ผู้เขียน หัวข้อ: อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินธโร ตอนที่ 8  (อ่าน 6531 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ชูศักดิ์

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 29
  • พลังน้ำใจ 0
                                 ..."หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร พระอริยสงฆ์แห่งแดนคนจริง"....
            ..พระพุทธเจ้าทั้งปวง พระธรรมทั้งปวง พระอริยสงฆ์ทั้งปวง พระรัตนไตยทั้งสามนี้ ทรงพระคุณอันหาประมาณมิได้ ชั่วฟ้า จรดดิน สิ้นจักรวาล สิ้นอสงไขย ตราบทั่วทั้งในหมื่นโลกะธาตุกับทั้งแสนจักรวาลพิภพนี้นั้น จะหาผู้หนึ่งผู้ใด อันพ้นจากความตายนั้นไม่มี ปฐวี อาโป วาโย เตโช ธาตุ หลอมรวมกันเป็นอัตภาพ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดาอยู่ภายใต้กฏแห่งไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีความยั่งยืน ไม่มีความเที่ยงแท้ หาความแน่นอนไปไม่ได้ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกรูปทุกนาม เกิดขึ้นเท่าใด ล้วน"ตาย"หมดเท่านั้น ผู้ใดทำดี ย่อมได้รับผลแห่งความดี ผู้ใดทำชั่ว ย่อมได้รับผลของความชั่ว "กัมมุนา วัตตตี โลโก" สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมแล.
                                           ...."เกิ่นที่มาที่ไปของการบวช"...
           เรื่องก็มีอยู่ว่า ตอนที่ข้าพเจ้าบวชเรียนอยู่นั้น วัดของข้าพเจ้าถึงจะเป็นวัดประจำอำเภอก็จริง แต่บางปีก็มีพระอยู่ประจำไม่มากเท่าใดนัก พอดีมีอยู่วันหนึ่งเขามีศพมาเผาที่วัด เป็นศพของข้าราชการมีระดับคนหนึ่งในท้องที่ ทางเจ้าภาพเขาก็เลยนิมนต์พระทุกวัดที่อยู่แถวไกล้ๆให้มารวม"มาติกา"กัน รู้สึกว่าวั้นนั้นจะมีพระประมาณ 60 รูปเห็นจะได้(ไม่รวมสามเณร)วันนั้นพอดียังไม่ทันเวลาเพล(เวลากินข้าวของพระมื้อเที่ยง)ทางเจ้าภาพก้ได้มีการเลี้ยงพระกันเสียก่อนเวลา ตอนนั้นก็สัก 10 โมงครึ่ง เห็นจะได้ ก้ได้ความว่า วันนั้นก่อนที่ข้าพเจ้าจะไปฉันเพล ข้าพเจ้าก็ได้ไปนวดถวายท่านเจ้าอาวาสของวัด"มหานิกาย"ก่อน เพราะพอดีรู้จักสนิทสนมกับท่าน มาตั้งแต่สมัยที่ข้าพเจ้ายังไม่ได้บวชเป็นพระ (ท่านจองตัวข้าพเจ้าเอาไว้ให้ไปบวชอยู่กับท่าน)แต่พอดี ข้าพเจ้าพิจารณาดูแล้วว่า จะไม่ค่อยสะดวกที่จะมาโปรดโยมพ่อ กับโยมแม่(บิณฑบาตร)ข้าพเจ้าก็เลยตัดสินใจบวชอยู่ที่วัดไกล้ๆบ้านของข้าพเจ้าแทน(ดี ที่ข้าพเจ้าไม่ได้ไปให้สัญญากับท่านเจ้าอาวาสมหานิกายเอาไว้) วันนั้นขณะนวดถวายท่านก้ได้มีโอกาสอธิบายให้ท่านทราบ บอกท่านไปตรงๆ ท่านก้ไม่ได้ว่าอะไรมาก เพียงแต่ท่านพูดว่าเสียดายข้าพเจ้า เพราเท่านชอบ อุปนิสัยใจคอของข้าพเจ้า ว่าเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย เห็นมาตั้งแต่เด็กๆ พอดีได้เวลาฉันเพล พอดี ข้าพเจ้าก็เลยขออนุญาติท่านไปที่ ทางโยมเจ้าภาพได้จัดเตรียมไว้..                       
                                                       ..."พบหลวงพ่อ สะดือ จุ่น"...
           ที่นี้ขณะที่ข้าพเจ้า กำลังเดินไปยังที่ฉันอยู่นั้นเอง อยู่สายตาของข้าพเจ้า ก้พลัยไปเห็นพระรูปหนึ่งรูปร่างอ้วนมากๆพระรูนั้นมีรอยสักอยู่เต็มตัว ท่าทางโวกเวกเสียงดัง ปากหนักแถมยัง โล่ๆยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก ดูเพิ้น ๆเหมือนเป็นพระไม่สำรวม ชอบกลนัก กำลังนั้งฉันอยู่ก่อน แต่อยู่ลึกๆภายในใจของข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่า เอ้!!!!พระองค์นี้ไม่ธรรมดานะ แววตาท่านบ่งบอกถึงความมีดีอยู่ในตัว แบบของจริง(ความรู้สึก)ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ไปคิดลบหลู่อะไรท่านหรอก และก็มั่นใจด้วยว่า ท่านนี้ เก่ง กว่าเกจิ อาจารย์ดังๆบางองค์เสียด้วยซ้ำ ข้าพเจ้าก้มองไป พลันในใจก็ตลกนิดๆ ว่าพระองค์นี้แปลกดี สักพัก เอาเลย!พอสิ้นความคิดเท่านั้นล่ะ ท่านหันมาเฉยเลย แล้วท่านทำยังไงต่อรู้ใหม พี่ๆน้องๆ ท่านยกจานข้าวของท่านขึ้นแล้ว หันมาทางข้าพเจ้า  เสร็จท่านก็สั่งน้ำมูกของท่านเสียงดังฟังชัด(แรงมากชนิดว่าหมดแม็ค) แล้วยังไม่พอโถ่มทั้งสะเลดปนน้ำลายเหนียวๆเขียวๆ ลงไปในจานข้าวของท่าน ชนิดที่พระๆที่นั้งฉันอยู่ อึ้งไปตามๆกันเลย พอเสร็จกิจเรีบยร้อยแล้ว ท่านก็ใช้ช้อนคลุกไปคลุกมาจนเข้ากัน แล้วท่านก็ฉันไปต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เล่นเอา วงงี้แตกเลยซิครับ!ตอนนนั้น ข้าพเจ้าก็นึกตกใจเหมือนกันว่า เฮ้ย!แค่นี้ไม่เห็นต้องประชดกันขนาดนั้นเลยนะท่าน ข้าพเจ้ากล้าเล่าให้พี่ๆน้องฟังได้เต็มปากเลยว่า เกจิสมัยนี้บางองค์(บางองค์จริงๆ) ความเข็มขลัง บางที่อาจจะสู้พระที่ไม่เด่นไม่ดัง ก็ยังมีอยู่มาก และหนึ่งในสถานที่ๆมีอาจารย์ดีซ้อนอยู่มากก็เห็นจะเป็นป่าแถวๆชายแดนระหว่าพม่ากับไทย จะมีผู้มีวิชาอาคมแก่กล้า บางองค์อยู่แต่ในถ้ำ ไม่ฉันข้าวเป็นเดือนๆเลยก็มี อยู่ด้วยอำนาจแห่ง พุทธนุภาพ พระธรรมมานุภาพ และพระสังฆานุภาพ ข้าพเจ้าเมื่อได้เห็นดังนั้น ก้รับรู้ได้ทันทีเลยว่า วันนี้ได้พบคนจริงเข้าเสียแล้ว แค่คิดนะ นี่ข้าพเจ้าแค่คิดว่าท่านตลกๆเท่านั้น เอาซิ!!แล้วข้าพเจ้าจึงกัดฟันพร้อมทั้งเม้ม ลิมฝีปากเล็กน้อย แล้วก้จองไปยังพระองค์นั้น พร้อมกับ ระลึกถึง บารมี ของ "หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร"พ่อของพวกเรา ว่าหลวงพ่อครับวันนี้ลูกเจอคนจริงเข้าซะแล้ว(อยู่ๆใจมันฮึกเฮิมเลย) แต่ทันใดนั้น พระอ้วนๆองค์นั้นท่านก้ได้แสดงอากับกิริยาอาการ เช่นเดียวกัยที่ข้าพเจ้า เช่นเดียวกัน แล้วก้มองมายังข้าพเจ้า แถมยังหัวเราะในลำคอ เสียงดัง ฮึๆเท่าทีเห้นพระองค์ อื่นเขาก้นั่ง พับเพียบ กันดีๆ แต่พระองค้นี้ไม่ยังงั้น ท่านล้อนั่งขัดสมาธิเพรชอยู่ตลอดเยเลย เอาซิ!!!(ปวดขาแทนท่านเลย)...
                                 ...."เจ้าตำหรับแห่งปฐมยันต์ลือเรื่องระบือนาม นะ ฤา ชา"...
               ก็ได้ความมาว่า ที่มาที่ไปของพระองค์นั้น ก็คือ ท่านเจ้าอาวาสวัด"มหานิกาย" องค์ที่ข้าพเจ้าไปนวด ท่านได้ไปนิมนต์มาธุระอะไรสักอย่าง(พอดีออกพรรษาแล้ว) นัยว่าท่านเป็นลูกศิษย์ของ"หลวงพ่อ สำเนียง อยู่สถาพร"ปรำมาจารย์เกจิ อันเรืองวิทยาคม ลำดับต้นๆองค์หนึ่งแห่งเมืองนครปฐมเจดีย์ สำเร็จวิชา "นะ ฤา ชา" วิชาแห่งเมตตามหานิยม ที่เป็นที่กล่าวขานกันว่า เป็นวิชาที่สุดยอดวิชาหนึ่งเลยทีเดียว เมื่อข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมาดังนั้น ก็ตื่นเต้นขึ้นมาเลย เพราะข้าพเจ้าเข้าใจดีอยู่อย่างหนึ่งว่า ของบางอย่างของดีก็ไม่จำเป็นที่จะต้องดังเสมอไป และของดังไม่ได้แปลว่าจะดีกว่าของไม่ดัง เช่นกัน บางทีของพวกนี้จะขึ้นอยู่กัยนิสัยใจคอของคนแต่ละคนด้วย ถ้าเลือกเรียนแบบผิดจริต ของตัวเอง ก็อาจสามารถ ดับอุปนิสัยแห่งการ สำเร็จวิชาของคนๆนั้นได้เลยที่เดียว  อันนี้เรื่องจริงไม่อิงนิยาย เรียนให้รู้จริงอย่างใดต้องอย่างหนึ่งไป เอาแบบให้แจ่มแจ้งให้ได้เสียก่อน ถึงจะถูกต้อง ตามหลักโบราณคนาจารย์ เอา!เข้าเรื่องกันต่อ!วันนั้น หลังจากที่"มาติกา"กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระทั้งหลายก็ต่างพากันโยกย้ายกันกลับวัดกัน ต่างองค์ก้ต่างไป อยู่ต่อมาไม่นาน ข้าพเจ้าก้ได้ยินเสียงร่ำลือของคุณโยมๆชาวบ้านว่า มีอาจารย์ขมังเวทมาพักอยู่ที่วัดในต่างหมู่บ้าน ท่านจะมาช่วยสร้างโบสให้ แถมยังดูดวงแม่นมาก เสียด้วย แต่ที่ข้าพเจ้ารู้ๆมาข้าพเจ้าว่าท่านไม่ได้ดูดวงหรอกนะ น่าจะมองมากกว่า มองดูเลย สรุปว่า ชะลอย จะเป็นพระองค์นั้น หรือไร จึงสอบถามโยมๆก็ได้ความว่า ใช่ท่านจริงๆ. ทีนี้พอดีอยู่ต่อมา ก็เกิดเรื่อเข้าจนได้ แบบว่าโลกมันกลม หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ  พอดีมันมีอยู่วันหนึ่งมีโยมเขามานิมนต์พระไปฉันเพลที่บ้าน 9 รูป เขามานิมนต์ที่บ้านของข้าพเจ้า 4 รูปแล้วก็ไปนิมนต์วัดอื่นด้วยที่แถวๆบ้านของข้าพเจ้านั้น บางงานจะนิมนต์กันอย่างนี้ ตรงนี้ไม่มีปัญหาเพราะร่วมกิจกรรมกันได้ ยกเว้นลงอุโบส (ไม่รู้ทำใมเหมือนกัน)ก็ได้ความว่า ข้าพเจ้าได้ไปงานเดียวกับพระองค์นั้นด้วย พอข้าพเจ้าเจอท่าน ข้าพเจ้า ก็เฉยๆตามแบบอย่างแห่งครูบาร์อาจารย์เรา เรานี้ศิษย์มีครูมีอาจารย์ จึงไม่ลงให้ใครในเรื่องวิชาและจิต คิดอยู่เสมอว่าวิชาของหลวงพ่อเราไม่ว่าจะบทใหนก็ตามถ้าใครเรียนจริง ตั้งใจจริง เคารพศรัทธาจนหมดหัวใจ ปาฏิหารจะเกิดกับคนๆนั้นอย่างแน่นอน เพราะลูกของหลวงพ่อทุกคน หากเพียงเอ่ยชื่อและ ฉายาของท่าน ท่านย่อมรู้ ย่อมเห็น ย่อมปกปักรักษาคุ้มครอง(แต่ข้าพเจ้าไม่เก่งนะ แต่หลวงพ่อคือที่สุดแห่งจิตใจ) แต่ข้าพเจ้าก็อภิวาท อวโสภันเต ท่านไปตามปรกติ ก้ไม่ได้คิดอะไรมาก ท่านก้มองมาที่ ข้าพเจ้าเหมือนกัน เอ๊ะ!!!พระองค์อื่นข้าพเจ้าก็ไม่ได้สนใจเท่าใดนะแต่สนในองค์นี้องค์เดียว (คิดในใจ)สั่งขี้มูกใส่ข้าวแล้วกินต่อ เอ่อ แปลกดีเหมือนกัน!!!ความจริงวัดแถวๆบ้านของข้าพเจ้านั้นก็มีอยู่ด้วยกันอยู่ประมาณ 6-7 วัด ข้าพเจ้าก็รู้จักสนิท เกือบเทบทุกวัด เพราะ เวลาใด ที่ข้าพเจ้าว่างๆจากงาน ข้าพเจ้า ก็มักจะไปช่วยงานตามวัดต่างๆอยู่เสมอ ก็ปู่ ย่า ตา ยาย ข้าพเจ้า ท่านปลูกฝังกันมาอย่างนี้และข้าพเจ้าก้ชอบเสียด้วย ทำแล้วมีความสุขดี ดีกว่าไปเที่ยวเตร่ ตามสถานที่(จุดๆๆๆๆ)ไม่เอ่ยดีกว่า เพราะตรงนี้ ความคิดของคนแต่ละคนต่างกันไป ข้าพเจ้าไม่ว่ากันอยู่แล้ว เพราะเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล...
                                            ..."พระพุทธคุณแห่งสมาธิเวลาปลุกของ"...
                     ...(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเรื่องราวในตอนนี้เพราะเป็นข้อความปัจจัตตังส่วนบุคคล)....
            ที่นี้ข้าพเจ้าก็ได้ไปนั้งอยู่ ณ อาสนะสงฆ์ ท้ายสุด เรียกว่านั่งองค์สุดท้าย ประมาณนั้น ส่วนพระองคืที่เป้นลูกศิษย์ของ"หลวงพ่อ สำเนียง อยู่สถาพร"ก็นั่งถัดจาก ข้าพเจ้าไป 3 ที่นั่งอาสนะสงฆ์ พอได้ฟกษ์งามยามดีก้มี โยมเขามาอาราธณนา "วิปะติๆพาหายะ"พอจบพระเถระ ท่านก็สวด พุทธัง สรณังคัจฉามิ ธัมมัง สังฆัง ฯลฯ ว่ากันไปเรื่อย ตามลำดับ ข้าพเจ้าก็สวดไปตามปรกติ  เพราะเห็นว่าไปงานบุญ ไม่ได้ไปประลองวิชาอาคมกับใคร (ถ้าใครบวชมานานๆจะรู้ดี ตรงนี้ไม่ขออธิบาย) พอสักพักใหญ่ สำหรับข้าพเจ้าแล้วนั้น เวลาที่จะจับสายสิญเวลาสวดร่วมแล้ว กับพระหมู่มากข้าพเจ้าก็จะยกมืออธิฐาน บอกกล่าว พ่อแม่ครูบาร์อาจารย์ก่อนเสมอ หาก ณ ที่นี้จะมี พระอริยเจ้าอยู่หรือไม่ก็ตาม หากข้าพเจ้าได้มีจิตล่วง เกิน จะด้วย กาย วาจา ใจ ก็ดี ข้าพเจ้าก็ขอขมาท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยเทอญ เพราะกันไว้ก่อนจะดีกว่า บาปก็ส่วน บาป คาถาอาคมก็คนละส่วน เกิดเผลอไปปรามาส พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พรอรหันต์ ที่ไม่ได้ทรงฌาณ ขึ้นมา เดี๋ยวตกนรกกันพอดี เข้าเรื่องต่อ!ก็ได้ความว่า ผ่านไปหลายบทอยู่ แต่ทันใดนั้นเองพอพระทั้งหลายกำลังจะขึ้นบทพาหุงฯ เท่านั้นล่ะ โอ้โอ้!!เล่นเอาข้าพเจ้างี้ สะดุ้งเลย ปรากฏว่ามีกระแสคล้ายไฟฟ้าอ่อนๆ วิ่งเข้ามาปะทะกลางฝ่ามือของข้าพเจ้า!ในใจก้ผุด ขึ้นมาทันทีเลยว่า ใครมันมาปลุกของตอนนี้น่ะ!แต่สำหรับตัวของข้าพเจ้านี้ เรื่องที่เกิดขึ้นกลับไม่ได้ถือว่าเป้นเรื่องที่แปลกมากมายอะไรเลย เพราะข้าพเจ้ารู้ดีว่าเรื่อง ของจิตนั้นย่อมมีอานุภาพของแต่ล่ะบุคคลไม่เหมือนกัน บางคน มีพระสวรรค์ทางปลุกเศกเลขยันต์ บางคนมีพรสวรรค์ทาง หูทิพย์ตาทิพย์(ฝรั่งเซ็กเซ้น)บางคน หยั่งรู้อดีตชาติได้ หรือบางคน ไปสวรรค์ไปนรกได้ เรื่องนี้ขออนุญาติไม่อธิบาย เพราะเรื่องราวในตอนนี้จะเกิ่นถึง อภินิหารแห่งความศักดิ์สิทธิ์ในบารมีขององค์ "หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร"ที่แผ่ปกปักรักษา ลูกของท่านทุกๆคน มาเข้าเรื่องต่อกันดีกว่า...
                                           ...."สำรวมจิตให้ก่อตัว"...
                ที่นี้เมื่อข้าพเจ้าได้หันไป เพื่อมองดูถึงที่มาที่ไป จึงทราบว่าพระองค์นั้นกำลังสำรวมจิตอยู่  ก็เลยถึงบางอ้อ!แถมยังวิ่งเข้ามายังตัวของข้าพเจ้าจนขนลุกขนชัน ไปหมด เมื่อข้าพเจ้ารู้ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้หลับตาลงสำรวมจิตเช่นกัน แล้วกล่าวนะโม 3 จบตามด้วย ตะมังถัง ปะกาเสนโตฯ ระลึกถึงหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร"บอกกล่าวอัญเชิญขอบารมีของหลวงพ่อ พร้อมทั้งภาวนาคาถา"พุทโธกัญจะ"ไปเลื่อยๆ จนรู้สึกและสำคัญตนว่า จิตเริ่มก่อตัวเป็นวงรี ลอยอยู่ณ บริเวร เหนือสะดือ (จิตนี้เรียกว่า สมาธิขั้นหยาบ) จากนั้นข้าพเจ้าได้ทำการอธิฐาน ให้จิตเคลื่อนไปยังใจกลางฝ่ามือ และข้าพเจ้าได้ก็สำคัญตนว่า จิตได้เคลื่อนมายังกลางฝ่ามือแล้ว การที่ข้าพเจ้า ได้อุปมาให้ฟังเช่นนี้ ก็ด้วยว่าอาศัยกำลังแห่ง พ่อแม่ครูบาร์อาจารย์ ขอบารมีท่านให้ช่วยมาสงเคราะห์ จะเป็นตัวอุปปาทานหรืออย่างไรในเรื่องของจิต (เพราะเป็นปัตจัตตัง)แต่ทุกขณะที่ข้าพเจ้า กำหนดจิตนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าตัวเองจะวิเศษวิโส อะไรเลย ที่เก่ง ที่ดี ที่สุดคือ พระรัตนตรัย กับพร้อมด้วย บารมีของครูบาร์อาจารย์ นั้นก็คือ "หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร" พ่อของพวกเรานั้นเอง และเมื่อ ข้าพเจ้าสำรวมจิตในเวลานั้นพร้อมแล้ว ข้าพเจ้าก็ระลึกถึงหลวงพ่อ แล้วก็เป่า พรวด ลงไปบนสายสิญ  แต่ทุกวันนี้ก้ยังสงสัยอยูไม่หาย จะว่าเป่าแรงไปหรือยังไงก็ไม่ทราบ อยู่พระอาวุโส(ท่านนี้เรียนกรรมฐานมากับหลวงพ่อ สด วัดปากน้ำ) ที่อยู่หน้าสุดท่านก็ท่านก็ลืมตาขึ้นหันมามองทางข้าพเจ้าแล้วท่านก็ ทำปากขมุบขมิบ เหมือนประหนึ่งว่า บ่นอะไรของท่านอยู่ ข้าพเจ้าก็ เลยคิดไปเองว่าสงสัยจะ เป่าแรงไปหน่อย รู้ใหมครับ พี่ๆน้องๆ พระองค์ที่เป็น ลูกศิษย์ของ"หลวงพ่อ สำเนียง อยู่สถาพร"ท่านหันมามองแล้วทำยังไง ท่านทำตาหรี่ๆ เหมือนจะตลกๆข้าพเจ้า เอ๋อ!!สรุปว่าวันนั้น พอสวดจบ จะกับวัดเท่านั้นล่ะ พระเถระองค์ ที่เอยู่หน้าแถว ท่านก็พูดขึ้นลอยๆว่า "ท่านทำอะไรกัน"แล้วท่านก็เดินกลับไป พระสายปฏิบัติล่ะนะ ข้าพเจ้าเข้าใจไม่ถูกหรอก แต่ท่านก็มีลูกศิษย์เยอะนะ เต็มเลย เพราะท่านสอน วิชาสายธรรมกาย ในแบบที่ท่านเรียนมาจาก หลวงพ่อ สด วัดปากน้ำ   ประมาณนั้น.
                                            ....ไปเที่ยวต่างวัดเลยเข้าใจ"....
                  แต่ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะกลับวัดสักหน่อย หลวงพ่อ ที่เป็น เจ้าอาวาสวัด ที่ลูกศิษยื ของ"หลวงพ่อ สำเนียง อยู่สถาพร" อยู่ ท่านก็มานิมนต์ให้ข้าพเจ้า ไปเที่ยววัดของท่านก็เลย ไม่กล้าขัดท่านพอไปถึงวัดนั้น ข้าพเจ้าก้ได้ไปนั่งคุยอยู่บนกฏิของท่านเจ้าอาวาส คุยกันอยูหลายเรื่อง  จนนึกสงสัยขึ้นได้ว่าพระองค์ที่ ท่านเจ้าอาวาสนิมนต์มานั้นท่าน พักอยุ่ที่ใหน ก็ได้ความว่า ท่านพักอยู่ในป่าช้าข้างวัด ก็นึกยังไงไม่รู้ ก็เลยเดินไปเที่ยวหาท่าน พอไปถึงก็กราบท่าน แล้วถามว่า"หลวงพ่อ ชื่ออะไรครับ"ท่านก้ควักสะดือออกมาให้ดูโอโอ้!!อุบะ พอกับลูกจันทร์เลยแฮะ!lสรุปว่าท่านก็ไม่ยอมบอกชื่อ แต่ท่านให้เรียกท่านว่า "สะดือจุ่น"แทน พอดีมีโยมมาขอโชคขอลาภ ท่าน ท่านก้ว่าไม่มี โยมก็ซักไซร้ อยู่ได้!ท่านคงนึกโมโห ยังไงหรือไม่ทราบ คว้ามีดมาได้ล่อซะเศียร "พ่อแก่" กระจาย ท่านบอกว่าบังอาจมามองหน้าท่าน เพราะกำลังคุยกับโยมอยู่ เอาซิ!!!แถมยังชี้หน้าด่าโยมที่มาขอหวยนั้นว่าให้กลับไป โยมคนนั้นจึงเดินออกมา แล้วท่านก็ตะโกนตามหลังไปว่า ตาย 3 เจ็บ 3 เข้าโรงบาล 3 โว้ย!!!สรุปว่าวันนั้นหวยออกตรงๆ 333 แสดงว่า พระองค์นี้ท่านก้มีดีพอตัวเหมือนกันวันนั้นก่อนกลับ ก็ได้คุยกับท่าน คนอื่นท่านไม่คุยด้วยเท่าไร แต่กับข้าพเจ้าท่านคุยด้วย นานเลย ท่านว่าท่านถูกใจ ข้าพเจ้าตั้งแต่แรกเห็น พอจะกลับเห็นท่านฉันยายยาจะหมด ข้าพเจ้าก็เลยถวายเงิน ค่ายายให้ท่าน (ทำบุญกับพระป่วยได้บุญเยอะดี)ท่านก็ยิ้ม คราวน่าจะเล่าเรื่องของท่าน ต่อให้ฟัง ว่าทำใมท่านถึงได้นับถือ"หลวงพ่อ กวยชุตินธโร"พ่อของพวกเรา เรื่องยาวเหมือนกัน วันนี้ขอยุติลงตอนนี้ก่อน แล้วจะมาเล่าต่อในตอนต่อไป ...
             ...ขอขอบคุณ พี่ๆน้องๆทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่านฟังเรื่องราวประสบการณ์อภินิหารรูปถ่าย "หลวงพ่อกวย ชุตินธโร" ข้าพเจ้าจะมาเล่าถ่ายทอดประสบการณ ต่อไปในตอนที่ชื่อว่า"อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินธโร"ในตอนที่ 8 ต่อไป กรายสวัสดี...
                                                                   ...ด้วยความเคารพเป็นอย่าสูง....     
                                                                   ..."คนเมืองกาญ"(บ่อพลอย)

ออฟไลน์ ชูศักดิ์

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 29
  • พลังน้ำใจ 0
Re: อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินธโร ตอนที่ 8
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 01, 2011, 04:51:07 pm »
พอดีตอนนี้เป็นตอนที 7 ครับ พิมพ์ชื่อตอนผิดไปกราบขออภัย มาณ ที่นี้ด้วยครับ
                                                              คนเมืองกาญ(บ่อพลอย)

ออฟไลน์ Mc_Tany

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 23
  • พลังน้ำใจ 0
  • "อิติ สุคโต ชุตินฺธโร นโมพุทฺธาย"
Re: อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินธโร ตอนที่ 7
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ธันวาคม 01, 2011, 06:04:36 pm »
ผมก็นึกอยู่แล้วเชียว.ว่าทำไม ต้อง 8 แต่นั่นคงไม่ใช่ประเด็นใหญ่หรอกครับ ผิดแค่นี้แก้ไขได้ ดีใจครับ..ที่กลับมา ผมมิมีสิ่งใดจะเอื้อนเอ่ยนอกจากคำว่า "ขอบคุณ ๆ และขอบคุณ" ที่วิริยะ อุตสาหะ เรียบเรียงเรื่องราวของหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร เมตตานำมาถ่ายทอดอีกครั้งหนึ่ง..
"สาธุ อนุโมทามิ"

ออฟไลน์ karyud

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 6
  • กระทู้: 773
  • พลังน้ำใจ 6
Re: อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินธโร ตอนที่ 8
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ธันวาคม 01, 2011, 09:25:32 pm »


 รออ่านตั้งนาน...ขอคุณมาก รอต่อ

ออฟไลน์ sitthiphol

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 11
  • พลังน้ำใจ 0
Re: อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินธโร ตอนที่ 8
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ธันวาคม 01, 2011, 09:54:50 pm »
ขอบคุณครับ รออ่านตอนต่อไปนะครับ
พูดน้อยสียน้อย พูดมากเสียมาก
ไม่พูดไม่เสีย นิ่งเสียโพธิสัต

กระดานสนทนาเว็บไซต์ ศิษย์หลวงพ่อกวย

Re: อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินธโร ตอนที่ 8
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ธันวาคม 01, 2011, 09:54:50 pm »

 


Facebook Comments