ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัติหลวงพ่อสด วัดหนองสะแก อ.หนองขาหย่าง จ.อุทัยธานี  (อ่าน 36923 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฝุ่นดิน

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 2
  • กระทู้: 668
  • พลังน้ำใจ 2
  • ฝุ่นดินท้องถิ่นนิยม 084-7208460
        หลวงพ่อสด  ธัมมธโร  เกิดเมื่อปี  2437  เป็นบุตรของพ่อพุ่ม  แม่ชื่น   พันธ์เขียน  เกิดที่บ้านทุ่งมะขามหวาน  ต.หนองนางนวล  อ.หนองฉาง  จ.อุทัยธานี  มีพี่น้องรวมกันทั้งหมด 6  คน คือ
   1.นายสด  พันธ์เขียน   หรือหลวงพ่อสด  ธัมมธโร
   2.นางเล็ก  พันธ์เขียน  
   3.นายทรัพย์  พันธ์เขียน
   4.นายสิน  พันธ์เขียน
   5.นางพู  พันธ์เขียน
   6.นายสะอาด  พันธ์เขียน
   ต่อมาพ่อแม่ได้ย้ายมาทำมาหากินอยู่ที่บ้านทุ่งปาจาน  หมู่ที่ 5 ต.ดงขวาง  อ.หนองขาหย่าง  จ.อุทัยธานี  ในปัจจุบัน  หลวงพ่อสด  จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดท่าโพธิ์  ต.ท่าโพธิ์  อ.หนองขาหย่าง  จ.อุทัยธานี  สมัยนั้นผู้ใดมีความรู้ดีจะเข้ามาเป็นครูสอนโรงเรียนประถมได้  แล้วจึงได้ไปสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนกุดจอก  กิ่ง อ.หนองมะโมง  จ.ชัยนาท  จนอายูครบ  20  ปี  ท่านจึงได้ลาออกมาอุปสมบทที่วัดหนองระแหงใต้  ในปี พ.ศ.2457  และได้จำพรรษาอยู่วัดหนองระแหงใต้  อยู่ 2 พรรษาจึงได้ย้ายมาสร้างวัดคูเมือง  แล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดคูเมืองจนมรณภาพในปี พ.ศ. 2516  รวมอายูได้ 79 ปี  59พรรษา ชีวิตของหลวงพ่อสด ท่านได้เล่าให้ฟังว่าตั้งแต่เด็กจนจำความได้  ท่านจะไม่ทำปาณาติบาต   คือ ไม่ฆ่าสัตว์ทุกชนิดและรักษาศีล 5 มาโดยตลอด  ในระหว่างที่ท่านดำรงสมณสารูป  ท่านได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระศาสดา  เช่นศึกษาพระธรรมวินัยและเผยแพร่พระพุทธศาสนา  อีกทั้งท่านยังชอบนั่งวิปัสสนากรรมฐาน   เจริญภาวนา    จนเข้าถึงหลักธรรม  ปกติท่านจะไม่พูดว่าใครในทางเสียหาย  เพราะถ้าพูดว่าใครคนนั้นจะเป็นไปตามคำพูดของท่านเสมอ  จนเป็นเรื่องลือกันว่าท่านมีวาจาสิทธิ์  ชื่อเสียงของท่านจึงเป็นที่รู้จักกัน  ทั่วทั้ง จ.อุทัยธานี  และจังหวัดใกล้เคียง  จนมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย  ส่วนเรื่องอภินิหารของหลวงพ่อสด  นั้นมากมายนักสุดที่จะกล่าวมา  ณ  ที่นี้
   เดิมชื่อบ้านหนองสะแก  ชาวบ้านหนองสะแกได้อพยพมาจากบ้านหนองระแหงใต้  เมื่อประมาณปี พ.ศ.2430  เพื่อมาจับจองที่ดินทำกิน  จนเกิดเป็นชุมชนมากขึ้น  ในสมัยนั้นการทำบุญ  ชาวบ้านจะต้องเดินทางไปทำบุญที่วัดหนองระแหงใต้ซึ่งอยู่ไกล  ชาวบ้านจึงคิดจัดสร้างวัดขึ้นและได้ไปปรึกษากับพระสด  หรือหลวงพ่อสดซึ่งอุปสมบทอยู่ที่วัดหนองระแหงใต้  และนิมนต์ท่านมาเป็นประธานในการจัดสร้าง  และจำพรรษาในปี พ.ศ.2459  โดยสร้างขึ้นเป็นที่พักสงฆ์  ขึ้นอยู่รอบหนองน้ำที่ล้อมรอบไปด้วยต้นสะแก(ปัจจุบันขุดเป็นสระน้ำอยู่ทางทิศเหนือของวัด) จึงเรียกกันติดปากว่า  วัดหนองสะแก  
   ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2463 ได้รับอนุญาตจากทางราชการประกาศใช้เป็นวัดชื่อว่า  วัดคูเมือง เหตุที่เรียกว่า  วัดคูเมือง  สันนิษฐานว่าวัดตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณคันคูเมือง  ซี่งเป็นเมืองเก่าสมัยทราวดี  ปัจจุบันเป็นที่รกร้างว่างเปล่า  ไม่สามารถถากถางได้และเป็นที่สาธารณประโยชน์  เจ้าอาวาสตามลำดับมีดังต่อไปนี้
   1.พระใบฎีกาสด  หรือ หลวงพ่อสด  ธมมธโร
   2.พระอาจารย์พง  
   3.พระอาจารย์ออม
   4.พระอาจารย์ประทุม
   5.พระอธิการทองดีรักขิตตญาโน
   6.พระอาจารย์มนัส   กิตติสาโร  รักษาการเจ้าอาวาสตั้งแต่  2531  จนถึงปัจจุบันได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสตั้งแต่  พ.ศ.2537  จนถึงปัจจุบันต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ พระครู  อุทิตกิตติสาร
   วัดคูเมือง(หนองสะแก)  ตั้งอยู่เลขที่ 7 บ้านหนองสะแก  หมู่ที่ 8  ต.หนองไผ่  อ.หนองขาหย่าง  จ.อุทัยธานี  สังกัดมหานิกาย  มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่  32  ไร่  1  งาน  10  ตารางวา

หลวงพ่อสด หนองสะแก
หลวงพ่อท่านเป็นคนมีอุปนิสัยใจคอเยือกเย็นอ่อนโยน มีเมตตา สงเคราะห์คนทุกชนทุกชั้น อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่ได้เลือกยากดีมีจน ตลอดชีวิตของท่านยังไม่มีลูกศิษย์ท่านคนไหนเห็นท่านแสดงอาการโกรธให้เห็นเลย เว้นเสียแต่อารมณ์เสียเล็กๆน้อยๆบ้างเป็นครั้งคราว ประเดี๋ยวท่านก็กลับมายิ้มละไมเหมือนเช่นเดิม
เรื่องการปฏิสันถารพูดคุยนั้น หลวงพ่อท่านเป็นคนที่ระมัดระวังคำพูดเป็นที่สุด มักจะพูดส่งเสริมไปในทางที่ดี เป็นที่เล่าขานกันว่าหลวงพ่อท่านเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์เป็นสำคัญ คำพูดคำจาของท่านจะอ่อนหวานน่าฟังเป็นยิ่งนัก ท่านจะเรียกแทนตัวท่านว่า “ฉัน”บ้าง “อาตมา”บ้าง และลงท้ายประโยคด้วยคำว่า “จ๊ะ”เสมอ และมีปกติอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นที่สุด ผู้ที่มาแสวงหาของศักดิ์สิทธิ์ท่านก็มักจะโบ้ยให้ไปหาหลวงพ่อพลอยสิ หลวงพ่อจูสิ
 หลวงพ่อท่านถือการครองผ้าสามผืนอยู่เป็นประจำสบง จีวร สังฆาฏิ ไม่เคยออกจากตัวท่าน เว้นเสียแต่เมื่อท่านจะพักผ่อนอิริยาบถบ้างเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ท่านตื่นแต่เช้าตรู่ ไหว้พระสวดมนต์ของท่านเสร็จแล้วทุกตี 5 ท่านจะตีระฆังเป็นสัญญาณปลุกพระลูกวัดให้ทำวัตรสวดมนต์
     หลังจากฉันเพลแล้ว หลวงพ่อจะเข้าพักผ่อนในกุฏิของท่าน และท่านจะสั่งห้ามมิให้ใครเข้ามารบกวนเป็นอันขาด ซึ่งท่านจะใช้เวลาที่อยู่ในกุฏินานถึงคราวละ ๓ - ๔ ชั่วโมงเลยทีเดียว เนื่องจากช่วงเที่ยงจนถึงบ่ายๆเป็นช่วงที่ในกุฏิของท่านจะมีอากาศร้อนอบอ้าว จึงเข้าใจว่าไม่น่าจะเป็นการจำวัด ท่านคงจะใช้ช่วงเวลาดังกล่าวเจริญกรรมฐาน หรือทำอะไรที่เป็นการเฉพาะตนเสียมากกว่า
การปลุกเสกเลขยันต์ของท่านท่านจะทำของท่านคนเดียวภายในกุฏิ ส่วนใครที่จะมารับของไปท่านก็จะเสกให้อีกครั้งเสมอ ท่านเสกท่านทำด้วยความประณีตตั้งใจทุกครั้ง  
   งานวัดที่มีการละเล่นต่างๆมาช่วยงานท่านกับอย่างเนืองแน่น โดยเฉพาะลิเกต่างมากันมากชนิดที่ว่าสร้างเวทีให้ไม่ทัน คณะลิเกที่มาเหล่านั้นไม่ได้คิดค่าจ้างตอบแทนแต่อย่างใด ปารถนาแต่เพียงแป้งเสกของหลวงพ่อท่านเท่านั้น แป้งเสกของหลวงพ่อมีชื่อมาก เจ๊กในตลาดอุทัยฯขายของไม่ดี หลวงพ่อท่านให้ผ้ายันต์กับแป้งเสกพร้อมทั้งวิธีใช้ให้ไป ปรากฏว่า ขายดีขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตาจนกระทั่งก่อร่างสร้างตัวได้อย่างมั่นคง
ลิเกที่มาทำการแสดงในงานวัดนั้น มีอยู่คณะหนึ่งแสดงเป็นเทวดาจึงต้องโรยตัวลงมาจากต้นไม้ให้เหมือนกับเทวดาเหาะลงมาจากสวรรค์ แล้วเกิดพลาดท่าตกจากยอดไม้สูงกระแทกลงพื้นอย่างแรง ก็ไม่ปรากฏว่าจะได้รับบาดเจ็บแต่อย่างไรเลย ยังลุกขึ้นมาปัดฝุ่นแล้วยังคงทำการแสดงต่อไปได้ตามปกติ
   สมัยก่อนงานวัดหนองสะแกเป็นงานวัดที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ เพราะมีการละเล่นและมหรสพต่างๆมากมาย ถึงแม้จะมีปริมาณคนที่มาท่องเที่ยวมากแค่ไหน แต่ก็ปรากฏว่าตลอดงานเหตุการณ์เป็นปกติเรียบร้อยดี ไม่มีนักเลงหรืออันธพาลก๊กไหนก่อเรื่อง ด้วยเกรงในบารมีท่าน ในสมัยนั้นหากวัดไหนจะจัดงานใหญ่ก็มักจะนิมนต์ท่านหรือไม่ก็ หลวงปู่พลอย วัดห้วยขานาง หลวงพ่อจู วัดดอนกลอย เพราะชาวบ้านให้ความเคารพนับถือและเกรงบารมีประกาศิตของหลวงพ่อแต่ละท่านเป็นนักหนา นักเลงในสมัยนั้นไม่ค่อยยอมลงต่อตำรวจ แต่ถ้าเป็นหลวงพ่อแล้ว เพียงแค่ท่านฉายไฟฉายกราดออกไป แล้วโบกมือบอก “นั่งลง นั่งลงกันซิลูก”ฝูงชนเหล่านั้นก็ราวกับว่าต้นข้าวที่ถูกไม้นาบ นั่งราบกันไปตามแสงไฟอย่างสงบเรียบร้อย
   มีอยู่คราวหนึ่งพวกโจรใจบาปบุกปล้นเงินวัดในตู้บริจาคเพราะในสมัยนั้นวัดหนองสะแก ถือว่าเป็นวัดที่มีลูกศิษย์ลูกหาผู้อุปถัมภ์ค้ำจุนมากมาย ทำให้เงินบริจาคมีมาก พวกโจรมาด้วยกัน ๕ คนพร้อมอาวุธปืน ๒ กระบอก พวกโจรมันยิงท่านไม่ออกก็เลยใช้ด้ามปืนตีหลวงพ่อ ส่วนหลวงพ่อก็ใช้มีดหมอที่วางอยู่บริเวณที่ท่านนั่งรับแขก ริดเอาปืนออกจากมือโจรได้ไว้ทั้ง ๒ กระบอก
   มีญาติโยมท่านหนึ่งมาขอให้หลวงพ่อดูว่าพ่อของเขาที่กำลังป่วยหนักจะมีทางรอดหรือไม่ หลวงพ่อท่านใช้วิธีแปลกๆกล่าวคือท่านนั่งขัดสมาธิแล้วใช้มือทั้ง ๒ ข้าง ประสานเข้าหากัน โดยใช้นิ้วมือสอดเข้าไปในช่องระหว่างนิ้ว คล้ายกับนั่งทำสมาธิ แล้วให้ผู้เป็นลูกซึ่งเป็นชายฉกรรจ์ ๒ คนช่วยกันดึงมือของหลวงพ่อให้ออกจากกัน คล้ายกับว่าเป็นการเสี่ยงทายคือถ้าสามารถดึงมือหลวงพ่อให้แยกออกจากกันได้ก็แสดงรอด แต่ถ้าดึงไม่ออกก็แสดงว่าถึงเวลาของเขาแล้วหมดวิธีการช่วยเหลือ เป็นเรื่องแปลกที่ชายฉกรรจ์ทั้ง ๒ คนถึงแม้จะออกแรงดึงสักเพียงไหนก็ไม่สามารถดึงมือเล็กๆของคนแก่อย่างหลวงพ่อออกจากกันได้ เป็นอันว่าพ่อของบุคคลทั้ง ๒ คงถึงเวลาสิ้นบุญเพียงเท่านั้น และก็ปรากฏว่าเป็นจริงตามการเสี่ยงทายของหลวงพ่อไม่มีผิดเพี้ยน
   บางวันในขณะที่พักผ่อนกันอยู่ จู่ๆหลวงพ่อก็เรียกพระลูกวัดให้มาช่วยกันจัดเตรียมสถานที่คล้ายกับว่าจะมีแขกผู้ใหญ่มาเยือน แต่เมื่อทำการจัดเตรียมตามที่หลวงพ่อสั่งเสร็จแล้วไม่นานนักก็ปรากฏว่ามีคณะศรัทธาจากแดนไกลบ้าง พวกคหบดีบ้าง หรือไม่ก็เป็นพระผู้ใหญ่บ้างเดินทางมาหาท่านจริงๆ โดยไม่ได้มีการนัดหมายล่วงหน้าไว้แต่อย่างใด เป็นคุณธรรมที่น่าอัศจรรย์ใจอีกประการหนึ่งของท่าน
   หลวงพ่อท่านไม่ชอบพวกขี้เหล้าเมายา พวกผีการพนัน และอบายมุขทุกชนิดท่านมักจะกำชับสั่งสอนชาวบ้านอยู่เสมอว่าถ้าปารถนาความสุข ความเจริญแล้วอย่าเข้าไปข้องแวะกับสิ่งเหล่านี้เป็นอันขาด การแจกวัตถุมงคลของท่านก็มีกุศโลบายในด้านการส่งเสริมจริยธรรมไปในตัวอีกด้วย เพราะทุกครั้งที่ท่านแจกพระของท่านออกไปก็จะมีเงื่อนไขเป็นข้อห้ามที่เกี่ยวกับศีลธรรมและอบายมุขต่างๆนั่นเอง
   เวลาพระจะมาสึก ในการทำน้ำมนต์ในแต่ละครั้งของท่าน ท่านจะตั้งใจทำให้ทีละองค์ เสร็จไปองค์หนึ่งท่านก็จะทำให้กับองค์ใหม่อีกครั้ง ระยะเวลาในการทำแต่ละครั้งร่วมครึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว เวลารดท่านจะให้ตั้งใจอธิษฐานให้ดีปารถนาอย่างใดก็ให้เอาเสียอย่างหนึ่ง ซึ่งก็ปรากฎผลว่าเมื่อสึกหาลาเพศไปแล้วก็สมประสงค์ตามคำอธิษฐานทุกท่านไป ด้วยเหตุนี้ในสมัยนั้นไม่ว่าใครจะบวชกับอุปัฌชาย์องค์ใด แต่ว่าเมื่อถึงเวลาสึกก็มักจะมาสึกกับหลวงพ่อสด วัดหนองสะแก และไม่ใช่แค่เพียงในพื้นที่จังหวัดอุทัยฯ ชัยนาท เท่านั้น พื้นที่รอบนอกที่ได้ยินกิตติศัพท์ของท่านก็มักจะด้นดั้นมาสึกกับท่านด้วย ถึงกับต้องมานอนพักค้างอ้างแรมเพื่อที่จะรอฤกษ์สึกก็มีอยู่ไม่น้อยในแต่ละวัน ท่านจึงกลายเป็นผู้ที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมายในจังหวัดต่างๆ

ออฟไลน์ ฝุ่นดิน

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 2
  • กระทู้: 668
  • พลังน้ำใจ 2
  • ฝุ่นดินท้องถิ่นนิยม 084-7208460
เที่ยวชมวัตถุมงคลพระท้องถิ่นสายอุทัย+ชัยนาท โดยเฉพาะหลวงพ่อสด วัดหนองสะแกได้ตามลิงค์นี้ครับ
http://www.web-pra.com/Shop/foondin

ออฟไลน์ ฝุ่นดิน

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 2
  • กระทู้: 668
  • พลังน้ำใจ 2
  • ฝุ่นดินท้องถิ่นนิยม 084-7208460
มาว่ากันด้วยภาควัตถุมงคลบ้างครับ เริ่มจากเหรียญเสมารุ่นแรกปี 2504 รุ่นนี้มี่ทั้งหมด 3 แบบครับกล่าวคือ
  1.เหรียญกะไหล่ทองตัดห่วง แจกกรรมการ
  2.เหรียญธรรมดาไม่ตัดห่วงกะไหล่ทอง
  3.เหรียญธรรมดาไม่ตัดห่วงรมดำ
  ส่วนปริมาณการสร้างของแต่ละรุ่นนั้นไม่สามารถระบุได้ ณ ตอนนี้เนื่องจากยังไม่มีพยานวัตถุหรือพยานบุคคลที่สามารถอ้างอิงได้ ส่วนที่ว่ากันไม่กี่ร้อยองค์ หรือแค่พันองค์นั้น ผู้เขียนเห็นว่าจะไม่น่าจะคุ้มค่าจ้างในการจัดทำ และไม่พอแก่การแจกจ่ายด้วยซ้ำ ทำทั้งทีก็ต้องมีปริมาณที่พอสมควรแหละครับ ไม่ใช่ยุคก่อน2500ซึ่งนั่นอาจจะเป็นได้ที่สร้างน้อยเพราะเทคโนโลยียังไม่เอื้อเท่าไร แต่ยุคหลัง 2500 ถ้าโลหะที่เป็นเนื้อธรรมดาทั่วไป เรื่องปริมาณไม่น่าจะเป็นข้อจำกัดนะครับ ที่ระบุปริมาณการสร้างน้อยๆเห็นว่าจะเอาหลักอุปทาน อุปสงค์มาเล่นแง่ให้แพงกันซะงั้น บารมีหลวงพ่อคงไม่ต้องเอาปริมาณมาเป็นตัวช่วย อาศัยประสบการณ์จริงที่เล่ากันปากต่อปากก็มากพอที่จะทำให้วัตถุมงคลของท่านเป็นที่ต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ออฟไลน์ ฝุ่นดิน

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 2
  • กระทู้: 668
  • พลังน้ำใจ 2
  • ฝุ่นดินท้องถิ่นนิยม 084-7208460
ธรรมดารมดำ

ออฟไลน์ ฝุ่นดิน

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 2
  • กระทู้: 668
  • พลังน้ำใจ 2
  • ฝุ่นดินท้องถิ่นนิยม 084-7208460
ตามมาด้วย ธรรมดากะไหล่ทอง
   ทั้งรมดำและกะไหล่ทอง ถ้ามีห่วงสำหรับแขวนแล้วทุกเหรียญเท่าที่พบเป็นอันต้องสึกไม่มากก็น้อย แต่นั่นก็แสดงให้เห็นถึงความนิยมศรัทธาในบารมีขององค์ท่านเป็นอย่างดี ได้ไปแล้วก็นำไปแขวนบูชาติดตัวกันอย่างโชกโชน

กระดานสนทนาเว็บไซต์ ศิษย์หลวงพ่อกวย


 


Facebook Comments