณรหน้าไฟให้แก่แม่ของท่านที่วัดขุมทรัพย์ อ.เมือง จ.อุทัยธานี แล้วได้ไปหาอาจารย์บุตร ให้พาไปบวชพระที่วัดใหญ่ ต.ท่าฉนวน อ.มโนรมย์ จ.
ชัยนาท โดยมีหลวงพ่อปั้น วัดหาดทะนง เป็นพระอุปัชฌาย์ในปี 2476 หลังอุปสมบทแล้วท่านได้ไปเรียนกรรมฐานและศึกษาสรรพวิชาต่างๆกับหลวงพ่อทิมวัดบ้านบน ต.ท่าน้ำอ้อย อ.พยุหะ จ.นครสวรรค์      

         ต่อมาในปี 2485 หลวงพ่อได้ออกธุดงค์ไปทางภาคเหนือมุ่งหน้าเข้าสู่ประเทศพม่าเพื่อเสาะหาศึกษาวิทยาความรู้ต่างๆ และกระทำบำเพ็ญความเพียรทางจิตอย่างจริงจังในระหว่างออกจาริกธุดงค์นี้ หลวงพ่อได้มีโอกาสพบกับ หลวงปู่แหวน สุจิณโณพระอริยะสงฆ์องค์สำคัญของประเทศไทยท่านทั้ง 2 ได้ไตร่สวนธรรมมะที่บังเกิดขึ้นในตนซึ่งกันและกันต่างเป็นที่พอใจและถูกอัธยาศัยเป็นยิ่งนัก หลวงพ่อเคยเล่าเหตุการณ์ในขณะร่วมธุดงค์กับหลวงปู่แหวนให้หลวงตาสิทธิ์ วัดหนองน้ำคันว่ามีอยู่คราวหนึ่งในระหว่างที่หลวงพ่อและหลวงปู่แหวนหยุดพักปักกลดอยู่กลางป่า ปรากฎเสียงโขลงช้างโขลงใหญ่เดินมุ่งหน้ามายังสถานที่ที่หลวงพ่อทั้ง 2 ปักกลดอยู่ หลวงพ่อคำและหลวงปู่แหวนมองหน้ากันคล้ายจะปรึกษา แต่ก็ต่างตกลงใจว่า เอ้า..ตายเป็นตาย ต่างคนต่างนั่งบริกรรมอย่างไม่ประหวั่นพรั่นพรึงถึงความตายที่จะมาเยือน ด้วยบุญบารมีของท่านทั้ง 2 โดยแท้ เจ้าช้างตัวใหญ่ที่เดินนำอยู่หน้าสุดเข้าใจว่าคงเป็นหัวหน้าโขลง เจ้าช้างเชือกนี้เอางวงของมันรวบทั้งกลดและองค์หลวงพ่อทั้งสองยกไปวางข้างๆแล้วโขลงช้างก็เดินผ่านไปตามปกติ  แม้ต่อมาหลวงพ่อจะหยุดการธุดงค์แล้วอีกทั้งไม่ได้ไปมาหาสู่กับหลวงปู่แหวนก็ตาม แต่ท่านก็มักจะคุยเรื่องราวของหลวงปู่แหวนให้กับลูกศิษย์ใกล้ชิดฟังอยู่บ่อยๆเสมือนท่านติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา คนที่มีโอกาสใกล้ชิดหลวงพ่อยืนยันตรงกันว่าหลวงพ่อคำท่านมักจะบอกอยู่บ่อยว่า “ฉันกับท่านแหวน นั่งคุยกันทุกคืนแหละจ๊ะ”

         ในฝ่ายของหลวงปู่แหวนเองก็เช่นเดียวกัน เมื่อใดที่มีคณะศรัทธาที่มาจากเขตอุทัยธานี-นครสวรรค์ ท่านก็มักจะบอกแก่คณะศรัทธาเหล่านั้นว่า “ไม่ต้องมาถึงแม่ปั๋งนี่ดอก ทำบุญกับท่านคำ วัดหัวทะเลก็เหมือนกัน” บางครั้งท่านก็ว่า “ ท่านคำน่ะช้างเผือกในป่านะ” บ้าง “ ท่านคำน่ะพระทองคำนะ”  หลวงปู่แหวนจะกล่าวถึงหลวงพ่อในลักษณะอย่างนี้เป็นต้น ใครมาขอวัตถุมงคลของขลังในแนวอยู่ยงคงกระพัน มหาอุดหยุดปืน ท่านก็มักจะแนะนำมาทางหลวงพ่อคำอยู่บ่อยๆเช่นกัน ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับหลวงปู่แหวน เป็นที่ทราบดีในหมู่ศิษย์และคนใกล้ชิดตราบจนวาระสุดท้ายที่หลวงปู่แหวนมรณภาพ ท่านก็สามารถบอกกับลูกศิษย์ได้ตรงกับเหตุการณ์จริงอย่างน่าอัศจรรย์

           ต่อมาประมาณปี 2489 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบ ท่านจึงได้กลับมาจำพรรษาปรนนิบัติรับใช้ หลวงพ่อทิม วัดบ้านบน ผู้เป็นอาจารย์ตามเดิม และในปีเดียวกันนั้นเองได้มีผู้ใจบุญผู้หนึ่งชื่อนายรัตน์ นุ่มทองคำ ได้มานิมนต์หลวงพ่อให้ไปช่วย                                                                      สร้างวัดหัวทะเล ต.น้ำทรง อ.พยุหะ จ.น ครสวรรค์     ที่ดินของวัดหัวทะเล เดิมเป็นที่ของนา ยถนอม นุ่มทองคำ ซึ่งเป็นพี่ชายของนายรัตน์ นุ่มทองคำ มีเนื้อที่ 10 ไร่ 1งาน แต่เดิมนั้นเป็นพื้นที่รกร้างเต็มไปด้วยป่าหญ้าคาและป่ายางหนาทึบจนแดดส่องไม่ถึง หลวงพ่อและลุงรัตน์ ได้เป็นกำลังสำคัญในการ
ชักชวนชาวบ้านบ้าง พระจากวัดบ้านบนบ้าง ร่วมกันหักร้างถางพงบุกเบิกพื้นที่จนเป็นพื้นที่โล่งเตียน หลังจากนั้นลุงรัตน์จึงเริ่มนำวัตถุมงคลของหลวงพ่อคำ บอกหาเงินสร้างกุฏิถวายหลวงพ่อไว้จำพรรษาได้ 1 หลัง และต่อมาลุงรัตน์ก็ยังได้นำวัตถุมงคลของหลวงพ่อบอกบุญหาเงินเพื่อสร้าง ศาสนสถาน ศาสนวัตถุต่างๆขึ้นมา จนกระทั่งมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึงทั้งนี้ก็ด้วยอำนาจบุญญาบารมีและความศักดิ์สิทธิ์ในองค์หลวงพ่อและวัตถุมงคลของท่านโดยแท้ (หากพิจารณาตามนี้จึงจะพอสันนิษฐานได้ว่าได้มีการริเริ่มสร้างวัตถุมงคลขึ้นมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2489 – 2490 เรื่อยมาตามลำดับ )
       บุคลิกของหลวงพ่อนั้นหากมองจากหน้าตาท่าทางท่านดูเหมือนท่านจะเป็นคนดุ แต่แท้ที่จริงแล้วหลวงพ่อท่านมีอุปนิสัยอ่อนโยน เยือกเย็น มีอัธยาศัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สร้างความเชื่อถือศรัทธาและความซาบซึ้งตรึงใจให้กับผู้ที่เข้าไปพบปะกราบไหว้ได้อย่างดียิ่ง มีคุณลุงท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่าสมัยหลวงพ่อมีชีวิตอยู่แกไปกราบหลวงพ่อซึ่งเป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกแล้ว แต่หลวงพ่อท่านก็ยังกล่าวทักทายต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีมิได้บ่ายเบี่ยงด้วยเรื่องเวลาแต่อย่างไร และที่สำคัญหลวงพ่อท่านยังมีน้ำใจชงโอวัลตินให้ลุงดื่มด้วยตัวท่านเอง สร้างความปลาบปลื้มปีติใจให้แก่คุณลุงยิ่งนัก ใครมาใครไปท่านจะบอกให้ทานนู่นทานนี่เท่าที่จะมีอยู่ใกล้ๆตัวท่านอยู่เป็นประจำ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในกุฏิท่านใครจะขอเอาไปใช้ทำประโยชน์อย่างไรท่านให้โดยที่ไม่มีแสดงอาการห่วงหวงเลย ท่านมีอัธยาศัยต้อนรับขับสู้เสมอภาคกันหมดไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ไม่แบ่งยศถาบรรดาศักดิ์ ท่านจะทรงไว้ซึ่งพรหมวิหารธรรมอยู่เป็นนิจ และองค์ท่านก็มีจิตวิทยาในการโน้มน้าวจูงใจคนสูง ใครจะมีอุปนิสัยมาอย่างไร ท่านก็คุยเข้ากันได้กับทุกอุปนิสัย ท่านเข้าใจสนทนาหว่านล้อมจนกระทั่งสุดท้ายก็ต้องยอมลงให้แก่ท่าน ท่านก็ได้โอกาสสอดแทรกธรรมมะ หรือคติเตือนใจเข้าไปได้ ญาติโยมเข้ามาหาเครื่องรางของขลัง ท่านก็มักจะสอนให้ปฏิบัติที่ตัวเองมากกว่า เช่นมาหานางกวัก

          ท่านก็ว่า “จะมาหานางกวักอะไรที่นี่หล่ะ ไปหานางกวักที่บ้านซิดีกว่าเยอะ”โยมก็ไม่เข้าใจว่านางกวักจะมีที่บ้านของเขาได้อย่างไรก็เลยถามหลวงพ่อว่านางกวักที่บ้านเป็นยังไง หลวงพ่อท่านก็เฉลยให้ฟังว่า “ก็หัวจอบซิจ๊ะ ยิ่งใช้เท่าไรก็ยิ่งรวยเท่านั้น” แม้แต่เรื่องทำบุญท่านก็ว่า “บุญน่ะไม่ใช่จะมาทำที่วัดกันอย่างเดียว กลับไปก็ต้องไปทำที่บ้านด้วย ขยัน อดทน ประหยัด ไม่สุรุ่ยสุร่าย ขยันให้เป็นหลัก ยกตัวอย่างโยมขยันทำนาได้ข้าวมาก ชาวบ้านเขาก็ว่า เอ้อ..ปีนี้มันได้ข้าวเยอะบุญของมันเน๊อะ นี่ไงเล่าบุญ” และโดยเฉพาะเด็กๆท่านจะเอ็นดูมากถ้าท่านเห็น ท่านก็มักจะเรียกมาแจกพระบ้าง แจกขนมนมเนยบ้าง สังเกตได้ว่าเหรียญของท่านจะทำเป็นเหรียญเล็กๆขนาดกะทัดรัดสำหรับคล้องคอเด็กๆได้เหมาะสม และเหรียญของท่านก็สร้างปาฏิหาริย์ให้กับเด็กๆมามากต่อมากด้วยเช่นกัน ในคอเด็กๆในละแวกนั้นส่วนใหญ่ จะมีเหรียญหรือไม่ก็ล๊อคเกทของท่านเกือบทุกคน เด็กๆก็รักและเคารพนับถือท่านมาก บ้างก็ไปปัดกวาดเช็ดถู บ้างก็ไปบีบนวดให้ท่านท่านก็ได้โอกาสอบรมสั่งสอนคุณธรรมให้แก่เด็กๆไปในตัว
        ในสมัยที่ท่านอยู่พวกหมาพวกไก่ใครมาปล่อยไว้หรือพัดหลงมาเองท่านก็มีเมตตารับเลี้ยงไว้หมด คำพูดคำจาของท่านออกจะนุ่มนวลและเป็นกันเองตามแบบฉบับลูกทุ่งโดยแท้ ไม่ว่าเหตุการณ์จะดีร้ายอย่างไร ท่านจะว่า “ ดีจ๊ะดี ” อยู่เสมออ เคยมีโยมท่านหนึ่งมาบอกหลวงพ่อว่าไฟไหม้บ้านเขา หลวงพ่อก็บอกว่า “ไฟไหม้ก็ดีซิจ๊ะ”โยมก็ถามว่า “ไฟไหม้บ้านมันจะดียังไงล่ะหลวงพ่อ” หลวงพ่อก็ตอบว่า “ก็จะได้บ้านใหม่ล่ะซิหว่า” น้ำท่วมอ้อยท่วมข้าวท่านก็ว่าดี “น้ำท่วมก็ดีซิจ๊ะ ก็จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาดูแลมันอีกไงล่ะ” อย่างนี้เป็นต้น เรื่องขันติธรรมท่านก็เป็นหนึ่งตลอดอายุสังขารในเวลาที่ท่านเจ็บป่วย ท่านไม่เคยออกปากขอความช่วยเหลือจากใคร และไม่เคยแสดงอาการให้ใครเห็น เคยมีลูกศิษย์จะพาไปหาหมอ ท่านไม่ยอมไป ท่านว่าของท่านว่า “เป็นเองก็หายเองซิหว่า” ในด้านการขบฉัน ด้วยนิสสัยของพระปฏิบัติที่เคยถือธุดงค์เป็นวัตรทำให้ท่านมีปกติที่จะฉันแบบเอกา คือการฉันในบาตรแต่อย่างเดียวไม่ใช้ภาชนะอื่น และฉันมื้อเดียว แต่เพื่อไม่ให้ขัดศรัทธาญาติโยมท่านก็ผ่อนปรนลงบ้างในกรณีที่มีกิจนิมนต์ฉันเพลท่านก็สามารถฉลองศรัทธาได้ไม่ให้เสียกำลังใจญาติโยม เวลาท่านออกบิณฑบาต ท่านจะมีบาตรของท่านติดตัวไปเพียงใบเดียวเท่านั้น ใครจะใส่หวาน ใส่คาว ก็เทใส่รวมลงไปในนั้น บางคนหวังดีไม่อยากให้กับข้าวปนกันเกรงว่าท่านจะฉันไม่ได้รส พอท่านรับบิณฑบาตแล้วลับหลังท่านก็แก้ถุงออกแล้วเทรวมลงไปตามเดิม ท่านบอกของท่านว่า “ อย่างนี้ฉันง่ายดีจ๊ะ ไม่ต้องไปคลุกเคล้า เดี๋ยวก็ลงไปเคล้ากันในท้องอยู่ดีแหละจ๊ะ” เส้นทางที่ท่านใช้บิณฑบาตก็แปลกเช่นกันพอได้เวลาสักประมาณ 4 -5 เย็นท่านจะพาพระลูกวัดปัดกวาดทำความสะอาดทุกวันตั้งแต่ออกจากวัดจนกระทั่งสุดเส้นทางบิณฑบาตทั้งขาไปและขากลับอยู่เป็นประจำ ท่านเป็นพระขยัน นอกเสียจากเวลาปฏิบัติของท่านแล้ว ท่านมักจะทำนู่นทำนี่อยู่เสมอ กว่าจะเข้ากุฏิจำวัดได้ก็ค่อนข้างดึกบางคราวท่านก็นั่งปฏิบัติทั้งคืน หากจำวัดท่านก็ตื่นแต่เช้าประมาณตี 3 ทำกิจวัตรส่วนตัวทำวัตรสวดมนต์ตามปกติของท่าน สักประมาณตี 4 ท่านก็จะออกปัดกวาดบริเวณวัด พระลูกวัดรูปไหนยังไม่ตื่นท่านก็ไม่ดุไม่ว่าแต่ท่านจะไปเที่ยวกวาดอยู่ในบริเวณใกล้ๆกุฏิของพระรูปนั้นนั่นเอง นับว่าเป็นอุบายวิธีที่แยบคาย การจำวัดของท่านท่านจะจำวัดในท่าสีหไสยาสน์เสมอ จะเห็นได้จากรูปอิริยาบถต่างๆของท่านที่วัดสุวรรณรัตนาราม และด้วยปฏิปทาจริยาวัตรที่ท่านถือปฏิบัติบ่มเพาะบำเพ็ญเพียรมาอย่างอุกฤษฏ์นี้เอง จึงเป็นผลให้วัตถุมงคลของท่านทรงอานุภาพศักด์สิทธิ์ แม้แค่เสกเป่าเพียงพ่วงเดียวก็ก่อให้เกิดความเข้มขลังมีประสบการณ์เป็นพยานยืนยันมาหลายต่อหลายราย เมื่อจิตของท่านยังทรงกำลังฌานอยู่ ท่านจะกำหนดที่อะไรกะแสจิตก็ยิ่งไวต่อสิ่งนั้น ดังที่ชาวบ้านเกรงบารมีท่านกันนักหนาในเรื่องวาจาสิทธิ์ของท่าน ท่านพูดอย่างไรย่อมเป็นไปอย่างนั้นไม่มีพลาดเลย ยกตัวอย่าง มีญาติโยมท่านหนึ่งนำรถกระบะป้ายแดงมาให้หลวงพ่อเจิม ในขณะนั้นท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มฝนส่อแววว่ากำลังจะตก เมื่อเจิมเสร็จโยมท่านนี้ก็กุลีกุจอที่กลับบ้านด้วยเกรงว่าจะไม่ทันฝน แต่หลวงพ่อก็พยายามกล่าวรั้งโยมไว้ “ อย่าเพิ่งไปเลยจ๊ะ ฝนตกไปไม่ได้หรอก รอไว้ฝนขาดเม็ดแล้วค่อยไปนะจ๊ะ” โยมท่านนั้นก็ไม่ฟังหลวงพ่อรีบกราบลาท่าน แล้วขึ้นรถแต่ปรากฏว่ารถใหม่ป้ายแดงที่เพิ่งถอยมาหมาดๆ สตาร์ทอย่างไรเครื่องยนต์ก็ไม่ยอมทำงาน จนกระทั่งฝนตกลงมาจริงจึงได้เข้ามาหลบฝนในกุฏิหลวงพ่อก่อน จนกระทั่งฝนเริ่มจางลงโยมผู้หญิงกำลังจะโทรไปต่อว่าศูนย์รถที่ตนเพิ่งซื้อมาว่าทำไมรถใหม่แท้ๆแต่เครื่องยนต์จึงขัดข้อง แต่ยังไม่ทันได้โทรโยมผู้ชายลองไปสตาร์ทอีกครั้ง คราวนี้ปรากฏว่าสตาร์ทติดได้โดยง่าย ทุกอย่างเป็นไปตามคำของหลวงพ่อทุกประการ
          

ออฟไลน์ ฝุ่นดิน

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 2
  • กระทู้: 668
  • พลังน้ำใจ 2
  • ฝุ่นดินท้องถิ่นนิยม 084-7208460
Re: (((((((((((( ผ่า... ตะกรุดหลวงพ่อคำ วัดหัวทะเล )))))))))))))
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2013, 07:56:48 pm »
  ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เล่ากันว่าหากไม่ขออนุญาตท่านแล้วจะถ่ายรูปท่านอย่างไรก็ถ่ายไม่ติด การล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความพิศวงงงงวยให้กับบุคคลใกล้ชิดอยู่เสมอ เช่น เรื่องของคุณหมอในตลาดพยุหะท่านหนึ่งมากราบหลวงพ่อเมื่อเสร็จธุระแล้วก่อนกลับคุณหมอก็กราบขอพรหลวงพ่อ แต่คราวนี้แทนที่หลวงพ่อจะให้พรตามปกติ หลวงพ่อกลับกล่าวทักขึ้นมาว่า เออ..ไปเถอะอย่างหมอเนี่ยถึงชนกันก็ไม่ตาย คุณหมอก็งงๆกับพรของหลวงพ่อเช่นกัน แต่เมื่อขับรถมาถึงสี่แยกพยุหะปรากฏว่ามีรถวิ่งเข้ามาชนรถคุณหมอจริงๆ สภาพรถยับเยินแต่คุณหมอไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างไร
             ในเรื่องโชคลาภนั้นมีอยู่มากมายเช่นกัน อย่างเช่นคราวหนึ่งเมื่อนายโย มากราบหลวงพ่อแต่การกราบคราวนี้ต่างจากการเข้ามากราบทุกๆครั้ง เนื่องจากเมื่อนายโยก้มลงกราบหลวงพ่อแล้ว หลวงพ่อกลับใช้เท้าเหยียบลงไปบนหัวของนายโย สร้างความประหลาดใจให้กับนายโยเป็นอย่างมาก นายโยเก็บงำความฉงนนั้นไว้อยู่ไม่กี่วัน และความสว่างกระจ่างแก่ใจก็บังเกิดขึ้น เมื่อเลขล๊อตตารี่ทั้ง10 ตัวที่นายโยซื้อ ดันมาตรงกันกับผลการประกาศรางวัลที่ 1 ของกองสลากกินแบ่งฯในงวดนั้นอย่างไม่มีผิดเพี้ยน หลังจากนั้นรอยเท้าของหลวงพ่อจึงเป็นที่ต้องการของผู้คนทั้งหลายที่ได้ยินข่าวเป็นการใหญ่

             อีกเรื่องที่ฟังดูแล้วน่าขันอยู่เหมือน เรื่องมีอยู่ว่ามีโยมคนหนึ่งมาขอหวยจากหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อก็ปฏิเสธบ่ายเบี่ยงว่าท่านไม่รู้หรอกว่าหวยมันจะออกเลขอะไร ถ้าอยากรู้ก็ให้ไปถามกองสลากกินแบ่งฯโน่น โยมบอกว่าไปไม่ถูก แต่เขาได้เลข 82 มาจากหลวงพ่อองค์อื่น หลวงพ่อก็เลยควักแบงค์ 20 ฝากโยมซื้อหวยเลขนั้นด้วย “งั้นข้าฝากซื้อ 20 นะ” ชาวบ้านเห็นหลวงพ่อซื้อเลข 82 ก็พากันซื้อเลข 82 กันยกใหญ่ ปรากฏว่าหวยงวดนั้นออก 20 ชาวบ้านได้ยินแล้วหงายท้องตามๆกันที่สำคัญความหมายของหลวงพ่อผิด
               คุณลุงปทุม ทาจวง บ้านเดิมอยู่ทางวัดดงขวาง จ.อุทัยธานีเล่าว่า ตอนแกบวชแกไปสึกกับหลวงพ่อคำ(แกเล่าว่าตอนนั้นหลวงพ่ออยู่ที่วัดหนองอีเติ่ง) แกแลเห็นกุฏิหลวงพ่อจุดเทียนสว่างจนดึกจนดื่นด้วยความสงสัยแกจึงแอบดู ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านนั่งสมาธิตลอดทั้งคืน เมื่อตอนหัวค่ำหลังจากที่พระลูกวัดแยกย้ายกันไปจำวัดแล้วแกก็เห็นหลวงพ่อเดินไปเดินมา เหมือนกับเดินจงกรมแต่แกก็ไม่ได้เอะใจอะไร ต่อเมื่อฟ้าสว่างท่านเดินผ่านกุฏิหลวงพ่ออีกครั้ง ทำให้ลุงแกถึงกับอึ้งเพราะปรากฎว่าหลังกุฏิหลวงพ่อเป็นลำคลองที่มีน้ำอยู่เต็มตลิ่ง นอกจากนั้นลุงท่านนี้ยังเล่าว่าหลวงพ่อท่านกล่าวถึงหลวงปู่แหวนวัดดอยแม่ปั๋ง เหมือนกับท่านไปมาหาสู่กันอยู่เสมอทั้งๆที่หลวงพ่อท่านก็ไม่ได้ไปไหนไกลเลย
                เมื่อคราวที่เกิดเหตุการณ์ผู้ร้ายปิดตลาดท่าซุด จ.นครสวรรค์ แล้วทำการปล้นอย่างอุกอาจ ปฏิบัติการในครั้งนั้นมีเสือทุม แห่งบ้านน้ำทรงเป็นแกนนำ หลังจากทำการปล้นแล้วเสือทุมสามารถหลุดรอดจากการประทะและการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาได้อย่างปลอดภัยทุกครั้ง จนกระทั่งข่าวนี้ทราบถึงหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านจึงขอให้เสือทุมหรือนายทุม กลับใจแล้วมอบตัวเสีย ท่านบอกแก่นายทุมว่า “มอบตัวเถอะ ติดแค่ 7 ปีเท่านั้นแหละทุม” นายทุมจึงเข้ามอบตัวตามอาญาสิทธิ์ของหลวงพ่อผู้อันเป็นที่เคารพยิ่ง ถึงแม้จะเป็นคดีอุจฉกรรจ์ ได้รับโทษถูกจับขังคุกมืดตลอดชีวิต แต่ให้หลังมา 7 ปี นายทุมก็ถูกปล่อยตัวออกมาราวปาฏิหาริย์ ตรงกับประกาศิตที่หลวงพ่อกล่าวไว้จริงๆ ขณะที่นายทุมอยู่ในคุกเคยได้เผชิญหน้ากับตี๋ใหญ่ แต่ผลปรากฏว่าต่างคนต่างกินกันไม่ลงจึงเลิกรากันไปและกลับกลายเป็นการยกย่องนับถือกันตามประสานักเลง หลังจากนายทุมออกจากคุกแล้วหลวงพ่อบอกให้นายทุมมาอยู่วัดและอย่าเพิ่งออกไปไหนเพราะกรรมหนักยังไม่หมด นายทุมจึงเข้ามาอยู่วัดคอยปรนนิบัติดูแลหลวงพ่อเรื่อยมา ทั้งศึกเหนือเสือใต้ที่นายทุมเผชิญมาอย่างโชกโชน มีเพียงตะกรุดหลวงพ่อคำติดเนื้อติดตัวอยู่ดอกเดียว และก็ไม่ใช่ตะกรุดเชือกดิบอย่างที่คนอื่นเขาลือกันว่าดีนักดีหนานั่นหรอก เป็นเพียงตะกรุดเชือกร่มสีแดงที่ลูกศิษย์ท่านทำมาส่งให้หลวงพ่อเสกอีกทีเท่านั้นเอง
                  ของขลังที่เชื่อกันว่าฉมังนักและสร้างชื่อให้ท่านเป็นอย่างมากนั่นคือ ตะกรุด เล่ากันว่าวิชาเสกตะกรุดนี้ท่านเรียนมาจากหลวงพ่อไกร วัดใหญ่ จ.ชัยนาท  แต่ตะกรุดที่ท่านทำด้วยตนเองนั้น เป็นการทำให้เฉพาะบุคคล คุณตาสง่า นิ่มสุวรรณ เล่าให้ฟังว่าครั้งหนึ่ง ด้วยความอยากได้ตะกรุดที่หลวงพ่อท่านจารเองกับมือ คุณตาแกจึงเอาแผ่นโลหะไปให้หลวงพ่อจาร ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านจารตัว นะ เพียงตัวเดียว แล้วก็หลับตาเป่าให้อีกเพี่ยง เป็นอันใช้ได้ ท่านว่าสำคัญที่ฉันจะเสกเป่าไปทางไหนเท่านั้นดอก ไม่สำคัญว่าจะใช้ยันต์ตัวไหน
                เพราะตะกรุดท่านโดยมากก็รับมาจากคุณตารุน กุนที ฆราวาสผู้เชี่ยวชาญในวิชาลงตะกรุด ซึ่งหลวงพ่อจะเรียกคุณตารุนว่า “ตาครู” คุณตาปลั่ง บุญชื่น อายุ 75 ปี ผู้ที่ทำตะกรุดส่งให้หลวงพ่อมาจนถึงวาระสุดท้ายได้เล่าไว้ว่า คุณตารุน กุนที ซึ่งมีศักดิ์เป็นพ่อตาของท่าน ได้ทำตะกรุดส่งหลวงพ่อคำมาตั้งแต่หลวงพ่อเริ่มบุกเบิกสร้างวัด ตะกรุดชุดแรกจะจุ่มด้วยรัก แต่หลวงพ่อบอกว่าบางคนแพ้รักแล้วจะมีอาการคันหลวงพ่อท่านจึงให้ใช้สีดำที่ใช้ทาบ้านทาแทน เมื่อสิ้นคุณตารุน คุณตาปลั่งผู้เป็นลูกเขยก็รับการครอบครูทำตะกรุดส่งหลวงพ่อสืบทอดจากคุณตารุนเรื่อยมา จนกระทั่งหลวงพ่อมรณภาพ

                 คุณตาปลั่งเล่าถึงกรรมวิธีการสร้างตะกรุดที่ได้รับการถ่ายทอดมากจากหลวงพ่อที่ถ่ายทอดมาสู่ตาครูและตกทอดมาถึงตาปลั่งผู้เล่า   ว่าตะกรุดทั้งหมดจะลงพระยันต์ตามตำราที่สืบทอดกันมา (เช่นบารมี30ทัศ,ฝนแสนห่า,ช้างผสมโขลง โดยมากหลวงพ่อจะให้ใช้บารมี30ทัศเป็นหลัก) ส่วนลายที่ใช้ถักมีอยู่ 2 ลายคือ แบบลายตารางและแบบขึ้นเกลียว  ถักเสร็จแล้วก็จะนำไปทาสีดำใช้สีทาบ้านธรรมดาๆนี่แหละ ตากให้แห้งแล้วก็นำมาปิดทอง เรียบร้อยแล้วจึงนำมาปลุกเสกตามตำรับตำราให้ครบ 108 คาบเสียครั้งหนึ่งก่อน แล้วจึงใช้คาถาที่หลวงพ่อท่านมอบไว้ให้เสกเป็นมหาอุดโดยเฉพาะเสกและเป่าลงไปในกองตะกรุดอีกครั้งเป็นอันสำเร็จ
หลวงพ่อท่านมั่นใจกับการทำตะกรุดตามแบบฉบับของคุณตารุนและคุณตาปลั่งนี้มาก ถึงขนาดออกปากว่า “ถ้าตะกรุดของโยมนี้ละก็ ฉันไม่ต้องเสกก็ใช้ได้” หลังจากหลวงพ่อลั่นประกาศิตออกไปได้มีคนนำไปทดลองผลปรากฏว่า ไม่ออกสักนัด เท่านั้นเองชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็กรูกันเข้ามาเช่าบูชากันจนหมด  อานุภาพตะกรุดของท่านแพร่สะพัดออกไปด้วยประสบการณ์จริงจากปากต่อปากและค่อยๆขยายวงกว้าง จนกระทั่งทราบถึงผู้มีวาสนาบารมีในบ้านเมืองเราท่านหนึ่ง ลุงอู๋ ศิษย์หลวงพ่อบ้านอยู่หน้าวัด เล่าว่าประมาณปี พ.ศ. 2520 ผู้มีบารมีท่านนี้มานมัสการหลวงพ่อโดยฮอลิคอปเตอร์ หลวงพ่อได้มอบตะกรุดให้ เมื่อผู้มีบารมีท่านนี้ได้รับมาแล้ว ได้ทำการทดลองที่หน้าวัดด้วยปืนพกชนิดแม๊กกาซีนจนหมดแม๊ก ปรากฎว่าไม่มีกระสุนนัดใดทำงานเลย หลังจากนั้นลุงอู๋ได้เข้าไปไต่ถามว่าใครมาหาหลวงพ่อดึกๆดื่นๆด้วยเหตุว่าท่านเป็นพระบ้านนอก และเคร่งครัดในธรรมวินัยไม่ใช้โทรทัศน์ หลวงพ่อตอบออกมาแบบซื่อๆว่าท่านไม่รู้ แต่หน้าเหมือนกับคนในรูปที่แขวนอยู่ข้างฝานั่นแหละ
            คุณตาปลั่ง ผู้ที่ทำตะกรุดส่งให้หลวงพ่อ ก็ยังยืนยันว่าแม้แต่ตะกรุดรุ่นที่ผู้มีวาสนาบารมีเอาไปในครั้งที่ 2 นี้ก็เป็นตะกรุดฝีมือของคุณตาปลั่งเช่นเดียวกัน  ครั้งนั้นท่านเอาฮอลิคอปเตอร์มาจอดที่โรงสีข้างถนนเอเชียแล้วท่านก็นั่งรถยนต์เข้ามา พร้อมกับเช่าตะกรุดจากหลวงพ่อไปจำนวน 6 กล่อง
            คุณตาบอกว่าได้ยินเรื่องมาจากคนอื่นอีกทีว่า มีทหารที่ได้รับแจกตะกรุดไป ถูกระเบิดลงกลางวงข้าว คนที่คาดตะกรุด 4 คนไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างไรเลย ส่วนอีกคนที่ไม่มีตะกรุดของหลวงพ่อตายอย่างน่าสยอง เอาเป็นว่าของที่หลวงพ่อตั้งใจอธิษฐานจิตเสกเป่าไปให้แล้วแม้เพียงพ่วงเดียว หากวิบากกรรมที่จะมาตัดรอนนั้นไม่รุนแรงนักย่อมเป็นที่พึ่งได้อย่างสนิทใจ

               หลวงพ่อเป็นพระเถระที่มีอายุยืนยาวแม้อายุจะร่วงเลยมากว่า 90 ปีแล้วก็ตาม แต่กลับไม่มีอาการป่วยกระเสาะกระแสะอย่างเช่นคนแก่โดยทั่วๆไป ความคิดและความจำของท่านยังคงปราดเปรื่องแม่นยำเสมอมา แต่สังขารทั้งหลายล้วนตกอยู่ในไตรลักษณ์ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เปลี่ยนแปลง และดับไปเป็นธรรมดา แม้หลวงพ่อจะไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรงอะไร แต่ด้วยระยะเวลาที่พร่าผาญสังขารก็ค่อยๆโรยรา มาในระยะหลังๆหลวงพ่อค่อยๆอ่อนแรงลง เป็นลมวิงเวียนอยู่บ่อยครั้ง จึงได้ไปอาศัยรักษาตัวอยู่กับหมอหวาดลูกศิษย์ใกล้ชิดท่านอยู่ระยะหนึ่ง แต่อาการยังคงไม่ดีขึ้น บรรดาหลานๆของท่านจึงนำท่านไปรักษาที่ อ.ตาคลี โดยเข้าพักอาศัยอยู่ที่วัดหนองหม้อ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ หลังจากนั้นไม่นานท่านก็มรณภาพด้วยอาการสงบ เสมือนหนึ่งใบไม้ที่แห้งกรอบหลุดออกจากก้านร่วงหล่นลงไปเองเฉกเช่นนั้น หลวงพ่อมรณภาพ ณ วัดหนองหม้อ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2532 เวลา 23.00 น. ศิริรวมอายุได้ 96 ปี 50 พรรษา และบุญญาธิการของท่านก็ปรากฏแก่สายตาประชาชนอีกครั้ง เมื่อพบว่าศพของท่านไม่เน่าเปื่อย ปัจจุบันศพของท่านตั้งอยู่ ณ วัดหนองหม้อ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ตามมติของญาติที่คอยดูแลปรนนิบัติหลวงพ่อด้วยดีเสมอมาจวบจนหลวงพ่อสิ้นลมหายใจ
           ในด้านวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังของท่านมีอยู่มากมายหลายชนิด เกินที่จะนำภาพตัวอย่างมาลงไว้ ณ ที่นี้ทั้งหมดได้ ซึ่งมีทั้งพระบูชา เหรียญ รูปหล่อ สมเด็จ ปิดตา ล๊อคเกท รูปถ่าย แหวน ตะกรุด เสื้อยันต์ ผ้ายันต์ รอยเท้า ประคำ ปลัดขิก สีผึ้ง มีดหมอ มีทั้งที่ท่านดำริสร้างเองและลูกศิษย์นำมาให้ท่านปลุกเสก สำหรับข้อห้ามในการใช้เครื่องรางของขลังของหลวงพ่อนั้น ท่านไม่มีข้อห้ามยุ่งยากเหมือนหลวงปู่หลวงพ่อท่านอื่นๆเลย ดูท่านจะมุ่งเน้นให้เป็นคนดีมีศีลธรรม มีความกตัญญูรู้คุณบิดามารดา ไว้เป็นคุณธรรมประจำใจพื้นฐานเสียมากกว่า  ท่านว่าทองคำอย่างไรก็เป็นทองคำ ตกน้ำตกโคลนก็เป็นทองคำ ตกไฟละลายแล้วก็ยังเป็นทองคำ อยู่วันยันค่ำความมหัศจรรย์ในองค์ท่านผู้เฒ่าผู้แก่กล่าวว่าเล่าวันนึงก็ไม่หมด ด้วยเหตุที่หลวงพ่อเป็นพระผู้นั่งอยู่เหนือกระหม่อมจอมขวัญของชาวบ้านทุกเพศทุกวัยจึงพูดได้เต็มปากว่าท่านเป็นเสมือนหนึ่ง “เทพเจ้าแห่งน้ำทรง”
            ท้ายที่สุดนี้ต้องขออนุญาตชี้แจงและถือโอกาสประชาสัมพันธ์ไว้ ณ ที่นี้สืบเนื่องจากเจตนารมณ์ของข้าพเจ้าที่ต้องการรวบรวม สืบค้นและเผยแพร่ประวัติศาสตร์ในระดับท้องถิ่นที่นับวันจะเลือนรางจางหายลงไปหรือเท่าที่มีอยู่นั้นก็สุดแสนจะริบหรี่เต็มทนมิหนำซ้ำยังถูกจำกัดอยู่ในวงแคบด้วยอีก จึงพยายามที่จะพลิกฟื้นประวัติศาสตร์ระดับท้องถิ่นเหล่านี้ให้เป็นรูปธรรม เป็นความภาคภูมิใจและให้คงอยู่คู่ลูกคู่หลานคู่ท้องถิ่นนั้นๆ สืบต่อไป แต่ถ้าสามารถแผ่ขยายออกไปในวงกว้างสู่สาธารณะชนได้ก็ถือว่าเป็นกำไรมหาศาล
            และผู้เขียนก็มิได้ยืนกรานว่าข้อมูลที่ปรากฏอยู่นี้จะถูกต้องเต็มที่ หรือถึงขนาดที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้วก็หาไม่ หวังใจไว้เพียงว่าน่าจะพอเป็นประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งได้บ้าง อย่างน้อยก็คงพอได้เป็นแนวทางและข้อมูลพื้นฐาน สำหรับผู้ที่สนใจที่จะนำไปต่อยอดและขยายผลต่อไปได้บ้างในภายหลัง

กระดานสนทนาเว็บไซต์ ศิษย์หลวงพ่อกวย

Re: (((((((((((( ผ่า... ตะกรุดหลวงพ่อคำ วัดหัวทะเล )))))))))))))
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2013, 07:56:48 pm »

 


Facebook Comments