ผู้เขียน หัวข้อ: อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินธโร ตอนที่ 9  (อ่าน 7182 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ chusak

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 34
  • พลังน้ำใจ 0
                                   ...."หลวงพ่อ กวย ชุติธโร"พระอริยสงฆ์แห่งแดนคนจริง....
    ...ธรรม ย่อมรักษาผู้ประพฤติปฏิบัติ ฉันใด พ่อแม่ครูบาร์อาจารย์ทั้งหลาย ก็ย่อมมาอยู่ สถิตอยู่ปกปักรักษา แก่ผู้ซึ่งมีความมั่นคง เชื่อมั่น และศรัทธาในองค์ แห่งพ่อแม่ครูบาร์อาจารย์ของตน ฉันนั้น เชื่อมั่นในคุณพระพุทธเจ้า เชื่อมั่นในคุณพระธรรมเจ้า เชื่อมั่นในคุณพระสงฆ์ ด้วย กาย วาจา ใจ อันบริสุทธิ์ เชื่อมั่นในคุณงามความดีทั้งหลายที่ตนได้กระทำ การรู้วิชานั้น ก็ต้องรู้จักธรรมควบคู่กันไปด้วยเป็นเส้นขนานการรู้วิชาแต่ไม่รู้จักธรรม วิชาเหล่านั้น บัณฑิตทั้งหลายไม่กล่าวยกย่อง วิชานั้นว่า"พุทธคุณ"...
                                            ....ข้าก็ผ่าน โลกนี้มา เพียงคำรบ....
                                             ...ใช่เจนจบ ด้วยอำนาจ วาสนา...
                                            ..แต่มีเพียง เรื่องหนึ่งเดียว เคี้ยวเข็นมา...
                                             ...ให้รู้ค่า แห่งธรรม ค้ำจุนใจ...   
                                              ...."เจ้าสำนักกลางคันนาน"...
             ...เรื่องเจ้าสำนักกลางคันนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเมื่อหลายปีก่อนโน้น เรื่องก็มีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์มาว่า ขณะนี้ได้มี สำนักทรงสำนักหนึ่ง ที่พยากรณ์ได้แม่นยำปานมีตาทิพย์  อยู่แถวๆต่างจังหวัด (ขออนุญาตฺไม่เอ่ยนาม)เรื่องนี้ตอนแรกข้าพเจ้าก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายนัก ก็คิดว่าข้าพเจ้าเจอมาหลายรูปแบบแล้ว ที่ได้ยินมาพอเอาเข้าจริงๆก็ยังไม่ถึงกับเก่งมากเท่าไร ความจริงเรื่องการ ดูดวง นี่ ถ้าใครที่เข้าใจ ข้าพเจ้าคิดว่าเขาคนนั้นจะเลิกดูดวงตลอดชีวิตเลย ที่พูดได้อย่างนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้หมายใจที่จะไปลบหลู่ท่านเจ้าสำนักต่างๆ ที่เขาของจริงก็มีอยู่เยอะ แต่ปัจจุบัน ส่วนใหญ่ ถ้าไป 100 สำนักจะมีของจริง อยู่ไม่เกิน 5 สำนัก ข้าพเจ้า ขอให้ทัศนะคติไว้อย่างนี้เลย จากประสบการณ์ ตลอด 15 ปีของข้าพเจ้า สรุปได้อย่างนี้ ตรงไม่ตรง ก็พิจาราณากันดูอีกที เอ้า!!ที่นี้มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ข้าพเจ้าเมื่อได้ฟังมาเช่นนั้น ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาในใจว่า เอ้!เดี๋ยวนี้ทำใมสำนักเจ้าองค์ทรงเทพ มันเกิดขึ้นเยอะจัง ข้าพเจ้าจึงเดินเข้าไปถาม ป้า ของข้าพเจ้าถึงเรื่อนี้จนละเอียด(คนที่นำเรื่องนี้มาเล่าแถวๆบ้าน) ก็ได้ที่มาที่ไปมาอย่างนี้ว่า “สำนักหมอดูสำนักนี้นั้น มีองค์เป็น ผีต้นกล้วย หรือที่คนไทยเขา เรียกกันว่า ผีพรายตานี ประมาณนั้น ข้าพเจ้าก็นึกประหลาดใดขึ้นมาว่า เฮ้ยๆ เดี่ยวมันอะไรของมันว่ะ ผีโน่น ผีนี้ ชักจะเยอะกันไปใหญ่ เอ่อ! แต่ถ้าแม่นจริง เดี่ยวจะไปขอหวยสักหน่อย ถ้าให้ตรงๆ ถึงจะเชื่อ พอดีช่วงนั้น มีงานประจำปีของจังหวัดนั้น พอดีข้าพเจ้า ก็เลยถือ โอกาสวันหยุดไปเที่ยวกันกับเพื่อน จังหวัดนี้นั้น นัยว่าเมื่อเร็วๆมานี้ท่านผู้ว่าราชการของจังหวัดพึ่งเสียชีวิตเพราะเหตุอาถรรพบางอย่างที่เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของท่าน เล่าย่อๆเขาว่ากันว่า ท่านไปเปิดงานบวงทรวงงานประจำปีของจังหวัดนั้น แล้วไปพลาดยิงปืนไปโดนช้างรูปปั้นของกษัติย์เข้าชาวบ้านหลายคนเชื่อว่าเป็นเหตุๆหนึ่งที่ทำให้ท่านประสบอุบัติเหตุ  ความจริงจังหวัดนี้ ข้าพเจ้าเคยผ่านไปบ่อย มีเรื่องหนึ่งที่ นึก ไม่สบายใจแทนคนในจังหวัดนี้มานานนั้นก็คือ เรื่องของมังกรที่สร้างสูงกว่าศาลหลักเมืองนั้นไม่เป็นการสมควร แต่ก็พูดกันฟังเฉพาะเพื่อนๆเวลาผ่านมาทางนี้เท่านั้น ว่าเป็นฮวงจุ้ยที่ไม่เหมาะสม สุดท้ายก็เป็นอุทาหรณ์สอนใจ เรื่องหนึ่งเลย   ส่วนตัวนั้นข้าพเจ้า เวลาเดินทาง ถ้าข้าพเจ้าจะไปดูของดี หรือไปทำบุญที่ใหนก็ตาม ส่วนใหญ่ข้าพเจ้าชอบที่จะนำรถมอเตอร์ไซขี่ไปมากกว่า รถใหญ่ก็มีแต่ไม่ชอบ เพราะรถใหญ่ เวลาที่บางครั้งต้องไปในที่บางที่ก็ไม่สะดวกแล้วอีกอย่าง ไปรถใหญ่ ข้าพเจ้าว่าไม่สนุกเพราะ ไม่ได้รับ บรรยากาศอันแท้จริง ขี่รถมอเตอร์ไซนี่ล่ะ!ไปเลย!ฝนจะตก แดดจะออก หนาวสั่นสักปานใด นี่ล่ะคือรสชาติของชีวิต อิอิ!!นี่เป็นความชอบส่วนบุคลนะ ถ้าพี่ๆน้องๆสะดวกอย่างไรก็แล้วแต่ท่านเถอะ  ที่นี้ก็พอดีทางจังหวัดนั้นเขามีงานประจำปีอยู่พอดีก็เลยถือโอกาสไป เที่ยวที่นั้นด้วย ตอนเช้าก่อนเดินทาง ข้าพเจ้าก็ไม่ลืมที่จะ จุดธูป 16 ดอก บอกกล่าวขอบารมีของ”หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร” พ่อ ของพวกเราตามปรกติทุกครั้งที่จะต้องเดินทางไกล ด้วยการขึ้นนะโม 3 จบ ตามด้วย”ตะมังธัง ปะกาเสนโตฯลฯ จบแล้วข้าพเจ้าก็บอกกล่าว หลวงพ่อ ว่าวันนี้ลูกจะเดินทางไปทำบุญที่ต่างจังหวัด แล้วก็พรรณนาไป  คือบอกกล่าวท่าน ท่านครูบาร์อาจารย์เรา ท่านเป็นพ่อของเรา เราต้องทำให้ถูกต้อง ทำให้เป็นกิจจะลักษณะ นอกเสียจากเวลาที่จำเป็นจริงๆก็ว่ากันไปอีกเรื่อง สิ่งเหล่านี้ กาลเวลาผ่านไป คนบางคนเห็นเป็นเรื่องเสียเวลา คิดว่าใช้ใจก็ได้ ไม่เห็นจะต้องไป พิธีรีตองอะไรให้มาก ถ้าคิดอย่างนี้ก็ เป็นอันว่า จบ ไม่ต้องไปพูดกันต่อให้ยืดยาว กับคนๆนั้นเลย  ก็เป็นอันว่า หลังจากบอกกล่าวหลวงพ่อแล้ว ข้าพเจ้า ก็บอกกล่าวพระแม่ธรณี ด้วยแล้วจึงเดินทาง เชื่อใหม พี่ๆน้องๆ ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าไม่เคยประสบอุบัติเหตุเลยสักครั้ง แถมบ้านบางบ้าน ถึงกับงงๆว่า สุขนัขบ้านของเขานั้นปรกติมันจะดุมาก ถ้าใครเข้ามาแปลกหน้า ก็จะโดนดีเสมอ แต่พอข้าพเจ้า เข้าไป มันกลับแสดงกิริยาท่าทางเป็นมิตรกับ ข้าพเจ้าเฉยเลย จะเป็นด้วยเหตุประกาศใดนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ  แต่ข้าพเจ้าก็เชื่อมั่นว่า เรานี้ได้บอกกล่าว หลวงพ่อ ของเราไว้แล้ว เรื่องอันตรายนั้น จงอย่าได้กลัวเลย แต่เรานี้ก็ต้องใช้ชีวิตอย่างคนมี สติ ด้วย .อย่าไปลบหลู่ดูหมิ่นสิ่งใดๆ อย่าประมาทขาดสติ หลวงพ่อสอนเน้นย้ำไว้เสมอ เมื่อมีสติ ปัญญา ก็จะเกิด เมื่อ ปัญญาเกิด เราก็จะรู้เท่าทันในสิ่งที่จะเกิด ข้าพเจ้า จำไว้ในใจเสมอมาไม่เคยลืม
                                                   ...”พระที่พี่พ่วงมาไปใหนล่ะ”...
                        ...ที่นี้ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเล่าถึงการเดินทาง ข้าพเจ้าขออนุญาตเล่าย้อนกลับไป ก่อนวันที่จะเดินทางไป”สำนักดูดวงกลางคันนา”   พอดีก่อนวันที่จะเดินทางนั้น ข้าพเจ้ามีธุระที่จะต้องไปคุยเรื่องงานกับเพื่อนคนหนึ่งที่ในหมู่บ้านเดียวกัน แต่อยู่ห่างออกไปประมาณ 3-4 โลได้ วันนั้นเป็นช่วงบ่ายๆหลังจากที่ข้าพเจ้าข้าพเจ้าได้ทำงานต่างๆที่บ้านเสร็จ(ซักผ้า พ่อแม่) ข้าพเจ้าก็ได้แวะไปกินข้าวเป็นลาดหน้าสูตรเด็ดของ อำเภอบ่อพลอย ก็ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ขณะรับประทานนั้นข้าพเจ้าก็ได้ดำริขึ้นมาในใจว่า พรุ้งนี้ เราต้องเดินทางแต่เช้าแล้วก็วาดแผนผังไว้ในใจว่า จะไปที่ใหนบ้าง ใจหนึ่งก็นึกระลึกถึง หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร” พ่อของพวกเราอยู่เป็นปรกติ แต่เรื่องที่คิดหนักๆหน่อย(ไม่ได้คิดมากนะ แต่คิดเยอะ)ก็คือเรื่องการเรียงบทพระปริตรมนต์ที่จะลุกขึ้นมาสวด ก่อนเดินทาง ว่าเอาบทใหนเรียงไว้ลำดับที่เท่าไร อะไรๆประมาณนั้น แต่จะมาจบที่บทใน”ตำราแก้วสารพัดนึก”ลำดับสุดท้ายอัญเชิญเทวดากลับ แล้วแผ่เมตตา ใช้เวลาประมาณ 2 ช.ม. ก็นั่งคิดไปเรื่องรับประทานไปด้วย พอดีอาหารในจานหมดก็เลยเดินทางต่อ ข้าพเจ้านี่ก็แปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือเวลา รับประทานข้าว นะส่วนใหญ่คนเขาก็จะกินให้เหลือทิ้งไว้สักหน่อย แต่เชื่อใหม พี่ๆน้องๆนานมาแล้วที่ข้าพเจ้าเลิกทำอย่างนั้นถ้าใครที่บ้านทำนานะ คงรู้คำตอบดี กว่าจะได้แต่ละเม็ด ลำบากจริงๆ แล้วข้าพเจ้าก้เดินทางต่อ สักพักหนึ่ง ก้มองเห็นลั้วบ้าน ของเพื่อนข้าพเจ้าไรๆ พอไปถึงข้าพเจ้าก็ไปจอดรถอยู่หน้าบ้าน แล้วก็ตะโกนเรียกเข้าไปข้างในว่า ดาส โว้ย!!!ดาส!!!อยู่ป่าว!!โว้ย!! สักพักข้าพเจ้าก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งขานรับ!!!แล้วเดินออกมาจากในบ้าน ข้าพเจ้าก็ว่า อ้อ !!แฟนมันนี่เอง แหละ ทันใดนั้นเอง ขณะที่ผู้หญิงคนนั้น เดินออกมา ข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกว่า สีหน้าของเธอ นั้นออกจะงงๆอะไรบางอย่างอยู่ แหละพอเธอเดินมาไกล้ยังข้าพเจ้า พี่ๆน้องๆครับ สิ่งที่เธอพูดออกมา ประโยคแรก ทำให้ข้าพเจ้าถึงกับ ขนลุกไปทั้งตัวเลย แต่ข้าพเจ้าก็ยิ้มๆนิดหน่อย คำพูดของเธอนั้นก็คือ “เมื่อก็นี้พี่พ่วงพระมาด้วยนี่น่า ท่านไปใหนแล้วล่ะ”พี่ๆน้องๆครับ สาบานต่อหน้าหลวงพ่อ เลย ว่านี่คือเรื่องจริง เสียยิ่งกว่าจริง และคงไม่มีใครที่กล้าเอาเรื่องของ หลวงพ่อ มาโกหกแน่นอน เพียงแต่ว่า ถ้าจะให้ข้าพเจ้า ไปนำ คนโน้น คนนี้ มายืนยันนั้น ข้าพเจ้าก็คงจะจนปัญญา  ข้าพเจ้าก็บอกเธอไปว่า พี่มาคนเดียว เธอก็บอกว่า จริงๆหนูเห็นจริงๆ สักพักเพื่อนของข้าพเจ้า จึงเดินออกมาและก็ได้ฟังเรื่องที่ภรรยาของเขาเล่าให้ฟัง เพื่อนของข้าพเจ้าก็ได้แต่ ยิ้มๆ เพราะข้าพเจ้ากับเพื่อนนั้น รู้กัน จนไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไร  เพื่อนของข้าพเจ้านี้ ปู่ย่าตายายมันเป็นคนทางนครปฐม นับถือ “หลวงปู่เต๋ คงทอง”กับ”หลวงพ่อ เงิน วัดดอนยายหอม”เหลือคณามันพก ตะกรุด 3 ห่วง “หลวงปู่ เต๋ กับ รูปถ่าย หลวงพ่อเงิน” ขนาดปืน เป็น สิบกระบอกยังยิงไม่ถูกมันเลย ส่วนของหลวงพ่อเรา ที่เคยประสบมา ศัตรู เดินผ่านหน้าไปเฉยๆ เหมือนยังกับเราเป็นท่อนไม้ ท่อนซุง(โปรดใช้วิจาราญาณในการอ่าน)  ชอบกลแท้หนอยังกับนิยายเลย...สรุปว่า หลังคุยธุระเสร็จ ข้าพเจ้าจึงได้ขอตัวกลับ แต่เรื่องที่ แฟนเพื่อนทัก วันนั้น ข้าพเจ้าก็รุ้สึกตื้นตันใจมาก เพราะหลังจากที่สมัยบวชพระแล้วสึกมา นี้ก็นับว่าเป็นครั้งแรกที่ มีคนประจักในบารมีขอหลวงพ่อ ว่า ท่านไม่เคยทอดทิ้งลูกของท่านคนนี้ เลย สาธุ หลวงพ่อของลูก..
                                                  ....สวัสดีครับ ผมจะมาดูดวง”….
      ที่นี้พอถึงวันเดินทาง ข้าพเจ้าก็ได้ตื่นขึ้นมาแต่เช้า ก็ทำภาระกิจต่างๆจนเรียบร้อย ข้าพเจ้าก็ออกเดินทางตั้งแต่เช้า ก็ไปแวะตาม บ้านญาติบ้าง ตามวัดดังเพราะ หลักข้าพเจ้าจะไปทำบุญ วันนั้นข้าพเจ้ามีความสุขมาก ไปกันแค่ 2 คน กับเพื่อนของข้าพเจ้า แต่ไม่ใช่คนเดียวกับที่ไปหา มาวันก่อนโน้น. ก็มองโน้นมองนี่ไปเรื่อย พอดีนึกถึงหนังสือ ธรรมมะอยู่เล่มหนึ่ง ที่พี่สาวเอามาเมื่อวาน  อ่านแล้วรู้สึกประทับใจมากๆ ซึ่งใจมีความอยู่ท่อนหนึ่ง เป็นคำพูดของ”ท่านเจ้าประคุณนรรัตน์ ”ที่ท่านกล่าวไว้ว่า”คนเราทำดี ดีกว่าขอพร” ก็ชะลอยว่าวันนี้เรานั้นได้ ทำดีบ้างหรือยังหนอ คือไม่อยากให้ชีวิตนั้นขาดทุนในแต่ละวัน วันนี้เราก็ สวดมนต์ไหว้พระ ทำทาน แล้วก็ใส่บาตร ข้าพเจ้าก็ระลึกถึง ผลของความดีว่า เราได้ทำแล้วนำมาซึ่งความสุขใจ แล้วเราก็ได้ นำคุณงามความดีทั้งหลายที่เรานั้นได้กระทำ “ยกขึ้นถวายบูชาแก่”พระเดชพระคุณ “หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร” พ่อของพวกเรา ถ้าเหล่าเทพเทวดานั้นมีอยู่จริง และสามารถที่จะรับรู้ได้ เทพเทวดาทั้งนั้นก็จะได้รับรู้เอาไว้ว่า ลูกของ “หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร” คนนี้ไม่ได้ทำให้ท่าน นั้นผิดหวังเลย  ข้าพเจ้าก็พรรณนา ไปในใจอย่างนี้ไปเรื่อย(ก็เป็นความสุขใจอย่างหนึ่งนะ ที่ทุกๆวันข้าพเจ้าได้ทำความดีถวายแก่หลวงพ่อท่าน)ก็เห้นจะผ่านไปได้สัก3 ชั่งโมงกว่าๆก็เกือบที่จะถึง”สำนักดูดวงนั้นแล้ว”พอดีตั้งแต่เช้าข้าพเจ้ากับเพื่อนยังไม่ได้กินข้าวกันมาเลย ก็ตกลงกันว่า จะแวะพักกินข้าวกันสักหน่อย สรุปว่า พวกเราก็ได้มาเจอร้านข้าวอยู่ตรงปากทางเพอดีก็เลยแวะหาอะไรลองท้องกันสักหน่อย หลังจากสั่งอาหารกินกันได้สักพักและกำลังจะดื่มน้ำ ข้าพเจ้าก็เห็นยายแก่ๆเดินมา2 คน ก็ได้ยินเขาคุยกันว่า ที่”สำนักดูดวงนั้น”คนกำลังเยอะเลย เพื่อนของข้าพเจ้าก้ได้เดินไปพูดคุยกับ ยายสองคนนั้น ก็เห็นคุยอะไรกันหลายอย่าง ค่าครู ทางเข้าไป อะไรๆ ประมาณนั้น แล้วก็ว่าถ้ามีเคราะห์แล้วมาบนที่นี้ แล้วจะหมดเคราะห์ ข้าพเจ้าเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก็อดนึกถึงคำสอนของ “หลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ”ขึ้นมา ที่ท่านว่าเคราะห์นั้น มันเป็นคำเรียก ของพราห์มเขา แต่เราศาสนา พุทธ  แท้จริงมันก็คือกฎแห่งกรรมนั้น เอง และถ้าจะแก้ คนที่จะแก้ได้ก็คือตัวเราเท่านั้น  แต่เรื่องของ พุทธานุภาพ นั้น หลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ ท่านก็รับรองเหมือนกันไว้ว่า “ถ้ายังไม่ถึงคราวจริงก็ช่วยได้ เรียกว่า ผ่อนหนักให้เป็นเบาลง แม้แต่”หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร” พ่อของพวกเรา ท่านก็กล่าวไว้ ต่อหน้าลุกศิษย์ของท่านไว้เลยว่า “พระเครื่องของท่าน”นั้นสามารถที่จะลด วิบากกรรมลงได้ แต่ถึงคราว ตายก็ต้องตาย นี่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ แต่เมื่อข้าพเจ้าได้ยินคนแก่ 2 คนนั้นข้าพเจ้าพูดก็ไม่ได้ จะไปทักทวงเขา ก็แล้วแต่ คนเราความคิดไม่เหมือนกัน  แต่ว่ากลับรู้สึกสังเวชใจมากกว่า ว่าความเข้าใจอะไรๆผิด คนเราจึงต้อง หลีกหนีไม่พ้นความทุกข์กันได้สักที  สักพักหนึ่ง เพื่อนของข้าพเจ้าจึงมาเรียกข้าพเจ้า ว่าไปกันต่อได้แล้ว อีกนิดหนึ่งก็จะถึงแล้ว เมื่อขึ้นรถ ขณะที่เดินทางต่อ ข้าพเจ้าจึงได้ปรารภกับ รูปของ”หลวงพ่อ กวย ชุนตินธโร” พ่อ ของพวกเราว่า ถ้า”สำนักดูดวงนี้ มีคุณวิเศษจริง”และไม่ได้หลอกลวง ชาวบ้าน ก็ขอให้ข้าพเจ้า ได้พบได้เจอกับ ท่านเจ้าสำนักนี้ด้วยเทอญ แต่ถ้าสถานที่นี้ ไม่ได้ตั้งขึ้นเพื่ออย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นการสงเคราะห์แก่ชาวบ้าน กับทั้งยังทำให้ชาวบ้านงมงาย ก็ขอให้บารมี”หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร”จงโปรดดลใจให้ข้าพเจ้า อย่าได้พบได้เจอกับ ท่านเจ้าสำนักนี้เลย(การที่ข้าพเจ้าอธิฐานอย่างนี้ ก็เพื่อเป็นการลบหลู่เขา เพราะเรานั้น มาจากถิ่นอื่น เขาก็อยู่ของเขาอยู่แล้ว)พอไปถึงที่สำนักดูดวง สำนักนี้ โอ้โอ้!!พี่ๆน้องๆเชื่อใหม สวยมาก เรียกว่าบ้านของคนมีเงินคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ สักพักข้าพเจ้า ก็ได้เห็นชาวบ้านอยู่ กลุ่มหนึ่งกำลังยืนมึนๆอะไรกันอยู่ ข้าพเจ้ากับเพื่อนจึงเดินเข้าไปแล้วกล่าว"สวัสดีครับ ผมจะมาดูดวง"ครับ แล้วข้าพเจ้าก็ถามต่อไปว่า ท่านเจ้าสำนักอยู่ใหม “ไทยมุ่งเหล่านั้น อยู่ก็พูดขึ้นมาว่า อยู่นะอยู่หรอก แต่ แกไม่รู้เป็นอะไร ก่อนที่ไอ้หนู(เสียงเน่อๆ)สองคนจะมาถึงสักแป็บเดียว อยู่ๆแกก็วิ่งไปโน้นแน๊ะ!!!”กลางคันนา””โน้นแน๊ะ!!!แกไปของแกแน้บเลยแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย!!!!นั้นนะ เห็นยืนไรๆ”อยู่กลางคันนา” ตะโกนเรียกเท่าไรแกก็ไม่มาสร้าง ความประหลาดใจ ให้กับชาวบ้าน และก็พวกลูกศิษย์ที่มา เป็นอย่างมาก พอให้คนเดินไปถามแก ก้ไม่พูดไม่จา ได้แต่ทำอายๆเขินๆ!!!ข้าพเจ้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็เลยหลุดอาการ ขำ!!ออกมาไม่ได้ หัวเราะออกมาเลย แต่ก็ไม่ถึงกลับน่าเกียจมาก สรุปว่า ข้าพเจ้านั่งรออีกประมาณ 20 นาทีก็เห็นว่าแกคงไม่มาแน่ ครั้นจะเดินไปหา ก้ไม่ใช่เรื่อง ข้าพเจ้าจึงขอตัว ชาวบ้านแล้วก็คนดูแลกลับ ตอนกลับขี่รถผ่านทางเดิม ยังเห็นแกยืนมองไกลเป็นระยะ อยู่กลางคันนาเห็น ข้าพเจ้างี้ ขำมาตลอดทางเลย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึง พระคุณของ”พลวงพ่อ กวยชุตินธโร”พ่อของพวกเรา ท่านนั้น ศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน .ขนาดหมอดูผีตานี รู้ว่าข้าพเจ้าบอกหลวงพ่อท่านเรื่องที่ไป(ไม่วิจารณ์ดีกว่า) ผีตานี ยังต้องวิ่งหนีไปกลางคันนาเลย ตอนหลัง ข้าพเจ้าก็คิดว่า เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า ก็เลยแอบไปอีก 2 ครั้งเป็น 3 ครั้ง เชื่อใหมชาวบ้านแถวนั้น บอกข้าพเจ้าว่าไง “ไอ้หนูเองไม่ต้องมาแล้ว น้าขี้เกียจไปตามป้าแกที่กลางคันนา”อี นะเอ่อๆ  เหมือนนิยาย เนอะ พี่ๆน้องๆ  ครับ....แต่ข้าพเจ้าก็ขอยืนยันด้วยเกียติว่า สิ่งที่ข้าพเจ้านั้นได้เล่ามานี้ คือเรื่อง ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของข้าพเจ้า....เอวังก็มีด้วยประการนี้แล กราบสวัสดี
                                       ....ขอขอบคุณท่านที่เข้ามาอ่านแล้วข้าพเจ้าจะนำประสบการณ์ที่ไดประสบมามาถ่ายทอดให้พี่ๆน้องๆ-
              ...นั้นได้อ่านกันใหม่ใน ตอนต่อไป ซึ่งจะใช้ชื่อว่า"อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อ กวย ชุตินธโร ตอน 10..
                                                                 ....ด้วยความเคารพเป็นอย่างสูง....
                                                                         ...."คนเมืองกาญฯ”(บ่อพลอย)...

ออฟไลน์ พรหมจาโร

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 13
  • พลังน้ำใจ 0
Re: อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินธโร ตอนที่ 9
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 27, 2012, 07:40:31 pm »
ขอบคุณครับ..ถ้ามีเวลามาเล่าต่ออีกนะครับ ต้องขอยอมรับเลย คุณชูศักดิ์นี่สามารถสื่อถึงหลวงพ่อได้ดีมากๆเป็นบุญเป็นวาสนาแท้ๆ ถ้ามีเคล็ดลับในการทำจิตให้สื่อถึงหลวงพ่อได้พอจะบอกเทคติกเล็กๆน้อยๆได้ไหมครับ  :) :)

ออฟไลน์ tongong

  • สมาชิก
  • **
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 60
  • พลังน้ำใจ 0
Re: อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินธโร ตอนที่ 9
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มกราคม 28, 2012, 11:23:46 am »
สุดยอดครับ บารมีหลวงพ่อน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ :o

ออฟไลน์ ArmmY

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 4
  • พลังน้ำใจ 0
Re: อภินิหารรูปถ่าย หลวงพ่อกวย ชุตินธโร ตอนที่ 9
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มกราคม 28, 2012, 02:55:07 pm »
สุดยอดมากเลยครับ... :o :o

ออฟไลน์ chusak

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Thank You
  • -Given: 0
  • -Receive: 0
  • กระทู้: 34
  • พลังน้ำใจ 0
..."คนเมืองกาญ"...
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มกราคม 28, 2012, 03:44:41 pm »
                                             ....ถึงคุณ "sun51" ที่เคารพ....
คุณ "sun51" ข้าพเจ้าไม่มีเคล็ดลับหรอกครับ แต่ข้าพเจ้าเป็นนั้น เป็นคนชอบสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิแล้วก็ชอบทำบุญต่างๆถวาย หลวงพ่อท่านครับ ทุกๆครั้งที่ข้าพเจ้าระลึกถึงหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็จะระลึกถึงท่าน กำหนดใจให้เป็นสังฆานุสติครับ เป็นกรรมฐานควบไปเลยครับ คำว่า"วิชาใดๆอันไม่ประกอบด้วย "ธรรม" ควบคู่เป็นเส้นขนาน วิชานั้นๆ บัณฑิตทั้งหลาย ไม่กล่าวยกย่องวิชานั้นๆว่าเป็น"พุทธคุณ" ก็เกิดจาก วันหนึ่งข้าพเจ้าระลึกถึงหลวงพ่อ เป็นสังฆานุสติ (ไม่ได้ระลึกในเชิงเกจิอาจารย์) อยู่ๆก็เกิดปิติ พร้อมกับเสียงไม่ทราบว่าใครเกิดขึ้นครับ มุมมองของข้าพเจ้านั้น มองว่าหลวงพ่อนั้นเป็น พระอริยสงฆ์ ระลึกให้เป็นกรรมฐาน .ตรงนี้ขออนุญาติให้ทัศนะไว้ว่า แล้วแต่จริดของแต่ละท่านด้วยนะครับ กราบสวัสดี.
                                                          ....ด้วยความเคารพเป็นอย่างสูง....
                                                               ..."คนเมืองกาญฯ"(บ่อพลอย)...

กระดานสนทนาเว็บไซต์ ศิษย์หลวงพ่อกวย

..."คนเมืองกาญ"...
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มกราคม 28, 2012, 03:44:41 pm »

 


Facebook Comments