ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เล่ากันว่าหากไม่ขออนุญาตท่านแล้วจะถ่ายรูปท่านอย่างไรก็ถ่ายไม่ติด การล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความพิศวงงงงวยให้กับบุคคลใกล้ชิดอยู่เสมอ เช่น เรื่องของคุณหมอในตลาดพยุหะท่านหนึ่งมากราบหลวงพ่อเมื่อเสร็จธุระแล้วก่อนกลับคุณหมอก็กราบขอพรหลวงพ่อ แต่คราวนี้แทนที่หลวงพ่อจะให้พรตามปกติ หลวงพ่อกลับกล่าวทักขึ้นมาว่า เออ..ไปเถอะอย่างหมอเนี่ยถึงชนกันก็ไม่ตาย คุณหมอก็งงๆกับพรของหลวงพ่อเช่นกัน แต่เมื่อขับรถมาถึงสี่แยกพยุหะปรากฏว่ามีรถวิ่งเข้ามาชนรถคุณหมอจริงๆ สภาพรถยับเยินแต่คุณหมอไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างไร
ในเรื่องโชคลาภนั้นมีอยู่มากมายเช่นกัน อย่างเช่นคราวหนึ่งเมื่อนายโย มากราบหลวงพ่อแต่การกราบคราวนี้ต่างจากการเข้ามากราบทุกๆครั้ง เนื่องจากเมื่อนายโยก้มลงกราบหลวงพ่อแล้ว หลวงพ่อกลับใช้เท้าเหยียบลงไปบนหัวของนายโย สร้างความประหลาดใจให้กับนายโยเป็นอย่างมาก นายโยเก็บงำความฉงนนั้นไว้อยู่ไม่กี่วัน และความสว่างกระจ่างแก่ใจก็บังเกิดขึ้น เมื่อเลขล๊อตตารี่ทั้ง10 ตัวที่นายโยซื้อ ดันมาตรงกันกับผลการประกาศรางวัลที่ 1 ของกองสลากกินแบ่งฯในงวดนั้นอย่างไม่มีผิดเพี้ยน หลังจากนั้นรอยเท้าของหลวงพ่อจึงเป็นที่ต้องการของผู้คนทั้งหลายที่ได้ยินข่าวเป็นการใหญ่
อีกเรื่องที่ฟังดูแล้วน่าขันอยู่เหมือน เรื่องมีอยู่ว่ามีโยมคนหนึ่งมาขอหวยจากหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อก็ปฏิเสธบ่ายเบี่ยงว่าท่านไม่รู้หรอกว่าหวยมันจะออกเลขอะไร ถ้าอยากรู้ก็ให้ไปถามกองสลากกินแบ่งฯโน่น โยมบอกว่าไปไม่ถูก แต่เขาได้เลข 82 มาจากหลวงพ่อองค์อื่น หลวงพ่อก็เลยควักแบงค์ 20 ฝากโยมซื้อหวยเลขนั้นด้วย งั้นข้าฝากซื้อ 20 นะ ชาวบ้านเห็นหลวงพ่อซื้อเลข 82 ก็พากันซื้อเลข 82 กันยกใหญ่ ปรากฏว่าหวยงวดนั้นออก 20 ชาวบ้านได้ยินแล้วหงายท้องตามๆกันที่สำคัญความหมายของหลวงพ่อผิด
คุณลุงปทุม ทาจวง บ้านเดิมอยู่ทางวัดดงขวาง จ.อุทัยธานีเล่าว่า ตอนแกบวชแกไปสึกกับหลวงพ่อคำ(แกเล่าว่าตอนนั้นหลวงพ่ออยู่ที่วัดหนองอีเติ่ง) แกแลเห็นกุฏิหลวงพ่อจุดเทียนสว่างจนดึกจนดื่นด้วยความสงสัยแกจึงแอบดู ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านนั่งสมาธิตลอดทั้งคืน เมื่อตอนหัวค่ำหลังจากที่พระลูกวัดแยกย้ายกันไปจำวัดแล้วแกก็เห็นหลวงพ่อเดินไปเดินมา เหมือนกับเดินจงกรมแต่แกก็ไม่ได้เอะใจอะไร ต่อเมื่อฟ้าสว่างท่านเดินผ่านกุฏิหลวงพ่ออีกครั้ง ทำให้ลุงแกถึงกับอึ้งเพราะปรากฎว่าหลังกุฏิหลวงพ่อเป็นลำคลองที่มีน้ำอยู่เต็มตลิ่ง นอกจากนั้นลุงท่านนี้ยังเล่าว่าหลวงพ่อท่านกล่าวถึงหลวงปู่แหวนวัดดอยแม่ปั๋ง เหมือนกับท่านไปมาหาสู่กันอยู่เสมอทั้งๆที่หลวงพ่อท่านก็ไม่ได้ไปไหนไกลเลย
เมื่อคราวที่เกิดเหตุการณ์ผู้ร้ายปิดตลาดท่าซุด จ.นครสวรรค์ แล้วทำการปล้นอย่างอุกอาจ ปฏิบัติการในครั้งนั้นมีเสือทุม แห่งบ้านน้ำทรงเป็นแกนนำ หลังจากทำการปล้นแล้วเสือทุมสามารถหลุดรอดจากการประทะและการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาได้อย่างปลอดภัยทุกครั้ง จนกระทั่งข่าวนี้ทราบถึงหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านจึงขอให้เสือทุมหรือนายทุม กลับใจแล้วมอบตัวเสีย ท่านบอกแก่นายทุมว่า มอบตัวเถอะ ติดแค่ 7 ปีเท่านั้นแหละทุม นายทุมจึงเข้ามอบตัวตามอาญาสิทธิ์ของหลวงพ่อผู้อันเป็นที่เคารพยิ่ง ถึงแม้จะเป็นคดีอุจฉกรรจ์ ได้รับโทษถูกจับขังคุกมืดตลอดชีวิต แต่ให้หลังมา 7 ปี นายทุมก็ถูกปล่อยตัวออกมาราวปาฏิหาริย์ ตรงกับประกาศิตที่หลวงพ่อกล่าวไว้จริงๆ ขณะที่นายทุมอยู่ในคุกเคยได้เผชิญหน้ากับตี๋ใหญ่ แต่ผลปรากฏว่าต่างคนต่างกินกันไม่ลงจึงเลิกรากันไปและกลับกลายเป็นการยกย่องนับถือกันตามประสานักเลง หลังจากนายทุมออกจากคุกแล้วหลวงพ่อบอกให้นายทุมมาอยู่วัดและอย่าเพิ่งออกไปไหนเพราะกรรมหนักยังไม่หมด นายทุมจึงเข้ามาอยู่วัดคอยปรนนิบัติดูแลหลวงพ่อเรื่อยมา ทั้งศึกเหนือเสือใต้ที่นายทุมเผชิญมาอย่างโชกโชน มีเพียงตะกรุดหลวงพ่อคำติดเนื้อติดตัวอยู่ดอกเดียว และก็ไม่ใช่ตะกรุดเชือกดิบอย่างที่คนอื่นเขาลือกันว่าดีนักดีหนานั่นหรอก เป็นเพียงตะกรุดเชือกร่มสีแดงที่ลูกศิษย์ท่านทำมาส่งให้หลวงพ่อเสกอีกทีเท่านั้นเอง
ของขลังที่เชื่อกันว่าฉมังนักและสร้างชื่อให้ท่านเป็นอย่างมากนั่นคือ ตะกรุด เล่ากันว่าวิชาเสกตะกรุดนี้ท่านเรียนมาจากหลวงพ่อไกร วัดใหญ่ จ.ชัยนาท แต่ตะกรุดที่ท่านทำด้วยตนเองนั้น เป็นการทำให้เฉพาะบุคคล คุณตาสง่า นิ่มสุวรรณ เล่าให้ฟังว่าครั้งหนึ่ง ด้วยความอยากได้ตะกรุดที่หลวงพ่อท่านจารเองกับมือ คุณตาแกจึงเอาแผ่นโลหะไปให้หลวงพ่อจาร ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านจารตัว นะ เพียงตัวเดียว แล้วก็หลับตาเป่าให้อีกเพี่ยง เป็นอันใช้ได้ ท่านว่าสำคัญที่ฉันจะเสกเป่าไปทางไหนเท่านั้นดอก ไม่สำคัญว่าจะใช้ยันต์ตัวไหน
เพราะตะกรุดท่านโดยมากก็รับมาจากคุณตารุน กุนที ฆราวาสผู้เชี่ยวชาญในวิชาลงตะกรุด ซึ่งหลวงพ่อจะเรียกคุณตารุนว่า ตาครู คุณตาปลั่ง บุญชื่น อายุ 75 ปี ผู้ที่ทำตะกรุดส่งให้หลวงพ่อมาจนถึงวาระสุดท้ายได้เล่าไว้ว่า คุณตารุน กุนที ซึ่งมีศักดิ์เป็นพ่อตาของท่าน ได้ทำตะกรุดส่งหลวงพ่อคำมาตั้งแต่หลวงพ่อเริ่มบุกเบิกสร้างวัด ตะกรุดชุดแรกจะจุ่มด้วยรัก แต่หลวงพ่อบอกว่าบางคนแพ้รักแล้วจะมีอาการคันหลวงพ่อท่านจึงให้ใช้สีดำที่ใช้ทาบ้านทาแทน เมื่อสิ้นคุณตารุน คุณตาปลั่งผู้เป็นลูกเขยก็รับการครอบครูทำตะกรุดส่งหลวงพ่อสืบทอดจากคุณตารุนเรื่อยมา จนกระทั่งหลวงพ่อมรณภาพ
คุณตาปลั่งเล่าถึงกรรมวิธีการสร้างตะกรุดที่ได้รับการถ่ายทอดมากจากหลวงพ่อที่ถ่ายทอดมาสู่ตาครูและตกทอดมาถึงตาปลั่งผู้เล่า ว่าตะกรุดทั้งหมดจะลงพระยันต์ตามตำราที่สืบทอดกันมา (เช่นบารมี30ทัศ,ฝนแสนห่า,ช้างผสมโขลง โดยมากหลวงพ่อจะให้ใช้บารมี30ทัศเป็นหลัก) ส่วนลายที่ใช้ถักมีอยู่ 2 ลายคือ แบบลายตารางและแบบขึ้นเกลียว ถักเสร็จแล้วก็จะนำไปทาสีดำใช้สีทาบ้านธรรมดาๆนี่แหละ ตากให้แห้งแล้วก็นำมาปิดทอง เรียบร้อยแล้วจึงนำมาปลุกเสกตามตำรับตำราให้ครบ 108 คาบเสียครั้งหนึ่งก่อน แล้วจึงใช้คาถาที่หลวงพ่อท่านมอบไว้ให้เสกเป็นมหาอุดโดยเฉพาะเสกและเป่าลงไปในกองตะกรุดอีกครั้งเป็นอันสำเร็จ
หลวงพ่อท่านมั่นใจกับการทำตะกรุดตามแบบฉบับของคุณตารุนและคุณตาปลั่งนี้มาก ถึงขนาดออกปากว่า ถ้าตะกรุดของโยมนี้ละก็ ฉันไม่ต้องเสกก็ใช้ได้ หลังจากหลวงพ่อลั่นประกาศิตออกไปได้มีคนนำไปทดลองผลปรากฏว่า ไม่ออกสักนัด เท่านั้นเองชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็กรูกันเข้ามาเช่าบูชากันจนหมด อานุภาพตะกรุดของท่านแพร่สะพัดออกไปด้วยประสบการณ์จริงจากปากต่อปากและค่อยๆขยายวงกว้าง จนกระทั่งทราบถึงผู้มีวาสนาบารมีในบ้านเมืองเราท่านหนึ่ง ลุงอู๋ ศิษย์หลวงพ่อบ้านอยู่หน้าวัด เล่าว่าประมาณปี พ.ศ. 2520 ผู้มีบารมีท่านนี้มานมัสการหลวงพ่อโดยฮอลิคอปเตอร์ หลวงพ่อได้มอบตะกรุดให้ เมื่อผู้มีบารมีท่านนี้ได้รับมาแล้ว ได้ทำการทดลองที่หน้าวัดด้วยปืนพกชนิดแม๊กกาซีนจนหมดแม๊ก ปรากฎว่าไม่มีกระสุนนัดใดทำงานเลย หลังจากนั้นลุงอู๋ได้เข้าไปไต่ถามว่าใครมาหาหลวงพ่อดึกๆดื่นๆด้วยเหตุว่าท่านเป็นพระบ้านนอก และเคร่งครัดในธรรมวินัยไม่ใช้โทรทัศน์ หลวงพ่อตอบออกมาแบบซื่อๆว่าท่านไม่รู้ แต่หน้าเหมือนกับคนในรูปที่แขวนอยู่ข้างฝานั่นแหละ
คุณตาปลั่ง ผู้ที่ทำตะกรุดส่งให้หลวงพ่อ ก็ยังยืนยันว่าแม้แต่ตะกรุดรุ่นที่ผู้มีวาสนาบารมีเอาไปในครั้งที่ 2 นี้ก็เป็นตะกรุดฝีมือของคุณตาปลั่งเช่นเดียวกัน ครั้งนั้นท่านเอาฮอลิคอปเตอร์มาจอดที่โรงสีข้างถนนเอเชียแล้วท่านก็นั่งรถยนต์เข้ามา พร้อมกับเช่าตะกรุดจากหลวงพ่อไปจำนวน 6 กล่อง
คุณตาบอกว่าได้ยินเรื่องมาจากคนอื่นอีกทีว่า มีทหารที่ได้รับแจกตะกรุดไป ถูกระเบิดลงกลางวงข้าว คนที่คาดตะกรุด 4 คนไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างไรเลย ส่วนอีกคนที่ไม่มีตะกรุดของหลวงพ่อตายอย่างน่าสยอง เอาเป็นว่าของที่หลวงพ่อตั้งใจอธิษฐานจิตเสกเป่าไปให้แล้วแม้เพียงพ่วงเดียว หากวิบากกรรมที่จะมาตัดรอนนั้นไม่รุนแรงนักย่อมเป็นที่พึ่งได้อย่างสนิทใจ
หลวงพ่อเป็นพระเถระที่มีอายุยืนยาวแม้อายุจะร่วงเลยมากว่า 90 ปีแล้วก็ตาม แต่กลับไม่มีอาการป่วยกระเสาะกระแสะอย่างเช่นคนแก่โดยทั่วๆไป ความคิดและความจำของท่านยังคงปราดเปรื่องแม่นยำเสมอมา แต่สังขารทั้งหลายล้วนตกอยู่ในไตรลักษณ์ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เปลี่ยนแปลง และดับไปเป็นธรรมดา แม้หลวงพ่อจะไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรงอะไร แต่ด้วยระยะเวลาที่พร่าผาญสังขารก็ค่อยๆโรยรา มาในระยะหลังๆหลวงพ่อค่อยๆอ่อนแรงลง เป็นลมวิงเวียนอยู่บ่อยครั้ง จึงได้ไปอาศัยรักษาตัวอยู่กับหมอหวาดลูกศิษย์ใกล้ชิดท่านอยู่ระยะหนึ่ง แต่อาการยังคงไม่ดีขึ้น บรรดาหลานๆของท่านจึงนำท่านไปรักษาที่ อ.ตาคลี โดยเข้าพักอาศัยอยู่ที่วัดหนองหม้อ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ หลังจากนั้นไม่นานท่านก็มรณภาพด้วยอาการสงบ เสมือนหนึ่งใบไม้ที่แห้งกรอบหลุดออกจากก้านร่วงหล่นลงไปเองเฉกเช่นนั้น หลวงพ่อมรณภาพ ณ วัดหนองหม้อ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2532 เวลา 23.00 น. ศิริรวมอายุได้ 96 ปี 50 พรรษา และบุญญาธิการของท่านก็ปรากฏแก่สายตาประชาชนอีกครั้ง เมื่อพบว่าศพของท่านไม่เน่าเปื่อย ปัจจุบันศพของท่านตั้งอยู่ ณ วัดหนองหม้อ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ตามมติของญาติที่คอยดูแลปรนนิบัติหลวงพ่อด้วยดีเสมอมาจวบจนหลวงพ่อสิ้นลมหายใจ
ในด้านวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังของท่านมีอยู่มากมายหลายชนิด เกินที่จะนำภาพตัวอย่างมาลงไว้ ณ ที่นี้ทั้งหมดได้ ซึ่งมีทั้งพระบูชา เหรียญ รูปหล่อ สมเด็จ ปิดตา ล๊อคเกท รูปถ่าย แหวน ตะกรุด เสื้อยันต์ ผ้ายันต์ รอยเท้า ประคำ ปลัดขิก สีผึ้ง มีดหมอ มีทั้งที่ท่านดำริสร้างเองและลูกศิษย์นำมาให้ท่านปลุกเสก สำหรับข้อห้ามในการใช้เครื่องรางของขลังของหลวงพ่อนั้น ท่านไม่มีข้อห้ามยุ่งยากเหมือนหลวงปู่หลวงพ่อท่านอื่นๆเลย ดูท่านจะมุ่งเน้นให้เป็นคนดีมีศีลธรรม มีความกตัญญูรู้คุณบิดามารดา ไว้เป็นคุณธรรมประจำใจพื้นฐานเสียมากกว่า ท่านว่าทองคำอย่างไรก็เป็นทองคำ ตกน้ำตกโคลนก็เป็นทองคำ ตกไฟละลายแล้วก็ยังเป็นทองคำ อยู่วันยันค่ำความมหัศจรรย์ในองค์ท่านผู้เฒ่าผู้แก่กล่าวว่าเล่าวันนึงก็ไม่หมด ด้วยเหตุที่หลวงพ่อเป็นพระผู้นั่งอยู่เหนือกระหม่อมจอมขวัญของชาวบ้านทุกเพศทุกวัยจึงพูดได้เต็มปากว่าท่านเป็นเสมือนหนึ่ง เทพเจ้าแห่งน้ำทรง
ท้ายที่สุดนี้ต้องขออนุญาตชี้แจงและถือโอกาสประชาสัมพันธ์ไว้ ณ ที่นี้สืบเนื่องจากเจตนารมณ์ของข้าพเจ้าที่ต้องการรวบรวม สืบค้นและเผยแพร่ประวัติศาสตร์ในระดับท้องถิ่นที่นับวันจะเลือนรางจางหายลงไปหรือเท่าที่มีอยู่นั้นก็สุดแสนจะริบหรี่เต็มทนมิหนำซ้ำยังถูกจำกัดอยู่ในวงแคบด้วยอีก จึงพยายามที่จะพลิกฟื้นประวัติศาสตร์ระดับท้องถิ่นเหล่านี้ให้เป็นรูปธรรม เป็นความภาคภูมิใจและให้คงอยู่คู่ลูกคู่หลานคู่ท้องถิ่นนั้นๆ สืบต่อไป แต่ถ้าสามารถแผ่ขยายออกไปในวงกว้างสู่สาธารณะชนได้ก็ถือว่าเป็นกำไรมหาศาล
และผู้เขียนก็มิได้ยืนกรานว่าข้อมูลที่ปรากฏอยู่นี้จะถูกต้องเต็มที่ หรือถึงขนาดที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้วก็หาไม่ หวังใจไว้เพียงว่าน่าจะพอเป็นประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งได้บ้าง อย่างน้อยก็คงพอได้เป็นแนวทางและข้อมูลพื้นฐาน สำหรับผู้ที่สนใจที่จะนำไปต่อยอดและขยายผลต่อไปได้บ้างในภายหลัง