ผู้เขียน หัวข้อ: อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินธโร ตอนที่ 7.2  (อ่าน 6987 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ชูศักดิ์

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 29
  • พลังน้ำใจ 0
              (ต่อจาก ตอน 7.1เพราะพยัญชนะเกินกำหนด) "หลวงพ่อกวย ชุตินธโร" พระอริยสงฆ์แห่งแดนคนจริง   
                                       ..."ผี ตาจ้อย กลัวตำราของหลวงพ่อ"....
          ...ที่นี้ พอตกคืนนั้นเป็นเรื่องเลย เรื่องก็มีอยู่ว่า โดยปรกตินั้นข้าพเจ้าถึงแม้จะ ศึกสิกขาลาเพศ มาแล้วก็จริง แต่เรื่องนิสัยใจคอนั้น เรื่องการสวดมนต์ไหว้พระนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยทิ้งเลย ข้าพเจ้าทำมาโดยตลอดตั้งแต่คราวที่ป่วยหนัก อยู่ห้อง ไอซียู ของโรงพยาบาลศิริราชตั้งแต่อายุ 15 เป็นต้นมาเคยไปนรก(โปรดใช้วิจารณญาณเพราะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล) มันน่ากลัวสุดๆที่จะพรรณนาได้ แต่เรื่องโคม่า ผ่านเป็นผ่านตายนี่ ไม่ต่ำ กว่า 7 ครั้ง นอนน้ำตาใหลอยู่ในห้อง ไอซียู ตอนเด็กข้าพเจ้าชอบทำ บาปมาก เอาทุกอย่าง ยิ่งนกตกปลา สารพัด พอเจอเข้ากับตัวเอง ก็มานึกถึง ว่าโอ้หนอ เจ็บมันเป็นอย่างนี้นี้เอง ไปทำเขา เรากลัวตายจนสุดขีด เวลานั้น สัจว์ทั้งหลายที่เรา ไปทำร้ายเขา ก็คงจะเป็นเหมือนๆกันซินะ เรานี่นอน โคม่าขยับตัวก็ไม่ได้ ไม่มีใครเลยหนอที่จะช่วยเราได้ ญาติ พี่น้อง เงินทองที่มีก็ช่วยไม่ได้ ก็เลยระลึกถึง พระพุทธเจ้า ขอให้พระองค์โปรดช่วยมาเป็นที่พึ่ง แล้วก็เลยปฏิญาณ(สาบาน)ต่อมโนภาพ พระพุทธเจ้าว่าจากนี้ไป ขึ้นชื่อว่า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำร้าย รังแก หรือทำให้เขาทุกข์ทรมาณ ด้วยเจตนา ข้าพเจ้า (ชื่อ-นามสกุล)จะไม่ขอทำอีกตราบจนวันตาย นับตั้งแต่นั้นมา ก็เห็นมีหมอดู หมออะไร ต่อมิอะไรที่เขาว่า มีตาทิพย์ ทำนายข้าพเจ้าตรงกันเปียบเลยว่า จะต้องตาย แน่ๆ ชั่ว 100% ภายในอายุ 25 ปี นี่ก็เลยมา เป็น 10 ปีข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นตาย สักที .ที่ข้าพเจ้ากล่าวขึ้นมา ณ ที่นี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยกตนว่า ดีเลิศ อะไรเลย ข้าพเจ้าก็มี รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนๆกับ ปุถุชนคนทั่วไป แต่ที่กล่าวก็เพราะ จะแสดงให้เห็นว่า คุณงามความดี ในบวรพระพุทธศาสนาของเรานี้ ถ้าหากว่าใคร ตั้งใจทำจริงๆ เทวดาฟ้าดินเขาย่อมจะเห็น เขาย่อมจะช่วยเหลือ เขาย่อมจะรักษา .แต่ถึงคราวจริงก็ไม่รอดเหมือนกัน ตรงนี้ก็แล้วแต่ละบุคล ดังคำที่ท่านเจ้าประคณสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังษี ท่านสอนเอาไว้ว่า “ ลูกเอ๋ย ก่อนที่จะเข้าไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่ไปเที่ยวขอยืมเขามาจนล้นพ้นตัว.เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมดไม่มีอะไรเหลือติดตัว.แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้...แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง" ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรัษี ท่านสอนให้ เราจง"มีตนเป็นที่พึ่งแห่งตนด้วย" ว่าถึงเรื่องท่านเจ้าประคุณสมเด็จ พุฒาจารย์โต พรหมษี นั้น หลวงพ่อของพวกเรา(หลวงพ่อกวย ชุตินธโร)ก็ให้ความนับถือ พระคุณเจ้าองค์นี้มาก ครั้งหนึ่งหลวงพ่อท่านเคยไปวัดระฆังโฆษิตตาราม และท่านยังได้รับ สมเด็จวัดระฆังแท้ๆมาจาก ท่านพระเทพสิทธินายกหรือ" หลวงปู่ นาค โสภโร"แห่ง วัดระฆังโฆษิตตาราม ตรงนี้ข้าพเจ้าไม่ขอเอ่ยถึงรายละเอียดของที่มาที่ไป แต่เป็นยอมรับกันว่าหลวงปู่ นาค โสภโณ องค์นี้นั้นท่าน ไม่ใช่พระธรรมดาท่านสำเร็จพระอรหันต์สิ้นแล้วซึ่งกิเลศทั้งปวง .ความจริงเรื่องของพระสายปฏิบัติ กับเรื่องของพระสายวิชาอาคมนั้น มีหลายคนที่ยังเข้าใจคาดเคลื่อนอยู่มาก แท้จริงแล้ว เรื่องของจริตนั้นเป้นของแต่ละบุคล แต่มันขึ้นอยู่ที่ว่า ท่านแต่ละองคืนั้นมีจุดมุ่งหมายอย่างไร หลวงปู่ดู่ ท่านก็ปรารถนาเป็น พระพุทธเจ้า แต่วิชาอาคมท่านก็เรียนไว้สงเคราะห์ญาติโยม ครูบาร์ศรีวิชัย ท่านก็ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า แถมเมื่อครั้งหลวงปู่ชวนให้ไปปฏิบัติธรรมด้วย ท่านก็ปฏิเสธว่า ท่านไม่ได้ปรารถนาเป็นสาวก แล้วท่านก็ได้ถูกพยากรณ์ ไว้แล้วจากพระพุทธเจ้าองค์ พระองค์หนึ่ง ว่าท่านจะได้เป็น พระพุทธเจ้าในภายหน้า แต่เรื่องวิชาอาคม ท่านก็เรียน แถมยังให้เคล็ดลับไว้ด้วยว่าท่านงดการเสพ หมาก เมี่ยง บุหรี่ โดยสิ้นเชิง ท่านงดฉันเนื้อสัตว์ตั้งแต่เมื่ออายุได้ 26 ปี และฉันอาหารเพียงมื้อเดียว ซึ่งมักเป็นผักต้มใส่เกลือกับพริกไทเล็กน้อย บางทีก็ไม่ฉันข้าวทั้ง 5 เดือน คงฉันเฉพาะลูกไม้หัวมันเท่านั้น นอกจากนี้ท่านยังงดฉันผักตามวันทั้ง 7 คือวันอาทิตย์ ไม่ฉันฟักแฟง, วันจันทร์ไม่ฉันแตงโมและแตงกวา, วันอังคาร ไม่ฉันมะเขือ, วันพุธ ไม่ฉันใบแมงลัก, วันพฤหัสบดี ไม่ฉันกล้วย, วันศุกร์ ไม่ฉันเทา(อ่าน "เตา"สาหร่ายน้ำจืดคล้ายเส้นผมสีเขียวชนิดหนึ่ง), วันเสาร์ ไม่ฉันบอน นอกจากนี้ผักที่ท่านจะไม่ฉันเลยคือ ผักบุ้ง ผักปลอด ผักเปลว ผักหมากขี้กา ผักจิกและผักเฮือด-ผักฮี้ (ใบไม้เลียบอ่อน) โดยท่านให้เหตุผลว่า ถ้าพระภิกษุสามเณรรูปใดงดได้ การบำเพ็ญกัมมัฏฐานจะเจริญก้าวหน้า ผิวพรรณจะเปล่งปลั่ง ธาตุทั้ง 4 จะเป็นปกติ ถ้าชาวบ้านงดเว้นแล้วจะทำให้การถือคาถาอาคมดีนัก หลวงพ่อ จง พุธสโร แห่ง วัดหน้าต่างนอก อาจารย์ของหลวงพ่อเรา ท่านก็เป็นพระที่เรืองวิทยาคม แต่ท่านก็ได้รับการยอมรับว่า ท่านก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน  แต่สำหรับ ข้าพเจ้า เข้าใจว่า"ธารณปริต"ท่อนสุดท้ายที่กล่าวถึงว่า สามารถ ทำมนต์คาถา ให้ศักดิ์สิทธิ์ ขึ้นได้ ตรงนี้เคยเจอมากับตัว รับรองเลยว่าจริงแท้แน่นอน ที่ข้าพเจ้ากล่าวมาทั้งหมด แบบย่อนั้น ก็เพื่อให้ ได้เห็นว่าแท้จริงแล้ว ถ้าเราศึกษาประวัติของหลวงพ่อ (หลวงกวย ชุตินธโร)ท่านก็เป็นพระอริยะเจ้าที่หลุดพ้นจากกองกิเลศ เป็นพระอริยะเจ้าองค์หนึ่ง ที่ท่านก็สอน ธรรมมะแกศิษย์เสมอ แต่มุมมองส่วนใหญ่จะกล่าวถึง หลวงพ่อแต่ในมุมที่ว่าท่านมีเครื่องราง ของขลัง เป็นเกจิปลุกเศกเลขยันต์ เท่านั้น ซึ่งแท้จริงแล้วหาได้เป็นอย่างนั้นเลยทีเดียวไม่
                        ...ที่นี้มาเข้า เรื่อง ตาจ้อย ต่อกันดีกว่า พี่ๆน้องๆ ที่นี้ หลังจากที่ข้าพเจ้า ได้ไปทำพิธีบอกกล่าว แกดวงวิญารของตาจ้อย เรียบร้อยแล้ว พอตกตอนหัวค่ำข้าพเจ้าก็ได้ทำกิจไปตามปรกติ ตามที่ข้าพเจ้าเคยทำ นั้นก็คือ สวดมนต์ไหว้พระ แล้วก็นั้นสมาธิ ก็ได้ความว่ก็ดึกมากแล้ว ข้าพเจ้า จึงไปล้างเทาเอนตัวลงนอน ก่อนนอนก็ได้ปรารภกับรูปของ หลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับ วันคืนล่วงเลยผ่านไปอีกวันแล้วซินะครับ ความตายก็คงเช่นเดียวกัน อีกไม่นานลูกนี้ก็คงไม่พ้นตาย(ข้าพเจ้านึกถึงมรณานุสติ) ก็นอนมองรูปของหลวงพ่อไป ก็พูดกับท่านไปเรื่อย แต่มีประโยคหนึ่งที่สะท้อนใจของข้าพเจ้ามากๆ นั้นก็คือเรื่องของ ตาจ้อย แล้วก็เผลอหลับไปตอนใหนไม่ทราบ(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเพราะเป็นข้อความส่วนบุคล) อยู่ๆคืนนั้นข้าพเจ้าก็ได้นิมตฝันว่า ข้าพเจ้านั้นได้ยิน เสียงของใครบางคน มาตะโกนเรียกแว่วๆดังมาจากที่ไกลๆข้าพเจ้าก็ไม่ได้นึกหรอกว่า นี่เป็นความฝันหรืออย่างไร แต่ก็สำคัญตนว่าข้าพเจ้าได้เดินออกไปยังนอกบ้าน แล้วมองไปยั่งอีกฝากของบ้านข้าพเจ้า แต่ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ได้ตกตะลึงเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นนั้น กับเป็นภูมิทัศที่ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน กล่าวคือ เมื่อมองออกไป นั้นก็แลเห็นที่ๆกว้างใหญ่ไพศาส และก็สว่างมากๆเป็นสีขาวๆ ไม่มีแม้กรทั่ง ภูเขา สิ่งบดบังใดๆทั้งสิ้น เลย ทันใดนั้นเองข้าพเจ้าก็มองเห็นชายชราผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ไกลๆ แล้วข้าพเจ้าก็ได้สำคัญตนไปว่าได้ลอยไปยังชายชราผู้นั้น อุบะ!ข้าพเจ้าไม่อยากที่จะเชื่อสายตาของข้าพเจ้าเลย ชายชราที่ยืนอยู่นั้น คือใครรู้ใหม พี่ๆน้องๆ ชายชราผู้นั้นก็คือ ตาจ้อย นี่เอง พอ ตาจ้อยเห้นข้าพเจ้าก็ร้องไห้ใหญ่ ร้องอย่างเดียวไมพูด ข้าพเจ้า ก็เลยถามว่า ร้งทำใม มาอยุ่ที่นี่ได้ยังไง แกก็ไม่พูด ข้าพเจ้าก็เลย ถาม ตาจ้อย ออกไปว่าแล้วที่ผมบอกไปว่า ถ้ามีอะไรให้ไปเข้าฝันที่บ้านนะ ทำใมไม่ไปล่ะ ก็เห็นปรกติไปอยู่เป็นประจำนี่น่า ผมอนุญาติ ถ้าสามารถทำได้ อยู่ๆ ตาจ้อย แกก็ชี้ไปที่บ้านของข้าพเจ้า แล้วทันใดนั้นเอง ก็ปรากฏภาพของหิงพระที่ข้าพเจ้ากราบไหว้ อยู่ทุกวัน แต่ พี่ๆน้องๆครับ สิ่งที่ปรากฏเป็นแสงสว่างที่เด่นชัดมากๆและลอยอยู่ก่อน นั้นก็คือ "ตำรับตำราวิชาอาคมกับทั้งตำราแก้วสารพัดนึก"ของหลวงพ่อ กวย ชุตินธโร พ่อของพวกเรานั้นเอง ข้าพเจ้าก็นึกตกใจว่า เพราะเหตุใดจึงได้มี นิมิต อันพิสดารเช่นนี้ แล้วสิ่งที่ข้าพเจ้านั้นได้ยินอยู่เต็มสองหู ในคำพูดที่ ตาจ้อย พูดออกมานั้นก็คือ "กลัวๆ กลัวๆ กลัวๆ แล้วก็ชี้มือไปที่ตำราที่อยู่บนพานนั้น" โอ้โห้ พี่ๆน้องๆครับเล่นเอาข้าพเจ้างี้ขนลุกซู่!!!ไปทั้งตัวเลย .แต่ครั้นที่ข้าพเจ้ายังไม่ทัน จะพูดอะไรตอบแกเลย อยู่ข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกว่า เหมือนได้ตกลงมาจากที่สูง แล้วข้าพเจ้าก็ได้สะดุ้งตื่นขึ้น ยอมรับว่า มีสองอารมณ์ ปนกัน คือ หนึ่ง.เรื่องอันที่ข้าพเจ้าสงสัยมาตลอดเลยว่า ทำใมคนเก่าคนแก่สมัย โบราณ เขาถึงได้ย้ำนักย้ำหนากันเลยว่า ถ้าแม้นผู้ใดเรียนตำรับตำราวิชาอาคมคาถาต่างๆแล้ว ก็จงหมั่นบูชา แล้วเน้นย้ำด้วยว่าจงเก็บรักษาเอาไว้ในที่อันควร  สอง.ก้นึกสงสาร ตาจ้อย อยู่เหมือนกัน แต่ก็ปลงว่าเราอยู่กันคนล่ะโลกแล้ว "สรรพสัตวืทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกฏแห่งกรรม"ทุกวันนี้เราก็หาใช่ว่าจะดีเลิศประเสริฐศรีอะไร จะพ้นนรกหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ก็ควรจะเอาเรื่องนี้มาไว้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ ตน แต่เรื่องตำราของหลวงพ่อ (หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร)พ่อของพวกเรานั้น ข้าพเจ้าขอ ยืนยันเลยว่าอันนี้เคยรองมากับตัว ถ้าหากที่ใหนนะ ที่เขาว่ามีผีดุๆแล้วไซร์ หากแม้นเพียงมีบุคคลใด บุคคลหนึ่งได้นำ ตำราของหลวงพ่อ (หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร)ไปบูชาอยู่ ณ สถานที่นั้น ผีทรางนางไม้ขยาดหมด(สิ่งที่ไม่ดี)ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเปิด ท่องภาวนาก็ตาม อันนี้เรื่องจริงเลย จะเป็นของเก่าหรือของใหม่ที่ออกจากวัด ก็มีความศักดิ์สิทธิ์ เสมอเหมือนกัน .ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นใด คล้ายๆกับว่า เป็นของวิเศษอย่างหนึ่งที่หลวงพ่อมอบให้แก่ลูกของท่านไว้ทุกๆคน
             ....ขอขอบคุณท่านที่เข้ามาอ่านแล้วข้าพเจ้าจะนำประสบการณ์ที่ไดประสบมามาถ่ายทอดให้พี่ๆน้องๆ-
              ...นั้นได้อ่านกันใหม่ใน ตอนต่อไป ซึ่งจะใช้ชื่อว่า"อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอน 9...
                                                                 ....ด้วยความเคารพเป็นอย่างสูง....
                                                                         ...."คนเมืองกาญฯ”(บ่อพลอย)...

ออฟไลน์ ชูศักดิ์

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 29
  • พลังน้ำใจ 0
"คนเมืองกาญฯ"(บ่อพลอย)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 20, 2011, 11:26:11 am »
 ...เพื่อให้การเรื่องเล่าประสบการณ์ที่ข้าพเจ้านั้น ได้พิมพ์เล่าให้พี่ๆน้องได้อ่านฟังนี้ เรียงตอนกันเป็นระเบียบ เรียบร้อยข้าพเจ้าจึงขออนุญาติ พิมพ์ชื่อตอนย้อนหลังเพื่อให้ดูเป็นลำดับ กราบขอบพระคุณ พี่ๆน้องทุกๆท่านมา ณ ที่นี้ กราบสวัสดี...
                                                                                    "คนเมืองกาญฯ(คนบ่อพลอย)                 

ออฟไลน์ ชูศักดิ์

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 29
  • พลังน้ำใจ 0
"คนเมืองกาญฯ"(บ่อพลอย)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ธันวาคม 20, 2011, 11:38:38 am »
ตรงถ่อน หลวปู่ที่ชวน ครูบาร์ศรีวิชัยไปปฏิบัติธรรม นั้น ข้าพเจ้าหมายถึง หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต (พิมพ์ตกไปขออภัยด้วครับ)
                                                    "คนเมืองกาญฯ"(บ่อพลอย)

ออฟไลน์ พรหมจาโร

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 13
  • พลังน้ำใจ 0
Re: อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินธโร ตอนที่ 7.2
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2011, 12:02:11 am »
ขอขอบคุณ คุณชูศักดิ์มากครับที่นำประการณ์ดีๆมาเล่าให้ฟังตลอด บอกตามตรงผมเป็นแฟนเรื่องเล่าของคุณตั้งแต่เรื่องแรกจนถึงเรื่องปัจจุบัน ทุกวันผมต้องเปิดเวปดู ว่าคุณมาเล่าเรื่องใหม่ให้ฟังหรือยัง  อยากอ่านอีกโปรดอย่าให้รอนานนักนะครับ ขอบคุณครับ จากแฟนพันธ์แท้"อภินิหารรูปถ่ายหลวงพ่อกวย ชุตินธโร" หลวงพ่อที่อยู่ในหัวใจของลูก

ออฟไลน์ weerawat26

  • สมาชิก
  • *****
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 39
  • กระทู้: 1103
  • พลังน้ำใจ 39
Re: อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินธโร ตอนที่ 7.2
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2011, 10:26:34 am »
(ต่อจาก ตอน 7.1เพราะพยัญชนะเกินกำหนด) "หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร" พระอริยะสงฆ์แห่งแดนคนจริง

"ผี ตาจ้อย กลัวตำราของหลวงพ่อ"


ทีนี้ พอตกคืนนั้นเป็นเรื่องเลย เรื่องก็มีอยู่ว่า โดยปรกตินั้นข้าพเจ้าถึงแม้จะ สึกสิกขาลาเพศมาแล้วก็จริง แต่เรื่องนิสัยใจคอนั้น เรื่องการสวดมนต์ไหว้พระนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยทิ้งเลย ข้าพเจ้าทำมาโดยตลอดตั้งแต่คราวที่ป่วยหนัก อยู่ห้อง ไอซียู ของโรงพยาบาลศิริราชตั้งแต่อายุ 15 เป็นต้นมาเคยไปนรก(โปรดใช้วิจารณญาณเพราะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล) มันน่ากลัวสุด ๆ ที่จะพรรณนาได้ แต่เรื่องโคม่า ผ่านเป็นผ่านตายนี่ ไม่ต่ำ กว่า 7 ครั้ง นอนน้ำตาไหลอยู่ในห้อง ไอซียู ตอนเด็กข้าพเจ้าชอบทำ บาปมาก เอาทุกอย่าง ยิงนกตกปลา สารพัด พอเจอเข้ากับตัวเอง ก็มานึกถึง ว่าโอ้หนอ เจ็บมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ไปทำเขา เรากลัวตายจนสุดขีด เวลานั้น สัตว์ทั้งหลายที่เรา ไปทำร้ายเขา ก็คงจะเป็นเหมือน ๆ กันซินะ เรานี่นอนโคม่าขยับตัวก็ไม่ได้ ไม่มีใครเลยหนอที่จะช่วยเราได้ ญาติ พี่น้อง เงินทองที่มีก็ช่วยไม่ได้ ก็เลยระลึกถึง พระพุทธเจ้า ขอให้พระองค์โปรดช่วยมาเป็นที่พึ่ง แล้วก็เลยปฏิญาณ(สาบาน)ต่อมโนภาพ พระพุทธเจ้าว่าจากนี้ไป ขึ้นชื่อว่า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำร้าย รังแก หรือทำให้เขาทุกข์ทรมาน ด้วยเจตนา ข้าพเจ้า (ชื่อ-นามสกุล)จะไม่ขอทำอีกตราบจนวันตาย นับตั้งแต่นั้นมา ก็เห็นมีหมอดู หมออะไร ต่อมิอะไรที่เขาว่า มีตาทิพย์ ทำนายข้าพเจ้าตรงกันเปี๊ยบเลยว่า จะต้องตายแน่ ๆ ชั่ว 100% ภายในอายุ 25 ปี นี่ก็เลยมา เป็น 10 ปีข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นตาย สักที ที่ข้าพเจ้ากล่าวขึ้นมา ณ ที่นี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยกตนว่า ดีเลิศ อะไรเลย ข้าพเจ้าก็มี รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนๆกับ ปุถุชนคนทั่วไป แต่ที่กล่าวก็เพราะ จะแสดงให้เห็นว่า คุณงามความดี ในบวรพระพุทธศาสนาของเรานี้ ถ้าหากว่าใคร ตั้งใจทำจริง ๆ เทวดาฟ้าดินเขาย่อมจะเห็น เขาย่อมจะช่วยเหลือ เขาย่อมจะรักษา แต่ถึงคราวจริงก็ไม่รอดเหมือนกัน ตรงนี้ก็แล้วแต่ละบุคคล ดังคำที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังษี ท่านสอนเอาไว้ว่า “ลูกเอ๋ย ก่อนที่จะเข้าไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่ไปเที่ยวขอยืมเขามาจนล้นพ้นตัว เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมดไม่มีอะไรเหลือติดตัว แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้ แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง" ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังษี ท่านสอนให้เราจง "มีตนเป็นที่พึ่งแห่งตนด้วย" ว่าถึงเรื่องท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังษี นั้น หลวงพ่อของพวกเรา(หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร)ก็ให้ความนับถือ พระคุณเจ้าองค์นี้มาก ครั้งหนึ่งหลวงพ่อท่านเคยไปวัดระฆังโฆษิตาราม และท่านยังได้รับ สมเด็จวัดระฆังแท้ ๆ มาจาก ท่านพระเทพสิทธินายกหรือ “หลวงปู่นาค โสภโร” แห่ง วัดระฆังโฆษิตาราม ตรงนี้ข้าพเจ้าไม่ขอเอ่ยถึงรายละเอียดของที่มาที่ไป แต่เป็นที่ยอมรับกันว่าหลวงปู่นาค โสภโณ องค์นี้นั้นท่าน ไม่ใช่พระธรรมดาท่านสำเร็จพระอรหันต์สิ้นแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง ความจริงเรื่องของพระสายปฏิบัติ กับเรื่องของพระสายวิชาอาคมนั้น มีหลายคนที่ยังเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่มาก แท้จริงแล้ว เรื่องของจริตนั้นเป็นของแต่ละบุคล แต่มันขึ้นอยู่ที่ว่า ท่านแต่ละองค์นั้นมีจุดมุ่งหมายอย่างไร หลวงปู่ดู่ ท่านก็ปรารถนาเป็น พระพุทธเจ้า แต่วิชาอาคมท่านก็เรียนไว้สงเคราะห์ญาติโยม ครูบาร์ศรีวิชัย ท่านก็ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า แถมเมื่อครั้งหลวงปู่ชวนให้ไปปฏิบัติธรรมด้วย ท่านก็ปฏิเสธว่า ท่านไม่ได้ปรารถนาเป็นสาวก แล้วท่านก็ได้ถูกพยากรณ์ ไว้แล้วจากพระพุทธเจ้าองค์ พระองค์หนึ่ง ว่าท่านจะได้เป็น พระพุทธเจ้าในภายหน้า แต่เรื่องวิชาอาคม ท่านก็เรียน แถมยังให้เคล็ดลับไว้ด้วยว่าท่านงดการเสพ หมาก เมี่ยง บุหรี่ โดยสิ้นเชิง ท่านงดฉันเนื้อสัตว์ตั้งแต่เมื่ออายุได้ 26 ปี และฉันอาหารเพียงมื้อเดียว ซึ่งมักเป็นผักต้มใส่เกลือกับพริกไทเล็กน้อย บางทีก็ไม่ฉันข้าวทั้ง 5 เดือน คงฉันเฉพาะลูกไม้หัวมันเท่านั้น นอกจากนี้ท่านยังงดฉันผักตามวันทั้ง 7 คือวันอาทิตย์ ไม่ฉันฟักแฟง วันจันทร์ไม่ฉันแตงโมและแตงกวา วันอังคารไม่ฉันมะเขือ วันพุธไม่ฉันใบแมงลัก วันพฤหัสบดีไม่ฉันกล้วย วันศุกร์ไม่ฉันเทา(อ่าน "เตา"สาหร่ายน้ำจืดคล้ายเส้นผมสีเขียวชนิดหนึ่ง) วันเสาร์ไม่ฉันบอน นอกจากนี้ผักที่ท่านจะไม่ฉันเลยคือ ผักบุ้ง ผักปลอด ผักเปลว ผักหมากขี้กา ผักจิกและผักเฮือด-ผักฮี้ (ใบไม้เลียบอ่อน) โดยท่านให้เหตุผลว่า ถ้าพระภิกษุสามเณรรูปใดงดได้ การบำเพ็ญกัมมัฏฐานจะเจริญก้าวหน้า ผิวพรรณจะเปล่งปลั่ง ธาตุทั้ง 4 จะเป็นปกติ ถ้าชาวบ้านงดเว้นแล้วจะทำให้การถือคาถาอาคมดีนัก หลวงพ่อจง พุทธฺสโร แห่ง วัดหน้าต่างนอก อาจารย์ของหลวงพ่อเรา ท่านก็เป็นพระที่เรืองวิทยาคม แต่ท่านก็ได้รับการยอมรับว่า ท่านก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน  แต่สำหรับ ข้าพเจ้า เข้าใจว่า "ธารณปริต" ท่อนสุดท้ายที่กล่าวถึงว่า สามารถ ทำมนต์คาถา ให้ศักดิ์สิทธิ์ ขึ้นได้ ตรงนี้เคยเจอมากับตัว รับรองเลยว่าจริงแท้แน่นอน ที่ข้าพเจ้ากล่าวมาทั้งหมด แบบย่อนั้น ก็เพื่อให้ ได้เห็นว่าแท้จริงแล้ว ถ้าเราศึกษาประวัติของหลวงพ่อ (หลวงกวย ชุตินฺธโร)ท่านก็เป็นพระอริยะเจ้าที่หลุดพ้นจากกองกิเลส เป็นพระอริยะเจ้าองค์หนึ่ง ที่ท่านก็สอน ธรรมมะแก่ศิษย์เสมอ แต่มุมมองส่วนใหญ่จะกล่าวถึง หลวงพ่อแต่ในมุมที่ว่าท่านมีเครื่องราง ของขลัง เป็นเกจิปลุกเสกเลขยันต์ เท่านั้น ซึ่งแท้จริงแล้วหาได้เป็นอย่างนั้นเลยทีเดียวไม่

ที่นี้มาเข้า เรื่อง ตาจ้อย ต่อกันดีกว่า พี่ ๆ น้อง ๆ ที่นี้ หลังจากที่ข้าพเจ้า ได้ไปทำพิธีบอกกล่าว แกดวงวิญาณของตาจ้อย เรียบร้อยแล้ว พอตกตอนหัวค่ำข้าพเจ้าก็ได้ทำกิจไปตามปรกติ ตามที่ข้าพเจ้าเคยทำ นั้นก็คือ สวดมนต์ไหว้พระ แล้วก็นั่งสมาธิ ก็ได้ความว่าก็ดึกมากแล้ว ข้าพเจ้า จึงไปล้างเท้าเอนตัวลงนอน ก่อนนอนก็ได้ปรารภกับรูปของ หลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับ วันคืนล่วงเลยผ่านไปอีกวันแล้วซินะครับ ความตายก็คงเช่นเดียวกัน อีกไม่นานลูกนี้ก็คงไม่พ้นตาย(ข้าพเจ้านึกถึงมรณานุสติ) ก็นอนมองรูปของหลวงพ่อไป ก็พูดกับท่านไปเรื่อย แต่มีประโยคหนึ่งที่สะท้อนใจของข้าพเจ้ามาก ๆ นั้นก็คือเรื่องของ ตาจ้อย แล้วก็เผลอหลับไปตอนไหนไม่ทราบ(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเพราะเป็นข้อความส่วนบุคคล) อยู่ ๆ คืนนั้นข้าพเจ้าก็ได้นิมิตฝันไปว่า ข้าพเจ้านั้นได้ยิน เสียงของใครบางคน มาตะโกนเรียกแว่ว ๆ ดังมาจากที่ไกล ๆ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้นึกหรอกว่า นี่เป็นความฝันหรืออย่างไร แต่ก็สำคัญตนว่าข้าพเจ้าได้เดินออกไปยังนอกบ้าน แล้วมองไปยังอีกฟากของบ้านข้าพเจ้า แต่ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ได้ตกตะลึงเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นนั้น กลับเป็นภูมิทัศน์ที่ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน กล่าวคือ เมื่อมองออกไปนั้น ก็แลเห็นที่ ๆ กว้างใหญ่ไพศาล และก็สว่างมาก ๆ เป็นสีขาว ๆ ไม่มีแม้กระทั่ง ภูเขา สิ่งบดบังใด ๆ ทั้งสิ้นเลย ทันใดนั้นเองข้าพเจ้าก็มองเห็นชายชราผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ไกล ๆ แล้วข้าพเจ้าก็ได้สำคัญตนไปว่าได้ลอยไปยังชายชราผู้นั้น อุบะ!ข้าพเจ้าไม่อยากที่จะเชื่อสายตาของข้าพเจ้าเลย ชายชราที่ยืนอยู่นั้น คือใครรู้ไหม พี่ ๆ น้อง ๆ ชายชราผู้นั้นก็คือ ตาจ้อย นี่เอง พอตาจ้อยเห็นข้าพเจ้าก็ร้องไห้ใหญ่ ร้องอย่างเดียวไม่พูด ข้าพเจ้า ก็เลยถามว่า ร้องทำไม มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แกก็ไม่พูด ข้าพเจ้าก็เลยถามตาจ้อยออกไปว่า แล้วที่ผมบอกไปว่า ถ้ามีอะไรให้ไปเข้าฝันที่บ้านน่ะ ทำไมไม่ไปล่ะ ก็เห็นปรกติไปอยู่เป็นประจำนี่นา ผมอนุญาต ถ้าสามารถทำได้ อยู่ ๆ ตาจ้อย แกก็ชี้ไปที่บ้านของข้าพเจ้า แล้วทันใดนั้นเอง ก็ปรากฏภาพของหิ้งพระที่ข้าพเจ้ากราบไหว้ อยู่ทุกวัน แต่ พี่ ๆ น้อง ๆ ครับ สิ่งที่ปรากฏเป็นแสงสว่างที่เด่นชัดมาก ๆ และลอยอยู่ก่อน นั้นก็คือ "ตำรับตำราวิชาอาคมกับทั้งตำราแก้วสารพัดนึก" ของหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร พ่อของพวกเรานั้นเอง ข้าพเจ้าก็นึกตกใจว่า เพราะเหตุใดจึงได้มี นิมิต อันพิสดารเช่นนี้ แล้วสิ่งที่ข้าพเจ้านั้นได้ยินอยู่เต็มสองหู ในคำพูดที่ ตาจ้อย พูดออกมานั้นก็คือ "กลัว ๆ กลัว ๆ กลัว ๆ แล้วก็ชี้มือไปที่ตำราที่อยู่บนพานนั้น" โอ้โห พี่ ๆ น้อง ๆ ครับเล่นเอาข้าพเจ้างี้ขนลุกซู่!!!ไปทั้งตัวเลย แต่ครั้นที่ข้าพเจ้ายังไม่ทัน จะพูดอะไรตอบแกเลย อยู่ ๆ ข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกว่า เหมือนได้ตกลงมาจากที่สูง แล้วข้าพเจ้าก็ได้สะดุ้งตื่นขึ้น ยอมรับว่ามีสองอารมณ์ปนกัน คือ หนึ่งเรื่องอันที่ข้าพเจ้าสงสัยมาตลอดเลยว่า ทำไมคนเก่าคนแก่สมัย โบราณ เขาถึงได้ย้ำนักย้ำหนากันเลยว่า ถ้าแม้นผู้ใดเรียนตำรับตำราวิชาอาคมคาถาต่าง ๆ แล้ว ก็จงหมั่นบูชา แล้วเน้นย้ำด้วยว่าจงเก็บรักษาเอาไว้ในที่อันควร  สองก็นึกสงสาร ตาจ้อย อยู่เหมือนกัน แต่ก็ปลงว่าเราอยู่กันคนละโลกแล้ว "สรรพสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรม" ทุกวันนี้เราก็หาใช่ว่าจะดีเลิศประเสริฐศรีอะไร จะพ้นนรกหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ก็ควรจะเอาเรื่องนี้มาไว้เป็นอุทธาหรณ์สอนใจตน แต่เรื่องตำราของหลวงพ่อ (หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร)พ่อของพวกเรานั้น ข้าพเจ้าขอยืนยันเลยว่าอันนี้เคยลองมากับตัว ถ้าหากที่ไหนนะ ที่เขาว่ามีผีดุ ๆ แล้วไซร้ หากแม้นเพียงมีบุคคลใด บุคคลหนึ่งได้นำ ตำราของหลวงพ่อ (หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร) ไปบูชาอยู่ ณ สถานที่นั้น ผีสางนางไม้ขยาดหมด(สิ่งที่ไม่ดี)ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเปิด ท่องภาวนาก็ตาม อันนี้เรื่องจริงเลย จะเป็นของเก่าหรือของใหม่ที่ออกจากวัด ก็มีความศักดิ์สิทธิ์ เสมอเหมือนกัน .ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นใด คล้ายๆกับว่า เป็นของวิเศษอย่างหนึ่งที่หลวงพ่อมอบให้แก่ลูกของท่านไว้ทุกๆคน

ขอขอบคุณท่านที่เข้ามาอ่านแล้วข้าพเจ้าจะนำประสบการณ์ที่ไดประสบมามาถ่ายทอดให้พี่ ๆ น้อง ๆนั้นได้อ่านกันใหม่ใน ตอนต่อไป ซึ่งจะใช้ชื่อว่า"อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร ตอนที่ 9

ด้วยความเคารพเป็นอย่างสูง
"คนเมืองกาญฯ”(บ่อพลอย)

กระดานสนทนาเว็บไซต์ ศิษย์หลวงพ่อกวย

Re: อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินธโร ตอนที่ 7.2
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2011, 10:26:34 am »

 


Facebook Comments