ในปีพ.ศ.๒๔๙๘ เวลาฉันอาหารเริ่มมีอาการเจ็บคอ กลืนอาหารไม่ค่อยได้ คณะศิษย์จึงรบเร้าให้ท่านเข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช คณะแพทย์ได้ตรวจพบว่า หลวงพ่อเป็นมะเร็งที่หลอดอาหาร แพทย์จึงมีความเห็นให้ทำการผ่าตัดเปลี่ยนหลอดอาหารใหม่โดยใส่หลอดพลาสติกเข้าไปแทน ซึ่งอาจจะนับเนื่องมาจากการดูดบุหรี่ที่ท่านดูดมานานเพิ่งจะมาเลิกก็หลังจากที่ท่านผ่าตัดแล้วนี่เอง แต่ด้วยเชื้อมะเร็งได้ลุกลามไปตามกระแสโลหิต ร่างกายของหลวงพ่อเริ่มทรุดโทรม ฉันอาหารได้น้อยลงตามลำดับ ร่างกายซูบผอมอ่อนแรง ในที่สุดหลวงพ่อก็มรณะภาพอย่างสงบเมื่อแรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๙ ตรงกับวันพุธ ที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๑ สิริอายุได้ ๖๙ ปี ๔๙ พรรษา (แต่มักจารึกโดยปัดเศษอายุท่านให้เป็น ๗๐ ปี)การจากไปของท่านสร้างความอาลัยอาดูรให้เกิดแก่คณะศิษย์และชาวบ้านตลอดจนชาวตลาดร้านรวง พ่อค้าพานิชย์ และบรรดาข้าราชการทั้งชั้นผู้ใหญ่ผู้น้อยที่ให้ความเคารพนับถือท่านเป็นอย่างยิ่ง เปรียบเสมือนร่มโพธิ์ใหญ่ของบรรดาศิษย์ทั้งหลายที่เคยได้อาศัยร่มบุญร่มบารมีคุ้มเกล้าคุ้มกระหม่อมในยามตกทุกข์ได้ยาก เคยได้บำบัดทุกข์บำรุงสุข เคยได้ชี้ทางสว่างไสว จากร้อนก็เคยได้ผ่อนบรรเทา จากทุเลาเล่าก็เคยได้ผ่อนคลาย บัดนี้โพธิ์ใหญ่แห่งอำเภอวัดสิงห์ล้มลงเสียอีกต้นหนึ่งแล้ว จะหาแก้วดวงไหนมาแทนท่านได้เสมอเหมือนหนอ
ด้วยความเคารพศรัทธาในองค์ท่านแม้ร่างของท่านจะปราศจากวิญญาณไปแล้วก็ตาม ชาวบ้านก็ยังสู้อุส่าห์หาน้ำหมึกบ้างขมิ้นบ้างมาทาฝ่าเท้าท่านแล้วใช้ผ้าขาวกดทับลงไป เพื่อให้ได้เพียงรอยเท้าท่านไว้สักการะบูชาก็ถือว่าเป็นมงคล นักหนาแล้ว หลังจากนั้นจึงจัดการกับศพของท่านโดยนำผ้าขาวมาห่อพันร่างท่านไว้อยู่หลายชั้น ในตอนแรกนั้นได้แต่กลางมุ้งครอบไว้ ต่อมาได้ทำการต่อโลงด้วยไม้สักแกะสลักมีข้อความว่า “พระครูวิจิตรชัยการ ชาตะปีฉลู เดือน๓ วันจันทร์ พ.ศ.๒๔๓๒ มรณะปีจอ เดือน๙ วันพุธ พ.ศ.๒๕๐๑ อายุ ๗0 ปี พรรษา ๔๙” แล้วจึงนำศพของท่านลงในโลงไม้สักนั้นตั้งบำเพ็ญกุศลต่อไปหลังจากที่ท่านมรณะภาพไปแล้ว บรรดาลูกศิษย์ลูกหาและคณะศรัทธาทั้งหลาย ต่างก็ปารถนาจะมีสิ่งมงคลที่เปรียบเสมือนตัวแทนท่านไว้สักการะบูชา ในระหว่างตั้งศพบำเพ็ญกุศลอยู่นั้นบรรดาคณะศิษยานุศิษย์นำโดยพระครูวินิจชัยการหรือพระครูเลื่อน ธมฺมทินโนเจ้าอาวาสวัดสิงห์สถิต ร่วมกับคุณโชค ศรีสิทธิกรรม( บุตรชายของขุนหลวงศรีสิทธิกรรม อดีตนายอำเภอวัดสิงห์ ) จึงได้ร่วมใจกันสร้างรูปเหมือนหลวงพ่อขนาดเท่าองค์จริงหล่อด้วยโลหะสำริดประดิษฐาน ณ วัดบ่อแร่ เพื่อเป็นที่สักการะบูชาและที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ่อแร่และคณะศรัทธาศิษยานุศิษย์สืบต่อไป
มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประทับใจและแสดงให้เห็นถึงความความเคารพรักและความศรัทธาในองค์หลวงพ่อที่มีอยู่อย่างเปี่ยมล้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างการบรรทุกรูปหล่อเท่าองค์จริงของหลวงพ่อกลับวัด โดยใช้รถจิ๊ปของตาบ้วนบรรทุกมา ในสมัยนั้นถนนหนทางยังไม่เจริญ แม้แต่รถยนต์ก็ยังต้องอาศัยลัดเลาะมาตามท้องทุ่งนา ไม่ว่ารถจิ๊ปจะบรรทุกรูปเหมือนของหลวงพ่อผ่านไปทางใด ก็จะมีเสียงชาวบ้านตะโกนเรียก “หลวงพ่อๆ” ตลอดระยะทางด้วยความเคารพรักอย่างสุดซึ้ง แล้วก็พากันร้องไห้วิ่งตามรถ ยิ่งรถแล่นไปไกลเท่าไรกลุ่มมหาชนก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งมองเห็นเป็นขบวนอย่างไม่ต้องนัดหมาย ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ต่างก็ส่งเสียงตะเบงเซงแซ่บ้างก็ร้องเรียกหลวงพ่อ บ้างก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นสลับกันไปไม่ขาดเสียง นับว่าเป็นเสียงเพรียกแห่งศรัทธาอย่างแท้จริง