ผู้เขียน หัวข้อ: อยากจะทราบ ประวัติ ลพ.มหาโพธิ์ วัดครองมอญ จ.ชัยนาท  (อ่าน 6366 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ wewat2519

  • สมาชิก
  • ***
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 248
  • พลังน้ำใจ 0
  • คนหลายอาจารย์-สำนัก
 ;D ;D ;Dท่านผู้ใดทราบ-มีข้อมูล ประวัติ ท่านผมขอเป็นวิทยาทาน นิดน่ะครับ...พี่  /โอ่ง สงขลา/wewat2519@gmail.com ขอขอบคุณพี่ๆ ทุกท่านมากครับ

ออฟไลน์ Naraipratan

  • สมาชิก
  • ***
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 143
  • พลังน้ำใจ 0
Re: อยากจะทราบ ประวัติ ลพ.มหาโพธิ์ วัดครองมอญ จ.ชัยนาท
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2008, 12:51:04 pm »
ประวัติหลวงพ่อมหาโพธิ์ ญาณสังวโร
วัดคลองมอญ (สุวรรณโคตมาราม) อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท
หลวงพ่อมหาโพธิ์ ญาณสังวโร เกิดเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2463 ตรงกับทางจันทรคติ วันอังคาร แรม 13 ค่ำ เดือน 11 ปีวอก จ.ศ. 1282 ยามเด็กนอนสมัยนั้น (ประมาณเวลา 19.20 น.) ลัคนาศรี พฤษภ เสวยฤกษ์ที่ 5 มฤคสิระ ประกอบด้วย เทศาตรี แห่งฤกษ์ นามเดิม นายโพธิ์ จั่นเที่ยง โยมบิดาชื่อ นายวอน จั่นเที่ยง โยมมารดาชื่อ นางทองสุข จั่นเที่ยง มีพี่น้องด้วยกัน 6 คน หลวงพ่อเป็นลูกคนที่ 4 บ้านเกิด ณ บ้านหนองพญา ต.มะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท
หลวงพ่อท่านได้เล่าว่า ตอนเด็ก ๆ ไม่สามารถอยู่บ้านได้ พระใบฎีกาบุญยัง เป็นทั้งอาจารย์และหลวงน้าของท่าน ได้นำเอาท่านมาเลี้ยงไว้ที่วัดหนองน้อย ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านท่านประมาณ 3 กิโลเมตร ต่อมาหลวงพ่อบุญยังได้พาท่านมาฝากบวชเรียน พระปริยัติธรรมที่วัดอรุณอัมรินทร์ (วัดโบสถ์น้อย) บางกอกน้อยธนบุรี ได้จำพรรษาบวชเรียนเป็นสามเณรโพธิ์ ณ ที่วัดอรุณอัมรินทร์ และต้องเดินไปเรียนนักธรรมและบาลีปเรียญสาม ขณะจำพรรษาอยู่นี้หลวงพ่อบุญยังได้มาเยี่ยมเยียนอยู่ เเสมอและก็ได้ถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ ให้ สามเณรโธิ์ท่านก็จะแปรพระคาถาต่าง ๆ เป็นใจความบ้าง ไม่ได้ใจความบ้าง ดูแล้วไม่น่าจะมีอะไร หลวงพ่อบุญยังบอกว่า “คุณมหาโพธิ์อย่าไปแปล วิชาก็คือวิชาแปลภาษาบาลีก็แปลไป วิชาอาคมต่าง ๆ ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดกันมามิได้ให้แปลไม่สมควรแปล เพราะเป็นหลักของวิชาในการใชคาถาอาคม ด้วยจิตเป็นเครื่องกำหนด” ดังนั้นสามเณรโพธิ์จึงไม่คิดแปลคาถาอีกต่อไป เมื่อได้เข้าใจในหลักวิชาที่หลวงพ่อบุญยังได้ถ่ายทอด ให้
เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณื สามเณรมหาโพธิ์ ก็ได้บวชอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดอรุณอัมรินทร์ บางกอกน้อย ธนบุรี โดยโยมบิดาและมารดาได้เดินทางจาก อ.วัดสิงห์ มายังกรุงเทพฯ เพื่ออุปสมบทสามเณรมหาโพธิ์ด้วความปลื้อมปิติยินดียิ ่งนัก ต่อมาอีก 1 ปี ท่านได้กลับสมาอยู่ที่ วัดหนองน้อย จ.ชัยนาท และขอลาสิกขาบทกับหลวงพ่อบุญยัง แต่หลวงพ่อบุญยังไม่สึกให้ ท่านให้ไปสึกกับหลวงพ่อปลื้ม(น้องชายหลวงปู่ศุข) ณ วัดปลากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อปลื้มก็สึกพระให้ตามความประสงค์

ชีวิตทหาร
หลังจากที่หลวงพ่อมหาโพธิ์ได้ลาสิกขาบทจากพระภิกษุใน ปี พ.ศ. 2484 อายุท่านครบ 21 ปีบริบูรณ์ ตามหน้าที่ของชายไทยทุกคนต้องรับใช้ชาติเพื่อคัดเลือ กเกณฑ์ทหารเป็นเวลา 2 ปี ท่านได้กราบลาหลวงพ่อบุญยัง ซี่งหลวงพ่อบุญยังได้อวยพรให้ท่าน “ท่านมหาโพธิ์ไปคราวนี้จะได้อยู่อย่างสบายๆ” พร้อมกับได้มอบผ้ายันต์ขาวแดงลงด้วยยันต์นะหน้าทอง 1 ผืน และยัต์ปีโยเล็ก 1 ผืน ให้พกติดตัวไป ผ้ายันต์ 2 ผืนนี้ดีทางเมตตามหานิยมเป็นที่รัดใคร่ของผู้ใหญ่ดุจ ลูกในอุทร วันแรกที่ไปฝึกทหารใหม่สะบักต้นขาของท่านได้หลุดออกเ หมือนคนขาหัก ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายเดือน หลังจากการฝึกทหารใหม่ 3 เดือนเสร็จสิ้นแล้วทุกคนจะต้องเข้าประจำกองต่างๆ หลวงพ่อท่านเล่าว่า ท่านแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย มีแต่คนคอยห่วงใยในความเป็นอยู่ กินนอนก็อยู่อย่างสบายเหมือนยังกับเจ้านาย มีคนคอยดูแล จนผู้คยในกรมทหาร จ.ลพบุรี เรียกท่านว่า “หลวงตา” ดังคำอวยพรของหลวงพ่อบุญยังให้ไว้ว่า “จะได้ไปอยู่อย่างสบายๆ”
กลับมาอยู่กับท่านอาจารย์
หลังจากที่รับใช้ชาติครบ 2 ปี ก็ปลดประจำการมาอยู่กับหลวงพ่อบุญยัง วัดหนองน้อย อยู่ปรนนิบัติและศึกษาหาความรู้จากหลวงพ่อบุญยัง พอมีญาติโยมเจ็บป่วยมาหาหลวงพ่อบุญยัง หลวงพ่อมหาโพธิ์ท่านจะช่วยเก็บยาสมุนไพรให้กับอาจารย ์ ท่านปรุงเป็นยารักษาญาติโยมอยู่บ่อยๆ ยามว่างอาจารย์ของท่านจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับวิชาต่าง ๆ ให้ฟัง เพื่อที่จะให้หลวงพ่อมหาโพธิ์สนใจอย่างไม่รู้ตัว อาทิเช่น วิชาเกี่ยวกับการฝึกธาตุทั้ง 4 ขึ้นมา อาจารย์ของท่านให้เอาโหลแก้วบรรจุน้ำเต็มตั้งไว้และใ ห้เอาขี้ผึ้งมามาปั้นเป็นก้อนกลมๆ ขนาดลูกพอประมาณ ใส่ลงในโหลแก้ว ขึ้ผึ้งจะลอยอยู่บนน้ำ และอาจารย์ท่านได้แสดงให้ดูก่อน โดยบังคับขี้ผึ้งให้ลอยและจมตามจิตบังคับ แล้วหลวงพ่อบุญยังก็พูดว่า ต้องใช้ความเพียรมากๆ ตั้งแต่นั้นมา หลวงพ่อมหาโพธิ์ก็ฝึกวิชาธาตุทั้ง 4 ด้วยความขยันหมั่นเพียรจนสามารถทำได้เหมือนกับอาจารย ์ของท่านเป็นที่ภาคภูมิใจของอาจารย์ยิ่งนัก
สมัยที่หลวงพ่อบุญยังไปเรียนวิชากับหลวงปู่ศุข ที่วัดปากของมะขามเฒ่านั้น
หลวงปู่ศุขได้ทดสอลความอดทนของท่านต่างๆ นานา ถ้าคนไม่มีความเพียรพยายามก็ต้องท้อเลิกไป แต่หลวงพ่อยุญยังท่านอดทนเพียรพยายามมาก แม้แต่กลางคืนหลวงปู่ศุขให้ไปฝึกวิชาที่โบสถ์ พอเดินออกไปก่อนจะถึงโบสถ์ฝนก็ตกน้ำท่วมถึงเอวต้องลุ ยน้ำไป จนเดินเลยโบสถ์กลับไปกลับมาตั้งหลายเที่ยวกว่าจะขึ้น โบสถ์ได้ วิชาต่างๆ ที่เรียนไปต้องฝึกให้สำเร็จและต้องแสดงต่อหน้าหลวงปู ่ศุขว่าทำได้แล้ว จึงจะขอเรียนวิชาอื่นๆ ต่อไปได้ เป็นระยะเวลาหลายปีทีเดียวที่หลวงปู่ศุขได้ถ่ยทอดวิช าต่างๆ ด้านพุทธคุณให้แก่หลวงพ่อบุญยัง และมอบคัมภีร์ไสยศาสตร์ทางพุทธคุณให้รักษาไว้สืบพระศ าสนาต่อไป จนตกมาถึงหลวงพ่อมหาโพธิ์ได้รับมอบคัมภีร์พุทธคุณจาก อาจารย์ของท่าน เป็นคัมภีร์ด้านพุทธคุณ ที่ประกอบด้วยอักขระ เลข ยันต์ต่างๆ ทั้งสูตรวิชาลบผงพุทธคุณในวิชา ปถมัง, อิทธิเจ, มหาราช, อิธิเจภาคพิศดาร หลวงพ่อมหาโพธิ์ได้ฝึกตามคัมภีร์จนเจนจบทุกวิชา การลบผงมหาราชจะต้องขึ้นต้นด้วยการตั้งชื่อนามให้ได้ 5 ชื่อ แล้วลบมาบังเกิดเป็น นะโมพุทธายะ จากนั้นก็ลบต่อไปเรื่อยๆ มาเป็นองค์พระ 5 องค์ มาเป็น มะอะอุ แล้วมาบังเกิดเป็นนะต่างๆ เป็นยันต์ต่างๆ จนถึงยันต์ครูองค์พระ และสิ้นสุดด้วยมหาสูญ, นิพพานสูญ, ทุกวิชาปถมัง, อิทธิเจ, มหาราช จะมีหลักเกณฑ์ต่างๆแนวเดียวกัน ทุกสูตรจะต้องมีตัวตั้งก่อเกิดขึ้นและนมัสการสูตรยัน ต์ต่างๆ ทุกขั้นตอนกว่าจะเสร็จสิ้น 1 กระดานการลบผงต้องใช้เวลาทั้งวัน ผงพุทธคุณต่างๆ จะเก็บไว้เพื่อนำผงมาผสมทำพระเครื่องต่างๆ หรือจะนำมาผสมแป้งเจิม
ฝึกวิชา
พระอาจารย์บุญยังได้พยายามถ่ายทอดวิชาต่างๆ ด้านพุทธคุณให้ ตอนแรก ๆ หลวงพ่อไม่สนใจ แต่เมื่ออยู่กับท่านนาน ๆ ไปหลวงพ่อเริ่มมีความสนใจขึ้น เห็นพระอาจารย์ท่านทำอะไร ๆ แปลกๆ ให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ เช่น ทำควายธนูด้วยตอกสาน โดยสานมือเดียวแล้ววางไว้ ควายธนูก็มีการขยับเขยื้อนได้ เสกน้ำมันจนเดือดเหมือนน้ำร้อน ฟองเดือดขึ้นมา แต่เมื่อไปสัมผัสด้วยมือกลับไม่ร้อน ทำให้ท่านอยากจะเรียน พระอาจารย์ของหลวงพ่อก็ถ่ายทอดให้ทั้งคาถาปลุกเสก และวิธีฝึก

วิชาเกราะเพชร
วิชาหนึ่งที่ท่านชอบและฝึกมาตั้งแต่ต้น คือ “ยันต์เกราเพชร” หรือตาข่ายเพชร โดยหลวงพ่อบุญยังได้เล่าให้ท่านฟังว่าสมัยหลวงปู่ศุข ยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ลองวิชาเกราะเพชรกับพระะรูปหนึ่ง ที่แก่กล้าวิชาที่เดินทางผ่านวัดปากคลองมะขามเฒ่า โดยบอกหลวงปู่สุขว่าจะขี่ม้าพยนต์เข้ามาในโบสถ์ให้ดู หลวงปู่ศุขท่านได้เอาผ้ายันต์เกราะเพชรขึงไว้หน้าประ ตู ปรากฎว่าม้าพยนต์ไม่สามารถผ่านยันต์เกราะเพชรหรือตาข ่ายเพชรไปได้ พระรูปนั้นเมื่อแพ้วิชาของหลวงปู่ศุข ก็ได้เดินทางกลับไปจากวัดปากคลองมะขามเฒ่าเมื่อหลวงพ ่อมหาโพธิ์ได้ฟังจากหลวงพ่อบุญยังเล่าท่านจึงสนใจและ เล่าเรียนวิชาเกราะเพชรลงตระกรุด และผ้ายันต์เกราะเพชรมาตลอดอายุของท่าน
การลงยันต์เกราะเพชร ต้องท่องสูตรคาภาพระอิติปิโสรัตนมาลา ๕๖ บาท ให้ได้จนขึ้นใจทั้งเดินหน้า และถอยหลังได้รวมทั้งบทปลีกย่อยอื่น ๆ อีกมากมาย ในการลงยันต์เกราะเพชร ท่านบอกว่ายันต์เกราะเพชร เป็นยันต์ที่ค่อนข้างยากผู้เรียกจะต้องมีความขยันหมั ่นเพียร กับความอดทน และการประสิทธิ์ประสาทจากครูบาอาจารย์ น้อยคนนักที่จะลงยันต์เกราะเพชรได้ บางคนมาขอเรียนเห็นพระคาถา ๕๖ บาท ก็ท้อแล้วไม่อยากจะท่องจำ ความเพียรพยายามไม่มี การลงยันต์ก็ต้องหายใจลงตามสูตรพระคาถา ๕๖ บาท ผู้ที่ฝึกฝนใหม่ ๆ ต้องใช้เวลาเรียนเกือบทั้งวันกว่าจะลงยันต์เสร็จ อย่างตัวของหลวงพ่อเองใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่งโมง ถือว่าลงได้เร็วมากแล้วเพราะท่านฝึกมา ตั้งแต่อายุยังรุ่นอยู่
ในสมัยก่อนยามว่าง ท่านมักลงตระกรุดเกราะเพชรและทำผงพุทธคุณเกราะเพชรทั ้งชนิดป้องกันตัว และถอนคุณถอนของคนที่ถูกผีเข้า ท่านจะเอาตะกรุดเกราะเพชรที่เป็นแผ่นแบบยังไม่ได้ม้ว นเป็นตะกรุด ตบหัวคนถูกผีเข้า ผีจะทรุดลง และออกจากตัวคนไข้ไปทันที ตะกรุดส่วนใหญ่ท่านจะใช้แผ่นทองแดงมาลงยันต์เกราะเพช ร ยกเว้นแผ่นถอนของท่านจะใช้แผ่นตะกั่ว ส่วนตะกรุดเนื้อเงินท่านจะลงให้เฉพาะกับศิษย์ใกล้ชิด เท่านั้น เกี่ยวกับประสบการณ์ในตะกรุดเกราะเพชร มี ส.ส.ท่านหนึ่งใน จ.ชันนาท ที่เคารพนับถือหลวงพ่อมากได้ขอตะกรุดท่านไปใช้พกติดต ัว ขณะหาเสียงถูกผู้ที่ปองร้ายใช้ระเบิดปาใส่ ปรากฏว่า ส.ส.ท่านนั้นไม่เป็นอะไรเลย

วิชาลงตะกรุดใต้น้ำ
หลวงพ่อบุญยังได้เรียนวิชาตะกรุดใต้น้ำจากหลวงปู่ศุข โดยสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ลงให้กับลูกศิษย์ทุกปี แม้กระทั่งพระสมุห์กลับ แสงเขียว ก็ยังขอให้ท่านช่วยลงตะกรุดใต้น้ำที่วัดดอนตาลให้ โดยก่อนที่จะประกอบพิธีจะต้องตั้งเครื่องบูชาครูริมแ ม่น้ำ และต้องตอกเสาหลักไว้ในน้ำสำหรับผู้ที่จะลงตะกรุดเกา ะไว้ ไม่อย่างนั้นจะถูกน้ำพัดลอยไปตามกระแสน้ำ ตะกรุดจะลง และปลุกเสกใต้น้ำเสร็จแล้วจะปล่อยให้ลอยขึ้นมาบนผิวน ้ำ พวกลูกศิษย์ก็จะแจวเรือคอยเก็บอยู่ข้างบน หลวงพ่อบุญยังเล่าให้หลวงพ่อบุญยังฟังว่าน้ำที่
วัดดอนตาลน้ำเย็นเหลือเกิน หลวงพ่อมหาโพธิ์เล่าว่า ท่านเคยขอเรียนวิชาตะกรุดใต้น้ำนี้จากท่านอาจารย์บุญ ยัง ซึ่งอาจารย์ท่านก็รับปากถ่ายทอดให้แต่ต้องเรียนในวัน เพ็ญเดือน ๑๒ แต่ยังไม่ทันถึงเดือน ๑๒ หลวงพ่อบุญยังก็มรณะภาพลงเสียก่อนเมื่ออายุได้ ๕๕ เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก ที่หลวงพ่อท่านเรียนจากพระอาจารย์ไม่ทันจึงทำให้วิชา นี้สูญไป
เกี่ยวกับวันที่หลวงพ่อบุญยังมรณภาพ ชาวบ้านแถบวัดปากคลองมะขามเฒ่า ได้เห็นลูกๆไฟดวงใหญ่ลอยเดินทางไปยังวัดหนองน้อย และได้ลอยกลับมาโดยมีลูกๆฟดวงเล็กตามมาด้วยเป็นที่ตื ่อนตาตื่นใจแก่ผู้คนในสมัยนั้นมากเล่าขสนมาจนถึงผัจจ ุยันนี้

ชีวิตฆราวาส
ท่านได้สมรสกับ นางสุขใจ เป็นผู้ที่ค่อนข้างจะมีฐานะดีในจังหวัดชัยนาท แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ได้มีร้านค้าขายของชำอยู่ในอำเภอวัดสิงห์ ยามว่างท่านก็จะไปศึกษาวิชาความรู้ทางไสยศาสตร์กับ พระสมุห์กลับ แสงเขียว วัดดอนตาล ซึ่งถือกันว่าเป็นศิษย์มือขวาของหลวงปู่ศุขเลยทีเดีย ว พระสมุห์กลับภายหลังท่านสึกจากพระเสียอีก
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงพ่อมหาโพธิ์ซึ่งตอนนั้นท่านอยู่ในเพศฆราวาส ท่านได้ลงสมัครเลือกตั้งเป็น เทศมนตรีเทศบาล อำเภอวัดสิงห์ ในวาระ ๔ ปำถึง ๒ สมัย รวมเป็น ๘ ปีถึง พ.ศ.๒๕๐๗ ท่านได้เล่าไห็ฟังว่าตอนหาเสียงท่านก็ไม่ค่อยได้ออกไ ปหาเสียงที่ไหนอยู่ในร้านค้าของท่านในอำเภอวัดสิงห์ ค้าขายของไปวัน ๆ หนึ่ง แต่อาศัยที่ท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาไสยศาสตร์จากหลว งพ่อบุญยัง และพระสมุห์กลับ ด้วยอานุภาพความศักดิ์ของวิชา นะฤาชา ที่หลวงพ่อบุญยัง ถ่ายทอดไห้มาเป็นพิเศษ จึงทำให้ท่านเป็นที่รู้จักเลื่องลือไปทั้งอำเภอวัดสิ งห์ เป็นที่นิยมชมชอบของประชาชน อำเภอวัดสิงห์ ท่านลอกว่าท่านไม่ต้องไปเหนื่อยกับการหาเสียงเลย ประชาชนทั่วไปเลือกท่านเป็นเทศมนตรีเทศบาล อำเภอวัดสิงห์ ถึง ๒ สมัย จนในปี ๒๕๑๗ กระทรวงมหาดไทยมอบใบประกอบในประกาศนียบัตร ชมเชยในการทำงานของท่าน ที่พัฒนา อำเภอวัดสิงห์ ให้มีความเจริญก้างหน้าแก่ ท้องถิ่น หลังจากที่ท่านได้หมดวาระในตำแหน่งเทศมนตรีไปแล้ว ๙ ปี
เหตุที่กลับมาบวช
หลวงพ่อมหาโพธิ์ท่านได้เล่าว่า ชีวิตของท่านมีความผูกพันกับวัดเสมอห่างจากวัดไม่ได้ แม้จะครองเพศฆราวาสก็ต้องวนเวียนอยู่กับวัด ก่อนที่ท่านจะกลับมาบวชจิตใจก้รุดมร้อน ทำอะไรก็เหมือนคนเสียสติ จนต้องเข้าโรงพยาบาลรักษาตัวโดยไม่มีสาเหตุของโรค จนมีอยู่วันหนึ่งขณะนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ท่านได้ลุกขึ้นมาเขียนยันต์ต่าง ๆ ตลอดจนยันต์ครูที่ท่านเคยเรียนมา ได้ทิ้งไปนานไม่ได้ทบทวนเลย ซึ่งในเพศฆราวาสท่านก็ไม่ได้ฝึกฝนทบทวนต่อ เพราะเวลาว่างใหญ่จะไปทางโลกหมด ต้องวุ่นวายกับครอบครัวเรื่องการทำมาหากินเวลาปฏิบัต ิทางธรรมทางวิชาคุณพระก็หย่อนยานไป ขาดการไหว้ครูทุก ๆ ปี ก็เลยทำให้ท่านผิดปรกติ แต่ก็ดลจิตให้นึกขึ้นมาได้ ว่าสาเหตุจากแรงครูนี้เองโดยไม่ต้องให้แพทย์รักษา
ในปี พ.ศ.๒๕๐๙ ท่านก็ได้เข้ามาสู่สมณเพศ อุปสมบทเป็นพระภิกษุอีกครั้งที่วัดพานิชนาราม อำเภอวัดสิงห์ จ.ชัยนาท โดยมีพระอุปัชฌาย์ คือ พระครูสิงหชยสิชฌน์ (เจริญ) พระกรรมวาจารย์ พระคูครูแบน เจ้าอาวาสวัดโคกสุข และพระแช่ม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๒๖ เดือน มิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๙ เวลา ๑๖.จ๕ น.และได้มาตำพรรษา สังกัดวัดโคกสุข ต.หนองน้อย อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาม จนถึงปี พ.ศ. ๒ษ๕๑๓ ได้ย้ายมาตำพรรษาอยู่ ณ วัดคลองมอญ ในวันที่ ๒๖ กันยายน เพราะวัดคลองมอญในเวลานั้นเกือบจะเป็นวัดล้างอยู่แล้ วไม่มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่เลย ชาวบ้านที่อาศัยแถววัดคลองมอญ ได้นิมนต์ท่านให้มาปกครองวัดคลองมอญอยู่หลายครั้ง จนท่านต้องมาเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดคลองมอญ ได้สร้างความเจริญให้กับวัดคลองมอญเป็นอันมาก
กิตติคุณของหลวงพ่อ
ซื่อเสียงของท่านล่ำลือไปไกลหลายจังหวัด ในเรื่องการรักษาโรคต่าง ๆ ที่ไม่มีสาเหตุ ซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันรักษาไม่ได้ บางคนต้องมารักษาเป็นแรมเดือน ตอนนั้นท่านอยู่ในโบสถ์ รักษาคนไข้โรคแปลกๆ มีทั้งคนถูกคูณถูกของ ทั้งเสน่ห์เล่ห์กลต่าง ๆ น้ำมันพรายฯลฯ
บางคนป่วยปางตายท่านก็รักษาจนหายมีชีวิตอยู่รอดได้ ผู้มีจิตศรัทธาจำนวนมากต่างก็มานมัสการท่านขอความเมต รตาจากท่านๆก็ได้สงเคราะห์ให้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหน ื่อย ไม่เลือกชั้น วรรณะ ให้ ความเสมอภาคกับทุกๆ คนเสมอมา จนถึงปี พ.ศ. ๑๔๒๖ ท่านก็ได้หยุดรักษาคนไข้ ประกอบกับอายุสังขารท่าน ก็ชราภาพมากแล้วจึงต้องได้รับการพักผ่อน บำรุงรักษาร่างกายให้มีสุขภาพดี เป็นเนื้อนาบุญให้กับลูกศิษย์ และญาติโยม จะได้พึ่งบารมีของท่านไปได้อีก นาน ๆ จนถึงปัจจุบันนี้ (พ.ศ.๒๕๔๔ ) หลวงพ่อมาหาโพธิ์ญาณสังวโร เป็นทายาทศิษย์สายตรงของหลวงปู่ศุข ที่ถ่ายทอดตำราคัมภีร์ด้านพุทธคุณในศิษย์รุ่นที่ ๓ ที่ได้รับมาแต่ผู้เดียว
การรักษาโรค
หลวงพ่อมหาโพธิ์ท่านได้สอนวิธีการรักษาให้กับผู้เขียนในตัวผู้ป่วยที่อยู่ในอาการต่างๆ อาการอย่างไรควรรักษาด้วยวิธีการใด บางคนเป็นแผลเน่าไปทั้งตัว เคยไปรักษาที่โรงพยาบาล หมอปัจจุบันบอกว่าเป็นมะเร็ง รักษาอยู่หลายปีไม่หาย ได้ยินชื่อเสียงของหลวงพ่อมหาโพธิ์ ญาติพี่น้องได้พามารักษาที่ วัดคลองมอญ เมื่อหลวงพ่อดูอาการแล้วบอกว่า “โดนผีคุณ” ไม่ไช่มะเร็งหลวงพ่อท่านได้ใช้ปูนกับน้ำมนต์รักษาคนไ ข้ ใช้มีดหมอสับ และไม้เท้ากดตามตัวคนไข้ ก่อนทำการรักษาต้องมีดอกไม้ ธูปเทียน และเงิน ๖ บาทสลึงเป็นค่าบูชาครู และต้องบนครูด้วยว่า เมื่อหายจากอาการป่วยแล้วจะถวายครูด้วยไก่ ๑ ตัว, เหล้าขาว ๑ ขวด ,กล้วย ๑หวี, ข้าวสาร ๑ ถ้วย , และเงิน ๖ บาทสลึง เป็นสิ่งที่แปลกผู้คนส่วนมาก ที่มารักษาจากหลวงพ่อหายจากโรคร้ายทุกคน เมื่อถึงวันไหว้ครูจะมีผู้คนมามากมายถวายขวัญข้าวครู เต็มโบสถ์ไปหมดแทบจะไม่มีทางเดินเลย
>>>ขอขอบคุณที่มาของบทความนี้คือ : คุณ บอส ดินแดง จาก...เว็บ หลวงปู่กาหลง ดอทคอม


กระดานสนทนาเว็บไซต์ ศิษย์หลวงพ่อกวย

Re: อยากจะทราบ ประวัติ ลพ.มหาโพธิ์ วัดครองมอญ จ.ชัยนาท
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2008, 12:51:04 pm »

 


Facebook Comments