ประวัติและบารมีธรรม "พระอุปกิตธรรมสาร" หรือท่านเจ้าคุณปลั่ง วัดห้วยรอบ อำเภอหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานี
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระอุปกิตธรรมสาร (ปลั่ง ฐิตวิริโย) เป็นบุตรของนายเปลื้อง นางทองหรือพุดทอง ฟักธรรม เกิดวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2453 ตางกับวันพุธ แรม11ค่ำ เดือนยี่ ปีจอ ที่บ้านคุ้งสำเภา ตำบลคุ้งสำเภา อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท หลวงพ่อเล่าว่าเมื่อท่านโตแล้ว โยมพ่อพาให้นั่งหลังควายไปแจ้งเกิดที่บ้านกำนัน ประมาณว่าขณะนั้นอายุได้ประมาณ 2-3 ขวบแล้ว ดังนั้นจึงเป็นที่น่าสงสัยกันว่า อายุจริงของหลวงพ่อนั้นจะเป็นเท่าไรกันแน่ กำนันจะจดวันที่ไปแจ้งเลย หรือจดย้อนหลังที่ท่านเกิดจริง ๆ ท่านได้ทำการอุปสมบทเมื่ออายุได้ 22 ปี โดยมีท่านพระครูสุนทรธรรมวินิฐ เป็นพระอุปัชฌาย์ มีฉายาว่า ฐิตวิริโย มีพระวาสน์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระทองยุ้ย เป็นอนุสาวนาจารย์ บวชที่วัดศรีสิทธิการาม ตำบลคุ้งสำเภา อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท และได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย สอบนักธรรมและเปรียญธรรม เป็นครูสอนนักธรรม จนได้เปรียญ 5 ประโยค
ตำแหน่งหน้าที่การงาน
พ.ศ.2475 เป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ศรีศรัทธาธรรมและสอน
นักธรรมตรี โท ณ สำนักเรียนวัดศรีสิทธการาม
พ.ศ.2480 เป็นครูสอนบาลี ไวยากรณ์และครูสอนธรรมบท ครูสอนนักธรรม
เอก ในสำนักเรียนวัดพิชัยปุรณาราม
พ.ศ.2482 (กรกฎาคม) เป็นเจ้าอาวาสวัดห้วยรอบ อำเภอหนองขาหย่าง
จังหวัดอุทัยธานี
พ.ศ.2482 เป็นผู้ช่วยเจ้าคณะอำเภอหนองขาหย่าง และเป็นครูสอนประจำ
สำนักเรียนวัดห้วยรอบ เป็นเจ้าอาวาสและต้องไปสอนซ่อม
นักเรียนธรรมบาลีที่วัดพิชัยปุรณารามอีก 1 ปี
พ.ศ.2482 (ตุลาคม
เป็นกรรมการสงฆ์จังหวัดอุทัยธานี ฝ่ายองค์การศึกษา
จังหวัดอุทัยธานี
พ.ศ.2485 เป็นผู้รั้งตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอหนองขาหย่าง เป็นพระอุปัชฌาย์
ประจำอำเภอหนองขาหย่าง
พ.ศ.2487 เป็นคณะกรรมการตรวจนักธรรมตรีสนามหลวงและเป็น
กรรมการบาลีสนามหลวงจังหวัดอุทัยธานี
พ.ศ.2489 (มีนาคม 1)ได้รับสัญญาบัตร มีราชทินนามว่า พระครูอุปกิต
ธรรมปฏิเวช
พ.ศ.2500 (ธันวาคม 5) ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้น
สามัญที่ พระอุปกิตธรรมสาร
ภาระทางศาสนกิจ
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้ปฏิบัติภารกิจทางศาสนาอย่างเคร่งครัดและดียิ่ง เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของมหาเถรสมาคมอย่างดี เป็นแบบอย่างที่ดีกับคณะสงฆ์โดยทั่วไป ทำนุบำรุงถาวรวัตถุและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ศาลาการเปรียญที่ก่อสร้างใหม่ ท่านก็ไม่ใช้ชื่อว่าศาลาการเปรียญ เพราะถ้าใช้ชื่อนั้นแล้วจะเป็นของวัดไม่มีใครกล้าใช้สอยไปในทางอื่น ท่านจึงให้ชื่อว่าอาคารเอนกประสงค์ คือท่านมีความประสงค์ที่จะให้ใช้ได้ทั่วไปทั้งหน่วยงานราชการและกลุ่มชาวบ้าน ประชาชน หลวงพ่อไม่มีนโยบายให้ชาวบ้านออกไปบอกบุญเรี่ยไรนอกวัด แม้กระทั่งที่จะออกไปบอกบุญโดยกั้นที่ถนนทางสาธารณะต่าง ๆ ก็ไม่ยอมให้ออกไป เพราะผิดระเบียบ ท่านจะทำและพัฒนาตามกำลังศรัทธาของชาวบ้านหรือบุคคลอื่นที่จะมาทำบุญทอดผ้าป่าหรือกฐินเท่านั้น ดังนั้นการก่อสร้างต่าง ๆ เช่น โบสถ์ ศาลา บางครั้งจึงช้าไปบ้าง ท่านจะรอให้มีปัจจัยพอเสียก่อนจึงจะลงมือทำเป็นต้น
หลวงพ่อท่านมีความรู้กว้างขวาง โดยเฉพาะวิชาช่าง ท่านเป็นสถาปนิก เป็นนักออกแบบชั้นยอด ท่านมีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการออกแบบการก่อสร้างต่าง ๆ เช่น ศาลาการเปรียญ หอประชุม กุฏิ เมรุ ท่านจะออกแบบเองทั้งสิ้น
ผลงานชิ้นเอกที่ท่านร่วมออกแบบคือการสร้างมณฑปบนยอดเขาสะแกกรัง ท่านได้แสดงถึงความเป็นอัจฉริยะทางช่างและการออกแบบอย่างยิ่ง คือลวดลายดอกประจำยามบนเพดานของมณฑปที่จะให้เป็นรูปลอยนูนออกมาจากพื้น ปรากฏว่าช่างผู้สร้างไม่สามารถทำได้ แต่หลวงพ่อสามารถออกแบบให้ช่างทำให้มีดอกประจำยามลอยนูนออกมาจากพื้นได้ ไม่ผิดเพี้ยนกับช่างมืออาชีพ
อีกสิ่งหนึ่งคือท่านสามารถแกะดวงตราประทับในการสอบธรรมสนามหลวงของมหาเถรสมาคมจากงาช้าง ท่านทำได้ประณีตสวยงามไม่แพ้มืออาชีพ แม้ท่าจะประดิษฐ์ด้วยมือท่านเองก็ตาม รวมถึงการเขียนยันต์บนแผ่นทองแดงให้กับวัดและหน่วยงานต่าง ๆ เช่นกรมการศาสนา มหาเถรสมาคม วัดต่าง ๆ ที่รู้จักฝีมือท่านได้ส่งมาให้ท่านเขียนปีหนึ่ง ๆ มีจำนวนไม่น้อย ท่านบอกว่าการเขียนยันต์นี้เขียนยาก ต้องมีความรู้อักขระภาษาขอมอยู่ด้วยเป็นงานที่ละเอียดประณีตอย่างยิ่ง การเขียนต้องใช้สมาธิ ความตั้งใจ ความอดทน เพราะเมื่อใช้เหล็กแหลมลากเส้นออกไปแล้วจะต้องลากไปเรื่อย ๆ จะยกมือหรือหยุดไม่ได้ เมื่อลากจบเส้นแล้วจะต้องมาร่วมบรรจบกันกับเส้นแรก แสดงว่าท่านมีความรู้ความสามารถจนได้รับวามไว้วางใจจากหน่วยงานต่าง ๆ และผู้รู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ท่านเป็นนักข่าว นักประชาสัมพันธ์ นักเทศน์ที่ยากจะหาใครเปรียบได้ในยุคเดียวกัน หลวงพ่อเป็นพระที่รู้เท่าทันกับเหตุการณ์ของโลก เพราะเป็นนักฟังข่าวจากวิทยุกระจายเสียง จากโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ท่านเป็นพระที่บุกเบิกรุ่นแรก หรือองค์แรกในชนบทห่างไกล ท่านนำสื่อวิทยุมาใช้ในวัดตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะนั้นความเจริญในด้านข่าวสารมีน้อยมาก โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์มีน้อย วิทยุก็ยังมีไม่แพร่หลาย หลวงพ่อเป็นพระที่มีความคิดที่ก้าวไกล ได้ซื้อวิทยุมาใช้ที่วัดเครื่องหนึ่งเพื่อใช้เปิดฟังข่าว พอตกค่ำเลิกงานแล้ว ชาวบ้านจะมารวมตัวกันที่วัดเพื่อรอฟังข่าว และมาเป็นเพื่อนเสวนากับท่าน จึงเป็นที่ตื่นตาตื่นใจกับชาวบ้านเป็นอย่างยิ่งที่มีของใหม่ คือวิทยุมาให้ฟังข่าว ทำให้รู้เท่าทันกับเหตุการณ์ของโลก ผู้ที่ไม่ได้มาฟัง ท่านก็จะสรุปในรอบสัปดาห์ว่ามีข่าวอะไรที่น่าสนใจบ้าง มาเล่าสู่ให้ชาวบ้านฟังตอนท่านเทศน์ระหว่างพระฉันข้าวในวันพระทุกวันพระ
นอกจากนี้ท่านยังเป็นพระธรรมทูตชุดแรกของจังหวัดอุทัยธานี ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระธรรมทูตชุดแรก ที่จะออกไปเทศน์สอนโปรดประชาชนตามอำเภอต่าง ๆ ตามนโยบายของกรมการศาสนาและมหาเถรสมาคม ท่านจึงเป็นชุดบุกเบิกและทำงานได้ผลดีมาก ท่านจึงเป็นที่รู้จักและเคารพจากประชาชนทั่วไป การเทศน์สอนพุทธศาสนิกชนท่านจะใชัหลักธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักในการสอน และสอดแทรกอุทาหรณ์สอนใจ อุปมาอุปไมยเปรียบเทียบให้มองเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนั้นผู้ฟังจะไม่เบื่อและมีอารมณ์ร่วมกับท่านไปด้วย
ท่านยังเป็นศิลปินมีความรู้ในการฟังดนตรีไทยได้เป็นอย่างดี เมื่อดนตรีไทยไปบรรเลง ท่าจะสนใจฟังและสามารถวิจารณ์การบรรเลงของวงได้ว่าเล่นเป็นอย่างไร แม้แต่วิทยุกระจายเสียงท่านก็ยังนำมาวิจารณ์ได้อย่างมีเหตุผล แสดงว่าท่านมีสุนทรีย์ในการฟังที่ดีเยี่ยม ท่านเคยเล่าว่าเมื่อตอนเล็ก ๆ ท่านเคยหัดเล่นดนตรีไทย ติดตามวงไปเล่นตามที่ต่าง ๆ ท่านจึงมีความรู้ นับว่าท่านเป็นศิลปินท่านหนึ่งที่มองเห็นคุณค่าของดนตรีได้อย่างถ่องแท้ทีเดียว